ภาครัฐ-เอกชน จัดงาน ASEAN SHOP 2025 รับตลาดการบริโภค ‘ค้าปลีก’ ในภูมิภาคนี้ขยายตัวสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกแซงหน้า ยุโรปแล้ว ส่วนไทยมีขนาดตลาดประชากรเบอร์สองต่อจากอินโดฯ ผกายเนติ์ เล่งอี้ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกภูมิภาคอาเซียนแนวโน้มเติบโตสูงด้วยมีประชากรราว 650 ล้านคน และขึ้นเป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและอินเดีย และนำหน้าสหภาพยุโรป ขณะที่ เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีชนชั้นกลางและมีกำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ตลาดค้าปลีกขยายตัวอย่างรวดเร็ว และประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน รองจากอินโดนีเซียอันดับหนึ่ง โดยไทยมีตลาดค้าปลีกที่เติบโตเต็มที่และมีความหลากหลายทั้งตลาดแบบดั้งเดิมและศูนย์การค้าสมัยใหม่ โดยธุรกิจค้าปลีกของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ ทั้งการสร้างงาน การขับเคลื่อนการบริโภค และเป็นช่องทางหลักในการกระจายสินค้าไทยสู่ผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยี ระบบอัตโนมัติ และมอบประสบการณ์ผู้ซื้อที่ทันสมัย จึงเป็นแนวทางสำคัญในการเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ด้าน หวัง เจ้าหยุน ประธานบริหาร บริษัท กวางตง แกรนเดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าว เป็นโอกาสจัดงาน ASEAN SHOP 2025 หรือ มหกรรมธุรกิจร้านค้าอาเซียน เป็นงานแสดงสินค้าที่เกิดจากการรวมตัวของสองงานสำคัญ ได้แก่ VEND ASEAN และ FNB ASEAN นำผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายสินค้าและบริการ รวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อธุรกิจค้าปลีกกว่า 300 ราย จาก20 ประเทศ อาทิ ไทย จีน บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น โดยร่วมจัดแสดงบนพื้นที่เดียวกันกว่า 10,000 ตร.ม. งานนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมค้าปลีกและบริการตนเองในภูมิภาคอาเซียน โดยมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 2-4 กันยายน 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี สำหรับ งาน ASEAN SHOP 2025 จัดขึ้นโดย บริษัท กวางตง แกรนเดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป และ บริษัท คอมพาส เอ็กซิบิชั่น จำกัด ภายใต้ความร่วมมือและการสนับสนุนของภาครัฐ-เอกชน ระหว่างประเทศไทยและจีน อาทิ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย สหพันธ์การค้าชาวไทย-จีน สมาคมธุรกิจอัจฉริยะแห่งสมาพันธ์พาณิชย์แห่งประเทศจีน สมาคมอุตสาหกรรมตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติแห่งเอเชียแปซิฟิก สมาคมโฆษณาเพื่อการพาณิชย์แห่งประเทศจีน เป็นต้น โดยงาน ASEAN SHOP 2025 พันธมิตรกับทุกภาคส่วนในการผลักดันระบบนิเวศของ Future Food ให้เติบโตควบคู่ไปกับ Retail Tech และผู้ประกอบการค้าปลีกไทย ถือเป็นเวทีสำคัญระดับภูมิภาค ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการค้าปลีก รวมถึงผู้ประกอบการ SME ไทย ได้แสดงศักยภาพ นวัตกรรม และเชื่อมต่อกับตลาดอาเซียนในมิติที่กว้างขึ้น สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยได้เข้าถึงช่องทางการค้า เทคโนโลยี และเครือข่ายพันธมิตรใหม่ๆ ผ่านงานแสดงสินค้าเช่นนี้ คือหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของ SME ไทยในระยะยาว รวม 2 อุตสาหกรรมมาแรง ด้าน เจคอป คง ผู้จัดการทั่วไปและผู้จัดการโครงการ บริษัท คอมพาส เอ็กซิบิชั่น จำกัด กล่าวว่า การจัดงาน ASEAN SHOP 2025 งานในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การรวมสองอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและระบบบริการตนเอง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มารวมกันภายใต้แพลตฟอร์มเดียว ทั้งนี้ เพื่อสร้างเครือข่ายเชิงพาณิชย์แบบครบวงจรที่เชื่อมต่อห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั้งหมด โดยออกแบบพื้นที่จัดแสดงสินค้าไว้ทั้งหมด 6 โซนหลัก ได้แก่ โซนเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและระบบบริการตนเอง โซนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โซนระบบการชำระเงินและแคชเชียร์ โซนอุปกรณ์ตกแต่งร้านค้าและระบบจัดแสดงสินค้า โซนอุปกรณ์รักษาความสดและระบบทำความเย็น โซนร้านสะดวกซื้อแบรนด์ชั้นนำ นอกจากนี้ ในงานยังมีการจัดเวทีสัมมนาระดับนานาชาติ ควบคู่กันเพื่อให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แบ่งเป็น 3 เวทีหลัก ได้แก่ ASEAN Retail Leadership Summit International Vending Industry Forum Global Operator Development Forum โดยจะเชิญผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีก เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก มาร่วมแบ่งปันความรู้ และอภิปรายหัวข้อสำคัญ เช่น การออกแบบระบบค้าปลีกไร้พนักงาน กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดท้องถิ่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ฯลฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างมีวิสัยทัศน์และยั่งยืน โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน และสามารถสร้างมูลค่าการเจรจาซื้อขายในงานได้ราว 100 ล้านบาท โยงธุรกิจเชิงเศรษฐกิจท่องเที่ยว ดร.ดวงเด็ด ย้วยความดี ผู้อำนวยการ ฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (TCEB) กล่าวสนับสนุนการจัดงาน ASEAN SHOP 2025 โดย ทีเส็บ ในฐานะเป็นหน่วยงานภาครัฐภายใต้การกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี มีพันธกิจหลักเพื่อดึงงานแสดงสินค้านานาชาติให้มาจัดในประเทศไทย พร้อมทั้งร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐภาคเอกชน ในการสนับสนุนและพัฒนาการจัดงานให้ประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืน ด้วยการอำนวยความสะดวกแก่นักเดินทางต่างชาติที่จะเข้ามาร่วมงาน และการประชาสัมพันธ์ครอบคลุมไปถึงการส่งเสริมให้หน่วยงานภายในประเทศจัดงานและเข้าร่วมงานอย่างต่อเนื่อง โดย งานแสดงสินค้ายังคงเป็นเวทีสำคัญให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย นักลงทุนมาพบปะกัน ก่อให้เกิดการเจรจาธุรกิจ การซื้อ การขายภายในงาน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในพื้นที่เข้าถึงช่องทางการประชาสัมพันธ์สินค้า ผลิตภัณฑ์และบริการ ไปสู่ตลาดโลก เนื่องจากผู้ซื้อและผู้ขายมาจากทั่วโลก ไม่ได้มีเฉพาะจากในประเทศเท่านั้น ฉะนั้นงานแสดงสินค้าจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับธุรกิจค้าปลีกไทย การได้มีงานแสดงสินค้าในเวทีระดับนานาชาติอย่าง ASEAN SHOP 2025 ถือเป็นโอกาสในการแสดงนวัตกรรมสินค้า เทคโนโลยีร้านค้า และแนวคิดใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้แบรนด์ไทยได้ พบกับนักลงทุน คู่ค้า และพันธมิตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในเศรษฐกิจอาเซียน ย้อนหลัง 5 ปีเหลือแฟรนไชส์คุณภาพ ด้าน กวิน นิทัศนจารุกุล รองนายกสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ กล่าวปิดท้ายถึงแนวโน้มธุรกิจแฟรนไชส์ไทย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ “มีคุณภาพ” มากกว่าปริมาณ มีการพัฒนาแบรนด์อย่างเป็นระบบ ใส่ใจในมาตรฐาน และพร้อมขยายสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียนที่มีความใกล้เคียงกัน ทั้งด้านพฤติกรรมผู้บริโภคและโครงสร้างการค้า แฟรนไชส์กลุ่มร้านสะดวกซื้อ อาหาร เครื่องดื่ม และบริการรายย่อย กลายเป็น “จุดเริ่มต้นของผู้ประกอบการรายใหม่” ในหลายประเทศ และสะท้อนโอกาสที่ไทยสามารถเป็น ผู้ส่งออกโมเดลธุรกิจไปยังตลาดเพื่อนบ้านได้ อีกทั้งตลาด B2B ในกลุ่มค้าปลีกอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV และอินโดนีเซีย ซึ่งมีความต้องการโมเดลธุรกิจที่สามารถ “นำไปใช้ได้ทันที” พร้อมโซลูชันเทคโนโลยี ระบบจัดการร้านค้า และช่องทางจัดจำหน่ายที่ครบวงจร แฟรนไชส์ไทยสามารถสร้างความได้เปรียบด้วยจุดแข็งเรื่องความยืดหยุ่น ต้นทุนการลงทุนที่เหมาะสม และการให้ความร่วมมือแบบพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ตลาดเกิดใหม่อย่างแท้จริง พร้อมเชื่อมั่นว่างาน ASEAN SHOP จะกลายเป็น “แพลตฟอร์ม B2B แบบครบวงจร” ที่ไม่เพียงเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับเทคโนโลยี แต่ยังเป็นโอกาสเชื่อมเครือข่ายเชิงกลยุทธ์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะแฟรนไชส์ไทยที่ต้องการขยายสู่ตลาดอาเซียน Alternate-X สรุปให้ งาน ASEAN SHOP 2025 เตรียมจัดใหญ่ 2–4 ก.ย. 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองฯ รวม 2 อุตสาหกรรมค้าปลีก-อาหาร/เครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับอาเซียนขึ้นแท่นตลาดค้าปลีกขยายตัวเร็วเป็นอันดับ 3 ของโลก แซงยุโรป โดยไทยมีศักยภาพรองจากอินโดนีเซีย ในงานฯนี้ รวมกว่า 300 บริษัทจาก 20 ประเทศ พร้อมแสดงนวัตกรรม Future Food และ Retail Tech จัดสัมมนานานาชาติ 3 เวที พร้อมดึงแบรนด์-แฟรนไชส์ไทยเชื่อมเครือข่าย B2B กับผู้ซื้อจากทั่วโลก โดยภาครัฐ-เอกชนไทย-จีนผนึกกำลังผลักดันเวทีนี้เป็นกลยุทธ์ยกระดับ SME ไทยสู่ตลาดอาเซียน
[PR NEWS] เมกาบางนา ส่งฟีเจอร์ใหม่ บนแอปฯ ให้สมัครสมาชิก เมกา สไมล์ รีวอร์ดส สะดวกยิ่งขึ้น
ศูนย์การค้าเมกาบางนา แหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตให้ทุกๆ วันมีความสุขมากยิ่งขึ้น ด้วยแนวคิด YOUR EVERYDAY MEETING PLACE สานต่อพันธกิจในการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ด้วยการพัฒนาและยกระดับโปรแกรมสมาชิก เมกา สไมล์ รีวอร์ดส (MEGA SMILE REWARDS) ผ่านฟีเจอร์ใหม่ SELF-VERIFICATION ช่วยให้ลูกค้าสามารถสมัครและยืนยันตัวตนเป็นสมาชิกได้สะดวกยิ่งขึ้น (SEAMLESS) ภายในแอปพลิเคชันเมกาบางนา ลดขั้นตอนการเดินทางไปยืนยันตัวตนที่จุดให้บริการ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดครึ่งปีหลัง 2568 ตั้งเป้าขยายฐานสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส เพิ่มอีก 15% คุณวรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา เปิดเผยว่า “เมกาบางนาได้พัฒนาระบบยืนยันตัวตนสมาชิก (SELF-VERIFICATION) เพื่อมอบประสบการณ์การสมัครสมาชิกที่สะดวกสบายไร้รอยต่ออย่างแท้จริง โดยผสานระบบ THAID สำหรับการยืนยันตัวตนแบบดิจิทัล ทำให้ลูกค้าสามารถสมัครสมาชิก กรอกข้อมูล และยืนยันตัวตนได้เองบนแอปพลิเคชันเมกาบางนาได้ในไม่กี่นาที ซึ่งรวดเร็วและลดขั้นตอนจากเดิมที่ต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต ณ เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของศูนย์ฯ ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับลูกค้าทุกคน ดังนั้น ฟีเจอร์ SELF-VERIFICATION จะมอบความสะดวกให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมรับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรมได้ทันที ทั้งคะแนนสะสม ของรางวัล คูปองแทนเงินสด และข้อเสนอสุดพิเศษจากร้านค้าชั้นนำภายในศูนย์ฯ” “เราเชื่อว่าความสะดวกสบายในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของเมกา สไมล์ รีวอร์ดส คือ หัวใจของการเป็น YOUR EVERYDAY MEETING PLACE ของเมกาบางนา ดังนั้น ฟีเจอร์ SELF-VERIFICATION จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคดิจิทัล ที่ต้องการความรวดเร็ว ปลอดภัย และเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางหรือรอคิว ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่ม CONVERSION และ ENGAGEMENT อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังคงมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลให้กับลูกค้าอย่างเคร่งครัด” คุณวรรณวิมล กล่าวย้ำ ปัจจุบันโปรแกรมสมาชิก เมกา สไมล์ รีวอร์ดส มี 3 กลุ่ม ได้แก่ MEGA SMILE REWARDS, MEGA SMILE REWARDS PLUS และ MEGA SMILE REWARDS PRIME โดยในปี 2568 เมกาบางนาตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสมาชิก 15% ผ่านการขับเคลื่อนด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้ MEMBER’S BENEFITS สร้างแรงจูงใจผ่านสิทธิประโยชน์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ของรางวัล Limited Edition สำหรับสมาชิกใหม่ คูปองส่วนลดพิเศษหรือของรางวัลจากร้านค้ายอดนิยมหลากหลายกลุ่ม รวมไปถึงสิทธิพิเศษเฉพาะในกิจกรรมต่างๆ ของศูนย์ฯ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจสมัครสมาชิกได้ทันที ตอกย้ำจุดแข็งของโปรแกรมที่ให้มากกว่าแค่การสะสมคะแนน แต่ยังมอบความคุ้มค่าในทุกการใช้จ่ายของลูกค้า ที่เมกาบางนา ทั้งในรูปแบบสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้ และประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย IN-MALL ACQUISITION ACTIVITY เดินหน้าจัดบูทกิจกรรมเมกา สไมล์ รีวอร์ดส อย่างต่อเนื่องทุกเดือน โดยผสานแนวคิด “CUSTOMER EXPERIENCE DESIGN” เข้ากับกิจกรรมภายใต้ธีมที่สอดคล้องกับ SIGNATURE EVENTS ตลอดทั้งปี อาทิ เทศกาลตรุษจีน วาเลนไทน์ สงกรานต์ และเทศกาลงานศิลปะ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ และมอบเซอร์ไพรส์ให้กับลูกค้าในทุกครั้งที่มาใช้บริการ TENANT REWARD ALLIANCE เสริมความแข็งแกร่งของโปรแกรมด้วยการผนึกกำลังกับพันธมิตรร้านค้าชั้นนำในศูนย์ฯ ทั้งร้านค้าเปิดใหม่ และร้านค้าแบรนด์ดังที่เป็น MAGNET ด้วยการมอบสิทธิพิเศษ ของรางวัล หรือส่วนลดเฉพาะสำหรับลูกค้าที่สมัครเมกา สไมล์ รีวอร์ดส เพื่อกระตุ้นการสมัครสมาชิกในทันที ทั้งยังเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ในทุกกลุ่มร้านค้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งนี้ จากอินไซต์ของสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มสมาชิกฯ เป็นเพศหญิงถึง 65% และอยู่ในช่วงอายุ 25–44 ปี คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 58% ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจน ชื่นชอบการใช้จ่ายกับสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องร้านอาหาร แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ซึ่งสอดคล้องกับหมวดหมู่การใช้จ่ายสูงสุดของสมาชิก ได้แก่ DINING, FASHION และ LIFESTYLE จากอินไซต์ดังกล่าว เมกาบางนาได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสิทธิประโยชน์ของเมกา สไมล์ รีวอร์ดส อย่างตรงจุด โดยออกแบบแคมเปญและรางวัลที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นของรางวัล LIMITED EDITION สำหรับสายแฟชั่น คูปองร้านอาหารจากร้านดังภายในศูนย์ฯ หรือสิทธิพิเศษด้าน WELLNESS & BEAUTY ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงยุคใหม่ เป็นต้น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้เมกาบางนาสามารถพัฒนาโปรแกรม เมกา สไมล์ รีวอร์ดส ได้อย่างแม่นยำ ทั้งในด้านสิทธิประโยชน์ การสื่อสาร การสร้าง ENGAGEMENT และการคัดสรรพันธมิตรทางธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเปิดตัวฟีเจอร์ SELF-VERIFICATION ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างสะดวกสบายไร้รอยต่อ ช่วยให้การเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของโปรแกรมเป็นเรื่องง่าย และรวดเร็วมากขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเมกาบางนาในการเป็น “YOUR EVERYDAY MEETING PLACE” ที่เข้าใจ รู้ใจ และมอบความสุขลูกค้าในทุกๆ วัน” คุณวรรณวิมล กล่าวสรุป
คริปโทฯ สดใส หลังสหรัฐฯ คลายกฎลงทุน Bitget ลุ้น ETH แตะ 3,000 ดอลลาร์ฯ
Bitget คาดตลาดคริปโทกลับมาแววาวหน้าจอเทรด รับ ก.ล.ต.สหรัฐฯออกกฎเอื้อลงทุนง่ายขึ้น มองโอกาสเหรียญทางเลือก คงมุมมองเป้า Ethereum แตะ 3,000 ดอลลาร์ในไตรมาส 3 นี้ เกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าไตรมาส 3/2568 มีโอกาสที่เงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันจะเริ่มมีการไหลเข้ามาลงทุนในเหรียญทางเลือก (Altcoin) มากขึ้น โดยเฉพาะ Ethereum ที่มีกองทุน Spot ETH ETF ให้นักลงทุนสถาบันสามารถลงทุนได้ โดยแรงผลักดันหลักมาจากความชัดเจนของกฎระเบียบสินทรัพย์ดิจิทัลของ ก.ล.ต.สหรัฐ ฯ ที่มีความชัดเจนมากขึ้นทำให้ภาคเอกชนเข้ามามีธุรกรรมเกี่ยวกับบล็อกเชนมากขึ้น อย่างล่าสุดบริษัท Circle ได้ยื่นขอใบอนุญาตเป็น ธนาคารทรัสต์ระดับประเทศ (National Trust Bank Charter) กับสำนักงานควบคุมธนาคาร (OCC) หลังจากการเข้าตลาดหุ้นในเดือนมิถุนายน 2568 ทำให้เหรียญ USDC จะได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้นในมุมมองของนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากเป็นไปตามมาตรฐานของธนาคารแบบดั้งเดิม “การขอใบอนุญาตนี้ยังช่วยเสริมความโปร่งใส โดยเฉพาะเมื่อกฎหมาย GENIUS Act กำหนดให้ต้องเปิดเผยข้อมูลสำรองรายเดือนซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสถาบันที่ต้องการเชื่อมโยงการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับระบบ DeFi เข้ามาใช้บริการ ซึ่ง Ethereum มีสัดส่วนการตลาดกว่า 50% ของการใช้งานบล็อกเชนเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการใช้งานดังกล่าว” เกรซี่ เฉิน กล่าว ขณะเดียวกันบริษัท Upexi ที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq ตัดสินใจแปลงหุ้นบริษัทเป็นโทเค็น ที่ผ่านการรับรองจาก ก.ล.ต. สหรัฐ ฯ บนเครือข่ายบล็อกเชน Solana รวมถึงเข้าลงทุนโทเค็น SOL ผ่านงบการเงินของบริษัทกว่า 105 ล้านดอลลาร์สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชนของบริษัทเอกชนซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงที่เหลือของปีนี้ ลุ้นขาขึ้นเหรียญทางเลือก ด้าน ไรอัน ลี (Ryan Lee ) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ Bitget Research กล่าวว่าราคา Ethereum มีโอกาสแตะระดับ3,000 ดอลลาร์ ได้ในไตรมาสามนี้โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากกระแสเงินไหลเข้าสุทธิใน ETF Spot Ethereum เกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผลตอบแทนระหว่าง Ethereum เทียบกับBitcoin ปรับตัวขึ้น 30% ในเดือนที่ผ่านมาเป็นการบ่งบอกถึงการสับเปลี่ยนเม็ดเงินลงทุนของสถาบันจากBitcoin มายัง Ethereum ที่ค่อนข้างชัดเจน “จับตาสัดส่วนตลาดของ Bitcoin เทียบกับเหรียญทางเลือกอื่น (Bitcoin Dominance) หากลดลงต่ำกว่าระดับ 50% และการใช้งานบล็อกเชนมีการขยายตัว เราอาจได้เห็นเม็ดเงินลงทุนไหลไปยังเหรียญทางเลือกมากขึ้น“ นายไรอัน ลี กล่าว Alternate-X สรุปให้ Bitget คาดตลาดคริปโทกลับมาแวววาว รับแรงหนุนจากกฎระเบียบสหรัฐฯ เอื้อลงทุนชัดเจนขึ้น มองเป้า Ethereum มีแนวโน้มแตะ 3,000 ดอลลาร์ในไตรมาส 3 นี้ จากกระแสเงินไหลเข้าสุทธิใน Spot ETF โดยนักลงทุนสถาบันเริ่มเข้ามาลงทุนในเหรียญทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะ ETH และ SOL Circle ยื่นขอใบอนุญาตเป็นธนาคารทรัสต์ ชูความโปร่งใสของ USDC เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมกับ DeFi ด้าน นักวิเคราะห์ชี้หาก Bitcoin Dominance ต่ำกว่า 50% จะเปิดโอกาส Altcoin ขาขึ้นรอบใหม่
‘กระทิง’ ไปต่อดีป เทคฯ เข้าลงทุน AI ไมโครไบโอม เจาะตลาดดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
‘กระทิง พูนพล’ ประธานยักษ์กองทุนเทคฯสตาร์ทอัพไทย เข้าลงทุนใน ‘Jona’ ผู้พัฒนา AI วิเคราะห์ข้อมูลไมโครไบโอม สู่ตลาดการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ในอนาคต รับุมูลค่าตลาดเอไอดูแลสุขภาพโลกพุ่ง 613.81 พันล้านดอลลาร์ฯ ปี 2577 กระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures เปิดเผยว่า ล่าสุดนำกองทุน Disrupt Health Impact Fund เข้าลงทุนใน ‘Jona’ บริษัทสัญชาติอเมริกัน ผู้พัฒนา AI อ่านผลตรวจไมโครไบโอม หรือ จุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกกว่าชุดตรวจทั่วไป พร้อมต่อยอดแนวคิดความสมดุลของไมโครไบโอมมีความเชื่อมโยงกับสุขภาพส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ โดย AI จะช่วยบ่งบอกความเสี่ยง และเสนอแนะวิธีการดูแลสุขภาพและแนวทางการปรับพฤติกรรม ผ่านการประมวลผลงานวิจัยกว่า 200,000 ฉบับ และมีการอัพเดทงานวิจัย ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอยู่เสมอ พร้อมหวังผลักดันให้ไมโครไบโอม เข้ามามีบทบาทยิ่งขึ้นในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการเฟ้นหาแนวทางการรักษารูปแบบใหม่ ๆ “ไมโครไบโอม หรือ จุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์ เป็นศาสตร์ที่มีมานาน และกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากเริ่มมีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือที่สนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างไมโครไบโอมกับสุขภาพด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ไม่ได้จำกัดแค่สุขภาพลำไส้ หรือกลุ่มบริการเวลเนส แต่มีการเชื่อมโยงไปถึงระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการย่อยอาหาร ผิวหนัง สมอง ไปจนถึงสุขภาพจิต ทำให้เกิดวิธีการดูแลสุขภาพรูปแบบใหม่ ๆ ที่นำมาใช้ประกอบการรักษาได้” กระทิง กล่าว ขณะที่ บริษัทเวชภัณฑ์ยาระดับโลกเริ่มมีการคิดค้นพัฒนาในด้านนี้ รวมถึงการที่ US FDA ได้มีการอนุมัติให้นำการปรับสมดุลไมโครไบโอมมาใช้ในการรักษาโรคบางโรคก็ได้แล้ว เป็นโอกาสของตลาดไมโครไบโอมมีแนวโน้มจะขยายตัวจากการนำมาใช้ทั้งในเชิงเวลเนสและเชิงการแพทย์มากขึ้นในอนาคต จากข้อมูลการวิจัยตลาด Precedence Research ระบุมูลค่าตลาด AI ในด้านการดูแลสุขภาพทั่วโลกจะพุ่งแตะ 613.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2577 เพิ่มขึ้นจาก 36.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 โดยเติบโตเฉลี่ย 36.83% ต่อปี หรืออัตราการเติบโตแบบตัวเลขสองหลัก ตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2577 ดึงงานวิจัยกว่า 2 แสนเล่มทั่วโลก ด้าน ณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวเสริมว่า Jona ได้พัฒนานวัตกรรมโดยใช้ AI เข้ามาปลดล็อกข้อจำกัดการอ่านผลตรวจไมโครไบโอม ซึ่งมีความซับซ้อนเพราะลำไส้มนุษย์มีเชื้อจุลินทรีย์ที่หลากหลายกว่าหนึ่งแสนล้านประเภท และยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน อีกทั้งยังมีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิธีการอ่านผลควรต้องมีการอัพเดทอยู่เสมอ โดย Jona ให้บริการชุดตรวจที่ใช้ได้ด้วยตนเองและผ่านคลินิก โดยเป็นชุดตรวจที่ตรวจลึกกว่าแค่แบคทีเรีย แต่ครอบคลุมไปถึงจุลินทรีย์ประเภทอื่นด้วย จึงได้ข้อมูลเชิงลึกกว่าชุดตรวจทั่วไป นอกจากนี้ Jona ยังมีแพลตฟอร์มที่ช่วยประมวลผลข้อมูลและเสนอแนะวิธีการดูแลสุขภาพและแนวทางการปรับพฤติกรรม ด้วยเทคโนโลยี AI ที่สามารถดึงข้อมูลจากงานวิจัยทางการแพทย์กว่า 200,000 เล่มทั่วโลก ทำให้แพทย์อ่านผลตรวจได้แม่นยำยิ่งขึ้น และมีที่มาที่ไปของข้อมูลประกอบ จำแนกตามระดับความน่าเชื่อถือของงานวิจัย ทำให้เกิดการนำไปใช้ได้จริงยิ่งขึ้น และด้วยนวัตกรรม ‘โมเดลจำลองดิจิทัลของไมโครไบโอม’ หรือ ‘Microbiome Digital Twin’ Jona จึงสามารถจำลองผลกระทบที่การปรับเปลี่ยนด้านอาหาร ไลฟ์สไตล์ อาหารเสริม และยารักษาโรคเฉพาะเจาะจงจะมีต่อสุขภาพของผู้ใช้บริการ โดยข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดจะเชื่อมโยงย้อนกลับไปยังงานวิจัยต้นฉบับ การลงทุนครั้งนี้คาดหวังว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไมโครไบโอมจะสร้างแรงขับเคลื่อนให้วงการสุขภาพ เป็นส่วนช่วยในการต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในอุตสาหกรรม และเป็นเครื่องมือในการช่วยปรับพฤติกรรมในด้านการพัฒนาโมเดล LLM ทาง Jona ได้สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีคณะที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Advisory Board – SAB) ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ทั้งด้าน AI แพทย์ นักโภชนาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการยืดอายุ ที่มาร่วมให้คำแนะนำการพัฒนาผลิตภัณฑ์และทบทวนผลลัพธ์จาก AI ช่วยให้โซลูชันของบริษัทอยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และตอบสนองความต้องการทางคลินิกได้อย่างแท้จริง ดร. ลีโอ เกรดี้ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร Jona กล่าวว่า บริษัทยินดีที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุน Disrupt Impact Fund เพื่อบรรลุเป้าหมายการขยายตลาด เร่งเติบโต 10 เท่า จุดแข็งของ Jona คือการเป็น AI เฉพาะทาง โมเดล AI ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเจาะจงในด้านไมโครไบโอมในลำไส้ ทำให้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของจุลินทรีย์และผลลัพธ์ด้านสุขภาพได้ดีกว่า หวังขยายผลไปทั่วโลกในอนาคต และส่งเสริมให้การตรวจไมโครไบโอมเข้าถึงได้และสร้างคุณประโยชน์ทางการแพทย์ ทั้งนี้ กองทุน Disrupt Health Impact Fund มีนโยบายลงทุนระยะแรกประมาณ 17 – 25 ล้านบาทต่อบริษัท โดยวางแผนลงทุนใน 15 บริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศภายใน 3 -5 ปีข้างหน้า ภายใต้กลยุทธ์การลงทุน 5 ด้านหลัก ได้แก่ การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เวชศาสตร์ป้องกันโรค ผู้สูงวัย การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โรงพยาบาลอัจฉริยะ พร้อมมุ่งเน้นนวัตกรรมระดับโลกที่ออกสู่ตลาดแล้วหรืออยู่ระหว่างการวิจัยในคนเพื่อขอรับรองจาก FDA ปัจจุบันกองทุนมีนักลงทุน 7 ราย ซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลที่สนใจธุรกิจ Health & Wellness และยังคงเปิดรับพันธมิตรที่สนใจร่วมลงทุน พร้อมมองหาบริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง Alternate-X สรุปให้ ‘กระทิง พูนผล’ นำกองทุน Disrupt Health Impact Fund เข้าลงทุนใน ‘Jona’ สตาร์ทอัพอเมริกัน ผู้พัฒนา AI วิเคราะห์ไมโครไบโอมเพื่อดูแลสุขภาพเชิงป้องกั เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยกว่า 200,000 ฉบับทั่วโลก เชื่อมโยงจุลินทรีย์กับสุขภาพองค์รวม โดย Jona พัฒนา Microbiome Digital Twin จำลองผลต่อสุขภาพจากการปรับอาหาร-ไลฟ์สไตล์ ขณะที่ Disrupt Health เน้นลงทุน DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศ รับตลาด AI ด้านสุขภาพทั่วโลกคาดแตะ 613 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2577
88 ปี ยาดมโป๊ยเซียน สร้างภาพจำเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ผ่านแคมเปญ CSR ลดเมาแล้วขับ
‘ยาดม โป๊ยเซียน’ ก่อตั้งในปี 2479 โดยตระกูลลาภบุญทรัพย์ เริ่มต้นจากร้านขายยาสมุนไพรเล็กๆ เน้นขายยาแผนโบราณ ในย่านเยาวราช ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ยาดมอันดับ 1 ของไทย และมีอายุ 88 ปี แล้ว ด้วยอายุของโป๊ยเซียน ที่อยู่มายาวนานและเป็นแบรนด์ที่รู้จักเป็นอย่างดีในกลุ่มคนไทยมาหลายเจนเนอเรชัน และยังมีชื่อเสียงในหมู่นักเดินทางชาวต่างชาตื ที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์ไทย โดยเฉพาะหมวดยาดม ในฐานะไอเทมช่วยบูสต์ อัพ พลังด้วยสรรพคุณ รักษาอาการวิงเวียน ศีรษะ หวัด คัดจมูกและอาการเมารถ · ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด สำหรับ ‘ยาดมโป๊ยเซียน’ ผลิตและทำตลาดสินค้าภายใต้บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด และเข้าสู่ยุคการบริหารกิจการในรุ่น 4 ‘ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์’ ที่มารับช่วงบริหารธุรกิจ ด้วยความตั้งใจอยากทำให้โป๊ยเซียน เข้าถึงทุกคนได้ พร้อมๆ กับสืบทอดธรรมนูญที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นอย่าง ‘การซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค’ ด้วยหลักคิดของผู้บริหารรุ่นใหม่ยาดมโป๊ยเซียน ที่แม้ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่มีอายุเฉียด 9 ทศวรรษ แต่เมื่อต้องการให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มคนนิวเจนฯ ก็จำเป็นจะต้องเอาแบรนด์ เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมให้คนรุ่นใหม่เห็นเพื่อสร้างภาพจดจำสินค้าในใจผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสงครามยาดมด่วน ที่มีหลากหลายแบรนด์และเซ็กเมนต์ในเวลานี้ ด้วยมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาทต่อปี และยังคงมีการเติบโตในตัวเลข 10 – 15% อย่างต่อเนื่อง (ข้อมูลจากบริษัทวิจัยการตลาดชื่อดัง Nielsen) และยังพบว่า ประชากรราว 70 ล้านคน ใช้ยาดมอย่างน้อย 10% และใน 1 เดือนใช้อย่างน้อย 2 หลอด ขณะที่หนึ่งในแนวทางการนำแบรนด์ยาดมโป๊ยเซียนให้เข้าไปอยู่ในใจคนรุ่นใหม่นั้น ล่าสุดได้จัดกิจกรรมเพื่อมีส่วนร่วมในสังคม (CSR) ในโครงการใหญ่ ‘88 ปี โป๊ยเซียน 8 ทิศ 8 ภาษา’ พร้อมต่อยอดกิจกรรมภายใต้โครงการ ‘Save สมอง Save สุขภาพ ปลอดภัยยกกำลัง 3’ จัดกิจกรรมรณรงค์ ‘ขับขี่ปลอดภัย’ มุ่งสร้างวินัยจราจร และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะพฤติกรรมการเมาแล้วขับในกลุ่มเยาวชน เริ่มนำร่องโครงการฯ ในโรงเรียน โดยแคมเปญฯ ยังได้ร่วมกับพันธมิตร สถานีวิทยุ จส.100, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.), และ แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุ จราจรระดับจังหวัด (สอจร.) 8 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ดร.ณัฐ ลาภบุญทรัพย์ กรรมการและที่ปรึกษา บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ยาดมตราโป๊ยเซียน พิมเสนน้ำตราโป๊ยเซียน และยาดมพีเป๊กซ์ กล่าวว่าแคมเปญฯ นี้เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความปลอดภัย บนท้องถนน ให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาเน้นการให้ความรู้และสร้างประสบการณ์ตรงผ่านกิจกรรม ที่น่าสนใจต่างๆ ทั้งการทดสอบความพร้อมในการขับขี่ เพื่อวัดปฏิกิริยาตอบสนองก่อนการเดินทาง และกิจกรรมสำคัญอย่าง ‘การจำลองขับขี่ด้วยแว่นเมา’ ให้นักเรียนได้สัมผัสถึงอันตรายของการขับขี่ ขณะมึนเมา ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุ หลักของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน “โป๊ยเซียนมุ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของการสร้างสรรค์สังคมที่ปลอดภัย การที่เราได้ร่วมกับพันธมิตรจัดกิจกรรมขับขี่ปลอดภัยในโรงเรียน ถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต โดยเฉพาะ การปลูกฝังความตระหนักรู้เรื่องอันตรายของการเมาแล้วขับ และการส่งเสริมวินัยจราจรให้กับเยาวชน ซึ่งจะเป็น กำลังสำคัญในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างยั่งยืน” ดร.ณัฐ กล่าว สำหรับโครงการ “88 ปี โป๊ยเซียน 8 ทิศ 8 ภาษา” มีกำหนดจัดกิจกรรมต่างๆ ต่อเนื่องไปจนถึงเดือน กุมภาพันธ์ 2569 โดยระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2568 จะเป็นการลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ โครงการ และกิจกรรมรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย” ในสถานศึกษานำร่อง 8 โรงเรียน ได้แก่ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 โรงเรียนบางกะปิ (480 คน) โรงเรียนวัดราชบพิธ (850 คน) วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 โรงเรียนพรตพิทยพยัต (550 คน) และโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางเขน (420 คน) วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) (640 คน) ส่วนกำหนดการจัดกิจกรรมในโรงเรียนอีก 3 แห่งจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบในโอกาสต่อไป นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว โครงการฯ ยังจัดให้มีกิจกรรมพิเศษ คือ กิจกรรม ‘ประกวด คลิปวิดีโอสั้น 8 ภาษา’ ได้แก่ ภาษาไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และภาษาสเปน ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท เพื่อให้นักเรียนได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ และทักษะทางภาษาผ่านคลิปวิดีโอสั้น ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินท่องเที่ยวในประเทศไทย และการใช้รถใช้ถนน อย่างปลอดภัย Alternate-X สรุปให้ ‘ยาดมโป๊ยเซียน’ แบรนด์ไทยอายุกว่า 88 ปี เริ่มต้นจากร้านยาสมุนไพรในเยาวราช สู่ผู้นำตลาดยาดมไทยที่มีมูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาทต่อปี ด้วยการบริหารรุ่นที่ 4 โดย ‘ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์’ โป๊ยเซียนเดินหน้าต่อยอดแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านกิจกรรม CSR ขับขี่ปลอดภัย และโครงการ “88 ปี โป๊ยเซียน 8 ทิศ 8 ภาษา” พร้อมรณรงค์ลดอุบัติเหตุในกลุ่มเยาวชนอย่างยั่งยืน
รู้จักแบรนด์ ‘นาถะ’ สินค้าบุญหลวงพ่ออลงกต พลัง ‘ศรัทธา มาร์เก็ตติง’ คืนกลับสังคม
‘นาถะ’ แบรนด์ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ดำเนินการภายใต้มูลนิธินาถะ องค์กรสาธารณกุศลสงเคราะห์กับเป้าหมายสูงสุด คือ ‘ผู้เป็นที่พึ่งของประชาชน’ อันเกิดจากเจตนารมณ์ของหลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ ลพบุรี แบรนด์นาถะ (NATHA) เชื่อว่าน่าจะเริ่มเป็นที่คุ้นหูของใครหลายคนมาบ้างหลัง ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ (เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล) ผู้อุทิศตนในฐานะลูกศิษย์พระราชวิสุทธิประชานาถ (หลวงพ่ออลงกต) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี มานานกว่าสิบปี ได้ทำคอนเทนต์แนะนำแบรนด์นาถะ คาเฟ่ (NATHA Cafe) มาก่อนหน้าในระยะหนึ่งแล้ว สแกนแบรนด์นาถะ ขณะที่แบรนด์นาถะ เองได้วางตำแหน่งเป็นทั้งผลิตภัณฑ์ของกินของใช้ (Consumer Product) อาทิ ครีมอาบน้ำ ยาสระผม โลชันบำรุงผิว และหมวดบริโภคอย่าง ข้าวสารบรรจุถุง ไปจนถึงเสื้อยืดพิมพ์ลวดลายทั้งอักขระยันต์เตือนสติ และ ภาพลายเส้นหลวงพ่ออลงกต นอกจากนี้ แบรนด์นาถะยังได้นำสินค้าไอเทมต่างๆ จัดเป็นชุดสำหรับการทำสังฆทานเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้มีจิตศรัทธาที่ประสงค์มีส่วนร่วมทำบุญผ่านผลิตภัณฑ์แบรนด์นาถะ ได้อีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน ส่วนการทำตลาดสินค้าดังกล่าว ทางทีมงานมูลนิธินาถะจะเป็นฝ่ายดำเนินการนำผลิตภัณฑ์ออกไปวางจำหน่ายในสถานที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะร่วมไปพร้อมกับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อหลวงอลงกตที่ได้รับเชิญทั้งจากหน่วยงานองค์กรเอกชนต่าง ๆ รวมถึงความตั้งใจส่วนตัวของหลวงพ่ออลงกต ต่อการออกปฏิบัติภาระกิจระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ด้อยโอกาสที่อยู่ในความดูแลของวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิธรรมรักษ์ โดยมีกองทุนอาทรประชานารถเป็นผู้ดูแล ซึ่งหลวงพ่ออลงกตเป็นผู้ก่อตั้ง เพื่อดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ด้วยการจัดหาที่พัก อาหาร การรักษาพยาบาล และปัจจัยอื่นๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ด้วยการระดมทุนนี้มีความสำคัญต่อการสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิฯ และการช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ส่วนหนึ่งในสังคม สำหรับ สินค้าต่างๆภายใต้แบรนด์นาถะ นั้นได้ดำเนินการแยกออกมาเพื่อให้ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมทำบุญบริจาค ทั้งในรุปแบบเงินและสิ่งของต่างๆไปจนถึงการซื้อสินค้าแบรนด์นาถะ โดยรายได้ทั้งหมดจะนำเข้าสู่มูลนิธินาถะและนำไปบริหารจัดการด้านต่างๆ อย่างโปร่งใส ‘คุณธัญพร กรเกษม’ เจ้าหน้าที่มูลนิธินาถะ เล่าเรื่องราวแบรนด์นาถะซึ่งเกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปีก่อน ขณะที่มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมาร่วม2 ปี ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้การทำงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์นาถะสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน “ที่มาแบรนด์นาถะ มาจากคำท้ายชื่ออย่างเป็นทางการของหลวงพ่ออลงกต คือ พระราชวิสุทธิประชานาถ แล้วนำมาขยายการออกเสียงให้เป็นคำว่านาถะ ในภาษาไทย และใช้ภาษาอังกฤษว่า NATHA” คัณธัญพร เล่าพร้อมเสริมอีกว่า ขณะที่สินค้านาถะ เองก็ยังมีเรื่องราวที่เกิดจากความตั้งใจของหลวงพ่ออลงกต ที่ต่อยอดมาจากให้การดูแลกลุ่มเยาวชนในจังหวัดลพบุรี ทั้งด้านการศึกษาด้วยก่อตั้งโรงเรียนนาถะศาสตร์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1-6 พร้อมให้ทุนการศึกษาสำหรับเยาวชน ที่มีความสามารถด้านกีฬาฟุตบอล เพื่อเข้ามาสังกัดในสโมสรฟุตบอลใจฟ้า อะคาเดมี จังหวัดลพบุรี ที่อยู่ภายใต้การดูแลของหลวงพ่ออลงกต ด้วย “สินค้าของกินของใช้แบรนด์นาถะที่นำมาจัดเป็นชุดสังฆทาน ยังเกิดจากแนวคิดของหลวงพ่ออลงกต ที่มองไปไกลถึงความเป็นอยู่ของกลุ่มเยาวชนนักกีฬาฟุตบอลในสังกัดใจฟ้าอะคาเดมี ที่ต้องการใช้สินค้าส่วนตัวทั้งสบู่ ครีมอาบน้ำ ยาสระผม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจในการทำแบรนด์นาถะเพื่อออกมารองรับความต้องการในด้านนี้” ‘คุณธัญพร อธิบายเสริม ขยายสู่ นาถะ คาเฟ่ พร้อมกล่าวอีกว่า สินค้าแบรนด์นาถะต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจจริงในการทำตลาดทั้งคุณภาพสินค้าด้วยราคาสมเหตุสมผลเฉลี่ยหลักร้อยบาทต่อชิ้น ที่ปัจจุบันยังนำสินค้าวางจำหน่ายในช่องทางร้านกาแฟ ‘นาถะ คาเฟ่’ ที่เปิดให้บริการ 2 สาขา คือ นาถะคาเฟ่ สาขาประชาชื่น เปิดให้บริการ วันอังคาร – อาทิตย์ เวลา09:00-19:00 น. (ปิดทุกวันจันทร์ ) นาถะ คาเฟ่ สาขาอาคารเล้าเป้งง้วน 1 เปิดให้บริการทุกวัน 09:00-19:00 น. คุณธัญพร เสริมอีกว่า นับจากการพัฒนาและนำสินค้าแบรนด์นาถะออกมาไปแนะนำให้กับประชาชนทั่วไปได้รู้จักตลอดช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้การตอบรับดีทุกครั้งที่ทางมูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมร่วมกับการทำภาระกิจของหลวงพ่ออลงกต ในปัจจุบัน “ด้วยสิ่งที่หลวงพ่ออลงกตปฏิบัติมาตลอดช่วงที่ผ่านมากว่า 30 ปีและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ชวนให้ทีมงานมูลนิธิฯ ทุกคนได้ตระหนักถึงการทำไปต่อเพื่อสังคมเช่นเดียวกับที่ท่านไม่เคยหยุดในเรื่องนี้เช่นกัน” ภาพประกอบบางส่วน ขอบคุณเพจเฟซบุ๊คนาถะ (NATHA) Alternate-X สรุปให้ ‘นาถะ’ แบรนด์สินค้าบุญที่ก่อตั้งภายใต้มูลนิธินาถะ โดยหลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ วางตำแหน่งเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่ทุกชิ้นรายได้เข้าสู่การช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ยากไร้ กับแนวทาง ‘ศรัทธา มาร์เก็ตติง’ ขับเคลื่อนด้วยความตั้งใจให้ทุกการซื้อคือการทำบุญสินค้ามีทั้งครีมอาบน้ำ ยาสระผม ข้าวสาร เสื้อยืด ยันต์ เตรียมเป็นชุดสังฆทานได้ พร้อมจำหน่ายใน ‘นาถะ คาเฟ่’ และกิจกรรมร่วมหลวงพ่อทั่วประเทศ เพื่อส่งต่อพลังแห่งศรัทธา
‘วุฒิพล’ ท็อปซีอีโอ 2025 บนเส้นทางอสังหาฯ 10 ปี สู่หัวแถวผู้บริหาร ‘ดาวรุ่ง’
‘วุฒิพล ถาวรธวัช’ ซีอีโอกลุ่มบริษัท UHG กับรางวัล ‘THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2025’ ในฐานะผู้บริหารดาวรุ่งคนรุ่นใหม่ ที่ใช้เวลาราว 10 ปีสร้างอาณาจักรธุรกิจอสังหาฯ กว่า 2 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ในงานมอบรางวัล ‘Thailand Top CEO of the Year 2025’ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องบอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ โดยนิตยสาร Business+ ร่วมกับ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้แนวคิด ‘Navigate through the uncertainty’ พร้อมประกาศผลรางวัลให้กับผู้บริหารมืออาชีพในแวดวงอุตสาหกรรมธุรกิจต่างๆ โดยรางวัล แบ่งประเภท CEO สูงสุด (Top CEOs by Industry) มอบให้ผู้บริหารสูงสุดในแต่ละอุตสาหกรรมหลัก เช่น เกษตร, ขนส่ง, ธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, อาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ จำนวน 10 รางวัล และรางวัล Rising Star ‘ดาวรุ่ง’ ซึ่งมอบให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีผลงานโดดเด่นและแนวคิดสร้างสรรค์ จำนวน 5 รางวัล สำหรับรางวัล ผู้บริหาร Rising Star ในปีนี้มีชื่อของ ‘วุฒิพล ถาวรธวัช’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG เจ้าของและผู้พัฒนาโรงแรมแบรนด์ ‘เดอะ ควอเตอร์’ และอาคารสำนักงานแบรนด์ ‘ฮิลส์’ ติดอยู่ในหัวแถวของขบวนซีอีโอดาวรุ่ง ที่มีผลงานการบริหารน่าจับตา ด้วยจุดเริ่มต้นงานบริหาร ‘วุฒิพล’ มาจากธุรกิจโรงแรมของครอบครัวที่มี 1 แห่งอยู่ในมือ (โรงแรมเอเวอร์ กรีน เพลส) เมื่อสิบปีก่อนขยายสู่อาณาจักรธุรกิจฮอสพิทาลิตี้ อสังหาริมท่รัพย์มิกซ์ยูส โรงแรมแบรนด์เดอะควอเตอร์ (The Quater) และอาคารสำนักงานฮิลส์ (HILLS) รวมกว่า 20 แห่ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะบทพิสูจน์ฝีมือการบริหารกิจการในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา จากผลงานดังกล่าว และรางวัลฯ ที่ได้รับยังสะท้อนถึงการนำวิธีคิดแบบมืออาชีพ มาผสมผสานวิสัยทัศน์แบบคนรุ่นใหม่ สู่การขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่ม UHG ให้เติบโตในโลกของการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์อย่างมีจุดยืน อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้าสู่เส้นทางซีอีโอ อาณาจักร UHG ‘วุฒิพล’ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานกับองค์กรระดับอินเตอร์ และแบรนด์ชั้นนำของโลก เพื่อเรียนรู้ระบบ บริการ และมาตรฐานการจัดการระดับสากล จากนั้นจึงกลับมารับช่วงต่อและพัฒนาเครือโรงแรม UHG อย่างเต็มตัว “ผมไม่ได้ถูกผลักให้ทำโรงแรม แต่ผมเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้เอง” วุฒิพลเคยกล่าวไว้ ในบทสัมภาษณ์ผ่านสื่อก่อนหน้านี้ แม้จะบริหารธุรกิจของครอบครัว แต่เขาเลือกจะเข้ามาสานต่อด้วยความสมัครใจ พร้อมแนวคิดใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวยุคดิจิทัล เขามองว่า โรงแรมไม่ใช่แค่ ‘ที่พัก’ แต่คือ ‘ประสบการณ์’ และ ‘ความรู้สึก’ ที่แขกควรได้รับตั้งแต่เข้ามาจนออกจากที่พัก “ธุรกิจโรงแรมยุคใหม่ต้องตอบสนองมากกว่าที่พัก คือการเข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้คน” ปัจจุบันพอร์ตธุรกิจในเครือ UHG มีอาคารสำนักงานหลากหลายระดับ เช่น UHG Hotels & Resorts (กลุ่มโรงแรมขนาดกลาง-ใหญ่ เน้นบริการคุณภาพ) ภายใต้ชื่อแบรนด์ The Quarter UHG Boutique (ที่พักแนวไลฟ์สไตล์สำหรับนักเดินทางรุ่นใหม่) UHG Residences (ระยะยาว/กลุ่ม Expat และนักธุรกิจ) UHG Offices ภายใต้ชื่อแบรนด์ Hills นอกจากนี้ เขาเขาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี เช่น ระบบ Self Check-in, AI Concierge รวมถึงแนวคิด Sustainability ในการบริหารโรงแรม ตั้งแต่การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จนถึงแนวทางจัดการของเสีย รวมถึงวางแผนขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค และพัฒนาแบรนด์ของกลุ่ม UHG ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ โดยไม่ทิ้งความเป็นไทยและหัวใจของงานบริการที่เน้น “อบอุ่นแบบมืออาชีพ” Alternate-X สรุปให้ ‘วุฒิพล ถาวรธวัช’ ซีอีโอ UHG คว้ารางวัล ‘Thailand Top CEO of the Year 2025’ ประเภท Rising Star ใช้เวลาเพียง 10 ปี สร้างอาณาจักรอสังหาฯโรงแรมและอาคารสำนักงาน มูลค่ากว่า 2หมื่นล้านบาท พร้อมบริหารธุรกิจด้วยแนวคิดใหม่ผสานประสบการณ์ระดับสากล สร้างจุดยืนชัดในตลาดฮอสพิทาลิตี้ เน้นกลยุทธ์ “โรงแรมคือประสบการณ์” เสริมด้วยเทคโนโลยีและแนวคิดยั่งยืน เตรียมขยายแบรนด์ UHG สู่ระดับภูมิภาค พร้อมยกระดับความเป็นมืออาชีพแบบไทยในตลาดโลก
[PR NEWS] โคโคเลิฟ ชวนทุกคนดื่มน้ำมะพร้าว 100%
“โคโคเลิฟ” ตอกย้ำการเป็นแบรนด์เพื่อสุขภาพตัวจริง จัดแคมเปญชวนคนไทยดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100 % เพื่อสุขภาพที่ดี #2 เพื่อตอกย้ำการเป็นแบรนด์น้ำมะพร้าวแท้ 100% เพื่อสุขภาพตัวจริง บริษัท ยูนิคอร์น คอนซูมเมอร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100% แบรนด์ Cocolove (โคโคเลิฟ) ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่สารกันเสีย นำโดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.อัจฉรา จันทร์ฉาย ประธานกิตติมศักดิ์ ร่วมกับ ดร.ณราทิพย์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการบริหาร คุณเบ็ญจรัตน์ พ่อค้า กรรมการบริหาร, คุณอาชวิน โรจนชัยชนินทร กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยทีมผู้บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด (TOPS) นำโดย คุณณิศรา ชัยตันติพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค, คุณพลอยชนก ผลถาวรกุลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อสินค้าขนม และ เครื่องดื่ม และ คุณวิราศินีย์ จันทมาลา ผู้อำนวยการเขต เดินหน้าจัดงาน Love yourself , Drink for your health ชวนคนไทยดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100 % โคโคเลิฟ เพื่อสุขภาพที่ดี #2 แท็คทีมพรีเซ็นเตอร์สาวสวยสุดเฮลท์ตี้ เบลล่า-ราณี แคมเปน พร้อมด้วยนักแสดงหนุ่มฮอต เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ แขกรับเชิญสุดพิเศษ ร่วมมอบความสุขแบบจัดเต็มสำหรับแฟนๆ โคโคเลิฟโดยเฉพาะ โดยมี ดีเจนุ้ย-ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร รับหน้าที่พิธีกร ณ ลาน Mega FoodWalk ชั้น G หน้า TOPS สาขา Megabangna สำหรับงาน Love yourself , Drink for your health ชวนคนไทยดื่มนํามะพร้าวแท้ 100 % โคโคเลิฟ เพื่อสุขภาพที่ดี #2 เป็นกิจกรรมการตลาดที่ต้องการสร้างกระแสผ่าน #hastag #LoveYourSelfDrinkForYourHealth เพื่อรณรงค์ให้คนไทยหันมารักตัวเอง รักในการดูแลตัวเอง และรักสุขภาพตัวเอง เชิญชวนให้คนไทยหันมาดื่มนํ้ามะพร้าวแท้ 100 % “เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง” เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า การดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100 % มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายและดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เช่น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน, เสริมสร้างกระดูกและฟัน, ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ, ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานและปกป้องเซลล์ตับ, ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนสุภาพสตรี, บำรุงผิวพรรณ, สร้างสมดุลระดับน้ำตาล, ส่งเสริมกระบวนการย่อยอาหาร, ช่วยลดอาการปวดเมื่อมีรอบประจำเดือน, เหมาะกับผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ช่วยบำรุงความชื้นให้ร่างกาย, ช่วยลดอาการอักเสบ, เสริมสร้างภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายต้านทานการติดเชื้อ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในขณะที่ร่างกายกำลังฟื้นตัว, ช่วยในการย่อยอาหารอย่างอ่อนโยนและไม่ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักเกินไป และยังดีต่อผู้สูงอายุ ช่วยบำรุงความชื้นให้ร่างกาย, ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร, เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน, ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด, ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ และ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยเมื่อมีภาวะอักเสบ โดยน้ำมะพร้าวแท้ 100% แบรนด์ Cocolove (โคโคเลิฟ) ได้มุ่งมั่นคัดสรรน้ำมะพร้าวจากสวนมะพร้าวที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ได้มะพร้าวน้ำหอมคุณภาพดี โดยการทำพันธสัญญาผูกพัน หรือ Contact Farming กับสวนมะพร้าวในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกมะพร้าวที่ดีที่สุด ภายใต้ขั้นตอนการผลิตแบบ UHT และการบรรจุภัณท์ในระบบสูญญากาศแบบปิด หรือ Aseptic ผลิตโดยโรงงานชั้นนำของประเทศด้านการผลิตน้ำมะพร้าวที่ขึ้นชื่อไปทั่วโลก ด้วยมาตรฐาน GMP, HACCP, HALAL, Hosher เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถดื่มได้อย่างมั่นใจ ไม่เติมน้ำตาล สารเติมแต่ง ไม่เจือสี หรือ วัตถุกันเสียใดๆ ผู้บริโภคจึงได้รับประทานน้ำมะพร้าวที่มีกลิ่นหอม กลมกล่อม อร่อย สดชื่น ปราศจากไขมัน โคเลสเตอรอล และเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและแมกนีเซียม เหมาะสำหรับการดื่มในทุกๆ วัน กิจกรรม Love yourself , Drink for your health ชวนคนไทยดื่มนํามะพร้าวแท้ 100 % โคโคเลิฟ เพื่อสุขภาพที่ดี #2 ในครั้งนี้ ได้เนรมิตลาน Mega FoodWalk ชั้น G หน้า TOPS สาขา Megabangna ให้เป็นอีเว้นท์เพื่อคนรักสุขภาพและยังได้อัพเลเวลความฟินแฮปปี้เพิ่ม 100% ไปกับกิจกรรม Lucky Fan แชะถ่ายรูป Exclusive ใกล้ชิด พรีเซ็นเตอร์สาวโคโคเลิฟ เบลล่า-ราณี แคมเปน และนักแสดงหนุ่มฮอต เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ แขกรับเชิญสุดพิเศษ ที่มาร่วมมอบความสุขแบบจัดเต็มสำหรับแฟนๆ โคโคเลิฟโดยเฉพาะ พร้อมครีเอทเมนูเครื่องดื่มสุขภาพแสนอร่อยจากน้ำมะพร้าวโคโคเลิฟให้ชมกันสดๆ โดยมี ดีเจนุ้ย-ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร รับหน้าที่พิธีกรสร้างเสียงหัวเราะตลาดทั้งงาน คุณอาชวิน โรจนชัยชนินทร กรรมการผู้จัดการ เผยว่า “กิจกรรมวันนี้ผ่านไปด้วยดี มีการตอบรับที่ดีมากจากทุกฝ่ายและผู้บริโภค หลังจากนี้ไปช่วงปลายปีเราจะมีแคมเปญใหญ่ เป็นการตอกย้ำถึงประโยชน์ของน้ำมะพร้าวกับแคมเปญ Love yourself , Drink for your health ที่อยากจะเชิญชวนคนไทยมาดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อสุขภาพกันเยอะๆแล้วยิ่งเราอยู่ในสภาวะหลังจากโควิดมาคนก็เจ็บป่วยกันเยอะ ถือว่าแคมเปญนี้ที่เรามุ่งเน้นเรื่องสุขภาพอย่างแท้จริง ซึ่ง โคโคเลิฟ เราเป็นน้ำมะพร้าวแท้ 100% ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่สารใดๆ รสชาติน้ำมะพร้าวแท้100% มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคครับ” ด้าน คุณเบ็ญจรัตน์ พ่อค้า กรรมการบริหาร กล่าวว่า “ทาง โคโคเลิฟ ขอบคุณคุณเบลล่า ที่ให้เกียรติเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์แบรนด์ของเรามา 3 ปีซ้อน คุณเบลล่าช่วยเพิ่มการรับรู้เข้าถึงผู้บริโภคถึงคุณประโยชน์ในการดื่มน้ำมะพร้าวแท้เพื่อสุขภาพที่ดี ทางเราก็อยากจะให้คุณเบลล่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์โคโคเลิฟต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ” Love yourself , Drink for your health ชวนคนไทยดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100 % โคโคเลิฟ เพื่อสุขภาพที่ดี #2 เป็นกิจกรรมการตลาดที่ต้องการสร้างกระแสผ่าน #LoveYourSelfDrinkForYourHealth เพื่อรณรงค์ให้คนไทยดูแลตัวเอง และรักสุขภาพ ดื่มนํ้ามะพร้าวแท้ 100 % “เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง” พบกับผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100% แบรนด์ Cocolove (โคโคเลิฟ) ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่สารกันเสีย และโปรโมชั่นสุดพิเศษ ได้ที่ TOPS, TOPS DAILY, Big C, Lotus’s, Foodland, Villa Market, Thaifoods Fresh Market, Gourmet Market, Watsons, Max Mart, Jiffy, Lawson 108 ร้านค้าปลีก-ค้าส่งชั้นนำทั่วประเทศ หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ FB/IG/Tiktok : Cocolove_thailand …
แอร์เอเชีย ทำดีลกว่า 4 แสนล. สั่ง A321XLR ลำตัวแคบแต่บินไกล บริการรายแรกในกลุ่มโลว์คอสต์ฯ
แอร์เอเชีย พลิกโฉมเดินทางทั่วโลก ใช้เครื่องบินลำตัวแคบเป็นรายแรกของโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ ลงทุนกว่า 4 แสนล้านบาททำดีลแอร์บัส A321XLR จำนวน 70 ลำ โทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Capital A และที่ปรึกษาและผู้บริหารกลุ่มแอร์เอเชีย กล่าวว่า แอร์เอเชีย เบอร์ฮัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย Capital A Berhad ได้ลงนามในข้อตกลงครั้งสำคัญกับแอร์บัส มูลค่า 12.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็นเงินไทยราว 4.47 แสนล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยน 36 บาทต่อดออลาร์สหรัฐ) สำหรับเครื่องบิน A321XLR จำนวน 50 ลำ พร้อมสิทธิ์ในการซื้อเครื่องบิน A321XLR เพิ่มเติมอีก 20 ลำ พร้อมลงนามข้อตกลงในครั้งนี้ที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา พร้อมด้วย ‘คริสเตียน เชเรอร์ ‘ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแอร์บัส ฝ่ายเครื่องบินพาณิชย์ โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดาโต๊ะ เสรี อันวาร์ อิบราฮิม เป็นสักขีพยาน ซึ่งจากข้อตกลงนี้ ยังทำให้แอร์เอเชีย ก้าวสู่การเป็นสายการบินราคาประหยัดที่ให้บริการแบบเครือข่ายด้วยอากาศยานแบบลำตัวแคบสายแรกของโลก โดยมีกลยุทธ์แบบหลายศูนย์ปฎิบัติการการบิน (Multi-Hub) โดยมีกำหนดส่งมอบตั้งแต่ปี 2571 ถึง 2575 “เราเป็นผู้บุกเบิกการเดินทางราคาประหยัดในเอเชีย และตอนนี้กำลังยกระดับไปอีกขั้น แอร์เอเชียอยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นสายการบินเครือข่ายราคาประหยัดแห่งแรกของโลก” โทนี่ กล่าวพร้อมเสริมว่า “ข้อตกลงครั้งนี้ ยังเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์นอกอาเซียน และทำให้การบินเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน ที่ได้มอบโอกาสให้ผู้คนในอาเซียนได้เดินทางทั่วเอเชีย เราต้องการให้โลกได้เห็นอาเซียน และอาเซียนได้เห็นโลก” ขณะที่ เครื่องบินแบบ A321XLR และ A321LR จะมีส่วนสำคัญทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริงได้ และเป็นความภาคภูมิใจต่อการเป็นผู้นำในการทำให้โลกเล็กลง” “เรารอแทบไม่ไหวที่จะระบายท้องฟ้าด้วยฝูงบินสีแดงให้กว้างไกลขึ้น” โทนี่ กล่าว ด้าน ‘คริสเตียน เชเรอร์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครื่องบินพาณิชย์ของแอร์บัส กล่าวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยืนยันข้อตกลงนี้ ในขณะที่กลุ่มแอร์เอเชียกำลังเริ่มก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง หลังกลับมาสู่เส้นทางการเติบโต ซึ่งเราขอชื่นชมและสนับสนุน สายการบินกำลังเสริมประสิทธิภาพฝูงบินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยุทธศาสตร์นี้จะทำให้สายการบินสามารถขยายเครือข่ายทั่วโลกได้ด้วย เครื่องบิน A321XLR พร้อมเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้แอร์เอเชียสามารถเปิดเที่ยวบินตรงเชื่อมโยงทั้งเมืองหลักและเมืองรองได้ครอบคลุมทั่วโลก” 5 ปีหน้าขนส่งฯสะสม 1.5 พันล.คน สำหรับเครื่องบินแบบ A321XLR รุ่นใหม่นี้จะให้บริการร่วมกับฝูงบินแอร์บัสทั้งหมดของแอร์เอเชียในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินตระกูล A320 และ A330 เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายการบินและการเชื่อมโยงที่ไม่มีใครเทียบได้โดยครอบคลุมทั้งเอเชียและอื่นๆ ในขณะที่ยังคงรักษารูปแบบราคาประหยัดผ่านการให้บริการในเส้นทางที่พร้อมด้วยด้วยศักยภาพและโอกาส การบูรณาการจัดการฝูงบินให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ตลอดจนเสริมประสิทธิภาพฝูงบิน โดยกลุ่มแอร์เอเชียตั้งเป้าหมายที่จะขนส่งผู้โดยสาร 150 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 โดยจะมียอดรวมสะสม 1.5 พันล้านคนนับตั้งแต่ก่อตั้ง นอกจากนี้ ฝูงบินใหม่ดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญในการเติบโต ด้วยกลยุทธ์เครื่องบินหลากหลายประเภทของแอร์เอเชีย ดังนี้ ช่วยให้สายการบินสามารถเลือกปริมาณที่นั่งให้สอดคล้องความต้องการ ลดการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง สนับสนุนรูปแบบการเติบโตที่ยั่งยืนและคุ้มค่าในสภาพแวดล้อมการแข่งขันระดับโลก โดยเครื่องบิน A321XLR ยังประหยัดเชื้อเพลิงได้สูงสุดถึง 20% ต่อที่นั่ง เมื่อเทียบกับเครื่องบินแอร์บัส A321neo ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการปล่อยมลพิษและประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างมาก Alternate-X สรุปให้ แอร์เอเชียลงทุนกว่า 4.47 แสนล้านบาท สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส A321XLR จำนวน 70 ลำ ก้าวสู่สายการบินโลว์คอสต์รายแรกของโลกที่ใช้เครื่องลำตัวแคบบินไกล เปิดเส้นทางทั่วโลก เดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่สายการบินเครือข่ายราคาประหยัด ด้วยกลยุทธ์ Multi-Hub ด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่นี้ประหยัดเชื้อเพลิง 20% ต่อที่นั่ง และช่วยลดการปล่อยมลพิษ ตั้งเป้าขนส่งผู้โดยสารสะสม 1.5 พันล้านคนภายในปี 2573 ขยายบทบาทระดับโลก
‘จ่ายทีเดียว กินได้ 5 ‘ซิซซ์เล่อร์’ จัดให้เมนูสลัดบาร์ กลยุทธ์เพิ่มความถี่ดันยอดโต 3 เท่าตัว
ซิซซ์เล่อร์ ใช้กลยุทธ์ราคา ซับสคริปชั่น โมเดล ‘สลัดบาร์’ ประหยัดกว่าจ่ายรายครั้ง แม่เหล็กเพิ่มความถี่ดึงลูกค้าเข้าร้านได้ 3 เท่าตัว ตอบโจทย์เทรนด์รักตัวเองให้มากต้องดูแลสุขภาพ ‘อนิรุทร์ เดวิด คอลลินส์’ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็มเอฟ คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรองต์ จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านสเต๊กซิซซ์เล่อร์ (Sizzler) เปิดเผยว่า เทรนด์ใหญ่ผู้บริโภคให้ความสำคัญด้านความเป็นอยู่เพื่อสุขภาพ (Healthy living) ทั้งการออกกำลังกาย รวมถึงการรับประทานอาหาร มีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งนี้ ซิซซ์เล่อร์ ได้นำเทรนด์ดังกล่าวมามาปรับใช้ร่วมการทำตลาดเมนู ‘สลัดบาร์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของร้านเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดสุขภาพมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกระแสดังกล่าวในกลุ่มผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ยังได้ปรับปรุง (revamp) สลัดบาร์ พร้อมเพิ่มวัตถุดิบเน้นซูเปอร์ฟู้ด อาทิ บัควีท ควินัว ผักเคล โดยนำมาพัฒนาในคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น ไตรมาส 1 เป็นช่วงหลังกลับจากเที่ยวปีใหม่ จะเน้นวัตถุดิบเสริมภูมิคุ้มกัน (Immunity) ส่วนไตรมาส 2 ช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาล จะมุ่งการบำรุงร่างกาย ด้วยวัตถุดิบ Energy Booster เป็นต้น โดยให้บริการควบคู่กับเมนูสลัดบาร์แบบดี.ไอ.วาย (D.I.Y.) เพื่อให้ลูกค้าเลือกจับคู่เมนูสลัดได้ด้วยตัวเอง พร้อมลดเมนูสลัดมิกซ์ (Mixed Salad) ซึ่งมาจากการรับฟังการตอบรับ(Feedback)ผู้บริโภค ที่มีความต้องการหลากหลายมากขึ้น อนิรุทร์ กล่าวว่า ซิซซ์เล่อร์ ยังนำร่องให้บริการภายใต้โมเดลซับสคริปชั่นในเมนูสลัด (Salad subscription) ระบบสมัครสมาชิกสำหรับทานสลัด 5 ครั้ง ในราคา 700 บาท ให้ความประหยัด 30% เทียบกับการกินสลัดบาร์แบบรายครั้ง มีราคาอยู่ที่ 199 บาท/ครั้ง และจากการทำตลาดเชิงรุกเมนูสลัดบาร์ ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 พบว่ามีฐานสมาชิกซิซซ์เล่อร์ ขยายตัว 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน “หลังทำระบบสลัดซับสคริปชั่น สามารถเพิ่มความถี่การมารับประทานซิซซ์เล่อร์ได้มากกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว และกลับมาซื้อโปรแกรมซ้ำในปริมาณเยอะกว่าเดิมด้วย” อนิรุทร์ กล่าวพร้อมเสริมว่า นอกจากนี้ ซิซซ์เล่อร์ ยังอยู่ระหว่างศึกษาการนำระบบซับสคริปชั่นใช้ร่วมกับ เมนูอื่น ๆ เช่น เมนูอาหารกลางวัน เพื่อเข้าถึงกลุ่มพนักงานออฟฟิศในฐานะแบรนด์สเต๊กระดับพรีเมียม ราคาเข้าถึงง่าย (Affortdable) อนิรุทร์ กล่าวว่า “สัดส่วนยอดขายหลักกว่า 50% ของซิซซ์เล่อร์ มาจากเมนู ‘สเต๊ก’ แต่ผู้เข้ามารับประทานอาหารในร้าน 100% จะรับประทานสลัดบาร์ด้วยแน่นอน” พร้อมเสริมว่า “สลัดบาร์ซิซซ์เล่อร์ เป็นตำนานมา 30 ปี ไม่มีใครล้มได้ ส่วนคู่แข่งในตลาดสเต๊กก็ไม่สามารถทำสลัดอย่างเราได้ หรือถ้ามีอาจต้องเสียเงินจ่ายเพิ่ม“ ปัจจุบันซิซซ์เล่อร์ มีสาขารวม 64 สาขา และมีแผนเปิดเพิ่ม 1 สาขาในปีนี้ ส่วนตลาดต่างประเทศ มีสาขาในญี่ปุ่น 10 แห่ง และเวียดนาม 1 แห่ง พร้อมวางแผนขยายตลาดประเทศใหม่ ๆ 1 แห่ง ภายในปี 2568 โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ซิซซ์เล่อร์ มีค้าเข้ามาใช้บริการราว 9.6 ล้านคน เติบโต 24% (yoy) มีฐานสมาชิก (Member) ราว 9.9 แสนราย คาดในกลางเดือน ก.ค. นี้ จะทะลุ 1 ล้านราย Alternate-X สรุปให้ ซิซซ์เล่อร์เปิดโมเดล ‘Salad Subscription’ สมัครสมาชิกสลัดบาร์ 5 ครั้ง ราคา 700 บาท ประหยัดกว่าจ่ายรายครั้งถึง 30% กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มความถี่ในการเข้าร้านถึง 3 เท่า ตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพที่มาแรง พร้อมปรับสลัดบาร์ใหม่ เพิ่มวัตถุดิบซูเปอร์ฟู้ด และเปิดให้ลูกค้า D.I.Y. เมนูตามชอบ ฐานสมาชิกเติบโต 46% ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 ซิซซ์เล่อร์วางแผนขยายโมเดลซับสคริปชันไปยังเมนูอื่น เช่น มื้อกลางวัน เจาะกลุ่มพนักงานออฟฟิศ
‘โอโยชิ อีทโตะ’ แบรนด์ส่งอออกเชิงกลยุทธ์โออิชิ เจาะ 3 เทรนด์อาหารโลกมาแรง
โออิชิ ส่ง 2 สินค้าใหม่อาหารไทยฟิวชั่นญี่ปุ่นแบรนด์ ‘โอโยชิ อีทโตะ’ โฟกัสส่งออกตลาดอาเซียน-ยุโรป รับการแข่งขันตลาดอาหารโลกยุคใหม่ ไม่ได้วัดแค่รสชาติเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจบริบทผู้บริโภค ด้วย ศสัย ตังเดชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารในเครือโออิชิ กล่าวว่าบริษัทฯ มุ่งทำตลาดส่งออกอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทานแบรนด์ ‘โอโยชิ อีทโตะ’ (OYOSHI EATO) เชิงรุกในต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งแสวงหาประสบการณ์รสชาติใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น แตกต่าง และมีเรื่องราว ในยุคที่อาหารไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของรสชาติ แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ และตัวตนของผู้บริโภคทั่วโลก “การส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปฯ ของโออิชิ ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการกระจายสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศเท่านั้น แต่คือการส่งต่อเรื่องราวและวัฒนธรรมอาหารไทยในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย โดยผ่านมุมมองของอาหารญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่นิยมในระดับโลก” ศสัย กล่าวพร้อมเสริมว่า “จากการผสมผสานเอกลักษณ์ของสองวัฒนธรรมนี้ จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ไทยในระดับสากลได้อย่างยั่งยืน” ล่าสุด โออิชิ ได้เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ ‘โอโยชิ อีทโตะ’ คือ โอโยชิ อีทโตะ เกี๊ยวซ่า ‘สยาม เอสเซนส์’ (OYOSHI EATO GYOZA Siam Essence) นวัตกรรมเกี๊ยวซ่าสไตล์ญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดเสน่ห์รสชาติไทย ผ่าน 5 ไส้เมนูยอดนิยม ได้แก่ แกงแดง แกงเขียวหวาน ต้มยำกุ้ง ต้มข่าไก่ และไก่สะเต๊ะ เพื่อตอบโจทย์กลุ่ม ‘Adventurous Foodies’ ที่มองหาประสบการณ์ใหม่จากวัตถุดิบและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ โอโยชิ อีทโตะ “มินิ พัฟเฟลตส์” (OYOSHI EATO Mini Pufflets) ขนมแป้งทอดกรอบไส้หวาน ขนาดพอดีคำ มาพร้อม 4 รสชาติ ได้แก่ ช็อกโกบานาน่า แอปเปิ้ล สับปะรด และเผือกมะพร้าว เพื่อเจาะกลุ่ม ‘Premium Snacking’ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดยุโรป โดยเน้นความสะดวก อร่อย และคุณภาพสูงในทุกมื้อว่าง โดยทั้งสองผลิตภัณฑ์ใหม่ ยังสะท้อนแนวคิดการออกแบบสินค้าให้มีความแตกต่าง มีนวัตกรรมในรสชาติ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคสากล และ สอดคล้องกับเทรนด์การบริโภคสำคัญ ได้แก่ Convenience-Driven (ผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกในการบริโภค) Health-Conscious (ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและโภชนาการ) Experience-Seeking (ผู้ที่แสวงหาประสบการณ์รสชาติใหม่จากทั่วโลก) ได้อย่างครอบคลุม ศสัย กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าว ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์โออิชิ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าสำหรับส่งออกที่มีความพร้อมทั้งด้านมาตรฐานการผลิตระดับสากล เช่น GMP, HACCP, และ BRC ควบคู่การวิจัยเชิงพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดเป้าหมาย ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถปรับแต่งรสชาติ บรรจุภัณฑ์ และช่องทางจัดจำหน่ายได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนและยุโรป ซึ่ง โออิชิ ได้เริ่มวางรากฐานและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ และสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงเตรียมขยายสู่ตลาดใหม่ในลำดับถัดไป “การแข่งขันในตลาดอาหารโลกยุคใหม่ ไม่ได้วัดกันแค่รสชาติเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงความเข้าใจในบริบทของผู้บริโภค และความสามารถในการนำเสนอสินค้าให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ผู้บริโภคอยากจดจำ ซึ่งทั้งหมดนี้คือแนวทางที่เรากำลังขับเคลื่อน เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับแบรนด์ไทยในเวทีโลก” ศสัยฯ กล่าวปิดท้าย Alternate-X สรุปให้ โออิชิ ส่ง 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่แบรนด์ ‘โอโยชิ อีทโตะ’ ได้แก่ เกี๊ยวซ่า ‘สยาม เอสเซนส์’ และขนมมินิ ‘พัฟเฟลตส์’ นำรสชาติไทย-ญี่ปุ่น เจาะตลาดอาเซียนและยุโรป ชูจุดขายเรื่องนวัตกรรมรสชาติ สะท้อนวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ตอบโจทย์ 3 เทรนด์ผู้บริโภค: สะดวก สุขภาพ และประสบการณ์ ใช้กลยุทธ์ส่งออกแบบเข้าใจบริบทท้องถิ่น พร้อมมาตรฐานการผลิตระดับสากล เดินหน้าผลักดันแบรนด์ไทยขึ้นแท่นผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารในตลาดโลก
‘ออม-สุชาร์’ นักแสดงสาว รับบทใหม่ในวงการบิวตี้ ส่งแบรนด์ ‘Fleen Beauty’ เจาะสวยคลีน
รู้จัก ‘Fleen Beauty’ กับที่มาแนวคิดของ ‘ออม-สุชาร์’ นักแสดงสาวที่ผันตัวมาเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ ‘Fleen Beauty’ ผลิตภัณฑ์ความงามวีแกน ที่มองเห็นโอกาสในตลาดเครื่องสำอางเจาะคนรุ่นใหม่ พาไปไกลในระดับโลก ตลาดความสวยความงาม โดยเฉพาะเซกเมนต์เครื่องสำอางยังเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยแนวโน้มในปี 2568 -2569 ตลาดเครื่องสำอางอาจขยายตัวราว 12-13% ด้วยอัตราการเติบโตนี้ ถือเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 เพราะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ มีการแข่งขันสูง รวมถึงจำนวนคู่แข่งหน้าใหม่ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และหนึ่งในนั้น มี ‘Fleen Beauty’ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามที่กำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้งานจริง อยากแก้เพนพอยต์ สำหรับแบรนด์ ‘Fleen Beauty’ ดำเนินการภายใต้บริษัท อินโนฟีน่า จำกัด ซึ่งก่อตั้งและบริหารงานโดย ‘ออม-สุชาร์ มานะยิ่ง’ นักแสดงชื่อดังที่คลุกคลีในวงการบันเทิงมานาน 19 ปี ที่ขอพลิกบทบาทใหม่พร้อมสวมหมวกผู้บริหารธุรกิจเครื่องสำอางแบรนด์ดังกล่าว ออม-สุชาร์ เล่าจุดเริ่มต้นธุรกิจเกิดจาก ‘แพสชั่น’ ที่มีต่อเครื่องสำอาง พร้อมต่อยอดกับ ‘เพนพอยต์’ (Painpoint) ของตัวเธอเองที่เป็นสาวผิวแห้งและอยากได้เครื่องสำอางมาช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น และเหมาะกับสภาพผิวของตนเอง “ด้วยความเป็นคนรักสวยรักงาม และหากมีโอกาสไปต่างประเทศจะแวะซื้อเครื่องสำอางกลับมาด้วยเสมอ แม้กระทั่งการแต่งหน้าในกองถ่ายละคร ก็มักเข้าไปมีส่วนออกแบบลุคของตัวเองด้วย” ออม เล่าพร้อมเสริมรายละเอียดต่อ “ปัญหาที่พบเจอระหว่างแต่งหน้าอยู่บ่อยครั้งในฐานะผู้ใช้งานจริง คือยังไม่สามารถหาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิว-สีผิว เนื่องจากเป็นคนผิวแห้งมากโดยเฉพาะบริเวณใต้ตา ด้วยนอกจากสีที่ถูกต้อง และเข้ากับผิวคนเอเชียขณะเดียวกันยังต้องให้ความชุ่มชื้นที่พอเหมาะ” จากมุมมองของผู้ใช้งานจริงนี่เอง ที่เป็นแรงผลักให้ ‘ออม-สุชาร์’ ขยับสู่สถานะของผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง ‘Fleen Beauty’ ในเวลาต่อมา พอร์ตความงาม Fleen Beauty ปัจจุบัน ‘Fleen Beauty’ มีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ Fleen Beauty Energize Tone Up Serum ราคา 1,190 บาท Fleen Beauty Youth Up Aqua Covering Pact Cushion SPF50 PA+++ ราคา 1,190 บาท Fleen Beauty Soft Velvet Fluffy Cheek ราคา 690 บาท ล่าสุด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่รายการที่ 4 คือ Fleen Beauty Skin Caring Corrector ราคา 720 บาท และรายการ 5 Fleen Beauty Hya Plumping Concealer ราคา 720 บาท แบรนด์เครื่องสำอางเฟรนด์ลี ‘สุชาร์’ บอกว่า บริษัทฯ จดทะเบียนราวเดือนพฤษภาคม 2566 พร้อมทำตลาดในช่วงที่ผ่านมาแบรนด์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยตำแหน่งทางการตลาด ‘Fleen Beauty’ วางไว้ภายใต้คอนเซปต์ แบรนด์เครื่องสำอางที่เฟรนด์ลี่ เป็นมิตรกับผู้หญิงทุกคน ทุกวัย เข้าถึงง่าย โดย Fleen มีที่มาจากคำว่า ‘Feel’ และ ‘Clean’ โดยผลิตภัณฑ์จึงเหมาะสำหรับคนผิวแพ้ง่าย ไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพหรือแต่งหน้าเก่งก็ใช้งานได้ ด้วยไม่ต้องมีขั้นตอนเยอะ ขณะที่ จุดเด่นของ Fleen Beauty คือ เครื่องสำอางเมคอัพกึ่งสกินแคร์ ซึ่งเป็นเทรนด์ ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์การแต่งหน้าของผู้หญิงที่ต้องใช้ชีวิตนอกบ้านเฉลี่ยนาน 12-14 ชั่วโมงไปพร้อมดับเครื่องสำอางที่อยู่บนใบหน้าเรา จากความเข้าใจเชิงลึกดังกล่าวนี่เอง ที่เป็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มาพร้อมการบำรุงไปในตัวได้พร้อมกัน ซึ่ง ‘Fleen Beauty’ ได้ออกมาตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ดังกล่าวในปัจจุบัน พร้อมนำคอนเซปต์นี้เข้าไปในสินค้าทั้ง5 ผลิตภัณฑ์ เหมาะกับผู้มีผิวแพ้ง่าย รวมไปถึงคุณแม่ให้นมบุตร ที่สำคัญยังเป็นวีแกนด้วย เพื่อตอกย้ำความเฟรนด์ลีกับทุกคน ในส่วนช่องทางขาย Fleen Beauty วางตลาดทั้งออฟไลน์ในร้านค้าปลีกพิเศษความงาม EVEANDBOY Shop 19 สาขาทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ TikTok Shop: Fleen Beauty ขยายกลุ่มนิว เจนฯ สุชาร์ บอกว่าการทำตลาดสินค้า Fleen Beauty ในช่วงที่ผ่านมา ได้การตอบรับดีมีการกลับมาซื้อซ้ำมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ ‘Fleen Beauty Energize Tone Up Serum’ ซึ่งขายไปแล้วมากถึง 100,000 ชิ้น และ ‘Fleen Beauty Skin Caring Corrector’ ขายได้มากกว่า 50,000 ชิ้น, Youth Up Aqua Covering Pact กว่า 40,000 ชิ้น ,Soft Velvet Fluffy Cheek 40,000 ชิ้น และ Hya Plumping Concealer ราว 20,000 ชิ้น จากความสำเร็จเบืองต้น ทำให้ปีนี้ ‘Fleen Beauty’ จะมุ่งทำตลาดเชิงรุก พร้อมทำคอนเทนต์เชิงสร้างสรรค์ รวมถึงการสร้าง ‘Community Building’ กลุ่มผู้ใช้งานจริงของ ‘Fleen Beauty’ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการใช้สินค้า “ในช่วงเริ่มต้นแบรนด์มีกลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่เป็นฐานแฟนคลับของ ‘สุชาร์’ แต่หลังจากนี้จะเริ่มทำการตลาดด้วยการเจาะกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Alpha รวมถึงการออกสินค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่ใช้เวลาในการพัฒนาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งหลังจากนี้แบรนด์วางแผนขยายไลน์อัปสินค้า เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้ได้ครบถ้วน” สุชาร์ ย้ำ พร้อมเสริมว่า เนื่องจากแบรนด์เกิดและเติบโตจากการสื่อสารบนโลกออนไลน์ ปีนี้จะยังคงมุ่งเน้นทำ Digital Marketing ต่อไป ขณะเดียวกันก็ควบคู่ไปกับการตลาดผ่านช่องทางออฟไลน์ด้วย สุชาร์ กล่าวต่อถึงแนวทางการทำตลาด Fleen Beauty ในอนาคต วางเป้าหมายขยายสู่ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) และในอีก 5 ปีข้างหน้า อยากเห็น ‘Fleen Beauty’ ก้าวสู่แบรนด์ระดับโลก ในฐานะแบรนด์ของคนไทยที่ต่างชาติเลือกหยิบซื้อกลับไปประเทศบ้านเกิดเมื่อได้มีโอกาสมาเยือนเมืองไทย “เรามีมุมมองเล็กๆ อยากสร้างแบรนด์ของคนไทย แล้วให้ต่างชาติที่มาเที่ยวไทยเลือกหยิบซื้อกลับไป อย่างเวลาเราไปเกาหลีหรือญี่ปุ่น เราจะรู้สึกอยากซื้ออันนั้นอันนี้กลับมาเต็มไปหมด อาจจะด้วยประสบการณ์การทำงานของเราที่ได้มีโอกาสไปหลายประเทศ เห็นการแต่งหน้าหลายสไตล์ รวมถึงคนที่ติดตามเราก็มีชาวต่างชาติอยู่บ้าง จุดนี้น่าจะช่วยให้เขามองเห็นแบรนด์เราได้ด้วย” สุชาร์ กล่าวปิดท้าย Alternate-X สรุปให้ ‘Fleen Beauty’ แบรนด์เครื่องสำอางวีแกนโดยนักแสดงสาว ‘ออม-สุชาร์’ เจาะตลาดเมคอัพผสานสกินแคร์ ตอบโจทย์ผู้หญิงผิวแพ้ง่ายทุกวัย ด้วยแรงบันดาลใจจากเพนพอยต์ส่วนตัว สู่ผลิตภัณฑ์ที่เน้นความชุ่มชื้น สีผิวเหมาะกับคนเอเชีย และใช้งานง่าย ย้ำความเฟรนด์ลี่ พร้อมสร้างคอมมูนิตี้ผู้ใช้จริง รุกเจาะกลุ่ม Gen Z ด้วยยอดขายเซรั่มพุ่งกว่า 1 แสนชิ้น ย้ำคุณภาพและการซื้อซ้ำ ตั้งเป้า 5 ปี ขยายตลาดสู่ SEA และก้าวสู่แบรนด์ระดับโลกของคนไทย
ตลาดลักซูรีเบ่งบาน เมื่อพฤติกรรมนักเดินทางเปลี่ยน’ไทย’ติดลิสต์ปลายทางหรูเอเชีย
The Luxury Group by Marriott International เปิดรายงาน ‘The Intentional Traveler’ เผยพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงใน 7 ตลาดทั่วเอเชียแปซิฟิก โอริออล มอนทัล รองประธานฝ่ายลักชัวรี่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า จากผลการศึกษาล่าสุดโดย ลักชัวรี กรุ๊ป โดย แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล (The Luxury Group by Marriott International) เผยข้อมูลกลุ่มนักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูง (HNW) ในภูมิภาคนี้กำลังปรับมุมมองที่มีต่อวิธีการเดินทาง สถานที่ และเหตุผลในการเดินทางใหม่ โดยให้ความสำคัญกับสุขภาวะ ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ คุณค่าทางอารมณ์ความรู้สึก และการออกแบบที่มีเป้าหมาย มากกว่าเรื่องปริมาณหรือความหรูหราเกินจำเป็น รายงานฉบับใหม่นี้ ได้สำรวจความคิดเห็นของนักเดินทางผู้มีฐานะมั่งคั่งจำนวน 1,750 คนจาก 7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ประเทศไทย โดยเผยให้เห็นมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวแบบลักซูรี ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง การวางแผนการเดินทางอย่างแม่นยำมากขึ้น และความคาดหวังที่สูงขึ้นจากทั้งแบรนด์และประสบการณ์ที่ได้รับ “นักเดินทางสายลักซูรีในปัจจุบันมีความตั้งใจและจุดมุ่งหมายชัดเจนมากกว่าที่เคย” โอริออล กล่าวพร้อมเสริมว่า “พวกเขาแสวงหาการเดินทางที่สอดคล้องกับค่านิยมของตนเอง ส่งเสริมสุขภาวะ และตอบโจทย์นิยามการใช้ชีวิตของตนแบบลึกซึ้ง” จากแนวโน้มดังกล่าว แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล มองเห็นโอกาสสำคัญในการปรับโฉมบริการระดับลักซูรี ไปสู่สิ่งที่ทรงพลังและพิถีพิถันมากขึ้นไปอีก เพื่อเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกนักเดินทางกลุ่มนี้ให้ได้มากยิ่งขึ้น ขณะที่ การสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวมเป็นหัวใจหลักของการเดินทางสุขภาวะ (Wellbeing) ได้กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยวแบบลักชัวรี โดยในปี 2568 นักเดินทางถึง 90% ระบุว่า “ประสบการณ์ด้านการดูแลส่งเสริมสุขภาพ” เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจจองที่พัก เพิ่มขึ้นจาก 80% ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวสายลักซูรี กำลังเปิดรับประสบการณ์ด้านสุขภาวะแบบองค์รวมที่มากกว่าโปรแกรมสปาแบบดั้งเดิม ตั้งแต่การบำบัดด้วยธรรมชาติ (forest immersion) โปรแกรมโภชนาการ การบำบัดด้วยเสียง (sound healing) ไปจนถึงโปรแกรมที่ช่วยเรื่องการนอนหลับ (sleep therapy) ขณะที่ เอเชียยังคงเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งสำหรับการเดินทางเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ (wellness journey) 67% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกเดินทางมายังเอเชีย และในจำนวนนี้มีถึง 26% มีแผนจะเดินทางเพื่อเข้าร่วมโปรแกรมดูแลสุขภาพหรือสปารีทรีตโดยเฉพาะ ใช้จ่ายมากขึ้น คาดหวังมากขึ้น นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสายลักชัวรีในปัจจุบันวางแผนการเดินทางด้วยความมั่นใจและความพิถีพิถัน โดย 72% มีแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ในปีต่อไป แนวโน้มการเติบโตนี้นำโดยนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลีย (85%) อินโดนีเซีย (81%) และสิงคโปร์ (80%) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างชัดเจนในการลงทุนเพื่อประสบการณ์ที่เหนือระดับ ในบรรดาประเภทการเดินทางทั้งหมด สำหรับการเดินทางเป็นครอบครัวโดดเด่นที่สุดในแง่ของความเต็มใจที่จะใช้จ่าย โดย 47% ของนักเดินทางผู้มีกำลังซื้อสูงยินดีที่จะทุ่มงบประมาณมากที่สุดเมื่อต้องเดินทางร่วมกับสมาชิกในครอบครัว แบรนด์หรูมั่นใจกว่าที่พักอิสระ นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นในแบรนด์เพิ่มสูงขึ้น โดยแบรนด์โรงแรมหรูที่เป็นที่รู้จักได้รับความนิยมมากกว่าวิลล่าหรือที่พักอิสระ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในแง่ของมาตรฐานที่ไว้วางใจได้ ประสบการณ์ที่ได้รับการคัดสรร ขณะที่ 93% ของนักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูงในภูมิภาคนี้ระบุว่าพวกเขาชื่นชอบการกลับไปยังจุดหมายปลายทางที่เคยประทับใจมาแล้ว ขณะที่ 89% กล่าวว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะกลับไปยังสถานที่ที่มีความผูกพันทางใจมากเป็นพิเศษ โดย การเดินทางเหล่านี้ไม่ใช่แค่ “การกลับไปซ้ำ” แต่เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมาย นั่นคือ เพื่อสัมผัสจุดหมายปลายทางในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่น หรือย้อนรำลึกช่วงเวลาพิเศษร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง 3 ตลาดเกิดใหม่มาแรง ในขณะเดียวกัน แม้ว่านักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูงจำนวนมากยังคงนิยมจุดหมายปลายทางที่คุ้นเคย แต่ตลาดใหม่ที่เดินทางสะดวกในระดับภูมิภาคก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บังกลาเทศ (26%) นิวซีแลนด์ (24%) กัมพูชา (23%) ทั้งสามประเทศนี้ กำลังกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในปี 2568 โดยขยับขึ้นมาติดใน 10 อันดับจุดหมายปลายทางที่มีการวางแผนเดินทางมากที่สุด ควบคู่ไปกับจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และจีนแผ่นดินใหญ่ เดินทางที่มีจุดมุ่งหมายขยายตัว นอกจากนี้ นักเดินทางสายลักซูรี ในปัจจุบันจองทริปน้อยลงแต่เน้นความลึกซึ้งและความรอบคอบมากขึ้น โดยระยะเวลาพักผ่อนเฉลี่ยสำหรับทริปสั้นเพิ่มขึ้นจาก 3 คืนเป็น 4 คืน และแผนการเดินทางถูกวางไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยมักวางแผนล่วงหน้าหลายเดือน สำหรับทริปที่ยาวนานขึ้น มักจองล่วงหน้า 2-3 เดือน ขณะที่ทริปสั้นจองล่วงหน้า 1-2 เดือน นักเดินทางถึง 93% คาดหวังประสบการณ์เดินทางที่ปรับแต่งให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะบุคคล และ 62% วางแผนรายละเอียดทุกขั้นตอนล่วงหน้า ขณะที่ การได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติกลายเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง แม้ว่าการลิ้มรสอาหารจะยังคงเป็นแรงจูงใจอันดับต้น ๆ ของการเดินทาง แต่ประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติกำลังกลายเป็นเสาหลักใหม่ของการท่องเที่ยวแบบลักซูรี ทั้งนี้ การพักผ่อนในชนบท กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น 28% ของนักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูงวางแผนจะไปพักผ่อนในพื้นที่ชนบท เพิ่มขึ้นจาก 19% ในปีที่ผ่านมา 30% กำลังจองทริปซาฟารีดูสัตว์ป่า 92% ระบุว่าการได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเป็นปัจจัยสำคัญในการเดินทาง โดยสะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวแนวเอาท์ดอร์แบบใกล้ชิดและมีส่วนร่วมแบบแท้จริง นอกจากนี้ นักเดินทางกลุ่มนี้ยังเป็นนักวางแผนตัวยง โดยส่วนใหญ่จองทริปยาวล่วงหน้า 2 ถึง 6 เดือน และบางส่วนจองล่วงหน้านานถึง 9 ถึง 12 เดือน แล้วเราจะไปกับใครบ้าง? ขณะที่ นักท่องเที่ยวผู้มีความมั่งคั่งสูงกำลังมอบนิยามใหม่ให้กับการเดินทางเป็นกลุ่ม จะเห็นได้จากรูปแบบใหม่ๆ ที่ก่อตัวขึ้นมา พ่อแม่ผู้เปิดเส้นทางแห่งการเรียนรู้ (Guardian Trailsetters) จากเดิมที่เป็นกลุ่มเฉพาะ การท่องเที่ยวของผู้ปกครองที่เดินทางกับลูกเพียงลำพังมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 24% ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี เมื่อเดินทางในฐานะผู้ปกครองเดี่ยว กลุ่มนี้มักเลือกแผนการท่องเที่ยวที่เน้นประสบการณ์ที่เติมเต็มและมีคุณค่าให้กับลูก ๆ เช่น กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนา (41%) ทริปเพื่อการเรียนรู้ (38%) ตามด้วยซาฟารีหรือกิจกรรมผจญภัยสุดขั้ว (35% เท่ากันทั้งสองประเภท) นักสำรวจผู้มีเป้าหมาย (Impact Explorers) นักเดินทาง Gen Z กำลังมุ่งความสนใจไปยังจุดหมายปลายทางอย่างออสเตรเลีย ศรีลังกา และไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความชื่นชอบในธรรมชาติ วัฒนธรรม และการผจญภัย แตกต่างจากภาพจำของนักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนทั่วไป คนรุ่นนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยการได้รับประสบการณ์จริงและมีจุดมุ่งหมาย 47% ให้ความสำคัญกับการใกล้ชิดธรรมชาติ 45% ต้องการได้เจอสัตว์ป่าอย่างใกล้ชิด 43% สนใจวันหยุดที่ได้ใช้เวลาไปกับการเล่นกีฬา 31% กำลังวางแผนเดินทางคนเดียว เพราะเป็นทางเลือกที่ให้อิสระเป็นตัวของตัวเองและเอื้อให้เกิดการค้นพบตัวเอง อย่างไรก็ตาม การเดินทางเป็นกลุ่มเล็กที่มีสมาชิกไม่เกินห้าคนยังคงเป็นรูปแบบที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุดในการสำรวจโลก นักเดินทางผู้แสวงหาโอกาสทางธุรกิจ (Venture Travelist) กลุ่ม Venture Travelist ซึ่งได้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในรายงาน New Luxe Landscapes ปี 2567 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 โดยปัจจุบัน 86% ของนักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูงระบุว่าพวกเขามักมองหาโอกาสทางธุรกิจหรือการลงทุนระหว่างการเดินทาง เพิ่มขึ้นจาก 69% ในปีที่ผ่านมา ‘Bleisure’ เติบโตในไทย สำหรับประเทศไทย นักเดินทางชาวไทยมีแผนจะเดินทางเพื่อพักผ่อนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค (5 ทริปในประเทศ และ 3 ทริปต่างประเทศ เทียบกับค่าเฉลี่ย 6 ทริปในประเทศ และ 4 ทริปต่างประเทศ) ขณะที่การเดินทางประเภท “bleisure” (การเดินทางที่ผสมผสานระหว่างการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อน) กำลังได้รับความนิยมอย่างในประเทศไทย 90% เป็นการเดินทางต่างประเทศ 95% เป็นการเดินทางภายในประเทศ ทั้งนี้การเดินทางแบบครอบครัวใหญ่ในประเทศไทยขยายตัวต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วน 40% ซึ่งมากกว่าตลาดเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ โดยรูปแบบวันหยุดที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและบันเทิง 36% การพักผ่อนในชนบท 32% การลาพักระยะยาว (sabbatical) 32% รวมไปถึงรูปแบบที่โดดเด่นอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาค เช่น การท่องเที่ยวในเมืองระยะสั้นและการพักผ่อนวันหยุดริมชายหาด ปลายทางนอกกระแสมาแรง แม้การท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง จุดหมายปลายทางต่างประเทศที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง, จีน โดยบังกลาเทศและบรูไนกำลังขึ้นสู่ท็อป 5 ของจุดหมายปลายทางในแผนการเดินทางในปีหน้า โดยสะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นใน ‘สถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนไปหรือไม่ได้อยู่ในเส้นทางท่องเที่ยวหลัก’ (off-the-beaten-path) ยังคงติดอันดับจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากนักท่องเที่ยวชาวไทยผู้มีความมั่งคั่งสูง ขณะที่ นักท่องเที่ยวชาวไทยสายลักซูรี คาดหวังประสบการณ์ที่ได้รับการออกแบบเฉพาะ 97% ต้องการให้ทุกรายละเอียดของทริปถูกปรับให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของตนเอง 60% ชื่นชอบโรงแรมลักชัวรีขนาดใหญ่มากกว่า 41% สนุกกับการวางแผนทริปด้วยตนเอง และต่างคาดหวังประสบการณ์ที่ออกแบบมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ การรับประทานอาหารถือเป็นความสำคัญอันดับต้น 60% มองว่าไฟน์ไดนิ่งคือคืนในอุดมคติ 39% ยินดีจ่ายให้กับร้านอาหารระดับมิชลิน รีวิวดี ๆ 57% รางวัลและประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟ (อย่างละ 51%) คือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากที่สุด สุขภาพควบคู่ความยั่งยืน สิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ของนักท่องเที่ยวชาวไทย คือ สุขภาพและความยั่งยืน 98% คาดหวังจะได้สัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารที่หลากหลาย 97% สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพแบบครบวงจร 97% แนวทางการดำเนินงานที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในโรงแรมระดับลักชักรี 96% สระว่ายน้ำและโปรแกรมช่วยให้นอนหลับสบาย ซึ่งถือเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีคุณค่ามากที่สุด 62% มีแนวโน้มจะจองบริการสปาในทริปของตน อ่าน รายงานฉบับเต็ม สำหรับผลสรุปข้างต้นมาจากรายงานการวิจัยโดย ลักชัวรี กรุ๊ปโดย แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล จัดทำระหว่างวันที่ 14 มีนาคม ถึง 17 เมษายน 2568 กับกลุ่มนักเดินทางประเทศนานาชาติที่เดินทางบ่อย และเน้นการเดินทางเพื่อพักผ่อนเป็นหลัก การศึกษานี้มุ่งเน้นกลุ่มประชากรที่มั่งคั่งสูง 10% ในประเทศออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศไทย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามในแต่ละตลาดจำนวน 250 คน Alternate-X สรุปให้ แมริออทฯ เผยรายงาน ‘The Intentional Traveler’ ชี้เทรนด์การท่องเที่ยวลักซูรียุคใหม่ในเอเชียแปซิฟิก โดยไทยติดโผ 1 ใน 7 จุดหมายปลายทางหรูที่นักเดินทางมีกำลังซื้อสูงนิยม โดยนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับสุขภาวะ ความยั่งยืน และประสบการณ์เฉพาะบุคคล แม้จะเดินทางน้อยลงแต่ใช้จ่ายมากขึ้น พร้อมวางแผนอย่างละเอียดล่วงหน้า อินไซต์ด้านสุขภาพ อาหาร และธรรมชาติกลายเป็นหัวใจหลักของการท่องเที่ยวลักซูรี
เที่ยวไทยร่วมตลาดทุน จับคู่เอกชน-ชุมชนท้องถิ่น นำร่อง 5 จังหวัดแหล่งเที่ยวยั่งยืน
ททท. ร่วมตลาดหลักทรัพย์ ทำโครงการ Village to the World #SustainableAgenda นำร่องก่อน 5 จังหวัดชุมชนท่องเที่ยวไทย กลยุทธ์ภาคธุรกิจไทยใช้วัดผล ESG ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบในโครงการ ‘Village to the World’ ภายใต้แนวคิด “ESG Partnership for Impact” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ภาคการท่องเที่ยวและภาคตลาดทุนมาร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างอย่างจริงจัง เพื่อสร้างกลไกการลงทุนที่มีผลตอบแทนทั้งในเชิงธุรกิจและเชิงสังคม โดย เชื่อมั่นว่าการท่องเที่ยวชุมชนที่สร้างความหมายผ่านการพักผ่อนและทำกิจกรรมอันทรงคุณค่าร่วมกัน จะยกระดับจากกิจกรรม CSR กลายเป็นพลังขับเคลื่อนความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ช่วยกระจายรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต และเชื่อมโยงภาคธุรกิจกับสังคมไทยอย่างมีคุณภาพ “เรากำลังยกระดับชุมชน จากปลายทางของนักท่องเที่ยว สู่เวทีของ ESG ที่มีชีวิต ซึ่งเป็นพื้นที่จริงที่ภาคธุรกิจสามารถลงมือทำ สร้างผลลัพธ์ และเติบโตไปพร้อมกับผู้คนในท้องถิ่น ซึ่งชุมชนไม่ใช่แค่แหล่งท่องเที่ยว แต่คือจุดเริ่มต้นของโอกาสใหม่ ที่ธุรกิจ วัฒนธรรม และความยั่งยืนเดินไปด้วยกันได้จริง” ฐาปนีย์ กล่าว ด้าน ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร ตัวแทนผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “โครงการนี้ถือเป็น ‘ก้าวแรก’ ของการเชื่อมโยงภาคตลาดทุนเข้ากับการพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง และยังเป็นความร่วมมือรูปธรรม ระหว่างภาคท่องเที่ยว ตลาดทุน และชุมชน ภายใต้เป้าหมายสำคัญในการเปลี่ยนบทบาทของชุมชนจาก ‘ผู้ให้บริการ’ สู่ ‘พาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์’ ของภาคธุรกิจ โดยนำกรอบ ESG มาใช้พัฒนาโมเดลความร่วมมือแบบ Win–Win ที่สร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง โดยโครงการฯ จะเป็นศูนย์กลางในประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น โดยจับคู่ “บริษัทจดทะเบียน – ชุมชน” อย่างมีเป้าหมายภายใต้กรอบ ESG เพื่อร่วมพัฒนาและขับเคลื่อนพื้นที่นำร่องใน 5 จังหวัด ดังนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ร่วมพัฒนาชุมชน ท่ามะโอ และ ปงสนุก จ.ลำปาง เพื่อออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวโดยชุมชน พร้อมส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลวัฒนธรรมตามแนวทาง UNESCO Culture | 2030 Indicators บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) และ โรงแรม MELIÁ Hotels & Resorts Pattayaร่วมกับ วิสาหกิจชุมชนเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ รักษ์ทะเลเสน่ห์บ้านอำเภอ จ.ชลบุรี โดยเน้นการพัฒนาการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมเชิงสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ร่วมพัฒนาชุมชน แม่สูนน้อย และ ดอยเวียง จ.เชียงใหม่ เสริมสร้างทักษะดิจิทัลเพื่อการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว และความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) โดย Yournique พัฒนาชุมชนป่าแลวหลวง จ.น่าน ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ต้นน้ำ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) จับมือกับชุมชนท่องเที่ยว บ้านมุงเหนือ จ.พิษณุโลก มุ่งพัฒนาแนวทางการยกระดับผลิตภัณฑ์เกษตร บริการท่องเที่ยว และมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว สำหรับโครงการฯนี้ เป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้แก่ภาคเอกชน สะท้อนศักยภาพประเทศไทยด้านตลาดการท่องเที่ยวยั่งยืนโดยชุมชนที่รอการลงทุนทางสังคมจากบริษัทต่างๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนร่วมกันตลอดห่วงโซ่คุณค่า และตอบสนองความต้องการของนักลงทุนระดับสากลที่มุ่งเน้นการลงทุนอย่างรับผิดชอบ โดยบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกับชุมชนสามารถนำผลการดำเนินงานที่วัดผลได้จริงจากการสร้างผลกระทบทางบวกไปเปิดเผยเป็นผลการดำเนินการของการขับเคลื่อนความยั่งยืนที่สอดคล้องกับประเด็นสาระสำคัญของแต่ละบริษัทฯ นอกจากการจับมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาชุมชนในระดับพื้นที่แล้ว โครงการฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรด้านการตลาดและแพลตฟอร์มท่องเที่ยวชั้นนำ ที่พร้อมร่วมกันผลักดันให้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืนและเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้อย่างเป็นรูปธรรมระหว่างเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 นี้ ได้แก่ Eventpass จัดอินฟลูเอนเซอร์ลงพื้นที่ทั้ง 7 ชุมชนกว่า 10 ราย และเตรียมกิจกรรมพร้อมของรางวัลมามายให้ร่วมสนุกผ่าน Facebook Fanpage แพลตฟอร์ม Gother ร่วมจัดโปรโมชั่นพิเศษ “เที่ยวสนุก ลดจริง” สำหรับทุกการเดินทางใน 5 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง, พิษณุโลก, น่าน, เชียงใหม่ และชลบุรี รับส่วนลดเที่ยวบินและรถเช่า สูงสุด 10% รับส่วนลดโรงแรม ที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยว สูงสุด 15% AirAsia เตรียมออกตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษสำหรับเส้นทางไปยัง พิษณุโลก, น่าน, เชียงใหม่ และลำปาง เพื่อชวนทุกคนบินลัดฟ้าไปสัมผัสเสน่ห์ของชุมชนได้อย่าง “สบายใจ ราคาจับต้องได้” ช่องทางการจองแพ็กเกจท่องเที่ยวชุมชน ไม่ว่าจะเป็น Local Alike, Yournique, SiamRise, Friday Trip และ Guide Guru ทุกการจองผ่านแพลตฟอร์ม/ช่องทางเหล่านี้ รับส่วนลดทันที สูงสุด 20% Alternate-X สรุปให้ ททท. ร่วมมือเชิงกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโครงการ ‘Village to the World’ นำ ESG ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวยั่งยืน จับคู่บริษัทจดทะเบียนกับชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบใน 5 จังหวัด เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับตลาดทุนเพื่อสร้างผลลัพธ์เชิงธุรกิจและสังคม พัฒนาโมเดลความร่วมมือแบบ Win–Win ที่วัดผลได้จริง ดึงพันธมิตรแพลตฟอร์ม-สายการบิน หนุนชุมชนเข้าถึงนักท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม
[PR NEWS] วัตสัน ยกระดับสิทธิประโยชน์สุดคุ้มในรอบปีเอาใจสมาชิกวัตสัน คลับ ผ่าน ‘Club of More’ มีแต่ได้กับได้!
วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย เดินหน้ายกระดับประสบการณ์การชอปปิงที่ ‘มากกว่า’ สำหรับสมาชิกวัตสัน คลับอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “Club of More” ชูจุดเด่น “เป็นสมาชิกวัตสัน คลับ มีแต่ได้กับได้!” สะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ที่เข้าใจทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ทั้งความคุ้มค่า สะดวก ครบครัน และความสนุกที่สามารถเข้าถึงได้ทุกวัน ผ่านทั้งหน้าร้านและวัตสันออนไลน์ จากผลสำรวจจากสมาชิกวัตสันคลับกว่า 4,000 คน* ทั่วประเทศไทย พบว่าลูกค้าในยุคปัจจุบันมองหาประสบการณ์การชอปปิงที่คุ้มค่า และตอบโจทย์ชีวิตในทุกด้าน ทั้งส่วนลด คะแนนสะสม และสิทธิประโยชน์พิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟต่าง ๆ ดังนั้นสมาชิกวัตสัน คลับ ภายใต้แนวคิด “Club of More” จึงถูกออกแบบมา เพื่อส่งเสริมประสบการณ์เชิงบวกที่นอกเหนือสินค้าและบริการ ด้วย 3 สิทธิหลัก More Savings ชอปคุ้มยิ่งกว่าเฉพาะสมาชิกลด 50% ด้วยสินค้าที่ครอบคุลมสุขภาพ และความงามกว่า 1,500 รายการ และ Everyday Club Price ชอปได้ทุกวันการันตีที่มาเมื่อไหร่ก็ราคาเดิมทุกวันกว่า 100 รายการ More Exclusive สิทธิประโยชน์และดีลส่วนลดหลากหลายจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำกว่า 20 แบรนด์ ครอบคลุมสินค้าทั้งหมวดสุขภาพ ความงามและไลฟ์สไตล์ เพียงแลกคะแนนผ่าน Club Reward เริ่มต้นที่ 10 คะแนน ก็สามารถรับดีลส่วนลดได้เลย พร้อมทั้งเอาใจสายท่องเที่ยว Asian One Pass เที่ยวอยู่ก็ชอปได้ เมื่อเดินทางและแสดงบัตรสมาชิกวัตสัน คลับ ผ่านแอพวัตสัน เพื่อสะสมคะแนน และใช้สิทธิประโยชน์อื่น ๆ ใช้ได้กับร้านวัตสันทั่วเอเชีย (ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ไตหวัน, อินโดนีเซีย, จีน, ฮ่องกง, ตุรกี และฟิลิปปินส์) More Experience มอบประสบการณ์ที่มากกว่าการชอปปิง ด้วยกิจกรรมเวิร์กชอปสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบเฉพาะสำหรับสมาชิกวัตสัน คลับ เท่านั้น อิศราวดี มีป้อม Customer Controller วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “วัตสันมุ่งพัฒนา การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้เป็นมากกว่า Loyalty Program โดยออกแบบแต่ละสิทธิประโยชน์บนพื้นฐานของความเข้าใจลูกค้า ทั้งความคุ้มค่า การใช้งานสะดวก หรือความพิเศษที่สมาชิกจะได้รับ พร้อมยกระดับประสบการณ์การชอปปิงที่มากกว่า เพื่อให้มั่นใจว่าสมาชิกทุกคนจะได้รับการบริการหรือสินค้าที่ตรงใจมากที่สุด ซึ่งเราเชื่อว่าวัตสัน คลับ จะช่วยให้ทุกการชอปปิงของสมาชิกกับวัตสันเต็มไปด้วยคุณค่าและรอยยิ้มอย่างแท้จริง” วัตสัน ยังคงเดินหน้ามอบความพิเศษที่มากกว่าผ่าน Watsons Club – Club of More ให้สมาชิกเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มค่าได้แล้วตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 68 ไปจนถึง 23 กรกฎาคม 2568 นี้! ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศและวัตสันออนไลน์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store
‘กระทิงแดง’ สู่ยุคใหม่ เลือก ‘แบมแบม-โจอี้ ภูวศิษฐ์’ พรีเซ็นเตอร์คู่เข้าถึงกลุ่ม นิว เจนฯ
‘กระทิงแดง’ แบรนด์เครื่องดื่มให้พลังงานที่มีอายุร่วม 48 ปีไม่ขอแก่แต่จะไปหากลุ่มคนรุ่นใหม่หลังได้ ‘แบมแบม–กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ และ ‘โจอี้–ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ’ 2 ร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์คู่ เครื่องมือสื่อสารแบรนด์ วรวุฒิ พงศ์ชินภัค ประธานผู้บริหารสายงานขายและการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP รายใหญ่ระดับสากล เปิดเผยว่า บริษัทวางกลยุทธ์การทำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้พลังงาน ‘กระทิงแดง’ ในปี 2568 ในแคมเปญ ‘กระทิงแดง เป้าหมายถึงไว พลังใจไม่มีท้อ’ ด้วยแนวคิด ‘Recharge’ เติมพลังกายเพิ่มพลังใจที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ ‘กระทิงแดง’ ยังร่วมงานกับพรีเซนเตอร์คู่ใหม่ ‘แบมแบม–กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ ศิลปินเคป๊อประดับโลก และ ‘โจอี้–ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ’ ศิลปินขวัญใจมหาชน พร้อมเปิดตัวหนังโฆษณาตัวใหม่พร้อมเพลงพิเศษ ‘วัดใจ’ มาสร้างแรงบันดาลใจในทุกเส้นทางความฝัน และเติมพลังใจทุกก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้ทุกคนไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ “กระทิงแดงยังปรับภาพลักษณ์ให้แบรนด์ทันสมัยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย จากรุ่นสู่รุ่น และสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคทั่วประเทศ พร้อมทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น” วรวุฒิ กล่าวพร้อมเสริมว่า สำหรับ แคมเปญฯ นี้ยังเป็นกลยุทธ์หลักเพื่อขับเคลื่อนแบรนด์กระทิงแดงสู่ยุคใหม่ ผ่านสองศิลปินต่างแนวดนตรีอย่างแบมแบมและโจอี้ ซึ่งทั้งคู่ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังใจที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ จะเป็นตัวแทนของ ‘กระทิงคู่’ ที่สะท้อนจิตวิญญาณและความเชื่อมั่นในพลังของตนเอง ซึ่งเป็นหัวใจของแบรนด์กระทิงแดงมาตลอด พร้อมแผนทำนกิจกรรมการตลาดเพื่อเพิ่มพลังใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง “เราตั้งเป้าหมายที่จะขยายฐานผู้บริโภคสู่กลุ่มเจเนอเรชันใหม่ โดยเฉพาะช่วงอายุ 18-35 ปี และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้เติบโต” วรวุฒิ ย้ำ พร้อมเสริมว่า การเลือกพรีเซนเตอร์ ‘แบมแบม กันต์พิมุกต์’ ศิลปินเคป๊อปสัญชาติไทยที่สร้างชื่อเสียงและปรากฏการณ์ระดับโลก และ ‘โจอี้ ภูวศิษฐ์’ ศิลปินเจ้าของเพลงฮิตระดับ 500 ล้านวิว มาเป็นตัวแทนของความเป็นไทยที่เข้าถึงง่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการผสานพลังในสองขั้วดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มาร่วมยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์กระทิงแดงให้มีความเป็นสากล แต่ยังช่วยเข้าถึงฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ของศิลปินทั้งสองได้อย่างกว้างขวาง เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของกระทิงแดงเพื่อขับเคลื่อนแบรนด์สู่ยุคใหม่ วรวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ ‘Recharge’ ยังตอบโจทย์ความต้องการเชิงลึก ลูกค้าด้วยแนวคิด Customer-First การนำเสนอแนวคิดใหม่จากมุมมองของลูกค้าเป็นอันดับแรกในปัจจุบัน ที่ผบว่าผู้บริโภคไม่ได้มองหาเพียงแค่เครื่องดื่มให้พลังงานที่กระตุ้นทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการเติมเต็มพลังใจ โดยกระทิงแดงนำมาถ่ายทอดผ่านเรื่องราวความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคของพรีเซนเตอร์ทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้ที่มี Brand Love ต่อกระทิงแดงมาโดยตลอด และได้กระทิงแดงช่วยปลุกพลังให้พร้อมสู้ทุกอุปสรรคจนกลายเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ ภายใต้สโลแกนหลักงแบรนด์ ‘เป้าหมายถึงไว พลังใจไม่มีท้อ’ นอกจากนี้ กระทิงแดงยังปรับโฉมใหม่ผลิตภัณฑ์โฉมใหม่พร้อมฉลากดีไซน์ใหม่ทันสมัย และเน้นจุดเด่นสำคัญ คือ ‘ได้ปริมาณทอรีนที่เพิ่มขึ้น’ ใน 4 สูตร กระทิงแดง คลาสสิค สูตรใหม่ เครื่องดื่มให้พลังงานผสมวิตามินบี 12 สูง และวิตามินบี 6 ได้ปริมาณทอรีน 1,000 มก. กระทิงแดง เอ็กซ์ตร้า เอบีซี (ฝาแดง): เครื่องดื่มให้พลังงานผสมวิตามินเอสูง มีวิตามินซีและวิตามินบี 12 สูง มีปริมาณทอรีน 800 มก. กระทิงแดง เอ็กซ์ตร้า ซิงค์ (ฝาดำ): เครื่องดื่มให้พลังงานผสมซิงค์สูง มีวิตามินบี 12 สูง มีทอรีน 800 มก. ทีโอเปล็กซ์ – แอล : เครื่องดื่มให้พลังงานรุ่นแรกของกระทิงแดง มีวิตามินบี 6 มีทอรีน 850 มก. สำหรับปีนี้ บริษัทวางเป้าหมายยอดขายของกระทิงแดงจะเติบโตที่ 5% ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เติมพลังเส้นทางเคป๊อป แบมแบม กันต์พิมุกต์ กล่าวว่า การร่วมงานกับแบรนด์กระทิงแดง ด้วยเป็นเครื่องดื่มที่ผมดื่มอยู่แล้ว และมักจะนึกถึงเวลาที่ต้องการเติมพลัง ไม่ว่าจะก่อนขึ้นเวทีหรือตอนโฟกัสกับงานและยังเป็นการทำงารร่วมกันป็นครั้งที่สอง จากก่อนหน้าร่วมกับ ‘เรดบูล ประเทศไทย’ ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา “กระทิงแดงไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นแบรนด์ที่ส่งต่อพลังใจให้คนกล้าสู้เพื่อความฝัน ผมเองก็เชื่อเสมอว่า ถ้าเรามีเป้าหมาย เราต้องลุยให้สุด และไม่ท้อแม้จะเจอความยากแค่ไหน หวังว่าแคมเปญนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ทุกคนกล้าเดินตามฝันของตัวเองนะครับ” เบื้องหลังเวทีความสำเร็จ โจอี้ ภูวศิษฐ์ เผยว่า กระทิงแดงเป็นแบรนด์ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่ก่อนประกวด ในช่วงเวลาต้องการเติมพลังจากการซ้อมดนตรีหรือขึ้นเวทีแสดง ซึ่งมักจะเลือกดื่มกระทิงแดง และการได้มาร่วมแคมเปญครั้งนี้กับแบมแบมเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก เพราะเราทั้งคู่ต่างมีเส้นทางชีวิตที่ต้องฝ่าฟันกันมาเหมือนกัน และเข้าใจดีว่าความสำเร็จไม่มีทางลัด มันต้องใช้พลังใจล้วน ๆ “เพลงวัดใจ ที่เราร่วมกันทำ ไม่ได้เป็นแค่เพลง แต่เป็นข้อความที่อยากส่งให้กับทุกคนที่กำลังลังเลหรือท้อแท้ว่า ถ้าเรากล้าพอที่จะวัดใจ เราก็จะถึงเป้าหมายได้แน่นอนครับ” ติดตามกิจกรรมและแคมเปญเพิ่มพลังใจจากกระทิงแดง และสามารถฟังและชมภาพยนตร์โฆษณา และมิวสิกวิดีโอเพลง “วัดใจ” ได้ทางโซเชียลมีเดียของกระทิงแดง ที่ Facebook: Kratingdaeng และ YouTube: Kratingdaeng Thailand Alternate-X สรุปให้ กระทิงแดง’ เดินหน้าปรับภาพลักษณ์แบรนด์อายุ 48 ปีให้ทันสมัย ดึง ‘แบมแบม–โจอี้ ภูวศิษฐ์’ ร่วมพรีเซ็นเตอร์คู่ สื่อสารแคมเปญ ‘Recharge พลังใจไม่มีท้อ’ ชูจุดยืนใหม่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ 18–35 ปี ด้วยพลังใจควบคู่พลังกาย เสริมแคมเปญด้วยเพลง–โฆษณาใหม่ใช้สื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายนิวเจนฯ ตั้งเป้าเติบโต 5% ปีนี้ พร้อมขยายฐานแฟนทั่วประเทศผ่านกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง
แสนสิริ ปลุกแรงซื้อQ3 ปรับกลยุทธ์ตลาดตรงจังหวะ จัดโปรแรงทุกกลุ่ม 110 โครงการฯ
แสนสิริ ปรับกลยุทธ์แรงจัดโปรคลุมทุกเซ็กเมนต์คอนโด-บ้าน-ทาวน์โฮมตั้งแต่ 7แสน-40 ล้าน ดึงแรงซื้อที่ยังมีจากมาตรการรัฐปลดล็อก LTV-ลดค่าโอน-ค่าจดจำนอง 0.01% บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กับแนวทางการทำตลาดโปรดักส์ที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยในไตรมาส3 ปีนี้ บริษัทปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้โปรโมชันแรง ‘ได้ทุกอย่าง ! สูงสุด 36 เดือน* ฟรี! กิน – อยู่ – ผ่อน พร้อมส่วนลดสูงสุด 5 ลบ.* ทั้งนี้ แสนสิริ นำโครงการพร้อมอยู่ ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮมรวม 110 โครงการ บนทำเลศักยภาพทั้งกรุงเทพ และต่างจังหวัด ด้วยข้อเสนอพิเศษเริ่ม 7 แสน – 40 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มบ้านและทาวน์โฮม 73 โครงการ ในส่วนและคอนโดมิเนียม 37 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการได้พัฒนาคุณภาพโปรดักส์และบริการภายใต้ 4 แกนสำคัญที่มุ่งการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคนหรือ Every day…Life is good ทุกวัน ชีวิตดี ทั้งด้าน ไทม์เลสดีไซน์, คุณภาพและบริการอย่างไม่มีวันสิ้นสุด คอมมูนิตี้การอยู่อาศัยที่ดี และมุ่งสร้างความยั่งยืน สำหรับแคมเปญฯ ได้ทุกอย่าง ! สูงสุด 36 เดือน* ฟรี! กิน – อยู่ – ผ่อน และยังเป็นโปรโมชันแรงที่สุดของแสนสิริในรอบปี ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินของผู้ซื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าที่สุด ลดหนักบ้านเดี่ยว ขณะที่ ไฮไลต์พิเศษกลุ่มแนวราบ บ้านและทาวน์โฮมพร้อมอยู่ ส่วนลดสูงสุด 5 ล้าน* ฟรี! กิน – อยู่ – ผ่อน อาทิ เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ – สาย 1 (Setthasiri Ratchapruek Sai-1) บ้านเดี่ยวดีไซน์ Berlin ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ บนทำเลราชพฤกษ์ตอนต้น ใกล้ CBD เข้าเมืองสะดวก และส่วนกลางครบ พร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ รับส่วนลดสูงสุด 5 ล้านบาท* ผ่อนให้สูงสุด 36 เดือน* ราคาเริ่มต้น 25 – 45 ล้านบาท* เศรษฐสิริ เสรีไทย (Setthasiri Serithai) บ้านเดี่ยวดีไซน์ Modern Classic สง่างามเหนือกาลเวลาบนทำเลชั้นนำ ใกล้แฟชั่น ไอส์แลนด์ และรถไฟฟ้าสีชมพู รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท* ผ่อนให้สูงสุด 36 เดือน* ราคาเริ่มต้น 13.9 – 25 ล้านบาท* สราญสิริ ศรีนครินทร์ – แพรกษา (Saransiri Srinakarin – Phraeksa) บ้านเดี่ยวพรีเมียมสไตล์ Modern Farmhouse โดดเด่นในทำเลใกล้รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว แพรกษา เพียง 2.3 กม. รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท* ผ่อนให้สูงสุด 36 เดือน* ราคาเริ่มต้น 7.99 – 12 ล้านบาท* อณาสิริ ปิ่นเกล้า – กาญจนา ฯ (Anasiri Pinklao – Kanchana) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด บนทำเลบางใหญ่สไตล์ Modern Barn House ใกล้ทางคู่ขนานบรมราชชนนี รถไฟฟ้า และทางด่วนศรีรัช* รับส่วนลดสูงสุด 5 แสนบาท* ผ่อนให้สูงสุด 12 เดือน* ราคาเริ่มต้น 5.29 -10 ล้านบาท* สิริ เพลส วงแหวน – ลำลูกกา (Siri Place Wongwaen – Lamlukka) ทาวน์โฮมดีไซน์ญี่ปุ่น บนทำเลวงแหวน-ลำลูกกา ครบทุกศักยภาพเพื่อการเดินทาง รับส่วนลดสูงสุด 5 แสนบาท* ผ่อนให้สูงสุด 12 เดือน* ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท* ปลุกแรงซื้อคอนโด กลุ่ม คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ และกำลังก่อสร้างส่วนลดสูงสุด 4 ล้าน* พร้อมอยู่ฟรี – หยุดผ่อน อาทิ เดอะ ไลน์ ไวบ์ (THE LINE Vibe) คอนโดมิเนียมตรงข้ามเซ็นทรัลลาดพร้าว ใกล้ BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว เพียง 300 เมตร อยู่ฟรีสูงสุด 1 ปี* ฟรีโอนและส่วนกลาง 1 ปี * ราคาเริ่มต้น 3.89 ล้าน* เอ็กซ์ที พญาไท (XT Phayathai) คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ใจกลางเมือง 650 เมตรจาก BTS สถานีพญาไท เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี* ฟรีโอนและส่วนกลาง 1 ปี* ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้าน* เนีย บาย แสนสิริ (NIA by Sansiri) คอนโดมิเนียมบนทำเลสุขุมวิท 71 ที่อยู่ใกล้ทั้งทางด่วน รถไฟฟ้า สถานที่สำคัญ และย่านไลฟ์สไตล์ชั้นนำมากมาย อยู่ฟรีสูงสุด 2 ปี* แต่งครบ ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี* ราคาเริ่มต้น 3.49 ล้าน* แคนวาส เชิงทะเล (CANVAS Cherngtalay) คอนโดตากอากาศ รีสอร์ทสไตล์ ใกล้ Boat Avenue Park & Playground ที่อยู่ห่างแค่ถนนกั้น รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หยุดผ่อนสูงสุด 6 เดือน* แต่งครบ ดูแลปล่อยเช่าฟรี 1 ปี* ราคาเริ่มต้น 8.9 ล้าน* เวย์ อมตะ (Vay Amata) คอนโดมิเนียมแต่งครบพร้อมอยู่ ติดนิคมอมตะ ชลบุรี พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ฟรีสูงสุด 1 ปี* ฟรีเฟอร์ฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า และค่าส่วนกลาง 3 ปี* ราคาเริ่มต้น 999,000 บาท* สำหรับแคมเปญการตลาด “ได้ทุกอย่าง !” สูงสุด 36 เดือน* ฟรี! กิน-อยู่-ผ่อน เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค. – 31 ส.ค 2568 และคาดว่าจะได้การตอบรับอย่างดีในช่วงจังหวะที่เหมาะสมจากแรงจูงใจผู้ต้องการที่อยู่อาศัย ภายใต้มาตรการรัฐบาลกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการปลดล็อก LTV, การลดค่าโอน-ค่าจดจำนองเหลือเพียง 0.01% (จากเดิม 2%) รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ โดยแคมเปญฯ สำหรับลูกค้าที่จองและทำสัญญา ภายในวันที่ 1 ก.ค. 2568 – 31 ส.ค 2568 และโอนกรรมสิทธิ์ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาจะซื้อจะขาย เฉพาะโครงการ/ยูนิตที่ร่วมรายการ) Alternate-X แสนสิริเปิดแคมเปญใหญ่ “ได้ทุกอย่าง!” จัดโปรแรงครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ที่อยู่อาศัย ดึง 110 โครงการพร้อมอยู่ทั่วประเทศ ทั้งบ้าน คอนโด ทาวน์โฮม ราคาเริ่ม 7 แสน – 40 ล้าน ฟรี! กิน-อยู่-ผ่อน สูงสุด 36 เดือน พร้อมส่วนลดสูงสุด 5 ล้านบาท กระตุ้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง รับอานิสงส์มาตรการรัฐ ลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% ปรับกลยุทธ์ตรงจังหวะ ดันแบรนด์เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มโอกาสปิดการขาย
ไทยบนแผนที่การเงินโลก เจ้าภาพ IMF-WBG 2026 บทบาทในเศรษฐกิจอาเซียน
จากเหรียญพดด้วงสู่เวทีการเงินโลก ถอดรหัสความสำคัญ IMF-WBG Annual Meetings 2026 และประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ ในปี 2569 ที่จะมาถึง สายตาของประชาคมโลกจะจับจ้องมายังประเทศไทยอีกครั้ง เมื่อประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group – WBG) หรือที่รู้จักกันในชื่อ IMF-WBG Annual Meetings 2026 ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองในรอบ 35 ปีที่ไทยได้รับความไว้วางใจให้เป็นศูนย์กลางของการหารือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับโลก หลังจากเคยเป็นเจ้าภาพมาแล้วในปี พ.ศ. 2534 การกลับมาครั้งนี้จึงนับเป็นการตอกย้ำศักยภาพ ความพร้อม และบทบาทสำคัญของประเทศไทยบนเวทีโลก IMF และ WBG คืออะไร ทำไมการประชุมนี้จึงมีความสำคัญ ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ มาทำความรู้จักกับสององค์กรยักษ์ใหญ่ระดับโลกนี้กันก่อน เริ่มจาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2537 มีภารกิจหลักในการส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงินของโลก สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านการให้คำปรึกษาทางการเงิน การสนับสนุนด้านนโยบาย และการฝึกอบรม ขณะที่ กลุ่มธนาคารโลก (WBG) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกัน มีพันธกิจหลักในการลดความยากจนและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยให้การสนับสนุนทางการเงิน โครงการพัฒนา และแบ่งปันองค์ความรู้ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน หรือสิ่งแวดล้อม การประชุมประจำปีของทั้งสององค์กรนี้ จึงเป็นเวทีสำคัญที่ผู้นำด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการพัฒนาจากกว่า 191 ประเทศทั่วโลก จะมารวมตัวกันเพื่อหารือประเด็นสำคัญและเร่งด่วนของเศรษฐกิจโลก ตั้งแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการเงิน ไปจนถึงการลดความยากจนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำไมต้องเป็นประเทศไทย? การที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพ IMF-WBG Annual Meetings 2026 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 18 ตุลาคม พ.ศ. 2569 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศ: ศักยภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน: ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความมั่นคงทางการเงินและนโยบายที่เปิดกว้างต่อการลงทุน ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน: ระบบการเดินทางคมนาคมที่ทันสมัย โรงแรมที่พักระดับมาตรฐาน และที่สำคัญคือ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประชุมที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสำคัญอย่าง APEC 2022 มาแล้ว ประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ: การเคยเป็นเจ้าภาพในปี 2534 แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และความสามารถในการจัดการประชุมระดับนานาชาติขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น โอกาสทองของคนไทยทุกภาคส่วน การเป็นเจ้าภาพ IMF-WBG Annual Meetings 2026 ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งเชิดหน้าชูตาให้กับประเทศ แต่คือ “โอกาสทอง” ที่จะสร้างผลเชิงบวกในหลากหลายมิติ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น ยกระดับภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น: การเป็นเจ้าภาพงานระดับโลกเช่นนี้ เป็นการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการพัฒนา ตอกย้ำความพร้อมและความสามารถในการเป็นศูนย์กลางการประชุมและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น: คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 15,000 – 18,000 คน จาก 191 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจะก่อให้เกิดการใช้จ่ายทั้งในภาคการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และธุรกิจบริการอื่น ๆ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและสร้างความร่วมมือ: เวทีนี้เปิดโอกาสให้ประเทศไทยได้พบปะกับนักลงทุน ผู้กำหนดนโยบาย และผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก นำไปสู่การเจรจาทางการค้า การลงทุน และการสร้างความร่วมมือใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว เผยแพร่ Soft Power ไทยสู่สายตาโลก: นี่คือโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้นำเสนอเอกลักษณ์และความงดงามของวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะการแสดง อาหารไทยขึ้นชื่ออย่างแกงมัสมั่น (ที่ CNN Travel ยกให้เป็นอันดับ 1 ของโลก) ผ้าไทยอันวิจิตร และศิลปวัฒนธรรมไทยซึ่งจะเป็นการนำเสนอ Soft Power ที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนไทยมากขึ้นในอนาคต โลโก้การประชุม สัญญะแห่งความเป็นไทยบนเวทีโลก หนึ่งในความภาคภูมิใจของการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้คือ โลโก้การประชุม IMF-WBG Annual Meetings 2026 ที่ออกแบบโดยคนไทย โดยนำลวดลายไทยอันเป็นเอกลักษณ์ที่ปรากฏบน เหรียญพดด้วง มาลดทอนรายละเอียดให้มีความทันสมัยและจดจำง่าย โลโก้นี้ผสมผสานสัญลักษณ์สำคัญอย่าง ลายประจำยาม ซึ่งเป็นลวดลายมงคลที่พบในงานศิลปะไทย สื่อถึงการปกป้องคุ้มครองและความงดงามทางวัฒนธรรม ลายพระแสงจักร อันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและความมั่นคง เชื่อมโยงกับตราประจำแผ่นดินไทยและเหรียญโบราณ สะท้อนบทบาทของไทยในฐานะเจ้าภาพระดับโลก และการออกแบบตัวอักษร “THAILAND” ที่นำ ICON ลายไทยมาตกแต่งตัวอักษร “I” อย่างมีเอกลักษณ์ แสดงถึงความทันสมัยและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย พร้อมสื่อถึงการเปิดรับความร่วมมือระดับนานาชาติ การออกแบบที่ผสานความดั้งเดิมเข้ากับความร่วมสมัยนี้ เป็นการประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรมอันแข็งแกร่งของไทย ควบคู่ไปกับการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เบื้องหลังงานกราฟิก: สานสัมพันธ์ สื่อวัฒนธรรมไทย งานกราฟิกที่ใช้ในการจัดงานครั้งนี้ ถือกำเนิดจากแนวคิดหลัก 4 ประการ ได้แก่ งานเฉลิมฉลอง (festive), ความน่าเชื่อถือ (reliable), ความสัมพันธ์ (relationship) และ วัฒนธรรม (cultural) เมื่อนำแนวคิดเหล่านี้มาผสมผสานและตีความให้เข้ากับเอกลักษณ์ความเป็นไทย จนได้แรงบันดาลใจจาก “การจักสาน” ซึ่งนอกจากจะสะท้อนถึงภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยอันงดงามแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ของการถักทอ ความร่วมมือร่วมใจ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีการใช้สีสันจากเงินตราที่สะท้อนบทบาทสำคัญของประเทศ สำหรับชุดสีที่เรานำมาใช้นั้น ได้แรงบันดาลใจโดยตรงจากสีของธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ไทย เพื่อให้เกิดความหลากหลายและสื่อความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สีเขียว จากธนบัตรชนิดราคา 20 บาท สีฟ้าและสีน้ำเงิน จากธนบัตรชนิดราคา 50 บาท สีชมพูม่วง จากธนบัตรชนิดราคา 100 บาท และ 500 บาท สีส้มเหลือง จากธนบัตรชนิดราคา 1000 บาท และสุดท้ายคือ สีขาวเงิน จากเหรียญกษาปณ์ไทย การเลือกใช้ชุดสีนี้ยังเป็นการสื่อถึงความรับผิดชอบอันสำคัญของทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลเศรษฐกิจการเงินของประเทศ และทั้งสององค์กรยังเป็นเจ้าภาพหลักในการประชุม Annual Meetings ในปี 2569 ที่ประเทศไทยอีกด้วย ร่วมความภาคภูมิใจ การเป็นเจ้าภาพ IMF-WBG Annual Meetings 2026 คือ หมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำสถานะและบทบาทของประเทศไทยบนเวทีโลก เพื่อการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การลงทุน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการเผยแพร่วัฒนธรรมอันงดงามของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ มาร่วมนับถอยหลังและภาคภูมิใจไปพร้อมกัน กับการที่ประเทศไทยจะได้ยกระดับบทบาทและศักยภาพบนเวทีโลก สร้างผลกระทบเชิงบวกแก่คนไทยทุกภาคส่วน และเปิดประตูสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืนในอนาคต Alternate-X ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพการประชุมใหญ่ IMF-WBG Annual Meetings 2026 เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 35 ปี นับเป็นเวทีสำคัญที่ผู้นำเศรษฐกิจทั่วโลกกว่า 191 ประเทศจะมาหารือประเด็นเศรษฐกิจ-การพัฒนา พร้อมสร้างโอกาสให้ไทยแสดงศักยภาพทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และดึงดูดเม็ดเงินลงทุน งานฯ คาดมีผู้เข้าร่วมกว่า 15,000-18,000 คน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนหลายพันล้านบาท พร้อมเผยแพร่ Soft Power ไทยสู่เวทีโลก ผ่านงานออกแบบ วัฒนธรรม และเอกลักษณ์ไทย
AWC เดินเกมทุนยืดหยุ่น ส่งโมเดล ‘AWC Growth Fund’ ลดภาระหนี้-ลงทุนเต็มจำนวน
AWC รับสินเชื่อ Green Loan มูลค่า 7,904 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย สร้างแบรนด์อัลตราลักซูรีระดับโลก ‘Plaza Athénée’ โยง2 มหานครของโลก ‘นิวยอร์คถึงกรุงเทพฯ สู่เดสติเนชั่นท่องเที่ยวยั่งยืน วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ด้วยวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนร่วมกันของ AWC และ ธนาคารกรุงไทย ได้ลงนามในสัญญาสินเชื่อระยะยาวประเภท Green Loan มูลค่า 7,904 ล้านบาท (เทียบเท่า 208 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก สำหรับความร่วมมือด้านสินเชื่อ Green Loan ครั้งนี้ จะใช้ในการพัฒนาโครงการแฟลกชิปอัลตร้าลักชูรีแบรนด์ระดับโลก ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ (Hotel Plaza Athénée Nobu New York) ณ มหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพและศักยภาพสูง ทั้งนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตการลงทุนควบคู่กับ ‘เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก’ พร้อมมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับอัลตร้าลักซูรีของแบรนด์ Plaza Athénée ที่จะเชื่อมสองมหานครจากนิวยอร์กสู่กรุงเทพฯ พร้อมโยงความพิเศษและศักยภาพของการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยสู่เวทีโลก โดยโครงการ “โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก” พัฒนาในอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่าศตวรรษ ใจกลางย่าน Upper East Side หนึ่งในทำเลศักยภาพสูงสุดของมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม ความหรูหรา และไลฟ์สไตล์ระดับโลก ซึ่งได้ลงทุนบนทำเลพิเศษที่เป็นทรัพย์สิน Freehold เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวที่ยั่งยืนด้วยมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากล พร้อมอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมเข้ากับนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม วัลลภา กล่าวว่า “การลงทุนและพัฒนาโครงการนี้อยู่ภายใต้โมเดล AWC Growth Fund ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนของ AWC ที่ช่วยให้สามารถพัฒนาโครงการได้โดยไม่ต้องลงทุนเต็มจำนวนในระยะเริ่มต้น และไม่เกิดภาระหนี้สินจากการพัฒนาต่อ นับเป็นความยืดหยุ่นในการเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดในช่วงเวลาที่เหมาะสม” สำหรับ การเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยให้สามารถรับรู้รายได้ทันที สร้างกระแสเงินสดเป็นบวก และเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการเงิน พร้อมรักษาวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท สะท้อนด้วยโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม ด้านสุรธันว์ คงทน ประธานผู้บริหารสายงาน Wholesale Banking ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยได้สนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ให้กับบริษัทในกลุ่ม AWC เพื่อลงทุนบูรณะ ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในนครนิวยอร์ก โดยกำหนดตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน เป็นกรอบในการพัฒนาโครงการให้เป็นโรงแรมสีเขียว (Green Building) ตามมาตรฐาน Leadership in Energy and Environmental Design (LEED ) หรือมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากลอื่นๆ ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผสานความหรูหราเข้ากับหลัก ESG ได้อย่างกลมกลืนและเป็นรูปธรรม สำหรับ ความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมถึงบทบาทของธนาคารกรุงไทยในฐานะพันธมิตรทางการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financial Partner) ที่พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่การเติบโตอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน สำหรับ โครงการ ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ เป็นความร่วมมือระหว่าง AWC และ Nobu Hospitality ที่นำจุดแข็งของแบรนด์โรงแรมระดับตำนาน Plaza Athénée เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านการบริการระดับลักชูรีของ Nobu เพื่อพัฒนา Lifestyle Destination ที่มีเอกลักษณ์และมาตรฐานระดับโลก โดยโรงแรมตั้งอยู่ในอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่า 100 ปี ซึ่งเป็นทรัพย์สิน Freehold ในย่าน Upper East Side ของแมนฮัตตัน ใกล้ Central Park และแหล่งช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์ และมีแผนยื่นขอการรับรองมาตรฐาน LEED หรือมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากลอื่นๆ เพื่อยืนยันถึงคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม และจะพัฒนาไปพร้อมกับ ‘เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก’ เพื่อเชื่อมประสบการณ์อัลตร้าลักชัวรีจากนิวยอร์กสู่กรุงเทพฯ ได้อย่างลงตัว พร้อมเปิดบริการในปีหน้า Alternate-X สรุปให้ AWC จับมือกรุงไทย คว้า Green Loan มูลค่า 7,904 ล้านบาท ผลักดันโครงการ “Hotel Plaza Athénée Nobu New York” โรงแรมแฟลกชิปอัลตร้าลักชูรี ตั้งเป้าเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในนิวยอร์ก พัฒนาแบบ Freehold ผสานดีไซน์อนุรักษ์สถาปัตยกรรมและมาตรฐานอาคารสีเขียว ดำเนินโครงการผ่านโมเดล AWC Growth Fund ลดภาระหนี้ สร้างความยืดหยุ่นทางการเงิน พร้อมเชื่อมประสบการณ์สู่กรุงเทพฯ เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก
จีน Butterfly Effect ไม่ได้กระทบแค่ท่องเที่ยว ลามยอดอสังหาฯ หายไปด้วย
ความหวังจากกำลังซื้อชาวจีนที่ไทยหวังว่าจะกลับมาสร้างความคึกคักอีกครั้ง หลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด อาจจะกำลังเหือดหายไปที่ไม่ใช่แค่ตลาดท่องเที่ยว แต่ยังรวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่นักลงทุนจีนหันไปมองญี่ปุ่นและเวียดนามแทน ซึ่งกำลังเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจของชาวมังกร ในเวลานี้ ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เผยตัวเลขยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ไตรมาสแรกปี2568 มีจำนวน 65,276 หน่วย ลดลง 10.5% และมีมูลค่า 181,545 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย กำลังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง จากกำลังซื้อในประเทศหดตัวลง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ หลายรายต่างมองหากำลังซื้อใหม่จากตลาดต่างชาติ ที่จะเป็นประตูทางออกบานสำคัญเพื่อเอาตัวให้รอดจากจากสถานกการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย จากกำลังซื้อในประเทศไทยที่ไม่สดใส ประกอบกับบรรยากาศอึมครึมทั้งเศรษฐกิจและเสถียรภาพของรัฐบาลในเวลานี้ ขณะที่ในช่วงก่อนหน้า ‘กลุ่มนักลงทุนจีน’ ถือเป็นลูกค้าหลัก ที่เคยมียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในตลาดชาวต่างชาติมาร่วมหลายปี จากความสนใจลงทุนอสังหาในไทย เพื่อปล่อยเช่าในช่วงจังหวะเดียวกับที่ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนที่สดใสและเติบโตสุดในช่วง 5-6 ก่อนหน้า โดยในปี 2562 (ก่อนแพร่ระบาดโควิด-19) ประเทศไทยมีนักเดินทางจากจีนราว 11 ล้านคน ไทยได้รับนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 11 ล้านคนก่อนโควิด โดยหลังสถานการณ์แพร่ระบาดคลี่คลายในปี 2568 ที่ผ่านมา ไทยให้การต้อนรับนักเดินทางจากจีนอยู่ที่ 6.73 ล้านคน เท่านั้น!! เรียกว่าหายไปถึง 38.8% ยอดโอนปีนี้ไม่ต่างจากปีก่อน ต่อเรื่องนี้ ‘สุรเชษฐ กองชีพ’ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยจากกลุ่มนักลงทุนชาวจีน ลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทย โดยช่วง 1 มกราคม – 11 พฤษภาคม 2568 (อ้างอิง ททท.) พบว่า คนจีนเข้าไทยเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มชาวต่างชาติ มีจำนวน 1.77 ล้านคน แต่ลดลง 30.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ทั้งนี้ หากพิจารณายอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนจีน ในรอบ 8 ปี ที่ผ่านมา มีข้อมูลดังนี้ ปี 2561 จำนวน 7,916 หน่วย ปี 2562 จำนวน 7,626 หน่วย ปี 2563 จำนวน 5,254 หน่วย ปี 2564 จำนวน 4,867 หน่วย ปี 2565 จำนวน 5,707 หน่วย ปี 2566 จำนวน 6,614 หน่วย ปี 2567 จำนวน 5,670 หน่วย ไตรมาส 1 ปี 2568 จำนวน 1,481 หน่วย ขณะที่ การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของคนจีนในขณะนี้ลดลงนับจากหลังแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นต้นมา และไม่เคยกลับไปเทียบเท่าช่วงปี 2561 – 2562 อีกเลย “ดูแล้วในปี 2568 ก็คงมีการโอนกรรมสิทธิ์ของคนจีนที่ไม่มากอาจจะไม่แตกต่างจากปี 2567 มากนัก” สุรเชษฐ กล่าว รถอีวีจีนหงอยดึงตลาดดาวน์ตาม ด้าน สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า ในตอนนี้ตลาดจีนค่อนข้างเงียบตามกระแสตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เริ่มชะลอตัวลงซึ่งต่างไปจากปีก่อน ๆ นอกจากนี้ ยังมาจากตลาดท่องเที่ยวที่ลดลง จากความกังวลด้านความปลอดภัยหลังกรณีลักพาตัวดาราจีนชายซึ่งเป็นข่าวดังมากที่ประเทศจีน ถึงความไม่มั่นใจต่อความปลอดภัยการเดินทางมายังไทย “อาจต้องใช้เวลาฟื้นความเชื่อมั่น 2-3 ปีจึงจะดีขึ้น” สงกรานต์ กล่าว จากแนวโน้มยังส่งผลมายังตลาดอสังหาฯ ไทยในขณะนี้ ที่เริ่มมีความน่าสนใจลดลง จากก่อนหน้าเป็นตลาดที่เคยอยู่อันดับต้น ๆ ของคนจีน แต่ในตอนนี้อยู่อันดับ 6-8 “คนจีนหันไปซื้อที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่น เวียดนาม และมาเลเซียแทน” สงกรานต์ ย้ำ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเรียกได้ว่าเป็นทฤษฎีความโกหลาหล ‘Butterfly Effect’ แค่เพียงผีเสื้อขยับปีกก็อาจส่งผลกระทบไปในวงกว้างได้ เช่นเดียวกับกลุ่มชาวจีน ที่เคยเป็นกำลังซื้อใหญ่ในตลาดท่องเที่ยว ที่ขยายไปยังภาคธุรกิจอื่นๆที่รวมถึงในอสังหาฯ ด้วยเช่นกัน Alternate-X สรุปให้ ตลาดอสังหาฯ ไทยเผชิญแรงกดดัน หลังนักลงทุนจีนหดตัวต่อเนื่อง โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย Q1/68 ลดลง 10.5% สะท้อนกำลังซื้อไม่ฟื้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าจีนไม่กลับมาเหมือนก่อนโควิด หันลงทุนญี่ปุ่น-เวียดนามแทน ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยลดลง 30.7% ในช่วงต้นปี และมีแนวโน้มว่าไทยอาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี กว่าจะฟื้นแรงดึงดูดจากจีน
แผน ‘ศิริราช’ 6 ปีหน้าใช้2 หมื่นล. มีเครือข่าย 5 รพ. รับอนาคตสังคมสูงวัย-ผู้ป่วย NCDs พุ่ง 5 เท่า
‘ศิริราช’ เร่งขยายโครงสร้างพื้นฐานบริการทางการแพทย์ คลุม5โรงพยาบาลในเครือข่าย รับอนาคตอนาคตไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย-ผูัป่วย NCDs พุ่ง ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า โรงพยาบาลศิริราช ในฐานะสถาบันการแพทย์ของแผ่นดิน’ ดำเนินการภายใต้พันธกิจ 4 ด้าน ประกอบด้วย ให้การเรียนการสอนเพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ การให้บริการทางการแพทย์ที่เป็นเลิศ-ดูแลผู้ป่วยทุกฐานะอย่างเสมอภาคเท่าเทียม สร้างองค์ความรู้ใหม่ผ่านกระบวนการทำวิจัยและสร้างนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการรักษาผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง พร้อมเตรียมแผนงานบริการทางการแพทย์ในอนาคตให้สอดคล้องกับพันธกิจ และการเข้าสู่สังคมสูงวัยของคนไทยจะเพิ่มขึ้นสูงในระยะอันใกล้ และคาดว่าการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง และโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ฯลฯ จะขยายตัวสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 4-5 เท่าตัวตามสัดส่วนผู้สูงวัย จากแนวโน้มดังกล่าว กลุ่มโรงพยาลศิริราช วางแรวทางรับมือครอบคลุมโดยเฉพาะการขยายอาคารพร้อมเทคโนโลยีอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆในแต่ละโรงพยาบาลเครือข่าย โดยเตรียมแผน 3 โครงการขนาดใหญ่ ดังนี้ โครงการ อาคารสถานีรถไฟศิริราช (RWS03) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาร่วมกันระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และอย่ระหว่างก่อสสร้าง มูลค่าโครงการฯราว 4,000 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 15 ชั้น วางเป้าหมายหลักให้บริการดูแลผู้สูงอายุ คาดเปืดให้บริการราว พ.ศ. 2570 โครงการ สถาบันโครงการสถาบันการแพทย์ศิริราช ระดับนานาชาติ บนทำเลบางโพ มีขนาดโครงการ 13 ไร่ มีมูลค่าโครงการกว่า 16,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างขอใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) วางระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จระหว่างปีพ.ศ.2566-2574 โครงการอาคารผู้ป่วยใน (IPD) หลังใหม่ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ที่โรงพยาบาลได้ของบประมาณแผ่นดิน 1,000 ล้านบาท และได้รับอนุมัติงบฯสัดสวน 60% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างพร้อมจัดกาอุปกรณ์บริการทางการแพทย์ต่างๆ ซึ่งยังต้องใช้งบประมาณจากการระดมทุนอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ จากแผนงานดังกล่าวจะทำให้โรงพยาบาลศิริราชมีเครือข่ายโรงพยาบาลในกลุ่มให้บริการ5 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลศิริราช (เขตบางกอกน้อย) โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (วางตำแหน่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน) (เขตบางกอกน้อย) ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (อำเภอพุทธมณฑล,นครปฐม) ศิริราช เอช โซลูชั่น ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต (SIRIRAJ H SOLUTIONS) อาคารไอซีเอส ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์ (เขตคลองสาน) สถาบันโครงการสถาบันการแพทย์ศิริราช ระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ แม้ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีผลประกอบการและกำไรต่อปีราว 1,300 ล้านบาทก็ตาม แต่ต้องนำรายได้ดังกล่าวมาจัดสรรสัดส่วน 50%ทั้งด้านต้นทุนการดำเนินกิจการและนำไปสนับสนุนให้กับมูลนิธิในเครือโรงพยาบาล เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางที่ขาดทุนทรัพย์การรักษาพยาบาล ศ.นพ.อภิชาติ กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวโรงพยาบาลยังวางแผนนำเทคโนโลยีทางการแพทย์เครื่องฉายรังสีด้วยอนุภาคโปรตอน เพื่อรองรับการให้บริการในอนาคต คาดใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท จากปัจจุบันโรงพยาบาลมีผู้ป่วยเข้าบริการราว 16,000-17,000 คนต่อวัน, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ราว 4,000 คนต่อวัน และ 3. ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกฯ ราว 1,200 คนต่อวัน และ 4. ศิริราช เอช โซลูชั่น มากกว่า 200 คนต่อวัน โดยมีคนไข้เข้ารับการรักษา(Admit) ราว 12,000 คน และบุคลากรในเคครือข่ายให้บริการทั้งหมดประมาณ 22,264 คน Alternate-X สรุปให้ ศิริราชเดินหน้าขยายโครงสร้างพื้นฐานบริการทางการแพทย์ 3 โครงการใหญ่ เตรียมรับสังคมสูงวัยและผู้ป่วย NCDs ที่จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในอนาคต วางเป้าครอบคลุมบริการผ่านเครือข่าย 5 โรงพยาบาล พร้อมรองรับผู้ป่วยกว่า 20,000 คนต่อวัน ชูศูนย์บางโพเป็นสถาบันการแพทย์ระดับนานาชาติ และพัฒนาอาคารใหม่-เทคโนโลยีล้ำสมัย มุ่งสร้างความเสมอภาคด้านสาธารณสุข ทั้งในเชิงคุณภาพและการเข้าถึงของผู้ป่วยทุกกลุ่ม
เที่ยวไทยครึ่งหลังปี68 2 ปัจจัยบวกใหม่หนุนตลาดคึก สหรัฐฯจัดไทยปลอดภัยเทียบญี่ปุ่น
VRANDA มองตลาดท่องเที่ยวส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังไทยพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 หวังปัจจัยบวก ‘เที่ยวคนละครึ่ง’ แรงส่งครึ่งปีหลัง 68 กลับมา คึกคัก ภวัฒก์ องค์วาสิฏฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA ผู้ให้บริการธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจไลฟ์สไตล์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ประเทศไทยได้รับแรงกดดันจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา และตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนชะลอการเดินทางเข้าไทย อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2568 ตลาดท่องเที่ยวได้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว พิจารณาจากยอดจองเข้าพักของโรงแรมในเครือวีรันดาฯ ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม SO Bangkok ที่มีรายได้จากห้องพักเพิ่มขึ้นจากที่ชะลอตัวในช่วงหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว นอกจากนี้ โรงแรมวีรันดา ไฮ รีสอร์ท เชียงใหม่ และ ร็อคกี้ บูทิก รีสอร์ต – วีรันดา คอลเลกชัน สมุย มียอดจองห้องพักสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของรายได้ วีรันดา รีสอร์ทฯ ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/2568 “ในครึ่งปีหลังยังได้รับปัจจัยบวกทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ โดยคาดการณ์ว่าตลาดท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มพ้นจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 2” ภวัฒก์ กล่าว ปัจจัยใหม่หนุนตลาด โดยปัจจัยสำคัญภายนอกประเทศที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (U.S. State Department) ได้ปรับระดับคำแนะนำการเดินทาง (Travel Advisory) ฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 โดยจัดให้ประเทศไทยอยู่ในระดับ Level 1 – Exercise Normal Precautions ซึ่งเป็นระดับที่ดีที่สุด โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาประเทศไทยได้อย่างมั่นใจโดยมีระดับเรื่องความปลอดภัยเทียบเท่าประเทศชั้นนำอย่างญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และสิงคโปร์ สะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่ดีทางด้านความมั่นคงและความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และบริการอื่นๆ ปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ การส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” รูปแบบใหม่ ซึ่งมีระยะเวลาใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ 4 ก.ค. – 31 ต.ค. 2568 ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนไทยอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลังนี้ รับขยายฟรีวีซ่า 93 ประเทศ ภวัฒก์ กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมของ VRANDA มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยสูงที่สุด ประมาณ 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ประกอบกับระดับราคาห้องพักของ VRANDA จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากส่วนลดค่าที่พักสูงสุด 50% ไม่เกิน 3,000 บาท นอกจากนั้น รัฐบาลยังอนุมัติการขยายเวลาให้นักท่องเที่ยวใน 93 ประเทศสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า (Visa Exemption) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในการเดินทางเข้าไทย โดย VRANDA ได้เริ่มวางกลยุทธ์มุ่งเน้นลูกค้าจากประเทศยุโรปและตะวันออกกลางซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวของไทย ตอบรับนโยบายมุ่งเน้นตลาดท่องเที่ยวคุณภาพ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เห็นสัญญาณการจองเดินทางล่วงหน้าที่เติบโตดีต่อเนื่องในปีนี้ อนึ่ง นักวิเคราะห์หลายสำนักได้เริ่มปรับประมาณการณ์ผลประกอบการใน Q3 และ Q4 ของปี 2568 ของกลุ่มท่องเที่ยวและบริการขึ้น หลังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ จากยอดจองและปัจจัยบวกใหม่ โดย VRANDA ถูกมองว่ามีศักยภาพในการเติบโตได้ ขณะที่ UOB Kay Hian มีมุมมองต่อ VRANDA เชิงบวกจากแนวโน้มการเติบโตของ RevPAR และจำนวนห้องพัก ประกอบกับรายได้จากกิจการพัฒนอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี จึงประเมินมูลค่าเหมาะสมของ VRANDA ที่ 10 บาทต่อหุ้น ประเมินจาก P/E Ratio 20 เท่าจากประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2025 ของธุรกิจโรงแรม และ P/E Ratio 7 เท่าจากประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2025 ของธุรกิจอื่นๆ Alternate-X สรุปให้ VRANDA มองตลาดท่องเที่ยวไทยพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/2568 หลังยอดจองโรงแรมในเครือเริ่มฟื้นชัดทั้งกรุงเทพฯ เชียงใหม่ สมุย ส่วนแรงหนุนหลักจากโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” และฟรีวีซ่า 93 ประเทศ และการที่สหรัฐจัดไทยอยู่ในกลุ่มประเทศปลอดภัย เทียบชั้นญี่ปุ่น-สิงคโปร์ แรงส่งแนวโน้มไตรมาส 3–4 สดใส ปีนี้
‘ไอคอนสยาม’ ฉลอง 50ปี ไทย-จีน ครั้งแรก!!อาร์ตทอยดาวรุ่ง ‘Leo Huang’ มาไทย
ไอคอนสยาม ชวนพันธมิตรฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ฯไทย-จีน จัด 3 งานใหญ่ สัมผัสประสบการณ์หาชมยาก สุดยอดศิลปวัฒนธรรมจีน พบงานโมเดิร์นอาร์ต ดึงศิลปินอาร์ตทอยดาวรุ่ง ‘Leo Huang’ มาไทยครั้งแรก สุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าไอคอนสยาม เปิดเผยว่า ‘ไอคอนสยาม’ ย้ำตำแหน่งจุดหมายปลายทางแห่งประสบการณ์ระดับโลก พร้อมมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งความร่วมมือทางศิลปะและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระดับนานาชาติ โดยปี 2568 นี้ในโอกาสวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ไอคอนสยาม ได้จัดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมทั้งไทยและจีนต่างๆ ตลอดทั้งปี พร้อมไฮไลต์การนำ 3 สุดยอดศิลปะและวัฒนธรรมของจีนมานำเสนอ ผ่าน 3 งานใหญ่ เพื่อสร้างความประทับใจและเชื่อมสัมพันธ์ไทยและจีนให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น งานแรก มหกรรมศิลปะโคมไฟ สำหรับงานแรก ไฮไลต์สำคัญ คือ “มหกรรมการแสดงศิลปะโคมไฟจีนจากยู่หยวน ชุด จิตวิญญาณแห่งภูผาและมหาสมุทร และเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์การทูตไทย-จีน (Spirit of Mountains and Seas · Yuyuan Lantern Festival and 2025 China-Thailand Culture Month) โดยไอคอนสยาม ร่วมกับ บริษัทเซี่ยงไฮ้ ยู่หยวน ทัวริสต์มาร์ท กรุ๊ป (Shanghai Yuyuan Tourist Mart Group Co., Ltd.) ผู้จัดเทศกาลโคมไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และ บริษัท อินเตอร์สเต็ปส์ จำกัด (Intersteps Co., Ltd.) นำเทศกาลโคมไฟชื่อดังจากเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของจีน มาจัดแสดงในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G ไอคอนสยาม ระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน ถึง 15 สิงหาคม 2568 นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรม ตลาดสินค้าท้องถิ่น สัปดาห์วัฒนธรรมในธีมต่างๆ รวมถึงนิทรรศการศิลปะและแสงสี ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างศิลปะ วัฒนธรรม และอาหาร รวมทั้งธุรกิจของทั้งสองประเทศ พบ ‘Leo Huang’ อาร์ตทอยดาวรุ่ง ทั้งนี้ เพื่อเติมสีสันให้กับโอกาสพิเศษ ครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์การทูตไทย-จีน ไอคอนสยาม ร่วมกับ อินเตอร์สเต็ปส์ นำ YIMU ART สตูดิโอชั้นนำจากประเทศจีนที่มีชื่อเสียงด้านประติมากรรมเป่าลมขนาดใหญ่ และนำคาแรกเตอร์อาร์ตทอยสุดฮิตของศิลปิน Leo Huang ซึ่งโด่งดังจากงาน Design Shanghai หนึ่งในงานออกแบบและสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่ไอคอนสยาม เพื่อสร้างความตื่นตาให้ทุกคนได้ร่วมสนุกในการถ่ายภาพกับคาแรกเตอร์ซิกเนเจอร์ยอดฮิตอย่าง “Seven” แพนด้าสีน้ำตาล, “HIPPO GO” ฮิปโปสีชมพู และ “HELLO! Bear” หมียักษ์สีน้ำเงินสุดน่ารัก สำหรับ ‘Leo Huang’ เป็นศิลปินดังเจ้าของ IP ที่สร้างสรรค์ผลงานจากแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ นำเอกลักษณ์จากเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกมาออกแบบเป็นคาแรกเตอร์หลากหลาย เพื่อเชื่อมโยงผู้คน ธรรมชาติ และเมือง เข้าด้วยกันผ่านงานศิลป์ โดยครั้งนี้เขาจะนำผลงานศิลปะมาเชื่อมสัมพันธ์ เฉลิมฉลองให้กับมิตรภาพไทย-จีน ผ่านนิทรรศการ “Yimu Exhibition” ซึ่งจะจัดแสดง 2 ชุดผลงาน หลักของ Leo Huang ในโซนที่โดดเด่นสะดุดตาภายในไอคอนสยาม ชุดแรกคือ “Guardians of the Loong: มหาสมบัติแห่งเขาฉินหลิ่ง” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสมบัติธรรมชาติ 4 ชนิดของเขาฉินหลิ่ง ทั้งทาคินสีเหลือง, นกกระเรียนแดง, ลิงทอง และแพนด้า โดยคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นคือ “Seven” แพนด้าสีน้ำตาลที่มีอยู่เพียงตัวเดียวในโลก ซึ่งมาในแนวคิด “ปรัชญาพุงกลมของ Seven” แสดงท่าทางขี้เล่นของแพนด้าหลังจากกินอิ่ม ด้วยการเหยียดขา ลูบพุงกลม ๆ อย่างผ่อนคลาย พร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะทำให้หลายคนตกหลุมรัก ชุดที่สองคือ “HIPPO GO!” คาแรกเตอร์ฮิปโปสีชมพู ที่เปี่ยมด้วยความอบอุ่นและพลังเยียวยาใจ ให้ความรู้สึกเหมือนเจ้าฮิปโปยักษ์กำลังปีนขึ้นจากสระน้ำด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา และเปี่ยมด้วยความหวัง สื่อถึงจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากนี้ยังมี “HELLO! Bear” หมีสีน้ำเงินสูง 6 เมตร หนึ่งในผลงานไอคอนิกของ Leo Huang และร้านจำหน่ายของที่ระลึกจากคาแรกเตอร์ซิกเนเจอร์ของ YIMU ART ให้แฟน ๆ ได้เลือกช็อป โดยทุกชิ้นจะทำหน้าที่เป็น “ทูตมิตรภาพ” สื่อให้เห็นถึงความกลมเกลียวข้ามเชื้อชาติของไทยและจีน พร้อมมอบประสบการณ์ศิลปะสุดสร้างสรรค์ให้ทุกคนได้สัมผัส ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคม 2568 ณ วอล์คเวย์ ชั้น M ไอคอนสยาม ชม งิ้วแต้จิ๋วอันดับ 1 อีกหนึ่งงานที่พลาดไม่ได้ ซึ่งไอคอนสยามได้ร่วมมือกับสมาคมเครือข่ายธุรกิจไทย-จีน และ ผู้สนับสนุนภาคเอกชนอีกหลายราย นำการแสดง “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี Shantou Teochew Chinese Opera Show” โดย “คณะอุปรากรจีนกึงตังเตียเกี๊ยะอี่อิ๊กท้วง” คณะงิ้วแต้จิ๋วชื่อดังอันดับ 1 จากเมืองซัวเถา ประเทศจีน ที่มีรางวัลระดับประเทศการันตีมากมายและเปิดแสดงมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก กลับมาสร้างความประทับใจในประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับวาระครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในครั้งนี้ “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี” จะเปิดการแสดง 7 วัน นำเสนอการแสดงอุปรากรจีน 16 เรื่องยอดนิยม พร้อมบทบรรยายสองภาษาไทยและจีน เพื่อร่วมส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีน ผ่านวัฒนธรรมความบันเทิงอันทรงคุณค่าของจีน ระหว่างวันที่ 10-16 กรกฎาคม 2568 ณ ทรูไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม สำหรับบัตรเข้าชมการแสดง ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารการรับบัตรได้จาก Facebook: ICONSIAM และพันธมิตรเจ้าภาพร่วมจัดแสดง Alternate-X สรุปให้ ไอคอนสยามจัด 3 งานใหญ่ ฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เปิดตัวงานศิลปะโคมไฟจีนยิ่งใหญ่ครั้งแรกในไทยจากเทศกาลยู่หยวน ประเทศจีน พร้อมต้อนรับศิลปินอาร์ตทอยชื่อดัง ‘Leo Huang’ และคาแรกเตอร์ “Seven”, “HIPPO GO!”, “HELLO! Bear” มาจัดแสดงนิทรรศการสร้างสรรค์และร้านของที่ระลึกสื่อมิตรภาพไทย-จีน ปิดท้ายด้วยงิ้วแต้จิ๋วอันดับ 1 จากซัวเถา ส่งต่อคุณค่าศิลปวัฒนธรรมจีนให้คนไทยสัมผัส
‘ราชบุรี’ อนาคตเมืองเศรษฐกิจใหม่ ลลิลฯส่ง2 โครงการเจาะอสังหาฯ
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เข้าตลาดอสังหาฯ จังหวัดราชบุรี รับศักยภาพเมืองเติบโตระดับภูมิภาค ทำ 2 โครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์โฮมรวมมูลค่ากว่า พันล.รับดีมานด์อยู่อาศัยแนวราบขยายตัว ชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี’ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน จังหวัด ไม่ใช่แค่จังหวัดหัวเมืองรอง แต่คือทำเลแห่งโอกาสที่กำลังเติบโตอย่างมั่นคง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ เกษตรกรรม พลังงาน และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ จ.ราชบุรี ยังเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความโดดเด่นด้านการคมนาคม การเชื่อมต่อจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเพียง 1.5–2 ชั่วโมง ผ่านมอเตอร์เวย์สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว และถนนเพชรเกษม ขณะเดียวกันยังเป็นศูนย์กลางด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ รวมถึงการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม โรงงานผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ และโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ ทำให้ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยในจังหวัดมีแนวโน้มเพิ่มสูง จากแนวโน้มดังกล่าว ยังผลักดันให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบ้านแนวราบ ซึ่งบริษัทฯ มองเห็นโอกาสขยายตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดราชบุรี โดยเปิดตัว 2 โครงการระดับคุณภาพ ได้แก่ บ้านลลิล เดอะ เพรสทีจ ราชบุรี ภายใต้แนวคิด ‘Beyond Luxury of Living’ จำนวน 129 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 24 ไร่ ราคาเริ่มต้นที่ 4-8 ล้านบาท ลลิลทาวน์ ไลโอ ราชบุรี ภายใต้แนวคิด ‘Happiness of Living’ จำนวน 279 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 25 ไร่ ราคาเริ่มต้นที่ 79 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการตั้งอยู่บนถนนราชบุรี-ผาปก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อสู่ศูนย์กลางราชการ โรงพยาบาล สถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า และนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างอุทยานหินเขางู “แนวทางการพัฒนาโครงการใน จ.ราชบุรีของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งเน้นการสร้างชุมชนที่มีคุณภาพชีวิต โดยออกแบบฟังก์ชันบ้านให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่ อาทิ พื้นที่ Extra Function รองรับวิถีชีวิตแบบ Work from Home ปรับเป็นห้องเรียน หรือพื้นที่ดูแลผู้สูงวัย ซึ่งล้วนสะท้อนเจตนารมณ์ของเราในการสร้างบ้านที่ดูแลชีวิตของผู้อยู่อาศัยในทุกช่วงวัย” ชูรัชฏ์ กล่าวเสริม นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเชิงลึก พบว่า จ.ราชบุรี มีแนวโน้มเติบโตจาก 3 กลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ พนักงานบริษัทเอกชนและภาครัฐในพื้นที่ เจ้าของธุรกิจท้องถิ่น กลุ่มข้าราชการ ทหาร โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมองหาบ้านหลังแรก หรือผู้สูงวัยและกลุ่ม Work from Home ที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีในราคาที่สามารถจับต้องได้ ชูรัชฏ์ กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัท มองว่า จ.ราชบุรี ไม่ใช่เพียงแค่เมืองพักอาศัย แต่คือเมืองที่พร้อมสำหรับอนาคต การลงทุนของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในวันนี้ คือ การวางรากฐานให้กับชุมชนที่เติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจและโครงสร้างเมืองในระยะยาว ขณะที่โครงการของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ใน จ.ราชบุรี เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะท้อนความตั้งใจของแบรนด์ในการยกระดับคุณภาพชีวิต สู่เป้าหมายการสร้างชุมชนที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค Alternate-X สรุปให้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกตลาดอสังหาฯ จังหวัดราชบุรี เปิด 2 โครงการใหม่รองรับดีมานด์แนวราบที่เพิ่มขึ้น ชูราชบุรีเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ที่เติบโตทั้งอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐาน โดยโครงการประกอบด้วยบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีและทาวน์โฮมเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ เน้นออกแบบรองรับครอบครัวยุคใหม่ มีฟังก์ชันเพื่อ Work from Home และดูแลผู้สูงวัย เพื่อสร้างชุมชนคุณภาพชีวิตดี พร้อมเติบโตไปกับเศรษฐกิจภูมิภาคในระยะยาว
กินผลสดเชยแล้ว!! คนจีนฮิตทุเรียนแนวใหม่ เอาไปทำอาหารคาว-หวาน-เครื่องดื่ม
แพลททินัม ฟรุ๊ต มองอนาคตทุเรียนไทยเจาะตลาดจีนคนรุ่นใหม่ เทรนด์บริโภคใช้ทำเมนูคาว-หวาน ชี้โอกาสสินค้าพรีเมียม มีความปลอดภัยและคุณภาพ ตัวกำหนดอนาคต ณธกฤษ เอี่ยมสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลททินัม ฟรุ๊ต จำกัด (มหาชน) หรือ PTF ผู้ส่งออกผักและผลไม้สดเกรดพรีเมียม เปิดเผยภาพรวมการส่งออกทุเรียนไทยในงาน Asia Fruit Logistica Bangkok Meet Up เวทีรวมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผักและผลไม้สดจากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยระบุว่า ปริมาณการส่งออกทุเรียนสดจากไทยไปจีนในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ลดลงประมาณ 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตร การลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลัก 2 ประการ ได้แก่ สภาพภูมิอากาศที่ทำให้ฤดูกาลเก็บเกี่ยวล่าช้าไปประมาณ 20 วัน มาตรการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดขึ้นจากสำนักงานศุลกากรจีน (GACC) ทั้งการตรวจสารตกค้าง, เอกสาร GAP และการขึ้นทะเบียน DOA ของโรงคัดบรรจุ ซึ่งส่งผลให้ขั้นตอนการส่งออกต้องใช้เวลามากขึ้น และผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้น “ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเฉพาะทุเรียนไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งออกทุเรียนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม” ณธกฤษกล่าว ต้องปลอดภัย-มีคุณภาพ ขณะที่ อนาคตของทุเรียนไทยจะไม่ใช่เรื่องของการเร่งปริมาณการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเน้นที่ “ความปลอดภัยและคุณภาพ” เป็นหัวใจสำคัญ หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ พร้อมกับทำตลาดให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคพรีเมียมมากขึ้น ก็จะช่วยรักษาความนิยมของทุเรียนไทยในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน สำหรับคาดการณ์ปริมาณส่งออกทุเรียนไทยทั้งปีนี้ ประเมินว่าน่าจะกลับมาใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เพราะดีมานด์ของตลาดปลายทางในจีนยังมีอยู่มาก โดยช่วงที่ผ่านมาเกิดจากข้อจำกัดของมาตรการจึงทำให้ปริมาณการรับซื้อทุเรียนหน้าโรงงานชะลอตัว ซึ่งวันนี้เริ่มคลี่คลายมากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ การควบคุมความชื้นและหนอนเจาะแมลง เนื่องจากปีนี้ประเมินว่าจะมีฝนชุกมากกว่าปกติ จีนฮิตกินทุเรียนแนวใหม่ ปัจจุบัน ทุเรียนยังเป็นผลไม้ยอดนิยมของผู้บริโภคชาวจีน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่วัย 24-35 ปี ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและยอมจ่ายเพื่อสินค้าที่มีคุณภาพ จากความนิยมตรงนี้กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมของวงการอาหารในจีนที่ไม่ได้จำกัดแค่บริโภคเนื้อทุเรียนสด แต่นำไปพัฒนาเมนูอาหารคาว-หวานรวมทั้งเครื่องดื่ม ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ผสมทุเรียนเกิดขึ้นในเมืองต่างๆ ของจีนแพร่หลายมากขึ้น “ดีมานด์ตรงนี้เชื่อว่ายังเติบโตได้อีกมาก เพราะยังมีหลายพื้นที่ หลายมณฑลของจีนที่ทุเรียนยังเข้าไปไม่ถึง นี่จึงเป็นโอกาสของทุเรียนไทยที่ยังเปิดกว้างอยู่” ณธกฤษ กล่าว โดยปัจจุบันตลาดทุเรียนสดในจีนนำเข้าจากประเทศไทยมากที่สุด ตามมาด้วยเวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ณธกฤษ กล่าวว่า ในส่วนแนวโน้มตลาดโลก ขณะนี้โลกกำลังก้าวสู่ยุคผลัดใบที่เศรษฐกิจจะแบ่งเป็น 3 ขั้วหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน และกลุ่มประเทศอื่นๆ ที่เริ่มรวมตัวเป็นภูมิภาคการค้า เช่น EU, EFTA และ BRICS โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าในปี 2593 ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจะอยู่ในเอเชีย ได้แก่ จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ดังนั้น ไทยต้องเตรียมความพร้อมในการเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ๆ เหล่านี้ ย้ำพรีเมียมส่งออก ณธกฤษ กล่าวว่า สำหรับ แพลททินัม ฟรุ๊ต ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว ด้วยบริษัทฯให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้ความรู้เกษตรกรเรื่องการดูแลผลผลิต การสุ่มตรวจดินและน้ำจากสวนที่จะรับซื้อโดยส่งตรวจในห้องแล็บที่ได้มาตรฐาน ISO17025 และได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน จากนั้นเมื่อผลผลิตเข้ามาโรงงาน จะมีการตรวจสอบสารตกค้าง แมลง เชื้อรา โดยใช้เกณฑ์ Global GAP ที่เข้มข้นที่สุดก่อนเข้าสู่ขั้นตอนคัดบรรจุ เพื่อรับประกันความปลอดภัยจากสาร BY2 และแคดเมียม 100% ก่อนส่งออกไปถึงมือผู้บริโภค “การแข่งขันที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องราคาและปริมาณเท่านั้น แต่ต้องแข่งกันที่คุณภาพและความปลอดภัยด้วย” ณธกฤษ ย้ำ Alternate-X สรุปให้ แพลททินัม ฟรุ๊ต เผยโอกาสของทุเรียนไทยในตลาดจีนยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมบริโภคทุเรียนในรูปแบบเมนูคาว-หวานและเครื่องดื่ม พร้อมเน้นย้ำว่า “คุณภาพและความปลอดภัย” จะเป็นตัวกำหนดอนาคตมากกว่าปริมาณการผลิต ด้านมาตรการจากจีนที่เข้มงวดส่งผลต่อการส่งออก แต่ถือเป็นแรงผลักให้ผู้ประกอบการยกระดับมาตรฐาน ส่วน PTF เดินหน้ารักษามาตรฐาน Global GAP และใช้ระบบตรวจสอบคุณภาพในทุกขั้นตอน หวังยึดหัวหาดตลาดพรีเมียมในจีน
‘มิกซ์ ยูส’ แห่งอนาคต โครงการ บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค โชว์ไฮไลท์รับแผ่นดินไหวระดับสูงสุด
บีทีเอส กรุ๊ปฯ ผุดมิกส์ยูส ‘บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค’ ทำเลวิภาวดี-พหลโยธิน โชว์อนาคตอยู่อาศัยคนเมืองอนาคต ผ่านความล้ำ-นวัตกรรมอัจฉริยะ กวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมือง เปิดเผยว่า บริษัทฯ เปิดตัว บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค (BTS Visionary Park) โครงการมิกซ์ยูสศูนย์กลางการทำงานและใช้ชีวิต ผสานทั้งพื้นที่สำนักงาน พื้นที่ค้าปลีกหลากหลายรูปแบบ และพื้นที่เพื่อการพักผ่อน เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่อย่างครบวงจร “บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค เป็นโครงการเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์คอมมูนิตี้ที่มีสีสันและตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง โดยนำนวัตกรรมการออกแบบที่ล้ำสมัย การจัดสรรพื้นที่สีเขียว และการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อให้เป็นชุมชนที่มีความยั่งยืนในตัวเอง และมีส่วนช่วยในการสร้างผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้คนทั้งในวันนี้และในอนาคต” กวิน กล่าว ขณะที่ โครงสร้างอาคารของ บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ยังได้รับการประเมินและรับรองด้านความปลอดภัยและความพร้อมในการรับมือกับแผ่นดินไหวในระดับสูงสุด โดยผลจากการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งดำเนินการโดยปาล์มเมอร์ แอนด์ เทอร์เนอร์ (ประเทศไทย) (Palmer & Turner (Thailand) Ltd.) และโปรไฟร์ อินสเปคเตอร์ (Profire Inspector) ยืนยันว่าการออกแบบอาคารมีความแข็งแกร่งและสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับผู้ใช้งานทุกคน สำหรับ บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 11-0-40.7 ไร่ (17,763 ตร.ม.) ประกอบด้วยอาคารสูง 36 ชั้น มีพื้นที่อาคารรวมประมาณ 167,641 ตร.ม. ซึ่งรวมถึงพื้นที่ให้เช่าสุทธิขนาด 80,197 ตร.ม. โดยแบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมียม 72,730 ตร.ม. และพื้นที่รีเทล 7,467 ตร.ม. นอกจากนี้ โครงการฯ ดังกล่าวยังตอบโจทย์แนวโน้มความต้องการพื้นที่ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างครบวงจรมีเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน รองรับภูมิทัศน์การขยายตัวของเมืองในกรุงเทพฯ ที่กำลังเปลี่ยนแปลง พร้อมออกแบบชัดเจนด้วย 4 องค์ประกอบหลัก เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนเมือง ประกอบด้วย Office & Co-Working Spaces: ออกแบบเพื่อคนทำงานในยุคดิจิทัล ด้วยพื้นที่สำนักงานอันล้ำสมัยและปรับแต่งตามความต้องการได้ เพื่อความสะดวกสบาย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การออกแบบแบบไร้เสากลางช่วยเพิ่มการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพดานสูง 3 เมตรให้บรรยากาศที่กว้างขวางและสบายตา พร้อมด้วยโซลูชันระบบอัจฉริยะต่าง ๆ Retail & Dining: แหล่งรวมร้านค้าและร้านอาหารระดับพรีเมียม โดยมีเมนูอาหารและเครื่องดื่มกว่า 200 รายการ ตอบสนองทุกความต้องการและทุกโอกาส และโซนรีเทล ประกอบด้วยร้านค้าป็อปอัพ Experience Zones ต่าง ๆ รวมถึง Turtle X ร้านที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่มีไลฟ์สไตล์ในเมืองที่ใช้ชีวิตรีบเร่ง มุ่งเน้นการให้บริการสินค้าที่รวดเร็วและมีคุณภาพสูง จุดเด่นคืออาหารพร้อมทานที่ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์ เทอร์เทิล สินค้าคุณภาพสูงที่มั่นใจได้จากการ คัดสรรจากผู้ผลิตระดับพรีเมี่ยม รวมถึงสินค้าสดใหม่จากแหล่งผลิตในประเทศไทย Green & Smart Spaces โดยโครงการได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED Gold จากการจัดสรรพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ตลอดแนวตั้งของอาคาร ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีและไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ใช้อาคาร นอกจากนั้น อาคารยังได้รับการรับรองมาตรฐาน WiredScore Gold รับประกันการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและ 5G ที่เสถียร รองรับการสตรีม การประชุมออนไลน์ และการทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น Innovation Hub: บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ยังวางให้เป็นศูนย์กลางสำหรับการจัดนิทรรศการ กิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มีสีสันและชีวิตชีวา เป็นพื้นที่ซึ่งทุกคนสามารถมาทำงาน พักผ่อน และพบปะสังสรรค์ได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิ ลู่วิ่งกลางแจ้ง ฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่ทันสมัย และออดิทอเรียม โดยเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ สำหรัย บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางวิภาวดี-พหลโยธินที่เดินทางได้สะดวกสบาย ติดระบบขนส่งมวลชนหลัก รองรับการเชื่อมต่อการเดินทางแบบ Multi-modal ที่เหนือชั้น ใกล้กับสถานีกลางบางซื่อ รถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้า MRT รถไฟ SRT และโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกและแห่งเดียวในพื้นที่ที่มีทางเดิน Skywalk เชื่อมต่อจากรถไฟฟ้า BTS เข้าสู่อาคารโดยตรง เพื่อการเดินทางที่ราบรื่น ครอบคลุม สะดวกสบาย และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ขณะเดียวกัน ยังสามารถเข้าถึงทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษเฉลิมมหานคร สามารถเดินทางไปยัง สถานที่หลักในกรุงเทพมหานคร สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ รวมถึงท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง เป็นจุดเชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองและออกไปยังชานเมืองได้อย่างง่ายดาย เพื่อการเดินทางที่รวดเร็วและไม่มีสะดุดสำหรับนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โครงการบีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ยังรองรับรถยนต์ได้ถึง 1,521 คัน รวมไปถึงยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมระบบตรวจจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ระบบระบายอากาศเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศ และมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 102 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดสำหรับอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่ง โดยตัวอาคารได้รับการรับรองจากกรมโยธาธิการและผังเมือง และกรุงเทพมหานคร ยืนยันว่าโครงการได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยและมีความพร้อมสำหรับการใช้งานปกติ และยังมีการประเมินภายในจากเจ้าหน้าที่ของโครงการเอง เพื่อตอกย้ำถึงความทุ่มเทของ บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ในการส่งมอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานอาคารทุกคน Alternate-X สรุปให้ บีทีเอส กรุ๊ป เปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส “บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค” บนทำเลศักยภาพ วิภาวดี–พหลโยธิน พื้นที่รวมกว่า 167,000 ตร.ม. แบ่งเป็นออฟฟิศพรีเมียม 72,000 ตร.ม. และรีเทลกว่า 7,000 ตร.ม.โดดเด่นด้วยนวัตกรรม Smart & Green Design รับรอง LEED Gold และ WiredScore Gold โดยอาคารรองรับแผ่นดินไหวระดับสูงสุด พร้อม Skywalk เชื่อม BTS และ EV Charger มากถึง 102 จุด เตรียมเปิดบริการเต็มรูปแบบ พฤศจิกายน 2568
‘เครือสหพัฒน์’ เข้าสู่ยุค AI แล้ว ร่วมพันธมิตร AWS เสริมแกร่งเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านองค์กรดิจิทัล
อี-คอมเมอร์ซ ดิจิทัลฯ ธุรกิจในเครือสหพัฒน์ ร่วมมือเชิงกลยุทธ์ AWS ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก เปลี่ยนผ่านธุรกิจในเครือสหพัฒน์สู่ยุคดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี AI เครือสหพัฒน์ โดย บริษัท อี-คอมเมอร์ซ ดิจิทัล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (EDTH) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด (AWS) ผู้นำด้านบริการคลาวด์ที่ครอบคลุมและได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ทั้งนี้ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจในเครือสหพัฒน์สู่ยุคดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยจาก AWS เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (machine learning) โดย EDTH มีพันธกิจในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และกระบวนทัศน์ ในธุรกิจดิจิทัลและ AI พัฒนาศักยภาพ ให้ระบบนิเวศธุรกิจ และบริษัทในเครือสหพัฒน์ ก้าวสู่ธุรกิจ E-commerce อย่างยั่งยืน รวมถึงพัฒนาโมเดลธุรกิจ และเครือข่าย ที่สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ด้าน บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับ AWS ในครั้งนี้จะเป็นตัวเร่งสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของเครือสหพัฒน์ให้สามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า คู่ค้า และผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด “ในยุคที่ความสามารถทางดิจิทัล อีคอมเมิร์ซกลายเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจ” บุณยสิทธิ์ กล่าว สำหรับ การลงนามความร่วมมือครั้งสำคัญนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของแผนปฏิบัติการระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2568-2570) ที่ครอบคลุมการใช้บริการ AWS cloud และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศในเครือสหพัฒน์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI, Machine Learning, Data Analytics และ Cloud Solutions ของ AWS เพื่อเพิ่มศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูล พัฒนากระบวนการทางธุรกิจ และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ในเครือสหพัฒน์ ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ เครือสหพัฒน์จะเริ่มต้นด้วยการย้ายระบบบางส่วนขึ้นสู่ AWS Asia Pacific (Thailand) Region จากนั้นจะขยายการใช้งานให้ครอบคลุมการย้ายระบบสำคัญต่าง ๆ เช่น ระบบ E-Commerce, CRM (Customer Relationship Management) และระบบคลังสินค้า พร้อมกันนี้ AWS จะสนับสนุนการวางแผนและการใช้งานเทคโนโลยี AI ของเครือสหพัฒน์อย่างเป็นระบบ โดยเน้นการนำไปใช้งานในหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ในเครือสหพัฒน์ เช่น การตลาด การผลิต และการบริการลูกค้า นอกจากนี้ เครือสหพัฒน์จะพัฒนา AI ขั้นสูงสำหรับการคาดการณ์และวางแผนเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนขยายการใช้งานเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยังธุรกิจอื่น ๆ ในเครือสหพัฒน์ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ด้าน วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ‘AWS’ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพของธุรกิจไทย โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี AI และแมชชีนเลิร์นนิ่ง และ Cloud มาประยุกต์ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน Alternate-X สรุปให้ เครือสหพัฒน์ โดยบริษัท EDTH จับมือ AWS ยกระดับเทคโนโลยี ดันองค์กรสู่ดิจิทัล-AI ความร่วมมือครั้งนี้มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน IT และสร้างระบบ AI เชิงกลยุทธ์ เริ่มย้ายระบบขึ้น AWS Thailand Region พร้อมใช้ Machine Learning, Data Analytics โดย AWS หนุนวางแผนและใช้งาน AI ครอบคลุมธุรกิจหลักในเครือ เช่น CRM, อีคอมเมิร์ซ ถือเป็นแผนระยะ 3 ปี เพื่อเพิ่มศักยภาพแข่งขันและต่อยอดสู่ธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นยังไง ‘คนไทย’ ก็ยังชอบมิวสิค เฟสฯ ปี68 จัดคอนฯไทย/ต่างประเทศกว่าพันงาน
GMM Music บอกเลยปีนี้เซ็กเมนต์เทศกาลดนตรีไทยแข่งขันสูงมีผู้เล่นใหม่เข้าตลาดเพียบ หนุนกลุ่มธุรกิจโชว์บิซโตพุ่ง ไตรมาสแรกปี 68 ทำกำไรกว่า 46% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน พร้อมแผนเปิด 2 ค่ายเพลงระดับอินเตอร์ใหม่ ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2568 บริษัทฯ มุ่งบริหารธุรกิจเชิงรุกในกลุ่มธุรกิจโชว์บิซ ทั้งในรูปแบบเทศกาลดนตรี (Music Festival) ในหลากหลายพื้นที่ รวมถึงจัดคอนเสิร์ตของศิลปินในสังกัด นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีทของศิลปินเกาหลี เช่น Le Sserafim Tour ‘Easy Crazy Hot’ in Bangkok, 2025 Han So Hee 1st Fanmeeting World Tour [Xohee Loved Ones,] in Bangkok และคอนเสิร์ตจากศิลปินนานาชาติ ต่างๆที่จะเกิดขึ้นอีกจำนวนมาก “โดยปกติบริษัทฯ ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า 1 -2 ปีสำหรับธุรกิจนี้ภายใต้ปัจจัยต่าง ๆ รอบด้าน ทั้งเทรนด์ของผู้ชม การวางตำแหน่งแบรนด์ ตลอดจนการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร ซัพพลายเออร์ และการพัฒนาคุณภาพทีมงาน” ภาวิต กล่าว แผนงานดังกล่าว ยังสอดคล้องกับอุตสาหกรรมดนตรีและบันเทิงในไทยปี 2568 มีการขยายตัว และคาดว่าภาวะการแข่งขันในธุรกิจโชว์บิซจะแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น โดยประเทศไทยจะมีการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินไทยและต่างประเทศมากกว่า 1,000 งานในปีนี้ ทั้งจากผู้เล่นรายเดิมและมีผู้เล่นใหม่ ๆ รวมตัวกันเข้ามา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ขณะที่ บริษัทได้เตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขัน ด้วยกลยุทธ์เชิงรุกทั้งระยะสั้น กลาง และยาว พร้อมใช้ความได้เปรียบด้านโครงสร้างบริษัท ประสบการณ์ของทีมงาน และองค์ความรู้ในธุรกิจที่มีมาอย่างยาวนาน รวมถึงการมี Big Data ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเพลงทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายมิติมาช่วยประกอบการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ภาวิต กล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจดิจิทัลมิวสิค จะร่วมมือกับพันธมิตรในเชิงลึกเพื่อสรรหาแนวทางและโมเดลธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงใช้ยุทธศาสตร์เฉพาะทางในการบริหาร Back Catalog และ New Release อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจการผลิตคอนเทนต์ บริษัทฯได้วางวางกลยุทธ์ 3 ปีล่วงหน้าพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ 14 ค่ายเพลงในสังกัด และเตรียมแผนจัดตั้งค่ายเพลงระดับสากลจำนวน 2 ค่ายร่วมกับ Tencent Music Entertainment (TME) และ Warner Music Asia ซึ่งพร้อมจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ โดยวางเป้าหมายขยายสเกลของพอร์ตโฟลิโอเพลงโดยรวมของบริษัทด้วยผลงานเพลงใหม่ ๆ ทั้งเชิงคุณภาพ และปริมาณ ไม่น้อยกว่า 500 เพลง และ 3,000 Playlists ภายในปี 68 นี้ ภาวิต กล่าวว่า ในปี 2568 GMM Music จะยังสามารถเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจได้ ไปพร้อมสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมเพลงไทย ตลอดทั้งระบบนิเวศอุตสาหกรรมดนตรีที่ยั่งยืนและครอบคลุม ตั้งแต่การพัฒนาศิลปินรุ่นใหม่ การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่หลากหลาย การใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเพลงไทยสู่ New Music Economy ด้วยการเป็น Music Pure Play ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 ของ GMM Music ยังเติบโตสวนทางกับสภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่ผันผวน มีรายได้รวม 1,073.18 ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 155.39 ล้านบาท เติบโตขึ้น 46.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจ 4 เสาหลักในไตรมาส 1 ปี 68 ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจดิจิทัลมิวสิค (Digital Streaming) มีรายได้ 30 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากธุรกิจ Digital Subscription จาก Platform Streaming ต่าง ๆ แม้รายได้จากการโฆษณาใน Video Streaming และ Audio Streaming Platform (Ad Revenue) จะลดลงเล็กน้อยตามภาวะการใช้เงินในตลาดที่หดตัว แต่ไม่ส่งผลกระทบกับภาพรวมของกลุ่มธุรกิจ โดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ คือ การเติบโตของรายได้ประจำ (Recurring Revenue) จากการบริหารจัดการลิขสิทธิ์เพลง (Music IP) อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง New Release หรือเพลงใหม่ และ Music Back Catalog หรือคลังเพลงฮิตจำนวนมหาศาลที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย กลุ่มธุรกิจบริหารลิขสิทธิ์ (Right Management) มีรายได้กว่า 42 ล้านบาท เป็นผลจากการวางกลยุทธ์ล่วงหน้า และการวางแผนงานระยะยาวร่วมกับพาร์ทเนอร์สาขาต่าง ๆ และการเติบโตของการจัดงานคอนเสิร์ตและ Music Festival ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มธุรกิจบริหารศิลปิน (Artist Management) ยังคงมีรายได้จากงาน Sponsorship เพิ่มขึ้นกว่า 108% ขณะที่ส่วนของงานจ้างศิลปิน (Live Show) มีอัตราการจ้างงานอยู่ในมาตรฐานเดิม ในขณะที่ส่วนของงาน Presenter และ Tailormade มีผลประกอบการลดลงเล็กน้อย เนื่องด้วยความผันผวนของเม็ดเงินการโฆษณาในแต่ละไตรมาส กลุ่มธุรกิจโชว์บิซ (คอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรี) ทำรายได้สูงสุดที่ 68 ล้านบาท สร้างปรากฏการณ์เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 107.45% และจำนวนคนดูกว่า 220,000 คน ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหรือกว่า 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากความสำเร็จอย่างล้นหลามของ Music Festival ระดับประเทศในช่วงไตรมาส 1 นี้ อาทิ เทศกาลดนตรี Rock Mountain, เฉียงเหนือเฟส, พุ่งใต้เฟส, นั่งเล มิวสิคเฟสติวัล และเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้นใหม่อย่าง FAAD Festival รวมถึงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่อย่าง Cocktail Ever Live ที่ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากแฟนเพลง “ นอกจาก 4 เสาธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GMM Music ยังสามารถรักษาการเติบโตได้ดี คือธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานอย่าง BLKGEM สถาบันศิลปะบันเทิงที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง GMM Music และ Harlem Shake ซึ่งบริหารโดยครูเจด้า – อภิสราฐ์ เพชรเรืองรอง สามารถสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 83% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา” ภาวิตเสริม พร้อมกล่าวถึง ด้านการผลิตคอนเทนต์ GMM Music มียอดการรับชมวิดีโอและฟังเพลงเติบโตกว่า 26% เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยส่วนของการรับชมวิดีโอ มีการเติบโตถึง 22% ด้วยยอดรับชม (วิว) จาก 4,472 ล้าน เป็น 5,492 ล้าน โดยส่วนของ Back Catalog เติบโต 13% ขณะที่ผลงานใหม่ (New Release) เติบโต 25% และส่วนของเพลงประเภท Audio เติบโต 49% ด้วยยอดรับฟัง (สตรีมมิ่ง) จาก 629 ล้าน เป็น 939 ล้าน โดยส่วนของ Back Catalog เติบโต 10% และผลงานใหม่ (New Release) เติบโต 24% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ ในปี 2567 GMM Music สร้างปรากฏการณ์ด้วยการสร้างรายได้รวมกว่า 4,056 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) เฉลี่ยอยู่ที่ 15% ต่อปี และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8.03% เมื่อเทียบกับงวดสิ้นปี 2566 โดยบริษัท ฯ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 10.73% รักษาระดับใกล้เคียงกันกับปีที่ผ่าน ๆ มา โดยมีอัตราเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) เฉลี่ย 19.53% ต่อปี “แม้สภาพเศรษฐกิจไทยจะเกิดความผันผวนอย่างหนัก หลายธุรกิจในอุตสาหกรรมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ถูกดิสรัปต์ และ เกิดภาวะชะลอตัวทางรายได้ แต่ธุรกิจเพลงยังคงเป็นเซ็กเตอร์ในอุตสาหกรรมเอนเตอร์เทนเมนต์ที่แข็งแกร่ง เติบโตผ่านพ้นกระแสดิสรัปชั่น ด้วยความมั่นคง และปรับตัวเข้าสู่โกรทธ์ สเตจ ได้เป็นอย่างดี” ภาวิต กล่าวทิ้งท้าย Alternate-X สรุปให้ ในปี 2568 ไทยยังจัด Music Festival และคอนเสิร์ตไทย–ต่างประเทศกว่า 1,000 งาน แม้เศรษฐกิจผันผวน สอดคล้องอุตสาหกรรมดนตรีไทยยังเติบโตเห็นได้จากผลดำเนินงน GMM Music ไตรมาสแรกกำไรพุ่ง 46% พร้อมเตรียมเปิด 2 ค่ายเพลงระดับอินเตอร์กับ Tencent Music และ Warner Music Asia ขณะที่ธุรกิจ กลุ่มโชว์บิซ (คอนเสิร์ต & เทศกาลดนตรี) โตแรง 107% มีผู้ชมกว่า 220,000 คน ขับเคลื่อนโดยเทศกาลดนตรีระดับชาติ ส่วนธุรกิจดิจิทัลมิวสิค รายได้เติบโตจาก Subscription และ Back Catalog พร้อมวางกลยุทธ์บริหารลิขสิทธิ์เพลงอย่างยาว โดย GMM Music ยังมุ่งสร้าง New Music Economy ด้วย Big Data, คอนเทนต์คุณภาพ และพันธมิตรระดับโลก
ตลาดรับสร้างบ้านยังโต สวนทางเศรษฐกิจ-ซบอสังหาฯ ‘แลนดี้ โฮม’ แก้เกมเจาะดีมานด์ทำเลศักยภาพ
‘แลนดี้ โฮม’ เผยยอดสั่งสร้างบ้านโตสวนกระแสเศรษฐกิจ เปิด 2 สาขาใหม่พร้อมกัน ‘บางนา’ และ ‘นครปฐม’ ย้ำสร้างบ้านคุณภาพ กลยุทธ์สร้างเชื่อมั่นให้ลูกค้าบอกต่อ พรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รับสร้างบ้าน แลนดี้โฮม เปิดเผยว่า บริษัทวางแนวทางการดำเนินธุรกิจเชิงรุกเพื่อรองรับความต้องการอยู่อาศัยผู้บริโภคในทำเลศักยภาพ สวนทางภาวะเศรษฐชะลอตัว โดยใน 6 เดือนแรกของปีนี้ที่ผ่านมา บริษัทฯ ใช้งบลงทุนรวมกว่า 90 ล้านบาท เปิดตัว ‘แลนดี้ โฮม’ 2 แห่ง คือ สาขานครปฐม ไปเมื่อเดือนมิถุนายน และ สาขาบางนา หนึ่งในทำเลยุทธศาสตร์เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่ง (High Net Worth) ตามเทรนด์ดีมานด์สร้างบ้านหรูโซนบางนาที่โตแรงต่อเนื่อง “แลนดี้ โฮม จะใช้ชูกลยุทธ์สร้างบ้านสวย คุณภาพดี บริการดี จนลูกค้าอยากบอกต่อ พร้อมชูไฮไลท์ นวัตกรรม CAPPlus ระบบเติม Fresh Air ป้องกันฝุ่น PM 2.5 ปลอดไวรัส ตั้งเป้ายอดขายรวม 2 สาขาใหม่ แตะ 500 ล้านบาท ภายในปี 2568 นี้” พรรัตน์ กล่าวพร้อมเสริมว่า สำหรับแนวทางดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวแลนดี้ โฮม เพื่อเข้าหากลุ่มลูกค้าศักยภาพในทำเลอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีแนวโน้มเติบโต แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะยังเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้าและต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น พรรัตน์ กล่าววว่า สำหรับสาขาบางนา เพื่อให้บริการลูกค้าสร้างบ้านหรู โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ในเขตตะวันออก ได้แก่ เขตบางนา,เขตประเวศ,เขตสวนหลวง,เขตพระโขนง, เขตลาดกระบัง จังหวัดสมุทรปราการ ได้แก่ อ.เมืองสมุทรปราการ, อ.บางพลี อ.บางบ่อ รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงอย่างจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้แก่ อ.บางปะกง อ.บ้านโพธิ์ และจังหวัด ชลบุรี ฝั่งตะวันตกได้แก่ ศรีราชา,บางละมุง เป็นต้น ทั้งนี้ จากข้อมูลของแลนดี้ โฮม พบว่าลูกค้าโซนพื้นที่บางนา มีความต้องการปลูกสร้างบ้านในระดับราคา 8-30ล้านบาท เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งปีแรกของปี 2568 ลูกค้าโซนดังกล่าวเน้นปลูกสร้างบ้านด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 500-1,000 ตร.ม. รองรับครอบครัวขยาย หรือครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มีผู้สูงอายุอยู่ร่วมกัน โดยสไตล์บ้านที่ลูกค้าชื่นชอบ เป็นบ้านสไตล์ Modern Luxury, Modern Classic และ European Mansion นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัทแลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับ ‘แลนดี้ โฮม สาขาบางนา’ ออกแบบมาภายใต้แนวคิด ‘Modern Gallery Experience’ ในรูปแบบ Art Gallery แสดงโมเดลแบบบ้านหลากไสตล์ และยังเป็นพื้นที่สำหรับพบปะและปรึกษากับสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบบ้านไว้ในที่เดียว โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ Communitiy Mall “For You Park” ติดถนนใหญ่ บางนา-ตราด ก่อนถึง Central Bangna 1.5 กิโลเมตร ด้วยขนาดพื้นที่ Showroom กว่า 150 ตารางเมตร นอกจากนี้ แลนดี้ แกรนด์ ธุรกิจผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและสร้างบ้านหรูแบบครบวงจร ได้เปิดตัวแบบบ้านใหม่ “CHOSON” บ้านหรูชั้นเดียว สไตล์รีสอร์ท เหมาะสำหรับสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศ ตอบโจทย์ครอบครัวขนาดใหญ่ และไลฟ์สไตล์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่า โดยแบบบ้านใหม่นี้ถูกนำมาจัดแสดงไว้ที่ สาขาบางนาเป็นครั้งแรก เพื่อให้ลูกค้าในพื้นที่สามารถสัมผัสโมเดลจำลอง พร้อมรับคำปรึกษาแบบ One-on-One กับดีไซเนอร์เฉพาะทางได้ทันที ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2568 ‘แลนดี้ โฮม’ มียอดขายรวมทั่วประเทศกว่า 1,200 ล้านบาท จากเป้ารวมทั้งปีที่วางไว้ 2,700 ล้านบาท แม้ตลาดรวมจะมีการชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ Alternate-X สรุปให้ แม้เศรษฐกิจชะลอตัวและตลาดอสังหาฯ โดยรวม แต่ตลาดรับสร้างบ้านยังเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มบ้านหรู เป็นโอกาสของ ‘แลนดี้ โฮม’ บุกทำเลบางนา รับดีมานด์ย่านนี้ยังขยายตัวต่อเนื่อง สร้างบ้านราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8-30 ล้านบาท เน้นฟังก์ชันเฉพาะ พร้อมปรับกลยุทธ์เน้นทำเลศักยภาพ-บริการออกแบบตามไลฟ์สไตล์
ไม่ต้องห่วงจีนหาย!! ครึ่งหลังปี68 ไทยยังมีโอกาส เจาะตลาด ‘CIS’ นทท.รัสเซียมาแรง
Yango Ads มองเศรษกิจเอเชียผันผวน ทำนักเดินทางปรับทริปพักสั้นลง-ลดไซส์กลุ่มเดินทาง ตลาดจีนหาย 30% แต่ไทยยังมีโอกาสอยู่ เนฮะ ดาวาร์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำประเทศไทยของ Yango Ad ผู้ให้บริการเทคโนโลยีโฆษณาระดับโลก กล่าวว่า ในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2568 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมายังประเทศไทยประมาณ 1.65 ล้านคน ลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในเอเชีย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ดังนี้ นักท่องเที่ยวเลือกที่พักแรมในระยะเวลาที่สั้นลง ลดขนาดกลุ่มเดินทาง พิจารณาจุดหมายปลายทางที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่ามากขึ้น เช่น เวียดนามและมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ดังกล่าวยังพบเบื้องหลังตัวเลขที่น่าสนใจ โดยข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ระบุตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 25 พฤษภาคม 2568 รัสเซียติดอันดับหนึ่งในสามของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยมากที่สุด ด้วยจำนวน 947,352 คน ตามหลังเพียงจีนและมาเลเซียเท่านั้น “ภูมิทัศน์การท่องเที่ยวของไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง โดยไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 9.55 ล้านคนในไตรมาสแรกของปีนี้ สร้างรายได้ 4.71 แสนล้านบาท แต่รายได้กลับเติบโตเล็กน้อยเพียง 2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้” เนฮะ กล่าวพร้อมเสริมว่า “ในภาคการท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเคยเป็นตลาดหลักที่ใหญ่ที่สุดของไทย มีสัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด” จากสถานการณ์ดังกล่าว ยังพบว่านักการตลาดหลายรายยังมุ่งเน้นไปที่ตลาดดั้งเดิม ขณะที่การเติบโตของการท่องเที่ยวยังถูกขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยนักเดินทางจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) และยุโรปตะวันออก ซึ่งรวมถึง รัสเซีย คาซัคสถาน และจอร์เจีย ทบทวนตลาดท่องเที่ยวไทย โดย ข้อมูลใหม่จาก Yango Ads ประกอบกับข้อมูลเชิงลึกจากหน่วยงานการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมในเอเชีย ยังชี้ชัดว่าถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะต้องทบทวนกลยุทธ์การตลาดในประเทศไทยใหม่ทั้งหมด ว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้คือใคร และทำไมจึงควรให้ความสำคัญ เนฮะ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากรัสเซีย คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน และประเทศในกลุ่มเครือรัฐเอกราช (CIS) ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเล็ก ๆ ที่ควรได้รับการมองข้ามอีกต่อไป “นักเดินทางกลุ่มนี้มีความต้องการด้านการท่องเที่ยวสูง และยังเป็นกลุ่มที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นหลัก เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล และวางแผนการเดินทางอย่างมีเป้าหมาย พวกเขาใช้จ่ายมากขึ้น พักนานขึ้น และท่องเที่ยวในสถานที่ที่ไกลกว่าที่เคย” จากข้อมูลดังกล่าว ถือเป็นโอกาสใหม่สำหรับนักการตลาดในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เคยถูกมองข้าม แต่กลับมีศักยภาพอย่างมหาศาลในปัจจุบัน และ จากรายงานอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวปี 2568 ของ Yango Ads ระบุ 40% ของนักท่องเที่ยวจากตลาดเหล่านี้ใช้จ่ายสูงถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทริป ส่วนใหญ่นิยมที่พักระดับ 4-5 ดาว ระยะเวลาการพักผ่อนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8-14 วัน 47% วางแผนการเดินทางล่วงหน้า 2-3 เดือน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างโอกาสทางการขาย และวางแผนการเปลี่ยนลูกค้าให้เป็นยอดจอง เนฮะ กล่าวว่า ด้วยแรงหนุนจากชนชั้นกลางที่มีฐานะดีขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ เส้นทางการบินที่ขยายตัว และความต้องการในการท่องเที่ยวระยะไกลที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดพักผ่อนระดับพรีเมียมที่เน้นประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ นักการตลาดในธุรกิจท่องเที่ยวที่ต้องการขยายธุรกิจในปี 2568 ไม่ควรมองข้ามกระแสที่กำลังเติบโตในตลาดเกิดใหม่ เพราะได้เห็นแล้วว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้พร้อมที่จะใช้จ่ายมากขึ้น พักอยู่นานขึ้น และกลับมาเพื่อสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและการพักผ่อนที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม “เพื่อรองรับสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และต้องรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์” เนฮะ กล่าว อย่างไรก็ตามในกลุ่มนักการตลาดยังคงมีความเข้าใจในกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้จำกัด รวมถึงวิธีที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนี้ได้อย่างแม่นยำ โดย อันดับแรก พฤติกรรมการเสพเนื้อหาดิจิทัลของนักเดินทางจากกลุ่ม CIS นั้น แตกต่างไปจากกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก อาทิ พฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์มโซเชียล Telegram และเครือข่ายการแสดงผลของโฆษณา (Ad Display Networks) ที่ไม่ใช่ระบบโฆษณาแบบตะวันตกที่ใช้กันแพร่หลาย แคมเปญ ที่สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาให้เข้ากับแพลตฟอร์มที่กลุ่มนี้ชื่นชอบ จากแนวโน้มดังกล่าว Yango Ads ได้นำข้อได้เปรียบให้บริการเพื่อเข้าถึงแพลตฟอร์มสำคัญที่กลุ่มเป้าหมายนี้ใช้ได้อย่างตรงจุด ด้วยการใช้ระบบนิเวศของ Yango เอง และการผนึกกำลังกับพันธมิตร AdTech ชั้นนำ ซึ่งรวมถึงเครือข่ายโฆษณาขนาดใหญ่ในยุโรปตะวันออก นอกจากนี้ ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายทีเฉพาะเจาะจงตามพื้นที่ พฤติกรรม และข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากฐานข้อมูลเว็บไซต์กว่า 50,000 แห่ง และแอปพลิเคชันกว่า 20,000 รายการในเครือข่าย โดยช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงนักท่องเที่ยวที่มีความต้องการสูงเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำในทุกช่วงของการวางแผนการเดินทาง ทั้งช่วงระหว่างการค้นหาข้อมูลวีซ่าไทย ข้อเสนอสุดคุ้มของโรงแรม หรือชายหาดที่ดีที่สุดในประเทศไทย ขณะที่ Yango Adsจะเข้ามาสนับสนุนนักการตลาดในภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทยด้วยโซลูชั่นต่างๆ ให้ตรงกับแรงจูงใจใหม่ๆ เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างตำแหน่งที่แข็งแกร่งเพื่อคว้าทั้งรายได้และส่วนแบ่งทางการตลาด ในโลกของการตลาดการท่องเที่ยวปัจจุบัน “ความเกี่ยวข้อง” สำคัญกว่า “การเข้าถึง” และนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะจองแล้ว Alternate-X ครึ่งแรกของปี 2568 นักท่องเที่ยวจีนหายไป 30% แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากกลุ่ม CIS โดยเฉพาะรัสเซีย คาซัคสถาน และจอร์เจีย มีบทบาทสำคัญ เข้ามาแทน ซึ่งกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง เที่ยวยาว และชอบประสบการณ์แบบพรีเมียม โดย Yango Ads เผยนักเดินทางกลุ่มนี้ใช้โซเชียลแบบเฉพาะ (เช่น Telegram) และแพลตฟอร์มโฆษณาเฉพาะทาง และเป็นโอกาสของธุรกิจท่องเที่ยวไทยควรปรับกลยุทธ์ เน้นแพลตฟอร์ม-ข้อความให้ตรงกับพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมาย รองรับการฟื้นตลาดจากนักท่องเที่ยวใหม่ที่มีคุณภาพและศักยภาพใช้จ่ายสูง
ศิริราชกาญจนาฯรับอนาคตสังคมสูงวัย-ป่วย NCDsพุ่ง ดึงพลังคอนฯพี่เบิร์ด ระดมทุนสร้างตึกIPD
‘ศิริราช’ ใช้พลัง ‘มิวสิค มาร์เก็ตติง’ ผ่านคอนเสิร์ต ‘BIRD FANFEST 20XX’ รอบการกุศล เครื่องมือระดมทุนสร้างอาคารหอผู้ป่วยในศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะ ‘สถาบันการแพทย์ของแผ่นดิน’ ดำเนินการภายใต้พันธกิจ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.ให้การเรียนการสอนเพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ, 2.การให้บริการทางการแพทย์ที่เป็นเลิศ-ดูแลผู้ป่วยทุกฐานะอย่างเสมอภาคเท่าเทียม 3.สร้างองค์ความรู้ใหม่ผ่านกระบวนการทำวิจัยและสร้างนวัตกรรม และ 4. เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการรักษาผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ปัจจุบันมีเครือข่ายให้บริการทางการแพทย์ 5 แห่งประกอบด้วย โรงพยาบาลศิริราช:โรงพยาบาลหลักของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: วางตำแหน่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก: มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ศูนย์บริการสุขภาพผู้สูงอายุศิริราช-สมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร คลินิก ICS หรือ SIRIRAJ H SOLUTIONS ตั้งอยู่ชั้น 5 ICS Lifestyle Complex ตรงข้ามศูนย์การค้าไอคอนสบาม สำหรับศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 ถือเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างโอกาสเข้าถึงการรักษาให้ประชาชนในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพมหานครและ 8 จังหวัดใกล้เคียง คือ สุพรรณบุรี นครปฐม, ราชบุรี, เพชรบุรี, สมุทรสาคร, สมทุรสงคราม, ประจวบคิรีขันธ์ และ กาญจนบุรี ให้ผู้ป่วยได้รับบริการการรักษามาตรฐานเดียวกันกับโรงพยาบาลศิริราช โดยขณะนี้ศิริราช-กาญนา อยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน (IPD) หลังใหม่ และของบประมาณแผ่นดินราว 1,000 ล้านบาท และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสัดส่วน 60% ซึ่งยังมีความต้องการงบประมาณสนับสนุนอีกราว 200-300 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้2 ส่วนหลัก คือ ขยายเตียงผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 200 เตียงจากปัจจุบันให้บริการราว 200 เตียง รวมเป็น 400 เตียง งานบริการในด้านอื่นๆให้ครอบคลุมการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยทุติยภูมิ (Secondary Care) ในโรคที่ซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สูงขึ้น เช่น มะเร็ง, โรคหัวใจ, เทคโนโลยีส่องกล้องทางเดินอาหาร เป็นต้น “งานบริการทางการแพทย์ดังกล่าวของศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ยังเพื่อแบ่งเบางานสาธารณสุขจังหวัดเขต5 รวมถึงดูแลผู้ป่วยเคสส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศิริราชที่ปัจจุบันมีจำนวนคนไข้จากทั่วประเทศเข้ามาใช้บริการหนาแน่นในทุกวัน” ศ.นพ.อภิชาติ กล่าวพร้อมเสริมว่า “ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก จำเป็นต้องขยายโครงสร้างพื้นฐานทั้งอาคาร/อุปกรณ์งานบริการทางการแพทย์เพื่อรองรับผู้ป่วยจำนวนดังกล่าว และจะมีแนวโน้มขยายตัวสูงในอนาคต จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประชากรไทยจะเพิ่มขึ้น 4-5 เท่าตัวในอนาคต และตามมาด้วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตามมาอีกเช่นกัน” สำหรับอาคารหอผู้ป่วยในหลังใหม่ จะมีความสูงขนาด5 ชั้น สามารถรองรับผู้ป่วยนอก (OPD) โดยวางแผนก่อสร้างแล้วเสร็จภายในช่วงปี 2570-2572 พลังแห่งคอนพี่เบิร์ด ระดมทุนสร้างตึกใหม่ ด้าน รศ.นพ.ธีระ กลลดาเรืองไกร ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าในอนาคตจะมีผู้ป่วยในเขตกรุงเทพมหานคร รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงเข้ามารับบริการอีกเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2567 รองรับผู้ป่วยนอกได้เฉลี่ยปีละประมาณ 670,000 ราย ส่วนในปี 2568 มีจำนวนผู้มาใช้บริการอาจจะถึง 718,800 ราย และผู้ป่วยนอกจะเพิ่มเป็น 756,000 ราย ในปี 2569 “ปัจจุบันโรงพยาบาลมีเตียงเพียง 200 เตียง และอาคารหอผู้ป่วยในหนึ่งหลัง ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับจำนวนผู้ป่วยอีกต่อไป จึงมีความจำเป็นต้องสร้างอาคารหอผู้ป่วยในเพิ่ม บนพื้นที่จอดรถทางทิศตะวันตกต่อเนื่องกับพื้นที่ของอาคารปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับผู้ป่วยในจากเดิม 200 เตียง เป็น 400 เตียง” รศ.นพ.ธีระ กล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในเบื้องต้น ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ได้ร่วมกับพันธมิตร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ในกิจกรรมคอนเสิร์ต ‘BIRD FANFEST 20XX’ รอบการกุศล : ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในรอบการแสดง 20.00 น. ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2568 นี้ เพื่อนำรายได้จากการจำหน่ายบัตรรอบดังกล่าว เพื่อระดมทุนสร้างอาคารหอผู้ป่วยใน ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก “ศูนย์การแพทย์ฯ ยังต้องใช้งบประมาณอีกราว 270 ล้านบาท เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และจากคอนเสิร์ตฯ ครั้งนี้ คาดจะได้การตอบรับดีจากประชาชนคนไทยและได้รับทุนสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท” รศ.นพ.ธีระ กล่าว เชื่อมความสนุกมาครบทุกเจนฯ โดยคอนเสิร์ต ‘BIRD FANFEST 20XX’ ครั้งนี้ ยังมีความพิเศษด้วยเป็นการรวมกันของ 3 ไอดอลนักร้องหนุ่มซูเปอร์ฮอท จากทุกเจเนอเรชั่น บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล หนุ่ม GEN Z โตมากับเพลงพี่เบิร์ด , โจอี้ ภูวศิษฐ์ หนุ่ม GEN Y โตมาม่วนกับพี่เบิร์ด และ ก้อง สหรัถ หนุ่ม GEN X โตมาด้วยกันกับพี่เบิร์ด มาร่วมสร้างความสนุกสนานและความประทับใจระดับซูเปอร์ FANFEST ให้กับแฟนๆ ในครั้งนี้ ผู้สนใจซื้อบัตรคอนเสิร์ตรอบการกุศลเพื่อนำรายได้สมทบทุนสร้างอาคารหอผู้ป่วยใน ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก บัตรราคา 10,000 / 9,500 / 9,000 / 8,500 / 7,000 / 6,000 / 4,500 / 3,500 และ 3,000 บาท (สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ตามกรมสรรพากรกำหนด) สอบถามข้อมูลจองบัตรคอนเสิร์ตได้ที่งานสื่อสารองค์กร โทร.063-195-4174, 064-931-7415 หรือ LINE OA : @sigj.event ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป และนอกจากนี้ บัตรรอบการกุศล บัตรราคา 3,500 / 3,000 บาท (สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ตามกรมสรรพากรกำหนด) จะมีจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. ทาง COUNTER SERVICE ALL TICKET ในร้าน 7-ELEVEN ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่ www.allticket.com สำหรับการแสดงรอบบุคคลทั่วไปในวันเสาร์ที่ 22 และวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 เปิดจำหน่ายบัตรพร้อมกัน ในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. ทาง COUNTER SERVICE ALL TICKET ในร้าน 7-ELEVEN ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่ www.allticket.com Alternate-X สรุปให้ ศิริราชใช้พลัง “คอนเสิร์ตพี่เบิร์ด” พร้อมจัดรอบพิเศษการกุศล “BIRD FANFEST 20XX” วันที่ 21 พ.ย. 2568 พร้อมรวม 3 ไอดอลจาก 3 เจเนอเรชัน ร่วมขึ้นเวทีเพื่อภารกิจแห่งน้ำใจ ระดมทุนสร้างอาคารผู้ป่วยใน (IPD) ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก เพื่อรองรับผู้ป่วยเพิ่มเป็น 400 เตียง คาดระดมทุนได้ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท
ไปลองกันไหม?!? KAYAKI ปิ้งย่างแนวใหม่ ‘เนื้อปลา’ พรีเมียมเจ้าแรกในไทย
3 ทายาทตระกูล ‘กอบกุลสุวรรณ’ ไปต่อไม่พักธุรกิจใหม่ร้านอาหารญี่ปุ่น KAYAKI มาพร้อมแนวคิด ‘YAKIZAKANA’ แลนดิงสาขาแรกในไทย โครงการ Yard 49 ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศยังมีแนวโน้มขยายการเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องข้อมูล องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ ‘เจโทร’ กรุงเทพฯ ระบุจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยมีทั้งหมด 5,916 ร้าน เพิ่มขึ้น 165 ร้าน มีอัตราเพิ่มขึ้น 2.9% เทียบกับปีก่อนหน้า แน่นอนว่า ตัวเลขการเติบโตแบบนี้ ยังสะท้อนดีมานด์ผู้บริโภคในตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยเป็นอย่างดี และเป็นโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความพร้อมเข้ามาเล่นในเซ็กเมนต์นี้ เช่นเดียวกับ ‘เบ๊นซ์-ปณิธาน, โบ๊ท-ปณิธิ และ คุณเพลน-ปวิตรา 3 พี่น้องทายาทอาณาจักรธุรกิจตระกูลกอบกุลสุวรรณ ที่ดำเนินกิจการหลากหลายอุตสาหกรรมทั้ง ทั้งธุรกิจโรงแรม, ธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องจักรอุตสาหกรรม, บริษัท ไทยสากล กรุ๊ป จำกัด, ธุรกิจร้านอาหาร Kay’s Boutique Breakfast ร้านอาหารเช้าที่มีชื่อเสียงจากเมนูอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ KANORI Hand roll bar ร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทแฮนด์โรลที่เปิดเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ล่าสุด ‘สามพี่น้อง กอบกุลสุวรรณ’ ออกมาย้ำความเป็นเจ้าแรกในไทยอีกครั้ง เปิดตัวร้านอาหารญี่ปุ่นแนวปิ้งย่าง KAYAKI มาพร้อมกับแนวคิด YAKIZAKANA มาเอาใจสายปิ้งย่างระดับพรีเมียมแบบฉบับญี่ปุ่น พร้อมเล่าที่มาของร้าน เกิดจากความชื่นชอบของรับประทานอาหารญี่ปุ่นของครอบครัวที่เมื่อหาเวลาตรงกันได้เมื่อไหร่ก็จะรวมตัวบินไปพักผ่อนญี่ปุ่น เพื่อตระเวนชิมเมนูเด็ดประจำท้องถิ่น และในทุกครั้งที่มีโอกาสไปพักผ่อนในญี่ปุ่น ก็มักได้ทั้งไอเดียและแรงบันดาลในการทำธุรกิจในเครือ บริษัท ไทยสากลฯ ซึ่งล่าสุดได้ร้าน “KAYAKI” เปิดให้บริการเป็นแห่งแรกในไทย ในคอนเซปต์ YAKIZAKANA (YAKI= ย่าง, ZAKANA=ปลา) เพื่อให้ทุกคนร่วมเปิดประสบการณ์ปิ้งย่างเนื้อปลาระดับพรีเมียมแบบญี่ปุ่น มาพร้อมจุดเด่นวัตถุดิบเกรดซาชิมิส่งตรงจากญี่ปุ่น ย่างแบบพิเศษ เสิร์ฟคู่กับข้าวซูชิร้อน ๆ และน้ำจิ้มสูตรเฉพาะที่มาช่วยชูรสปลาแต่ละชนิดให้อร่อยแบบเต็มคำ!ได้กันที่ โครงการ Yard 49 บนทำเลซอยสุขุมวิท 49 ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน นี้ บนทำเลซอยสุขุมวิท 49 โครงการ Yard 49 Alternate-X สรุปให้ ‘KAYAKI’ ร้านปิ้งย่างญี่ปุ่นแนวใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในไทยที่ Yard 49 สุขุมวิท 49 โดย 3 ทายาทตระกูล ‘กอบกุลสุวรรณ’ ชูคอนเซปต์ YAKIZAKANA ปิ้งย่าง “เนื้อปลา” พรีเมียม เสิร์ฟวัตถุดิบเกรดซาชิมินำเข้าจากญี่ปุ่น เสิร์ฟคู่ข้าวซูชิและน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ ตอบรับดีมานด์ตลาดอาหารญี่ปุ่นในไทยที่ยังเติบโตต่อเนื่อง พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ให้สายกินแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ
มอนิเตอร์ใกล้ชิด ‘บิ๊กซี’ 20 สาขาในกัมพูชา มี ‘คนไทย’ หนึ่งเดียวคุมเขมร 150 คน
ในงานแถลงข่าวเปิดตัวสาขาใหม่ ‘บิ๊กซี แอท ฟีนิกซ์’ (Big C at Phenix) อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา ‘คุณโอ๊ะ’ ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เล่าถึงธุรกิจห้างซูเปอร์เซ็นเตอร์ ‘บิ๊กซี’ ในกัมพูชา ที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 20 สาขา โดย 19 สาขาเป็นมินิ บิ๊กซี และอีกหนึ่งสาขาเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตตั้งอยู่ที่เมืองปอยเปต และจากสถานการณ์ความตึงหน้าใส่กันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ตลอดช่วงที่ผ่านมา ‘คุณโอ๊ะ’ บอกว่าทางสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย ต่างเฝ้าติดตามทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด ด้วย ณ ปัจจุบันนี้ บิ๊กซี สาขากัมพูชาในภาพรวมยังดำเนินการไปตามปกติ จะมีปัญหาอยู่บ้างก็เรื่องไฟฟ้าดับในประเทศ แต่ก็แก้ไขได้ด้วยสาขาบิ๊กซี มีเครื่องปั่นไฟไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ คุณโอ๊ะ ก็ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะต้องชะลอแผนขยายสาขาใหม่ในกัมพูชาออกไปก่อนจากสถานการณ์ดังกกล่าว ที่ปัจจุบันวางทำเลในเมืองปอยเปตซึ่งเป็นเมืองที่มีความครบหลายด้านทั้งแหล่งท่องเที่ยว และความบันเทิง ซึ่งหากดูแล้วว่ายังไม่พร้อมก็จะมีการ รีโลเคท หรือปรับย้ายไปยังทำเลอื่นในอนาคต ส่วนพนักงานบิ๊กซีในกัมพูชานั้น ‘คุณโอ๊ะ’ ย้ำว่ายิ่งต้องใส่ใจอย่างใกล้ชิด ที่ในตอนนี้มีพนักงานคนไทยเพียงหนึ่งเดียวที่รับตำแหน่ง ‘Head’ ดูแลสาขาทั้งหมดและพนักงานชาวกัมพูชาที่ทำงานร่วมกับบิ๊กซีที่มีถึง 150 คนเลยทีเดียว
แผน ‘บิ๊กซี’ ครึ่งหลังปี68 บาลานซ์กำลังซื้อค้าปลีก เปิด 4 สาขาใหม่-โฟกัสสาขาท่องเที่ยว
นายหญิงบิ๊กซีฯ ปรับแผนดึงกำลังซื้อนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มทดแทนยอดจับจ่ายในประเทศชะลอจากเศรษฐกิจหงอย แต่ปีนี้ยังไหวเปิดอีก 7 สาขาใหม่ ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่าในปี 2568 บริษัทฯ วางแผนขยายสาขาบิ๊กซี จำนวน 7 สาขาใหม่ โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเปิดแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ บิ๊กซี สาขาสวนนงนุช จังหวัดชลบุรี , บิ๊กซี สาขาหัวหินมาร์เช่ ในโครงการศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ ล่าสุดสาขาใหม่ ‘บิ๊กซี แอท ฟีนิกซ์’ (Big C at Phenix) ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา พร้อมวางแผนทยอยเปิดอีก 4 สาขาใหม่ ได้แก่ 1.บิ๊กซี สาขาเพชรไพบูลย์ จังหวัดเพชรบุรี 2.บิ๊กซี สาขา จตุจักร กรุงเทพฯ เป็นโครงการขนาด 2 คูหาตั้งอยู่ในโครงการตลาดนัดสวนจตุจักร 3.บิ๊กซี สาขาบางนาเพลส 4. บิ๊กซี สาขาเยาวราช โดยจะเปิดตัวพร้อมกับโครงการ ‘เวิ้งนครเกษม เยาวราช’ ภายใต้การพัฒนาของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทในเครือกลุ่มทีซีซี เช่นกันกับบิ๊กซี นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนทยอยปรับโฉมใหม่ บิ๊กซี สาขาท่องเที่ยว (Tourist Mall) จำนวน 10 สาขาใหม่ในทำเลต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ สาขาหัวหมาก, สาขารัชดาภิเษก, สาขาหาดกมลา จังหวัดภูเก็ต, สาขาเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เป็นต้น จากปัจจุบันมี บิ๊กซีสาขาท่องเที่ยวรวมกว่า 60 แห่งทั่วประเทศ และมีสาขาทั้งหมดในปัจจุบัน 205 แห่ง “แต่ละสาขาจะใช้งบลงทุนในการปรับปรุงที่แตกต่างกันทั้งคอนเซปต์หรือไซส์ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ราว 220 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งจำนวน7 สาขาใหม่ในปีนี้ถือว่ามากกว่าในปีที่ผ่านมาเปิดราว 3-4 สาขาใหม่” ฐาปนีย์ กล่าวพร้อมเสริมว่า สำหรับแผนขยายสาขาเพิ่มพร้อมปรับโฉมใหม่ในสาขาท่องเที่ยวของบิ๊กซี ส่วนหนึ่งยังเป็นแผนการบริหารกำลังซื้อและการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นี้ เพื่อให้มีความสมดุลกับกำลังซื้อของในประเทศไทย ที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย นับจากต้นปีที่ผ่านมา เช่นกัน ขณะที่ นักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มคนจีนที่มีจำนวนลดลง และเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าหายไปราว 10-20% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนซึ่งเป็นเทศกาลสงกรานต์ซึ่งมักมีความคึกคัก อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา เริ่มมีบรรยากาศการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวในกลุ่มซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม และเมียนมา) รวมถึงกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ที่เริ่มกลับคืนมา (YoY) แล้วเช่นกัน ฐาปนีย์ กล่าวเสริมถึง‘บิ๊กซี แอท ฟีนิกซ์’ (Big C at Phenix) เป็นฟอร์แมทไฮเปอร์มาร์เก็ต ขนาดพื้นที่ 2,500 ตารางเมตร ตั้งอยู่บริเวณชั้น G ของ โครงการฟีนิกซ์ ซึ่งป็นโกลบอล ฟู้ด ฮับ มีจุดแข็งทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ บริเวณประตูน้ำ ด้วยเป็นย่านทั้งที่พักอาศัย โรงแรม และคอนโดมิเนียม มีแหล่งท่องเที่ยวและการคมนาคมสะดวกใกล้รถไฟฟ้า BTS และ Airport Rail Link โดยสาขาฯ ดังกล่าวยังเหมือนยก บิ๊กซี สาขาราชดำริ ซึ่งเป็นสาขายอดนิยมอันดับ 1 ของลูกค้าต่างชาติ มาไว้ที่โครงการฟีนิกซ์ เพื่อรองรับความต้องการการช้อปปิ้งของกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว ทั้งนี้ จากแผนดังกล่าวในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะผลักดันให้ธุรกิจมีอัตราการเติบโตหนึ่งหลัก (Single Digit) Alternate-X สรุปให้ บิ๊กซี’ ปรับแผนสู้เศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 2568 ทั้งปีเปิด 7 สาขาใหม่ เน้นทำเลท่องเที่ยวทั้งในกรุงเทพฯ–ภูเก็ต–พัทยา โฟกัสนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลุ่ม CLMV-ตะวันออกกลาง หลังจีนชะลอ ทยอยรีโนเวต 10 สาขาท่องเที่ยว ใช้งบเฉลี่ย 220 ล้านบาท/สาขา ตั้งเป้าโตเลขหลักเดียว (Single Digit) ทั้งปี
ย้อนเส้นทาง 8 ปี คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ฯ สู่รางวัล CSR องค์กรไทยในเวทีโลก
คิง เพาเวอร์ องค์กรธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว ‘ดิวตี้ฟรี’ รายใหญ่ของไทย ที่ดำเนินกิจการร่วม 36 ปี แม้ว่าในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาข้อตกลงใหม่กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOT เพื่อจัดการภาระค่าเช่าและแบ่งรายได้ร่วมกันเพื่อให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากตัดภาพไปยังการนำองค์กรเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อสังคม หรือ ซีเอสอาร์ (CSR) ซึ่ง ‘คิงเพาวเวอร์’ ได้ให้ความสำคัญด้านนี้มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการกิจกรรมเพื่อสังคม ‘คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย’ ด้วยแนวคิดหลัก ‘เชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย’ พร้อมหาจุดเชื่อมพลังของคนไทย ด้วยการส่งเสริมและพัฒนาความสามารถในด้านต่างๆ ที่สุดท้ายยังนำไปสู่การขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน ที่ได้ดำเนินโครงการฯ มาตลอด 7 ปีและเข้าสู่ปีที่ 8 ในปัจจุบัน จากการดำเนินโครงการกิจกรรมเพื่อสังคม ‘คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย’ ดังกล่าว ในปี 2568 นี้ คิงเพาเวอร์ ยังได้รับรางวัลทรงเกียรติระดับโลก ‘3G Championship Award in CSR 2025’ ต่อเนื่องปีที่ 4 จากงาน GLOBAL GOOD GOVERNANCE (3G) AWARDS 2025 ณ ประเทศบรูไน อีกครั้ง โดยรางวัลฯ ดังกล่าว ยังเป็นการยืนยัน ความเป็นเลิศในการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาล ความยั่งยืน ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคม สอดคล้องกับเป้าหมายโครงการฯ ที่วางไว้ ทั้งนี้ หากย้อนความสำเร็จโครงการฯ ดังกล่าวที่ ‘คิง เพาเวอร์’ ได้รับรางวัลนี้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องและการดำเนินงานที่แท้จริงด้าน CSR ที่เป็นส่วนหนึ่งของ DNA องค์กรที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยโครงการฯ นี้ มุ่งส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของคนไทยอย่างครอบคลุมผ่าน 3 ด้านหลัก ได้แก่ แรร์ไอเทม ‘ลูกฟุตบอลคิงเพาเวอร์’ ด้านกีฬา : โครงการล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย ส่งมอบลูกฟุตบอลคุณภาพมาตรฐานจำนวน 1 ล้านลูกให้กับเยาวชนไทย สำหรับฝึกพัฒนาทักษะกีฬา และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันได้แจกไปแล้ว980,000 ลูก และอาจเรียกได้ว่าเป็นลูกฟุตบอลหายาก ซึ่งเป็นที่ต้องการในสนามฟุตบอลในพื้นที่ชุมชนห่างไกลอีกด้วย โครงการ 100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย จัดสร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียมมตาฐานสากลขนาด 7 คนเล่น ส่งมอบให้กับโรงเรียนและชุมชนจำนวน 100 แห่งครอบคลุมทุกภูมิภาค ปัจจุบันได้ส่งมอบไปแล้วจำนวน 97 แห่ง ดึงพลังคนรุ่นใหม่ ผ่านดนตรี ด้านดนตรี : โครงการประกวดแข่งขันดนตรีสากลคุณภาพระดับประเทศ The Power Band สนับสนุนเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่รักในเสียงดนตรีได้มีเวทีให้การแสดงศักยภาพและเปิดโอกาสให้นักดนตรี มีพื้นที่ในการแสดงพลังแห่งความเป็นไปได้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ สานฝันสู่การเป็นศิลปินอาชีพ ปัจจุบันกำลังจัดการประกวดแข่งขันดนตรี THE POWER BAND 2025 SEASON 5 การประกวดวงดนตรีสากลประจำปี 2568 ภายใต้คอนเซปต์ “MUSIC CREATES MORE POSSIBILITIES พลังดนตรี เป็นไปได้ ไม่สิ้นสุด” โดย คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ร่วมกับวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดลและร่วมกับพันธมิตรค่ายเพลงชั้นนำของไทย ได้แก่ Muzik Move, Smallroom, LOVEiS Entertainment, What The Duck, Warner Music Thailand, และ XOXO Entertainment. นอกจากนี้ ยังมี Singha Corporation, T-POP STAGE, The Guitar Mag, และ Yamaha Music Thailand เป็นพันธมิตรอีกด้วย ปัจจุบันมีผู้สนใจเช้าร่วมประกวดทั้ง 5 Seson รวมมากกว่า 5000 คน ปัจจุบันนักดนตรีที่เข้าประกวดสามารถก้าวไปสู่การเป็นศิลปิน จำนวน 2 วง ได้แก่วง PINGPING PANPAN (ปิ๊งปิ๊ง-ปันปัน) และ KRYPTONYTE พาสินค้าชุมชนสู่สากล ด้านชุมชน: สนับสนุนภูมิปัญญาของคนไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก โดยร่วมกับชุมชนต่างๆ ครอบคลุมทุกภูมิภาคประเทศไทย ผลิตคอลเลกชันของที่ระลึกสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ เพื่อนำไปจำหน่ายที่ประเทศอังกฤษ สร้างการรับรู้ถึงวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทย ปัจจุบันได้ร่วมกับชุมชนต่างๆ ผลิตสินค้ามาแล้วจำนวน 7 คอลเลคชัน นอกจากนี้ในยามที่เกิดภัยพิบัติต่างๆ กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ยังได้จัดส่งกระเป๋ายังชีพไปส่งมอบให้กับผู้ประสบภัยฯ ไปแล้วกว่า 7000 ครอบครัว จากโครงการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการมานั้น แสดงให้เห็นถึงปรัชญาการดำเนินงานที่ทำให้ คิง เพาเวอร์ พร้อมลงทุนเพื่ออนาคตของสังคมไทยให้เป็นที่ยอมรับระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ ‘CSR’ ด้วยสุดท้ายยังส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนไปด้วยกัน Alternate-X สรุปให้ คิง เพาเวอร์ เดินหน้ากิจกรรม CSR ผ่านโครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ต่อเนื่อง 8 ปี ส่งมอบลูกฟุตบอลกว่า 980,000 ลูก สร้างสนามฟุตบอล 97 แห่งทั่วไทย พร้อมจัดเวทีประกวดดนตรี The Power Band ผลักดันเยาวชนสู่การเป็นศิลปินมืออาชีพ และยังสนับสนุนสินค้าชุมชนไทยสู่ตลาดต่างประเทศผ่านของที่ระลึกสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่นำไปสู่การได้รับรางวัล CSR ระดับโลก 4 ปีซ้อน ตอกย้ำความยั่งยืนและธรรมาภิบาลองค์กรไทย
ทำได้จริง ‘ห้องเรียนสีเขียว’ เปลี่ยนขยะพิษเป็นสื่อเรียนรู้ จากโครงการเก่าแลกใหม่’เพาเวอร์บาย’
เรียกว่าทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่3 แล้วสำหรับโครงการ ‘เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ ของเพาเวอร์บาย กับมิสชันนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ สู่โฉมใหม่ ‘ห้องเรียนสีเขียว’ เพิ่มโอกาสการศึกษาอย่างยั่งยืน พัชราภรณ์ วรยิ่งยง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า ‘เพาเวอร์บาย’ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่าเนื่องในเดือนแห่งสิ่งแวดล้อมโลก มิถุนายน ของทุกปี ‘เพาเวอร์บาย’ ได้มีส่วนร่วมต่อยอดโครงการ ‘เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ เป็นปีที่ 3 ภายใต้แนวคิด Circular Economy ด้วยการเปลี่ยนขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้กลายเป็นสื่อการเรียนรู้ โดยโครงการฯ ในปีนี้ ได้ส่งมอบให้แก่มูลนิธิพระดาบส และโรงเรียนพระดาบส เพื่อใช้ในการพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในพันธกิจองค์กรต่อการดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระยะยาว “เพาเวอร์บายมุ่งยกระดับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกด้าน ทั้ง สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) พร้อมร่วมมือจากทุกภาคส่วน ถือเป็นหัวใจการขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตอย่างสมดุล” พัชราภรณ์ วรยิ่งยง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด สำหรับโครงการ ‘เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างเพาเวอร์บาย และแบรนด์พันธมิตร เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมง่ายๆ ผ่านการบริจาคเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า พร้อมรับสิทธิพิเศษในการซื้อสินค้าใหม่ โดยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่หันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการบริโภคอย่างมีจิตสำนึก โดยเพาเวอร์บายมุ่งเน้นให้โครงการเกิดคุณค่าใน 2 แกนหลัก ได้แก่ สิ่งแวดล้อม – ส่งเสริมการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้อง ลดปริมาณของเสียที่ยากต่อการย่อยสลาย พร้อมนำเข้าสู่กระบวนการใช้ซ้ำ (Reuse) หรือรีไซเคิล (Recycle) อย่างมีประสิทธิภาพ สังคมและการศึกษา – เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่ผ่านการคัดแยกจะถูกส่งต่อให้มูลนิธิพระดาบส นำไปใช้เป็นอุปกรณ์การเรียนรู้ในการฝึกอบรมด้านช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เปิดโอกาสให้เยาวชน และผู้เรียนได้พัฒนาทักษะที่สามารถต่อยอดสู่อาชีพในอนาคตอย่างมั่นคง “จากเจตนารมณ์ การเป็นพลังเล็กๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ ทำให้เพาเวอร์บายยังคงเดินหน้าสื่อสาร สร้างความตระหนักรู้ และขยายผลโครงการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพื่อให้โครงการนี้เป็นต้นแบบของการเชื่อมโยงระหว่าง เทคโนโลยี คน และสิ่งแวดล้อม เพื่อโลกและชีวิตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืนต่อไป” พัชราภรณ์ กล่าว Alternate-X สรุปให้ เพาเวอร์บายเดินหน้าโครงการ “เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ปีที่ 3 เปลี่ยนขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสื่อการเรียนรู้ใน “ห้องเรียนสีเขียว” สนับสนุนโรงเรียนพระดาบส พัฒนาทักษะอาชีพเยาวชน พร้อมตอบโจทย์แนวคิด Circular Economy ลดของเสีย สร้างประโยชน์ ร่วมยกระดับ ESG ด้วยความร่วมมือภาคธุรกิจและผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
เจาะเทรนด์อีคอมเมิร์ซ ‘AI’ ผู้ช่วยหลักธุรกิจอนาคต ‘เอสเอ็มอี’ รุ่นใหม่ต้องรู้ทันแพลตฟอร์ม
สถานการณ์ ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ในปี 2568 คาดมีมูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท เติบโต 7% จากในปี 2566 อยู่ที่ราว 1 ล้านล้านบาท เติบโต 9% จากปีก่อนหน้า จากตัวเลขอัตราการเติบโตดังกล่าว สะท้อนแนวโน้มการขยายตัวของตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ที่ยอมเปย์ให้กับช่องทางการซื้อขายใกล้ตัวที่อยู่บนฝ่ามือ เพียงแค่เลื่อนปัดผ่านจอแก็ดเจ็ตต่างๆ ก็สามารถสร้างธุรกรรมออนไลน์ให้เสร็จสิ้นได้เพียงช่วงไม่กี่นาที เท่านั้น จากความง่ายและสะดวกพร้อมกับสินค้าหลากหลายบนโลกออนไลน์ กลายเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ตลาดอีคอมเมิร์ซ ส่อแววแข่งขันกันอย่างสนุกสนานผสมความดุเดือดทั้งจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไปจนถึงเจ้าของสินค้า แบรนด์ พ่อค้า/แม่ค้า ออนไลน์ เช่นกัน เพื่อรองรับตลาดอีคอมเมิร์ซในปอีก 5 ปีข้างหน้า หรือราวปี 2573 จะมีมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้านบาท แนวโน้มดังกล่าว ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระดับโลก ร่วมกับลาซาด้า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลก จัดสัมมนา ‘Future Trends in E-commerce: Driving Growth with AI on E-commerce’ รวมพลังผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการดิจิทัลโซลูชันสำหรับธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซและบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต สยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวถึง เทคโนโลยี โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางด้าน AI จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน “ความร่วมมือกับลาซาด้าในครั้งนี้เป็นการเชื่อมต่อนวัตกรรมด้านอีคอมเมิร์ซกับโซลูชันทางการเงินของธนาคาร เพื่อสนับสนุตบลานผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตและแข่งขันได้อย่างทันท่วงที” สยุมรัตน์ กล่าว สำหรับไฮไลต์สำคัญของงาน คือ การแบ่งปันความรู้ด้านกลยุทธ์การใช้ AI ในการทำตลาดดิจิทัล เจาะลึกเทรนด์การค้าบนโลกออนไลน์ และเทคนิคการเพิ่มยอดขายบนแพลตฟอร์มลาซาด้า โดยในงานนี้ ลาซาด้า ยังได้แนะนำฟีเจอร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ขายเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขาย ปรับปรุงการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินและเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี อย่างมีประสิทธิภาพ จากพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันที่ช่วยเอสเอ็มอีบริหารจัดการธุรกิจ ได้แก่ PEAK โซลูชันระบบจัดการบัญชี และ ZORT ระบบจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้า นอกจากนี้ ยังมีการแชร์เคล็ดลับความสำเร็จจากแบรนด์ไทยชั้นนำอย่าง AIMER แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น และ INGU Skin แบรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่นด้วยสารสกัดจากธรรมชาติคุณภาพสูง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการในการสร้างธุรกิจให้เติบโตในโลกออนไลน์ งานสัมมนาครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจของธนาคารยูโอบี และลาซาด้า ในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้มีความรู้ เครื่องมือ และโซลูชันทางการเงินที่จำเป็นต่อการเติบโตบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว Alternate-X สรุปให้ ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2568 คาดแตะ 1.07 ล้านล้านบาท โต 7% จากปีก่อน โดยแนวโน้มการเติบโตสอดคล้องพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมช้อปผ่านมือถือ ด้านยูโอบีจับมือลาซาด้าจัดสัมมนา “Future Trends in E-commerce” ชูบทบาท AI ขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมแนะนำฟีเจอร์ AI ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพผู้ขายและประสบการณ์ลูกค้า ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยด้วยโซลูชันการเงิน-ดิจิทัล พร้อมแรงบันดาลใจจากแบรนด์ไทยดัง
ชวนเที่ยวฝั่งกรุงธนบุรีใต้ เดอะมอลล์ฯบางแค จัดของดี 7เขตมัดรวมไว้หนุนเศรษฐกิจชุมชน
เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค ศูนย์การค้าที่เติบโตมาพร้อมกับชาวฝั่งธนบุรี มาแล้วหลายเจนฯ จนรู้จักทั้ง 7 เขตมีของดี OTOP พร้อมมัดรวมไว้ในงาน ‘มหกรรมของดีกลุ่มเขตกรุงธนใต้ ครั้งที่ 18’ ที่ไม่ควรพลาด!! เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร จับมือ 7 เขตกลุ่มกรุงธนใต้ จัดงาน ‘มหกรรมของดีกลุ่มเขตกรุงธนใต้ ครั้งที่ 18’ พร้อมอัตลักษณ์ชุมชนและของดีสินค้าหัตถศิลป์ OTOP ระดับ 5 ดาว รวมกว่า 58 ร้านค้า ที่ขึ้นชื่อทั้ง 7 เขตกลุ่มกรุงธนใต้ นอกจากนี้ ยังได้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของศิลปวัฒนธรรมวิถีชุมชนเมืองเก่า สู่แรงบันดาลใจสร้างสรรค์ สินค้า ศิลปะ และหัตถกรรมท้องถิ่น ตอกย้ำอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละเขตผ่านนิทรรศการ “บางกอกครีเอชั่น” รวมถึงร่วมสัมผัสเสน่ห์ของดี 7 เขตกรุงธนใต้ ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวจากอดีตสู่ปัจจุบัน อัตลักษณ์ชุมชนสู่สินค้าของดี ของเด่น ของกลุ่มเขตกรุงธนใต้ อาทิ เขตบางขุนเทียน : หรือ ย่านมอญบางกระดี่ ชาวมอญดำเนินวิถีชีวิตด้วยการถือศีล ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ทุกวันพระชาวมอญจะ ‘ทำบุญตักบาตร ถือศีล กินแกงรวม’ นำเสนอผลงานหัตถกรรมผ่านเครื่องเงินแท้ คุณภาพมาตรฐาน สลักลวดลายงดงาม เขตราษฎร์บูรณะ : ชุมชนตลาดเสือรอดวัดสารอด โดยวัดเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านนำของดีภายในชุมชนมาแลกเปลี่ยนจับจ่ายใช้สอย ในทุกๆวันสำคัญและเทศกาล ของดีย่านราษฎร์บูรณะจึงเป็นงานประติมากรรม ‘พระพิฆเนศ’ และ ‘พญานาค’ เพิ่มความเชื่อเรื่องการเริ่มต้นทำธุรกิจ ให้ประสบผลสำเร็จ เขตทุ่งครุ : วิถีพหุวัฒนธรรม ชีวิตริมคลองย่าน ‘บางมด’ ที่ยังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ผูกพันกับวิถีชีวิตทางน้ำ มีสวนมะพร้าวและสวนส้มบางมดอันโด่งดังกว่า 100 ปี โดดเด่นเรื่องเครื่องรางปลามังกร เสริมความเป็นสิริมงคล มอบโชคลาภและเงินทอง เขตบางแค: วิถีชีวิตตลาดน้ำเก่าแก่กว่า 60 ปี ศูนย์รวมตลาดสดแหล่งขายส่งวัตถุดิบ อาหารอร่อยหลากหลาย รวบรวมของที่ระลึกจากงานประดิษฐ์ งานฝีมือต่างๆของคนในชุมชน เขตภาษีเจริญ : อีกหนึ่งย่านชุมชนเก่าแก่ริมคลอง โดดเด่นด้วยบ้านไม้ชายคลองของ “ป้าศรี แม่ค้าเรือแร่-ขายของ ประจำคลอง” ศูนย์รวมชุมชนที่มีมาเนินนานกว่า 60 ปี จนกลายเป็นวิถีชีวิต ของชาวภาษีเจริญและเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมของชุมชน ผลิตสินค้าแฮนด์เมด สินค้าส่งออก ที่มีสีสันสวยงาม เขตบางบอน : หลวงพ่อเกสร วัดบางบอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชุมชนอายุกว่า 100 ปี สินค้าในชุมชน ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผาของ บ้านโอ่งแดง จากภูมิปัญญาชาวบ้าน เขตหนองแขม : วิถีชุมชนคนออร์แกนิค สู่ศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตร สร้างรายได้เสริมและพัฒนาช่วยเหลือชุมชนด้วยการปลูกผักออร์แกนิค การชงกาแฟ และการเพาะเห็ดนางฟ้า เป็นต้นพร้อมสืบสานความเป็นไทย กับเครื่องดนตรีไทย ที่ทำมาจากไม้มะริด ไม้ป่าเศรษฐกิจของไทย ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ยังจัดให้มีกิจกรรมเชียร์ การประกวด Cover Dance ชิงเงินรางวัล รวมกว่า 30,000 บาท และวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 เวลา 13.00 น. รับชมชมการประกวดร้องเพลงลูกกรุง ชิงเงินรางวัล 15,000 บาท สำหรับสายชิลล์มองหาแหล่งเที่ยวฮีลใจย่านฝั่งกรุงธนบุรีใต้ ที่รวม 7 เขตไว้ใน ในงาน ‘มหกรรมของดีกลุ่มเขตกรุงธนใต้ ครั้งที่ 18’ ได้ตั้งแต่วันนี้ – 25 มิถุนายน 2568 ที่ เอ็ม แกรนด์ ฮอลล์ และ เอ็มแฟชั่น ฮอลล์ ชั้น จี เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค Alternate-X สรุปให้ งาน ‘มหกรรมของดีกลุ่มเขตกรุงธนใต้ ครั้งที่ 18’ ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค รวมสินค้าท้องถิ่น OTOP จาก 7 เขตดังของฝั่งธนฯ ใต้ มีไฮไลต์นิทรรศการ ‘บางกอกครีเอชั่น’ ถ่ายทอดอัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมของแต่ละเขต พร้อมพบกับของดีของเด่น เช่น เครื่องเงินบางกระดี่ ประติมากรรมราษฎร์บูรณะ ส้มบางมด และโอ่งแดงบางบอน มีกิจกรรมการประกวด Cover Dance และร้องเพลงลูกกรุง ลุ้นเงินรางวัล จัดถึง 25 มิ.ย. 2568 ที่ M Grand Hall และ M Fashion Hall ชั้น G เดอะมอลล์ บางแค
‘ฮุนเซน’ รับบทอินฟลูฯท่านหนึ่งแค่ปล่อยภาพห้องพัก ปลุกตลาดเครื่องนอนกว่า 6พันล.บาทไทย
กลายเป็นไวรัลหนักมากในช่วงข้ามคืน หลัง ‘ฮุน เซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กเคยพา ‘แพทองธาร ชินวัตร’‘ นายกฯ ไทยชมห้องพักของ ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ อดีตนายกฯไทยในบ้านพักฮุนเซน เมื่อเดือน เม.ย. 68 ทำเอาชาวโซเชียลต่างพูดถึงชุดเครื่องนอนสีชมพู และบรรยากาศห้องพัก ในครั้งนี้ โดย หลังจากภาพชุดดังกล่าวถูกเผยแพร่ตลอดช่วงวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมาถึงในตอนนี้ นอกจากจุดประเด็นให้คอการเมืองเดือดพร้อมถกเถียงกันในวงกว้างถึงสายสัมพันธ์ระดับผู้นำของสองประเทศนี้ ว่ามีความซีมลึกกันในระดับไหน? และหากตัดภาพมาอีกมุมหนึ่งในโลกโซเชียล ที่ ‘ความไวเป็นของปีศาจ’ ยังพบว่าชาวเน็ตโดยเฉพาะเหล่าคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ หลากหลายช่องต่างๆบนแพลตฟอร์ม โซเชียล มีเดีย ต่างหยิบภาพการพาทัวร์ชมห้องนอนที่มาพร้อมความสะดุดตาชุดเครื่องที่นอนสีชมพูแสนหวาน กระทั่งนำไปสู่การสืบค้นเพื่อตามหาสินค้าชุดเครื่องนอนสีชมพู ในบ้าน ‘ฮุน เซน’ จนเจอสินค้าที่มีลักษณะรายละเอียดกับชุดที่นอนในภาพไวรัลชิ้นนั้น และพบว่าสินค้านี้มีขายบนแอปฯ ชั้นนำในราคาราวๆ 1,015 บาท ที่สำคัญ ‘ผู้ขาย’ ยังเข้าไปจัดโปรโมชั่นผ่อนสบายให้ ‘เดือนละ 203 บาท นาน 5 เดือน’ อีกด้วย ตามที่สื่อหลายสำนักในได้นำเสนอในเวลานี้ สำหรับชุดเครื่องนอนที่มีลักษณะคล้ายคลึงมากที่สุดกับภาพชุดห้องพักที่ฮุนเซฯปล่อยออกมา ในตอนนี้มีแบรนด์ STEVENS ชุดเครื่องนอนดีไซน์ LABELLA รุ่น COTTON FRESH SATEEN มาพร้อมผ้าปูที่นอนรัดมุม 4 มุม ใช้ผ้าหน้ากว้าง ไม่มีรอยต่อ โดยในชุด 6 ฟุต มีผ้านวม, ปลอกหมอนหนุน 2 ใบ, ปลอกหมอนข้าง 2 ใบ, ผ้าปูที่นอน 1 ผืน และ ผ้านวม 100×90 นิ้ว 1 ผืน และ ในชุด 5 ฟุต มีผ้านวม,ปลอกหมอนหนุน 2 ใบ, ปลอกหมอนข้าง 2 ใบ, ผ้าปูที่นอน 1 ผืน / ผ้านวม 86×90 นิ้ว 1 ผืน ตลาดที่นอนขยายตามอสังหาฯ จากกระแสไวรัล ในครั้งนี้ น่าจะปลุกให้ตลาดเครื่องนอนในไทย กลับมามีสีสัน(ชมพู) สดใสขึ้นมาได้ในช่วงสั้นตอนนี้ จากปัจจุบันตลาดที่นอนในประเทศไทยมีการเติบโตประมาณ 5-7% ต่อปี ขณะที่ การเติบโตนี้ส่วนหนึ่งมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัว โดย 70-80% ของการซื้อที่นอนเป็นการซื้อสำหรับบ้านใหม่ และ 20-30% เป็นการซื้อเพื่อเปลี่ยนที่นอนเดิม สำหรับตลาดที่นอนในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีมูลค่าประมาณ 5,863 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ย 4.3% ต่อปี ระหว่างปี 2566-2570 ปี 2563 มูลค่าตลาดที่นอนและเครื่องนอนอยู่ที่ 5,253 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีมูลค่า 5,165 ล้านบาท ปี 2564: ตลาดเติบโตขึ้นเป็น 5,321 ล้านบาท ปี 2565: มูลค่าตลาดลดลงเล็กน้อยเหลือ 5,310 ล้านบาท ปี 2566: ตลาดเติบโตขึ้นเป็น 5,863 ล้านบาท ปี 2567 มูลค่าตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 6,096 ล้านบาท สอดคล้อง การวิจัยตลาดของ SPER คาดว่าตลาดที่นอนในประเทศไทยจะมีมูลค่าถึง 81.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2575 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 8.14% นอกจากนี้ ตลาดที่นอนยังเป็นส่วนหนึ่งของ ‘Sleep Economy’ ซึ่งเป็นตลาดที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับทั้งหมด และมีมูลค่าสูงถึง 512.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลกเลยทีเดียว Alternate-X สรุปให้ ภาพชุดเครื่องนอนสีชมพูในบ้านพักฮุน เซน ที่อดีตนายกฯ กัมพูชาโพสต์กลายเป็นไวรัลหนักในโซเชียล ชาวเน็ตตามหาที่นอนรุ่นเดียวกันในแอปฯ ชั้นนำ พบราคา 1,015 บาทพร้อมโปรผ่อนชำระ ตลาดที่นอนไทยเติบโต 5-7% ต่อปี ขับเคลื่อนโดยอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าปี 2566 อยู่ที่ 5,863 ล้านบาท คาดโตเฉลี่ย 4.3% ถึงปี 2570 และตลาด Sleep Economy โลกมีมูลค่ากว่า 512.8 พันล้านดอลลาร์
[PR News] ‘เอ็ม ดิสทริค’ มหกรรมเซลล์ ระดับชาติ ปักหมุดกรุงเทพฯ ปลายทางช้อปกลางปี
เอ็ม ดิสทริค จับมือพันธมิตรธุรกิจชวนช้อปสุดคุ้ม รับกลางปี ในแคมเปญ BANGKOK NO.1 SHOPPING FESTIVAL 2025 เอ็ม ดิสทริค (เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์) จับมือบัตรเครดิตยูโอบี บัตรเครดิต Bangkok Bank M Visa, Royal Caribbean Cruise และ C-space รวมกับ 5 ศูนย์การค้าระดับแนวหน้าของเมืองไทย จัดมหกรรมเซลล์ระดับชาติใหญ่ที่สุดกลางปี BANGKOK NO.1 SHOPPING FESTIVAL 2025 ปักหมุดเป็นดิสทิเนชั่นช้อปปิ้งสำคัญใจกลางกรุงเทพมหานคร ดึงดูดนักช้อปและนักท่องเที่ยวชาวไทยจากทั่วโลก มอบประสบการณ์ช้อปสุดเอกซ์คลูซีพ พร้อมนำ 4 ศิลปินวัยรุ่นสุดฮอตจากซีรีย์ Gel Boys ร่วมโปรโมทแคมเปญ โดยแคมเปญจัดขึ้น ตั้งแต่วันนี้ – 28 กรกฎาคม 2568 ที่ เอ็ม ดิสทริค สำหรับแคมเปญ Bangkok No.1 Shopping Festival 2025 ในส่วนของเอ็ม ดิสทริค พร้อมสร้างความต่อเนื่องในการกระตุ้นเศรษฐกิจกลางปี โดยเอ็ม ดิสทริค ทั้ง 3 ศูนย์การค้า ได้แก่ เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และ เอ็มสเฟียร์ โดยจับมือบัตรเครดิตยูโอบี, บัตรเครดิต Bangkok Bank M Visa, Royal Caribbean Cruise และ C-space มอบความพิเศษตลอด 2 เดือน โดยเมื่อช้อปปิ้งร้านค้าชั้นนำในศูนย์การค้า ลูกค้าบัตรเครดิตบัตรเครดิต UOB รับคืนสูงสุด14,600 บาท ในวันที่ 30 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 และบัตรเครดิต Bangkok bank M Visa รับคืนสูงสุด 15,000 บาทในวันที่ 1-28 กรกฎาคม 2568 และมอบความคุ้มค่าทุกการช้อปปิ้งสำหรับสมาชิก M Card ช้อปในศูนย์การค้าทุกๆวันอาทิตย์ครบ 6,000 บาท สามารถนำคะแนน M Point 6,000 คะแนน แลกรับคูปองเงินสด 1,500 บาท และเมื่อรับประทานอาหารใน EM DINING ทั้ง 3 ศูนย์การค้าใช้บัตรเครดิต Bangkok bank M Visa รับคูปองแทนเงินสดสูงสุด 1,600 บาท พร้อมรับส่วนลดสูงสุด 50 % จากกว่า 30 ร้านอาหารชั้นนำ และรับ PERSONALIZE CASE MOBILE เคสมือถือหนึ่งเดียวตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน มูลค่า 590 บาท เมื่อช้อปปิ้ง/ทานอาหารครบ 3,000 บาท นอกจากนี้สำหรับสุดยอดนักช้อปที่มียอดใช้จ่ายสูงสุด ตลอดแคมเปญรับแพ็จเก็จท่องเที่ยวเรือสำราญระดับโลก Royal Caribbean Cruise 1 รางวัล และร่วมฉลอง Pride Month รวมสนับสนุนความเท่าเทียม และหลากหลาย ด้วยโปรโมชั่นพิเศษ ทุกๆวันศุกร์, เสาร์, อาทิตย์ตลอดเดือนมิถุนายนช้อปปิ้งในศูนย์การค้า 25,000 บาท รับคูปองแทนเงินสดมูลค่า 4,000 บาท และเฉพาะวันที่ 6-8 มิถุนายน 2568 ช้อปสินค้าแฟชั่นครบ 30,000 บาท รับคุปองเงินสดสูงสุด 7,000 บาท สำหรับการช้อปปิ้งผ่านบัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ช้อปสุดคุ้มกับแคมเปญ BANGKOK NO.1 SHOPPING FESTIVAL 2025 ที่เอ็ม ดิสทริค ตั้งแต่วันนี้ – 28 กรกฎาคม 2568 ที่ ศูนย์การค้า เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์
REVIEW : JUMBO SEAFOOD ไม่ต้องบินไกลไปสาขาต่างประเทศ พบ 7เมนูพรีเมียมเสิร์ฟ ‘ไอคอนสยาม’
เริ่มเลย!! ไอคอนสยาม ศูนย์การค้าริมน้ำเจ้าพระยาที่ว่าว้าวแล้วยังมีเรื่องชวนว้าวเพิ่ม เมื่อร่วมกับ ‘จัมโบ้ ซีฟู้ด’ ร้านอาหารทะเลชื่อดังจากสิงคโปร์ จัด 7 เมนูใหม่-ไฮไลท์ของในแต่ละสาขาทั่วโลก มาเสิร์ฟให้ที่สาขานี้เท่านั้น จัมโบ้ ซีฟู้ด (JUMBO SEAFOOD) ร้านอาหารทะเลเก่าแก่ชื่อดัง จากประเทศสิงคโปร์ ที่ปัจจุบันมีอายุร่วมเกือบ 40 ปี และมีสาขาทั่วโลกว่า 30 แห่ง และได้มาเปิดสาขาให้บริการในไทยเมื่อ 8 ปีก่อน แห่งแรกที่ศูนย์การค้า ไอคอนสยาม และยังเป็นสาขาเรือธง ก่อนขยายอีกหนึ่งแห่งที่ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ในเวลาต่อมา ล่าสุด จัมโบ้ ซีฟู้ด นำเมนูเด็ดประจำสาขาร้านในทั่วโลก ‘7 เมนู’ มาให้ชาวไทยและเหล่าสายกินมาร่วมประสบการณ์แห่งความอร่อยระดับพรีเมียม ณ ร้าน JUMBO Seafood ชั้น G โซน Veranda ไอคอนสยาม เท่านั้น ตั้งแต่ 20 มิถุนายนนี้ เป็นต้นไป สำหรับความเลอค่าทางด้านรสชาติของเมนูร้าน จัมโบ้ ซีฟู้ด นั้นต้องยกให้ในเรื่องของวัตถุดิบ ที่เน้นความสดใหม่ พร้อมใช้เทคนิคการปรุงอย่างประณีตด้วยสูตรลับตามแบบฉบับอาหารสิงคโปร์สไตล์จีน เพื่อให้ความเลิศรสในแต่ละเมนูที่ถุกเสิร์ฟมาในจานใหญ่ให้อร่อยอย่างเต็มอิ่ม โดยเมนูต้อนรับประจำฤดูกาลใหม่นี้ มีเมนูไฮไลต์ ที่ alternate-X ขออนุญาตผู้อ่านให้ดาวตามรสนิยมส่วนตัวด้านอาหารของเรา ดังนี้ ‘ซี่โครงหมูมองโกเลีย’ กับคำแรกที่ได้สัมผัสบอกเลยว่าฟินมาก กับรสชาติที่เข้ากันแบบสุดๆของซี่โครงหมูรสเข้มข้น ผัดกับซอสมองโกเลียสูตรพิเศษ เคลือบไข่เค็ม พร้อมโรยอัลมอนด์และหอมใบ Curry Leaves เชื่อว่าน่าจะถูกใจสายคริสปี ที่ชอบเคี้ยวอะไรกรุบๆกรอบๆ จากเนื้ออัลมอนด์และความเค็มแบบนัวๆของไข่เค็ม ให้ความละมุนตุ้นมาก จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ‘เส้นใหญ่กรอบทะเลหยก’ เห็นแล้วใจฟูกับความเส้นใหญ่กรอบๆฟูๆ ที่มาพร้อมน้ำซุปหอยเป่าฮื้อเข้มข้น และซีฟู้ดจัดเต็ม ทั้งกุ้ง ปลาหมึก และหอยเชลล์ เรียกว่าเกินกว่าที่คิดทั้งในรสชาติและเนื้อสัมผัสตั้งแต่คำแรกของเส้นใหญ่กรอบฟูที่เข้ากันได้ดีแบบสุดๆกับความเข้มข้นของซุปหอยเป่าฮื้อ จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ‘ข้าวผัดหอยเป่าฮื้อ’ บอกเลยว่า คือ ข้าวผัดระดับพรีเมียมที่ปรุงรสด้วยซอสหอยเป่าฮื้อ มาพร้อมไก่ กุ้ง และหอยเป่าฮื้อนุ่มละมุน (อีกแล้ว) สายคาร์บน่าจะถูกใจสิ่งนี้ ด้วยเม็ดข้าวถูกผัดเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเนื้อสัตว์ที่ใส่มา และทอปปิ้งด้วยหอยเป๋าฮื้อ เติมความพรีเมียม ให้รสชาติหนักแน่นและความเข้มข้นของซอสปรุงรส จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ โดยทั้ง ‘สามเมนู’ ข้างต้นดังกล่าวเป็นเมนูเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ JUMBO Seafood ประเทศไทยเท่านั้น ถัดมาเป็นเมนูอาหาร ‘จัมโบ้ ซีฟู้ด’ ที่ได้รับความนิยมในสาขาแต่ละประเทศ พร้อมนำมาเสิร์ฟให้กับลูกค้าคนไทยในฤดูกาลนี้ เช่นกัน เริ่มกันที่ ‘เนื้อวากิวออสเตรเลียผัดซอสน้ำผึ้งพริกไทยดำ’ เมนูพิเศษจาก JUMBO Seafood ประเทศจีน เป็นเนื้อวากิวหั่นเต๋าผัดซอส รสหวาน เผ็ดร้อน เสริมความอร่อยด้วยถั่วลันเตาหวาน เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งจานโปรดของเหล่า ‘มีท เลิฟเวอร์’ กับอาหารสไตล์สิงคโปร์-จีน ด้วยวัตุถิบและการปรุงรสระดับพรีเมียมทั้งตัวเนื้อออสเตรเลีย ที่ถูกผัดมาแบบอ่อนนุ่มละมุน หอมกลิ่นน้ำผื้งอ่อนๆ ที่ถูกตัดรสชาติด้วยความเผ็ดร้อนนิดๆ ของพริกไทยดำ ที่สุดของความลงตัว!! จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ 2 เมนูจาก จัมโบ้ ซีฟู้ด ประเทศไต้หวัน ‘คอหมูย่างซอสพริกเต้าซี่สูตรพิเศษ’ ที่นำคอหมูนุ่มชุ่มฉ่ำผัดเข้ากับซอสเผ็ดเต้าซี่ เห็ดหอมสด และแตงกวาญี่ปุ่น เสิร์ฟให้ลิ้มรสบนกระทะร้อน เรียกว่ากลมกล่อมที่สุดของรสชาติที่ลงตัวของเมนูจานนี้ จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ‘ไก่สามรส’ อีกเมนูไต้หวันชื่อดัง ที่นำไก่ หน่อไม้จีน และใบโหระพา มาปรุงรสชาติด้วยซีอิ้ว เหล้าจีน และน้ำมันงา อย่างละหนึ่งถ้วย เสิร์ฟในหม้อดินให้ได้ความอร่อยยิ่งขึ้น, เสริมทัพความอร่อยด้วย เมนูจาก JUMBO Seafood ประเทศสิงคโปร์ จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ‘เส้นหมี่กรอบหอยตลับซอสปู’ เป็นเส้นหมี่ทอดกรอบเสิร์ฟพร้อมซุปข้นจากปูและหอยตลับ รสเข้ม หอมละมุน จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ นอกจากนี้ จัมโบ้ ซีฟู้ด สาขาไอคอนสยาม ยังมี 10 เมนูติ่มซำแสนอร่อย มาทั้ง จัมโบ้ทังเปา, ฮะเก๋าปลาทอง, เกี๊ยวหูฉลามจักรพรรดิ, ฝั่นโก๋ไส้กุ้งและเห็ดทรัฟเฟิล ฯลฯ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ สั่งติ่มซำครบ 5 เข่งขึ้นไป รับส่วนลดทันที 50% ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เฉพาะเวลา 11:00 – 16:00 น. จัมโบ้ ซีฟู้ด สาขาไอคอนสยาม พร้อมเชิญทุกคนมาสัมผัสประสบการณ์อาหารสิงคโปร์จีนระดับพรีเมียม และเมนูเอ็กซคลูซีฟประจำฤดูกาล รวมถึงเมนูพิเศษ จากสาขาในจีนและไต้หวัน ให้รับประทานได้ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2568 นี้เป็นต้นไป ณ Jumbo Seafood ไอคอนสยาม ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: JUMBO Seafood Bangkok และ Facebook: ICONSIAM
สายบิตคอยน์ ลุ้นQ3 จับตา Altcoin เหรียญทางเลือก แรงหนุนตลาดคริปโทฯ 1.2 แสนดอลลาร์
Bitget ประเมินไตรมาส 3 ราคาบิตคอยน์อยู่ในกรอบ102,000-110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และยังคงเป้าหมาย 120,000 ดอลลาร์ หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเพิ่มเติมหลังอิสราเองถล่มอิหร่าน ไรอัน ลี (Ryan Lee ) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ Bitget Research ภายใต้ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก กล่าวถึง ประเด็นที่น่าจับตาของตลาดคริปโทเคอเรนซี (Cryptocurrency) หลังจากนี้ คือการอนุมัติกองทุน ETF ของเหรียญ Altcoin ต่างๆ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จากการประเมินของBloomberg โดยเฉพาะเหรียญมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่อย่าง Solana และ XRP ซึ่งจะทำให้ตลาดคริปโทในภาพรวมมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น ด้าน เกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) กล่าวว่าขณะที่การปรับตัวลงล่าสุดของบิตคอยน์ มาจากการลดความเสี่ยงซึ่งเกิดจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังอิสราเอลโจมตีทางอากาศใส่อิหร่าน ไปเมื่อกลางเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิม เช่น ทองคำและพันธบัตร สร้างความระมัดระวังในระยะสั้นในตลาดคริปโท อย่างไรก็ตาม แม้ราคาจะลดลงแต่กระแสเงินลงทุนไหลเข้ากองทุน Bitcoin ETF ยังคงแข็งแกร่ง แสดงถึงความเชื่อมั่นของสถาบันที่ยังคงอยู่ เป็นสัญญาณว่าภาพรวมเชิงโครงสร้างของตลาดคริปโทยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงและมองว่าจะมีโอกาสฟื้นตัวกลับได้หลังจากนี้ “หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเพิ่มเติม คาดว่าราคาบิตคอยน์จะเคลื่อนไหวในกรอบราคา102,000-110,000 ดอลลาร์สหรัฐ และยังไม่ปรับเป้าหมายราคา 120,000 ดอลลาร์ ในไตรมาสที่สามนี้” เกรซี่ เฉิน กล่าว ขณะที่ ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่น่าจับตาคือ บริษัท Circle ผู้ผลิตเหรียญ Stablecoin อย่าง USDC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กซึ่งราคาหุ้นพุ่งขึ้นเกือบ 170% ในวันแรก แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ Stablecoin ภายใต้การกำกับดูแลอย่างชัดเจน ด้วยการสนับสนุนจากสถาบันการเงินรายใหญ่ และแรงส่งจากกฎหมายสนับสนุนต่างๆ เช่น GENIUS Act และ Digital Commodity Exchange Act เหตุการณ์นี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยกระดับ Stablecoin จากเครื่องมือเฉพาะกลุ่ม สู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของระบบการเงิน โดยการ IPO ครั้งนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า Stablecoin กำลังได้รับการยอมรับอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดึงดูดความสนใจจากสถาบัน และเสริมบทบาทในด้านการชำระเงินทั่วโลกและใน DeFi และจะเป็นแรงหนุนต่อตลาดคริปโทในระยะยาว ในฐานะบริษัทจดทะเบียน Circle จะต้องถูกจับตามองมากขึ้น และนักวิเคราะห์ตลาดควรเฝ้าดูการนำ Stablecoin ไปใช้ที่แพร่หลายขึ้นในกลุ่มธนาคาร ฟินเทค และการออกกฎหมาย หากประสบความสำเร็จ Circle อาจกลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการผสานคริปโทเข้ากับระบบการเงินกระแสหลักในยุคต่อไป อย่างไรก็ตามความท้าทายที่สำคัญคือการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย และการปรับตัวต่อกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ Alternate-X สรุปให้ Bitget คาดราคาบิตคอยน์ Q3 อยู่ที่ 102,000–110,000 ดอลลาร์ หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเพิ่มเติม ขณะที่ การอนุมัติ ETF ของ Altcoin เช่น Solana และ XRP อาจเริ่มในเดือนกรกฎาคม หนุนตลาดคริปโทคึกคัก แม้มีแรงขายจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แต่เงินลงทุนใน Bitcoin ETF ยังแข็งแกร่ง บวกกับ Circle ผู้ผลิต USDC จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สะท้อนความเชื่อมั่นใน Stablecoin ที่กำลังกลายเป็นโครงสร้างหลักในระบบการเงินโลก พร้อมเผชิญความท้าทายด้านกฎระเบียบ
เข้าใจหัวอกคนรีบ!! ‘คาร์ฟอร์แคช’ ให้เงินไวใน 1 ชม. แผนเจาะตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ
กรุงศรีออโต้ ดึงอินไซต์ผู้ใช้รถทั่วไทยปรับสู่แผนตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ คาร์ฟอร์แคช รับเงินไวใน 1 ชั่วโมง พร้อมปรับดอกเบี้ยลง 3% พรเทพ ถิรสุนทรากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการตลาด ธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ กรุงศรี ออโต้ เปิดเผยว่า คาร์ฟอร์แคล ในฐานะผู้นำตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ ส่งบริการใหม่ ‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ รับเงินไวสุด ใน 1 ชั่วโมง*’ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ ‘ความไว’ ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นทุนสำรองใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพ “บริการฯนี้ หวังสร้างประสบการณ์ใหม่ในการใช้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถกับ คาร์ฟอร์แคช ที่มั่นคงและวางใจได้ พร้อมตอบอินไซต์ผู้บริโภคยุคนี้ด้วย” พรเทพ กล่าวพร้อมเสริมว่า กรุงศรี ออโต้ มุ่งศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้รถในปัจจุบันเพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ทำให้ช่วยเติมสภาพคล่อง ด้วยผลิตภัณฑ์ คาร์ฟอร์แคช พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ 4 ปัจจัยหลักในการตัดสินใจขอสินเชื่อ ได้แก่ วงเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการ อัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่า ความสะดวกในการสมัคร ความรวดเร็วในการอนุมัติและได้รับเงิน พร้อมกันนี้ ยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกของ คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ เริ่มต้นที่ 12% ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเพื่อให้ลูกค้าสามารถลดภาระด้วยการรวมหนี้มาไว้ที่เดียวที่คาร์ฟอร์แคช ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ทันที เพิ่มโอกาสในการบริหารการเงินเท่าที่จำเป็นหรือเก็บออมเพื่อเป้าหมายอื่น” “เรามองว่าในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวและค่าครองชีพยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การกู้ยืมจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการ ‘เข้าถึงเงินเร็ว’ เท่านั้น แต่คือการ ‘เข้าถึงแหล่งเงินทุนคุ้มค่า’ สำหรับแคมเปญนี้ คาร์ฟอร์แคช ยังตอบโจทย์ทั้งเรื่องความไว และ ‘วิธีคิดของคนที่อยากรักษาสมดุลทางการเงินระหว่างวันนี้กับอนาคต’ โดยตั้งเป้าบริการใหม่นี้ช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 50,000 ราย ภายในสิ้นปี 2568 และช่วยผลักดันพอร์ตสินเชื่อ คาร์ฟอร์แคช ให้แข็งแกร่ง พร้อมครองตำแหน่งผู้นำตลาดนี้ต่อไป นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบริการใหม่ ‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ รับเงินไวสุดใน 1 ชั่วโมง*’ จากคาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ ให้เกิดขึ้นในวงกว้าง คาร์ฟอร์แคช ได้เตรียมภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ‘ไม่ต้องฝืน’ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนในช่วงเวลาวิกฤตที่จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อคนที่รัก โดยมี คาร์ฟอร์แคช อยู่เคียงข้างในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการวางกลยุทธ์ด้านการสื่อสารแบบครบวงจรทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่สอดรับพฤติกรรมของกลุ่มเจ้าของรถและกลุ่มคนทำงานทั่วประเทศอีกด้วย Alternate-X กรุงศรี ออโต้ เปิดตัวบริการใหม่ ‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ รับเงินไวสุดใน 1 ชั่วโมง’ ตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้รถยุคใหม่ เน้นความเร็วและความคุ้มค่า พร้อมปรับลดดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 12% พร้อมบริการรวมหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน โดยชู 4 ปัจจัยหลัก: วงเงินตรงจุด, ดอกเบี้ยคุ้ม, สมัครง่าย, อนุมัติไว ตั้งเป้าขยายลูกค้าเพิ่มอีก 50,000 รายในปี 2568 ด้วยการสื่อสารครบวงจร
จัมโบ้ ซีฟู้ดฯ ร่วมวงบุฟเฟต์พรีเมียม เป็นครั้งแรก เปิดราคา 999/หัว ขยายฐานกลุ่มใหม่
จัมโบ้ ซีฟู้ด ร้านอาหารชื่อดังจากสิงคโปร์ หลังเปิดให้บริการไทยสู่ปีที่ 8 เปิดไลน์ฟู้ดบุฟเฟต์ 2 สาขา หวังเข้าถึงได้เอนเกจเมนต์กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ร้านอาหารจัมโบ้ ซีฟู้ด แบงคอก (JUMBO SEAFOOD) จากประเทศสิงคโปร์ เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยขึ้นสู่ปีที่ 8 ภายใต้การบริหารของบริษัท ซี เจ ซีฟู้ด จำกัด ปัจจุบันเปิดให้บริการสาขาแรกศูนย์การค้าไอคอนสยาม และสาขา 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยแต่ละสาขาได้การตอบรับดีทั้งในกลุ่มลูกค้าคนไทยในประเทศ และ นักท่องเที่ยวต่างชาติ คิดเป็นสัดส่วน 50% เท่ากัน โดยในปีนี้ จัมโบ้ ซีฟู้ด แบงคอก วางแนวทางการทำธุรกิจส่วนหนึ่ง ผ่านกลยุทธ์การทำตลาดผ่านบริการบุฟเฟต์ (Buffet) เป็นครั้งแรก เพื่อรองรับความนิยมและพฤติกรรมการรับประทานอาหารในกลุ่มคนไทยรุ่นใหม่ในปัจจุบัน พร้อมสร้างความผูกพัน (Engagement)ในฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม ขณะที่ เดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ จัมโบ้ ซีฟู้ด เปิดให้บริการบุฟเฟต์ สาขาแรกที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม และได้การตอบรับดีทั้งจากกลุ่มลูกค้าคนไทยในพื้นที่ และ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมให้บริการบุฟเฟต์ ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ไปเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถจองรับบริการบุฟเฟต์ไดในช่องทางแอปพลิเคชัน Hungry Hub โดยวางค่าบริการต่อหัว 3 อัตรา ราคา 999 บาท, 1,499 บาท และ 1,999 บาท สำหรับสาขาศูนย์การค้าไอคอนสยาม และ ราคา 1,149 บาท, 1,599 บาท และ 1,999 บาท ในศูนย์การค้าสยามพารากอน จำกัดเวลารับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง “หลังจากเปิดให้บริการบุฟเฟต์จัมโบ ซีฟู้ด ได้การตอบรับดีในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์การรับประทานอาหารพรีเมียมที่เข้าถึงได้ ด้วยจุดเด่นเสิร์ฟอลาคาร์ทปรุงจานต่อจาน ซึ่งการเปิดให้บริการล่าสุดที่ศูนย์ฯ สยามพารากอน เพื่อขยายโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆในย่านซีบีดีเพิ่มขึ้น” นอจากนี้ ล่าสุด ‘จัมโบ้ ซีฟู้ด’ สาขาแฟล็กชิป สโตร์ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ร่วมต้อนรับฤดูกาลใหม่พร้อมมอบประสบการณ์มื้อพิเศษ ด้วย 7 เมนูใหม่ไฮไลท์ ซี่โครงหมูมองโกเลีย, ข้าวผัดหอยเป่าฮื้อ พร้อมไก่กุ้ง และหอยเป่าฮื้อนุ่มละมุน และ เส้นใหญ่กรอบทะเลหยก ทั้งสามเมนูเฉพาะที่ จัมโบ้ ซีฟู้ด ประเทศไทยเท่านั้น ถัดมาเป็น เนื้อวากิวออส้ตรเลียผัดซอสน้ำผึ้งพริกไทยดำ, เมนูคอหมูย่างซอสพริกเต้าซี่สูตรพิเศษ, ไก่สามรส และปิดท้ายด้วย เส้นหมี่กรอบหอยตลับซอสปู สำหรับ จัมโบ้ ซีฟู้ด (Jumbo Seafood) เป็นร้านอาหารทะเลระดับตำนานกว่า 30 ปี ของสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1987 มี 5 สาขาในสิงคโปร์ และขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆ อาทิ จีน, ไต้หวัน,ไทย และทั่วโลก มากกว่า 30 สาขา มาลิดา ชินสุภัคกุล ผู้บริหาร/หุ้นส่วนร้านอาหาร จัมโบ้ ซีฟู้ด (Jumbo Seafood) กรุงเทพ Alternate-X สรุปให้ จัมโบ้ ซีฟู้ด ร้านอาหารจากสิงคโปร์ เปิดบริการในไทยสู่ปีที่ 8 พร้อมแผนขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นด้วย บริการบุฟเฟต์ใน 2 สาขา ไอคอนสยาม และสยามพารากอน จับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบประสบการณ์อาหารพรีเมียม ใช้ราคาเริ่มต้นบุฟเฟต์ตั้งแต่ 999 ถึง 1,999 บาท แล้วแต่ละในสาขา ให้เปิดจองผ่านแอป Hungry Hub รองรับทั้งไทยและนักท่องเที่ยว
แผนอสังหาฯ ‘ชาญอิสสระ’ ครึ่งหลังปี68 เศรษฐกิจสุดท้าทาย มุ่งสภาพคล่อง-คุมงบฯ โฟกัสบ้านหรู
ชาญอิสสระ มองตลาดอสังหาฯไทยระดับซูเปอร์ลักซู ยังมีแรงซื้อในอีก 1-2 ปี รับดีมานด์เศรษฐีไทย-ต่างชาติเกินครึ่งซื้อเงินสด ยังเป็นโอกาสทำตลาดของผู้พัฒนา พร้อมปรับแผนรัดกุมการเงินรับครึ่งหลังปี68 หนักกว่า 6 เดือนแรกปีนี้ สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ช่วงครึ่งหลังปี 2568 คาดว่าจะหนักกว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากปัจจัยลบเดิมภาพรวมเศรษฐกิจโลกกระทบในประเทศ ทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามตัวแทนสองประเทศมหาอำนาจ นโยบายทรัมป์ด้านภาษีการค้า ฯลฯ ขณะที่ในประเทศมีเครื่องจักรเศรษฐกิจหลักเหลือเพียงภาคการท่องเที่ยว ที่เริ่มอ่อนแรงจากความไม่มั่นใจของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีน ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าในระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในเวลานี้ ไม่ส่งผลดีต่อภาคการส่งออก เป็นต้น และปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูงกระทบกำลังซื้ออสังหาฯ ในบางกลุ่ม “แนวโน้มดังกล่าวจะยังคงอยู่ ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องเร่งปรับตัวลดค่าใช้จ่าย โดยบริษัทฯ จะหันมาเลือกทำโครงการที่มีโอกาส และโฟกัสสภาพคล่องทางการเงินอย่างเข้มงวด” สงกรานต์ กล่าว พร้อมเสริมว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯ ที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบในเกือบทุกกลุ่มราคา (Segment) แต่ในโครงการระดับหรูหรา ‘ซูเปอร์ลักซูรี’ ราคาตั้งแต่ 80-100 ล้านบาทต่อยูนิต ขึ้นไป ได้รับผลกระทบน้อยสุด ด้วยเป็นตลาดที่ยังมีความต้องการจากกลุ่มกำลังซื้อสูง “ผู้เล่นหลายรายเห็นโอกาสนี้เช่นกัน ทำให้ต่างเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดในเซ็กเมนต์นี้ ซึ่งคาดว่าโปรดักส์กลุ่มระดับราคานี้จะยังไปต่อได้อีก 1-2 ปีจากนี้” สงกรานต์ กล่าว ขณะที่ ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ ตลาดอสังหาฯ ที่อยู่อาศัยกลุ่มซูเปอร์ลักซูรีเติบโต มาจากกำลังซื้อในกลุ่ม ผู้ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เช่น เจ้าของโรงงานขนาดใหญ่ ทั้งคนไทยและต่างชาติ เช่น ชาวญี่ปุ่น และชาวจีน (ซื้อในแบบสิทธิการเช่า 30 ปี หรือ Leasehold) โดยกลุ่มนี้มีความสนใจซื้อบ้านราคา 100 ล้านบาท อาทิ โครงการบ้านอิสสระ บางนา ราคา 130-150 ล้านบาท โดยกำลังซื้อส่วนใหญ่ในตลาดกลุ่มนี้ จะมีพฤติกรรมใช้เงินสดในการซื้อบ้านคิดเป็นสัดส่วนราว 50-60% “ไม่ใช่เฉพาะโครงการในพื้นที่กรุงเทพเท่านั้น แต่ยังเห็นการซื้อบ้านหรูด้วยเงินสดในพื้นที่ต่างจังหวัด อาทิ หัวหิน ส่วนกลุ่มที่กู้เงินซื้อบ้านช่วงนี้ค่อนข้างลำบาก” สงกรานต์ เสริม พร้อมกล่าวว่า ภายในปลายปี 2568 นี้ บริษัทฯเตรียมแผนเปิดตัวบ้านระดับลักซูรีอีก 1 โครงการ ในย่านกรุงเทพกรีฑา บนพื้นที่ 40 ไร่ ราคา 80-150 ล้านบาทต่อยูนิต โดยวางแผนพัฒนาโครงการแบ่งออกเป็น 2 ระยะ (Phase) นอกเหนือจากโครงการบ้านอิสสระบางนา บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซูรี่ ระดับราคาเริ่มต้น 50-150 ล้านบาท ที่ได้พัฒนาแล้วในปัจจุบัน สงกรานต์ กล่าวว่า แนวทางดังกล่าว ส่วนหนึ่งยังเพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจไทย ปี 2568 มีการประเมินอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) คาดว่าต่ำ 2% ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องหลายอุตสาหกรรม ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก ก่อสร้าง ขณะที่ประเทศไทยในขณะนี้ มีความน่าสนใจด้านการลงทุนก็น้อยกว่าประเทศคู่แข่ง อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย ซึ่งมีทั้งจำนวนแรงงาน และค่าแรงถูกกว่า สงกรานต์ กล่าวว่า “ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างสตอรี่ใหม่ๆให้น่าสนใจ ดังอดีตที่เคยมีอีสเทิร์นซีบอร์ด เมื่อ 30 ปีก่อน ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้ย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย” ขณะที่ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายที่เด่นชัดนัก ซึ่งอาจต้องใช้แผนระยะยาวที่น่าสนใจ เช่น โครงการคอคอดกระ เพื่อชิงความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์ ที่อาจดึงดูดให้การค้าทางเรือย้ายจากสิงคโปร์มาไทย หรือการเพิ่มสิทธิการเช่าที่ดิน จาก 30 ปี เป็น 50 ปี เพื่อสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจ “ตอนนี้ไทยหลังชนฝาแล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจจะเดินหน้าไปทางซ้ายหรือขวา เราไม่มีทางรู้ว่าทางไหนจะประสบความสำเร็จมากน้อย แต่ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ” สงกรานต์ กล่าวทิ้งท้าย Alternate-X สรุปให้ ตลาดอสังหาฯ ซูเปอร์ลักซูรียังไปต่อได้อีก 1-2 ปี ด้วยแรงซื้อจากเศรษฐีไทย-ต่างชาติที่ใช้เงินสดซื้อกว่า 50-60% ‘ชาญอิสสระ’ เตรียมเปิดโครงการใหม่ 80–150 ล้านบาท บนถนนกรุงเทพกรีฑา ขณะที่ ภาวะเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 68 คาดว่าจะหนักขึ้น ผู้ประกอบการต้องรัดเข็มขัดเข้ม แต่ตลาดลักซูรียังเป็นโอกาสท่ามกลางปัจจัยลบ เช่น ศก.โลกชะลอ หนี้ครัวเรือนสูง พร้อมเสนอรัฐสร้างสตอรี่ใหม่ เช่น คอคอดกระ-สิทธิการเช่าที่ดิน 50 ปี ดึงการลงทุน
สัมผัส ‘เทสต์’ เกินคำว่าหรู โครงการบ้านอิสสระ บางนา ไฮไลท์บ้านเดี่ยว ดีไซน์สะท้อนตัวตน
ชมภาพโครงการบ้านอิสสระ บางนา ‘A Sanctuary of Garage Living : A place where freedom drives กับแนวคิดบ้านซีรีย์ใหม่ ดึงความหลงไหลในสิ่งที่ชอบมาตกแต่งไว้ด้วยกัน บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ กับแนวคิด “การนำสิ่งที่รักมาอยู่รวมกัน” คือ นิยามการตกแต่งบ้านซีรีย์ใหม่ A Sanctuary of Garage Living : A place where freedom drives ของโครงการบ้านอิสสระ บางนา (Baan Issara Bangna) บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซูรี่ ที่ดีไซน์พื้นที่ตอบโจทย์ไลฟสไตล์คนรักบ้าน รักรถซูเปอร์คาร์ และ การพักผ่อนไปพร้อมๆกัน งานออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ต้องการ Freedom of Space ในการ Customize ดีไซน์สะท้อนเอกลักษณ์ตัวตนของผู้อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด Modern Living Art ผลงาน Interior Design โดย บริษัท สตูดิโอ เคมิสทริ จำกัด (STUDIO CHEMISTRI) และ Architecture Garage Design จาก บริษัท บราวน์เฮาส์ จำกัด (BROWNHOUSE) 2 สถาปนิกชื่อดัง Super Garage House จุดเด่นของงานดีไซน์บ้านหลังนี้คือการนำ Supercar Garage House เข้ามาเป็นไฮไลท์สะท้อนความเป็นตัวตนของเจ้าของบ้าน ที่มีความหลงใหลในรถ Supercar ประกอบกับไลฟ์สไตล์ส่วนตัวที่รักความสนุกสนาน ชอบทำกิจกรรมงานอดิเรก สังสรรค์ปาร์ตี้ ภายในครอบครัว และกับเพื่อนฝูงที่แวะมาเยี่ยมเยียน พร้อมได้รับความสุขจากการชื่นชมรถที่รักจากมุมของ Garage House ผสมผสานความสนุกสนานด้วย Space ฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริง เชื่อมต่อ Living Area และ Pantry Area เข้าไว้ด้วยกันอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นจุดศูนย์รวมของมุมนั่งเล่น มุมพบปะสังสรรค์ มีความโปร่งโล่งสบาย มี Open Space ขนาดใหญ่ที่เหมาะสมกับการรองรับการจัดปาร์ตี้ และรับประทานอาหารร่วมกัน ในส่วนของ Garage House หลังนี้ได้นำแบบบ้าน CALLA บนที่ดิน 157 ตารางวา สูง 2 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 490 ตารางเมตร มาออกแบบให้ตอบสนองฟังก์ชั่นการใช้งานของผู้อยู่อาศัยที่นอกจากจะเป็นกลุ่มคนรักรถ Supercar BROWNHOUSE ยังได้จับ Key Point ในเรื่องของพื้นที่การใช้งานให้ดูโล่ง โปร่งสบาย สามารถรองรับการเก็บรถภายในบริเวณ Garage House ได้ถึง 4 คัน นอกจากนี้บริเวณรอบบ้านยังมีพื้นที่รองรับการจอดรถรวมกันได้ถึง 6 คัน ภายในมีการสร้าง Space พื้นที่จอดรถ และพื้นที่สันทนาการออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้ไม่รบกวนการพักผ่อนของสมาชิกในบ้านท่านอื่นๆ โดยพื้นที่จอดรถ BROWNHOUSE มีการเลือกใช้กระจกคุณภาพสูงเป็น Partition กั้นที่ทำให้สามารถมองเห็นรถ Supercar ได้จากทุกมุมของ Garage มีการปูระดับพื้นทางลาดเข้าออกถูกต้องตามมาตรฐานความสูงใต้ท้องรถ Supercar อีกทั้งยังมีการเลือกใช้พื้นเป็นวัสดุที่เป็นมิตรและถนอมล้อรถ Supercar ป้องกันแรงต้านการหมุนของล้อรถรองรับการกดทับจากน้ำหนักตัวรถและสะดวกในการทำความสะอาดจากคราบน้ำมัน ฝ้าเพดานมีการใช้แสงไฟ LED ที่มีคุณภาพมาตฐานให้ความสวยงามเวลาสะท้อนลงบนสีรถสปอร์ตมีการติดตั้งกระจกนิรภัยเพื่อลดการสั่นสะเทือนจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ขุมพลังเทอร์โบ นอกจากนี้ การาจเฮ้าส์ยังติดแอร์ระบายอากาศรักษาอุณหภูมิภายในเพื่อให้รถยนต์ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีทั้งตัวรถและเครื่องยนต์ ทั้งนี้นอกจากการออกแบบสัดส่วนที่ลงตัวของ Garage House ให้เป็นพื้นที่จอดรถ Supercar แล้ว การออกแบบยังมองไปถึงไลฟ์สไตล์เจ้าของบ้านที่ต้องการให้พื้นที่แห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่จอดรถ แต่ยังดีไซน์ให้เป็นเสมือนโชว์รูมจัดแสดง และสะสมรถ หรือพื้นที่ทำกิจกรรมงานอดิเรกที่ชอบได้มีมุมพักผ่อนหย่อนใจได้จากทุกมุมของบ้าน ที่เชื่อมต่อกันเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตอบรับกับทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของสมาชิกทุกคนในบ้าน ทำให้ทุกพื้นที่เป็นมากกว่าบ้าน ในส่วนของงานอินทีเรียดีไซน์ มีการตกแต่งออกมา ภายใต้แนวคิด Modern Living Art ผลงานโดย บริษัท สตูดิโอ เคมิสทริ จำกัด (STUDIO CHEMISTRI) ที่มีการออกแบบตกแต่งพื้นที่การใช้สอยภายในบ้านให้สะดวกสบาย ถ่ายทอดความเป็นตัวตนของผู้อยู่อาศัยออกมาได้เด่นชัดจากการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นที่ส่วนที่ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยภายในบ้านทุกคนได้ใช้ Space บ้านอย่างคุ้มค่า และมีความเป็นส่วนตัวไม่กระทบต่อกิจกรรมของสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ โดยบริเวณชั้น 1 มีการออกแบบ Foyer ให้มีความต่อเนื่อง Living Garage และ Foyer ยังเป็นจุดเชื่อมของบ้านจาก Main Living & Dining Room กับ Family Dining ที่มาพร้อมกับ Euro Kitchen และต่อไปยังครัวไทย ที่เชื่อมโยงถึงกัน แบ่งเป็นโซนพักผ่อน โซนจัดเลี้ยงปาร์ตี้ในกลุ่มญาติสนิทรวมไปถึงเพื่อนฝูงที่แวะเวียนมาได้สัมผัสกับบ้านที่เป็นนอกเหนือจากที่อยู่อาศัยแห่งนี้ ได้สัมผัสถึงบรรยากาศของบ้านที่นอกจากจะมีความอบอุ่นแล้ว ยังให้อารมณ์ความรู้สึกตื่นเต้น คึกคัก มีความทันสมัย เรียบง่าย และโก้หรู มีการใช้วัสดุ ผสมผสาน หลากหลาย อบอุ่นด้วยการนำพื้นทางเดินที่เป็น Walnut Veneer สลับกับ White Marble ที่คัดลายเป็นพิเศษ แบบ Natural Glam ตัดกับเส้นลายที่คม เฉียบ ของ Black Chrome Metal อีกทั้งในโซนต่างๆ ยังผสมผสานการใช้หนังในการตกแต่งที่สะท้อนถึง Craftsmanship ของ Art Brand ต่างๆ นอกจากการตกแต่งที่มีความสวยงามของเส้นสายความเคลื่อนไหว การเลือกใช้สีต่างๆ เข้ามาประกอบในการตกแต่ง อาทิ ยังมีการนำสี Autumn Yellow ที่อยู่ภายใน Family Dining Room สอดแทรกสี Deep Cobalt Blue และ Lagoon Green เข้าไปในห้องนอน เพื่อสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้ดูมีความน่าตื่นเต้น คึกคัก ในแต่ละพื้นที่การใช้งานของบ้าน นอกจากนี้ยังมีห้อง Shoes Room ที่สามารถรองรับการเก็บรองเท้าได้มากกว่า 100 คู่ ของสมาชิกภายในบ้านอีกด้วย ในส่วนของ Bedroom สำหรับบ้านหลังนี้ประกอบไปด้วย 3 ห้องนอน ที่มาพร้อมกับ Walk in Closet และ Bathroom โดยในส่วนของ Master Bedroom มีการเพิ่มฟังก์ชั่นห้อง Living Area ไว้ในห้องนอน พร้อมกับ Mini Bar ที่ต่อเนื่องกับ Walk in Closet โดยมี Rocket Garden อยู่ระหว่าง Master Bathroom และ Walk in Closet เพื่อเป็นการสร้าง Green Areaให้กับเฉพาะในห้อง Master นี้ รายละเอียดโครงการ สำหรับโครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซูรี่ ตั้งอยู่บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.8 บนที่ดินประมาณ 24 ไร่ พื้นที่ดินขนาด 100 – 238 ตารางวา มีจำนวนเพียง 43 หลัง มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 380-800 ตารางเมตร พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮาส์ ฟิตเนส Amphitheater สระว่ายน้ำระบบเกลือ ระบบไฟฟ้าใต้ดิน โอบล้อมด้วยความเขียวขจีของสวน ราคาเริ่มต้น 49.9 – 179 ล้านบาท Alternate-X สรุปให้ บ้านอิสสระ บางนา เปิดตัวซีรีส์ใหม่ “A Sanctuary of Garage Living” โดดเด่นด้วยรสนิยมหรูหรา พร้อมแนวคิด Super Garage House ที่จอดรถหรูได้ถึง 4 คัน ด้วยดีไซน์เป็นโชว์รูมภายในบ้าน ตกแต่งภายในแนว Modern Living Art โดย STUDIO CHEMISTRI และ BROWNHOUSE ให้พื้นที่ใช้สอยสูงสุดถึง 800 ตร.ม. รองรับกิจกรรมส่วนตัวและการสังสรรค์อย่างลงตัว โครงการซูเปอร์ลักซูรี ตั้งอยู่บางนา-ตราด กม.8 มีเพียง 43 ยูนิต ราคาเริ่ม 49.9–179 ล้านบาท
หรูหราแต่ว่าขี้เล่น เมื่อ ‘MCM’ คอลแล็บส์ ‘หมีเนย’ กลยุทธ์การตลาดลิมิเต็ดทำมัมหมีใจละลาย
‘หมีเนย’ คอลแล็บส์ ‘MCM’ แบรนด์ นิว สคูล ลักซูรี่ ระดับโลก ทำคอลเล็กชั่นสินค้าร่วมกันครั้งแรก อีกหนึ่งกลยุทธ์ ครอส มาร์เก็ตติ้ง ระหว่างคาแรกเตอร์จากไทยกับแบรนด์ระดับโลก บริษัท พีพี แกลม จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าแบรนด์แฟชั่นระดับโลก อาทิ ลองฌองป์ (Longchamp) ทอรี่ เบิร์ช (Tory Burch) เมซง คิทสึเนะ (Maison Kitsuné) ฯลฯ ออกมาย้ำจุดแข็งการทำตลาดสินค้าแฟชันไลฟ์สไตล์รุ่นพิเศษ (Limited Collection) อีกครั้ง โดยเตรียมจัดงาน Thailand Limited Edition พบกับคอลเลกชั่นพิเศษความร่วมมือระหว่างแบรนด์แฟชั่นระดับโลก MCM นิว สคูล ลักซูรี จากเยอรมันนี ร่วมกับคาแรกเตอร์น่ารักของไทย Butterbear ที่จะมาหลอมรวมระหว่างดีไซน์หรูสไตล์เยอรมัน เข้ากับคาแรกเตอร์อันอบอุ่นและเข้าถึงได้ของน้องเนย มาถ่ายทอดสู่ไอเทมที่สะท้อนความหรูหราและความขี้เล่นของหมีเนยในชื่อ MCM x ButterBear สนุกสนาน (Playful Luxury) ได้อย่างลงตัว สำหรับงานฯ จัดขึ้นวันที่ 3 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ที่ MCM Pop-Up Store ชั้น M โซนธารา ฮอลล์ ไอคอนสยาม โดยในงานยังมี น้องเนย (ButterBear), เบ็คกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง และแจ๊คกี้-จักริน กังวานเกียรติชัย มาร่วมถ่ายทอดสไตล์อันโดดเด่นผ่านคอลเลกชั่น MCM x ButterBear หมีเนย 2 ขวบเต็มแล้ว สำหรับคาแรกเตอร์ ‘หมีเนย’ (Butterbear) เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2566 ณ ร้าน Butterbear ซึ่งเป็นร้านขนมหวานในเครือ Coffee Beans by Dao มาพร้อมกับความน่ารักสดใสของ ‘มาสคอต’ ประจำร้านอย่าง ‘น้องหมีเนย’ (Butterbear) ที่ต่อมาความน่ารักของมาสคอตตัวนี้ได้กลายเป็นไวรัลอย่างมากในโลกออนไลน์ ทำให้มีแฟนคลับทั้งชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มชาวจีน กระทั่งถึงในวันนี้ การปรากฎตัวแต่ละครั้งรวมถึงการร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ ที่พาให้ ‘น้องหมีเนย’ น่าจะสร้างรายได้จากค่าตัวได้มากกว่าธุรกิจเดิมที่แจ้งเกิดให้กับเจ้าตัวอย่างร้าน Butterbear ที่ขายโปรดักส์เบเกอรี่อย่างขนมปังเนย, คุกกี้, โดนัท และเมนูอื่นๆ ที่กิจการเริ่มต้นจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนจะมีหน้าร้านที่ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ (Emsphere) ในปัจจุบัน MCM ความหรูหราแนวใหม่ สำหรับแบรนด์ MCM มีชื่อเต็มว่า ‘Modern Creation München’ ในปี 2568 นี้มีอายุ 49 ปี ด้วยแบรนด์ถือกำเนิดในปี 2519 โดย Michael Cromer ที่เมืองมิวนิก ในช่วงยุคทองของเยอรมนี โดย MCM เป็นที่รู้จักจากกระเป๋าหนังสีคอนยัคพิมพ์ลาย Visetos โมโนแกรม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ MCM ด้วยหลักปรัชญา ‘ความเลิศหรูที่ชาญฉลาด’ (Smart Luxury) มุ่งเน้นที่นวัตกรรมและความยั่งยืน ขณะเดียวกัน การเข้ามาของแบรนด์ MCM ยังมาพร้อมภายใต้คำนิยาม ‘New school luxury fashion MCM’ หมายถึง ‘แฟชั่นหรูหราสไตล์ MCM แนวใหม่ โดยนำเสนอสไตล์ที่ทันสมัยและเข้ากับยุคสมัยใหม่มากขึ้น โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความหรูหราและคุณภาพของ MCM ไว้ ต่อความร่วมมือระหว่างคาแรกเตอร์น้องเนย และ MCM ในครั้งนี้ จึงเป็นที่น่าสนใจอย่างมากในด้านกลยุทธ์ทางการตลาดที่เรียกร้องความสนใจทั้งเหล่าแฟชันนิสตาโดยเฉพาะด้อมมัมหมีเนย ได้เป็นอย่างดี Alternate-X สรุปให้ ‘หมีเนย’ คาแรกเตอร์ไทยชื่อดัง จับมือแบรนด์หรู MCM จากเยอรมัน เปิดตัวคอลเล็กชั่นพิเศษ MCM x ButterBear ผสานดีไซน์หรูแนวใหม่กับความขี้เล่นน่ารัก สะท้อนแนวคิด ‘Playful Luxury’ เตรียมจัดงานเปิดตัว 3 ก.ค. ที่ ICONSIAM โดยมีอินฟลูเอนเซอร์ดังร่วมงาน ‘หมีเนย’ เติบโตจากร้านขนมสู่มาสคอตระดับอินเตอร์ด้วยพลังโซเชียล ถือเป็นตัวอย่างการตลาดคาแรกเตอร์ไทยที่เจาะตลาดลักซูรี่ได้อย่างสร้างสรรค์
คนไทยมี 66 ล้านคน สถิติปีก่อนมีผู้บริจาคโลหิตกว่า 2% ห่วงอนาคตเจนฯ Z ความต้องการเลือดสูง
3 องค์กรชวนเจนฯZ บริจาคโลหิตทุก 3 เดือนเพื่ออนาคต หลังพบสถิติบริจาคเลือดในปี’67 อยู่ที่ 1.63 ล้านคน พร้อมใช้แคมเปญฯโปรเจกต์ ‘Blood Connect-เลือดเชื่อมชีวิต ให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ’ ผ่านกลยุทธ์การตลาดทัชใจคนรุ่นใหม่ให้มีส่วนร่วม รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงประสบศรี อึ้งถาวร ประธานคณะกรรมการจัดหาและส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์และสถิติการบริจาคโลหิตในไทย ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติในปี 2566 และปี 2567 มีประชากรที่บริจาคโลหิตเพียง 1.63 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 2.47% ของประชากรประเทศไทย 66 ล้านคน “ผู้บริจาคเลือดในปี 2566 มีจำนวน 2,818,774 ยูนิต คิดเป็น 3.7% หรือประชากร 1,000 คน จะมีผู้บริจาคโลหิตเพียง 37 คนเท่านั้น” ขณะที่สถิติความถี่ในการบริจาคโลหิตเมื่อปี 2567 พบว่า ผู้บริจาคโลหิตปีละ 4 ครั้ง มีเพียง 4.5% ส่วนผู้บริจาคโลหิตปีละ 1 ครั้ง มีมากถึง 67% หากมีผู้บริจาคโลหิตประจำทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้งเพิ่มมากขึ้น จะทำให้มีโลหิตเพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอตลอดปี รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงประสบศรี กล่าวว่า ขณะที่ปัจจุบันกลุ่มเยาวชน Gen Z นับเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่สามารถบริจาคโลหิตได้อย่างยั่งยืนต่อไป ในอนาคต สอดคล้องกับพฤติกรรมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ที่ชื่นชอบและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทั้งนี้ หากเริ่มต้นเป็นผู้บริจาคโลหิตตั้งแต่อายุ 17 ปีบริบูรณ์ จะมีช่วงระยะเวลาบริจาคโลหิตได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่จากสถิติการบริจาคโลหิตที่น่าสนใจของกลุ่มเยาวชน ที่มีอายุระหว่าง 17-20 ปี ระหว่างปี 2566 – 2567 คิดเป็นสัดส่วน 10% จากผู้บริจาคโลหิตในทุกช่วงอายุ โดยในปี 2566 มีเยาวชนบริจาคโลหิต จำนวน 167,478 คน จากผู้บริจาคโลหิต 1.63 ล้านคน ขณะที่ปี 2567 มีเยาวชนบริจาคโลหิต จำนวน 162,170 คน จากผู้บริจาคโลหิต 1.65 ล้านคน ด้าน ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานอนุกรรมการรณรงค์เพิ่มผู้บริจาคโลหิต ในคณะกรรมการจัดหา และส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทย ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่าจากสถิติดังกล่าว ได้นำไปสู่การทำโครงการในรูปแบบ Public Service Advertising Campaign ภายใต้แคมเปญ #BLOODCONNECT ภายใต้แนวคิด “We Are All Connected – เลือดเชื่อมชีวิต… ให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ” โดยแคมเปญฯ ร่วมกับ 3 ภาคีหลักในสังคมไทย ได้แก่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย, สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) และ สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT) พร้อมเครือข่ายจากภาครัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจ รวมถึงแบรนด์ระดับประเทศและระดับโลกขององค์กรกว่า 900 แห่ง ร่วมเป็นกระบอกเสียงแห่งการให้ ผ่านการรณรงค์ทุกสื่อทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ทั้งนี้ เพื่อสร้างการับรู้และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้บริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้ประเทศไทยมีปริมาณโลหิตสำรองเพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับการบริจาคโลหิตให้เป็น ‘วาระแห่งชาติ’ ในที่สุด ด้าน ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) เปิดเผยว่า สมาคมการตลาดฯ มอบหมายให้ โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ ผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์ดิ้งและทีมงาน เป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดแนวคิดเชิงกลยุทธ์ และออกแบบโครงสร้างแคมเปญ โดยเน้นทำความเข้าใจอินไซต์ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาความหมายจากการมีส่วนร่วม “เป้าหมายแคมเปญฯนี้ คือการสร้างพฤติกรรมบริจาคโลหิตให้กลายเป็นวัฒนธรรมแห่งการให้ที่ยั่งยืน เป็นการทำการตลาดเชิงรุกที่ตั้งเป้าเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติของทั้งสังคม ให้ส่งต่อได้จากรุ่นสู่รุ่นเป็นพลังที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคมได้อย่างแท้จริง” ด้าน รติ พันธุ์ทวี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT) เปิดเผยว่า แคมเปญฯ วางแนวคิดให้มีประสิทธิภาพสร้างการรับรู้และสร้างแนวร่วม มากำหนดแผนสร้างคุณค่าของการสื่อสารให้สมกับเป็นแคมเปญ ‘เพื่อสังคม’ พร้อมได้ ‘สุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์’ นักคิดสร้างสรรค์ระดับท้อปของประเทศ ซึ่งรับรางวัลต่างๆ ในเวทีโลก และทีมงานมาร่วมสร้างสรรค์งานนี้ เพื่อตอบโจทย์ อินไซต์เจนฯ Z อย่างตรงจุด เพื่อวางสู่รากฐานของ ‘ทัศนคติและวัฒนธรรม’ แห่ง’การให้’ ไปพร้อมกัน สำหรับกิจกรรมภายใต้แคมเปญ Blood Connect เลือดเชื่อมชีวิต ให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ บริจาคทั่วประเทศได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) ได้แก่ สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์สาขาบางแค สาขาบางกะปิ สาขางามวงศ์วาน สาขาท่าพระ ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม และบ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง) ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติ 8 แห่ง ในกรุงเทพฯ ได้แก่ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า, สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์ พระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลตำรวจ, คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช, โรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลสิรินธร โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติทั่วประเทศ การให้โลหิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ในการมอบโอกาส มอบความสุข มอบอนาคตให้ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องการ และได้กำหนดชีวิตตัวเองต่อไป การบริจาคโลหิต 1 ครั้ง สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้มากกว่า 3 ชีวิต หลายคนอาจจะมีภูมิหลังและเรื่องราวที่แตกต่างกัน แต่ใต้ผิวหนังของทุกคนนั้น มีโลหิตไหลเวียนอยู่ ภายในร่างกาย การบริจาคโลหิตสามารถ “เชื่อมโยง” ทุกชีวิตในรูปแบบที่สวยงามและให้ชีวิตได้ไปต่อ Alternate-X สรุปให้ ปี 2567 มีคนไทยบริจาคโลหิตเพียง 2.47% หรือราว 1.63 ล้านคน จากประชากร 66 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่มีสัดส่วนบริจาคเพียง 10% ของผู้บริจาคทั้งหมด สภากาชาดไทย ร่วม 3 องค์กรหลัก เปิดแคมเปญ “Blood Connect – เลือดเชื่อมชีวิต” หวังสร้างวัฒนธรรมบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน ให้เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง พร้อมใช้กลยุทธ์การตลาด-ครีเอทีฟ ทัชใจคนรุ่นใหม่ เชื่อมโยง ‘เลือด’ กับ ‘คุณค่า’ ในสังคม
ธุรกิจสนามบินไทย 8 หมื่นล. ปี’68เจอความท้าทายครั้งใหญ่ นักเดินทางต่างชาติลดกระทบรายได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ธุรกิจสนามบินปี68 ยังมีสัญญาณบวกโต 0.2% มูลค่ากว่า 8 หมื่นล. แต่อนาคตเจอหลายปัจจัยท้าทายทั้งเศรษฐกิจโลก-ภูมิรัฐศาสตร์ กระทบการเดินทางทำรายได้จากสัมปทานลดลง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยผลวิเคราะห์ แนวโน้มธุรกิจสนามบินในไทยในปี 2568 คาดว่าภาพรวมของธุรกิจสนามบินในไทยจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 80,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.2% จากปี 2567 เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมธุรกิจสนามบินมีความท้าทายสูง ทั้งนี้ รายได้ของธุรกิจสนามบิน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ รายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) อาทิ ค่าบริการผู้โดยสารขาออกเส้นทางระหว่างประเทศและภายในประเทศ (Passenger Service Charge: PSC) และค่าบริการสนามบิน รายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non- Aeronautical Revenue) อาทิ ค่าเช่าพื้นที่ รายได้จากสัมปทาน และค่าบริการอื่นๆ เช่น ค่าสาธารณูปโภคค่าบริการเคาน์เตอร์เช็คอินและบริการภายในสนามบิน เป็นต้น โดยสัดส่วนโครงสร้างรายได้ขึ้นอยู่กับขนาดของสนามบิน กรณีสนามบินขนาดเล็ก รายได้ส่วนใหญ่ หรือมากกว่า 80% มาจากรายได้เกี่ยวกับกิจการการบินและ หากเป็นสนามบินขนาดใหญ่ รายได้ของทั้ง 2 กลุ่มจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน ในปี 2568 ปัจจัยแวดล้อมธุรกิจสนามบินมีความท้าทายสูง ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของรายได้ของธุรกิจสนามบินในไทยที่ชะลอตัว สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อรายได้ของธุรกิจสนามบิน ได้แก่ 1.รายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) มองว่า รายได้ในกลุ่มนี้น่าจะยังสะท้อนภาพบวกได้เล็กน้อย โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก ปริมาณผู้โดยสารที่ใช้สนามบิน (รวมชาวไทยและต่างชาติที่เดินทางในประเทศและระหว่างประเทศ) คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 145.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.4% แต่ชะลอจากปี 2567 ที่โต 15% การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารที่ใช้สนามบินในไทยได้รับปัจจัยบวกจากการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศของชาวไทย การเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ และในปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานระดับนานาชาติหลายรายการอย่างการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์-อาเซียนเกมส์และการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 อย่างไรก็ดี การชะลอลงของจำนวนผู้โดยสารมีสาเหตุสำคัญมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2568 ที่คาดว่าจะลดลง 2.8% จากปีที่ผ่านมา โดยการปรับลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติส่งผลโดยตรงต่อรายได้จากค่าบริการผู้โดยสารขาออกเส้นทางระหว่างประเทศ ปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศยังมีทิศทางเพิ่มขึ้น จากการเปิดเผยตารางเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินที่มีกำหนดการล่วงหน้าไปถึงเดือนกันยายน 2568 บ่งชี้ว่า จำนวนเที่ยวบินจากภูมิภาคต่างๆ มาไทยส่วนใหญ่ยังเติบโตยกเว้นจากภูมิภาคอเมริกาเหนือที่ปรับลดลง ซึ่งเป็นเรื่องของฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ไปข้างหน้า ปัจจัยแวดล้อมของธุรกิจมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งยังต้องขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐในการดึงดูดการลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ สะท้อนได้จากแผนการจัดเที่ยวบินของสายการบินไปข้างหน้า ที่ตอบรับความสนใจในจุดหมายปลายทางใหม่ๆ โดยเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน พบว่าเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีปลายทางสู่จีน เติบโต 18% (9เดือนแรกปี 2568 เทียบ 9 เดือนแรกปี 2567) ญี่ปุ่น เติบโต 16% ส่วนไทย เพิ่มขึ้นเพียง 8% 2.รายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non- Aeronautical Revenue) ในปี 2568 ก็ได้รับผลเกี่ยวเนื่องจากทิศทางนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย ที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งรายได้ที่อาจลดลง ความเสี่ยงของธุรกิจสนามบินในไทย ความเสี่ยงจากจำนวนผู้โดยสารและแผนเที่ยวบินของสายการบินที่อาจลดลงกว่าที่ประเมิน ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ที่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 50% ของรายได้ธุรกิจสนามบิน (ขึ้นอยู่กับขนาดและกิจการของสนามบิน) โดยในช่วงที่เหลือของปี 2568 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวกระทบแผนการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยและคนต่างชาติ ปัญหาสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อใน หลายประเทศรวมถึงไทย โดยเมื่อเดือนเมษายน 2568 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะขยายตัว 2.8% ปรับลดจากที่คาดว่าจะเติบโต 3.3% (คาดการณ์เมื่อเดือนมกราคม 2568) ขณะที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับหลายปัจจัยลบ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 1.4% ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสายการบินและการเดินทาง แม้เหตุการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานจะยุติและสายการบิน กลับมาเปิดเส้นทางการบินได้ตามปกติแล้ว แต่สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามรัสเซียและยูเครนยังไม่ยุติทำให้ประเด็นนี้จะยังส่งผลต่อแผนเส้นทางการบิน จำนวนเที่ยวบิน รวมถึงการเดินทางระหว่างประเทศ การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูง ขณะเดียวกันข่าวเชิงลบที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง กระทบความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและประสบการณ์ในการเดินทางมาเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม สะท้อนจากจำนวนชาวต่างชาติเที่ยวไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ชาวต่างชาติเที่ยวไทยหดตัว 0.3% (เทียบ 4 เดือนแรกปี 2567) ขณะที่ญี่ปุ่น เติบโตสูงถึง 25% และเวียดนามโต 6.3% ซึ่งการลดลงของจำนวนชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยอาจส่งผลต่อรายได้ธุรกิจสนามบินในระยะข้างหน้า จึงจำเป็นที่ทุกภาคส่วนจะต้องเร่งแก้ไขปรับปรุงอย่างจริงจัง เพื่อเรียกฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับมาโดยเร็ว ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น ขณะที่รายได้ยังมีความไม่แน่นอน และไปข้างหน้าการแข่งขันในธุรกิจสนามบินระหว่างภูมิภาคสูงขึ้น สนามบินในไทยหลายแห่งยังต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และความปลอดภัยของสนามบินให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินสากล ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนที่สูง เช่น แผนการขยายอาคารรองรับผู้โดยสารและการขยายรันเวย์เพื่อลดความแออัดในสนามบินและการให้บริการการนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความปลอดภัย รวมไปถึงการลงทุนเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือ Green Airport การแข่งขันกับสนามบินในภูมิภาค หลายประเทศมีแผนการลงทุนพัฒนาสนามบินนานาชาติรองรับการขยายตัวของผู้โดยสารและปริมาณเที่ยวบิน มีระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการบริหารจัดการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการ เพื่อดึงสายการบินให้มาใช้บริการ หรือเลือกเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ซึ่งประเด็นนี้อาจนำมาซึ่งการแข่งขันด้านบริการและราคาในธุรกิจสนามบินที่สูงขึ้น และอาจมีผลต่อต้นทุนรายได้และผลกำไรในการดำเนินงาน เนื่องจากสนามบินไทยจะต้องมีการพัฒนาปรับปรุงเพื่อให้ทัดเทียมกับคู่แข่ง ความต่อเนื่องของแผนการพัฒนาสนามบินในประเทศของภาครัฐ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อธุรกิจสนามบิน ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของภาครัฐทำให้การพัฒนาสนามบินอาจมีความล่าช้า กระทบการวางแผนการลงทุน และการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ขณะที่ ความพร้อมของสนามบินไทยในการตรวจมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินประเทศไทย ซึ่งต้องติดตามผลการตรวจมาตรฐานด้านความปลอดภัยขององค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 Alternate-X สรุปให้ ธุรกิจสนามบินไทยปี 2568 คาดรายได้แตะ 80,700 ล้านบาท โตเพียง 0.2% จากปีก่อน แม้จำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินยังเพิ่ม แต่แนวโน้มชะลอลงจากปี 2567 รายได้หลักมาจากค่าบริการผู้โดยสารและกิจการเชิงพาณิชย์ในสนามบิน ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง, เศรษฐกิจโลกชะลอ, ต้นทุนสูง ความท้าทายเพิ่มจากการแข่งขันสนามบินในภูมิภาคและความไม่แน่นอนนโยบายรัฐ
เถ้าแก่น้อย ร่วมทุนจีน ลงทุน 100 ล.ทำขนมจาก ‘บุก’ รับเทรนด์สายขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ
TKN ผนึกพันธมิตร ตั้งโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวจากบุกในไทย รับกระแสตลาดสแน็กเพื่อสุขภาพ เติบโตแรง อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนบขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายทั้งในและต่างประเทศ ตราสินค้า ‘เถ้าแก่น้อย’ และขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับพันธมิตรครบวงจร บริษัท ชาชา ฟู้ด (ไทยแลนด์)จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตเมล็ดธัญพืชต่างๆ อบและแปรรูป เช่น เมล็ดทานตะวัน ถั่ว เป็นต้น บริษัท แวลู่พลัส เวิร์ลไวด์ จำกัด ที่จดทะเบียนในประเทศไทย นักธุรกิจชาวจีน Yao Jing ทั้งนี้ เพื่อร่วมจัดตั้งโรงงานแปรรูปและผลิตบุกในประเทศไทย เพื่อรุกตลาดขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพที่กำลังเติบโต สำหรับข้อตกลง MOU ครั้งนี้ บริษัท ชาชา ฟู้ด (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท แวลู่พลัส เวิร์ลไวด์ จำกัด และ Ms. Yao Jing ทั้งสามราย จะร่วมจัดตั้งบริษัทใหม่ และร่วมมือกับ TKN จัดตั้งบริษัทร่วมทุนโรงงานแห่งใหม่ ตั้งอยู่ที่อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ใช้งบลงทุนเริ่มต้นประมาณ 100 ล้านบาท มีเป้าหมายเพื่อใช้ประโยชน์จากกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้นของขนมขบเคี้ยวจากบุก และเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการผลิตของแต่ละฝ่าย เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดย บริษัทร่วมทุนนี้ จะรับผิดชอบในการจัดหาวัตถุดิบและเทคโนโลยีการผลิต รวมถึงเช่าพื้นที่โรงงานจาก TKN เพื่อใช้ผลิตขนมขบเคี้ยวจากบุก ขณะที่ Ms. Yao Jing จะมีบทบาทหลักในการจัดหาวัตถุดิบสำหรับบริษัทร่วมทุน พร้อมรับประกันราคาที่แข่งขันได้ ส่วน TKN จะรับผิดชอบการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน รวมถึงบริหารการดำเนินงานประจำวันของโรงงาน ในด้านการบริหารงานของบริษัท ประกอบด้วยกรรมการ 3 ท่าน โดยมาจาก บริษัทใหม่ 2 ท่านและ TKN 1 ท่าน นอกจากนี้ TKN ยังได้รับสิทธิแต่งตั้งตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของบริษัทร่วมทุน ซึ่งจะรับผิดชอบการดำเนินงานและบริหารจัดการประจำวันเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าที่เท่าเทียมกัน อิทธิพัทธ์ กล่าวว่า การลงนามใน MOU ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการขยายกำลังการผลิตและการเข้าถึงตลาดของขนมขบเคี้ยวจากบุกทั้งในประเทศไทยและระดับสากล ซึ่งการลงทุนในโครงการฯ จะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น “ขณะเดียวกัน ยังช่วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว นับเป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ของ TKN ในการมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความอร่อย สะดวกรวดเร็ว และมีประโยชน์ รวมถึงสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดโลก” อิทธิพัทธ์ กล่าว Alternate-X สรุปให้ เถ้าแก่น้อย (TKN) ลงนามร่วมทุนกับพันธมิตร 3 ราย ตั้งโรงงานผลิตขนมจากบุกในไทย ใช้งบลงทุนเริ่มต้น 100 ล้านบาท ตั้งที่ปทุมธานี รองรับเทรนด์ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ โดยโรงงานใหม่จะใช้พื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานจาก TKN พร้อมแบ่งบทบาทบริหารร่วมกัน วางเป้าหมายเพื่อผลิตขนมบุกส่งตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนวิสัยทัศน์ TKN พัฒนาสินค้าขนบขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ เพื่อขยายการเติบโตในตลาดอย่างยั่งยืน