Skip to content

alternate-x

  • Home
  • What’s Up
  • About Us

บาลานซ์พอร์ตโรงแรมสไตล์ SCX แผน 3 ปีมุ่ง JV พันธมิตรเน้นทำเล ‘Beach Front’

BizKet

SCX กลยุทธ์บาลานซ์พอร์ตธุรกิจโรงแรมคลุมทุกไลฟ์สไตล์นักเดินทางเจนฯใหม่ แผน3 ปีเน้นทำเลเมืองเที่ยวติดชายหาด นำร่องเปิดเดอะสแตนดาร์ดฯ พัทยา มียอดจองเกิน90%     รชฎ นันทขว้าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด หรือ SCX  Corporation ธุรกิจเรือธงในเครือเอสซี แอสเสท (SC Asset) กล่าวว่า บริษัทฯวางแนวทางพัฒนาธุรกิจโรงแรม (SCX Hospitality) ภายใต้การร่วมทุนเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรธุรกิจ (Strategic Partner) พัฒนาโครงการในทำเลเมืองท่องเที่ยวสำคัญ  อาทิในจังหวัดชลบุรี จะมี 2 แห่ง   ล่าสุดเปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในจังหวัดชลบุรี คือ เดอะสแตนดาร์ด พัทยา นาจอมเทียน มีมูลค่าโครงการรวม 1,300 ล้านบาท เป็นการร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่าง บริษัท ชินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (SYNTEC) ถือหุ้นสัดส่วน 55% และ SCX สัดส่วน 45%   โดยโครงการฯ วางตำแหน่งเป็นรีสอร์ตไลฟ์ สไตล์ ขนาด 161 ห้อง ขนาดพื้นที่รวม 25,000 ตารางเมตร บนที่ดินเช่าระยะยาวติดทะเลชายหาดนาจอมเทียน พัทยา จังหวัดชลบุรี เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการวันที่ 21 ตุลาคม นี้  และเป็นแบรนด์เดอะสแตนดาร์ด แห่งที่ 3 ต่อจาก  หัวหิน และ ภูเก็ต   รชฎ นันทขว้าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด     “โครงการเดอะสแตนดาร์ด  นาจอมเทียน พัทยา ในฝั่งของซินเท็คฯ จะเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง ส่วนเอสซีเอ็กซ์ ดูในด้านการออกแบบ ดีไซน์ทั้งหมด”       นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนพัฒนาโรงแรมรูปแบบอาคารสูง (high rise) เป็นแห่งที่สองในรูปแบบเจวี ภายใต้แบรนด์ไฮแอท (Hyatt) พร้อมใช้ที่ดินที่เป็นของบริษัทฯเอง คาดมีความชัดเจนในปี 2569   รชฎ  กล่าวว่า การพัฒนาโรงแรมของบริษัทฯ ตามแผนดังกล่าว ยังเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารพอร์ตสมดุลธุรกิจ โดยในกลุ่มของโรงแรมระดับ4 ดาว (MidScale) จะเน้นทำเลในการเปิดให้บริการ มีอัตราค่าบริหารอยู่ที่ 2,000-3,000 บาทต่อคืน ซึ่งมีแบรนด์ ครอโม (KROMO) ทำตลาดโรงแรมมิดสเกล ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีก่อน     “เทรนด์นักเดินทางให้ความสำคัญกับประสบการณ์และมองหาสไตล์ ซึ่งการพัฒนาโครงการโรงแรมฯของเอสซีเอ็กซ์ ยังต้องการให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ ด้วยการสร้างความเป็นยูนีคไม่เหมือนใครให้กับแบรนด์”     นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโรงแรมโวโค (VOCO) ภายใต้ความร่วมมือกลุ่ม IHG วางตำแหน่งเป็นอัปสเกลโรงแรม (Upscale Hotel) ระดับบนมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียม มูลค่าการลงทุนกว่า 2,300 ล้านบาทมีจำนวน 350 ห้อง คิดอัตราห้องพัก ราว 6,000-7,000 บาทต่อคืน คาดจะเปิดให้บริการในปี 2572 “ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรร่วมทุนที่เหมาะสม คาดมีความชัดเจนในปี2568 นี้” รชฎ  เสริม   พร้อมกล่าวว่า แนวทางการขยายธุรกิจดังกล่าวของบริษัท ยังมองประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนในรูปแบบต่อยอดโครงการเดิมที่มีอยู่เพื่อนำมาพัฒนาต่อ (Brown Field) ในบางทำเลที่มีความน่าสนใจ ที่ผู้พัฒนา(Developer)ไม่ต้องการทำต่อ ซึ่งบริษัทฯอาจเข้าซื้อเพื่อนำมาพัฒนาต่อได้ โดยจะพิจารณาจากทำเลและราคา ในโครงการโรงแรมที่มีขนาด 200 ห้อง เป็นต้น   รชฎ เสริมว่า “หากเป็นรูปแบบบราวน์ฟิลด์ จะสามารรับรู้รายได้ใน3 ปี ส่วนกรีน ฟิลด์ ซึ่งสร้างใหม่จะเร็วกว่าการเข้าไปรีโนเวท ใช้เวลารับรู้รายได้ราว 1 ปี ซึ่งทั้งสองแนวทางมีความเป็นไปได้หมด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณา 5 ดีลในมือ และให้ความสำคัญกับทำเลบีช ฟร้อนต์ เป็นหลักเพื่อรองรับคนรุ่นใหม่ ภายใน 3 ปีนี้ และยังไม่มีแผนไปเมืองเชียงใหม่”     จากแนวทางดังกล่าว จะสนับสนุนให้โรงแรมในเครือบริษัท มีความครอบคลุมทั้งไลฟ์สไตล์, ความหลากหลายสีสัน (มิดสเกล)และระดับบน (อัปสเกล) พร้อมวางเป้าหมายในปี 2572 จะสามารถให้บริการห้องพักรวม 2,000 คีย์ (Keys) จากปัจจุบันมีอยู่ 1,200 คีย์   ขณะที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยโรงแรมในเครือ อาทิ ย่าน ราชวัตร (YANH RATCHAWAT) ราว 60% ส่วนเดอะสแตนดาร์ดฯ ได้การตอบรับดีมียอดการจองที่พักสูงถึง 90% โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็นนักเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) มากกว่า 70% และกลุ่มลูกค้าองค์​กร (Corporate) น้อยกว่า 30%     Alternate-X สรุปให้      SCX เดินเกมกลยุทธ์ ‘บาลานซ์พอร์ตโรงแรม’ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่ เปิด ‘เดอะสแตนดาร์ด พัทยา’ รีสอร์ตติดหาด ได้ยอดจองพุ่งเกิน 90% เตรียมเปิดโรงแรมแบรนด์ดัง Hyatt และ VOCO เสริมพอร์ตระดับกลาง–บน ใช้โมเดลร่วมทุน (JV) กับพันธมิตรในทำเลท่องเที่ยวศักยภาพสูง ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนห้องพักแตะ 2,000 คีย์ภายในปี 2572 ตอบรับเทรนด์ท่องเที่ยวพรีเมียม  

October 20, 2025 / 0 Comments
read more

ร่างทอง ‘วัตสัน’ ทำโมเดลใหม่ลักซูฯแมปทำเลหรู ‘เอ็มควอเทียร์’ ดึงกำลังซื้อไฮเอนด์

BizKet,  WeView

‘วัตสัน’ ทำโมเดลร้านใหม่ใช้คอนเซ็ปต์ ‘New Store Experience’ ครั้งแรกแห่งเดียวในไทยบนทำเลทอง ‘เอ็มควอเทียร์’ ขยับแบรนด์รับกำลังซื้อชาวไฮเอนด์ใจกลางเมือง   นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย ผู้ให้บริการธุรกิจร้านค้าปลีกพิเศษเพื่อสุขภาพและความงาม วัตสัน (Watson) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขยายธุรกิจครั้งใหญ่ หลังดำเนินกิจการในไทย 29 ปี โดยเปิดตัวร้านโมเดลใหม่ล่าสุด ภายใต้แนวคิด New Store Experience Concept  ในสาขาศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์   สำหรับโมเดลสาขาฯ ดังกล่าว ถือเป็นร้านต้นแบบ ภายใต้แนวคิดการให้บริการเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ของความงาม สุขภาพ และไลฟ์สไตล์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการชอปปิ้งครบวงจร ที่เข้าใจทุกความต้องการของผู้บริโภค และ เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของคนเมือง     นอกจากนี้ ร้านวัตสัน สาขาศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ในรูปแบบ New Store Experience Concept ยังเป็นการออกแบบ (Design)ใหม่ล่าสุด เป็นแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ผสมผสานความเรียบง่ายและความหรูหราเข้ากับความร่วมสมัยของสถาปัตยกรรมตัวอาคารอย่างลงตัว   โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นสายของ ‘แม่น้ำเจ้าพระยา’ หรือ ‘Golden River’แม่น้ำสายสำคัญของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเส้นโค้งที่พลิ้วไหวในงานดีไซน์ภายในร้าน เปรียบเสมือนเกลียวคลื่นของแม่น้ำ ที่สะท้อนถึงความเป็นผู้หญิงและความงามที่นุ่มนวล แต่ยังคงความสง่างามและความทันสมัย ด้วยโทนสีเรียบง่ายอย่าง สีขาว สีเบจ สีน้ำตาล สีคอปเปอร์ และสีทอง เพื่อมอบประสบการณ์การชอปปิงที่แปลกใหม่และยกระดับให้กับลูกค้า   นอกจากนี้ วัตสัน ยังร่วมกับแบรนด์พันธมิตรชั้นนำ นำสินค้ากว่า 7,000 รายการ พร้อมแบรนด์พรีเมียมยอดนิยม อาทิ   The Ordinary Dyson La glace 3CE Skinfood Foreo Torriden Bio Active   รวมถึงแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟที่มีจำหน่ายเฉพาะที่วัตสันเท่านั้น เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านสุขภาพและความงามของลูกค้าได้อย่างครบครัน     นวลพรรณ กล่าวว่า “การเปิดตัววัตสัน สาขาเอ็มควอเทียร์ เป็นก้าวสำคัญในการรุกทำเลศักยภาพสูง สาขาแห่งนี้ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของกลุ่มลูกค้าคนเมืองที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยที่ใส่ใจในสุขภาพและความงาม และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แสวงหาสินค้าคุณภาพพร้อมการเข้าถึงที่สะดวกสบาย”   นอกจากนี้ ยังเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับร้านวัตสันในประเทศไทย และตอกย้ำถึงการเข้าถึงและความเข้าใจเชิงลึกเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและการเลือกสรรสินค้าคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบคนเมืองได้อย่างตรงจุด และสมบูรณ์แบบมากที่สุด ปัจจุบันร้านวัตสัน ในประเทศไทย มีจำนวนสาขามากกว่า 750 สาขา พร้อมให้บริการในช่องทางวัตสัน ออนไลน์       Alternate-X สรุปให้     วัตสัน เปิดโมเดลร้านใหม่ ‘New Store Experience’ ครั้งแรกในไทยที่ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ยกระดับภาพลักษณ์สู่ความหรูหรา เจาะตลาดลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ใจกลางกรุงเทพฯ ดีไซน์ร้านได้แรงบันดาลใจจากเส้นสายของแม่น้ำเจ้าพระยา สื่อถึงความงามและความสง่างาม รวมสินค้ากว่า 7,000 รายการจากแบรนด์พรีเมียมและเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะวัตสัน ชูจุดแข็งการบริการครบวงจรทั้งสุขภาพและความงาม พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่

October 20, 2025 / 0 Comments
read more

5 ปีหน้า ‘อาร์ต ทอย’ โลก มูลค่าแตะ 3.99 แสนล.บาท ‘เอเชีย’ ตลาดใหญ่สุดโอกาสศิลปินไทย

BizKet,  Peace&Play

กวิน อินเตอร์เทรด เปิดข้อมูลอาร์ตทอยมูลค่าเกิน 3 แสนล้านบาท เตรียมจัดใหญ่ครั้งแรกในไทยและอาเซียน งาน Licensing Show ASEAN 2025 รับตลาดไลเซนส์ขยายตัวทั่วโลก     กวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้จัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการรายใหญ่ เปิดเผยว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมธุรกิจการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ (Licensing) ทั่วโลกในปี 2567 คาดตลาดมีมูลค่ารวมสูงถึง 27.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 37.62 พันล้านดอลลาร์ฯ สหรัฐ หรือราว 1.37 ล้านล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ)ภายในปี 2574   ขณะที่เอเชียแปซิฟิกมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 32.5% ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจาก   รายได้ที่เพิ่มขึ้น การขยายตัว ของเมือง การเติบโตของชนชั้นกลางใน จีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   นอกจากนี้ ยังรวมถึงเทรนด์สินค้าที่มาแรงที่สุด เช่น อาร์ตทอย จนเกิดกระแสนิยมในสไตล์ป๊อปคัลเจอร์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดอาร์ตทอยของโลกอยู่ที่ 8,517.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 3.12 แสนล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4.26 จนมีมูลค่าสูงถึง 10,938.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.99 แสนล้านบาท ในปี 2573 ซึ่งตลาดอาร์ตทอยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับศิลปินและนักออกแบบไทย ในการเจาะตลาด   ขณะที่ อุตสาหกรรมแอนิเมชันในปีที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 3,936 ล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ย 15% โดยประเทศไทย ถือเป็นแหล่งรับจ้างสำคัญของงานแอนิเมชัน และ CG/VFX จากจุดแข็งด้านบุคลากร และนักออก แบบคอนเทนต์ที่มีความสามารถ จำนวนมาก แต่ยังขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาและลิขสิทธิ์     กวิน กล่าวว่า เพื่อรองรับการเติบโตอุตสาหกรรมตลาดดังกล่าว พร้อมมองเห็นเป็นโอกาสของศิลปินและนักออกแบบไทย รวมถึงในภาคส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทฯ จัดงาน Licensing Show ASEAN 2025 เป็นครั้งแรกในไทยและอาเซียน เพื่อเชื่อมโยง ผู้แสดงสินค้าลิขสิทธิ์จาก ไทย ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2568 ณ ภิรัชฮอลล์ 1 ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทคบุรี   โดยงานฯ มีทั้ง ผู้ถือสิทธิ์แบรนด์ (Brand Owners) ตัวแทนลิขสิทธิ์ นักพัฒนาทรัพย์สิน ทางปัญญา (IP) และผู้ประกอบธุรกิจในหลากหลายประเภทสินค้าและบริการได้มาพบเจรจาต่อยอดธุรกิจผ่านโมเดล การอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ ซึ่งได้รับความนิยมและเติบโตอย่างมากในทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิกที่มีการเติบโตของตลาดอย่างรวดเร็ว   “การจัดงาน Licensing Show ASEAN 2025 จะมีส่วนส่งเสริมอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์และช่วยให้ธุรกิจสามารถต่อยอดสู่ตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในทางกลับกันช่วยให้ธุรกิจจากอาเซียนสามารถส่งออก IP ของตนเองไปยังตลาดสากลได้”     นอกจากนี้ การจัดงานฯ ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงาน Licensing และ IP ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จากการแสดงสินค้าและบริการ พร้อมกิจกรรมอัพสกิลผู้ประกอบการผ่านการสัมมนาและเวิร์กชอปเชิงลึก 25 หัวข้อโดยผู้เชียวชาญครอบคลุมหัวข้อ อาทิ อนาคตอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์โดยผู้เชี่ยวชาญทรงคุณวุฒิจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา สูตรลับความสำเร็จของ Brand Licensing ในสินค้าผู้บริโภค ความสำคัญของ IP มีต่องานศิลปะและการออกแบบในปัจจุบันสำคัญอย่างไร กลยุทธ์ในการบริหารและปกป้องเครื่องหมายการค้า (Benz) การปกป้องงานสร้างสรรค์และเพิ่มมูลค่าผลงาน สร้างรายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา ขยายธุรกิจด้วยแฟรนไชส์และทรัพย์สินทางปัญญา การ์ดเกมวางแผนเสริมสร้างความรู้พื้นฐานด้านทรัพย์สินทางปัญญา แข่งขันเพื่อเป็นผู้ที่ได้รับจดทะเบียน IP มากที่สุด เป็นต้น การจัดงานฯ ดังกล่าว ยังเชื่อมโยงโอกาสด้านการอนุญาตใช้ลิขสิทธิ์ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น แคแร็กเตอร์ แอนิเมชั่น อีสปอร์ต อีเกมส์ หนังสือ สินค้าไลฟ์สไตล์ ของสะสม และสื่อบันเทิง โดยรวม 50 บริษัทจาก 5 ประเทศ ไทย ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ จัดแสดงความหลากหลายมากกว่า 150 คาแร็คเตอร์ ภายใต้การสนับสนุนของภาครัฐและเอกชนจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทยและอาเซียน โดยได้รับร่วมมือและสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ  อาทิ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) สมาคมดิจิทอลคอนเทนท์ไทย (DCAT) สมาคมกีฬาอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย IDG Thailand บริษัทให้คำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา และนวัตกรรมเพื่อธุรกิจ เป็นต้น   สำหรับการจัดงานฯ ดังกล่าว จะเป็นเวทีให้เจ้าของลิขสิทธิ์ได้จัดแสดงผลงาน พบปะเจรจาธุรกิจกับนัก ธุรกิจค้าปลีก ผู้สนใจสร้างแบรนด์ให้เป็นที่นิยมและยังเป็นเวทีให้ความรู้ด้านธุรกิจลิขสิทธิ์ได้อย่างมีศักยภาพมากที่สุด และ เป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่มองหาลิขสิทธิ์กว่า 150 ชนิดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของตนสามารถพบกับผู้แสดงจากห้าประเทศได้แบบตัวต่อตัว   พร้อมคาดว่าจะมีผู้ประกอบการเจ้าของสินค้า เจ้าของลิขสิทธิ์ไทยและต่างประเทศ ตัวแทนลิขสิทธิ์ นักศึกษาด้านศิลปะที่สนใจราว 2,000 คนจากทั่วประเทศและอีก 15 ประเทศ โดยตลอด 3 วันของการจัดงาน และจะสามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจราว 100 ล้านบาท ตลอด 3 วันของการจัดงานฯ   ตอบรับมูลค่าตลาดการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด เตรียมจัดงาน Licensing Show ASEAN 2025 แสดงสินค้าและบริการระดับนานาชาติ     สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถลงทะเบียนเข้างานได้ล่วงหน้าผ่าน https://eventpassinsight.co/el/to/lsa2518         Alternate-X สรุปให้     อุตสาหกรรม “อาร์ตทอย” ทั่วโลกคาดแตะ มูลค่า 3.99 แสนล้านบาทในปี 2573 โดยเอเชียเป็นตลาดใหญ่สุดและเติบโตเร็วที่สุด ดันโอกาสศิลปิน–นักออกแบบไทยเข้าสู่ตลาดลิขสิทธิ์โลก โดยบริษัท กวิน อินเตอร์เทรด เตรียมจัดงาน Licensing Show ASEAN 2025 ครั้งแรกในไทยและอาเซียน เพื่อเชื่อมโยงผู้ถือสิทธิ์ นักสร้างสรรค์ และผู้ประกอบการกว่า 5 ประเทศ งานนี้มุ่งผลักดันไทยเป็น “ศูนย์กลางธุรกิจลิขสิทธิ์และ IP” ของภูมิภาค พร้อมเวิร์กชอปและสัมมนา 25 หัวข้อจากผู้เชี่ยวชาญด้าน IP และ ยังเป็นเวทีเปิดโอกาสให้ศิลปินไทยต่อยอดผลงานสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง ทั้งอาร์ตทอย แอนิเมชัน และคาแรกเตอร์ดีไซน์ คาดสร้างมูลค่าทางธุรกิจไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ตลอดการจัดงาน 3 วัน

October 19, 2025 / 0 Comments
read more

ต้นแบบทริปลักซูรี่ หลัง BDMS X ศรีพันวา กลยุทธ์เพิ่มมูลค่าผ่านทริปสุขภาพ

Peace&Play

‘เวลเนส รีทรีต ’BDMS Wellness Clinic x Sri panwa หนุนเศรษฐกิจ Wellness ไทยสู่สากล หลังคว้า 2 รางวัลท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ-ความยั่งยืน     หลังความร่วมมือระหว่าง กลุ่ม BDMS เวลเนส คิลนิก (BDMS Wellness Clinic) ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันในเครือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต และโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต  ภายใต้โครงการ Wellness Retreat ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา       โดยมีเป้าหมายเพื่อ พัฒนาโครงการ ‘Wellness Retreat’ ในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism) ที่นำทั้งการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Health) จาก BDMS Wellness Clinic เข้ากับ ประสบการณ์การพักผ่อนระดับพรีเมียม ของโรงแรมศรีพันวา และบริการทางการแพทย์ครบวงจร จากโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต   พร้อมรองรับทริปเพื่อสุขภาพในระดับพรีเมียม ทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจ Medical & Wellness Tourism กลุ่มคนรุ่นใหม่  ผู้บริหาร สายขภาพที่ต้องการ ‘พักผ่อนแบบได้ดูแลตัวเอง’ รวมถึงกลุ่มคนวัยทำงาน และ วัยเกษียณที่เน้น การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ภายในพร็อพเพอร์ตี้โรงแรมลักซูรี่อย่าง ศรีพันวา ภูเก็ต     จากความร่วมมือดังกล่าว ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มอบ 2 รางวัลทรงเกียรติให้กับโครงการฯ ได้แก่   รางวัลยอดเยี่ยมด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism: Thailand Tourism Excellence Awards) ในสาขา Destination Spa & Wellness หนึ่งในสุดยอดผู้ประกอบการที่มีความโดดเด่นและคุณภาพยอดเยี่ยมในระดับสากล   รางวัลแห่งความยั่งยืน (Thailand Tourism Sustainability Awards) ให้กับผู้ประกอบการที่มีความโดดเด่นด้านการบริหารจัดการความยั่งยืน   ‘สงกรานต์  อิสสระ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยศักยภาพทำเล ‘ศรีพันวา’ เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งแนวคิดความยั่งยืนถือเป็นพันธกิจที่ต้องยึดมั่น เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ดีขึ้นให้กับประเทศไทยและโลกของเรา ไปพร้อมกับการดูแลสุขภาพที่ต้องสอดประสานกับการรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ   ขณะที่ โครงการ BDMS Wellness Clinic x Sri panwa ยังเป็นทั้งการส่งมอบสุขภาพดีผ่านเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย พร้อมมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เป็นมิตรต่อโลก เพื่อให้ผู้คนได้มีชีวิตที่แข็งแรงและยั่งยืน   “ศรีพันวา ยังมีส่วนร่วมส่งต่อความยั่งยืน โดยเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ อย่างการลดใช้พลาสติก เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและเป็นมิตรกับธรรมชาติในทุกก้าวของการเดินทาง”   ด้าน นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการจำกัด (มหาชน) หรือ BDMS กล่าวว่าการได้รับรางวัลฯ ดังกล่าว ยังสะท้อนความมุ่งมั่นของ BDMS Wellness Clinic และโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ในการผสานแนวคิดด้านสุขภาพเข้ากับแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ   ทั้ง การเลือกใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนวัตถุดิบท้องถิ่น การพัฒนาบุคลากรในชุมชน รวมถึงการออกแบบบริการที่มีความรับผิดชอบและตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว   โดยการได้รับรางวัลในครั้งนี้ ยังสะท้อนถึงการได้ความยอมรับในด้านคุณภาพและมาตรฐานบริการรวมถึงความมุ่งมั่นต่อการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพระดับโลก   ขณะที่ แนวคิดโครงการฯ ได้ผ่ออกแบบประสบการณ์ด้านการพักผ่อน พร้อมนำศาสตร์การดูแลสุขภาพองค์รวมที่วัดผลได้ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือที่เราเรียกกันว่า Scientific Wellness เข้ากับศาสตร์แห่งการพักผ่อน ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เพื่อให้ตอบโจทย์สุขภาพการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลได้อย่างแท้จริง   ทั้งนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพ ภูเก็ต มุ่งมั่นสู่การเป็นพันธมิตรทางการแพทย์ในระดับภูมิภาคที่สามารถต่อยอดไปได้ในระดับสากล เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพเชิงลึกอย่างต่อเนื่องให้กับผู้เข้าร่วมโปรแกรม BDMS Wellness Clinic x Sri panwa ด้วยบริการทางการแพทย์ในมิติที่หลากหลาย ภายใต้มาตรฐานทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ด้วยความพร้อมของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย พร้อมความเข้าใจในบริบทของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ   สำหรับ ‘รางวัลแห่งความยั่งยืน (Thailand Tourism Sustainability Awards)’ ที่ BDMS Wellness Clinic x Sri panwa ได้รับ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของเวที Thailand Tourism Awards ในปีนี้ ด้วยเป็นปีแรกที่มีการจัดมอบรางวัลประเภทนี้ เพื่อเชิดชูผู้ประกอบการที่มีความโดดเด่นในการบริหารจัดการธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม   ขณะที่ รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) เป็นรางวัลเชิดชูผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยที่มีคุณภาพสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวอย่างยอดเยี่ยม และมุ่งสู่ความยั่งยืน เพื่อยกระดับ พัฒนา สร้างคุณค่า และมูลค่าของสินค้าทางการท่องเที่ยวไทยสู่ระดับสากล   โดยงานมอบรางวัลนี้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุก 2 ปีมาเป็นเวลา 30 ปี และในปีนี้นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 15 โดยมีการมอบรางวัลใน 5 ประเภทหลัก ได้แก่   ประเภทแหล่งท่องเที่ยว ประเภทที่พักนักท่องเที่ยว ประเภทการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประเภทรายการนำเที่ยว ประเภทองค์กรสนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืน         ศรีพันวา ภูเก็ต   โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต โครงการบ้านพักตากอากาศ และโรงแรมหรู แบบพูลวิลล่า ตั้งอยู่บนหาดส่วนตัว ปลายสุดของแหลมพันวา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต บนเนื้อที่ 85 ไร่ วิลล่าของศรีพันวา ด้วยบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว พร้อมเปิดให้เห็นท้องทะเลอันดามันพร้อมหมู่เกาะล้อมรอบ วิลล่าทุกหลังมีสระว่ายน้ำส่วนตัว  ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงประมาณ 40 – 60 เมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมสันทนาการมากมาย สปา เวลเนส ลานโยคะ ฟิตเนส สนามเทนนิส สระว่ายน้ำขนาดใหญ่   โดยเปิดโซนใหม่ล่าสุด ‘Yaya’ ห้องพัก Pool Suite โซนใหม่ 24 ห้อง พร้อมห้องประชุมจัดเลี้ยง (convention) ความจุ 400 คน รวมถึงรูฟท็อปแห่งใหม่ TU Bar และ Baba Soul Cafe เปิดให้บริการเมื่อเร็วๆนี้     บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก   วางตำแหน่งการให้บริการ ในรูปแบบศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันในเครือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) โดยนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีมีอายุยืนอย่างมีคุณภาพ ทั้งกายและใจ         Alternate-X สรุปให้    ความร่วมมือระหว่าง BDMS Wellness Clinic และ ศรีพันวา ภูเก็ต ภายใต้โครงการ Wellness Retreat สร้างโมเดลการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ผสานการดูแลเชิงป้องกันกับการพักผ่อนระดับลักซูรี โดยโครงการได้รับ 2 รางวัลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ด้าน Wellness และ Sustainabilityตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เสริมศักยภาพประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก    

October 19, 2025 / 0 Comments
read more

กินบุฟเฟต์แบบใดให้ยั่งยืน ดุสิตปริ๊นเซสฯ เปิดไลน์ใหม่ Seafood Paradise กลยุทธ์ดึงนิว เจนฯ

Peace&Play,  WeView

เมื่อ ‘การกินอย่างมีความหมาย’ กลายเป็นเทรนด์บริโภคคนรุ่นใหม่ ‘ดุสิตปริ๊นเซส ศรีนครินทร์’ เปิดตัว ‘Seafood Paradise’ เสริมภาพลักษณ์แบรนด์รักษ์โลกตอบโจทย์สายกินนิวเจนฯ ปักหมุดแบรนด์บุฟเฟต์ซีฟู้ดพรีเมียม แห่งกรุงเทพฯตะวันออก   ในวันที่ตลาดบุฟเฟต์พรีเมี่ยมในกรุงเทพฯ แข่งขันกันอย่างดุเดือด โรงแรมระดับกลาง–บนต่างงัดกลยุทธ์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ต้องการทั้ง “คุณภาพและคุณค่า” ไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นเทรนด์หลายโรงแรมต่างงัดกลยุทธ์ที่สร้างความสมดุลระหว่างความอร่อยกับความยั่งยืน   หนึ่งในผู้เล่นที่ก้าวนำเทรนด์นี้คือ โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ ในเครือ Dusit International ที่ล่าสุดได้เปิดตัวไลน์บุฟเฟต์น้องใหม่ภายใต้ชื่อ “Seafood Paradise: From Sea to Flavourful Feast”   นี่ไม่ใช่เพียงการอัปเดตเมนูบุฟเฟต์ประจำฤดูกาลเท่านั้น แต่คือ “Brand Movement” ที่สะท้อนทิศทางใหม่ของโรงแรมในเครือดุสิต ซึ่งตั้งใจรุกตลาดซีฟู้ดบุฟเฟต์พรีเมี่ยมในย่านกรุงเทพตะวันออก   พร้อมวางตัวเป็น “จุดหมายของการกินอย่างมีความหมาย” (Meaningful Dining Destination) ที่ตอบโจทย์ทั้งคนเมืองและกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม   ความอร่อยที่มีสตอรี่   เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องอาหาร The Square One ชั้น G ของโรงแรม กลิ่นหอมของซีฟู้ดสดใหม่และกลิ่นเนยกระเทียมจากเตาย่างลอยอบอวลต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังจานอาหารเหล่านี้กลับมี “เรื่องราว” มากกว่าเพียงความอร่อย เชฟใหญ่ของโรงแรมเล่าว่า วัตถุดิบหลักในบุฟเฟต์ชุดนี้กว่า 80% มาจากแหล่งชุมชนชายฝั่งใกล้กรุงเทพฯ แหล่งเพาะเลี้ยงอย่างรับผิดชอบเช่น ทะเลคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ และ ชุมชนริมน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งให้ความสำคัญกับการประมงตามฤดูกาล ไม่จับเกินจำเป็น และรักษาสมดุลของระบบนิเวศ   จุดแข็งของ “Seafood Paradise” ไม่ได้อยู่แค่ความสดของวัตถุดิบ แต่คือการนำเสนอในสไตล์พรีเมี่ยมที่เข้าถึงได้ด้วยราคาเพียง 1,175 บาทสุทธิ/ท่าน (และลดเหลือ 999 บาทสุทธิ สำหรับสมาชิก Dusit Gold) ทำให้บุฟเฟต์ซีฟู้ดที่มาพร้อมบริการระดับโรงแรมกลายเป็นประสบการณ์ที่นักชิมหลายรายสามารถเข้าถึงได้     ในไลน์อาหารกว่า 30 เมนู ไฮไลต์ที่เรียกเสียงว้าว!! จากแขกทุกโต๊ะคือ กุ้งแม่น้ำย่าง ตัวโต มันเยิ้ม ย่างหอมด้วยถ่านไม้ ปูม้าเนื้อแน่น สดจากคลองด่าน เสิร์ฟคู่ซีฟู้ดซอสสูตรเฉพาะของเชฟ หอยนางรมสดบางปะกง ที่เสิร์ฟบนหินเย็น คู่เครื่องเคียงแบบไทย ซุปข้นล็อบสเตอร์ เข้มข้นแต่กลมกล่อม ขนมจีนน้ำยาปู ที่ใช้เนื้อปูจริงแบบไม่หวงวัตถุดิบ   และยังมี สเต็กวากิว, แซลมอนซาชิมิ, พาสต้า พิซซ่าอบร้อน, ก่อนจะปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่าง ข้าวเหนียวมะม่วง, ไอศกรีมโฮมเมด และทีเด็ดคือ ‘มรกตมะพ้ราวอ่อน’ ไม่หวานเกินไปแถมหอมกะทิกำลังดี อร่อยลงตัว   บรรยากาศในห้องอาหารตกแต่งด้วยโทนอบอุ่น สะท้อนกลิ่นอายร่วมสมัย ทำให้ห้องอาหาร The Square One กลายเป็นที่พักใจในมื้อพิเศษให้กับคนกรุงเทพตะวันออกโดยเฉพาะเมื่อมาทานพร้อมหน้าพร้อมตากับคนพิเศษหรือคนในครอบครัว   ‘ใส่ใจโลก’ พร้อมกับ ‘ใส่ใจแขก’   เมื่อมองภาพรวมของเครือ Dusit International เราจะเห็นการเปลี่ยนผ่านจากแบรนด์โรงแรมที่โด่งดังเรื่อง “ความอบอุ่นแบบไทย” มาเป็นแบรนด์ที่มี จุดยืนด้านความยั่งยืน ชัดเจน ภายใต้เฟรมเวิร์ก ‘Tree of Life’ ที่มุ่งสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับ ผู้คน (People), โลก (Planet) และ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ (Prosperity) ไปพร้อมกัน   เมื่อนำแนวปฏิบัติเหล่านี้มารวมเข้ากับแคมเปญอาหารอย่าง “Seafood Paradise” ใน ดุสิตปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ แนวคิดการบริการแบบยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงไอเดียบนกระดาษ แต่ได้กลายเป็น ตัวตนของแบรนด์ ที่แสดงออกผ่านทุกจานอาหาร ทุกเมนู ทุกขั้นตอนการให้บริการ การเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่เพาะเลี้ยงอย่างรับผิดชอบ เช่น การจับตามฤดูกาลหรือแนวทางอนุรักษ์ทางทะเล จะช่วยเติมเต็มแนวคิดจากชุมชนสู่โรงแรม (Locality + Sustainability) ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของกลยุทธ์ Dusit Graciousness   โดยเปิดให้บริการทุกวันศุกร์และเสาร์ เวลา 18:00 – 22:00 น. ณ ห้องอาหาร สแควร์วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป   รายงานจาก Euromonitor International ที่เปิดเผยในปี 2025 ระบุว่า ผู้บริโภครุ่นใหม่ในเอเชียมากกว่า 65% ให้ความสำคัญกับอาหารที่มาจากแหล่งผลิตยั่งยืน และพร้อมจ่ายเพิ่มหากแบรนด์มีความโปร่งใสและมีจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน     ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Euromonitor International  ระบุอีกว่า สินค้าที่มีจุดขายด้านความยั่งยืน มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) เร็วกว่าสินค้าที่ไม่มีแนวทางดังกล่าวถึง 1.1 เปอร์เซ็นต์จุด จากการสำรวจระหว่างปี 2020–2023   นอกจากนี้ การสำรวจในภูมิภาคเอเชียในปี 2023 ยังพบว่า 45% ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและโภชนาการ เมื่อเลือกซื้ออาหารและเครื่องดื่ม โดยราว 55% ของผู้บริโภคระบุว่าการลดการใช้พลาสติกเป็นหนึ่งในการกระทำด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุด ที่พวกเขาเลือกทำ   ทั้งนี้ ในสายตาของผู้บริโภครุ่นใหม่ ความหมายของการใช้จ่ายเปลี่ยนไป พวกเขาไม่แค่มองหารสชาติที่ดี และ ประสบการณ์ที่หรู แต่ยังมองหา ความหมาย และ ผลกระทบที่ดี ที่แบรนด์สามารถนำกลับคืนให้โลกได้ไปพร้อมกัน   Alternate-X สรุปให้      โรงแรม ดุสิตปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ เปิดตัวบุฟเฟต์ซีฟู้ดแนวใหม่ “Seafood Paradise” กับแนวคิด กินอย่างมีความหมาย – Meaningful Dining ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่สายรักษ์โลก วัตถุดิบกว่า 80% มาจากชุมชนชายฝั่งใกล้กรุงเทพฯ ที่ทำประมงอย่างยั่งยืน เสริมจุดยืนแบรนด์ Dusit International ด้านความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Tree of Life” พร้อมมอบประสบการณ์บุฟเฟต์พรีเมียมในราคาจับต้องได้ เพียง 1,175 บาทสุทธิ

October 18, 2025 / 0 Comments
read more

ยุทธศาตร์‘รามคำแหง’ ย้ำแกร่งเครือข่ายคลุมทุกภาค เป้าปี’68โต 40%รายได้เกิน 1.4 หมื่นล้าน

BizKet

‘รามคำแหง’ ปรับใหญ่รอบ 37 ปี ย้ำเชี่ยวชาญเฉพาะทาง 4 โรคในคนรุ่นใหม่แนวโน้มเพิ่ม เน้นลงทุนตามโอกาสปั้นแฟล็กชิปโรงพยาบาลในเครือครอบคลุมทุกภาค     นพ.พิชญ สมบูรณสิน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับภาพลักษณ์(Rebranding) ครั้งใหญ่ หลังดำเนินกิจการโรงพยาบาลเอกชนเพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนในย่านย่านหัวหมาก-บางกะปิ และบริเวณโดยรอบมานานร่วม 37 ปี   โดยปัจจุบันเป็นเครือข่ายธุรกิจโรงพยาบาลขนาดใหญ่เป็นอันดับ2 ของประเทศไทย พร้อมให้บริการเฉพาะทางมากกว่า 30 สาขา ด้วย 7 ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Center of Excellence – COE) ประกอบด้วยโรงพยาบาล 46 แห่งทั่วประเทศ รวม 7,800 เตียง แบ่งเป็น   โรงพยาบาลหลัก 5 แห่งในกรุงเทพฯ โรงพยาบาล 13 แห่งในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย โรงพยาบาลอีก 28 แห่งผ่านเครือข่ายกลุ่มพันธมิตร   นอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ยังวางเป้าหมายจัดตั้งโรงพยาบาลเรือธง (Flagship) ใด้ครอบคลุมทั่วภูมิภาคของประเทศ โดยใช้จุดแข็งเครือข่ายโรงพยาบาลแบรนด์ต่างๆ ให้บริการแก่คนไข้ได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ   กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง, สินแพทย์ เชี่ยวชาญการแพทย์เฉพาะทางโรค หัวใจ, สมองและระบบประสาท, ระบบภูมิแพ้โรคหู-คอ จมูก และ อายุรแพทย์มะเร็ง เป็นต้น เครือโรงพยาบาลธนบุรี เชี่ยวชาญการผ่าตัดหุ่นยนต์ในสาขาต่างๆ กลุ่มโรงพยาบาลวิภาราม รองรับการบริการทางการแพทย์ในผู้ป่วยระบบประกันสังคม/ผู้ป่วยหลักประกันถ้วนหน้า   ขณะเดียวกัน กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ยังวางแผนจัดตั้งโรงพยาบาลเรือธง(Flagship)ได้ครอบคลุมทั่วทุกมิภาคของประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีให้บริการแล้วในภาคเหนือ โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โรงพยาบาลขอนแก่นราม ภาคใต้เครือโรงพยาบาลธนบุรี รวมถึงในภาคตะวันออกมีเครือโรงพยาบาลวิภาราม เพื่อรองรับคนไข้ในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (EEC) พร้อมดูแลกลุ่มผู้รักษาระบบประกันสังคม ด้วย       นพ.พิชญ กล่าวว่า “จากความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญแพทย์เฉพาะทาง การบริการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายจาก และเครือข่ายทางการแพทย์ที่ครอบคลุมพร้อมการส่งต่อผู้ป่วย เป็นจุดแข็งสำคัญของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ที่ต่อยอดไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงต่อไปในระยะยาว เพื่อให้แบรนด์โรงพยาบาลเป็นที่จดจำและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ในอนาคต”   นอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ยังตอกย้ำความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ใน 4 ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง คือ กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์โรคหัวใจ, ศูนย์สมองและระบบประสาท, ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง หู คอ จมูก และศูนย์สุขภาพเชิงบูรณาการ ด้านอายุรแพทย์มะเร็งวิทยา   “การรีแบรนด์กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงจะยังไปพร้อทตอกย้ำความเชี่ยวชาญ 4 กลุ่มโรคดังกล่าว เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ครอบคลุม ที่ปัจจุบันพบว่าปัญหาโรคภูมิแพ้ เริ่มพบในวัยเด็กเพิ่มขึ้น และเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้นหลายคนมีแนวโน้มการเจ็บป่วยทั้งในโรคเกี่ยวกับสมอง ทั้งตีบ หรือ ตัน ไปจนถึงถึงโรคหัวใจ รวมถึงโรคมะเร็ง ในอนาคต”     ด้าน ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง และบริษัทในเครือ กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ วางกลยุทธ์การขยายธุรกิจผ่านการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยให้ความสำคัญหลักการลงทุนในกิจการที่ให้บริการอยู่แล้ว จากแผนเดิมขยายธุรกิจโรงพยาบาลหลักในแต่ละภูมิภาค   ขณะเดียวกัน ยังลงทุนในบางโครงการสร้างใหม่ การเข้าลงทุนในบริษัทย่อย ซึ่งจะมองหาจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมเพื่อความยืดหยุ่นคล่องตัวและบริหารความเสี่ยงธุรกิจ มากกว่าการกำหนดงบประมาณเฉพาะต่อปี โดยแผนล่าสุด เตรียมขยายการให้บริการโรงพยาบาลรามคำแหง จังหวัดมหาสารคาม   แนวทางดังกล่าว เพื่อรองรับธุรกิจโรงพยาบาลที่แข่งขันรุนแรงในปัจุบันและสอดคล้องนโยบายประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางบริการทางการแพทย์และเวลเนส Medical Hub ของโลกด้วย ด้วยการให้บริการทางการแพทยที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงมีรายได้หลักมาจากเงินสด และกลุ่มประกันสังคมจากกลุ่มโรงพยาบาลเครือวิภาราม F ดร.ฤกขจี กล่าวว่านอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ยังตอกย้ำความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ใน 4 ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง คือ กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์โรคหัวใจ, ศูนย์สมองและระบบประสาท, ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง หู คอ จมูก และศูนย์สุขภาพเชิงบูรณาการ ด้านอายุรแพทย์มะเร็งวิทยา   จากแนวทางดังกล่าวยังเปลี่ยนโฉมใหม่ของโรงพยาบาลรามคำแหง จาก Sick Care สู่ Health Care โดยในปี 2568 กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง คาดการณ์เติบโต 40% หรือราว 14,495 ล้านบาท จากในปี 2567 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 10,228.87 ล้านบาท       Alternate-X สรุปให้      กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงประกาศรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 37 ปี ด้วยยุทธศาสตร์ขยายเครือข่ายโรงพยาบาลครบทุกภูมิภาค ผ่านโรงพยาบาลแฟล็กชิพ พร้อมวางแผนลงทุนทั้งกิจการเดิมและโครงการใหม่ เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง 4 โรคหลักของคนรุ่นใหม่ และผลักดันการเติบโตทางธุรกิจควบคู่คุณภาพการรักษาอย่างยั่งยืน รองรับประเทศไทยจุดหมายปลายทางสู่การเป็น Medical Hub แห่งเอเชีย

October 17, 2025 / 0 Comments
read more

วัดพลัง ‘ลิซ่า’ ลูกสาวแห่งชาติ เตรียม อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ รอบใหม่ หลังรายได้เที่ยวไทยวืดเป้า 3 ปีติด

BizKet

เมื่อ ททท. เลือก ‘ลิซ่า’ เป็นกลยุทธ์ซอฟต์พาวเวอร์ท่องเที่ยวไทยในฐานะ Amazing Thailand Ambassador ปี2569  มาดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากตลาดใหม่ หลังพลาดเป้ารายได้ 3 ปี     อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยไม่ใช่แค่ ‘รายได้หลัก’ แต่คือเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจประเทศ ที่มีจังหวะขึ้นลงตามกระแสโลกอย่างชัดเจน!! โดยในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ปี 2562 ประเทศไทย มีรายได้จากการท่องเที่ยวพุ่งทะยานถึง 18–20% ของ GDP ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ สะท้อนพลังของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาในไทยต่อเนื่อง   แต่เมื่อโลกหยุดเดินทาง พร้อม ‘ล็อค ดาวน์’ เพื่อสกัดการแพร่ระบาด แน่นอนว่ารายได้ในภาคส่วนการท่องเที่ยวนี้ได้หายไปเกือบทั้งระบบ ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2565 ให้กลับมามีสัดส่วนราว 7–12% ของ GDP (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยและรายงานอุตสาหกรรม)   พร้อมกับที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) วางเป้าหมายระยะยาวราว 30% ของ GDP ให้ได้ภายในปี 2573  ผ่านยุทธศาสตร์ยกระดับคุณภาพนักท่องเที่ยว พร้อมสร้างสมดุลระหว่าง ‘ปริมาณ’ และ ‘มูลค่าใช้จ่าย’ เพื่อผลักดันการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน   อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วง3 ปี (2566-2568) ที่ผ่านมา กลับพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทยมีความผันผวนทั้งได้เกินเป้าและหล่นเป้า จากแผนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้วางไว้   ปี 2566   จำนวนนักท่องเที่ยว ททท. วางเป้าหมาย 25 ล้านคน มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจริงกว่า 28 ล้านคน รายได้รวม ททท. วางเป้าหมาย 5 ล้านล้านบาท มีรายได้รวมเข้ามาจริง 2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.2 ล้านล้านบาท และจากโครงการไทยเที่ยวไทย 8 แสนล้านบาท   สะท้อนว่า ททท. สามารถบรรลุเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ แต่รายได้รวมไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ที่ 2.5 ล้านล้านบาท   ปี2567 จำนวนนักท่องเที่ยว วางเป้าหมาย 35 – 40 ล้านคน (โดยตัวเลข 35 ล้านคน เป็นเป้าที่ ททท. ยืนยัน และ 40 ล้านคนเป็นเป้าสูงสุดของรัฐบาล) มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจริง (สรุปสิ้นปี2567) อยู่ที่ 35.54 ล้านคน รายได้รวม ททท. วางเป้าหมาย 5 ล้านล้านบาท มีรายได้รวมเข้ามาจริง2.6 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นต่างชาติ 1.67 ล้านล้านบาท และจากโครงการไทยเที่ยวไทย 9.5 แสนล้านบาท   นั่นหมายความว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ ททท.วางไว้ 35 ล้านคน แต่รายได้รวมยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3-3.5 ล้านล้านบาท เช่นเดิม   ขณะที่ ในปี 2568 นี้ รัฐบาลและททท. กลับตั้งเป้าหมายรายได้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวสุดท้าทาย โดยเมื่อต้นปี รัฐบาลวางจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดอยู่ที่  40 ล้านคน (เท่าสถิติปี 2562) ส่วนททท.วางไว้ 39 ล้านคน ส่วนรายได้รวมวางเป้าหมายที่ 3.4 – 3.5 ล้านล้านบาท   โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากสถานการณ์ตลาดต่างชาติโดยเฉพาะจีน ที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด และปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจโลก ทำให้หลายหน่วยงานประเมินว่าตัวเลขจริงจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้   ทั้งนี้ ตัวเลขคาดการณ์ล่าสุด จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีนักท่องเที่ยวเข้าจริง  25.09 ล้านคน (สะสม 1 ม.ค. – 12 ต.ค. 68)  ซึ่ง ททท. คาดการณ์ล่าสุด จะมีนักท่องเที่ยวสิ้นปีนี้ราว 33.4 – 35 ล้านคน ททท.   โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์รายได้จากต่างชาติสิ้นปี 1.62 – 1.78 ล้านล้านบาท   จากแนวโน้มดังกล่าว เรียกว่าเป็นโจทย์ยากที่ท้าทายอย่างมากสำหรับ ททท. ในฐานะหน่วยงานด้านที่รับผิดชอบการทำตลาดท่องเที่ยวโดยตรง ต่อการดึงนักเดินทางกลับมาได้เหมือนในอดีตก่อนช่วงโควิด หลังจากพลาดเป้ารายได้ต่อเนื่องตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา     วัดพลัง ‘ลิซ่า’ ลูกสาวแห่งชาติ   ต่อการจะฟื้นความเชื่อมั่นการท่องเที่ยวไทยให้คืนกลับมาโดยเฉพาะในตลาดต่างชาติ ล่าสุด ททท. ประกาศแผนร่วมงานกับ ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล ในฐานะ ‘Amazing Thailand Ambassador’ เพื่อนำเสนอเสน่ห์ ความหลากหลายและความมหัศจรรย์ของเมืองไทยในมุมมองใหม่ที่จะทำให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมค้นพบไปพร้อมกันกับ Amazing Thailand เพื่อดึงภาพลักษณ์ท่องเที่ยวชั้นนำสู่ตลาดโลก และโปรโมตการท่องเที่ยวไทยปี 2569   ด้าน  ‘ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์’ ผู้ว่าการ ททท. ย้ำถึงบทบาท Amazing Thailand Ambassador ของ ‘ลิซ่า’ ในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทย ด้วยผลงานและความสำเร็จของเธอที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก     เจาะนักเดินทางรุ่นใหม่-คุณภาพ     อย่างไรก็ตาม การเลือก ‘ลิซ่า’ มาร่วมงานในฐานะ ‘Amazing Thailand Ambassador’ ในครั้งนี้ หากมองในเชิงการตลาดแล้วภาพความเป็น ‘ลิซ่า’ ซึ่งถูกวางให้เป็นแบรนด์ในเชิงสัญลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นหนึ่งกลยุทธ์สำคัญของ ททท. ในการกระจายความเสี่ยงและเปิดตลาดใหม่ เพื่อทดแทนตลาดจีนที่หายไปอย่างชัดเจน อย่างจีน ในช่วงที่ผ่านมา   โดยใช้พลังซอฟต์ พาวเวอร์ ของไทย และอิทธิพลความเป็นศิลปินที่มีภาพลักษณ์ระดับโลกที่อยู่ในตัว ‘ลิซ่า’เพียงคนเดียว เพื่อเข้าถึงกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพสูงอย่าง อินเดีย อาเซียน (มาเลเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์) และตลาดตะวันตก   นอกจากนี้ ‘ลิซ่า’ ยังอาจตอบโจทย์ตามยุทธศาสตร์ ‘คุณภาพนำปริมาณ’ (Value over Volume) เพื่อดึง ‘แฟนคลับคุณภาพสูง’ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึงชาวจีนที่เดินทางลำพัง และมีกำลังซื้อสูง (High-End FIT) มาตามรอยและใช้จ่ายในไทยผ่านประสบการณ์เฉพาะตัวที่ลิซ่าถ่ายทอด เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายเพิ่มขึ้น หลังจากรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวไทยพลาดเป้ามาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา   แบรนด์ ‘ลิซ่า’ เติมความลักซูรี่   ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม หนึ่งในเซ็กเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยตรง ด้าน ‘วุฒิพล ถาวรธวัช’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG เจ้าของและผู้พัฒนาโรงแรมแบรนด์ ‘เดอะ ควอเตอร์’ ให้มุมมองหลัง ททท. ร่วมงานกับ ‘ลิซ่า’ ในฐานะ  ‘Amazing Thailand Ambassador’ ว่าในทุกคอนเทนต์ เรื่องราวที่ลิซ่า มีส่วนร่วมจะได้รับความสนใจดูจากผู้คนจำนวนมาก   นอกจากนี้ ยังรวมถึงพลังของซอฟต์ พาวเวอร์ ต่างๆ ทั้งอาหาร สินค้า สถานที่ ฯลฯ ที่ ‘ลิซ่า’ เลือกหยิบขึ้นมาใช้หรือเดินทางไป ยังจะสร้างกระแสหรือมีอิทธิพลต่อคนหมู่มากให้ร่วมตามรอย ด้วยเช่นกัน   ขณะเดียวกัน ‘ลิซ่า’ จะยังมีส่วนสนับสนุนภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในระดับลักซูรี่ ได้ แต่ในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังไทยจะยังคงคาแรกเตอร์ลักษณะแบบเดิมที่สอดคล้องกับบุคคลิกของการท่องเที่ยวไทย แต่อาจจะได้เห็นกลุ่มนักเดินทางจากอินเดีย และชาติใหม่ๆ ที่หลากหลายขึ้น ทดแทนตลาดจีน ที่หายไป       Alternate-X สรุปให้      เศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยในอดีต (ปี 2562) เคยทำรายได้สูงถึง 18–20% ของ GDP แต่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (2566-2568) แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะบรรลุเป้าหมาย แต่รายได้รวมกลับต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ต่อเนื่อง โดยบทเรียนสำคัญคือการขาดดุลด้าน ‘มูลค่าใช้จ่าย’ และความผันผวนจากการพึ่งพาตลาดเดิม (จีน) มากเกินไป และเพื่อเรียกความมั่นใจพร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและยั่งยืน ล่าสุด ททท. ประกาศแต่งตั้ง ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ เป็น ‘Amazing Thailand Ambassador’ โปรโมตการท่องเที่ยวปี 2569 ซึ่งการเลือกใช้ ‘แบรนด์ลิซ่า’ ยังเป็นกลยุทธ์ Soft Power เพื่อกระจายความเสี่ยงไปสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น อินเดีย อาเซียน และตลาดตะวันตก ด้วย ‘ลิซ่า’ ถูกวางตำแหน่งให้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ ‘คุณภาพนำปริมาณ’ (Value over Volume) เพื่อดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง (High-End FIT) และยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยสู่ระดับ Luxury    

October 15, 2025 / 0 Comments
read more

เทรนด์สวยสายเฟิร์ม! XTHERMA เจาะยกกระชับใบหน้า รับตลาดความงามปี68 โต 7.6 หมื่นล.

BizKet,  Peace&Play

แอมเพ็คฯ จับอินไซต์คนไทย หาข้อมูลด้วยตัวเองมากขึ้นก่อนตัดสินใจทำหัตการใบหน้า ปรับกลยุทธ์พุ่งเป้า B2C เจาะตรงผู้บริโภค รับตลาดความงาม 7.6 หมื่นล้านบาทโตไม่แผ่ว     สุมิตร เตชะสุขสันติ์ ประธานบริหาร บริษัท แอมเพ็ค เอซเธติค จำกัด บริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ด้านความงามชั้นนำของไทยมาตรฐานระดับสากล เปิดเผยว่า กระแสความนิยม(เทรนด์)ความงามในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคนิยมใช้เครื่องยกกระชับมากกว่าการใช้สารเติมเต็ม จากแนวโน้มดังกล่าว มาจากปัจจัยหลัก   การความเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ดูดีในแบบเป็นตัวเองมากที่สุด กระแส ‘Longevity’ ที่กำลังมาแรง และไม่ได้จำกัดเฉพาะการดูแลแค่สุขภาพกายเท่านั้น แต่เทรนด์ดังกล่าวยังส่งเสริมให้คนหันมาดูแลตัวเองแบบองค์รวม ด้วยการมีสุขภาพดีไปพร้อมกับการดูดีภายนอกด้วยใบหน้าที่อ่อนเยาว์และร่างกายที่เฟิร์มกระชับ   “เทรนด์ดังกล่าว ทำให้ตลาดความงาม ได้รับอานิสงส์เติบโตไปพร้อมกัน”   ทั้งนี้ บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการเติบโตธุรกิจจากกระแสดังกล่าว โดยนำเข้าโปรแกรม ‘XTHERMA’ ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบันของผู้บริโภคที่มองหานวัตกรรมที่มีส่วนช่วยให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์   ขณะที่ โปรแกรม ‘XTHERMA’ จาก ‘Tentech’ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ด้านความงามระดับโลก ถือเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการทำหัตถการยกกระชับ ด้วยราคาที่คุ้มค่ากว่าราว 20-30% โดยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรือ FDA จากสหรัฐอเมริกา เกาหลี และไทย ด้วยประสิทธิภาพใกล้เคียงกับเครื่องระดับ Gold Standard  ในตลาดประเทศไทยปัจจุบันที่อาจมีราคาสูงหรือบางเครื่องก็มีประสิทธิภาพไม่ตอบโจทย์ต่อความต้องการ     สำหรับบริการโปรแกรมฯ ดังกล่าว เจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก   กลุ่มคนวัยทำงาน กลุ่ม Successful Business Person ที่มีกำลังซื้อ   รวมถึงในกลุ่มมองหานวัตกรรมที่สร้างความแตกต่างและคุ้มค่า มีความกังวลเรื่องผิวหน้าและผิวตัวที่หย่อนคล้อย อยากดูดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น     สุมิตร กล่าวถึงแผนการทำตลาดผ่านการใช้อินฟลูเอนเซอร์ หรือ KOLs พร้อมกับกิจกรรมร่วมกับคลินิกพาร์ทเนอร์ โดยวางจุดยืนเป็น ‘Smart Choice’ ปลอดภัย คุ้มค่า แต่มีนวัตกรรมใกล้เคียงกับเครื่องระดับ Gold Standard   พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งแผนการทำตลาดผ่านการสร้าง Brand Image ของแอมแพ็ค เพื่อทำตลาดเชิงรุกในรูปแบบธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C) เพิ่มขึ้น ด้วยมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงนวัตกรรมความงามได้ง่ายขึ้น มีข้อมูลรวมถึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าหัตถการอย่างถูกต้องนอกเหนือจากการอ่านรีวิว จากเดิมบริษัทฯ เน้นเจาะกลุ่มธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) เป็นหลัก มานานร่วม 22 ปี   จากแนวทางดังกล่าว ‘แอมเพ็ค’ ตั้งเป้าการเติบโตในปี 2568 ในกลุ่มธุรกิจบริการเครื่องยกกระชับผิวโปรแกรม XTHERMA อยู่ที่70 ล้านบาทและในปี 2569 วางเป้าหมายการเติบโตที่ 250 ล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายรายได้ของบริษัทในภาพรวมมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 40% ต่อเนื่องทุกปี โดยสองปีที่ผ่านมาจนถึงสิ้นปีนี้ที่ บริษัทจะมียอดขายรวมตลอด มากกว่า 1,000 ล้านบาท   ​ คนรุ่นใหม่หาข้อมูลเองก่อน     สุมิตร กล่าวต่อว่า กระแส (Trend) ความงามมีการปรับเปลี่ยน(Update) ตลอดเวลาทำให้บริษัทฯ อัปเดตตามเทรนด์อยู่เสมอเพื่อหาสินค้ามาตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค ด้วยคู่แข่งในตลาดมีจำนวนมากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคเองก็หาความรู้มากขึ้น   “การให้ข้อมูลจากฝั่งแบรนด์ถือเป็นหัวใจสำคัญ หากแบรนด์ที่สื่อสารกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องจะมีชัยไปกว่าครึ่ง ทำให้ปัจจุบันหลายๆ แบรนด์ที่เป็นผู้นำเข้าต่างก็เริ่มลงมาให้ข้อมูลเอง เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ได้ดีกว่าเดิม”   นอกจากนี้ จากเทรนด์ตลาดความงามที่เติบโตในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงความต้องการดูแลสุขภาพแบบยืนยาว ‘Longevity’ ที่ผลักดันให้ผู้คนต้องการมีสุขภาพดีแบบองค์รวม ทั้งสุขภาพกายพร้อมมีใบหน้าอ่อนเยาว์ คุ้มค่า ยั่งยืน   โดยปัจจุบันธุรกิจความงามไม่ได้มุ่งเน้นเพียงศัลยกรรมตกแต่งเท่านั้น แต่ยังมีผู้บริโภคที่มองหาการดูแลตัวเองที่สอดคล้องกับความต้องการในช่วงเวลานั้นๆ อาทิ เลเซอร์ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว โปรแกรม Wellness & Anti-aging เพื่อชะลอวัย รวมถึงการยกกระชับและลดริ้วรอยให้ดูอ่อนเยาว์ ซึ่งเป็นการดูแลตัวเองที่เน้นความยั่งยืน มากกว่าการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการความรวดเร็ว   ขณะที่ ​ธุรกิจความงามไทยเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปีทั้งในแง่จำนวนผู้เล่นหน้าใหม่รวมถึงความต้องการของผู้บริโภค ทำให้เทรนด์ความสวยความงามต้องปรับเปลี่ยนไปตามความสนใจในแต่ละปี โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่า เทรนด์ความงามที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากที่สุด ดังนี้   บริเวณใบหน้า คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 47% ลำตัวและแขนขา คิดเป็นสัดส่วน 16% ของจำนวนการใช้บริการทั้งหมด   รวมถึง ความต้องการเสริมความงามที่เกี่ยวข้องกับการชะลอวัย โดยคาดว่ามูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 76,500 ล้านบาท โตกว่า 2.8% จากปีก่อน   Alternate-X สรุปให้     ตลาดความงามไทยปี 2568 มีมูลค่ากว่า 7.6 หมื่นล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากเทรนด์ดูดีแบบธรรมชาติ รับคนรุ่นใหม่หาข้อมูลเองก่อนตัดสินใจทำหัตถการ แทนการดูรีวิวเพียงอย่างเดียว เป็นโอกาส ‘แอมเพ็ค’ เปิดตัว XTHERMA เครื่องยกกระชับจาก Tentech มาตรฐาน FDA สหรัฐฯ เกาหลี และไทย พร้อมวางกลยุทธ์ “Smart Choice” เน้นปลอดภัย คุ้มค่า ใกล้เคียงเครื่องระดับ Gold Standard แต่ราคาย่อมเยา ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจยกกระชับ 250 ล้านบาทในปี 2569 เติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี      

October 15, 2025 / 0 Comments
read more

บริการ KEX ในซูเปอร์มาร์เก็ต ช้อปเสร็จปุ๊ปส่งกลับปั๊ปแผน ‘กรูเมต์’ พาวัฒนธรรมไทยไปตลาดโลก

BizKet

ศุภวุฒิ ไชยประสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริหารสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตและฟู้ด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป กล่าวว่า ‘กูร์เมต์ มาร์เก็ต’ วางยุทธศาสตร์สู่การเป็น World Class Gourmet Destination  โดยแนวทางดังกล่าว ประกอบด้วย 2 แกนหลัก คือ   แกนแรก ยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้ง ด้วยบริการโลจิสติกส์ครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ทั้งการส่งออกวัฒนธรรมและสินค้าไทยสู่ตลาดโลก และอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวและเอ็กซ์แพตต่างชาติที่เดินทางมาไทย พร้อมขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดต่างประเทศผ่านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์   ล่าสุด ร่วมมือกับ ‘เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส’ (KEX Express) เปิดจุดบริการส่งพัสดุในคอนเซ็ปต์ ‘Shop & Ship’ (ช้อป แอนด์ ชิป) โดยลูกค้าสามารถช้อปและส่งพัสดุ ‘ภายในประเทศ’ ได้ในที่เดียวครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วไทย ที่จุดบริการลูกค้ากูร์เมต์ มาร์เก็ต 5 สาขา ได้แก่   เอ็มควอเทียร์ พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ สาขาท่าพระ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ สาขางามวงศ์วาน เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ สาขาบางกะปิ   นอกจากนี้ ยังขยายบริการส่งพัสดุ ‘ระหว่างประเทศ’ ที่สาขาเอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์   สำหรับบริการใหม่นี้ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่ทำงานและพำนักอาศัยในประเทศไทย (Expat) โดยเฉพาะลูกค้ากูร์เมต์ มาร์เก็ต สาขาในเมือง ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติราว 25 – 30% โดยสามารถส่งพัสดุไปยัง 3 ทวีป กว่า 30 ประเทศทั่วโลก ประกอบด้วย   เอเชียและออสเตรเลีย: จีน, ฮ่องกง, มาเก๊า, ไต้หวัน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินเดีย, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย อเมริกา: สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และเม็กซิโก ยุโรป: เบลเยี่ยม, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, สเปน, อังกฤษ, ออสเตรีย, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ไอร์แลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์   สำหรับจุดส่งพัสดุเคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (KEX Express) เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในช่วงปลายปี พร้อมบริการเด่นเพื่อประสบการณ์ Shop & Ship ที่สมบูรณ์แบบ ทั้งจำหน่ายกล่องพัสดุหลากหลายขนาดตามความต้องการ และส่งพัสดุทั้งในและต่างประเทศได้ทันที เพื่อลดความกังวลเรื่องน้ำหนักกระเป๋าเดินทางของลูกค้า   แกนที่สอง ความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกับ เอสซีพีจี กรุ๊ป (SCPG Group) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และศูนย์การค้าชั้นนำของจีน ซึ่งมีเครือข่ายกว่า 200 แห่ง ครอบคลุม 55 เมืองทั่วประเทศจีน ภายใต้แนวคิด ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์ วัฒนธรรมสู่มูลค่า’   โดยนำร่องส่งออกสินค้าที่สะท้อนวัฒนธรรมไทยสู่ตลาดจีนทุกมิติ ผ่านการนำอีเวนต์ ‘คัดไทย มาร์เก็ต’ ไปจัดในงาน ‘Super-V SCPG Hua Hua Festival’ (ซูเปอร์-วี เอสซีพีจี ฮัว ฮัว เฟสติวัล) เทศกาลสำคัญประจำฤดูร้อนของจีน เพื่อให้ผู้บริโภคชาวจีนได้สัมผัสวัฒนธรรมไทยอย่างใกล้ชิด พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ไทยขยายตลาดและสร้างความเชื่อมโยงกับผู้บริโภคจีน สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการไทยในระดับสากล   คุณศุภวุฒิ กล่าวว่า “ความร่วมมือทั้งสองแนวทางนี้ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยสู่สายตานานาชาติ พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทย ผ่านการเชื่อมโยงกับผู้ค้าปลีกรายใหม่ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ลูกค้า และการขยายฐานลูกค้าร่วมกันในตลาดโลก ภายใต้เดอะมอลล์ กรุ๊ป”             Alternate-X สรุปให้ กูร์เมต์ มาร์เก็ต เปิดบริการส่งพัสดุ “Shop & Ship” ร่วมกับ KEX Express ใน 5 สาขาพรีเมียม ให้ลูกค้าสามารถช้อปและส่งพัสดุทั้งในประเทศและต่างประเทศ ครอบคลุมกว่า 30 ประเทศใน 3 ทวีป เน้นตอบโจทย์นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติ (Expat) ที่ต้องการความสะดวกและลดน้ำหนักกระเป๋า พร้อมขยายตลาดสินค้าไทยสู่ต่างประเทศผ่านพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับ SCPG Group ในจีน ด้วยกลยุทธ์ทั้งสองแกนนี้ จะช่วยยกระดับกูร์เมต์ มาร์เก็ตสู่ “World Class Gourmet Destination” พร้อมสร้างโอกาสธุรกิจให้ SME ไทย

October 14, 2025 / 0 Comments
read more

INT มหิดลเฉลยทำไม? ‘ไทย’ ยังติดกับดักรายได้ปานกลาง เร่งปิด3 ช่องว่างสปีดเศรษฐกิจ

EcoVative

INT มหิดล สร้างวัฒนธรรมใหม่คนไทย กล้าคิด กล้าทำ และกล้าลองสิ่งใหม่ ตัวแปรหลักสร้างนวัตกรรมเกิดขึ้นจริง พาประเทศหลุดกับดักรายได้ปานกลาง   รศ.ดร.วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม (INT) และนายกสมาคมวิชาชีพนักจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและถ่ายทอดเทคโนโลยี (AITP) เปิดเผยว่า INT มุ่งภารกิจหลักเป็น ‘ประตูสู่โอกาสทางนวัตกรรม’ เชื่อมโยงงานวิจัย เทคโนโลยี และองค์ความรู้กับภาคอุตสาหกรรมผ่าน 3 กลไกสำคัญ ได้แก่   1. Venture Gateway to Growth สนับสนุนผู้ประกอบการและสตาร์ทอัป ต่างๆ (Startups) จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย ผ่านโครงการบ่มเพาะ เช่น SPACE-F Accelerator ด้าน Food Tech และจัดตั้ง MU Holding เพื่อร่วมลงทุนกับ Venture Capital ระดับโลก   2. Technology Gateway to Impact บริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์   3. Service Gateway to Well-being ให้บริการทางวิชาการและสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับองค์ความรู้สู่เศรษฐกิจและสังคมไทย   “เพื่อรับมือปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แทบไม่มีประเทศใดก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้สำเร็จโดยไม่พึ่งพานวัตกรรม”   นอกจากนี้ INT ยังมุ่งพัฒนาทุนมนุษย์ ทั้งด้านความสามารถพร้อมสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม ทำให้คนกล้าคิด กล้าทำ และกล้าลองสิ่งใหม่ ซึ่งวัฒนธรรมดังกล่าวเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริง   รศ.ดร.วิริยะ กล่าวว่า ปัญหาที่ระบบนวัตกรรมไทยเผชิญอยู่ในปัจจุบันคือการเชื่อมต่อองค์ความรู้ แม้เราจะมีงานวิจัยคุณภาพสูงและภาคธุรกิจที่ต้องการนวัตกรรม แต่ยังขาดกลไกที่ทำให้ทั้งสองภาคส่วนมาบรรจบกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้องค์ความรู้หรือนวัตกรรมจำนวนมากยังไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์จริง โดยจะต้องเร่งปิดช่องว่าง 3 ประการได้แก่   1. Speed Gap ระบบการทำงานของภาครัฐเคลื่อนไหวช้ากว่า ขณะที่ภาคเอกชนต้องการความรวดเร็ว 2.Purpose Gap นักวิจัยมุ่งสร้างองค์ความรู้เชิงวิชาการ ส่วนภาคธุรกิจมุ่งผลลัพธ์เชิงพาณิชย์ 3.Capability Gap สองภาคส่วนอาจยังไม่เข้าใจศักยภาพและภาษาการทำงานของกันและกัน จึงต้องส่งเสริมความเข้าใจทุกภาคส่วน เพื่อให้ผลงานวิจัยของไทยสร้างผลลัพธ์เป็นนวัตกรรมที่ใช้งานได้จริงและเกิดประโยชน์สูงสุด   ขณะที่งบประมาณด้านวิจัยและนวัตกรรมของไทยในแต่ละปีไม่ได้น้อย เพียงแต่เรายังไม่สามารถทำให้ผู้บริโภคเห็นผลลัพธ์เชิงบวกหรือเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นจากงานวิจัยและนวัตกรรม     โดยหน้าที่ของสถาบัน INT และสมาคม AITP คือการ Synchronize เชื่อมโยง และสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศ ไปจนถึงการปิดช่องว่างระหว่างภาควิจัยและภาคเอกชน ทำให้งานวิจัยของไทยสามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ บริการ และธุรกิจที่ตอบโจทย์สังคมได้จริง   จากภารกิจและยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้ INT ได้เร่งผลักดันผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรมมากมาย อาทิ จมูกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Nose) ภายใต้ MUI Robotics บริษัท Startup นวัตกรรมที่สามารถแปลงกลิ่นให้กลายเป็นข้อมูลดิจิทัล บริการตรวจวัดกลิ่นด้วยเทคโนโลยี โดยปัจจุบันได้รับทุนระดับนานาชาติและกำลังขยายการใช้งานในหลายภาคธุรกิจ   แขนเทียมจากซิลิโคนและยางพาราดัดแปลง โดย Artimed บริษัท Startup สำหรับฝึกเจาะเลือดในทางการแพทย์ มีผิวสัมผัสใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุด ช่วยเพิ่มทักษะให้กับบุคลากรทางการแพทย์       ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร ภายใต้แบรนด์ Nutriflow ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนที่ต้องการดูแลสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหากลืนลำบากไปจนถึงผู้สูงอายุ มีสารอาหารครบถ้วนในหนึ่งมื้อ ดื่มง่าย รสชาติอร่อย เป็นต้น   สำหรับผลิตภัณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการนำนวัตกรรมและงานวิจัยสู่การใช้งานจริง จับต้องได้ พร้อมเติบโตเป็นธุรกิจนวัตกรรมที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากลต่อไป   อย่างไรก็ตาม การผลักดันนวัตกรรมไทยสู่ตลาดโลก ต้องสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับผลงานวิจัยไทยให้แข่งขันได้ในเวทีโลก   โดย 3 เทรนด์นวัตกรรมสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม และต้องทำในบริบทของประเทศไทย ได้แก่   1.AI (Artificial Intelligence) เราอาจจะไม่สามารถแข่งขันในด้านการสร้างหรือพัฒนา AI ขึ้นมาเองได้ทั้งหมด แต่เราต้องมีความสามารถในการใช้ประโยชน์จาก AI อย่างมีกลยุทธ์และชาญฉลาด 2.Sustainability ความยั่งยืนที่สอดคล้องกับสังคมไทย เช่นตอนนี้สิ่งที่เราควรเร่งแก้คือ PM5 มากกว่าการพูดเรื่องคาร์บอนเท่านั้น 3.Longevity & Wellness เป็นจุดแข็งที่ไทยควรต่อยอด เช่น สมุนไพรไทยและนวัตกรรมด้านความงาม ซึ่งสามารถทำให้ประเทศเรามีจุดยืนชัดในระดับโลกได้   โดยปัญหาหรืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของการพัฒนาและผลักดันนวัตกรรมไทยไม่ใช่การขาดงบประมาณหรือขาดบุคลากร แต่คือความเชื่อว่าของไทยไม่ดี ดังนั้นทางแก้คือต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง แล้วจึงจะสามารถสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแรงและยั่งยืนได้   ขณะเดียวกันจากแนวทางดังกล่าว ยังส่งผลให้ล่าสุด INT ได้รับรางวัล Prime Minister’s Award 2025 สาขาการพัฒนาทุนมนุษย์ (Best Contributor in Human Capital Development) จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้     Alternate-X สรุปให้     สถาบันเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม (INT) มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้สาเหตุไทยยังติดกับดักรายได้ปานกลาง เพราะขาดการเชื่อมโยงระหว่างงานวิจัยกับภาคอุตสาหกรรม INT เดินหน้า “3 กลไกนวัตกรรม” เชื่อมมหาวิทยาลัยกับเอกชน — Venture, Technology และ Service Gateway เร่งปิดช่องว่าง 3 ด้าน “Speed–Purpose–Capability” เพื่อให้ผลงานวิจัยไทยต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จริง พร้อมสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้คนไทย “กล้าคิด กล้าทำ กล้าลอง” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรม สู่เป้าหมายยกระดับไทยสู่ประเทศนวัตกรรม แข่งขันได้ในเวทีโลก และหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง      

October 14, 2025 / 0 Comments
read more

เมื่อต้านทานไม่ได้จงเข้าร่วม ‘ชาบูชิ’ มาแล้ว!! บุฟเฟต์ 259+บาท คลุม 72 สาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตทั่วไทย

BizKet

‘ชาบูชิ’  กับแผนการตลาด  ‘Segmentation Marketing’ มาคุยกับลูกค้ารุ่นใหม่แบบเฉพาะกลุ่ม แต่ยังไม่ลืมดีเอ็นเอของแบรนด์เพื่อให้คนรุ่นเก่ารู้สึกคุ้นเคย พร้อมสร้างประสบการณ์ดึงคนรุ่นใหม่ให้อยากเข้ามา ด้วยกลยุทธ์ราคาบุฟเฟต์ 259+บาท ชิงกำลังซื้อผู้บริโภคที่เน้นความคุ้มค่าใน 72 สาขาไฮเปอร์มาร์เก็ต ด้วย   ‘ชาบูชิ’ (Shabushi)  แบรนด์ร้านอาหารแนวหม้อไฟสไตล์ญี่ปุ่นที่เข้ามาแนะนำตัวให้คนไทยได้รู้จักในยุคแรกๆ ที่ปัจจุบันมีอายุร่วม 24 ปี แล้ว ต่อการเดินทางของ ‘ชาบูชิ’ ในวันนี้ ต้องยอมรับว่าอยู่บนการแข่งขันในน่านน้ำเดือดจัดที่อาจต้องรวมอยู่ในตลาดบุฟเฟต์หม้อไฟมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท ที่มีผู้เล่นทั้งหน้าใหม่และรายเดิมเข้ามาชิงส่วนแบ่ง (กระเพาะ) ของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน จากภาพรวมตลาดร้านอาหารกว่า 7 แสนล้านบาทในไทย   ขณะที่ ‘ศสัย ตังเดชะหิรัญ’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด ได้ออกมารีเฟรชแบรนด์ ‘ชาบูชิ’  ครั้งใหญ่ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมาแบบยกเครื่อง สู่การเป็นแบรนด์ที่พูดกับคนรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง โดย ‘ชาบูชิ’ กลับมาทบทวนตำแหน่งทางการตลาดพร้อมย้ำจุดขายด้าน ‘ความครบ’ ไลน์อาหารที่มีทั้งเมนูซูชิ อาหารว่างเครื่องเคียงแนวญี่ปุ่น ที่มาพร้อมกับเมนูร้อนชาบู หม้อไฟ ให้เลือกวัตถุดิบบนสายพานในร้านเดียวกัน ด้วยจุดขายแตกต่างไปจากตลาดหม้อไฟ หรือแนวสุกี้ ที่แข่งขันสูงด้านความคุ้มด้วยกลยุทธ์ราคา ‘บุฟเฟต์’ ในตอนนี้     อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง  ‘ชาบูชิ’ ทวงแชมป์ ‘Top of Mind’ คนรุ่นใหม่ ทุ่มหมดหน้าตักเจาะตลาดฟู้ด 7 แสนล. จะดึงเจนใหม่กลับมาซ้ำ ต้องสร้างประสบการณ์ให้ว้าว ‘ชาบูชิ’ โฉมใหม่นำร่อง ‘ซีคอนฯ ศรีนครินทร์’       ล่าสุด ชาบูชิ เลือกใช้ กลยุทธ์การแบ่งกลุ่มทางการตลาด (Segmentation Marketing) เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าให้ตรงใจ และเป็นทางเลือกให้ได้มากที่สุด ภายใต้แนวคิด ‘Good Taste Great Time Never End’ หรือ “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” ที่ประกาศไว้เมื่อก่อนหน้านี้   สำหรับ ‘Segmentation Marketing’ ของ ‘ชาบูชิ’ ในครั้งนี้ มีความน่าสนใจอยู่ที่ แบรนด์เลือกทำความเข้าใจความแตกต่างด้านพฤติกรรมและทำเล (Location-Based Behavior) ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพื่อออกแบบประสบการณ์ที่เหมาะสมและตรงใจ   โดยแต่ละเซกเมนต์ได้รับการพัฒนาให้มีจุดขายและเอกลักษณ์เฉพาะตัว แบ่งเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่       1.สาขาใน ‘ห้างสรรพสินค้า’ (Department Store)     สำหรับ ‘ชาบูชิ’ สาขาในห้างสรรพสินค้า หากแกะบุคลิกออกมาดูแล้วจะมีความเป็นไลฟ์สไตล์ควบคู่ประสบการณ์ ทำให้สาขาร้านในห้างฯ ถูกออกแบบให้รองรับความต้องการผู้บริโภคมองหาประสบการณ์เชิงไลฟ์สไตล์   โดยในช่วงที่มา ‘ชาบูชิ’ ได้พัฒนาและเปิดตัว ‘ร้านดีไซน์ใหม่’ เพื่อยกระดับประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นในทุกมิติทั้ง อาหาร บริการ และบรรยากาศ พร้อมเสนอจุดเด่น ‘Sushi-Master Station’ ครัวเปิดที่ให้ลูกค้าได้ชมทุกขั้นตอนของการสร้างสรรค์ซูชิอย่างสดใหม่ คำต่อคำ พร้อมจัดเสิร์ฟอย่างพิถีพิถัน ให้กับลูกค้า   พร้อมลยุทธ์ราคาบุฟเฟต์ มาตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละกลุ่ม แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ   Regular Buffet” (สุขอิ่ม) ราคา 399 บาท+/คน Premium Buffet (สุขคุ้ม) 499 บาท+/คน Platinum Buffet” (สุขล้น) 599 บาท+/ท่าน   ปัจจุบัน ร้านดีไซน์ใหม่เปิดให้บริการแล้วในหลายแห่ง อาทิ ประกอบด้วย   ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ชั้น G ซึ่งเป็นสาขานำร่อง เซ็นทรัล ขอนแก่น มาร์เก็ตวิลเลจ หัวหิน เกตเวย์ เอกมัย เซ็นทรัล พัทยา เซ็นทรัล ศาลายา เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เซ็นทรัล นครศรีธรรมราช จังซีลอน ภูเก็ต   พร้อมแผนเปิดสาขาใหม่ เซ็นทรัล กระบี่ ในเร็วๆนี้ รวมถึงอยู่ระหว่างการขยายการปรับโฉมร้านดีไซน์ใหม่ในสาขาหลักทั่วประเทศ โดยเน้นศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อสร้างภาพจำแบรนด์ใหม่ให้ชัดเจนและทันสมัยในระดับประเทศ     2.สาขาใน ‘ไฮเปอร์มาร์เก็ต’ (Hypermarket)   ขณะที่ ชาบูชิ สาขาใน ‘ไฮเปอร์มาร์เก็ต’ ถูกตีโจทย์ให้รองรับด้านความคุ้มค่าและความสะดวกสะบาย ของกลุ่มผู้บริโภค ทำให้ ‘ชาบูชิ’ ได้ออกแบบกลยุทธ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในด้านราคาและความยืดหยุ่นในการเลือกบริโภค   โดยเปิดตัวบุฟเฟต์ใหม่ ‘ซูเปอร์คุ้ม’ 259 บาท+ (บุฟเฟต์หมูหมู) ให้ความคุ้มด้วยเมนูชาบู – ชาบู เนื้อหมู เนื้อไก่ ลูกชิ้น และผักสด มาครบเมนูอาหารรับประทานเล่น พร้อมผลไม้ ไอศกรีม และเครื่องดื่ม รวมแล้วกว่า 50 เมนู   นอกจากนี้ ยังเพิ่มทางเลือกอัปเกรดด้วย ‘คุ้มพลัส’ 39 บาท+ ด้วย 9 เมนูฮิต ทั้งกุ้งสด เนื้อฮารามิ เนื้อสไลซ์ และซีฟู้ดหลากชนิด ให้กับลูกค้าได้ตามความต้องการ   อย่างไรก็ตาม ชาบูชิ ยังคงบริการบุฟเฟต์ ‘สุขอิ่ม’ 399 บาท+ สำหรับลูกค้าประจำที่ต้องการประสบการณ์เต็มรูปแบบ ทั้งชาบู – ชาบู ซูชิ และเมนูอาหารรับประทานเล่น เช่น กุ้งเทมปุระ ตลอดจนผลไม้ ไอศกรีม และเครื่องดื่ม รวมกว่า 70 รายการ   ขณะที่ ปัจจุบัน ชาบูชิ เปิดให้บริการกว่า 72 สาขาทั่วประเทศในไฮเปอร์มาร์เก็ต ครอบคลุมทำเลหลัก เช่น บิ๊กซี, โลตัส, และคอมมูนิตี้มอลล์ต่าง ๆ (ดูสาขาที่ร่วมรายการ คลิก https://oishifood.com/page/shabushi-buffet259) ตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและสร้างความคึกคักให้ตลาดร้านอาหารช่วงปลายปี   แนวทางดังกล่าว สะท้อนการปรับตัวของแบรนด์ชาบูชิ ในฐานะแบรนด์รุ่นใหญ่ที่อยู่ในตลาดมากว่า 2 ทศวรรษ ให้เข้าถึงความเข้าใจลูกค้าเชิงลึกที่แบรนด์ใช้มาขับเคลื่อนการทำตลาดผ่านกลยุทธ์ Segmentation Marketing บนทำเลสาขาที่มองแล้วว่าจะได้การตอบรับสูงท่ามกลางการแข่งขันด้านความคุ้มค่าในตลาดร้านอาหารหม้อไฟ 2.5 หมื่นล้านบาทสุดเดือด ในเวลานี้       Alternate-X สรุปให้     ‘ชาบูชิ’ แบรนด์หม้อไฟญี่ปุ่น ธุรกิจร้านอาหารในเครือโออิชิ ใช้กลยุทธ์ Segmentation Marketing แบ่งตลาดตามทำเลและพฤติกรรมลูกค้าอย่างชัดเจน สาขาในห้างฯ ถูกยกระดับให้เป็นประสบการณ์พรีเมียมด้วยร้านดีไซน์ใหม่และ “Sushi-Master Station” ส่วนสาขาในไฮเปอร์มาร์เก็ตเน้นความคุ้มค่า เปิดบุฟเฟต์ “ซูเปอร์คุ้ม 259 บาท” เจาะกลุ่มลูกค้าเน้นความคุ้มค่า ด้วยกลยุทธ์ใหม่นี้ช่วยให้ชาบูชิกลับมาครองใจคนรุ่นใหม่ พร้อมขยายภาพลักษณ์แบรนด์ให้สดทันยุค และตอกย้ำ Top of Mind Brand ในตลาดบุฟเฟต์หม้อไฟกว่า 25,000 ล้านบาท

October 14, 2025 / 0 Comments
read more

ถอดรหัส ‘เจนนี่ ได้หมดฯ’ เมื่อแบรนด์ไม่ได้ซื้อแค่หน้าไลฟ์ แต่ยอมจ่ายให้ ‘ระบบขายที่คนดูพร้อมเปย์’

BizKet

ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีปรากฎการณ์ไลฟ์มาราธอน (The Marathon Live)  ยาวร่วม 17-18 ชั่วโมงของ ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ ที่สร้างยอดขายมหาศาลและเป็นไวรัล บนบัญชี ‘รัชนก สุวรรณเกตุ’ ช่องทางหลักที่เธอใช้ในการไลฟ์สดที่บนแพลตฟอร์ม TikTok Shop     จุดเริ่มต้นหลังเจนนี่ฯ ได้ออกมาไลฟ์สดพูดถึงปัญหาภายในครอบครัว ก่อนจะกลายเป็นขายของออนไลน์ ด้วยมีเหล่าคนดังมาร่วมแท็คทีมไลฟ์ขายของกับเธอแล้วโกยยอดขายถล่มทลายแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งมีทั้ง   กาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ เพียง 10 นาที ยอดพุ่งแตะ 10 ล้านบาท ต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ ไลฟ์แค่ 5 นาที ยอดทะลุ 5 ล้าน จนเจ้าตัวถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ น้องฉัตร เมกอัปอาร์ติสต์ชื่อดัง ทำยอดขายกว่า 2.6 ล้านใน 3 นาที พร้อมเอ่ยขอกราบขอบคุณกลางไลฟ์ นารา เครปกะเทย เผยอยู่กับเจนนี่เพียง 10 นาที ทำเงินกว่า 3 แสนบาท ถึงกับพูดขำๆว่าจะเฝ้าหน้าบ้าน 3 วัน   ขณะที่ ‘ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ’ ก็ร่วมแจมพร้อมสร้างสีสันจนแฟนคลับแห่เอฟสินค้าของ ‘เอ๋ พรทิพย์ สกิดใจ’ (ภรรยา) จนได้ยอดขายหลักล้านบาทในช่วงไลฟ์มาราธอน   โดยหลังไลฟ์สด ‘ป๋อ ณัฐวุฒิ’ ยังออกมายอมรับในความเป็น ‘สุดยอดนักขาย’ ของเจนนี่ ที่มีเทคนิคเฉพาะตัวและสามารถสร้างยอดขายได้จริง จนทำให้เขาซึ่งเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง ยกย่องให้ เจนนี่ฯ เป็น ‘อาจารย์’ ด้านการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์เลยทีเดียว     จากดราม่าสู่ไวรัล     ต่อปรากฎการณ์ยอดขายไลฟ์มาราธอนครั้งเดียวที่ใช้เวลาร่วม 18 ชั่วโมงในครั้งนี้ เป็นผลต่อเนื่องมาจากกระแสดราม่าที่ร้อนแรงจาดปัญหาภายในครอบครัวระหว่าง ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ และ ‘แม่เกตุ’ คุณแม่ของเธอ ที่ออกมาโต้ตอบข้อมูลกันอย่างดุเดือด หนึ่งในชวนเหตุทำให้ ‘ชาวโซเชียล’ให้ความใส่ใจไม่แพ้กันบนโลกโซเชียล   พร้อมกับที่กลุ่มแฟนคลับเองก็ต่างพร้อมให้กำลังใจเจนนี่ อย่างท่วมท้น จนตัดสินใจลุกขึ้นสู้ด้วยการจัดไลฟ์สดขายของแบบมาราธอน บนแพลตฟอร์ม TikTok Shop อย่างต่อเนื่องยาวนาน   แน่นอนว่าผลลัพธ์ตามมาเกินคาด ด้วยการไลฟ์ครั้งนี้ทำลายสถิติส่วนตัวและสร้างยอดขายรวมให้กับแบรนด์ที่ว่าจ้างพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว มีบางแบรนด์ ทำยอดขายแตะ40 ล้านบาทได้ภายในเวลาไม่กี่วัน อีกด้วย   รู้จัก ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’     สำหรับ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น หรือชื่อจริง ‘รัชนก สุวรรณเกตุ’  เกิดปีพ.ศ. 2538 ปัจจุบันอายุ 30 ปี  มีภูมิลำเนา จังหวัดนครศรีธรรมราช   เส้นทางอาชีพของเจนนี่ เริ่มสร้างชื่อเสียงในปี พ.ศ. 2559 จากการแต่งเพลงประชดแฟนตัวเองในชื่อเพลง ‘ไม่สดชื่น’ ก่อนจะโด่งดังเป็นพลุแตกในฐานะนักร้อง นักแต่งเพลง และ เจ้าของค่ายเพลงได้หมดถ้าสดชื่น   ปัจจุบัน ‘เธอ’ เป็นผู้บริหารและกรรมการบริษัทหลายแห่ง ครอบคลุมทั้งธุรกิจบันเทิง ธุรกิจอาหาร และธุรกิจเครื่องสำอาง/อาหารเสริม โดยมีรายงานว่าธุรกิจรวมของเธอสามารถสร้างรายได้รวมในระดับร้อยล้านบาทต่อปี     เปลี่ยนจากคนดูมาเป็นผู้ซื้อ     ตัดภาพมาสู่ปรากฏการณ์ยอดขายร้อยล้านบาทที่กลายเป็นกระแสไวรัลในช่วงข้ามคืน ด้วยหากแกะออกมาดูทีละส่วนของความสำเร็จนี้ จะพบว่าสินค้า (Product) ที่เจนนี่ไลฟ์ขายส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer) ที่อยู่ในฐานะผู้ชม (Audience) ของเธอเองโดยตรง   โดยกลุ่มสินค้าหลัก จะเป็นทั้งเครื่องสำอาง อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ที่สามารถสร้างยอดซื้อซ้ำได้ง่าย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มเดียวกับที่เหล่าคนดังข้างต้นเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าและนำมาทำการตลาดผ่านปรากฎการณ์ไลฟ์ มาราธอน ร่วมกับเจนนี่ ครั้งนี้   ขณะที่ ช่องทางขาย (Place) เธอใช้ช่องบัญชีชื่อของเธอเอง ‘รัชนก สุวรรณเกตุ’ บนแพลตฟอร์มชTikTok เพื่อสื่อสารตรงกับชาวโซเชียลที่ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะซึ่งยังเป็นฐานแฟนของเจนนี่ และกลายมาเป็นลูกค้าที่แข็งแกร่งของเธอบนช่องทางออนไลน์   นอกจากนี้ยังมีกลไกการขาย (Conversion Mechanism) จากการที่ เจนนี่ใช้กลยุทธ์การขายที่กำหนดเป้าหมายชัดเจนแบบตรงไปตรงมา เช่น   คิดค่าตัวเป็นรายตะกร้าสินค้า (ต่อแบรนด์) ในอัตราที่ชัดเจน และเมื่อสินค้าในตะกร้านั้น ๆ มียอดขายถึงจำนวนที่กำหนด (เช่น 1,000 ออเดอร์) ก็จะมีการนำตะกร้านั้นออกและนำตะกร้าใหม่เข้ามาแทน   โดยผลลัพธ์ที่ได้กลับมาจากการไลฟ์ครั้งล่าสุด ยังทำให้หลายแบรนด์ที่เข้าร่วมไลฟ์มาราธอนกับเธอ ทำยอดขายทะลุเป้า บางแบรนด์ทำยอดขายได้ถึง 20,000 ออเดอร์ จากการไลฟ์ของเธอ     แบรนด์จ่ายให้ประสิทธิภาพการขาย     จากการปิดยอดขายสินค้าได้แบบทะลุเป้าทำให้แบรนด์สินค้าต่าง ๆ แห่กันมาจ้างเจนนี่ไลฟ์สด ด้วยสะท้อนถึงความเชื่อมั่นใน ‘อำนาจการขาย’ ของเธอในทั้งในช่วงเวลาและเทคนิคการขายที่ใช่ให้กับความน่าเชื่อถือในฐานะแม่ค้า   ด้วยแบรนด์อาจเชื่อว่าไม่ได้จ่ายเงินเพียงเพื่อ ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ แต่จ่ายเพื่อ ‘ระบบขายที่มีประสิทธิภาพ’ ที่สามารถเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้าได้จริง (Conversion Rate)   โดยผลลัพธ์หลังไลฟ์ในครั้งนี้ แบรนด์ยังได้รับประโยชน์จากการที่สินค้าที่ขายดีของเจนนี่จะถูก TikTok Shop นำไปจัดอันดับเป็นท็อป โปรดักส์ และยังคงดันสินค้านั้นให้ผู้ใช้งานรายอื่น ๆ เห็นอย่างต่อเนื่องหลังจบไลฟ์แล้ว ทำให้ยอดขายยังคงวิ่งต่อไปได้อีกด้วย     ไม่กั๊ก บอกเรทค่าจ้างได้หมดฯ     นอกจากนี้ เจนนี่ ยังอยู่ในฐานะอินฟลูฯ ด้วยปัจจุบันช่อง รัชนก สุวรรณเกตุ ใน TikTok  มีจำนวนผู้ติดตามสูงกว่า 19 ล้านคน แต่จากการไลฟ์มาราธอนของเธอ ที่สามารถปิดยอดขายได้สูงอย่างรวดเร็ว จนทำให้แบรนด์แห่เลือกใช้บริการเธอตามมาอีกมากในช่วงไม่กี่วัน ยังสะท้อนความสามารถในการทำยอดขายมากกว่าแค่จำนวนผู้ติดตาม เช่นกัน   ขณะที่ เรทราคาเดิม (ข้อมูลจากปี 2567) มีรายงานค่าตัวไลฟ์สดอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท ต่อ 40 นาที หรือ 200,000 บาท สำหรับคลิปรีวิว 5-10 นาที   ส่วนเรทราคาในยุค TikTok Shop (ที่มาแรงในตอนนี้) มีการปรับกลยุทธ์เป็น คิดราคาแบบเหมาตะกร้าหรือเหมาออเดอร์ เช่น 50,000 บาท ต่อ 1 ตะกร้า และหากต้องการดันยอดต่อก็เพิ่มอีก 50,000 บาท ทุก ๆ 1,000 ออเดอร์ถัดไป     เรทนี้สะท้อนว่าแบรนด์ยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อแลกกับยอดขายที่การันตี     อย่างไรก็ตาม ค่าตัวของเจนนี่ อาจไม่ได้อิงตามจำนวนผู้ติดตามเพียงอย่างเดียว แต่ประเมินจาก ‘ความสามารถในการปิดการขาย (Closing Power)’ และ ‘ยอดขายจริงที่สร้างได้’ ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ค่าสูงสุดในยุคไลฟ์คอมเมิร์ซ ขณะนี้     ความจริงใจ ทัชใจลูกค้า     โดยในแง่การตลาดและแบรนด์ จากปรากฏการณ์ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น สะท้อนถึงพลังของ Authenticity & Emotional Marketing ค่อนข้างชัด ด้วยลูกค้าในยุคนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าจากโฆษณาที่สวยงามเสมอไป แต่พวกเขาซื้อจาก ‘ความจริงใจ’ และ ‘เรื่องราว’ (Storytelling) ที่มาจากการเปิดเผยเรื่องราวชีวิตส่วนตัวที่เรียลและเข้าถึงง่าย ได้สร้างความผูกพันทางอารมณ์ที่ทรงพลังกว่าการโฆษณาใด ๆ   ขณะเดียวกัน แบรนด์ย้ายจากยุคที่จ่ายเงินให้ Influencer ตามยอด Like และ Follower มาสู่ยุคที่จ่ายตาม ยอดขายที่เกิดขึ้นจริง (Sales Conversion)   ขณะที่ เจนนี่ เป็นตัวอย่างของครีเอเตอร์ ที่สามารถเปลี่ยนยอดวิวเป็นยอดขายได้ในอัตราที่สูงมาก ขณะเดียวกัน ยังเป็นการการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ของเจนนี่ สะท้อนถึง ดราม่าไม่ได้หมายถึงจุดจบเสมอไป   หากสามารถจัดการและเปลี่ยน ‘กระแสลบ’ ให้กลายเป็น ‘แรงผลักดัน’ จนสามารถกอบกู้ภาพลักษณ์และสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่งได้ จากไวรัล ดราม่า ที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น      อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง     อินฟลูฯ มาร์เก็ตติง โตแรง ไทยติด Top3 โลกใช้ TikTok ‘เอ้ก ดิจิทัล’ เปิดมาร์เก็ตเพลสจับคู่ให้ ‘ครีเอเตอร์’ เข้าสู่ยุคใหม่ แบรนด์ไม่สนยอดฟอล-ขอคุณภาพ ‘รีวิว’ โตแรง-วัย 45+ เข้าตลาดอินฟลูฯเพิ่ม     Alternate-X สรุปให้  จากดราม่าส่วนตัวสู่ไวรัลระดับร้อยล้าน  ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ พลิกเกมไลฟ์สด 18 ชั่วโมงบน TikTok Shop ให้กลายเป็นสนามขายสินค้าขนาดยักษ์ ที่อินฟลูฯ และแบรนด์ต่างแห่เข้าแถวร่วมด้วย ด้วยเทคนิค ‘ระบบขายตรงใจคนดู’ ที่วัดผลได้จริง เปลี่ยนยอดวิวให้กลายเป็นยอดสั่งซื้อ พิสูจน์พลังของ Emotional Marketing และ Authenticity ที่ทำให้ดราม่าไม่ใช่จุดดับ แต่กลายเป็นแรงขับการตลาดยุคใหม่ เมื่อแบรนด์เลิกซื้อแค่ชื่อเสียง แต่จ่ายให้ ‘ระบบขายที่ปิดดีลได้จริง’ นี่คือบทเรียนระดับเรือธงของยุค Creator Economy ที่ขายด้วยใจ แต่ปิดยอดด้วยกลยุทธ์

October 13, 2025 / 0 Comments
read more

AWC รีอิมเมจ ‘เอ็มไพร์’ พลิกออฟฟิศสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ เติมศิลปะ–เวลเนสกลางเมือง

Zcreat

AWC ปรับโฉม ‘เอ็มไพร์’ วางตำแหน่งแลนด์มาร์กไลฟ์สไตล์ระดับโลก ใจกลางกรุงเทพฯ รวบประสบการณ์กิน-ศิลปะ-เวลเนสพรีเมียม     วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีก, โรงแรม, อาคารสำนักงาน เปิดเผยว่า AWC เปิดประสบการณ์ใหม่ The Empire Reimagined อาคารเอ็มไพร์ ภายใต้แนวคิด ‘AWC’s Lifestyle Destination’ วางตำแหน่งสู่จุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์ครบวงจรระดับโลก ในประเทศไทย   ขณะเดียวกัน  ยังร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะยาวกับ ‘ซัมซุง’ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตไปด้วยกัน โดยเปิดตัว ‘Immersive LED Showcase’ ใหม่พร้อมเปลี่ยนโถงล็อบบี้หลักของอาคารเอ็มไพร์ ให้กลายเป็นศิลปะมีชีวิต ผสานแสงสี ความเคลื่อนไหว และความคิดสร้างสรรค์เข้าด้วยกัน ระหว่างเทคโนโลยี ไลฟ์สไตล์ และจินตนาการ สะท้อนอัตลักษณ์ใหม่ของอาคารเอ็มไพร์   สำหรับ ความร่วมมือดังกล่าว ยังเพื่อต่อยอดการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมจากแรงบันดาลใจ เพื่อการเติบโตร่วมกัน นอกเหนือจากเช่าพื้นที่ พร้อมส่งเสริมผู้คนให้สามารถผสานการทำงาน การใช้ชีวิต การรักษาสุขภาพ รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างสมดุล   “เอ็มไพร์ มุ่งสร้างประสบการณ์การทำงานรูปแบบใหม่ พร้อมสร้างคุณค่าและความยั่งยืน ให้สอดคล้องกับความต้องการที่หลากหลายของการใช้ชีวิตและการทำงาน”   นอกจากนี้ ‘เอ็มไพร์’ ยังมอบประสบการณ์การทำงาน Co-Living รวมพื้นที่ตอบสนองทุกช่วงเวลา และสร้างสรรค์ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต สำหรับ ‘เอ-ญ่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์’ ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านอาหาร รวมถึงโมเดลศูนย์รวมการดูแลสุขภาพระดับพรีเมียม   ขณะเดียวกัน ยังเชื่อมถึงสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับผู้เช่าจากโรงแรมในกลุ่ม AWC เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครบวงจร รวมถึงมาตรฐานเป้าหมายความยั่งยืน เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวอย่างยั่งยืนร่วมกับพันธมิตรและชุมชน พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของ AWC ในการ Building Better Future For All     ด้าน ไมเคิล ฮาริท หัวหน้าคณะกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียล แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของอาคารเอ็มไพร์ครั้งนี้ ครอบคลุมทั้งการออกแบบใหม่ และการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ทั้งด้านบทบาทและความหมายของสถานที่ เพื่อสร้างนิยามใหม่ของจุดหมายปลายทาง สะท้อนสู่ยุคใหม่ของไลฟ์สไตล์แลนด์มาร์กทั้งสุขภาวะ แรงบันดาลใจ และความคิดสร้างสรรค์เข้าด้วยกัน   “ความร่วมมือระหว่างพันธมิตรระยะยาวกับซัมซุง เป็นการนำพลังนวัตกรรมเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่แห่งการออกแบบอัจฉริยะ ที่จะพลิกโฉมการใช้ชีวิตในใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ”   เอส.วาย. ยุน คิม ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า Immersive LED Showcase ‘เอ็มไพร์’ ได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนช่วงเวลาในชีวิตประจำวันให้กลายเป็นแรงบันดาลใจ โดยครอบคลุมพื้นที่โถงล็อบบี้หลัก จากการผสานระหว่างศิลปะและเทคโนโลยีสู่บรรยากาศที่สร้างแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความคิดสร้างสรรค์ ที่สอดคล้องกับมาตรฐานความยั่งยืนและการรับรองอาคารระดับสากล LEED Gold และ WELL Platinum   รวมถึงอีกประสบการณ์ความพิเศษ คือ เอ-ญ่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงว่าอาคารเอ็มไพร์ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้มาเยือนอย่างแท้จริง ทั้งการหลอมรวมการรับประทานอาหาร ศิลปะ เทคโนโลยี  และไลฟ์สไตล์ทุกมิติเข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น สร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง       Alternate-X สรุปให้       AWC ปรับโฉมอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ภายใต้แนวคิด The Empire Reimagined ยกระดับสู่แลนด์มาร์กไลฟ์สไตล์ครบวงจร ใจกลางกรุงเทพฯ จับมือซัมซุงสร้าง Immersive LED Showcase ผสานเทคโนโลยีและศิลปะ เติมมิติใหม่ Co-Living Space – รูฟท็อปพรีเมียม และศูนย์เวลเนสระดับโลก ย้ำวิสัยทัศน์ AWC สร้างปลายทางไลฟ์สไตล์ยั่งยืนเพื่อคนทำงานยุคใหม่          

October 11, 2025 / 0 Comments
read more

ออริจิ้นฯ ดึงแรงซื้อท้ายปี ร่วม ‘อิเกีย’ แต่งห้องขายพร้อมอยู่ รับยอด ‘Ready to move’ พุ่ง 59%

BizKet

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ไตรมาส 4 รอโอน 6 โครงการ จับมือ IKEA  เติมฟังก์ชันออกแบบเรียกกำลังซื้ออยู่อาศัยคนรุ่นใหม่  หลังปิดไตรมาส3/68 ทำรายได้กว่า 19,000 ล้านบาท   พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่าบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 4/2568 คาดเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 5 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านจัดสรร 3 โครงการ  และ โครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ เพื่อรองรับลูกค้าเป้าหมาย 6 กลุ่ม คือ   ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง (Real Demand) กลุ่มนักลงทุน (Investor) รายย่อยที่ให้ความสนใจคอนโดฯเพื่อสร้างผลตอบแทน กลุ่มลูกค้าบิ๊กล้อต (Big lot) กลุ่มลูกค้า Corporate ที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบธุรกิจต่อธุรกิจ(B2B) กลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อและต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สอง (2nd Home) กลุ่มลูกค้าเลี้ยงสัตว์ รองรับกระแส Pet Humanization ที่กำลังเติบโตขึ้น     ทั้งนี้ ออริจิ้นฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) คอนโดฯ รวมแล้วกว่า 72% ของมูลค่าโครงการ และคอนโดฯ เสร็จใหม่และเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 6 โครงการ  คือ   ออริจิ้น เพลส ขอนแก่น กัลปพฤกษ์ ดิ ออริจิ้น บางแค, ดิ ออริจิ้น พหล57 ดิ ออริจิ้น กะทู้ – ป่าตอง ดิ ออริจิ้น สุขุมวิท แพรกษา ออริจิ้น เพลย์ บางแสน   ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทฯ ยังร่วมพันธมิตรธุรกิจเชิงกลยุทธ์กับ อิเกีย ประเทศไทย แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ และของแต่งบ้านระดับโลก (Global Brand) ร่วมสร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยโครงการ เพื่อรองรับความต้องการอยู่อาศัยคนรุ่นใหม่ในทุกด้าน โดยเตรียมเปิดตัวโครงการแรก Origin Plug & Play E22 Station คอนโดใหม่เลี้ยงสัตว์ได้ ติด BTS สายสีเขียว สถานีสายลวด   “ออริจิ้น เตรียมแผนขยายห้องแต่งพร้อมอยู่ เรดดี้ ทู มูฟ ในอีกหลายโครงการ หลายทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด”   อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง   ‘ออริจิ้น’โฟกัสอสังหาฯอนาคต โสด-ไม่มีเพื่อน-เลี้ยงสัตว์ได้ ปรับพอร์ตเน้น ‘เพ็ต-เฟรนด์ลี่’ ‘ออริจิ้น’ ครึ่งแรกปี68 ทำยอดพรีเซลกว่า 1.4 หมื่นล. แผนQ3เร่งโอนคอนโด-ทำตลาดพร้อมอยู่ มหาเศรษฐีตระกูล ‘Koo’ ปิดดีล 500 ล.บาท ซื้อยกฟลอร์โซนค้าปลีก ‘ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์’ พีระพงศ์ กล่าวต่อผลดำเนินงาน ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ใน 9 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 19,086 ล้านบาท คิดเป็น 64% ของเป้าทั้งปี แบ่งเป็น   ยอดขายจากโครงการคอนโดฯ ประมาณ 81% ยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรร ประมาณ 19%   โดยยอดขายดังกล่าวมาจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ประมาณ 59% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เปิดขายใหม่ (New Launch) และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) รวมกันประมาณ 41% ทำให้ยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 รวมอยู่ที่ 40,983 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 4 ปี     ขณะที่ใน 9 เดือนแรกมีโครงการที่เปิดขายใหม่จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 7,150 ล้านบาท           Alternate-X สรุปให้        ออริจิ้นฯ เร่งยอดขายปลายปี ดึงพันธมิตร ‘อิเกีย’ เสริมจุดขายคอนโดแต่งพร้อมอยู่ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เตรียมโอน 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 19,000 ล้านบาท หลังยอดขาย ‘Ready to move’ โต 59% เดินหน้าเปิด 5 โครงการใหม่ทั้งบ้านและคอนโด รับดีมานด์จริงและนักลงทุนต่างชาติ จับเทรนด์เลี้ยงสัตว์-อยู่คนเดียว ปรับพอร์ตโครงการ “Pet-Friendly” และ Plug & Play E22 Station ตั้งเป้ารักษารายได้และยอดโอนต่อเนื่อง 4 ปี ด้วย Backlog รวมกว่า 40,000 ล้านบาท        

October 10, 2025 / 0 Comments
read more

UHG ปรับเกมโรงแรมเดอะควอเตอร์ ไลฟ์สดขายห้องพัก ดึงนักเดินทางรุ่นใหม่-หลังจีนหาย

BizKet

‘วุฒิพล’ ซีอีโอกลุ่ม UHG ปรับแผนใหม่เล่นทุกท่าเปิดไลฟ์เข้าหานักเดินทางคนรุ่นใหม่ชอบจองซื้อห้องพักราคาดีเก็บไว้ หาที่ดินริมเจ้าพระยา ทำเดอะควอเตอร์ เพิ่มสาขาใหม่ในปีหน้า รับเป้ารายได้คงที่ 3.8 พันล้านสิ้นปี’68   วุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG เจ้าของและผู้พัฒนาโรงแรมแบรนด์ ‘เดอะ ควอเตอร์’ และอาคารสำนักงานแบรนด์ ‘ฮิลล์’ (Hills) เปิดเผยว่า  บริษัทฯ ปรับกลยุทธ์พร้อมบริหารพอร์ตโรงแรมเดอะควอเตอร์ (The Quarter) ให้มีความสมดุลกับนักท่องเที่ยวในกลุ่มชาวต่างชาติจากยุโรป ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะนักเดินทางกลุ่มครอบครัว ที่มีจำนวนมากขึ้นทดแทนนักท่องเที่ยชาวจีน ที่ลดจำนวนไปราว 15% เมื่อเทียบกับในช่วงก่อนหน้า (YoY)   ขณะเดียวกันยังบริหารความเสี่ยงธุรกิจร่วมกับทีมบริหาร (General Manager)โรงแรมเดอะควอเตอร์ในแต่ละสาขา เพื่อวางกลยุทธ์หารายได้เพิ่ม พร้อมประเมินรายได้ให้เข้ามาได้มากและเร็วที่สุดในช่วงสั้นจากเดิมที่มองเป็นระยะยาว  จากปัจจุบันมีพอร์ตโรงแรม 18 แห่งกระจายในกรุงเทพฯ บนทำเลต่างๆ   โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โรงแรมในกลุ่ม UHG มีอัตราการจองที่พักราว 90-95% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับรูปแบบการให้บริการให้ตรงตามความต้องการของนักเดินทางที่ใช้บริการ     “กลุ่มนักเดินทางยุโรป ต้องการเมนูอาหารเช้า ที่มีพอร์ชั่นอย่างขนมปังชิ้นใหญ่ขึ้น หรือ การเพิ่มขนาดห้องพักสำหรับครอบครัวในกลุ่มตะวันออกกลาง ไปจนถึงการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกในบริการ ด้านต่างๆ”     อย่างไรก็ตาม อัตราการจองห้องในปลายปี68 นี้ยังไม่เท่ากับปีก่อนหน้า ทำให้จีเอ็มในแต่ละพร็อพเพอร์ตี้ต้องติดตามพฤติกรรมนักท่องเที่ยวมากขึ้น พร้อมทบทวนการปรับราคาห้องพักในแต่ละช่วงเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด จากเดิมที่จะปรับราคาห้องพักขึ้นทันทีเมื่อเข้าสู่ไฮ-ซีซัน   วุฒิพล กล่าวว่าในช่วงปีนี้ที่ผ่านมา โรงแรมเดอะควอเตอร์ใน 3 ทำเล คือ ราชเทวี, อารีย์ และ ศาลาแดง เป็นสาขาที่ได้การตอบรับดีที่สุด โดยเฉพาะในสาขาหลังที่มีกลุ่มนักเดินทางชาวจีน ยุโรป และญี่ปุ่น เข้ามาใช้บริการจำนวนมาก ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการเปิดตัวโครงการใหญ่อย่างดุสิตเซ็นทรัล  พาร์ค (DusitCentral Park) ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนก.ย.ปีนี้ที่ผ่านมา ยังผลักดันให้กลุ่มธุรกิจโรงแรมบนทำเลถนนพระรามสี่และสีลม มีแนวโน้มการจองพักสูงขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในปีนี้ ด้วยเป็นย่านที่มีความสะดวกทั้งการเดินทางเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสาธาณะทั้ง BTS และ MRT และการเปิดใหม่ของศูนย์การค้าขนาดใหญ่     ไลฟ์สดเจาะคนรุ่นใหม่     วุฒิพล  เสริมว่า ในช่วงไตรมาส3 ที่ผ่านมาโรงแรมเดอะควอเตอร์ใช้งบการตลาดออนไลน์มากขึ้นทั้งการยิงโฆษณาสื่อโซเชียล  เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะวัยรุ่นไทย เพื่อสร้างการจำจดแบรนด์พร้อมต่อยอดใช้บริการเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าที่เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว   โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้ทดลองทำตลาดผ่านการไลฟ์ตั้งแต่ช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่มเพื่อกระตุ้นยอดจองห้องพัก ซึ่งได้การตอบรับดีด้วยตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่นิยมซื้อจองไว้ก่อนเพราะจะได้ราคาห้องพักดีกว่าเมื่อเทียบกับราคาปกติ โดยนำเดอะควอเตอร์ รามคำแหง และ สะพานควาย มาจัดราคาพิเศษ 800 บาทจากราคาปกติ 1,200 บาท เพื่อเข้าพักระหว่างวันอาทิตย์-พฤหัสบดี และเตรียมนำ เดอะควอเตอร์ หัวลำโพง เป็นสาขาถัดไป   “แนวทางดังกล่าว ยังทำให้กลุ่ม UHG ได้เก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าในประเทศ และกระแสเงินสดส่วนหนึ่งไปพร้อมกัน”   ขณะที่ภาพรวมกลุ่มนักเดินทางที่ใช้บริการโรงแรมเดอะควอเตอร์ในปีนี้ แบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเดิมราว 30-40%  และใช้บริการจองผ่านตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) สัดส่วน 60-75% และจองตรงกับโรงแรมราว 25-40% ในช่องทางโซเชียลมีเดีย     ปรับธุรกิจพื้นที่เช่าสำนักงาน     วุฒิพล  กล่าวต่อถึงภาพรวมธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่าภายใต้ชื่อ ฮิลล์ (Hills) ที่จะไปพร้อมกับโครงการโรงแรมเดอะควอเตอร์ รวม 5 แห่งในปัจจุบัน คือ อาคารเอเวอร์กรีน เพลส , อารีย์ ฮิลล์ , รัชโยธิน ฮิลล์ , รามคำแหง ฮิลล์ และ สุขุมวิท ฮิลล์   โดยกลุ่ม UHG วางแนวคิดปรับปรุงอาคารให้สอดคล้องกับแนวโน้มมาตรฐานอาคารเพื่อสุขภาวะที่ดี Fitwel พร้อมมาตรการอำนวยความสะดวก อาทิ มอบส่วนลดบัตรโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสให้กับพนักงาน ในโครงการทำเลอยู่ติดกับสถานีบีทีเอส , บริการที่จอดรถจักรยาน และรูปแบบโปรแกรมการซับซิไดซ์ อื่นๆ เป็นต้น   ขณะที่แนวทางในอนาคต อยู่ระหว่างทบทวนการปรับปรุงพื้นที่สำนักงานให้เช่าในรูปแบบขยายห้องพักโรงแรมเดอะควอเตอร์ ซึ่งภายในไตรมาสแรกปี2569 วางแผนเพิ่มอีก 200 ห้องพักในสาขาลาดพร้าว     เป้ารายได้คงที่ 3,800 ล้านบาท     วุฒิพล  กล่าวว่าในปี 2568 นี้ กลุ่ม UHG เตรียมแผนขยายโรงแรมเพิ่มอีก 1 แห่งบนทำเลรอบรอบใจกลางเมืองกรุงเทพฯ บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา และอยู่ในตามแนวรถไฟฟ้า ย่านเจริญนคร ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาเจ้าของที่ดินเพื่อขอเช่าระยะยาว   อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง    UHG มองทำเลใหม่ ‘ไข่ขาว’ ขยายโรงแรมเดอะควอเตอร์-ออฟฟิศให้เช่า     ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในปีนี้ อาจทำให้การดำเนินธุรกิจในไตรมาส4 ปีนี้มีการเติบโตลดลงจากเป้าหมายเดิมวางไว้ที่ 10% หรือมีรายได้เท่ากับในปี 2567 มีผลดำเนินการราว 3,800 ล้านบาท จากปัจจุบันโรงแรมเดอะควอเตอร์ มีลูกค้าหลักกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ราว 75% กลุ่มลูกค้าองค์กร (Corporate) 20% และอื่นๆ 5%       Alternate-X สรุปให้      UHG ปรับกลยุทธ์โรงแรม ‘เดอะควอเตอร์’ รับพฤติกรรมนักเดินทางรุ่นใหม่ ชอบจองราคาดีล่วงหน้า โดยซีอีโอ ‘วุฒิพล ถาวรธวัช’ ดึงกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ใช้ไลฟ์สดและโซเชียลมาร์เก็ตติ้งเพิ่มยอดจองและสร้างแบรนด์ พร้อมปรับบริการเน้นจับตลาดยุโรป–ตะวันออกกลางทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ขณะที่ในปี 2569 วางแผนขยายสาขาใหม่ริมเจ้าพระยา ส่วนพอร์ตอาคารสำนักงาน Hills เตรียมทบทวนการปรับปรุงบริการ วางเป้ารายได้ปี 2568 คงที่ 3,800 ล้านบาท   

October 9, 2025 / 0 Comments
read more

มิชลินไกด์ เปิดชื่อโรงแรม ‘65 แห่ง’ในไทยระดับ ‘MICHELIN Key’ ย้ำมั่งคั่งวัฒนธรรม-ล้ำออกแบบ

Peace&Play

‘มิชลิน ไกด์’ เผยรายชื่อโรงแรมยอดเยี่ยม 62 แห่งในประเทศไทย รับรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ (MICHELIN Key) จากการประกาศในปีที่สอง   ‘มิชลิน ไกด์’ คู่มือแนะนำร้านอาหารและที่พักระดับโลก จัดทำโดยบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ “มิชลิน” (Michelin) จากฝรั่งเศส ในปี 2568 นี้ นำเสนอการคัดเลือกโรงแรมระดับโลกครั้งแรกภายใต้รางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ (MICHELIN Key) โดยมีโรงแรม 2,457 แห่งทั่วโลกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่พักผ่อนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง   หลังจากเปิดตัวรางวัลนี้ใน 15 จุดหมายปลายทางเมื่อปีที่ผ่านมา ผู้ตรวจสอบของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้ประเมินโรงแรมกว่า 7,000 แห่งทั่วโลกที่แนะนำอยู่แล้วในคู่มือ เพื่อคัดเลือกโรงแรมที่ดีสุดสำหรับการจัดทำรายชื่อในปีนี้   สำหรับ โรงแรมที่มีความโดดเด่นที่สุดจะได้รับกุญแจมิชลินตั้งแต่ระดับ 1, 2 หรือ 3 ดอก ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของความเป็นเลิศด้านที่พัก   รางวัลนี้สะท้อนถึงเกณฑ์การตัดสินที่เข้มงวดของทาง ‘มิชลิน ไกด์’ เพื่อยกย่องการให้บริการที่พักที่มอบประสบการณ์อันโดดเด่นทั้งในด้านงานออกแบบ บริการ และทำเลที่ตั้ง   นอกจากนี้ แขกยังสามารถทำการจองห้องพักของโรงแรมที่ผ่านการคัดเลือกทุกแห่งได้ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน  ‘มิชลิน ไกด์’ พร้อมบริการผู้ช่วยส่วนบุคคล (Concierge Services) และสิทธิพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าวีไอพี (VIP)     อนึ่ง ‘มิชลิน ไกด์’  ถือกำเนิดในฐานะคู่มือสำหรับนักเดินทางมายาวนานกว่า 125 ปี และในครั้งนี้ ได้กำหนดนิยามใหม่แห่งความเป็นเลิศอีกครั้งในโลกของอุตสาหกรรมโรงแรม เช่นเดียวกับดาวมิชลิน (MICHELIN Stars) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อยกย่องร้านอาหารชั้นเยี่ยมทั่วโลก   ขณะที่ การจัดอันดับกุญแจมิชลิน (MICHELIN Keys) ถือเป็นการให้เกียรติแก่โรงแรมที่มอบประสบการณ์การเข้าพักอันน่าจดจำได้อย่างแท้จริง ทั้งในด้านการออกแบบ บริการ และทำเลที่ตั้ง รวมเป็นช่วงเวลาน่าประทับใจ   การมอบรางวัลกุญแจมิชลิน ยังถือเป็นการสร้างมาตรฐานระดับโลกรูปแบบใหม่ที่ไม่ผูกติดกับองค์กรใด ในการนำเสนอสุดยอดประสบการณ์ที่พักในโรงแรมอันโดดเด่นแก่ผู้คนทั่วโลก มร.เกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก กล่าว     ย้ำ ‘ไทย’ ปลายทางที่พักระดับโลก     โดยจำนวนรางวัลกุญแจมิชลินของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2568 มีโรงแรมที่ผ่านเกณฑ์รวม 62 แห่ง สะท้อนถึงความรุ่มรวยแห่งมรดกทางวัฒนธรรม ความล้ำหน้าในการออกแบบ และความมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อมอบบริการที่เป็นเลิศ และต่อไปนี้ คือตัวอย่างของโรงแรมที่มีความโดดเด่นซึ่งได้รับรางวัลกุญแจมิชลินในปีนี้       โรงแรมกุญแจมิชลิน 3 ดอก  (Three MICHELIN Keys)   เดอะ สยาม, กรุงเทพฯ โอเอซิสริมน้ำท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบในเขตดุสิต ผสานความงามของวัตถุโบราณไทย กลิ่นอายอาร์ตเดโค และสวนไม้พุ่มอันเขียวชอุ่ม โดยมีไฮไลต์ทั้งเวทีมวยไทย สระว่ายน้ำอินฟินิตี้ริมแม่น้ำ และ Connie’s Cottage เรือนไม้สักอายุร้อยปีพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว ภูเล เบย์ อะ ริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ, กระบี่: รีสอร์ตริมทะเลอันดามัน โดดเด่นด้วยวิลลาสุดหรู พร้อมบริการที่ออกแบบเฉพาะรายบุคคลและทิวทัศน์ชายฝั่งอันงดงาม มอบบรรยากาศเงียบสงบและการออกแบบที่ประณีต ทำให้โรงแรมแห่งนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวได้ในตัวเอง       โรงแรม กุญแจมิชลิน 2 ดอก  (Two MICHELIN Keys)   อมัน นายเลิศ กรุงเทพ (ได้รับการจัดอันดับครั้งแรก): ตั้งอยู่ภายในพื้นที่สวนส่วนบุคคลใจกลางกรุงเทพฯ โดดเด่นด้วยความงามหรูอันเรียบง่าย ห้องสวีทขนาดใหญ่กว้างขวาง และบรรยากาศที่เงียบสงบ หลีกเร้นจากความคึกคักวุ่นวายของเมืองใหญ่ ศาลาสมุย เชิงมนบีช รีสอร์ท, เกาะสมุย: รีสอร์ตติดหาดที่ชูงานออกแบบสไตล์มินิมัล นำเสนอสระว่ายน้ำส่วนตัวและอัตลักษณ์ความงามแบบท้องถิ่นที่ชัดเจน ผสานเสน่ห์ภูมิประเทศเขตร้อนเข้ากับความหรูหราสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว       โรงแรมระดับกุญแจมิชลิน 1 ดอก (One MICHELIN Key)     ดุสิตธานี กรุงเทพฯ (ได้รับการจัดอันดับครั้งแรก): โรงแรมชื่อดังระดับตำนานใจกลางมหานครกรุงเทพฯ ที่เพิ่งกลับมาเปิดให้บริการในรูปโฉมใหม่ ผสานมรดกวัฒนธรรมไทยเข้ากับงานออกแบบร่วมสมัย เพื่อมอบบริการต้อนรับอันอบอุ่นและการตกแต่งที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด 137 พิลลาร์เฮาส์ เชียงใหม่: เรือนไม้สักเก่าแก่ที่ได้รับการบูรณะให้เป็นบูทีคโฮเทล โดดเด่นด้วยสวนสวย บรรยากาศสไตล์โคโลเนียล และการดูแลใส่ใจเฉพาะรายบุคคล ตั้งอยู่ในย่านวัดเกตของจังหวัดเชียงใหม่   ไขเกณฑ์ รางวัลกุญแจมิชลิน   สำหรับ การมอบรางวัลกุญแจมิชลิน พิจารณาตามหลักเกณฑ์สากล 5 ข้อ โดยประเมินประสบการณ์การเข้าพักแบบองค์รวมและไม่ได้ตัดสินจากสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงรายการใดรายการหนึ่ง ซึ่งมีเกณฑ์การตัดสิน ดังนี้   กุญแจมิชลิน 1 ดอก: ประสบการณ์การเข้าพักสุดพิเศษ มีเอกลักษณ์ชัดเจน พร้อมบริการอันยอดเยี่ยม   กุญแจมิชลิน 2 ดอก: ประสบการณ์การเข้าพักอันยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยเสน่ห์ในแบบเฉพาะตัว พร้อมอัตลักษณ์ของสถานที่อันเด่นชัด   กุญแจมิชลิน 3 ดอก: ประสบการณ์การเข้าพักเหนือชั้นที่น่าจดจำ สมบูรณ์แบบทั้งความสะดวกสบาย บริการ และงานออกแบบ   นอกจากรางวัลกุญแจมิชลินแล้ว ‘มิชลิน ไกด์’ ยังมอบ 4 รางวัลพิเศษ เพื่อยกย่องความสำเร็จของโรงแรมที่ก้าวข้ามรูปแบบเดิม ๆ เพื่อเฉลิมฉลองความเป็นเลิศและเอกลักษณ์แบบเฉพาะทางของบริการที่พักที่ไม่ซ้ำใคร ซึ่งประกอบด้วย   รางวัล MICHELIN Architecture & Design Award: แอตแลนติส เดอะ รอยัล (ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) รางวัล MICHELIN Wellness Award: เบอร์เกนสต็อก รีสอร์ต สวิตเซอร์แลนด์ รางวัล MICHELIN Local Gateway Award: ลา เฟียร์มอนทิน่า โอเชียน (ลาราเช โมร็อกโก) รางวัล MICHELIN Opening of the Year Award (สนับสนุนโดยธนาคารยูโอบี): เดอะ เบอร์แมน โฮเทล (ทาลลินน์ เอสโตเนีย)   สำหรับ รายชื่อโรงแรมที่ได้รับการแนะนำทั้งหมดของ ’มิชลิน ไกด์’ สามารถค้นหาได้ทั้งทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน นักเดินทางสามารถทำการจองบริการห้องพักได้โดยตรง โดยมีบริการผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวส่วนบุคคลคอยให้ความช่วยเหลือ เพื่อยกระดับประสบการณ์การพักผ่อนทุกครั้งให้พิเศษยิ่งกว่าเดิม   ดูรายชื่อของโรงแรมทั้งหมดได้ที่ guide.michelin.com/th/th/hotels     Alternate-X สรุปให้   ‘มิชลิน ไกด์’ ประกาศรายชื่อโรงแรมไทย 62 แห่ง รับรางวัล ‘MICHELIN Key’ ปี 2568 ย้ำศักยภาพไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก รางวัลนี้สะท้อนความเป็นเลิศของโรงแรมในมิติการออกแบบ บริการ และทำเลที่ตั้ง รวมถึงความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ท้องถิ่น การได้รับรางวัลกุญแจมิชลินยังช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมโรงแรมไทย และสร้างภาพลักษณ์ประเทศสู่การเป็นผู้นำตลาดท่องเที่ยวคุณภาพในภูมิภาคเอเชีย

October 9, 2025 / 0 Comments
read more

‘The Central’ พหลโยธิน ผนึกลาดพร้าวสร้างอาณาจักรรีเทลล้านตร.ม. ชิงพลังซื้อกรุงเทพเหนือ

BizKet

เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมเปิด ‘The Central’ พหลโยธิน มูลค่าโครงการ 2.1 หมื่นล้านบาท เฟสแรกในไตรมาส 4 ปี 2569 กับตำแหน่งศูนย์การค้าแฟล็กชิพแห่งอนาคต ใช้พลังแห่งการซินเนอร์ยี ‘เซ็นทรัลลาดพร้าว’ หนึ่งในห้างระดับตำนานของไทยที่มีอายุกว่า 4 ทศวรรษ บนทำเลห้าแยกลาดพร้าว ดึงกำลังซื้อกรุงเทพฯโซนเหนือ 10 กิโลเมตรโดยรอบ   ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสถุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าและกลุ่มงานพัฒนาโครงการ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น (CPN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร (มิกซ์-ยูส) ค้าปลีก, โรงแรม, อาคารสำนักงานในกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ เดอะเซ็นทรัล ‘The Central’ พหลโยธิน มูลค่ากว่า 21,000 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างเร่งก่อสร้าง พร้อมวางแผนเปิดในไตรมาส 4 ปี 2569   สำหรับโครงการฯ วางตำแหน่งเป็นศูนย์การค้าระดับแฟล็กชิพ (The Flagship of the Future) เพื่อเป็นแลนด์มาร์กใหม่พร้อมยกระดับกรุงเทพฯสู่มหานครระดับโลก สะท้อนศักยภาพทำเลย่านพหลโยธิน มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) ด้วยยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจสำคัญที่มีคุณภาพสูงของกรุงเทพฯทางตอนเหนือ   โดย ‘The Central’ พหลโยธิน ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 49 ไร่ พื้นที่ (GBA) 457,409 ตร.ม. พร้อมด้วยคอนเวนชั่น ฮอลล์ ขนาดใหญ่กว่า 6,700 ตร.ม. พร้อมรองรับการแสดงคอนเสิร์ตระดับโลก   ขณะที่โครงการฯ ตั้งบนทำเลศักยภาพที่ตั้งโครงการบนถนนสองสายหลัก วิภาวดี รังสิต และ พหลโยธิน ที่ปัจจุบันมีปริมาณรถยนต์สัญจร ราว 337,000 คันต่อวัน พร้อมบริการคมนาคมสาธารณะทั้ง MRT สายสีน้ำเงินมีผู้โดยสาร 15,600 คนต่อวัน และ BTS สายสีเขียวมีผู้โดยสาร 35,100 คนต่อวัน         ด้าน อิศเรศ จิราธิวัฒน์ เฮด ออฟ ลีสซิ่ง-แฟชั่น แอนด์ ลักซูรี่ (Head of Leasing-Fashion & Luxury) ซีพีเอ็น กล่าวว่า ‘The Central’ พหลโยธิน ยังจะเป็นโครงการเชิงกลยุทธ์ผสานความแข็งแกร่ง (Synergy) ร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว บนทำเลห้าแยกลาดพร้าว โดยเมื่อเปิดให้บริการแล้วเสร็จทั้ง สองโครงการจะมีพื้นที่ค้าปลีก (Retail)รวมกันไม่ต่ำกว่า 8 แสน ตร.ม. (เซ็นทรัล ลาดพร้าว ราว 3 แสนตร.ม.) พร้อมขยายพื้นที่ค้าปลีกได้ถึง 1 ล้านตร.ม. ในอนาคต โดยทั้งสองศูนย์ฯรวมกันจะมีพื้นที่รีเทลใหญ่กว่าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์   จากศักยภาพของพื้นที่ค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นของ ‘The Central’ พหลโยธิน จะยังเปิดโอกาสให้บริษัทฯ ทำงานร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ร้านค้าต่างๆ ทั้งในประเทศและแบรนด์ระดับโลกได้มากขึ้น ตามความต้องการของโกลบอลแบรนด์สินค้าหลายรายให้ความสนใจขยายพื้นที่ร้านในรูปแบบแฟล็กชิพ สโตร์ เพิ่มขึ้น   “โครงการฯ เพื่อรองรับความต้องการแบรนด์ต่าง ๆ ในรูปแบบแฟล็กชิพสโตร์ เพื่อดิสเพลย์ให้กับสินค้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาในรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยแบรนด์ใหม่และจำนวนที่จะเข้ามา”   ทั้งนี้ จากการใช้ข้อมูลเพื่อใช้ทำการตลาด (Data Driven) ของสมาชิกผู้ถือบัตรเครดิตเดอะวันในกลุ่มเซ็นทรัล ผ่านศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ตลอดช่วงที่ผ่านมา ยังพบว่าเป็นทำเลการค้าและอยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อแข็งแกร่ง โดยเติบโตเฉลี่ย 2.1% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยกรุงเทพฯอยู่ที่ 1.8% ต่อปี     รวบแรงซื้อรัศมี 10 กิโลเมตร     ขณะที่ ‘The Cemtral’ พหลโยธิน วางเป้าหมายครอบคลุมกำลังซื้อในระยะรัศมี 10กิโลเมตรโดยรอบโครงการฯ จากปัจจุบันในย่านนี้มีพื้นที่ครอบคลุมกำลังซื้อ (Catchment Area) ประชากรราว 2.5 ล้านคน และยังเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง (Wealth Segment) กว่าค่าเฉลี่ยกรุงเทพฯ 2.3 เท่า และมียอดขายต่อพื้นที่ (Sales per GLA) สูงกว่าค่าเฉลี่ยศูนย์​การค้าในกรุงเทพฯ 45%   นอกจากนี้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยใหม่ที่จะแล้วเสร็จประมาณ 90 โครงการ หรือ 20,214 ยูนิต จากปัจจุบันมีโครงการแวดล้อม ‘The Central’ พหลโยธิน กว่า 472 โครงการ รวมถึงยังมีแนวโน้มการขยายตัวของอาคารสำนักงานสูงขึ้น ที่ปัจจุบันมี 52 แห่งโดยรอบโครงการฯ รวมทั้งยังแวดล้อมด้วย โรงเรียนชั้นนำ 15 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติ 6 แห่ง, มหาวิทยาลัย 9 แห่ง และโรงแรม 41 แห่ง           Alternate-X สรุปให้      เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ลงทุนกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท พัฒนาโครงการ The Central พหลโยธิน วางตำแหน่งเป็น แฟล็กชิพมิกซ์ยูสแห่งอนาคต เสริมศักยภาพย่านเศรษฐกิจตอนเหนือของกรุงเทพฯ ผสานพลังกับ เซ็นทรัล ลาดพร้าว สร้างพื้นที่รีเทลรวมกว่า 8 แสน ตร.ม. ใช้กลยุทธ์ Data Driven Marketing เจาะกลุ่มกำลังซื้อระดับพรีเมียมในรัศมี 10 กม. กว่า 2.5 ล้านคน ย้ำวิสัยทัศน์ ‘Flagship of the Future’ ผลักดันพหลโยธินสู่แลนด์มาร์กระดับโลก    

October 9, 2025 / 0 Comments
read more

รุ่นสองสานตำนาน ‘ล้งเล้งลูกชิ้นปลา’ พลิกยอดขายโต 40% ชิงสมรภูมิของกินบรรทัดทอง

BizKet

‘ล้งเล้งลูกชิ้นปลา’ สตรีทฟู้ดระดับตำนาน ย่านบรรทัดทอง หนึ่งในร้านอาหารเอสเอ็มอีที่ ‘แกร็บ ฟู้ด’ หยิบเคสความสำเร็จจากการปรับตัวพร้อมเลือกใช้เครื่องมือทางการตลาดมากระตุ้นยอดขายให้ธุรกิจเติบโต40% ท่ามกลางสมรภูมิเช็คอินของอร่อยในย่านบรรทัดทอง   แกร็บ ฟู้ด (Grab Food) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเดลิเวอรี ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โชว์เคสธุรกิจ ‘ล้งเล้งก๋วยเตี๋ยวปลา’ หนึ่งในร้านอาหารระดับตำนานที่มีอายุกว่า 40 ปี ปัจจุบันกิจการส่งไม้ต่อธุรกิจสู่รุ่นสอง ‘คุณมุก-มุกรวี หวังเพื่อสุข’  กับวิธีคิดที่น่าสนใจเพื่อให้ธุรกิจของครอบครัว ได้ทั้งการรักษาลูกค้าเก่าและการเข้ามาของกลุ่มใหม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจและการแข่งขันสูงในย่านสตรีทฟู้ด ‘บรรทัดทอง’   ‘คุณมุก’ เล่าที่มาร้าน ‘ล้งเล้งลูกชิ้นปลา’ มีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวทางฝั่งคุณแม่  ก่อนจะแยกมาเปิดร้านของตัวเองที่บริเวณตลาดสวนหลวงและได้ย้ายร้านมายังที่ตั้งในปัจจุบัน     โดยมีเมนูขึ้นชื่อของร้าน อย่าง ‘เกี๊ยวปลาจัมโบ้’ กับจุดขายไส้แน่น แป้งบาง ทำสดใหม่ทุกวัน รวมถึงเมนูยอดนิยมอื่นๆ เช่น บะหมี่เย็นตาโฟ, เกาเหลาเส้นปลาน้ำใส, หนังปลากรอบสูตรล้งเล้ง และเกี๊ยวทอดไส้หมู   จากนั้น ล้งเล้งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ได้ขยายสาขาที่ 2 ไปยังบริเวณริมถนนพระราม 4 ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกัน เพื่อต้องการขยายพื้นที่ครัวสำหรับการผลิตลูกชิ้น   โดยตลอดช่วงเปิดกิจการที่ผ่านมา ‘คุณมุก’ บอกว่า ‘ยังไม่คิดจะขายแฟรนไชส์’ แม้จะได้รับการติดต่ออยู่หลายครั้ง ด้วยเพราะต้องการควบคุมคุณภาพและคงมาตรฐานของร้านไว้ในระยะยาว ทำให้ตัดสินใจต่อยอดธุรกิจเพื่อขยายการเติบโตกิจการในรูปแบบแพลตฟอร์ม ‘เดลิเวอรี่’ และ รับจัดเลี้ยงนอกสถานที่   ขณะที่ลูกค้าส่วนใหญ่ จะเป็นลูกค้าประจำที่ประทับใจในรสชาติและคุณภาพที่สม่ำเสมอของร้าน       ปรับตัวรับทุกความท้าทาย   คุณมุก บอกว่า ล้งเล้งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ในฐานะเป็นร้านเก่าแก่อยู่มานานในย่านบรรทัดทอง ที่ตอนนี้กลายเป็นจุดเช็กอินของเหล่านักกินและนักท่องเที่ยว และนำไปสู่การแข่งขันที่สูงขึ้น   โดยร้านฯได้ใช้โอกาสนี้นำเสนอเสน่ห์ของสตรีทฟู้ดแบบโลคอลในย่านนี้อย่างแท้จริง ทั้งการตกแต่งและบรรยากาศในร้านที่ยังคงความดั้งเดิมไว้ แต่ปรับปรุงรายละเอียดและประสบการณ์ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อรองรับลูกค้าที่หลากหลาย พร้อมยังยึดมั่นในคุณภาพเพื่อให้ร้านยังคงยืนหยัดได้อย่างมั่นคง   “เราอยากให้ลูกค้าได้อิ่มอร่อยและสัมผัสกับกลิ่นอายของสตรีทฟู้ดในราคาที่จับต้องได้ทุกวัน เริ่มต้นเพียงชามละ 65 บาท และยังสามารถนั่งได้อย่างสบายในห้องแอร์”   จากความเข้าใจพร้อมใส่ใจรายละเอียดในจุดเล็กๆ ทำให้ลูกค้าขาจรที่แวะมากลายเป็นลูกค้าประจำ กระทั่งเกิดการรีวิวแบบปากต่อปาก จนชื่อร้านไปปรากฏอยู่ในเพจรีวิวอาหารและแพลตฟอร์มของต่างชาติ โดยที่ร้านไม่ได้ทำการตลาดเลย   เปลี่ยนแปลงเพื่อตอบโจทย์   คุณมุก บอกอีกว่า ตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา ร้านล้งเล้งฯ ยังได้พิสูจน์ถึงการเป็นธุรกิจที่ปรับตัวอยู่เสมอ ตั้งแต่การเติบโตของย่านบรรทัดทองที่เปลี่ยนจากชุมชนที่อยู่อาศัยสู่การเป็นสตรีทฟู้ดชื่อดังที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมถึงการรับมือวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ยอดขายหน้าร้านลดลงอย่างหนัก   อย่างไรก็ตาม ด้วยวิสัยทัศน์ของคุณมุกที่ผลักดันให้ครอบครัวยอมรับการขยายช่องทางธุรกิจบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรีตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นได้กลายเป็นการเตรียมความพร้อมที่สำคัญ ทำให้ร้านสามารถพึ่งพาช่องทางเดลิเวอรีได้ทันทีเมื่อเกิดการล็อกดาวน์   และการเปลี่ยนแปลงนี้ยังนำมาสู่การรีแบรนด์และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่เหมาะกับการจัดส่ง ที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้ากลุ่มใหม่บนแอปพลิเคชัน และให้ความสะดวกในกลุ่มลูกค้าประจำรุ่นเก่าที่มาซื้อหน้าร้าน ส่งผลให้ร้านล้งเล้งฯ สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ไปพร้อมกันได้   ขณะเดียวกัน ร้านยังมุ่งช่องทางเดลิเวอรีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเข้าร่วมแคมเปญส่งฟรีกับแกร็บฟู้ด ซึ่งได้ผลตอบรับดีเกินคาด มียอดขายโตขึ้นถึง 40%     เลือกเครื่องมือให้ถูกจังหวะ     อย่างไรก็ตาม แม้การแข่งขันบนแพลตฟอร์มจะดุเดือด แต่ ‘คุณมุก’ ยังมองเห็นโอกาสให้เติบโตได้อีกมาก ด้วยพร้อมที่จะเรียนรู้และอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งการใช้เครื่องมือการตลาดบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี เพื่อต่อยอดจุดแข็งของร้านต่อไป   โดยเฉพาะบนแกร็บฟู้ด ซึ่งมีเครื่องมือการตลาดหลากหลายให้เลือกใช้ได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะกับทั้งจังหวะและขนาดของธุรกิจ ซึ่ง ‘คุณมุก’ สนใจเลือกใช้เครื่องมืออย่าง Search Ads ของ GrabAds เพราะใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และเห็นผลชัดเจนในการเพิ่มการมองเห็นและสร้างทราฟิกให้ร้าน   เธอเชื่อว่าหากได้เรียนรู้และใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างจริงจัง จะยิ่งช่วยต่อยอดความสำเร็จของล้งเล้งและเพิ่มยอดในช่องทางเดลิเวอรีได้อีกมาก     คุณมุก กล่าวว่า “สิ่งที่ขับเคลื่อนเราคือความสุขที่ได้สานต่อธุรกิจของครอบครัว และความตั้งใจจะต่อยอดให้ร้านยืนหยัดได้อย่างยั่งยืน”   พร้อมดทิ้งท้ายให้กำลังใจผู้ประกอบการที่กำลังเผชิญความท้าทายว่า ให้มองเป็นเพียงอีกหนึ่งบททดสอบที่เราต้องเจอ ‘ทุกวงจรของธุรกิจมี Cycle ของมัน และรอบนี้ก็เป็นบททดสอบหนึ่ง ขอให้เราทำให้ดีที่สุด อดทนและอย่าท้อกับอุปสรรค ไม่หยุดที่จะปรับตัวไปกับความเปลี่ยนแปลง เราก็จะผ่านไปได้และเก่งขึ้น’   เรื่องราวของ ‘ล้งเล้งลูกชิ้นปลา’ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คุณภาพที่คงเส้นคงวา ความจริงใจที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาในแบบฉบับของตัวเอง คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่ยังสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเผชิญกับความท้าทายในรูปแบบใดก็ตาม     อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง   แกร็บฟู้ด บอก ‘ทาร์ตไข่’ ยอดสั่งโตพุ่ง80% ดึง ‘YOLK’ ทำโปรเจกต์พิเศษ เช็กอินกินเที่ยว ‘แกร็บ x ททท.’ ชวน Gen Z สัมผัสอาร์ตเดสติเนชั่น 5 เมือง         Alternate-X สรุปให้   ‘ล้งเล้งลูกชิ้นปลา’ ร้านสตรีทฟู้ดย่านบรรทัดทองกว่า 40 ปี เดินหน้าปรับตัวสู่ยุคใหม่ภายใต้การบริหารของทายาทรุ่นสอง ‘คุณมุก มุกรวี’ ที่นำกลยุทธ์เดลิเวอรีและช่องทางออนไลน์เข้ามาเสริมธุรกิจ พร้อมใช้ GrabFood และเครื่องมือ GrabAds ช่วยเพิ่มยอดขายกว่า 40% หลังวิกฤตโควิด ขณะเดียวกันยังคงรักษาคุณภาพรสชาติและพัฒนาแพ็กเกจจิ้งให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล เรื่องราวของล้งเล้งฯ จึงเป็นตัวอย่างของ SME ไทยที่อยู่รอดและเติบโตได้ ด้วยหัวใจแห่งการไม่หยุดปรับตัวและเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง.

October 7, 2025 / 0 Comments
read more

พราวฯ ร่วมวงอสังหาภูเก็ต รับอนาคตเมืองคริปโทฯ-เวลเนสระดับโลก ทำแบรนเด็ดฯ เจาะนักลงทุน

BizKet

พราว เรียล เอสเตท (PROUD) มองตลาดอสังหาฯภูเก็ต โตแรงตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดรับปลายทางเมืองเที่ยวดิจิทัล-เวลเนสระดับโลก ส่งโปรเจกต์ InterContinental Phuket Resort The Residences มูลค่า 2,500 ล้านบาท สวนตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว   พสุ ลิปตพัลลภ และ พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัทพราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD ผู้พัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ ร่วมเปิดเผยว่า กลุ่ม PROUD ขยายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต ด้วยมองเห็นโอกาสและศักยภาพทางจังหวัดที่กำลังเติบโตตามแผนแม่บทพัฒนาเศรษฐกิจที่วางให้ ‘ภูเก็ต’ เป็นเมืองจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทางการแพทย์และเชิงสุขภาพระดับโลก จากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐได้วางแผนลงทุนก่อสร้างต่อเนื่อง   โดยเฉพาะโครงการทดลองนำร่อง (Sandbox) ตามนโยบาย เปย์เมนต์ ดิจิทัล เกตเวย์ (Payment Digital Gateway) เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้อยู่อาศัย นักลงทุน และนักเดินทางท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ในการใช้จ่ายสกุลเงินดิจิทัล (คริปโท เคอเรนซี) ในรูปแบบต่างๆ อาทิ สเตเบิล คอยน์ (Stablecoin) ให้สามารถนำมาใช้แลกเปลี่ยนในสินทรัพย์คงที่ได้เป็นต้น   “นโยบายดังกล่าว คาดกำหนดมูลค่าการใช้จ่ายดิจิต เปย์ ในกลุ่มทัวริสต์อยู่ที่ 50,000-500,000 แสนบาท ซึ่งเริ่มไปแล้วเมื่อ 1 กันยายน ที่ผ่านมา”       เศรษฐกิจภูเก็ตโต 20%     พสุ กล่าวว่า แม้ในปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังไทยจะลดลงราว -7.5% ในครึ่งแรกของปี2568 เทียบกับครึ่งแรกของปี 2567  (YoY) ส่วนนักเดินทางชาวจีนมาไทยลดลง -31.2% (YoY) แต่ข้อมูลจากท่าอากาศยานภูเก็ต พบว่ามีนักเดินทางจากชาติอื่น อาทิ อินเดีย และตะวันออกกลาง เข้ามาเพิ่มทดแทนมีอัตราเติบโต +5.6%   “ขณะที่ภาพรวมตลาดท่องเที่ยวลดลง แต่ภูเก็ตยังเป็นตลาดที่ฟื้นตัวกลับมาได้ โดยในปี2567 จีดีพีภูเก็ตเติบโตถึง 20% และคาดว่าในปีนี้จะยังเติบโตในอัตราสองหลัก โดยในช่วงหลังออกจากสถานการณ์โควิดภูเก็ตเติบโตสูงถึง 30%”   อสังหาฯภูเก็ต ชะลอเติบโต     พสุ  กล่าวต่อถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตในครึ่งปีแรก 2568 ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมที่ลดลงทั้งด้านอุปทาน (Supply) จากการเปิดตัวใหม่ และอุปสงค์ (Demand) ในขณะที่ตลาดวิลล่ายังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น แต่ยอดขายก็ยังชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา   โดยภาพรวมอสังหาฯ ภูเก็ตช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ดังนี้   1.ตลาดคอนโดมิเนียม มีโครงการเปิดตัวใหม่ (Newly Launched) ลดลง -37.5% เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังปี 2567 (H-o-H) ซึ่งลดลง -25.3% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปี 2567 (Y-o-Y)  มียอดขาย (Unit Sold) 3,711 ยูนิต ในครึ่งปีแรก 2568 ลดลง -29.4% เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังปี 2567 (H-o-H) ลดลง -41.5% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปี 2567 (Y-o-Y)     “แม้จะมีการขายออกไปจำนวนมาก แต่ยอดขายโดยรวมก็ลดลงเมื่อเทียบกับการช่วงเวลาก่อนหน้า”     2.ตลาดวิลล่า (VILLA) มีความยืดหยุ่นกว่าตลาดคอนโดมิเนียมเล็กน้อย แต่ก็ยังคงชะลอตัว มีโครงการเปิดตัวใหม่ (Newly Launched) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 48% เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังปี 2567 (H-o-H) เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปี 2567 (Y-o-Y) ยอดขาย (Unit Sold) 397 ยูนิต ในครึ่งปีแรก 2568 ลดลง -21.9% เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังปี 2567 (H-o-H)   “ยอดขายวิลล่าลดลงเล็กน้อย สะท้อนถึงการชะลอการตัดสินใจซื้อในกลุ่มลูกค้าระดับสูง”         ปักหมุดแบรนเด็ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต       จากภาพรวมดังกล่าว บริษัทฯ พัฒนาโครงการอสังหาฯที่อยู่อาศัย (Branded Residences) ล่าสุดในโครงการ อินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ต เดอะ เรสซิเดนเซส (InterContinental Phuket Resort The Residences)  จากก่อนหน้าร่วมพัฒนาโครงการแรกของ PROUD ภายใต้แบรนด์  InterContinental Residences Hus Hin อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์     สำหรับโครงการ InterContinental Branded Residences จังหวัดภูเก็ตของบริษัทฯ ตั้งอยู่บนทำเลหาดกมลา มีมูลค่าการลงทุนราว 2,500 ล้านบาท (ประมาณ 77 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกา) พัฒนาภายใต้แนวคิด ‘Live Beyond Boundaries in Paradise’ จำนวนจำกัด 111 ยูนิต พร้อมเชื่อมต่อด้านบริการโรงแรมระดับกุญแจมิชลิน (MICHELIN 2 Keys) และสิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกับแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ต     โดยโครงการฯ มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ 1 ห้องนอนขนาด 58 ตร.ม. จนถึงเพนต์เฮ้าส์หรู 5 ห้องนอน ขนาด 425 ตร.ม. พร้อมเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม วางราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท หรือราว 2.5-3 แสนบาท/ตร.ม.  รองรับกลุ่มเป้าหมายหลักนักลงทุน แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 80%-90% และคนไทย 10-20%   จากปัจจัยบวกการเติบโตทางเศรษฐกิจในจังหวัดภูเก็ต จะเป็นโอกาสของตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะกลุ่มแบรนดเด็ด เรสซิเดนเซส ที่ยังมีดีมานด์ความต้องการเพื่ออยู่อาศัยการพักผ่อนและอยู่ระยะยาว โดยโครงการฯยังทำตลาดในรูปแบบ ลีสโฮลด์ (Leasehold) สิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว 30 ปีตามกฎหมายระบุด้วย   จากปัจจุบันภาพรวมตลาดเช่าอสังหาฯ ในภูเก็ต มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield) ราว 7-11% มีราคาพื้นที่ขายเฉลี่ยกว่า 2 แสนบาท/ตร.ม.       อนึ่ง บริษัท กมลา แอสเซนด์ จำกัด ถือเป็นเจ้าของและผู้พัฒนาโครงการ The Residences at InterContinental Phuket Resort ในปัจจุบัน พร้อมการทำตลาด และการขายยูนิตโครงการฯ     Alternate-X สรุปให้      พราว เรียล เอสเตท (PROUD) เดินหน้าขยายพอร์ตลงทุนภูเก็ต มูลค่าโครงการกว่า 2,500 ล้านบาท เปิดตัว ‘InterContinental Phuket Resort The Residences’ Branded Residences หรูระดับโลก จับเทรนด์ภูเก็ตโตแรง 20% และโอกาสจากนโยบาย Payment Digital Gateway Sandbox และจุดหมายปลายทางด้านเวลเนส แม้ตลาดคอนโดชะลอ แต่วิลล่าและโครงการแบรนด์หรูยังคงมีดีมานด์จากนักลงทุนต่างชาติ โดยโครงการฯ ใช้แนวคิด ‘Live Beyond Boundaries in Paradise’ ตอบโจทย์กลุ่มพรีเมียมและลีสโฮลด์ระยะยาว

October 7, 2025 / 0 Comments
read more

กลยุทธ์ใหม่ ‘KFC’ ไทย ประกาศรับ ‘ลูกค้าสายลับ’ ชวนจับโป๊ะบริการพนักงานสาขา

BizKet

เคเอฟซี ประเทศไทย กับกลยุทธ์ ‘คัสโคเมอร์-ดริฟเว่น อิมพรูฟเมนต์’ ดึงพฤติกรรมเชิงลึกลูกค้าสร้างคลิปไวรัล จับผิดพนักงานบริการสาขา เป็น ‘วินเกม’ทั้งแบรนด์และผู้บริโภค   ซูเฮล ลิมบาดะ หัวหน้าฝ่ายการตลาดและ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดเคเอฟซี ประเทศไทย (Market Lead & Chief Marketing Officer KFC) กล่าวว่า ‘เคเอฟซี เข้ามาทำตลาดในไทยเป็นเวลา 41 ปี ด้วยแนวทางการให้บริการผู้บริโภคคนไทยผ่านเทคนิคได้ใจลูกค้าเเบบลูกรักผู้พัน เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าตั้งแต่ก้าวเข้ามาใช้บริการที่เคเอฟซี เพื่อการเป็นแบรนด์ร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ที่อยู่ในใจลูกค้าชาวไทยมาโดยตลอด   โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ คือ Customer-Driven Improvement การฟังเสียงของลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาการบริการ ล่าสุด เคเอฟซี ประเทศไทย จัดกิจกรรมการตลาดภายใต้แคมเปญ ‘ภารกิจลูกค้าสายลับจับเซอร์วิส KFC (Secret Agent Challenge)’ เพื่อยกระดับการบริการให้ได้ใจลูกค้ายิ่งขึ้นและสร้างความผูกพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ร่วมเป็นลูกค้าสายลับ พร้อมลุ้นรับรางวัลเงินสด มูลค่า 30,000 บาท* โดยปฎิบัติ 2 ขั้นตอน ดังนี้       1.ครีเอทวิดีโอสั้น ‘ลูกค้าสายลับ Check!’ ร่วมทำคลิปวิดีโอ** แต่งกายเป็นลูกค้าสายลับด้วยชุดสุดครีเอทีฟในหัวข้อ ‘ลูกค้าสายลับจับเซอร์วิส KFC’ พร้อมกล่าวสโลแกนเชิงสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับการจับเซอร์วิสของพนักงาน KFC เช่น   โปรดระวัง! ไดโนเสาร์ พันธุ์หิวไก่ซอรัส อยากออกไปจับเซอร์วิส KFC โซมัช โดยคลิปวิดีโอต้องมีความยาวไม่เกิน 2 นาที และโพสต์ลงในช่องทาง TikTok ส่วนตัวของผู้ร่วมกิจกรรม พร้อมตั้งค่า TikTok เป็นสาธารณะ และแท็กช่อง TikTok @KFCThailand พร้อมติดแฮชแท็ก #ลูกค้าสายลับจับเซอร์วิสKFC     2.ปฏิบัติภารกิจสายลับที่ร้าน เพียงซื้อสินค้าและใช้บริการที่ร้าน KFC สาขาใดก็ได้ และประเมินการให้บริการของพนักงาน KFC ผ่านการสแกน QR Code ที่ท้ายใบเสร็จ และต้องเขียนรหัส 5 หลักที่ได้รับหลังการประเมิน ที่อยู่ด้านล่างของหน้าสุดท้ายของการประเมินเมื่อทำการประเมินเสร็จสมบูรณ์ลงบนใบเสร็จที่ได้รับในระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2568   พร้อมถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานหากต้องการเข้าร่วมกิจกรรมลุ้นได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกรับวิงซ์แซ่บฟรี 2 ชิ้น เมื่อซื้อสินค้า KFC ครบ 100 บาทในครั้งถัดไป เพียงประเมินการให้บริการของพนักงาน KFC ผ่านการสแกน QR Code ที่ท้ายใบเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ออกใบเสร็จ โดย ผู้ร่วมกิจกรรมที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขและกติกาการร่วมกิจกรรมครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2568 เวลา 00.00 น. – 30 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23:59 น. และตรงตามเกณฑ์การตัดสินของ KFC มากที่สุด มีสิทธิ์ลุ้นรับเงินรางวัลจำนวน 30,000 บาท จำนวน 1 รางวัล     ซูเฮล กล่าวว่า แคมเปญฯ นี้สร้างขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่ให้ลูกค้าเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสะท้อนความคิดเห็นอย่างเปิดเผยและมีส่วนร่วมอย่างสนุกสนาน พร้อมนำความต้องการเชิงลึก (Insight) ไปพัฒนาทักษะของพนักงาน ยกระดับมาตรฐานการบริการ และมอบประสบการณ์ที่ ‘ได้ใจ’ ลูกค้าในทุกมิติ   ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าว ยังเป็นการผสมผสานประสบการณ์ผู้บริโภคจากออนไลน์สู่หน้าร้านสาขา Online-to-Offline (O2O) Experience ระหว่างการใช้บริการที่ร้านและการสร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ที่เข้ามาตอบโจทย์เทรนด์การตลาดที่ผู้บริโภค Gen Z ชื่นชอบด้วย     *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด **ไม่อนุญาตให้ถ่ายคลิปในร้านหรือบริเวณร้าน KFC โดยเด็ดขาด     อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง  ‘KFC’ เล่นใหญ่ ส่งเมนูใหม่ท้ายปี ‘ชิซซ่า’ ขวัญใจชาวเจนฯZ รับจบในร้านเดียวได้กินทั้งไก่-พิซซ่า ‘Brainrot Marketing’ ทำไมคอนเทนต์ไร้สาระถึงขายได้? เจาะกลยุทธ์ไวรัลที่ Gen Z หยุดไถไม่ได้ เคเอฟซี มีเซอร์ไพรส์ อิ่มไก่แล้วแจกของอีก ขนกลับได้หมด ชาม ช้อน เก้าอี้ ในร้าน     Alternate-X สรุปให้        KFC ประเทศไทยย้ำกลยุทธ์ ‘Customer-Driven Improvement’ ให้ลูกค้าร่วมพัฒนาการบริการ จัดกิจกรรม ‘ลูกค้าสายลับจับเซอร์วิส KFC’ ชวนผู้บริโภคสร้างคลิปรีวิวไวรัล ดึงอินไซต์ Gen Z ที่ชื่นชอบการถ่ายคลิปและแชร์คอนเทนต์บน TikTok แบรนด์ใช้ข้อมูลรีวิวจริงพัฒนาทักษะพนักงาน เพิ่มมาตรฐานบริการทั่วประเทศ จัดเป็นแคมเปญที่สร้างทั้ง Engagement, Feedback และ Trust ให้แบรนด์แบบ Win-Win  

October 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘ครีเอเตอร์’ เข้าสู่ยุคใหม่ แบรนด์ไม่สนยอดฟอล-ขอคุณภาพ ‘รีวิว’ โตแรง-วัย 45+ เข้าตลาดอินฟลูฯเพิ่ม

BizKet

เทลสกอร์ มองปี 69 ยังไม่อวสานอินฟลูฯ แต่ต้องปรับทักษะหลังเอไอมาเป็นผู้ช่วยไลฟ์ขาย 24 ชั่วโมง ชี้เข้าสู่ยุค ‘คอมมูนิตี้’ ลูกค้าโหยหา ‘ฮิวแมน ทัช’ ความเชื่อใจ   สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทเทลสกอร์ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2568 -2569 เศรษฐกิจยังมีความท้าทาย แน่นอนว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ ดิจิทัล (Digital Creator) ของไทย ซึ่งในยุคถัดไปจากนี้ เหล่าครีเอตอร์จะเข้าสู่การรวมกลุ่มเพื่อสร้างชุมชน (Community) ที่มีความสนใจเฉพาะด้าน หลังจากปัญญาประดิษฐ์ AI เข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ช่วยครีเอเตอร์ แบรนด์สินค้า ในการทำตลาดออนไลน์มากขึ้น     “เมื่อเอไอเข้ามา ผู้คนจะมองหาความเชื่อมั่น Trust Factor หรือความเป็นมนุษย์แท้ Human Touch มากขึ้น ซึ่งครีเอเตอร์ และแบรนด์จะต้องเชื่อมโยงระหว่างเอไอในฐานะผู้ช่วยทำหน้าที่ไลฟ์ขายสินค้า ขณะที่คนจริงจะเข้ามาสนับสนุนผ่านคอมมูนิตี้”   อวสานอินฟูลฯ ?     สุวิตา กล่าวต่อถึงแนวโน้มการสิ้นสุดของเหล่าอินฟูลเอ็นเซอร์ หรือ ผู้มีอิทธิพลในสื่อโซเชียลต่อกลุ่มเป้าหมายในสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา อาจแบ่งสถานการณ์ได้ออกเป็น 2 ประเด็น คือ   1.การเติบโตตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์ เริ่มอิ่มตัว (Mature) และจะเผชิญกับท้าทายมากขึ้นเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา จากการเข้ามาของเอไอ ในฐานะเครื่องมือช่วยไลฟ์ขายสินค้าแทนมนุษย์ โดยแนวทางออกในด้านนี้ คือ การทำคอนเทนต์เพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งมองว่าคอนเทนต์กลุ่มท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มขยายตัวสูงในอนาคต เช่นที่ผ่านมา มีการผลิตคอนเทนต์การท่องเที่ยวญี่ปุ่นและไทย จากครีเอเตอร์ต่างๆ     “มนุษย์อาจต้องปล่อยให้เอไอ ทำงานไลฟ์แทนได้แบบ 24 ชั่วโมง ขณะที่คนหรือเจ้าของสินค้า จะทำหน้าที่คิดคอนเทนต์ สร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ซึ่งเป็นจุดเด่นของครีเอเตอร์ไทย เพื่อทำงานร่วมกับแบรนด์”     2.การเติบโตตลาดรีวิว (Reviewing) จะขยายความต้องการด้านความเชื่อมั่นมนุษย์ (Human Touch) เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกับเอไอเช่นกัน ในรูปแบบการสนับสนุน เอไอ ครีเอเตอร์ (Support AI creator)   “ปี68 เริ่มมีแบรนด์ จ้างครีเอเตอร์ตรงโดยเฉพาะกลุ่มไมโครอินฟลูฯ กว่าร้อยคนในการทำงานร่วมกันมากขึ้น  เพื่อให้ผลิตคอนเทนต์ออกมาจากนั้นอาจมีการซื้อขาดค่าคอนเทนต์ในครั้งเดียว เพื่อแบรนด์นำไปใช้ซ้ำได้ต่อไปเรื่อย ซึ่งเป็นแนวทางการลดต้นทุนของแบรนด์ในปีนี้”       จำนวนยอดฟอลไม่ใช่ประเด็น     นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มน่าสนใจระหว่างการทำงานของแบรนด์สินค้าร่วมกับอินฟลูฯ ในขณะนี้ คือ  ‘ความยากขึ้น’ ในการสร้างยอดขายสินค้าจากการไลฟ์ที่ไม่ได้จากมืออาชีพ หรือ เป็นผู้มีประสบการณ์ ทักษะการขายมาก่อนหน้า     “หากเป็นอินฟลูฯหน้าใหม่ไม่มีทักษะการขาย หรือปากแจ๋วมาก่อน การจะไลฟ์ให้ได้ยอดขายเข้ามาราว 5,000 บาทต่อเดือนไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว”     อย่างไรก็ตาม หากทำวิดีโอ คลิป ติดตระกร้าสินค้าในช่องของตัวเองจะยังได้การตอบรับดีอยู่ในตลาดโซเชียลคอมเมิร์ซ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างจริงจังในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตลาดนี้ยังมีความแตกต่างไปจากจีนที่มีการเติบโตของตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์ มากกว่า   สุวิตา กล่าวต่อ ถึงการเกิดขึ้นของครีเอเตอร์ ซับ-คัลเจอร์ ที่กำลังเข้ามามีบทบาทและเติบโตในปัจจุบัน ขณะที่จำนวนผู้ติดตามช่องต่าง ๆ ที่มีอยู่กำลังจะลดลด ตามพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่มีความเป็นปัจเจกและอิสระ (Independent) มากขึ้น ขณะที่แบรนด์จะมองว่ายอดผู้ติดตามหลัก5-10 ล้านฟอลโลว์เออร์ ไม่ใช่ประเด็น โดยแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์อย่าง ติ๊กต็อก, ยูทูบ ที่ใช้คอนเทนต์วิดีโอยังครองตลาดอยู่     “ตลาดนี้ยังมีความเช็กซี่ อยู่ที่ครีเอเตอร์ไทยจะไปหาน่านน้ำใหม่ที่แตกต่างในการสร้างตัวตนเพื่อทำตลาด และในเร็วๆนี้อาจจะได้เห็นแพลตฟอร์มสื่อโซเชียลและอีคอมเมิร์ซจีน เสี่ยวหงซู (Xiaohongshu) เข้ามาตั้งสำนักงานทำตลาดในไทย”     4 กลุ่มครีเอเตอร์มาในปี2569     สำหรับแนวโน้มอินฟลูฯ ที่มาแรงในปี 2569 มี 4 กลุ่มน่าสนใจ คือ   กลุ่มเด็ก (Childs) กลุ่มสัตว์เลี้ยง (Pets) กลุ่มนักข่าว (News Creator) สายนักวิเคราะห์ (Openion) แสดงความคิดเห็นต่อประเด็น, สถานการณ์ในกระแส กลุ่มวัฒนธรรมย่อย (Sub-Culture) บอกเล่าเรื่องราวเฉพาะกลุ่มตามความสนใจนั้นๆ   ขณะที่ แนวทางกลุ่มคอนเทนต์ผลิตภัณฑ์ที่เติบโตในปีหน้า อาทิ สายสุขภาพเพื่อชีวิตยั่งยืน (Longevity)  เพื่องรองรับการเป็นจุดหมายปลายทางด้านบริการทางการแพทย์และสุขภาพของไทย , สายการเงิน, เครื่องสำอาง, ท่องเที่ยว เป็นต้น     อินฟลูฯ รุ่นใหญ่เข้าตลาดเพิ่ม     อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจและการทำตลาดในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ครีเอเตอร์ไทยจะต้องไม่ยอมแพ้ ใช้ความอดทนเพื่อยืนต่อไปในระยะยาว พร้อมเปิดใจรับฟังและพัฒนาตัวเองต่อไป เพื่อเสริมจุดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์ ของครีเอเตอร์ไทยที่แตกต่างไปจากประเทศอื่น   สุวิตา กล่าวต่อถึงแนวโน้มเกษียณอายุงานในอายุ 45 ปี อาจเป็นปัจจัยผลักดันให้คนวัยทำงานตอนกลาง-ปลายอายุ 40-45 ปี เข้าสู่ตลาดอินฟลูฯ ในฐานะครีเอเตอร์เข้ามาสร้างช่องเกี่ยวกับเนื้อหาบอกเล่า ประสบการณ์มีจำนวนเพิ่มขึ้น เช่นกัน โดยตลาดอินฟลูฯ ในปี 2568 คาดมีแนวโน้มเติบโต 15% จากในปี 2567 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 20%       ความท้าทายเอไอ-ภาษา   สุวิตา กล่าวต่อ ถึงแนวโน้มการข้ามาของเอไอ อาจจะยังได้เห็นภาคต่อในอนาคตการเกิดขึ้น ‘AgenticAI’ ในฐานะผู้ช่วยแบรนด์ทั้งการโต้ตอบติดต่อระหว่างซัพพลายเออร์ หรือ เปิด/ปิดการขายได้นั้น  ซึ่งจะอยู่ที่ว่า “ใครจะเปิดหัวหาดก่อน” ซึ่งรวมไปถึงการใช้ Autonomous AI ปัญญาประดิษฐ์อัตโนมัติ ซึ่งในประเทศจีน เริ่มนำมามีบทบาทในการขายสินค้าแล้ว   จากสถานการณ์ดังกล่าว ยังจะเข้ามามีบทบาทสูงขึ้นในสังคมสื่อออนไลน์ประเทศไทยนับจากนี้ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งครีเอเตอร์ แบรนด์ แพลตฟอร์ม รวมถึงหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลในเบื้องต้น ยิ่งต้องมีส่วนร่วมในการผลิตคอนเทนต์เพื่อรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือ บิดเบือน (Fake News) ที่กระจายสู่สาธารณะ   นอกจากนี้ ยังรวมถึงความรับผิดชอบส่วนตัวของครีเอเตอร์ และ กลุ่มวิชาชีพสื่อ ที่จะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา (IP) จากใช้เนื้อหาข้อมูลของอีกฝ่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตระหว่างกัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ของช่องตัวเอง เป็นต้น   ขณะที่ความท้าทายของการสร้างสรรค์คอนเทนต์เพื่อการส่งออกของครีเอเตอร์ไทย คือ ‘ด้านภาษา’ ที่จะต้องเร่งพัฒนาทักษะเฉพาะตัวอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับความเชี่ยวชาญการใช้คำสั่งชุดข้อมูลของเอไอ (AI Prompt) เพื่อนำมาใช้ร่วมกับการพัฒนาคอนเทนต์ในอนาคต     Alternate-X สรุปให้      ปี 2568–2569 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการครีเอเตอร์ไทย หลังการเข้ามาของ AI เปลี่ยนรูปแบบการสร้างคอนเทนต์และการขายสินค้า ขณะที่ครีเอเตอร์ต้องสร้างความเชื่อมั่น (Trust Factor) และความเป็นมนุษย์มากขึ้น โดยเทรนด์ใหม่ คือ คอมมูนิตี้เฉพาะกลุ่มและคอนเทนต์ส่งออกสู่ตลาดโลก งานนี้ แบรนด์และครีเอเตอร์ต้องทำงานร่วมกับ AI เพื่ออยู่รอดในตลาดอนาคต      

October 5, 2025 / 0 Comments
read more

เซ็นทรัลกระบี่ สาขาที่ 44 ของเซ็นทรัลฯ โมเดลมิกซ์ยูสยั่งยืน ทำเลยุทธศาสตร์ล้อมแรงซื้อภาคใต้

BizKet

เซ็นทรัลพัฒนา เปิด ‘เซ็นทรัล กระบี่’  ดีเดย์ 24 ต.ค. 68 ต้นแบบมิกซ์ยูสยั่งยืนเมืองท่องเที่ยว ดึง 300 ร้านค้าแบรนด์โลกอยู่รวมชุมชน ต้นแบบไลฟ์สไตล์ช้อปปิง   ในวันที่ 24 ตุลาคม 2568 คือ ฤกษ์เปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัลกระบี่ ภายใต้บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น (CPN) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ของกลุ่มเซ็นทรัล   สำหรับเซ็นทรัลกระบี่ เป็นสาขาลำดับที่ 44 ของซีพีเอ็นเพื่อปักหมุดให้โครงการฯ เป็นแลนด์มาร์กใหม่ในภาคใต้ ด้วยงบการลงทุนโครงการกว่า 4,500 ล้านบาท บนที่ดินกว่า 114 ไร่   โดย เซ็นทรัลกระบี่ เป็นโครงการรูปแบบ ‘มิกซ์ยูส’ ที่นำทั้งศูนย์การค้า ที่พักอาศัยระดับเรสซิเดนซ์ และโรงแรม เข้าไว้ด้วยกันอย่างครบวงจร ภายใต้แนวคิด ‘Sustainable Lifestyle Hub’ เน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติ การใช้พลังงานหมุนเวียน และการเลือกวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมนำเสนอเอกลักษณ์ท้องถิ่นผ่านแนวคิด “Made by Krabi”   ในส่วนของพื้นที่ค้าปลีก (GBA) มีขนาดกว่า 86,609 ตร.ม. ใช้แรงบันดาลใจจาก ‘ทุกความเป็นกระบี่’ สู่ศูนย์การค้าที่ออกแบบเพื่อชุมชน โดยรวบรวมร้านค้าทั้งแบรนด์ดังไทยและระดับโลกกว่า 300 แบรนด์ และร้านท้องถิ่นคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์และมอบประสบการณ์ใหม่ด้านไลฟ์สไตล์ เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพจากทั่วโลก อาทิ   Adidas, Bearhouse,Beautrium, Bonchon, Crocs, Fuji, Gaga, Good Goods, HarborLand, Insoul Halal, iStudio, Jian Cha, Jetts Fitness, Jim Thompson, KKV, Lush, Mandarin Suki, Miniso, Much & Mellow, Nuh, Potato Corner, Prime Burger, Shabushi, Souri และ  Starbucks เป็นต้น   โดย ประกอบด้วย 5 โซนหลัก ได้แก่   Krabi Bay Beachwalk Palm Square Fisherman’s Village Andaman Market   นอกจากนี้ เซ็นทรัล กระบี่ ยังเป็นศูนย์การค้าแรกในไทยที่จะขอรับรอง EDGE certification – Zero level พร้อมติดตั้งโซลาร์เซลล์บนพื้นที่กว่า 14,400 ตารางเมตร การใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) การบริหารจัดการขยะด้วยแนวคิด Upcycling ที่หมุนเวียนนำขยะและวัสดุเหลือใช้มาเพิ่มมูลค่าเป็นวัสดุในการก่อสร้างอาคารและถนน รวมไปของที่ระลึก ตลอดจนการสร้างสรรค์โครงการ CSV ร่วมกับชุมชนเพื่อสร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับพื้นที่ พร้อมร่วมมือกับร้านค้าในโครงการ Green Partnership ผลักดันแนวคิด Green Collaboration อย่างเป็นรูปธรรม   พร้อมกันนี้ ซีพีเอ็น ยังเปิดตัว ‘บ้านนินญา กระบี่’ โครงการที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรีใจกลางเมือง ชูจุดเด่นด้านทำเลที่มอบประสบการณ์การพักผ่อน ในวิลล่าระดับหรูสไตล์รีสอร์ท ด้วยทิวทัศน์ภูเขา พร้อม Grand Clubhouse สระว่ายน้ำ Infinity Edge และฟิตเนส ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย 7 ระดับจากเซ็นทรัลพัฒนา โดย เปิดให้เข้าชมโครงการแบบเอ็กซ์คลูซีฟครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 30-31 สิงหาคม ที่ผ่านมา     คุมทำเลเศรษฐกิจท่องเที่ยว   ต่อการเข้ามาลงทุนครั้งใหญ่ของเซ็นทรัลในกระบี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญภาคใต้ของไทย มีรายได้ทางการท่องเที่ยวสูง และมีศักยภาพการเติบโตของนักท่องเที่ยวทั้งในและระหว่างประเทศ   โดยผู้บริหารซีพีเอ็น เคยกล่าวว่า โครงการมิกซ์ยูสแห่งนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจภายในจังหวัด สร้างจุดหมายใหม่ให้ผู้บริโภคท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ด้วยตำแหน่งของที่ตั้งโครงการ บนถนนเพชรเกษม (Highway 4) ระหว่างตลาด Makro และแยกมหาราช อยู่ในแนวเส้นทางผ่านของผู้เดินทาง     ขณะทีการเติบโตทางเศรษฐกิจของกระบี่ ปัจจุบันพึ่งพารายได้จากเกษตรกรรม (ยาง, ปาล์ม) และประมง รวมถึงภาคการท่องเที่ยว เป็นหลัก โดย กระบี่อยู่ในอันดับที่ 5 ของประเทศไทยด้านรายได้จากการท่องเที่ยว (เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น)  จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เดินทางเข้ามาจำนวนมากซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมาราว 4.9 ล้านคน และเคยสูงสุดเกือบ 7 ล้านคนก่อนสถานการณ์โควิด     นอกจากนี้ กระบี่ ยังมีแนวโน้มมีการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ในเขตชายฝั่งและเกาะต่าง ๆ ทั้งโครงการบ้านพักตากอากาศ, วิลล่า, คอนโดที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวและผู้ซื้อที่มองหาบ้านพักรองรับการท่องเที่ยว   สอดคล้องกับแนวคิดของซีพีเอ็น ได้มองโอกาสทางธุรกิจอสังหาฯ ในจังหวัดกระบี่ เป็นอีกหนึ่งตลาดท้องถิ่นที่มีกำลังซื้อศักยภาพสูงทั้งในกลุ่มคหบดี และ ผู้ทำธุรกิจในจังหวัดที่ต้องการที่อยู่อาศัยไปจนถึงสินค้าในระดับลักซูรี่     มิกซ์ยูสต้นแบบ จังหวัดเมืองรอง     สำหรับเซ็นทรัลกระบี่ เป็นโครงการมิกซ์ยูส ต้นแบบในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวหลัก รวมที่อยู่อาศัย โรงแรม ค้าปลีก และความยั่งยืน และเป็นศูนย์การค้า สาขาลำดับที่ 44 ของเซ็นทรัล เป็นสาขาในจังหวัดที่ 4 ของภาคใต้ จากก่อนหน้าเปิดให้บริการศูนย์การค้าเซ็นทรัล ในจังหวัดต่างๆ ที่วางตำแหน่งทางการตลาดแตกต่างออกไป   เซ็นทรัลภูเก็ต แบ่งเป็น 3 อาคาร คือ เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า (Central Phuket Floresta), เซ็นทรัล ภูเก็ต เฟสติวัล (Central Phuket Festival), และ เซ็นทรัล ภูเก็ต อีสต์ (Central Phuket East) วางตำแหน่งเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่รองรับนักท่องเที่ยวนานาชาติและตลาดคนภูเก็ตทั่วไป เซ็นทรัลสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นสาขาเน้นพื้นที่ท่องเที่ยว ด้วยมิติการให้บริการสูงสำหรับนักท่องเที่ยว เซ็นทรัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นศูนย์การค้าโฟกัสกำลังซื้อท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวพื้นที่ติดชายแดน พร้อมทำตลาดคอนโดในชื่อ Escent Hatyai และอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงแรม เช่นกัน   เห็นได้ว่าการเปิดสาขาลำดับที่ 44 ล่าสุดเซ็นทรัลกระบี่ ในภาคใต้ครั้งนี้  ซึ่งจะเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คมาเติมเต็มเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกท่องเที่ยวในภาคใต้เพื่อสร้างอำนาจต่อรองจากแบรนด์สินค้าทั้งในและระดับโลกที่นำเข้ามาวางในพื้นที่ จากเดิมที่มีภูเก็ต–สมุย–หาดใหญ่ ทำให้ครอบคลุมเมืองท่องเที่ยวและศูนย์เศรษฐกิจสำคัญครบแกนหลักของภูมิภาค รวมถึงยังได้กำลังซื้อเพิ่มจากพื้นที่ยุทธศาสตร์ฝั่งอันดามันตอนกลาง อีกด้วย ที่ยังไม่นับรวมสิ่งที่ได้ตามมาจากธุรกิจอสังหาฯ และ โรงแรมที่พัก       Alternate-X สรุปให้   เซ็นทรัลพัฒนาเตรียมเปิด ‘เซ็นทรัล กระบี่’ สาขาที่ 44 และแลนด์มาร์กใหม่ของภาคใต้ ในวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ด้วยงบลงทุน 4,500 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 114 ไร่ โครงการนี้เป็นต้นแบบ มิกซ์ยูสยั่งยืน (Sustainable Lifestyle Hub) ที่รวมศูนย์การค้า ที่พักอาศัยลักซ์ชัวรี ‘บ้านนินญา กระบี่’ และโรงแรมเข้าไว้ด้วยกัน โดดเด่นด้วยการออกแบบที่กลมกลืนกับธรรมชาติและนำแนวคิด ESG มาใช้อย่างจริงจัง เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์และการ Upcycling ขยะ ภายในมีร้านค้าไทยและแบรนด์โลกกว่า 300 แบรนด์ โดยใช้เอกลักษณ์ ‘Made by Krabi’ และทำเลยุทธศาสตร์บนถนนเพชรเกษม เพื่อดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวคุณภาพและกำลังซื้อท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูงในพื้นที่เศรษฐกิจท่องเที่ยวอันดับ 5 ของประเทศ

October 4, 2025 / 0 Comments
read more

‘พิลาทิส’ เทรนด์ออกกำลังคนรุ่นใหม่ ‘BellyBurn Pilates Lab’ เปิดสาขาเซ็นทรัลเวิลด์

Peace&Play

‘BellyBurn Pilates Lab’ เผยเทรนด์คนรุ่นใหม่อยากมีความสุขทุกช่วงวัย มุ่งออกกำลังกายเพื่ออนาคตแข็งแรงยืนยาว เปิดสตูดิโอพิลาทิส สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ รับกระแสออกกำลังไลฟ์สไตล์ขยายตัว     ณณาลัลน์ ธนัทสุทธิโรจน์ ผู้ก่อตั้งบริษัท เบลลี่ เบิร์น จำกัด สตูดิโอออกกำลังกาย เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทรนด์ออกกำลังของผู้คนมุ่งคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขไปพร้อมกัน และเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ไปแล้ว พร้อมคำนึงถึง ‘Longevity’ ความแข็งแรงในระยะยาว เพื่อใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในทุกช่วงวัย     “เทรนด์การออกกำลังปัจจุบันได้เปลี่ยนจากการออกกำลังเพื่อสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่กลายเป็นไลฟ์สไตล์การออกกำลังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่”     นอกจากนี้ ยังพบว่า ‘พิลาทิส’ การออกกำลังกายที่เน้นการสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ยังได้รับความนิยมสูงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนทำงานในเมือง ด้วยเป็นรูปแบบการออกกำลังที่ตอบโจทย์ทั้งการสร้างความแข็งแรงอย่างลึกซึ้ง (Deep Strength & Control) และช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ทั้งจากการนั่งทำงานนานๆ หรือการใช้ชีวิตเร่งรีบ   โดยหลักการของ ‘พิลาทิส’ ไม่ใช่แค่การออกกำลัง หรือเพื่อไการยืดเหยียด แต่เป็นการเชื่อมโยงระบบทั้งร่างกาย เน้นการใช้ ‘Power House’ สู่กล้ามเนื้อทุกมัดผ่านการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง และเป็น ‘Mind-body Connection’ ที่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น   ณณลัลน์ กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทฯ วางแผนขยายสาขา  BellyBurn Pilates แห่งที่ 2 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์  จากก่อนหน้าเปิดสาขาแรกย่านรัชดาภิเษก และได้การตอบรับดีจากกระแสดังกล่าว   สำหรับสตูดิโอ BellyBurn Pilates Lab ประกอบไปด้วยพื้นที่ภายในที่มีห้องออกกำลังกาย 2 ห้อง ได้แก่ ห้องสำหรับคลาส Mat Pilates และห้องสำหรับคลาส Caformer มีความพิเศษของคลาสนี้ โดยการนำเครื่อง Caformer มาใช้สำหรับคลาสแบบกลุ่มครั้งแรกในไทย ร่วมกับการใช้แสง สี เสียง เพื่อปรับมู้ดแอนด์โทนคลาสออกกำลังให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ ‘Immersive Experince’   นอกจากนี้ยังร่วมกับ THREE Cosmetics บิวตี้แบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อออกแบบประสบการณ์ครบวงจร ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวไปจนถึงการสร้างกลิ่นภายในสตูดิโอด้วยกลิ่นหอมชาอ่อนๆ พร้อมร่วมมือ FitFlop รองเท้าแตะสัญชาติอังกฤษที่มาช่วยเสริมภาพลักษณ์ของทีมงานและพนักงานภายในสตูดิโอ       สำหรับคลาสพิลาทิสที่เปิดสอนมีให้เลือกด้วยกัน 2 คลาสเรียน ได้แก่ The Caformer Room โดยเครื่อง Caformer The Flex Room เน้นสร้างสมดุลให้ร่างกาย   พร้อม แบ่งออกเป็น 3 ซีรีส์ ได้แก่  1. Burn Series เผาผลาญและปั้นหุ่น 2. Flow Series เคลื่อนไหวแบบลื่นไหลและบาลานซ์ และ 3. Core Series บูสต์ความแข็งแรงจากแกนกลาง   นอกจากนี้ แนวโน้มการออกกำลังดังกล่าว ยังสอดคล้องกับความต้องการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ หลังพบสถิติโรคร้ายและสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับโรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากที่สุด อาทิ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคตับแข็ง หรือแม้กระทั่งภาวะอ้วนลงพุงก็ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่โรค NCDs เช่นกัน โดยโรคดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต   ขณะที่ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า มากกว่า 76% ของสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยล้วนมาจากโรค NCDs ทั้งสิ้น   ทั้งนี้ แนวโน้มโรคร้ายที่เกิดขึ้นนำไปสู่การเติบโตของเทรนด์ออกกำลังกายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการสำรวจของกรมพลศึกษา พบว่า คนไทยมีแนวโน้มหันมาออกกำลังกายสม่ำเสมอเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อ้างอิงจากกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุมากกว่า 15 ปี ออกกำลังกายมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ กลุ่มนี้มีอัตราเติบโตขึ้นเป็น 44.4% จาก 40.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า   ขณะที่ กระแสการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมในขณะนี้จะเน้นไปที่การเสริมความแข็งแรง ปรับบุคลิกภาพ และฟื้นฟูร่างกาย เช่น พิคาทิส และโยคะ โดยเฉพาะ ‘พิลาทิส’ ที่ติดโผคำค้นหาในอินเทอร์เน็ต กลายเป็นเทรนด์ที่ถูกพูดถึงบนโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนว่า ขณะนี้ตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงจากฟิตเนสรูปแบบดั้งเดิม ไปสู่การออกกำลังกายเฉพาะทางมากขึ้น             Alternate-X สรุปให้   เทรนด์ออกกำลังกายเปลี่ยนจากเพื่อสุขภาพ สู่การเป็นไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ‘พิลาทิส’ กลายเป็นคำค้นหายอดฮิต สะท้อนความนิยมที่เติบโตต่อเนื่อง โดยBellyBurn Pilates Lab เปิดสาขา 2 ที่เซ็นทรัลเวิลด์ รับกระแสตลาด พร้อมคลาสออกแบบพิเศษด้วยเครื่อง Caformer และประสบการณ์ Immersive Experience สอดรับกระแสคนไทยหันใส่ใจสุขภาพ เพื่อลดโรค NCDs และยืนยาวอย่างมีคุณภาพ

October 4, 2025 / 0 Comments
read more

คอนโด แรงหนุนหลักพอร์ตอสังหาฯ แสนสิริ โชว์ 9 เดือนปี’68 ยอดขาย 3.9 หมื่นล.

BizKet

‘แสนสิริ’ ฝ่าท้าทายตลาดอสังหาฯปี68 ทำ 7 โครงฯใหม่ 1.8 หมื่นล. เปิด ‘จตุโชติ คอมมูนิตี้’ สร้างสังคมแสนสิริชิงกำลังซื้อตลาดอสังหา กรุงเทพฯโซนเหนือ ยอดขาย 9 เดือนแรกได้แรงหนุนคอนโด พารายได้แตะ 3.9 หมื่นล. วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เปิดเผยว่า ผลดำเนินงาน 9 เดือนแรก (สิ้นสุด 30 กันยายน 2568) บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ตามแผนงานที่ 39,000 ล้านบาท คิดเป็น 74% ของเป้ายอดขายรวมในปี 2568 ที่ตั้งไว้ 53,000 ล้านบาท     “แสนสิริ สร้างยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีกลุ่มคอนโดมิเนียมเป็นแรงหนุนสำคัญ จากการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ได้รับผลตอบรับดีเกินคาด”     สำหรับ โครงการใหม่ที่เปิดเพิ่มในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ได้การตอบรับดีเกินคาด ทำยอดขายรวมได้ 3,400 ล้านบาท อย่าง   วาลเลส เฮาส์ ไวด์เด็น บาย แสนสิริ เซลฟ์ บาย แสนสิริ   นอกจากนี้ เศรษฐสิริ เกาะแก้ว รีทรีต จ.ภูเก็ต มียอดขายรอบ VVIP ได้ราว 30% ของยูนิตทั้งหมด ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ รวมถึงบ้านตัวอย่าง สร้างยอดขายได้กว่า 1,000 ล้านบาท โดย บริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) สูงกว่า 23,000 ล้านบาท   คาดว่าจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ได้ราว 50% โดยมีโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี2568 เพื่อสนับสนุนยอดขายและรับรู้รายได้ทันที 7 โครงการ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท (เดอะ เบส เออร์เบิร์น พระราม 9 (เปิดใหม่พร้อมอยู่), โฟล บาย แสนสิริ, ดีคอนโด คาล์ม รามคำแหง 40, เดอะ มูฟ พอว์ บางแค, แคนวาส เชิงทะเล ภูเก็ต, เมคิน เฮาส์ เชียงใหม่ และดีคอนโด แคมปัส ขอนแก่น)   อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง    ‘LOCATION is KING’ ทำเลที่ใช่ คือ คำตอบ!! ‘The Base พระราม9’ เริ่ม 3.79ลบ. ‘แสนสิริ’ มองตลาดคอนโดกลับสู่สถานการณ์อยู่อาศัยจริง คนเลือกทำเลใกล้ที่ทำงาน-ตลาดเช่ามาแรง ‘แสนสิริ’ เร่งโครงการฯ ทำเลศักยภาพ กรุงเทพฯ–ภูเก็ต รับสัญญาณบวกดอกเบี้ยลด 1.5% ตลาดเช่าอสังหาฯภูเก็ต ขยายตัว พลัสฯโชว์พอร์ต ‘แสนสิริ’ ให้ยีลด์ 6-10% มาพร้อมบริการใหม่ ‘แสนสิริ’ โฟกัส ‘ภูเก็ต’ ใน 5 ปีหน้ามีกว่า55 โครงการ รวมที่แปลงใหญ่สร้างอาณาจักรอสังหาฯ   โดย ในรอบ 9 เดือนของปี 2568 มียอดขาย Sold Out ไปแล้ว 19 โครงการ มูลค่า 21,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนกว่า 60% อยู่ในกลุ่มพรีเมียม และโครงการเตรียม Sold Out อีกกว่า 10 โครงการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง   วิชาญ กล่าวว่า เพื่อรักษาระดับการเติบโตภายใต้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวจากปัจจัยต่างๆ โดยบริษัทฯ ยังคงดำเนินแผนธุรกิจอย่างรัดกุมพร้อมปรับตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ   การปรับจำนวนบ้านพร้อมขายให้สอดคล้องกับอัตราการขายเพื่อบริหารกระแสเงินสดอย่างเหมาะสม การกระจายพอร์ตสินค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ปัจจุบันมีโครงการพร้อมขายกว่า 135 โครงการ   นอกจากนี้ แสนสิริ ยังให้ความสำคัญกับขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน โดยในไตรมาสสุดท้ายของปี แสนสิริเตรียมเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท อาทิ เศรษฐสิริ เกาะแก้ว รีทรีต, บุราสิริ จตุโชติ, สราญสิริ จตุโชติ และคอนโดมิเนียมใหม่บนทำเล กะทู้ ภูเก็ต เพื่อรองรับความต้องการในตลาดเมืองท่องเที่ยว   ขณะเดียวกัน ยังเตรียมเผยโฉม Sansiri Community แห่งใหม่ที่จตุโชติ ชิงเรียลดีมานด์กรุงเทพโซนเหนือ บนพื้นที่ ขนาดใหญ่ 185 ไร่ กับ 2 โครงการแรก คือ บุราสิริ จตุโชติ และสราญสิริ จตุโชติ เปิดพรีเซลล์พร้อมกัน วันที่ 4-5 ตุลาคมนี้   Alternate-X สรุปให้     แสนสิริ ผลงาน 9 เดือนแรกปี 2568 ทำยอดขาย 39,000 ล้านบาท คิดเป็น 74% ของเป้าหมายทั้งปี แรงหนุนหลักมาจากกลุ่มคอนโดมิเนียมและโครงการใหม่ที่ได้รับการตอบรับดีเกินคาด โดยบริษัทยังมี Backlog กว่า 23,000 ล้านบาท พร้อมรับรู้รายได้ต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ขณะที่ไตรมาส 4 เตรียมเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดในทำเลศักยภาพ พร้อมเปิดตัว ‘Sansiri Community จตุโชติ’ พัฒนาเมืองย่อยบนที่ดิน 185 ไร่ ชิงเรียลดีมานด์โซนเหนือกรุงเทพฯ

October 4, 2025 / 0 Comments
read more

คุชแมน รีวิวอสังหาฯ Q3/68 แรงซื้อไทยอ่อนสุดรอบปี ซึมยกแผงค้าปลีก-คอนโด-ออฟฟิศ

BizKet

คุชแมนฯ สแกนเศรษฐกิจไทยโค้งท้ายปี 2568 ปัจจัยลบกระทบบรรยากาศอสังหาฯไทย นักท่องเที่ยวจีนแต่ได้กลุ่มใหม่หนุนตลาดโรงแรม ส่วนนิคมอุตสาหกรรมเป็นดาวเด่น คอนโดฯ ลุ้นแรงซื้อนักลงทุนต่างชาติปีหน้า อาคารสำนักงานเกรดA แข่งขันสูงราคา     แกเร็ธ ไมเคิล พาวเวลล์ (Gareth Michael Powell) ผู้จัดการประจำประเทศไทย (Country Head) บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ ประเทศไทย ในเครือ คุชแมน แอนด์ เวดฟิลด์ ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจของไทยปีนี้ จากหลายสำนักคาดการณ์ GDP จะเติบโตระหว่าง 1.8%-2.3% สะท้อนการชะลอตัวทางเศรษฐกิจไทยเป็นผลมาจาก ภาษีการค้า เงินบาทแข็งค่า ความล่าช้าในการใช้จ่ายภาครัฐ หนี้สาธารณะที่สูง และการท่องเที่ยวที่อ่อนตัวลง ซึ่งทั้งหมดมีผลต่ออุตสาหกรรมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยทั้งกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์ ที่อยู่อาศัยคอนโด โรงแรม และ ค้าปลีก     โรงแรมไลฟ์สไตล์ เจาะเจนฯZ     นรศักดิ์ ศุภกรธนกิจ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุนและการลงทุน คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงกว่า 35% จากข้อมูลล่าสุดถึง 21 กันยายน 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 23.45 ล้านคน ลดลง 7.44% จากปีก่อน   ขณะที่ ธุรกิจโรงแรมและค้าปลีกยังขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการของนักลงทุน โดยโรงแรมแนวไลฟ์สไตล์และบูทีคโฮเทลเป็นดาวเด่น ดึงดูดกลุ่ม Gen Z ที่เน้นประสบการณ์ท่องเที่ยว โดยผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์และดีไซน์สะท้อนความยั่งยืนและความทันสมัย   ส่วนด้านค้าปลีก โครงการใหม่พัฒนาเป็น ‘ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์’ มากกว่าพื้นที่ขายสินค้า โดยศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และไฮเปอร์มาร์เก็ต ขยายตัวสูงตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการนิยมเช่าที่ดินระยะยาวเพื่อกระจายต้นทุนและบริหารกระแสเงินสดได้คล่องตัว   ส่วนแนวโน้มปี 2569 ธุรกิจโรงแรมและค้าปลีกยังคงเดินหน้าโต แต่จะปรับตัวตามเทรนด์ชีวิตที่เปลี่ยนเร็ว ซึ่งทั้งสองภาคธุรกิจจึงยังเป็นเสาหลักดึงดูดการลงทุนและยกระดับเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง     นิคมอุตสาหกรรม ดาวเด่นตลาดอสังหาฯ     ด้าน พงษ์พันธ์ พลอยเพ็ชร หัวหน้าฝ่ายโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย ดึงดูดการลงทุนต่างชาติสูง   โดยพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรวม 221,458 ไร่ อัตราว่างลดเหลือ 7.13% จาก 8.69% ในไตรมาสก่อน ขณะที่ราคาขายที่ดินเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 8.04 ล้านบาทต่อไร่ สะท้อนดีมานด์ที่เพิ่มต่อเนื่อง ด้วยยังมีที่ดินในนิคมอยู่ระหว่างพัฒนาอีก 16,297 ไร่ รองรับนักลงทุนใหม่   ด้านโรงงานสำเร็จรูป (RBF) มีพื้นที่ 3.42 ล้าน ตร.ม. อัตราว่างลดเหลือ 11.71% ส่วนคลังสินค้าสำเร็จรูป (RBW) รวม 5.99 ล้าน ตร.ม. อัตราว่างลดลงเหลือ 17.21% โดยความต้องการ (Demand) โรงงานและคลังสินค้าเพิ่มขึ้นชัดเจน หลังได้ความชัดเจนภาษีนำเข้าสหรัฐฯ   อย่างไรก็ตามแม้การเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลง แต่ทำเลและโครงสร้างพื้นฐานยังดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยในครึ่งแรกปี2568  สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อนุมัติโครงการต่างชาติ 1,063 โครงการ เงินลงทุนกว่า 629,611 ล้านบาท โดยมี อุตสาหกรรมดาวเด่น คือ ดิจิทัล เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และ Data Center     ค้าปลีก-คอนโด เน้นระบายโครงการเดิม     สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวถึงตลาดพื้นที่ค้าปลีกในกรุงเทพฯ ปี 2568 มีการขยายตัวชะลอลง โดย 3 ไตรมาสแรกเปิดใหม่เพียง 150,000 ตร.ม. และอีก 6,900 ตร.ม. พร้อมรอเปิดในไตรมาส 4 รวมพื้นที่สะสมกว่า 7.2 ล้าน ตร.ม.   ขณะที่ค่าเช่าเฉลี่ยปรับขึ้นเล็กน้อย 2.06% แต่อัตราการเช่ากลับลดลง 1.3% เพราะได้รับแรงกดดันจากโครงการใหม่ที่เปิดในปีนี้ โดยศูนย์การค้าชานเมืองหลายแห่งยังมีพื้นที่ว่างหาผู้เช่า ขณะที่ห้างใหญ่ใจกลางเมืองยังคงขยายพื้นที่แบรนด์หรูอย่างต่อเนื่อง แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงก็ตาม   โดยปัจจัยกดดันสำคัญ คือ กำลังซื้อคนไทยที่ถดถอยจากภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดต่ำสุดในรอบปี ทำให้การใช้จ่ายชะลอตัวชัดเจน แนวโน้มที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 จึงยังไม่สดใสนัก แม้จะมีโอกาสได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ แต่ภาพรวมตลาดค้าปลีกยังอยู่ในช่วงท้าทายต่อเนื่อง.   สุรเชษฐ กล่าวต่อสำหรับตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ ในไตรมาส 3 ปี 2568 มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 6,618 ยูนิต โดยปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือ หลายโครงการเลือกเปิดขายแบบ ‘Soft Launch’ ให้จองบางชั้นก่อนเพื่อตรวจสอบความสนใจของผู้ซื้อ ก่อนจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในภายหลังไม่นาน     “แนวโน้มการขายในไตรมาสที่ผ่านมา จึงดูเงียบกว่าที่คาดเพราะเดือนกรกฎาคม–สิงหาคมแทบไม่มีเปิดตัวใหม่”     สำหรับราคาขายคอนโดใหม่ในไตรมาสนี้ขยับสูงขึ้นเฉลี่ย 47% จากไตรมาสก่อน แม้บางโครงการอยู่ในซอยลึกหรือห่างจากสถานีรถไฟฟ้ามากกว่า 1–2 กิโลเมตร แต่ด้วยต้นทุนที่ดินสูงในโซนสุขุมวิทและเจริญกรุง จึงทำให้ราคายังยืนสูงได้ ซึ่งทำเลทองเหล่านี้ยังเป็นตัวดึงดูดทั้งผู้ซื้อจริงและนักลงทุน   อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดยังอยู่ในช่วงชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจและการเข้าถึงสินเชื่อ โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นเต็มที่ ทำให้การตัดสินใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยยากขึ้น   ขณะที่ แนวโน้มปี 2569 ตลาดคอนโดยังเผชิญความไม่แน่นอนจากการเมืองและการเลือกตั้ง หากเกิดการเปลี่ยนรัฐบาล อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นและนโยบายด้านอสังหาฯ อีกครั้ง   อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อต่างชาติยังคงเป็นปัจจัยบวกสำคัญ โดยเฉพาะชาวจีนและรัสเซีย แม้ปีนี้มีบางส่วนหันไปลงทุนประเทศอื่น แต่ไทยยังเป็นจุดหมายหลักด้านที่อยู่อาศัย     “หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวและสถานการณ์โลกเอื้ออำนวย ปี 2569 อาจเห็นแรงซื้อกลับมา ด้วยประเทศไทยยังครองตำแหน่งเป้าหมายยอดนิยมอันดับต้น ๆ สำหรับนักลงทุนต่างชาติ และอาจเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยพยุงตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ ในปีหน้าได้”     ออฟฟิศเกรด A แข่งปรับราคา     ด้าน อุกฤษฏ์ พรพัฒนไพโรจน์ หัวหน้าฝ่ายพื้นที่สำนักงานให้เช่า คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ Q3/2568 มีพื้นที่รวมราว 8.93 ล้าน ตร.ม. โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในทำเลย่านธุรกิจ (CBD) และยังมีโครงการใหม่ระหว่างก่อสร้างกว่า 6.5 แสน ตร.ม. ที่จะทยอยเปิดถึงปี 2570   อย่างไรก็ตามแม้พื้นที่อาคารสำนักงานจะมีอัตราว่างลดลงเล็กน้อยเหลือ 26% แต่การแข่งขันสูงทำให้ค่าเช่าเกรด A ใน CBD เฉลี่ยปรับลดเหลือ 937 บาท/ตร.ม./เดือน ผู้เช่าจำนวนมากย้ายจากอาคารเก่าไปยังอาคารใหม่ที่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและระบบรักษาความปลอดภัยทันสมัย ส่งผลให้อาคารเก่าอายุกว่า 20 ปีเร่งปรับโฉมและยกระดับมาตรฐานสากล   ขณะที่ แนวโน้มปี 2569 ตลาดยังต้องพึ่งพาบริษัทข้ามชาติเป็นหลัก โดยหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ความต้องการเช่าสำนักงานในไทยอาจปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ซัพพลายใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดมีจำนวนไม่มากนัก           Alternate-X สรุปให้       เศรษฐกิจไทยปลายปี 2568 ยังเผชิญแรงกดดันจากการท่องเที่ยวชะลอ กำลังซื้อในประเทศอ่อนแรง และการลงทุนต่างชาติรอความชัดเจน ขณะที่ภาคโรงแรมและค้าปลีกยังเดินหน้าต่อ โดยเฉพาะโรงแรมแนวไลฟ์สไตล์และโครงการศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ที่ดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่ ด้านนิคมอุตสาหกรรมยังเป็นดาวเด่น อัตราว่างลดลง ราคาที่ดินขยับขึ้นต่อเนื่อง รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและการลงทุนต่างชาติ ขณะที่คอนโดมิเนียมยังซบเซาแม้ราคาขายสูงขึ้น แต่แรงซื้อต่างชาติยังเป็นความหวังสำคัญ โดยเฉพาะจีนและรัสเซีย โดยตลาดอาคารสำนักงานเกรด A แข่งขันสูง ค่าเช่าปรับลด แต่การย้ายไปอาคารใหม่มาตรฐานสูงยังเป็นเทรนด์หลัก ขึ้นกับเศรษฐกิจโลกในปีหน้า      

October 3, 2025 / 0 Comments
read more

MIDEA แบรนด์ยักษ์จีน บุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ส่งสินค้าเจาะตลาดบ้าน-อุตสาหกรรม

PRnounce

Midea ตอกย้ำความแกร่งด้านนวัตกรรม ยกระดับการบริการลูกค้า-พันธมิตร ชู 5 นวัตกรรมเด่นและผลิตภัณฑ์ 150 รายการ ตอบโจทย์ภาคครัวเรือน-อุตสาหกรรมครบวงจร   Midea (ไมเดีย) ผู้นำด้านนวัตกรรมและหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านรายใหญ่ที่สุดของโลกจัดงานประชุมผู้แทนจำหน่ายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นครั้งแรก ประกาศวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจให้เติบโตพร้อมกับพันธมิตรในภูมิภาค พร้อมจัดแสดง 5 นวัตกรรมเด่นที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร   ความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี: สรรสร้างอนาคตตั้งแต่ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมไปจนถึงอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ไมเดียเติบโตอย่างก้าวกระโดดในเวทีระดับโลกด้วยการนำเสนอนวัตกรรม ด้วยบุคลากรฝ่ายวิจัยและพัฒนา 23,000 คนและงบการลงทุนเพื่อการพัฒนานวัตกรรมกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ไมเดียถือครองสิทธิบัตร 100,000 ฉบับ ได้รับรางวัลเทคโนโลยีชั้นนำ 470 รางวัล และมีส่วนร่วมในการสร้างมาตรฐานทางเทคโนโลยีกว่า 1,900 มาตรฐาน   ทั้งในส่วน B2C และ B2B สำหรับมาตรฐานทางเทคโนโลยีของ B2C นั้น ไมเดียมุ่งมั่นนำเสนออีโคซิสเต็มของเครื่องใช้ไฟฟ้าสมาร์ทโฮมที่มีประสิทธิภาพและใช้งานได้หลากหลาย ในขณะที่มาตรฐานทางเทคโนโลยีสำหรับ B2B ไมเดียให้ความสำคัญกับการช่วยให้องค์กรปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานโดยใช้นวัตกรรมด้านพลังงานใหม่ เทคโนโลยีทางอุตสาหกรรม ระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ เป็นต้น     ไมเดียกรุ๊ปยังประกาศว่าจะลงทุนกว่า 6.96 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในด้านปัญญาประดิษฐ์ พลังงานใหม่ หุ่นยนต์อัจฉริยะ รวมไปถึงการผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ภายใน 3 ปีข้างหน้า ไมเดียกรุ๊ปยังได้ร่วมมือกับกลุ่มเขตชิงผู่ในเซี่ยงไฮ้เพื่อลงทุนกว่า 208.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอัจฉริยะ ซึ่งไมเดียได้แสดงศักยภาพด้วยการเปิดตัวหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์สำหรับการใช้งานในบ้านชื่อ MIRA ใน 2025 World AI Conference เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา   กลยุทธ์ทางการตลาด: เสริมสร้างการเติบโตในเอเชีย-แปซิฟิกด้วยการผลิตในท้องถิ่นและการบริการที่เป็นเลิศ ซีล เจียง ประธานของไมเดียภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก แนะนำกลยุทธ์ทางการตลาดของไมเดียในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในงานนี้ ปัจจุบันไมเดียมีฐานการผลิต 63 แห่งทั่วโลก   โดยมี 9 แห่งตั้งอยู่ในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ในปีนี้ โรงงาน Midea Thailand Smart Factory ได้รับรางวัลโรงงานประภาคารประเภทความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานจาก The World Economic Forum ซึ่งถือเป็นโรงงานผลิตเครื่อง ปรับอากาศแห่งแรกของโลกที่ตั้งอยู่นอกประเทศจีนที่ได้รับรางวัลนี้   โรงงานแห่งนี้มีพื้นที่ 208,000 ตารางเมตร ก่อสร้างโดยใช้เงินลงทุนประมาณ 168 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นโรงงานแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการประยุกต์ใช้ 5G ซึ่งมีระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ยกระดับกระบวนการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน ส่งผลให้โรงงานแห่งนี้ได้รับรางวัล Best Mobile Technology Breakthrough in Asia จาก Asia Mobile Awards ปี 2567 โรงงานแห่งนี้ยังมีอัตราการใช้พลังงานเฉลี่ยต่อการผลิตเครื่องปรับอากาศ 1 เครื่องลดลงได้ร้อยละ 40.2 และลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึงร้อยละ 68.3 โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตต่อปีมากถึง 6 ล้านเครื่องภายในปี 2569   ไมเดียยังเปิดตัวแอปพลิเคชัน Midea Club ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ช่วยอำนวยความสะดวกให้ช่างเทคนิคบริหารจัดการบริการต่างๆ เช่น การส่งสินค้า การติดตั้ง การฝึกอบรม และการรับประกัน เพื่อให้บริการอยู่ในระดับที่เยี่ยมยอดเสมอ ไมเดียยังจัดการอบรมและกิจกรรมสำหรับพนักงานด้านการบริการกว่า 200 ครั้งต่อปี   และในอีก 3 ปีจากนี้  ไมเดียตั้งเป้าจะบ่มเพาะวิศวกรกว่า 3 หมื่นคนให้มีความรู้ที่ทันสมัย ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และมาตรฐานการบริการ ปัจจุบันไมเดียมีทั้งศูนย์บริการของแบรนด์ และศูนย์บริการพันธมิตรที่ได้รับการแต่งตั้งกว่า 1,800 แห่งทั่วภูมิภาค นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบบริการหลังการขายที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ และมีคุณภาพ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับทั้งพันธมิตรและสร้างความพึงพอใจของลูกค้าให้มากขึ้น   5 นวัตกรรมเด่นของไมเดีย: ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเลิศสู่การเป็นผู้นำตลาดเอเชีย-แปซิฟิก   ไมเดียมุ่งมั่นจะเป็นแบรนด์ที่ก้าวล้ำ เป็นผู้คิดค้นนวัตกรรม และสานต่อความเป็นเลิศเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดโลกในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ในช่วง   ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยูโรมอนิเตอร์อินเตอร์เนชั่นแนลรับรองให้ไมเดียเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 9 กลุ่ม และ แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าสมาร์ทโฮมอันดับ 1 ที่มียอดขายจากการผลิตภายใต้รูปแบบและแบรนด์สินค้าของตนเองสูงสุด   รวมทั้งยังเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกมาก ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศแบบอินเวอร์เตอร์ภายในบ้านกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น R290 กลุ่มผลิตภัณฑ์ฟอกอากาศ กลุ่มผลิตภัณฑ์เตาไมโครเวฟ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องครัวขนาดเล็กภายในบ้าน อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ผู้ส่งออกระบบทำน้ำอุ่นและน้ำร้อน และส่งออกเครื่องล้างจานอันดับ 1 ของจีน   ในการประชุมครั้งนี้ ไมเดียได้นำเสนอวิสัยทัศน์ของแบรนด์ที่ต้องการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน โดยนำเสนอนวัตกรรมต่างๆ ที่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์รวมกันกว่า 150 รายการ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยี SMART MASTER เทคโนโลยี AI ECOMASTER ผลิตภัณฑ์ตระกูล SPACE MASTER เครื่องปรับอากาศภายในบ้าน และโซลูชันต่างๆ จาก Midea Building Technologies   ในโซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยี SMART MASTER มีส่วนแสดงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของไมเดียอันประกอบด้วยระบบเซนเซอร์อัจฉริยะ ซึ่งสามารถเข้าใจ ปรับแต่งและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำและไร้รอยต่อ เช่น ตู้เย็นไมเดีย SMART MASTER  รุ่น MDRS791 มีระบบสมาร์ทคูลลิ่งและเซนเซอร์อัจฉริยะจำนวนมากเพื่อทำความเย็นในอุณหภูมิที่เหมาะสม รักษาความสดของอาหารและลดการใช้พลังงาน และเครื่องฟอกอากาศไมเดีย SMART MASTER ที่มีทั้งเซนเซอร์อัจฉริยะ 3 ตัวและโหมดปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยปรับการฟอกอากาศได้แบบเรียลไทม์ ให้อากาศสะอาดขึ้นและมีระดับความชื้นเหมาะสม นอกจากนี้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อ ตรวจสอบ และจัดการเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นได้ผ่านแอปพลิเคชันไมเดียสมาร์ทโฮม แพลตฟอร์มหลักแพลตฟอร์มเดียวสำหรับทุกจุดของบ้านอัจฉริยะ   ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานและการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ECO MASTER ของไมเดียถือเป็นเทคโนโลยีที่สะท้อนถึงแนวคิดดังกล่าว โดยเทคโนโลยีนี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ควบคุมการใช้พลังงานเพื่อจัดการและรักษาประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้า จึงลดอัตราการใช้พลังงานลงได้ถึงร้อยละ 30 นอกจากนี้เทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถสร้างรายงานสรุปในแอปพลิเคชันของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่รองรับได้อีกด้วย   ผลิตภัณฑ์ตระกูล SPACE MASTER ผสานแนวคิดวิศวกรรมเครื่องกลอัจฉริยะและสุนทรียศาสตร์ด้านการออกแบบ เพื่อนำเสนอเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีปริมาตรหรือความจุพอดีและมีประสิทธิภาพสูงสุดในขนาดที่เล็กลงหรือในขนาดมาตรฐานของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ ให้สอดรับกับความต้องการใช้พื้นที่ในบ้านสมัยใหม่อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เช่น ตู้เย็น SPACE MASTER ที่ออกแบบให้มีขนาดและความจุเหมาะสม ตัวตู้เย็นจึงมีขนาดเท่าเดิม ไม่กินพื้นที่ห้องครัว โดยผลิตภัณฑ์ในตระกูล SPACE MASTER ซึ่งรวมถึงเครื่องล้างจานหรือแม้แต่เครื่องซักและอบผ้าระบบฮีทปั๊ม จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยให้เจ้าของบ้านใช้งานพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   เนื่องจากภูมิอากาศของทวีปเอเชียเป็นแบบร้อนชื้น เครื่องปรับอากาศภายในบ้านของไมเดียจึงมีเทคโนโลยีป้องกันการกัดกร่อน Prime Guard™ ให้ใช้งานได้ยาวนานและมีประสิทธิภาพทำความเย็นที่เยี่ยมยอด นอกเหนือจากเทคโนโลยีป้องกันการกัดกร่อน ยูนิตคอยล์เย็นภายในบ้านยังใช้คอยล์ทองแดง TU1 เคลือบผิวท่อด้วยเงิน ส่วนยูนิตคอยล์ร้อนนอกบ้านมีเทคโนโลยี HYPER GRAPFINS ซึ่งเป็นแผงวงจรจะเคลือบด้วยรังสียูวีที่รองรับกระแสไฟฟ้าได้กว้างขึ้น และยังมีระบบระบายฝุ่นอัตโนมัติ   ไฮไลต์นวัตกรรม Midea Building Technologies มีหลายอย่าง อาทิ ระบบ VC MAX VRF ซึ่งออกแบบให้ติดตั้งร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น HyperLink ระบบ IP55 และ ShieldBox เพื่อความเสถียร และระบบ SuperSense เพื่อการทำงานที่ราบรื่น Magboost Apex ระบบทำความเย็นแบบแม่เหล็กที่ทำงานโดยใช้แรงหนีจากศูนย์กลาง รุ่นที่ 2 ของไมเดีย ซึ่งมีค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงานขณะใช้งานเต็มกำลังดีขึ้นกว่าเดิมร้อยละ 10 แต่ใช้พลังงานน้อยลงกว่าเดิมถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับระบบทำความเย็นแบบเดิม ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการปรับปรุงอาคาร เนื่องจากมีความทนทานต่อละอองน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP67 ผลิตโดยใช้ส่วนประกอบหลักที่ไมเดียเป็นผู้ผลิตขึ้นเอง อีกทั้งยังมีบริการหลังการขายที่สะดวกสบายและราคาเป็นมิตร     พันธมิตรระดับโลก: ห่วงใยชุมชน เชื่อมโยงโลก   ไมเดียกรุ๊ปมีชื่ออยู่ในหนังสือรายปีด้านความยั่งยืน (ฉบับประเทศจีน) ประจำปี 2025 จากผลงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลซึ่งสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมของไมเดียในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาสาธารณภัย การสนับสนุนชุมชน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งยังรวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยไมเดียร่วมมือกับกองทุน Mangrove Indonesia Lestari Foundation เพื่อวางปะการังเทียมกว่า 1 พันต้นตามโครงการวางปะการังเทียมในย่านนูซ่า ดูอา และลิป้า เขตบาหลีเหนือ “การวางปะการังเทียมมีส่วนทั้งช่วยอนุรักษ์มหาสมุทรและช่วยสร้างความมั่นคงให้กับความหลากหลายทางชีววิทยา อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการประมง ช่วยปกป้องชุมชนในพื้นที่ และช่วยให้บาหลีและพื้นที่ใกล้เคียงมีอนาคตที่มั่นคง” ซีล เจียง ประธานของไมเดียภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวเสริม   ไมเดียยังคงมุ่งสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ผ่านการสานความร่วมมือกับทีมและการแข่งขันกีฬาระดับโลก ซึ่งไมเดียประกาศจะเป็นผู้สนับสนุนหลักที่แขนเสื้อชุดการแข่งขันและชุดฝึกซ้อมของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลน่า รวมถึงการประชาสัมพันธ์แบรนด์อย่างกว้างขวางระหว่างการแข่งขันฟุตบอลลาลีกาทีมเหย้า ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับไมเดียในด้านการสนับสนุนกีฬาในระดับโลก นอกจากนี้ไมเดียยังสานความร่วมมือระยะยาวกับสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียกับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความตั้งใจสนับสนุนด้านกีฬาและการสานสัมพันธ์ของไมเดียกับแฟนๆ ทั่วโลก    

October 2, 2025 / 0 Comments
read more

ไทยเบฟ แผนเจาะอาเซียน’ฐาปน’ไม่ปรับเป้าแต่เปลี่ยนคนทำงาน ยุทธวิธีมุ่งสู่ ‘มัลติ โลคัล แชมเปียน’

BizKet

‘ฐาปน’ ฝ่าความท้าทายเศรษฐกิจ พาไทยเบฟ ‘มุ่งสู่ PASSION 2030’ ผู้นำ F&B ตลาดอาเซียน ย้ำคงแผนเดิมไม่ปรับเป้าหมายแต่จะเปลี่ยนผู้บริหารแก้วิธีทำงาน ยอดขาย 9 เดือนแตะ 2.58 แสนล. กำไรลดลง 4%     ‘ฐาปน สิริวัฒนภักดี’ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มไทยเบฟ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พร้อมทีมผู้บริหาร 4 กลุ่มธุรกิจ สุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหาร ร่วมขึ้นเวทีใหญ่ประจำปี 2568 พร้อมฉายทิศทางธุรกิจภายใต้ ‘PASSION 2030’ ในฐานะผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร   สำหรับในปี 2568 นี้ ‘ฐาปน’ กล่าวในช่วงที่ผ่านมา ‘ไทยเบฟ’ วางยุทธศาสตร์เปลี่ยนผ่านองค์กรควบคู่กับการดำเนินกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว   โดยหนึ่งในแผนงานสำคัญคือ การผนวกรวมธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม   นอกจากนี้ ไทยเบฟ ยัง เร่งทำตลาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ภายใต้ 2 กลยุทธ์หลักต่อเนื่อง คือ   ‘Reach Competitively’ การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ‘Digital for Growth’ หรือ ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสมรรถภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงเครือข่ายคู่ค้าและผู้บริโภค   “‘ไทยเบฟ’ยังคงเป้าหมายเดิมตามแผนที่ที่วางไว้ในทุกด้าน ไม่มีการปรับเปลี่ยนอย่างแน่นอน เพราะว่าแผนกืคือแผน ด้วยหากไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ก็ต้องปรับเปลี่ยนผู้บริหาร และวิธีการทำงาน”   ฐาปน กล่าวต่อถึงแนวทางธุรกิจภายใต้ ‘PASSION 2030’ ที่จะต้องมองทั้งตลาดในภูมิภาคฯ สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร โดยเฉพาะอีกหนึ่งกำลังซื้อที่ใหญ่มาก คือ ตลาดผู้บริโภค ‘มุสลิม’ ที่พบว่ามีอัตราการเติบโตสูงและน่าสนใจมาก ทำให้ไทยเบฟเร่งการลงทุนเพื่อหาโอกาสใหม่ในตลาดนี้   จากในช่วงที่ผ่านมา ไทยเบฟ เข้าลงทุนสำคัญในมาเลเซีย โดยก่อตั้งโครงการฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ ‘AgriValley’ วางเป้าหมายโคนม 20,000 ตัว เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของบริษัทฯ โดยโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของงบลงทุนรวม 18,000 ล้านบาทในปี 2568   เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ก้าวถัดไป ไทยเบฟมุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในประเทศ พร้อมขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ และพัฒนาศักยภาพจากการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ กลุ่มยังแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน รวมถึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการกระจายสินค้า ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ภายใต้ PASSION 2030   ไทยเบฟพร้อมเดินหน้าบนเส้นทางสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง และสร้างสรรค์คุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายด้วยความมุ่งมั่นตามพันธกิจ ‘สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต’ และวิสัยทัศน์สู่การเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร   มุ่งสู่ ‘มัลติ โลคัล แชมเปียน’   ด้าน ‘ต้องใจ ธนะชานันท์’ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัทฯ วางยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับ PASSION 2030 ด้วยพบว่าตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการขยายตัวและเติบโตเร็วที่สุดในขณะนี้   โดยไทยเบฟ วางแนวทางการทำตลาดในแต่ละประเทศในภูมิภาคฯ ภายใต้กลยุทธ์การเป็น ผู้นำตลาดในแต่ละประเทศท้องถิ่น (Multi Local Champion) ด้วยความหลากหลายแบรนด์ผลิตภัณฑ์ในพอร์ตของไทยเบฟ โดยเฉพาะเครื่องดื่มทั้งกลุ่มแอลกอฮอล์ และ นันแอลกอฮอล์ ในตลาดที่ไทยเบฟฯ มีความแข็งแกร่ง   “ไทยเบฟอยากเป็นมัลติโลคัลแชมเปียนในหลายๆ ประเทศ ด้วยเราอาจแตกต่างไปจากแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมระดับโลกอย่าง เป๊ปซี่ หรือ โคคาโคล่า โค้ก ที่มีเพียงแบรนด์เดียวแต่เล่นได้ทั้งโลก”   ทั้งนี้ไทยเบฟ จะใช้จุดแข็งความแกร่งการเป็นผู้นำในตลาดท้องถิ่น เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในแต่ละตลาดให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยเฉพาะในช่องทางร้านค้าปลีกท้องถิ่น หรือ โชห่วย ดังนั้นไทยเบฟ จึงต้องใช้ทั้ง2 กลยุทธ์ Reach Competitively และ Digital for Growth เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Passion 2030   “ถ้าเราอยากเป็นโลคัลแชมเปียน เราต้องลึกต้องเข้าไปในโชห่วยได้ทุกที่ ดังนั้น รีชฯ คือ แนวทางการทำงานของเรา โดยสิ่งที่ไทยเบฟ มีคือความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้งที่จะไปตลาดอาเซียนได้ทุกช่องทาง”   ปัจจุบันไทยเบฟ มีพนักงานราว 65,000 คน ครอบคลุมตลาด 10 ประเทศ แบ่งกลุ่ม ประเทศในอาเซียน คือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม เมียนมา และ เตรียมเข้าตลาดเชิงรุกในกัมพูชา ปลายปี2568 นี้ ส่วนอีก 4 ประเทศ คือ จีน สก็อตแลนด์ นิวซีแลนด์ และ ฝรั่งเศส   สำหรับ ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยกลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลง 4 % จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท           Alternate-X สรุปให้    ไทยเบฟย้ำแผน PASSION 2030 มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในอาเซียน โดย ‘ฐาปน สิริวัฒนภักดี’ นายใหญ่ไทยเบฟ ยังคงเป้าหมายเดิม แต่เปลี่ยนวิธีการทำงานและทีมผู้บริหาร พร้อมย้ำ 2 กลยุทธ์หลัก Reach Competitively และ Digital for Growth พร้อมเดินหน้าผนึกกำลังกับ F&N พร้อมลงทุนในมาเลเซียโครงการ AgriValley ตั้งเป้าเป็น Multi Local Champion ครองใจผู้บริโภคในแต่ละประเทศท้องถิ่น  

October 1, 2025 / 0 Comments
read more

‘จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้’ มิกซ์ยูส เวลเนสฯ เครือรพ.ธนบุรี ขายสังคมสุขภาพควบบริการแพทย์ 24 ชม.

EcoVative,  Peace&Play,  WeView

ธนบุรี เวลบีอิ้ง ย้ำแนวคิดยูนิเวอร์แซล ดีไซน์ในโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ควบจุดขายบริการสุขภาพพร้อมทีมแพทย์ 24 ชั่วโมง รองรับการอยู่อาศัยทุกช่วงวัยของชีวิต   พีรพงษ์ พีระโชติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ธนบุรี เวลบีอิ้ง จำกัด ธุรกิจในเครือบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่าบริษัทฯ พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ‘จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้’ (Jin Wellbeing County) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (สูง 7 ชั้น) ภายใต้แนวคิดการพัฒนาแบบ เวลเนส เรสซิเดนซ์ (Wellness Residences) มอบประสบการณ์การอยู่อาศัยเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี สำหรับการอยู่อาศัยทุกช่วงวัยร่วมกัน   สำหรับโครงการฯ  ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี  มีมูลค่าการลงทุนในเฟสแรกกว่า 4,000 ล้านบาท จำนวน 494 ยูนิต ประกอบด้วยอาคารโลว์ไรส์ 7 ชั้น  5 อาคาร  ตั้งบนขนาดที่ดินรวมทั้งโครงการฯ ราว 140 ไร่   นอกจากนี้ ‘จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้’ ยังวางตำแหน่งโครงการมิกซ์ยูส พร้อมให้บริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม 3 ด้าน ได้แก่ร่างกาย  (Body), สุขภาพใจ (Mind) และพลังชีวิต (Soul) ภายใต้การดูแลโรงพยาบาลธนบุรีบูรณา ในเครือ THG  ประกอบด้วย   อาคารที่พักอาศัย Jin Wellness Residence อาคาร Wellness Center Jin Health Care Center ศูนย์ดูแลสุขภาพและฟื้นฟู   ขณะที่โครงการฯ ยังโดดเด่นด้วยโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ มุ่งเน้นการป้องกันและปรับปรุงสุขภาพกาย จิตใจ และอารมณ์ของผู้อยู่อาศัย ด้วยแนวคิดการออกแบบ Universal Design พร้อมพื้นที่สีเขียวกว่า 50% ของโครงการ   “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การดูแลตัวเอง แต่รวมถึงการใช้ชีวิตในเวลบีอิ้ง คอมมูนิตี้ ด้วยชุมชนสุขภาพดีและเพื่อนบ้านที่อบอุ่นเข้าใจกัน”     ขณะเดียวกัน ยังมอบประสบการณ์เของสุขภาพดีในชุมชน จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ   บริการฟิตเนสมาตรฐาน รองรับการออกกำลังกายของคนทุกช่วงวัย คลาสเทรนนิ่งจากผู้เชี่ยวชาญ สระว่ายน้ำมาตราฐานพร้อมด้วยสระธาราบำบัด ห้องสปาส่วนตัว ห้อง Co-Kitchen Space ห้องประชุมขนาดใหญ่ ห้องอาหาร   นอกจากนี้ยังให้บริการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพกับกิจกรรมมากกว่า 20 รายการ รองรับการใช้ชีวิตผู้อยู่อาศัย ด้วย Sport facilities ต่างๆ พร้อมด้วยบริการการแพทย์จากทีมแพทย์ และพยาบาลวิชาชีพ พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง บริการฟื้นฟูสุขภาพแก่ผู้สูงวัย, บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน (ER), เวชศาสตร์ฟื้นฟูกายภาพ, Telemedicine และศูนย์สุขภาพจิต พีรพงษ์ กล่าวว่า โครงการฯ ยังนำหลักคิดการออกแบบตามมาตรฐาน Universal Design เพื่อให้เข้าถึงพื้นที่การใช้งานในทุกกลุ่มและเพศวัย ประกอบด้วย ทางเข้าและทางเดินภายในกว้าง ทางลาด ขอบราวกันตก ใช้งานได้สะดวก ปลอดภัย ออกแบบลิฟต์ใหญ่พิเศษ สามารถเข็นเตียงเข้าได้ ลดอุปสรรคในการเคลื่อนไหว ติดตั้งปลั๊กไฟหลากหลายระดับ เพื่อสะดวกในการใช้งานของแต่ละบุคคล, ติดตั้งสวิตช์ให้สูงจากพื้นอย่างน้อย 90 ซม. หลีกเลี่ยงการก้มเวลาใช้งาน ติดตั้งอุปกรณ์ส่องแสงสว่างในแต่ละพื้นที่ต่อเนื่อง ไม่ให้สายตาต้องปรับ ระดับแสงมากนัก ฝักบัวอาบน้ำสามารถปรับได้หลายระดับความสูง ก๊อกน้ำ แบบก้านโยกเพื่อสะดวกต่อการใช้งานของทุกคน ติดตั้งราวจับบริเวณที่อาบน้ำและโถส้วม พื้นที่ว่างรอบโถส้วมเพื่อความสะดวกและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จากกำแพงแต่ละด้าน บริเวณพื้นที่สวนหรือนอกอาคารโครงการฯ   นอกจากนี้ ยังนำหลักการออกแบบไบโอฟิลลิก ดีไซน์ (Biophilic Design) ให้โครงการฯมีความใกล้ชิดธรรมชาติ เพื่อสร้างความผ่อนคลายพร้อมเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจให้ผู้อยู่อาศัยตลอดทุกช่วงขณะการใช้ชีวิตภายใน จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้   สำหรับจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ปัจจุบันทำตลาดพร้อมเข้าอยู่เริ่มต้น 𝟭 ห้องนอนขนาด 43-46 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท และห้องใหญ่ 60 ตร.ม. ราคา 7.59 ล้านบาท     Alternate-X สรุปให้     ‘จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้’ โครงการมิกซ์ยูสเวลเนส ภายใต้เครือ รพ.ธนบุรี กับแนวคิดรวมที่พักอาศัย Wellness Residence มาพร้อมศูนย์สุขภาพและWellness Center บนพื้นที่กว่า 140 ไร่ พร้อมใช้ Universal Design & Biophilic Design รองรับสังคมสูงวัย ด้วยจุดเด่นบริการทางการแพทย์ 24 ชม. ครบวงจร ทั้ง ER, ฟื้นฟูสุขภาพ, Telemedicine และศูนย์สุขภาพจิต โครงการฯพร้อมอยู่ทำราคาเริ่มต้น 3.79 ล้านบาท เจาะตลาดคนรักสุขภาพในอนาคต

October 1, 2025 / 0 Comments
read more

นิวสกายฯ-ซีแอนด์จีฯ ทำ ‘Project Makeover’ โรงกำจัดขยะ แต้มสี เติมฝัน พัฒนาโรงเรียนให้น้อง

PRnounce

บริษัท นิวสกาย เอ็นเนอร์จี (แบงค็อก) จำกัด ร่วมกับ บริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรมจิตอาสาภายใต้โครงการ “Project Makeover โรงกำจัดขยะ แต้มสี เติมฝัน พัฒนาโรงเรียนให้น้อง” ณ โรงเรียนบ้านชวดบัว ตำบลดอนยอ อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก   โดยได้รับเกียรติจาก นายเชาวลิต ภูมี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลดอนยอ กล่าวต้อนรับ โดยมี นางสาวหวัง เซวี่ยยวิน (Wang Xueyun) รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิวสกาย เอ็นเนอร์จี (แบงค็อก) จำกัด และบริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเปิดกิจกรรม โดยมีพนักงานจิตอาสากว่า 70 คน พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียน ร่วมแรงร่วมใจกันปรับปรุงทัศนียภาพของโรงเรียน อาทิ การทาสีอาคารโรงอาหาร สนามกีฬา ป้ายต้อนรับ รั้วโรงเรียน ปรับปรุงสวนหย่อม รวมถึงทาสีทางม้าลายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับครูและนักเรียน   นอกจากนี้ ยังได้มอบสิ่งของและเงินบริจาค รวมมูลค่า 77,777 บาท ให้กับโรงเรียนบ้านดอนยอ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาการศึกษาและคุณภาพชีวิตของนักเรียน   โครงการ “Project Makeover โรงกำจัดขยะ แต้มสี เติมฝัน พัฒนาโรงเรียนให้น้อง” ไม่เพียงสร้างความสวยงามและบรรยากาศที่ดีให้กับโรงเรียน แต่ยังเป็นการปลูกฝังความสามัคคีให้กับเยาวชน และเป็นโอกาสอันสำคัญที่ผู้บริหารจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาของเยาวชนไทย สะท้อนถึงความร่วมมือไทย–จีน ในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน   ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวยังสอดคล้องกับเกียรติรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) จัดโดย Enterprise Asia ในด้าน Green Leadership และ Health Promotion ที่บริษัทซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับล่าสุด รางวัลนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญของความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังตอกย้ำถึงบทบาทขององค์กรในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจ ควบคู่กับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างรับผิดชอบและต่อเนื่อง และมีความมุ่งมั่นที่จะสานต่อพันธกิจนี้ต่อไปในอนาคต    

October 1, 2025 / 0 Comments
read more

‘บัตรเครดิตกรุงศรี’ โฉมใหม่ เจาะทุกไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค กิน-เที่ยว-ช้อป เบิ้ลพอยต์ ดึงเจนฯ Z

BizKet

‘บัตรเครดิต กรุงศรี’ ปรับโฉมใหม่ หน้าบัตร-สิทธิประโยชน์ เข้าถึงผู้ถือบัตรเครดิตคนรุ่นใหม่ ฝ่าภาวะเศรษฐกิจละลอกำลังซื้อ ดึงดีไซน์ เจาะไลฟ์สไตล์ชาวเจนฯZ เป้ายอดบัตรใหม่ 215,000 บัญชี ในปี 2569   อธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เปิดเผยว่าบัตรเครดิตเรือธงภายใต้การบริหารของบริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ได้ปรับกลยุทธ์การให้บริการบัตรเครดิตหลังอยู่ในตลาดมานานร่วม 30 ปี โดยปรับจุดขายทั้งโฉมและยกระดับสิทธิพิเศษประโยชน์ใหม่ของบัตรเครดิตกรุงศรี เพื่อรักษาฐานลูกค้าผู้ถือบัตรรายเดิมและขยายฐานกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจนเนอเรชั่นZ วัยเริ่มต้นทำงาน และ วัยทำงานคนรุ่นใหม่     “การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันที่สภาพเศรษฐกิจซบเซา ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงไม่ฟื้นตัว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งปรับจุดขายผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตและสินเชื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้ายิ่งขึ้น”       แนวทางดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าหมายรักษาการเป็นบัตรเครดิตที่อยู่ในใจผู้บริโภคไทย (Top of Mind Brand) ต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่เจอร์นีย์การถือบัตรใบแรกในกลุ่มวัยเริ่มต้นทำงาน หรือมีระดับฐานเงินเดือน 15,000 บาทไปจนถึงระดับ HNW (High Net Worth Investor )   อย่างไรก็ตาม  ภาพรวมธุรกิจในปีนี้ยังเติบโตได้ดีกว่าตลาดที่ผ่านมาเป็นผลจากบัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และนำเสนอสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งในหลากหลายธุรกิจ เพื่อนำเสนอสิทธิพิเศษที่โดดเด่นให้กับสมาชิกบัตรมาตลอด     อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง   บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลหด รูดน้อย กู้ยากหนักสุดรอบ 26 ปี ซ้ำปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา บัตรฯ เซ็นทรัล เดอะวัน ปรับใหม่หมดโลโก้ถึงผู้บริหาร เป้าผู้ใช้บัตรสิ้นปี68 ทะลุ 1 ล้านราย กำลังซื้อสภาพ(ไม่)คล่อง ทำความต้องการเงินด่วนพุ่ง กรุงศรีฯเปิด 3 หมวดสินค้าคนใช้จ่ายสูง กรุงศรีฯ วางแผนบาลานซ์ ลดเสี่ยงธุรกิจ-ลีนค่าใช้จ่าย ลูกค้าซื้อประกัน-ลงทุนผ่านบัตรฯพุ่ง         ใช้ดีไซน์เจาะเจนฯใหม่     ด้าน สมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ยกระดับสิทธิประโยชน์บัตรเครดิต กรุงศรี ภายใต้แนวคิด ‘Life Worth Living : คุณค่าในแบบคุณ’ ใช้เป็นจุดยืนผลิตภัณฑ์แบรนด์บัตรเครดิต กรุงศรี ในตลาดให้ชัดเจน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้ชีวิตของแต่ละคน ผ่านผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตหลักทั้ง 4 บัตรได้แก่   สำหรับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง   บัตรเครดิต กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง และบัตรเครดิต กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ ซิกเนเจอร์   สำหรับกลุ่มลูกค้ารายได้สูง บัตรเครดิต กรุงศรี ซิกเนเจอร์   สำหรับกลุ่มลูกค้าทั่วไป บัตรเครดิต กรุงศรี แพลทินัม   “การปรับโฉมใหม่ทั้ง 4 บัตร ยังมาจากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาด ที่ต้องการด้านสิทธิประโยชน์บัตรเครดิตที่ตอบไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มเที่ยว ช้อป กิน” โดยบริษัทฯ ได้นำความต้องการดังกล่าวมาปรับใช้สู่การให้พอยต์เพื่อนำไปใช้แลกรับสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ   สายท่องเที่ยว รับพอยต์สะสมสูงสุด 5 เท่า เมื่อจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม และรับสิทธิพิเศษโรงแรมชั้นนำ สายช้อป รับพอยต์สะสมสูงสุด 5 เท่า เมื่อซื้อสินค้าที่ห้างชั้นนำที่ร่วมรายการ สายกิน รับส่วนลดสูงสุด 25% ณ ร้านอาหารที่ร่วมรายการ เป็นต้น   นอกจากนี้ บัตรเครดิต กรุงศรี ยังร่วมกับ ‘Benzilla’ ปริญญา ศิริสินสุข ศิลปินร่วมสมัย เจ้าของผลงาน ‘LOOOK’ คาแรกเตอร์เอเลียนสามตา ร่วมออกแบบสองหน้าบัตรโฉมใหม่ เพื่อเพิ่มสีสันดึงดูดลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่และสื่อสารสิทธิประโยชน์บัตรใหม่ บัตรเครดิต กรุงศรี ได้แก่   บัตรเครดิต กรุงศรี ซิกเนเจอร์ บัตรเครดิต กรุงศรี แพลทินัม ทั้งนี้   ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าสิทธิประโยชน์ใหม่ที่โดดเด่นของบัตรเครดิต กรุงศรี ช่วยเพิ่มยอดใช้จ่ายผ่านบัตรให้สมาชิกใช้บัตรเครดิต กรุงศรี ในฐานะบัตรเครดิตหลักที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งช่วยขยายฐานลูกค้าให้หลากหลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่     ปัจจุบันในกลุ่มผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตของบริษัทฯแบ่งสัดส่วน ยอดการใช้จ่าย 55% มาจาก บัตรเครดิตเรือธง, 35% บัตรเครดิตโค-แบรนด์ และ 10% บัตรเครดิตไลฟืสไตล์     ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดบัตรใหม่ 215,000 บัญชี เติบโต 5% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 240,000 ล้านบาท เติบโต 6% ภายในปี 2569 โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต กรุงศรี 145,000 ล้านบาท     ปัจจุบัน บัตรเครดิตกรุงศรี มีลูกค้าในความดูแลกว่า 2.4 ล้านบัญชี มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ บัตรเครดิต กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง, บัตรเครดิต กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ ซิกเนเจอร์, บัตรเครดิต กรุงศรี  ซิกเนเจอร์, บัตรเครดิต กรุงศรี วีซ่า แพลทินัม, บัตรเครดิต กรุงศรี เจซีบี แพลทินัม, บัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม, บัตรเครดิตกรุงศรี โฮมโปร คอร์ปอเรท การ์ด,  บัตรเครดิต กรุงศรี เลดี้ ไทเทเนียม มาสเตอร์การ์ด และบัตรเครดิต เอไอเอ วีซ่า แพลทินัม     Alternate-X สรุปให้     บัตรเครดิตกรุงศรีปรับโฉมใหม่ เจาะไลฟ์สไตล์เข้าถึงเจนฯใหม่ ฝ่าภาวะเศรษฐกิจซบเซา เน้นสิทธิพิเศษ ‘กิน-เที่ยว-ช้อป’ พร้อมพอยต์สะสมสูงสุด 5 เท่า ร่วมมือศิลปิน Benzilla ออกแบบหน้าบัตร ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตั้งเป้าออกบัตรใหม่ 215,000 บัญชี และยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 240,000 ล้านบาท ปี 2569 รักษาสถานะ Top of Mind Brand ครองใจผู้บริโภคไทยกว่า 2.4 ล้านบัญชี        

October 1, 2025 / 0 Comments
read more

พอร์ตเบียร์ช้างขึ้น No.1 แชมป์ตลาดในไทย ทิ้งห่างแชร์2% จากเบอร์ 2 แผนบุกต่อตลาดเพื่อนบ้าน  

BizKet

ไทยเบฟฯ ครองส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในไทยอันดับ1 ยาวรวด 8 เดือนติด หลังใช้ 2 กลยุทธ์เข้าถึงนักดื่ม ส่วนแผนในตลาดเพื่อนบ้าน เปิดโรงงานใหม่ปลายปีในกัมพูชา แม้จะเป็นตลาดเล็กแต่ก็โตไวสุดในภูมิภาคนี้ รายได้เบียร์ของกลุ่ม 9 เดือนแรกปีนี้แตะ 96,497 ล้านบาท ลดลง 0.3% เทียบปีก่อน   ‘นงนุช บูรณะเศรษฐกุล’ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ประเทศไทย บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เจ้าของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์-นันแอลกอฮอล์ ระดับภูมิภาค เปิดเผยว่า ภาพรวมผลิตภัณฑ์เบียร์ในพอร์ตไทยเบฟฯ ตราช้าง, อาชา, เฟเดอร์บรอย ปัจจุบันครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 40% ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของตลาดเบียร์ไทย ประมาณ 8 เดือนติดแล้วโดยทิ้งห่างจากผู้เล่นเบอร์ 2 ราว 2%   ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมทางการตลาด 2 ช่องทางหลัก ได้แก่   การตลาดผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ดนตรี กีฬา และอาหาร เพื่อเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภค ทำให้ขยายฐานลูกค้าได้ดีขึ้น การขยายเครือข่ายอย่างแข็งแกร่ง ทั้งในช่องทางออนเทรด (On-trade) อาทิ ร้านอาหาร ผับ บาร์ และช่องทางออฟเทรด (Off-trade) เช่น ร้านสะดวกซื้อ โชห่วย ห้าง เป็นต้น         กัมพูชา ดื่มหนักสุดในอาเซียน     ด้าน ไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบียร์โค ลิมิเต็ด (BeerCo Limited) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และการตลาดผลิตภัณฑ์เบียร์หลายแบรนด์ในไทยและเวียดนาม เปิดเผยว่า บริษัทฯ ใช้งบลงทุนต่อเนื่อง (ปี 2567 – 2568) ราว 2,000 ล้านบาท  ตั้งโรงงานผลิตเบียร์ในจังหวัดกันดาล ประเทศกัมพูชา จะมีกำลังผลิต 50 ล้านลิตร/ปี คาดแล้วเสร็จในอีก 2 เดือนข้างหน้า   โดยการจัดตั้งโรงงานพร้อมเดินสายการผลิตได้ตามแผนที่วางไว้ จะทำให้ ต้นทุนราคาเบียร์ในกัมพูชาจะลดลง เพื่อหนุนการทำตลาดจากความต้องการผู้บริโภคท้องถิ่นเติบโตสูงมาก   “ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะผลิตเบียร์แบรนด์ใดในโรงงานใหม่แห่งนี้”   อย่างไรก็ตาม จากความขัดแย้งชายแดนไทยกับกัมพูชา แม้จะสร้างความตึงเครียดในแง่การเมืองจริง แต่ยังไม่เห็นผลกระทบมากนักต่อการบริโภคเบียร์ในกัมพูชา ด้วยเป็นการดำเนินธุรกิจในนามของเบียร์โค ซึ่งเป็นกิจการจดทะเบียนในสิงคโปร์ พร้อมทำตลาดผลิตภัณฑ์เบียร์ที่จากหลายประเทศ อาทิ เบียร์จากญี่ปุ่น เบียร์ไซง่อนจากเวียดนาม เป็นต้น     “แม้ว่าตลาดเบียร์กัมพูชาจะยังเป็นพอร์ตฯ เล็กของกลุ่ม แต่พบการเติบโตที่น่าสนใจ จากอัตราการดื่มเบียร์สูงสุดในอาเซียนในเชิงปริมาณ) ราว 50 ลิตรต่อคนต่อปี”       ปรับแผนรักษาตลาดเวียดนาม-เมียนมา     ด้าน เลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน กรรมการผู้จัดการซาเบโก้ (SABECO-Saigon Beer-Alcohol-Beverage Corporation) คือ ผู้ผลิตเบียร์และเครื่องดื่มรายใหญ่สุดในเวียดนาม (ไทยเบฟถือหุ้นใหญ่) เปิดเผยว่า เบียร์ไซง่อนยังครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในตลาดเบียร์ประเทศเวียดนาม ด้วยกลยุทธ์การขับเคลื่อนการทำตลาดขยายฐานนักดื่มหน้าใหม่ แม้ในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมตลาดเบียร์เวียดนาม จะมีปัจจัยลบจากการบริโภคชะลอตัว   โดยพบว่า พฤติกรรมการบริโภคเบียร์ของคนเวียดนามเปลี่ยนแปลงไป อาทิ   คนรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นวาย (Gen Y) ดื่มเบียร์น้อยลง คนรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นซี (Gen Z) มีแนวโน้มดื่มเบียร์ที่มีเปอร์เซ็นแอลกอฮอลล์น้อยลง     “บริษัทฯ ปรับตัวให้ทันอินไซด์ผู้บริโภค โดยเปิดตัวสินค้าเบียร์ที่มีแอลกอฮอลล์น้อยเพียง 4.3% และลดปริมาณสุทธิลง เพื่อรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่”       นอกจากนี้ บริษัทยังเร่งขยายเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่าย เน้นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เพื่อเข้าถึงลูกค้าวงกว้างขึ้น   ขณะเดียวกัน บริษัทยังติดตามอย่างใกล้ชิด ถึงผลกระทบจากกรณีรัฐสภาเวียดนาม อนุมัติร่างกฎหมายเพิ่มภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ขึ้นเป็น 70% ในปี 2570 และขึ้นอัตราสูงสุดที่ 90% ในปี 2573 จากปัจจุบันมีอัตราภาษี 65%   เลสเตอร์ กล่าวต่อ สำหรับธุรกิจเบียร์ในเมียนมา เป็นอีกตลาดที่ไทยเบฟทำผลงานได้ดี แม้ยังคงมีข้อจำกัดเรื่องสถานการณ์การเมืองภายในประเทศก็ตาม   สะท้อนจากกำลังการผลิตช่วงเริ่มธุรกิจในปี 2562 อยู่ที่ 50 ล้านลิตร/ปี ตอนนี้เพิ่มเป็น 150 ล้านลิตรแล้ว นับว่าเกินเป้าตั้งไว้ใน 5 ปีข้างหน้าไปแล้ว   มุ่งเป้าใหญ่ IPO เบียร์โค   ไมเคิล กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจเบียร์ของไทยเบฟ ใน 9 เดือนแรกปี 2568 ธุรกิจ มีรายได้ 96,497 ล้านบาท ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และมี EBITDA 12,573 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% (YoY)   โดยความท้าทายหลัก มาจากกำลังซื้อตลาดเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ประสบภาวะชะลอตัวลง สวนทางตลาดกัมพูชาที่เติบโตขึ้น ท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา   พร้อมเสริมถึงสถานการณ์ตลาดเบียร์ในไทย ต่อการเข้ามาทำตลาดเชิงรุกเบียร์ชิงเต่าจากจีนล่าสุด มองว่าตลาดเบียร์ในไทยไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมามีผู้เล่นหลายรายพยายามเข้าชิงส่วนแบ่งตลาดเบียร์มูลค่าหลักแสนล้านบาท แต่ยังไม่สามารถตีตลาดได้สำเร็จ     “แม้จะมีปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เราพยายามผลักดันการเติบโตของธุรกิจเบียร์ ทั้งในแง่วอลลุ่ม และกำไร เพื่อไปสู่เป้าหมายใหญ่ของไทยเบฟเดินหน้าพา BeerCo เข้า IPO”       Alternate-X สรุปให้       พอร์ตเบียร์ช้างของไทยเบฟขึ้นเบอร์ 1 ครองตลาดเบียร์ไทยกว่า 40% หลังใช้ 2 กลยุทธ์หลัก การตลาดเชิงไลฟ์สไตล์ และการขยายเครือข่ายจัดจำหน่าย ส่วนตลาดในอาเซียน ใช้งบลงทุนต่อเนื่อง 2,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานเบียร์ใหม่ในกัมพูชา รับดีมานด์ดื่มสูงสุดอาเซียน พร้อมปรับแผนรุกเวียดนาม–เมียนมา แม้เจอความท้าทายเศรษฐกิจและภาษี เดินหน้าพา BeerCo เข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์ (IPO) เป็นเป้าหมายใหญ่    

October 1, 2025 / 0 Comments
read more

สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน จากเศษวัสดุทางการเกษตร เมื่อขยะใบไม้แปรรูปเป็นเงินได้

EcoVative

บีแอลซีพี เพาเวอร์ สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านโครงการปุ๋ยใบไม้ เข้าถึงชุมนถ่ายทอดความรู้การกำจัดแปรรูปใบไม้-เศษวัสดุการเกษตรเป็นเงิน สร้างรายได้แก่ชุมชน ตั้งเป้าลดขยะใบไม้ให้ได้ปีละ 240 ตัน   อดิศร วังมูล ผู้อำนวยการสายงานบริหารและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ครอบคลุมหลายมิติ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม   สำหรับโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ ยังมุ่งนโยบายและพันธกิจด้านสังคมและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ทั้งการพัฒนาใช้เทคโนโลยีสะอาด การลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจัดการมลพิษและปริมาณของเสีย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการดำเนินงานด้านสังคมผ่านโครงการและกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ในหลายรูปแบบ เพื่อมีสวนร่วมสร้างความเข้าใจระหว่างชุมชนรอบโรงไฟฟ้า   “แนวทางดังกล่าวยังแสดงถึงความจริงใจโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในสมาชิกของสังคมและชุมชนเดียวกัน จากความไว้เนื้อเชื่อใจได้ส่งผลให้หลายโครงการของโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากการสนับสนุนและความร่วมมือขององค์กรส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และภาคประชาชนในพื้นที่”       โดยเฉพาะโครงการปุ๋ยใบไม้ของโรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จ พร้อมรับใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโครงการที่สนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (LESS)   เนื่องจากโครงการฯ นี้ ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 143.347 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังมีการต่อยอดความรู้สู่ชุมชนจนขยายผลเป็นวงกว้าง ทั้งการกำจัดใบไม้และเศษวัสดุชีวมวลทางการเกษตรในชุมชน ลดการเผาทำลาย สร้างมูลค่าจากวัสดุเหลือใช้สร้างรายได้ต่อชุมชน   ขณะที่ โครงการปุ๋ยใบไม้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2565 โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘ศาสตร์พระราชา’ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มุ่งเน้นความมั่นคงและยั่งยืน ก่อให้เกิดแนวคิดในการเพิ่มมูลค่าให้ขยะ แปรของเสียให้เป็นประโยชน์ ลดผลกระทบ เพิ่มคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการของเสียอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางภายในโรงงาน   โดยนำใบไม้จำนวนมากภายในโรงไฟฟ้ามาแปรรูปด้วยการหมักจนเป็นปุ๋ย ใช้ระยะเวลาในกระบวนการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดประมาณ 45 วัน จากเดิมต้องใช้ระยะเวลาถึง 6 เดือน และนำปุ๋ยที่ได้มาใช้ต่อในการบำรุงดิน ปลูกผักปลอดสารพิษเพื่อแจกจ่ายและนำมาทำเป็นอาหารให้แก่พนักงาน   จากความสำเร็จของโครงการฯ ที่เริ่มต้นในโรงไฟฟ้า ขยายผลสู่หน่วยงานส่วนท้องถิ่นและผู้นำชุมชน ผ่านการดูงานและการฝึกอบรมจนเกิดแนวร่วมที่แข็งแกร่ง   ดังนั้นการขยายผลโครงการฯ ในปี 2568 โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ จึงร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาระยอง เทศบาลนครมาบตาพุด สำนักงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ชุมชนห้วยโป่งใน 1 โรงเรียนชุมชนวัดตะเคียนงาม ตำบลปากน้ำประแสร์  อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ในการเผยแพร่องค์ความรู้โครงการปุ๋ยจากใบไม้ (แบบย่อยสลายเร็ว) โดยมีเป้าหมายลดขยะใบไม้ให้ได้ 240 ตัน   นอกจากโครงการปุ๋ยใบไม้ที่ประสบความสำเร็จและขยายโครงการสู่ระดับชุมชนแล้ว โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี เพาเวอร์ ยังมีอีกหลายโครงการในการบริหารจัดการของเสียอย่างครบวงจรอีกหลายโครงการ ซึ่งช่วยแปรของเสียให้เป็นประโยชน์ ลดผลกระทบ เพิ่มคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ   โครงการหนอนแม่โจ้ (BSF) การจัดการขยะอินทรีย์ โครงการธนาคารขยะ โครงการแนวกั้นขยะแม่น้ำระยอง โครงการ SeaCrafty กระเป๋าจากเศษอวน ฯลฯ   จากโครงการฯ ต่าง ๆ ของโรงไฟฟ้า BLCP ไม่เพียงมุ่งเน้นเพียงแค่การผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงทางพลังงานแก่ประเทศเท่านั้น แต่ยังมุ่งสู่เป้าหมาย Zero Waste และสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการนำองค์ความรู้ นวัตกรรม ผลที่ได้รับจากโครงการต้นแบบ ถ่ายทอด สร้างมูลค่า พัฒนาสังคมและร่วมสร้างความยั่งยืนแก่ท้องถิ่นและชุมชน เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอีกด้วย   ด้านพรทิพย์  โพธิบัวทอง ที่ปรึกษาคณะกรรมการชุมชนมาบข่า-สำนักอ้ายงอน กล่าวถึง โครงการปุ๋ยใบไม้เป็นหนึ่งโครงการที่ชุมชนให้ความสนใจ เนื่องจากคนในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรชาวสวน จึงมีใบไม้และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรจำนวนมาก จนบางครั้งเกิดปัญหาในการกำจัด   “จากเดิมชาวบ้านจะใช้วิธีกองทิ้งหรือฝังกลบ ซึ่งใช้เวลานานในการย่อยสลาย เมื่อมากเข้าก็กำจัดด้วยการเผาซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะ หรือถ้าขนไปทิ้งบ่อขยะก็สิ้นเปลืองแรงงานและค่าใช้จ่าย”   ดังนั้นทางชุมชนจึงมีความสนใจในการเข้ามาร่วมทดลองและนำความรู้จากโครงการฯ มาพัฒนาปรับใช้และผนวกเพิ่มเติมกับองค์ความรู้ของชุมชน โดยการพลิกกองและรดน้ำเพิ่ม ซึ่งทำให้ได้ผลในการย่อยสลายใบไม้และเศษวัสดุได้เร็วขึ้นจาก 30 – 45 วัน  เหลือเพียง 20 วัน โดยเกษตรกรจะได้ดินและปุ๋ย       “จากการย่อยสลายนำไปใช้ต่อภายในสวน ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อดิน-ปุ๋ยไปได้กว่าครึ่ง คุณภาพชีวิตของคนและชุมชนก็ดีขึ้นจากการลดการเผา ส่วนผลผลิตที่ได้ก็มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคด้วย”   ปัจจุบันการขยายผลโครงการปุ๋ยใบไม้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก โดยนอกจากจะใช้พื้นที่ของตัวเองในการเป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องปุ๋ยใบไม้ โดยเปิดให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมแล้ว ยังร่วมถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจในโครงการฯ นี้อีกด้วย   โดยมีชุมชนใกล้เคียง เทศบาล วัด โรงเรียน และ หมู่บ้านจัดสรร รวมแล้วกว่า 50 แห่ง เป็นแนวร่วมในการสานต่อโครงการฯ นอกจากนั้นยังกระจายไปยังฝั่งของประชาชนหรือบางชุมชนนำความรู้เรื่องปุ๋ยใบไม้ไปต่อยอดเป็นวิสาหกิจ ในการขายปุ๋ยใบไม้สร้างรายได้ ซึ่งมีมูลค่าถึงกิโลละ 10 บาท เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ผลของโครงการฯ   ทั้งนี้ นอกจากจะช่วยกำจัดและสร้างมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรแล้ว ยังช่วยลดการเผา ลดปริมาณและค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะ เกิดเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนต่อไปได้         Alternate-X สรุปให้   บีแอลซีพี เพาเวอร์ เดินหน้าโครงการ ปุ๋ยใบไม้ สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนจากเศษวัสดุการเกษตร ให้เปลี่ยนขยะใบไม้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ลดการเผาทำลายและมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกกว่า 143 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า พร้อมสร้างรายได้ใหม่แก่ชุมชน ตั้งเป้าลดขยะใบไม้ปีละ 240 ตันต้นแบบขยายผลสู่ท้องถิ่น โรงเรียน และชุมชนกว่า 50 แห่งทั่วระยอง

September 29, 2025 / 0 Comments
read more

3 ทุนใหญ่ไทยจีน ‘เบียร์ชิงเต่า–คาราบาว–นามยง’ ขยายตลาดเครื่องดื่มระดับภูมิภาค

BizKet

‘เบียร์ชิงเต่า’ เปิดเกมขยายตลาดอาเซียน หลังลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ‘คาราบาว–นามยง’ ร่วมบุกอุตสาหกรรมเบียร์และเครื่องดื่มจีน–ไทย ครบวงจร   เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มกลุ่มคาราบาว เปิดเผยว่า แบรนด์คาราบาวในฐานะผู้นำเครื่องดื่มฟังก์ชันนัล (Functional Drink) ของไทย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ บริษัทเบียร์ชิงเต่า ประเทศจีน และกลุ่มนามยง เทอร์มินัล  ประเทศไทยเพื่อร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระดับภูมิภาคโดยนำจุดแข็งธุรกิจทั้ง3 ฝ่าย ขยายอุตสาหกรรมเบียร์และเครื่องดื่มพร้อมยกระดับการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศไทย-จีน ร่วมกัน       เสถียร กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ คาราบาว จะอาศัยระบบช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งของบริษัท ร่วมส่งเสริมการบูรณาการอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย-จีน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน   ด้าน ดร.เทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ เตรียมนำจุดแข็งด้านประสบการณ์กว่า 50 ปี ครอบคลุมธุรกิจโลจิสติกส์ การค้าระหว่างประเทศ สื่อสารมวลชน คมนาคม พลังงาน และสาธารณสุข โดยท่าเรือในเครือของบริษัทฯ เป็นท่าเรือขนส่งรถยนต์แบบโรลออนโรลออฟ (ro-ro) รายเดียวในประเทศไทย ติดอันดับที่ 4 ของโลก และอันดับที่ 2 ของเอเชีย มีการส่งออกรถยนต์มากกว่า 1.5 ล้านคันต่อปี   ขณะที่ ในปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ความร่วมมือระหว่าง บริษัท ไทย ไชน่า เบฟเวอร์เรจ จำกัด ของนามยง เทอร์มินัล กับ บริษัทเบียร์ชิงเต่า และคาราบาว ถือเป็นสัญลักษณ์ของการยกระดับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนสองประเทศ โดยพร้อมจะต่อยอดความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนโครงการอย่างเต็มที่       ด้าน เจียง จงเสียง ประธานกรรมการบริษัทเบียร์ชิงเต่า กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนมิตรภาพ 50 ปีไทย-จีน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการเร่งขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศของเบียร์ชิงเต่า   ทั้งนี้ เบียร์ชิงเต่าเข้าสู่ตลาดไทยตั้งแต่ทศวรรษ 1990 และตลอด 20 ปีที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับบริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) ขยายฐานตลาดอย่างมั่นคง ปัจจุบันมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายครอบคลุมร้านค้ากว่า 2,000 แห่งทั่วไทย   ด้วยประสบการณ์กว่า 100 ปีและอิทธิพลครอบคลุมกว่า 120 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก เบียร์ชิงเต่าพร้อมเปิดเส้นทางใหม่ในตลาดไทยและอาเซียน โดยอาศัยทรัพยากรช่องทางจัดจำหน่ายและเทคโนโลยีการผลิตของคาราบาว เพื่อรองรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เบียร์ระดับพรีเมียม และขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ     “การลงนามครั้งนี้ วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับความร่วมมือเชิงลึกของทั้งสามฝ่าย ทั้งด้านเทคโนโลยี ตลาด แบรนด์ และเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่าย นับเป็นก้าวใหม่ครั้งสำคัญของการขยายตลาดในอาเซียนของเบียร์ชิงเต่า”         สำหรับพิธีลงนามฯ ครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี, คุณเจียง จงเสียง ประธานกรรมการบริษัทเบียร์ชิงเต่า, คุณเสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน), ดร.เทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน), คุณหม่า หนิง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้จัดการทั่วไปฝ่ายต่างประเทศของบริษัทเบียร์ชิงเต่า พร้อมด้วยผู้นำระดับสูงของเมืองชิงเต่า และผู้แทนจากแวดวงธุรกิจจีน–ไทย เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ร่วมกันเปิดศักราชใหม่แห่งความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเบียร์และเครื่องดื่มจีน–ไทย       Alternate-X สรุปให้   ความร่วมมือครั้งใหญ่ระหว่าง เบียร์ชิงเต่า–คาราบาว–นามยง สะท้อนมิตรภาพ 50 ปีไทย–จีน ทั้งสามฝ่ายผสานจุดแข็ง ตั้งแต่เทคโนโลยีการผลิต ช่องทางจัดจำหน่าย จนถึงโลจิสติกส์ระดับโลก เป้าหมายคือการขยายตลาดเบียร์และเครื่องดื่มสู่ไทยและอาเซียนอย่างเป็นระบบ ชิงเต่าใช้โอกาสนี้เร่งบุกตลาดอาเซียน ขณะที่คาราบาวและนามยงได้เครือข่ายการค้าใหม่ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการเชื่อมเศรษฐกิจไทย–จีนในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม  

September 29, 2025 / 0 Comments
read more

แบรนด์เสื้อยืดมุ่งจุดหมายเหนือกำไร โมเดลยั่งยืน Patagonia เทียบ YUEDPAO ‘ขายเอาเพื่อน’

BizKet

Patagonia ตัวอย่างแบรนด์แฟชั่นที่รุก ESG จริงจัง เมื่ออุดมการณ์กลายเป็นโมเดลธุรกิจ ในยุคที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าไม่ได้มองเพียงคุณภาพและราคาอีกต่อไป แต่ยังมองไปถึง คุณค่าทางสังคม ของแบรนด์ สิ่งที่บริษัทพูดออกมามีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างภาพลักษณ์   หนึ่งในตัวอย่างล่าสุดคือกรณีของ ยืดเปล่า (YUEDPAO) แบรนด์แฟชั่นสัญชาติไทยที่คุ้นเคยของกลุ่มคน Gen Y และ Gen Z ภายใต้บริษัท เริ่มใหม่ จำกัด จากผู้ก่อตั้ง ‘ทนงศักดิ์ แซ่เอี๊ยว’ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์   ความไวรัลในช่วงที่ผ่านมา ไม่ใช่จากการเปิดตัวคอเล็กชั่นใหม่ แต่เป็นการเปิดเผยผลประกอบการที่ทำให้หลายฝ่ายต่างประหลาดใจ และเกิดคำถามตามมามากมาย   จากข้อมูลระบุว่าใน ปี 2567 YUEDPAO มีรายได้ 1,183 ล้านบาท แต่กลับมีกำไรเพียง 1 ล้านบาท ตัวเลขนี้ ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเพียง 0.085% ซึ่งกลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน   ก่อให้เกิดการวิเคราะห์ถึงโมเดลธุรกิจที่ดูเหมือนจะ “ไม่สมเหตุสมผล” ในสายตาคนทั่วไป ซึ่งจากคำชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ค Yuedpao – ยืดเปล่า ยืดแต่ไม่ย้วย ‘ทนงศักดิ์’ บอกว่าเป็นการ ‘ขายเอาสังคม’     แรงบันดาลใจขายเพื่อสิ่งแวดล้อม     กรณีของ YUEDPAO ทำให้ Alternate-X นึกถึงแบรนด์เสื้อผ้าอย่าง Patagonia ของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ออกมาประกาศชัดนับแต่จุดเริ่มต้นกิจการว่า ไม่ได้บริหารเพื่อกำไรสูงสุด แต่มุ่งสร้างคุณค่าทางสังคม!!   โดยสิ่งที่ชวนคิดตามมา คือ จากบริบทเหล่านี้สะท้อน ถึงอุดมการณ์จริงๆ หรือเป็นเพียงการตลาดชั้นสูงที่ใช้คำสวยหรูมาปกปิดความจริงทางธุรกิจกันแน่!!   Patagonia แบรนด์เสื้อผ้า Outdoor จากสหรัฐฯ ที่ก่อตั้งโดย Yvon Chouinard นักปืนเขาชาวอเมริกันที่หลงใหลการผจญภัยกลางแจ้ง  ซึ่งสร้างชื่อจากแนวคิด ‘Business Unusual’ และการผูกพันธุรกิจเข้ากับสิ่งแวดล้อม   Yvon  Chouinard ในปี 1975 ผู้ก่อตั้ง Patagonia-ขอขอบคุณภาพจาก วิกิพีเดีย   Patagonia ก่อตั้งขึ้นในปี 1973 แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้แตกต่างตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่แค่การขายอุปกรณ์หรือเสื้อผ้าสำหรับนักปีนเขา แต่คือ การวางจุดยืนทางธุรกิจบนความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม   Chouinard เริ่มต้นจากการผลิตอุปกรณ์ปีนเขาที่ทนทานและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ก่อนจะต่อยอดสู่การผลิตเสื้อผ้ากลางแจ้งที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ   โดยตลอดเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา Patagonia ไม่เคยพยายามแข่งด้วย ‘แฟชั่น’ หากแต่แข่งด้วย ‘อุดมการณ์’ ที่มุ่งให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการปกป้องโลก   สิ่งนี้สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดผ่านหนึ่งในสโลแกนที่หลายคนจดจำได้ “We’re in business to save our home planet.”     ขอขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ค Patagonia   โมเดลยั่งยืนจากโครงสร้าง     โดยสิ่งที่น่าสนใจ คือ Patagonia ไม่ได้เพียงแค่ประกาศตัวว่า ‘รักษ์โลก’ เหมือนหลายแบรนด์ที่มักใช้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือทางการตลาด หากแต่บริษัทเลือกพิสูจน์เจตนารมณ์ผ่านโครงสร้างองค์กรและระบบธุรกิจ ที่จับต้องและตรวจสอบได้จริง   ตัวอย่างชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นในปี 2022 เมื่อ Yvon Chouinard ผู้ก่อตั้ง Patagonia และครอบครัว สร้างความฮือฮาในโลกธุรกิจด้วยการประกาศยกหุ้นทั้งหมดของบริษัท มูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับกองทุนและองค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อสิ่งแวดล้อม   โดยโครงสร้างถูกออกแบบอย่างมีนัยสำคัญ คือ Patagonia Purpose Trust ถือหุ้นมีสิทธิ์โหวตเพียง 2% เพื่อรักษาความตั้งใจดั้งเดิมของบริษัท   ส่วนอีก 98% ถูกโอนให้กับ Holdfast Collective องค์กรไม่แสวงหากำไรที่จะรับเงินปันผลและนำไปสนับสนุนการต่อสู้กับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ หมายความว่ากำไรต่อปีราว 100 ล้านดอลลาร์จาก Patagonia จะไม่ไหลเข้าสู่กระเป๋านักลงทุน แต่จะถูกเปลี่ยนเป็นทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง   นอกจากนี้ Patagonia ยังเป็นผู้บุกเบิกแนวคิด “1% for the Planet” ด้วยการประกาศมอบรายได้ 1% ของยอดขายทุกปีเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จนกลายเป็นเครือข่าย NGO และธุรกิจร่วมกว่า 5,000 รายทั่วโลก   ขอขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ค Yvon Chouinard   อีกทั้งบริษัทลงทุนมหาศาลในงานวิจัยวัสดุใหม่ ๆ ตั้งแต่ responsible wool ที่ปราศจากการทารุณกรรมสัตว์ ไปจนถึงการนำขวดพลาสติกรีไซเคิลมาผลิตเสื้อ fleece   อีกตัวอย่างคือวัสดุชีวภาพที่ช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะเดียวกัน Patagonia ยังใช้การตลาดในเชิงท้าทายผู้บริโภค โดยแคมเปญโฆษณา “Don’t Buy This Jacket” ในปี 2011 ได้เรียกร้องให้ผู้บริโภคคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าใหม่ พร้อมชี้ให้เห็นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการผลิต     ‘ระบบตรวจสอบได้’ คือ คีย์     จากทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Patagonia ไม่ได้หวังให้ผู้คนเชื่อเพียงเพราะคำพูดของผู้ก่อตั้ง แต่เลือกสร้างระบบที่ตรวจสอบได้ และยืนยาวกว่าตัวบุคคล ซึ่งกลายเป็นจุดต่างที่ทำให้แบรนด์สามารถรักษาความน่าเชื่อถือและต่อยอดพันธกิจทางสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้จริง     การตัดสินใจนี้แสดงว่า Patagonia สละสิทธิประโยชน์ของนักลงทุนเชิงพาณิชย์ทั้งหมด เพื่อยืนยันว่า บริษัทจะเป็นเครื่องมือในการช่วยโลกตลอดไป     สิ่งนี้ทำให้ Patagonia แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากแบรนด์อื่นที่ยังต้องบาลานซ์ระหว่าง ‘กำไร vs ความยั่งยืน’ เพราะ Patagonia กำไรทั้งหมดถูกกำหนดทิศทางไว้แล้ว     ขอขอบคุณภาพจาก YUEDPAO   สร้างความหมายให้แบรนด์     ในอีกฝากหนึ่งแบรนด์ YUEDPAO ซึ่งครั้งนึงเคยสร้างชื่อด้านแคมเปญสิ่งแวดล้อม เช่น นำพลาสติกรีไซเคิลจากทะเลไทยมาผลิตเป็นรองเท้า โดยใช้จุดขายยว่า ‘รองเท้า 1 คู่ เท่ากับการเก็บขวดพลาสติกหลายสิบใบออกจากทะเล’   กลยุทธ์นี้สอดรับกับกระแสการบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่ให้คุณค่ากับผลิตภัณฑ์ซึ่งมีความหมายทางสังคม ไม่เพียงเท่านั้น แบรนด์ยังมีเสื้อยืดที่ผลิตจากกระบวนการรีไซเคิลขวดพลาสติก PET และเศษผ้า เรียกว่า ‘เสื้อ EcoTech Timeless Wear’ ซึ่งระบุว่าช่วยลดขยะ ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และลดการปล่อยคาร์บอน. เสื้อรีไซเคิลนี้ไม่เพียงดีต่อโลก แต่ยังมีคุณสมบัติที่ดี เช่น ไม่ย้วย รีดง่าย และระบายอากาศได้   ‘เวลา’ บทพิสูจน์ของจริง   เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง Patagonia กับโมเดล ‘ขายเอาเพื่อน’ จะเห็นความต่างอย่างชัดเจน Patagonia เลือกสร้าง ความยั่งยืนผ่านโครงสร้างองค์กรและระบบทางกฎหมาย กำไรทุกบาทถูกกำหนดให้สนับสนุนโครงการสิ่งแวดล้อมอย่างถาวร ทำให้แบรนด์สามารถดำรงอุดมการณ์ได้แม้ผู้ก่อตั้งจะไม่อยู่   ในขณะที่ YUEDPAO ยังคงพึ่งพา คำพูดและ narrative ของผู้ก่อตั้ง เป็นหลัก ความน่าเชื่อถือของแบรนด์จึงยังไม่เป็นระบบตรวจสอบได้จากภายนอก หากทิศทางของผู้ก่อตั้งเปลี่ยนหรือเขาออกจากธุรกิจ อุดมการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและความตั้งใจในการ ‘ขายเอาเพื่อน’ อาจไม่ยืนยาว   ขณะที่ การสร้างแบรนด์แบบ YUEDPAO จึงมีความเสี่ยงในเชิงสถาบัน แต่ก็สะท้อน ความจริงใจและความใกล้ชิดกับผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งเป็นจุดแข็งด้านการสื่อสารและ storytelling อย่างชัดเจน   พูดง่ายๆคือ Patagonia พยายามพิสูจน์ผ่าน ‘โครงสร้างองค์กร’ ขณะที่ YUEDPAO พิสูจน์ผ่าน ‘คำพูดของผู้ก่อตั้ง’     สะท้อนแบรนด์ยั่งยืน     ทั้งนี้หากมองในเชิงธุรกิจ Patagonia กลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญว่า แบรนด์สามารถใช้โครงสร้างองค์กรเป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือด้าน ESG ได้จริง ต่างจากหลายแบรนด์ที่ประกาศเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมแต่ยังดำเนินธุรกิจเพื่อผู้ถือหุ้นเป็นหลัก   การยกกิจการเข้าสู่โครงสร้าง trust และ non-profit นับเป็นโมเดลที่ ‘radical’ หรือสุดโต่งที่สุดในโลกแฟชั่นปัจจุบัน และเป็นเครื่องยืนยันว่า Patagonia มองความยั่งยืนไม่ใช่กลยุทธ์การตลาด แต่เป็นพันธกิจถาวร   ขอขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ค Yuedpao – ยืดเปล่า ยืดแต่ไม่ย้วย เมื่อหันมาที่ YUEDPAO แบรนด์ไทยที่ก่อตั้งโดยกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นมิตรกับผู้บริโภคด้วยคุณภาพสินค้าในราคาดี และอาจได้รับแรงบันดาลใจจากแบรนด์รักษ์โลกตะวันตก อย่าง Patagonia หรือ Allbirds แต่โมเดลการพิสูจน์ความยั่งยืนแตกต่างออกไป   ด้วย YUEDPAO ใช้วิธี สื่อสารผ่านคำพูดและเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้ง มากกว่าใช้โครงสร้างองค์กรเป็นหลัก   ดังนั้น YUEDPAO ยังผูกติดกับ narrative ของผู้ก่อตั้งว่ามีวิสัยทัศน์รักษ์โลกจริงหรือไม่ มากกว่ามีโครงสร้างที่บังคับให้บริษัทเดินไปในทิศทางเดียวกันเสมอ   คำแถลงของแบรนด์ YUEDPAO ที่ชูแนวคิด ‘ขายเอาเพื่อน’ นั้นก็นับว่าสอดคล้องต่อการดำเนินแผนการตลาดที่ผ่านมาของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง community และ engagement ผ่านการบอกต่อและความจงรักภักดีของลูกค้า   นอกจากนี้ยังรวมไปถึงแนวทางการตลาดผ่านเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ทั้งการลงทุนในบิลบอร์ด รถเมล์ คอลแลบส์กับศิลปิน และกิจกรรมการกุศลสะท้อนว่า YUEDPAO ให้ความสำคัญกับ การสร้างประสบการณ์และความทรงจำเชิงบวก แม้ว่าจะส่งผลให้กำไรต่อหน่วยต่ำมาก     YUEDPAO ‘ขายเอาเพื่อน’     ขณะเดียวกัน แบรนด์ยังยืนยันไม่ขึ้นราคาแม้ต้นทุนสูง เพราะต้องการให้สินค้าสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย แนวคิด ‘Economy of Friend’ ชี้ให้เห็นว่า YUEDPAO ให้คุณค่ากับจำนวนผู้สนับสนุนและความสัมพันธ์มากกว่ากำไร การสร้างทุนทางสังคมลักษณะนี้สามารถแปลงเป็นมูลค่าในระยะยาวผ่านการบอกต่อและ engagement ของผู้บริโภค   แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวเลขผลประกอบการปี 2567 ของแบรนด์ที่รายได้ 1,135 ล้านบาท แต่กำไรเพียง 1.1 ล้านบาท อาจสะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงิน และความเสี่ยงสูง เนื่องจากยังไม่มี โครงสร้างองค์กรที่ผูกพันพันธกิจเข้ากับธุรกิจอย่างถาวร ทำให้ความยั่งยืนของแบรนด์ยังขึ้นอยู่กับคำพูดและวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง   กล่าวคือ อุดมการณ์ของ YUEDPAOเป็น ‘หลักฐานเชิงบุคคล’ มากกว่าที่จะเป็น ‘หลักฐานเชิงสถาบัน’ แบบ Patagonia   แม้คำพูดของเจ้าของแบรนด์สะท้อนความจริงใจและเจตนารมณ์ในการสร้างแบรนด์ไทยแบบที่มีคุณค่า แต่ในเชิงธุรกิจ ความยั่งยืนระยะยาวยังมีคำถามว่ามีความเป็นไปได้จริง? หรือเป็นเพียง narrative ที่สวยงามเท่านั้น   Alternate-X สรุปให้       Patagonia และ YUEDPAO คือ สองกรณีศึกษาของแบรนด์ที่มุ่งเน้นคุณค่ามากกว่าตัวเลขกำไร โดย Patagonia พิสูจน์ด้วยโครงสร้างองค์กรและการยกหุ้นเพื่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ YUEDPAO เลือกเล่าเรื่องผ่าน narrative ของผู้ก่อตั้งและ community ‘ขายเอาเพื่อน’ ทั้งสองสะท้อนการตลาดยุคใหม่ที่ผู้บริโภคมองหาความหมายและอุดมการณ์แต่ความต่างคือ ‘หลักฐานเชิงสถาบัน’ vs ‘หลักฐานเชิงบุคคล’ ต่อความยั่งยืน

September 29, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดเวลเนสไทยโต No.1 โลกแตะ 1.4 ล้านล้านบาท JSP สร้างอีโคซิสเต็มธุรกิจรับอนาคต

BizKet,  EcoVative,  Peace&Play

Wellness ประเทศไทยโตเป็นอันดับ 1 ของโลก เติบโต 28.4% มูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท กลุ่ม JSP  มองโอกาสวางโรดแมป 5 ปี ลุยโปรดักส์ครอบคลุม คน-สัตว์-พืช รับเทรนด์อนาคต Tailor-made medicine-Tailor-made cosmetic     สิทธิชัย  แดงประเสริฐ   ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า JSP วางโรดแมประยะยาว 5 ปี เพื่อก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดสุขภาพแบบครบวงจร ‘Health Innovation Group’ ไปพร้อมขับเคลื่อนบริษัทในเครือแบบบูรณาการ ประกอบด้วย   บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด (มหาชน) (GWM) ดำเนินธุรกิจธุรกิจโรงงานผลิตน้ำยาล้างไต (A-B Solution) ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำยาสำหรับผู้ป่วยฟอกไต นำเข้าเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (CDIP) ประกอบธุรกิจรับจ้างวิจัยเชิงวิชาการในห้องปฏิบัติการ รับจ้าง ทดสอบและวิเคราะห์ผลทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงจัดงานฝึกอบรมและสัมมนา และส่วนงานให้คำปรึกษาการยื่นขอทุนวิจัยด้านการวิจัยและพัฒนา บริษัท แคร์ซูติก จำกัด (CST) บริษัทที่ให้บริการด้านอินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ ที่มีทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงรับจ้างผลิต (OEM) ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอาง รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคน และสำหรับสัตว์ ที่ครอบคลุมทั้งสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เช่น สุนัข และแมว และสัตว์ในการเลี้ยงสำหรับการทำปศุสัตว์ เช่น หมู ไก่ เป็นต้น บริษัท วารี เมดิคอล จำกัด (WRM) ให้บริการด้านการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบน้ำบริสุทธิ์ (RO) บริษัท เมดิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Medis) ผู้ให้บริการตู้จำหน่ายยาอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง   ล่าสุด JSP ประสบความสำเร็จในการนำ GWM เข้าตลาด LiVEx ชื่อหุ้น GMW25 ซึ่งการเข้าตลาด LiVEx ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ GWM สามารถเติบโตได้เองในธุรกิจการผลิตน้ำยาฟอกไต AB Solution การนำเข้าเครื่องฟอกไตหรือเครื่องฟอกเลือดมาขายแล้วก็ปล่อยเช่าให้ศูนย์ฟอกไต   สำหรับธุรกิจ RO วางเป้าหมายเติบโตอย่างน้อยปีละ 10% จากปัจจุบันบริษัทฯ มีกลุ่มลูกค้าคลินิกฟอกไตราว 150 สาขา และมองเห็นโอกาสเติบโตอีกมาก จากภาพรวมทั้งตลาดมีคลินิกฯทั้งหมดอประมาณ 1,300 คลินิก โดย GWM มีส่วนแบ่งการตลาดของอยู่ที่ประมาณ 10%   สร้างระบบนิเวศน์ธุรกิจ   สิทธิชัย  เสริมว่า การเติบโตของ GWM ยังมีผลต่อ JSP แบบบูรณาการต่อบริษัทลูกอื่นๆ อาทิ CDIP จะเข้าไปคิดค้นสูตรผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยโรคไต เช่น ครีมสำหรับผู้ป่วยโรคไต จากนั้น CDIP จะส่งสูตรไปยัง บริษัทแคร์ซูติก ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องสำอาง   นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่เป็นกลุ่มเวลล์เนส Wellness เพื่อสุขภาพ ด้านอาหารเสริมชงดื่ม ซึ่งผลิตที่ แคร์ซูติก หรือที่ JSP ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เพื่อรองรับเทรนด์ในอนาคตที่จะมีผลิตภัณฑ์ Wellness สำหรับผู้ป่วยเฉพาะโรคที่เป็น Tailor-made medicine และ Tailor-made cosmetic มากขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจที่จะมาส่งเสริมการเติบโตของทางกลุ่มบริษัทเรา   ทั้งนี้จากโรดแมป 5 ปีของ JSP สู่การเติบโตเป็นผู้นำในธุรกิจสุขภาพ (Wellness)  ยังมุ่งพัฒนาเวชภัณฑ์เกี่ยวกับยา อาหารเสริม เครื่องสำอาง สมุนไพร ให้กับทั้งคน สัตว์ และพืช อย่างครบวงจร เริ่มจากกระบวนการต้นน้ำ ด้านวิจัยและพัฒนา ส่วนกลางน้ำ มีโรงงานผลิต และปลายน้ำคือการสร้างแบรนด์และจัดจำหน่าย เช่นการสร้างแบรนด์สุภาพโอสถที่เป็นรู้จักอย่างแพร่หลายในแบรนด์แม่อี๊ดดวงใจ   “ปัจจุบันเราประสบความสำเร็จกับผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับคนแล้ว อีก 5 ปี เราตั้งเป้าว่า เราจะโดดเด่นในอาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงเครื่องสำอางสำหรับสัตว์เลี้ยง และอาหารเสริมพืช”         สิทธิชัย  กล่าวว่า JSP ให้ความสนใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพืช จากปัจจัยหลักผู้คนต้องกินพืชผักที่ดีไม่มีสารตกค้าง ซึ่งเป็นประเด็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อธุรกิจ Wellness ที่นำไปสู่การมีสุขภาพดีของผู้คน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มบริษัท   พร้อมกล่าวต่อในกลุ่มสินค้าตู้จำหน่ายยา ได้เริ่มพัฒนาพร้อมปรับปรุงให้ตรงใจผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการนำสินค้าใหม่ใหม่เข้าไปจัดจำหน่ายในตู้ Vending Machine มากขึ้น โดยวางเป้าหมายเติบโต 10% – 20% ได้ภายใน 5 ปี และมองถึงโอกาสการนำบริษัทลูกเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในอนาคต   ทั้งนี้ จากแผนและเป้าหมายการเติบโตดังกล่าวของ JSP คาดมาจาก 2 ปัจจัยเข้ามาสนับสนุน คือ   การเข้าสู่โครงสร้างสังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ รัฐบาลใหม่มีแผนที่จะยกจุดแข็งด้าน Wellness ของไทยให้เป็นธีมในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติให้มาพักผ่อนในไทย เนื่องจากประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านการแพทย์ในระดับโลก   โดยสอดคล้องกับข้อมูลจากภาคเอกชนที่พบว่าตลาด Wellness ของประเทศไทยเติบโตเป็นอันดับ 1 ของโลก ระหว่างปี 2565 – 2566 โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 28.4% มูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก   ทั้งนี้ การนำจุดเด่นด้านนี้มาผนึกกับการท่องเที่ยวของรัฐบาลใหม่ คาดจะส่งผลดีมายังธุรกิจด้านยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสมุนไพรไทยโดยตรง   “แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวแต่เรายังมี  Wellness ที่เป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญที่จะนำมาให้เศรษฐกิจโดยรวมเติบโตได้อย่างมหาศาล”   เนื่องจากทั้งภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ได้ประโยชน์แล้ว ภาคการผลิตยาและอาหารเสริม ก็จะได้ประโยชน์ในวงกว้างทั้งห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ คนแปรรูปได้ประโยชน์ เกษตรกรได้ประโยชน์ รากหญ้าครัวเรือนได้ประโยชน์     Alternate-X สรุปให้     ตลาด Wellness ไทย โตแรงสุดในโลก 28.4% มูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท ด้าน JSP ปักโรดแมป 5 ปี สร้างอีโคซิสเต็มครบวงจร ตั้งแต่วิจัย ผลิต ไปจนถึงการจัดจำหน่าย แตกไลน์ธุรกิจจากยา อาหารเสริม เครื่องสำอาง ไปถึง อาหารเสริมสัตว์และพืช หลังดันบริษัทย่อยเข้า LiVEx และเล็งตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอนาคตรับปัจจัยหนุน สังคมผู้สูงวัย + นโยบายรัฐผลักดันไทยเป็นศูนย์กลาง Wellness Tourism  

September 27, 2025 / 0 Comments
read more

ธุรกิจออสเตรเลียสนใจไทย ทำเทคโนโลยีเกษตร ‘Biochar’ ผ่าน SX2025 มหกรรมความยั่งยืน

EcoVative

จากจุดเริ่มต้น ในการสร้างความตื่นตัวเรื่องความยั่งยืนในกลุ่มคนทั่วไปและองค์กรชั้นนำเมื่อ 6 ปีก่อน วันนี้งานมหกรรมความยั่งยืนประจำปี 2025 หรือ Sustainability Expo 2025 (SX2025) ได้ขยายผลด้านความร่วมมือเชิงธุรกิจออกไปอีกขั้น   โดยหลังจากในปีที่ผ่านมา องค์กรในภาครัฐและเอกชนหลายราย ได้เริ่มเปิดการเจรจาความร่วมมือกันไปแล้ว และคาดว่าจะสามารถสรุปผลและนำไปสู่ความร่วมมืออย่างจริงจังงกันในปีนี้   ในงานฯ นอกจากการจัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมต่างๆ สำหรับสาธารณชนแล้ว เวทีกิจกรรมเชิงธุรกิจซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของงาน SX2025 เป็นอีกหนึ่งกลไกที่ขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืนในหลายมิติ ตั้งแต่ผลักดันการระดับนโยบายไปจนถึงกิจกรรมทางธุรกิจ ให้ขึ้นจริง   ขณะที่ ‘ออสเตรเลีย’ เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการเกษตรและมีความก้าวหน้าเรื่องกิจกรรมด้านความยั่งยืนมากในภูมิภาคนนี้ เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจและมีบทบาทในเวทีกิจกรรมเชิงธุรกิจของงาน SX มาตลอด   โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา สำนักงานการพาณิชย์และการลงทุนออสเตรเลีย (ออสเทรด) ได้นำทีมบริษัทและสถาบันชั้นนำของออสเตรเลียมาร่วมนำเสนอข้อมูลและพบปะกับหน่วยงานของไทย เพื่อสำรวจโอกาสที่จะร่วมมือกันสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ   ผ่านเทคโนโลยีการเกษตร เมืองอัจฉริยะ ทักษะสีเขียว (Green Skills) หรือทักษะที่จะทำให้คนยุคใหม่ใช้ชีวิตหรือดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเราได้มากขึ้น     อมีเลีย วอลช์ ทูตพาณิชย์และการลงทุนอาวุโสและอัครราชทูตที่ปรึกษา (การพาณิชย์) สำนักงานการพาณิชย์และการลงทุน (ออสเทรด) เล่าว่า หลังจากการเข้าร่วมงานในปีที่แล้ว ประเทศออสเตรเลียได้ทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ   สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้า บริษัทเอกชนทั้งกลุ่มที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอยู่แล้วและกลุ่มที่กำลังมองหาโอกาสร่วมเป็นพันธมิตรกับประเทศไทย   ขณะเดียวกันบริษัทของออสเตรเลียได้แสดงความสนใจที่จะมาทำธุรกิจหรือร่วมเป็นพันธมิตรกับองค์กรของไทยหลายราย โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีการเกษตร  Biochar หรือการนำของเสียของเหลือใช้จากการทำการเกษตร มาทำปุ๋ยหรือปรับปรุงคุณภาพดินแทนการเผาทิ้ง อุปกรณ์ติดปศุสัตว์เช่น สุกร เพื่อติดตามดูสุขภาพสัตว์   ขณะที่ มหาวิทยาลัยเมอร์ด็อก (Murdoch University) ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยนเรศวรในการเปิดห้องปฏิบัติการวิจัยในหัวข้อ “การใช้ประโยชน์จากขยะและเศรษฐกิจหมุนเวียน” เพื่อส่งเสริมการวิจัยและการฝึกอบรมร่วมกันในการเปลี่ยนขยะ เช่น ฟางข้าว เศษอาหารและผลไม้ ให้เป็นไบโอพอลิเมอร์และพลาสติกชีวภาพ   นอกจากนี้ หลายบริษัทที่ได้มีการเจรจาเป็นพันธมิตรกับบริษัทในประเทศไทยยังเตรียมที่จะเซ็นสัญญาความร่วมมือเพื่อทำเรื่องความยั่งยืนให้เกิดเป็นรูปธรรม   นอกจากกิจกรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กรของประเทศต่างๆ แล้ว เวทีกิจกรรมเชิงธุรกิจที่ชั้น 2 ภายในงาน SX2025 ยังมีการเสวนาและการพบปะของภาคธุรกิจอีกมากมาย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ระหว่างองค์กรต่างๆ อาทิ   การพบปะและแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์ของวิสาหกิจชุมชน องค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ทำงานด้านความยั่งยืน บทบาทของการศึกษาที่จะกำหนดอนาคตอุตสาหกรรมต่างๆ ในอาเซียน การเสวนาเรื่องความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ การนำเสนอเทคโนโลยีเรื่องเมืองอัจฉริยะของประเทศจีน การพบปะกันระหว่างประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความยั่งยืนขององค์กรชั้นนำของไทยและประเทศต่างๆ ในภูมิภาค   แม้ว่ากิจกรรมเหล่านี้จะเป็นเวทีที่ไม่ได้เปิดให้สาธารณชนเข้าฟัง แต่เป็นเวทีที่มีพลังและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนที่ภาคเอกชนและภาคธุรกิจต่างก็ให้ความสำคัญ และส่งผลให้เกิดการลงมือทำจริง   โดยงานมหกรรมความยั่งยืนหรือ Sustainability Expo จึงเป็นแพลตฟอร์มสำหรับทุกคนในสังคม ที่จะผลักดันให้เกิดแรงกระเพื่อมได้จริงๆ   พร้อมเจาะลึกแนวทางธุรกิจยั่งยืนกับเครือข่ายธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (B2B) เพื่อก้าวตามให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ตลอด 10 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน – วันที่ 5 ตุลาคม 2568  เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)   อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง ไทยเบฟ x เนชั่นแนล จีโอฯ ทำสารคดียั่งยืนระดับโลก ใช้ทีมไทยร่วมผลิต เปิดตัวงาน SX2025 ส่องโลกอนาคตยั่งยืน เอาไปต่อยอดไอเดียธุรกิจ-ชีวิต งาน ‘SX 2025’ กับ 10 ไฮไลท์ชวนว้าว!! หาทางรอดโลกรวน ป่วนเศรษฐกิจ-สังคม-คน ชวนปรับตัว-ทำจริงในงาน ‘SX2025’     AlternateX สรุปให้     SX2025 มหกรรมความยั่งยืน ปีนี้ขยายผลสู่ความร่วมมือทางธุรกิจมากขึ้นขณะที่ออสเตรเลีย แสดงบทบาทสำคัญ นำบริษัท-สถาบันชั้นนำเจรจากับไทย พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีการเกษตร Biochar และ Green Skills ได้รับความสนใจสูง ด้านมหาวิทยาลัยเมอร์ด็อกร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ตั้งแล็บวิจัยขยะสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน โดย SX2025 เป็นเวทีสำคัญที่ผลักดันความยั่งยืนทั้งในระดับนโยบายและธุรกิจจริง

September 27, 2025 / 0 Comments
read more

ชวนไปดูสงครามอนาคต คนกับนักรบเอไอ ใครจะชนะ!?! ‘Tron: Ares ทรอน แอรีส’

Peace&Play,  WeView

ภาพยนตร์ใหม่ ‘Tron: Ares ทรอน แอรีส’ กับพล็อตเรื่องเกินจินตนาการโลกดิจิทัล ของสงครามระหว่างมนุษย์และนักรบเอไอสุดอัจฉริยะ ชวนซื้อตั๋วล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ ก่อนฉายจริง 9 ตุลาคม ในโรงภาพยนตร์   ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนหนังทั่วโลกกับ ‘Tron: Ares ทรอน แอรีส’ แฟรนไชส์ภาพยนตร์แอ็คชันไซไฟขวัญใจมหาชน ‘Tron’ จาก Walt Disney Studios ที่จะพาแฟนหนังกลับสู่โลกดิจิทัลสุดล้ำ ทั้งยิ่งใหญ่และเข้มข้นกว่าเดิม พร้อมตื่นตาตื่นใจไปกับแสงสี งานภาพ และงานเสียง จัดเต็มแบบทะลุจอ   ดำดิ่งสู่โลกดิจิทัล   หลังจากห่างหายไปกว่าทศวรรษ ‘Tron: Ares ทรอน แอรีส’ จะพาผู้ชมกลับสู่โลกดิจิทัลสุดล้ำอีกครั้ง กับการเผชิญหน้ากันครั้งแรกระหว่างมนุษย์กับเอไอ เมื่อปัญญาประดิษฐ์ที่มีความซับซ้อนสูงอย่าง Ares (Jared Leto) ถูกส่งมาทำภารกิจสุดอันตรายในโลกจริง การได้สัมผัสกับสิ่งรอบตัวและมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ทำให้จิตสำนึกและมโนธรรมของเขาเริ่มพัฒนาขึ้น ในขณะที่ต้องทรยศต่อคำสั่งและถูกตามล่าอย่างไม่ลดละ จนเกิดเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และเพื่ออนาคตที่เทคโนโลยีและมนุษยชาติจะสามารถอยู่ร่วมกันได้   Ost. จากวงร็อกดินดัสเทรียลระดับตำนาน   นอกจากความมัน ความตื่นตาตื่นใจจากงานภาพ Visual Effects และฉากแอ็คชันต่าง ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังโดดเด่นด้านดนตรีและเพลงประกอบ ซึ่งแต่งโดย Nine Inch Nails วงร็อกอินดัสเทรียลชื่อดังระดับตำนาน ที่จะช่วยเพิ่มความอินถึงขีดสุด และที่สำคัญ ยังเป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทำเพื่อระบบ IMAX โดยเฉพาะ เพื่อให้แฟน ๆ ได้สัมผัสทั้งความตื่นเต้น ความระทึก และความอลังการอย่างเต็มอารมณ์ บนระบบ IMAX     ทีมนักแสดง-การผลิต   ‘Tron: Ares ทรอน แอรีส’ เป็นผลงานของผู้กำกับ Joachim Ronning โดยได้ทีมนักแสดงมากฝีมือมาร่วมแสดง อาทิ Jared Leto Greta Lee Evan Peters Jodie Turner-Smith Hasan Minhaj Arturo Castro Cameron Monaghan ร่วมด้วย Gillian Anderson และ Jeff Bridges ทีมโปรดิวเซอร์ประกอบด้วย Sean Bailey Jared Leto Emma Ludbrook Jeffrey Silver Justin Springer Steven Lisberger โดยมี Trent Reznor & Atticus Ross, Russell Allen และ Joseph Kosinski เป็นเอ็คเซคคูทีฟโปรดิวเซอร์ บทภาพยนตร์โดย Jesse Wigutow เนื้อเรื่องโดย David DiGilio และ Wigutow สร้างจากตัวละครที่สร้างสรรค์โดย Steven Lisberger และ Bonnie MacBird เพลงประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมประพันธ์โดย Nine Inch Nails   ‘Tron: Ares ทรอน แอรีส’  เตรียมเข้าฉาย 9 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์และระบบ IMAX ไม่อยากโดนสปอยล์ ซื้อตั๋วล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ที่ Major: https://majorcineplex.app.link/fxdCEjqdzWb SF: https://sfcinema.co/TronAres         Alternate-X สรุปให้       Tron: Ares ทรอน แอรีส กลับมาอีกครั้งหลังห่างหายกว่าทศวรรษ พร้อมพล็อตสงครามมนุษย์ vs AI ด้วยเรื่องราวของ Ares (Jared Leto) ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกส่งสู่โลกจริง และต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์ พร้อมความขัดแย้งระหว่างคำสั่งกับจิตสำนึก ก่อให้เกิดการต่อสู้เพื่ออนาคตของมนุษย์และเทคโนโลยี เพิ่มขีดความมันภาพ-เสียงจัดเต็มด้วย Visual Effects และเพลงประกอบจาก Nine Inch Nails เพิ่มอรรถรสขั้นสุด เตรียมเข้าฉาย 9 ตุลาคม 2025 ทั้งในโรงภาพยนตร์และระบบ IMAX

September 27, 2025 / 0 Comments
read more

‘Brainrot Marketing’ ทำไมคอนเทนต์ไร้สาระถึงขายได้? เจาะกลยุทธ์ไวรัลที่ Gen Z หยุดไถไม่ได้

BizKet

กระแส ‘เบรนร็อต’ Brainrot คอนเทนต์ออนไลน์ที่เจอกันบ่อย ๆ ในแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น อย่าง TikTok ที่มีลักษณะเป็นคลิปวนลูปซ้ำ ๆ เต็มไปด้วยมีมหรือเสียงที่ดูไร้สาระ จนติดหู ติดตาแต่คอนเทนต์คลิปแบบนี้แล่ะ ที่กลับสร้างความบันเทิงและกลายเป็นไวรัลได้รวดเร็ว   โดยคำว่า Brainrot  แม้จะแปลตรงตัวว่า ‘สมองเน่า’ แต่ในเชิงวัฒนธรรมชาวโซเชียล สิ่งนี้กลับหมายถึงการเสพคอนเทนต์จน ‘เบลอ ๆ มึน ๆ’ แต่ยังรู้สึกสนุก เพลิดเพลิน และหยุดดูไม่ได้   ขณะที่ในมุมการตลาด Brainrot คือ กลยุทธ์สร้างการจดจำ ผ่านความแปลก ขำขัน และการตัดต่อแบบ ‘ไร้เหตุผล’ ที่เข้ากับพฤติกรรม Gen Z และ Gen Alpha ซึ่งชอบคอนเทนต์เร็ว กระชับ และแชร์ง่าย     [อยากปล่อยสมองให้โล่ง]   สำหรับกระแส Brainrot  เกิดจากแพลตฟอร์ม TikTok ช่วงปี 2023–2024 มีต้นทางจากวิดีโอสั้นที่เต็มไปด้วย มีม เสียงแปลก ๆ และภาพตัดต่อแนววุ่นวาย (chaotic edit) ที่เข้ามาสร้างความตลกหลุดโลก และไวรัล แพร่กะจายไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบเสพคอนเทนต์แบบ ‘ไร้สาระแต่ดูเพลินจนหยุดไม่ได้’     [แล้วทำไมกระแสนี้ฮิตในเจนฯZ]     เทรนด์ Brainrot ที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ยังสะท้อนความเป็นเหล่าเจนเนอเรชั่นซี Gen Z ด้วยไม่ยึดติดกับกรอบการสื่อสารแบบเดิม ๆ ต้องการทุกอย่างรวดเร็ว ฉับไว ดูแล้วเข้าใจในทันที   ขณะที่ การผสมผสาน เสียงแปลก ๆ มาพร้อมตัวละครมีม และคำพูดติดหู ทำให้เป็นคอนเทนต์ที่แชร์ง่าย กลายเป็นเครื่องมือ ‘ภาษากลาง’ ของคนรุ่นใหม่ในการสื่อสารและแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง   [ไร้สาระนะแต่ก็เพลินอ่ะ]     แล้ว Brainrot คืออะไร?!?  จากบริบทในข้างต้นอาจจำกัดความได้ว่า ‘Brainrot’ คือ คอนเทนต์แนว ‘ทำให้สมองเบลอเพราะเสพมากเกินไป’ แต่ในเชิงบวกหมายถึงคอนเทนต์ที่ ติดหู ติดตา ง่ายต่อการจดจำ มักเป็นวิดีโอสั้นที่ใช้เสียงวน ๆ ภาพซ้ำ ๆ หรือมีมที่ดูขัดแย้งแต่สนุก   โดยแก่นสำคัญ คือ ความครีเอทีฟแบบไม่มีเหตุผลตายตัว   [แบรนด์สินค้าหยิบมาเล่นใหญ่]     ต่อกระแสที่เกิดขึ้นและไวรัลอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้สินค้า แบรนด์ ต่าง ๆโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าแนวร่วมสมัยที่แม้จะมีอายุเก่าแต่ไม่ยอมขอแก่ ต่างหยิบเอากระแสนี้มาใช้ในการทำตลาดด้วยเช่นกัน   เห็นได้จากหลายแบรนด์ใหญ่เริ่มนำ Brainrot มาเล่น อย่าง   Pepsi ในช่วงที่ผ่านใช้กลยุทธ์ ‘Brainrot’ เพื่อเป็นการปรับตัวของแบรนด์ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่คุ้นเคยกับสื่อและเนื้อหาที่สั้น กระชับ และมีความเป็นชาวเน็ทติเซ่นสูง โดยร่วมมือกับครีเอเตอร์ และ เหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ ที่นอกจากโปรโมตสินค้าแล้วยังร่วมมือกันตั้งแต่ขั้นตอนการสร้างสรรค์เนื้อหา ทำให้โฆษณาที่ออกมามีความเป็นธรรมชาติและตรงกับภาษาและวัฒนธรรมของชุมชนออนไลน์มากขึ้น อย่างมีม Messi Pepsi    McDonald’s หยิบกระแส Brainrot มาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดเพื่อมีส่วนร่วมกับคนรุ่นใหม่ในหลากหลายคลิปสั้น รวมถึงในแคมเปญ ‘WcDonald’s’ ที่เป็นการเปลี่ยนโลโก้จากตัว M เป็น W และสร้างโลกเสมือนจริงที่อิงจากวัฒนธรรมอนิเมะและมังงะ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่คุ้นเคยกับกระแสนี้เป็นอย่างดี   ทีนี้ ลองกลับมาฝั่งแบรนด์และการตลาดไทยในเวลานี้ด้วย KFC ไทย ได้สร้างคาแรกเตอร์ ‘ชิซซาลูลู่’ พร้อมเพลงติดหู ‘ชิซซาลูลู่ ชิซาลาลา’ เพื่อแนะนำสินค้าเมนูใหม่ภายใต้กลยุทธ์  Product Innovation อย่าง ‘ชิซซ่า’ พิซซ่าไก่กรอบฮอทแอนด์สไปซี่ มาขอชิงส่วนแบ่งกระเพาะในกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่   อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง   ‘KFC’ เล่นใหญ่ ส่งเมนูใหม่ท้ายปี ‘ชิซซ่า’ ขวัญใจชาวเจนฯZ รับจบในร้านเดียวได้กินทั้งไก่-พิซซ่า     นอกจากแบรนด์เคเอฟซี แล้ว ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อย่างเฟซบุ๊ค และ ติ๊กต๊อก เองก็มีไวรัลคอนเทนต์ที่คล้ายคลึงกับเทรนด์ ‘Brainrot’ ซึ่งครีเอทผ่านครีเอเตอร์ไทย อย่างช่อง โจ๊ก IScream ผ่านคอนเทนต์เพลง ‘My Name Is Brian’ ที่มีเนื้อเพลงซ้ำ ๆ ไม่มีโครงสร้างเรื่องราว   แต่ใช้ประโยคเด็ดจากมีมไวรัลอย่าง ‘My Name Is Brian, I’m 24 years old, I’m from Korea’ ถือเป็นการใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับปรากฏการณ์ ‘Brainrot’ เพื่อดึงดูดความสนใจของชาวโซเชียลในปัจจุบัน   โดยหลังเพลงดังกล่าว ถูกปล่อยออกมาผ่านสื่อโซเชียลแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จากเหล่า Netizen เมื่อได้ฟังเพลงนี้แล้วยังมาพร้อมกับคอมเมนต์หยอกล้อเจ้าของช่อง โจ๊ก IScream ที่ส่วนใหญ่มีมติเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “คำพูดมากมายแต่ความหมายไม่มี” (ในเนื้อเพลง) แต่ทำไงได้เพลงนี้ ก็ติดหูไปเสียแล้ว พร้อมจดจำเจ้าของช่องไปโดยปริยาย อีกด้วย     [ไม่อยากตีความแต่ทำให้จำได้]     จากกระแสที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่กลยุทธ์ ‘Brainrot Marketing’ ที่มีจุดเด่นจากความไร้สาระ หรือความตลกแบบเหนือจริง (Absurdity/Surrealism) ด้วยเนื้อหาที่ไม่มีความหมายชัดเจน หรือไม่มีความจำเป็นต้องมีเนื้อเรื่อง กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฟังหรือผู้ชมไม่ต้องใช้พลังงานในการตีความ และสามารถเสพความตลกจากความ ไม่สมเหตุสมผล ได้ทันที แถมยังต่อยอดไปสู่การสนทนาในเชิงไวรัลได้อีกในหลายต่อ   นอกจากนี้ยังเป็นไวรัล คอนเทนต์ มาร์เก็ตติ้ง ที่แพร่กระจายรวดเร็วในเหล่าเจนฯ Z ซึ่งเป็นกลุ่มกำลังซื้อคนรุ่นใหม่ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าบริการในยุคดิจิทัล ที่ชื่นชอบความสั้นฉับไว   โดยในวันนี้ กระแส Brainrot ไม่ได้อยู่แค่กับครีเอเตอร์ แต่กลายเป็น เครื่องมือสื่อสารของแบรนด์สินค้าเพื่อทำตลาดให้โดนใจคนรุ่นใหม่ไปแล้วเช่นกัน   An AI-generated cover image by Google Gemini     Alternate-X สรุปให้      กระแส Brainrot คอนเทนต์วิดีโอสั้นไร้สาระแต่ดูเพลิน กลายเป็นไวรัลบน TikTok หลังชาว Gen Z และ Gen Alpha เสพคลิปวน ๆ มีมแปลก ๆ จนหยุดดูไม่ได้ ขณะที่แบรนด์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Pepsi และ McDonald’s นำมาใช้ทำแคมเปญเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยในไทย KFC ก็ใช้กลยุทธ์ Brainrot เปิดตัวเมนูใหม่ “ชิซซ่า” พร้อมเพลงไวรัลติดหู Brainrot Marketing สะท้อนกลยุทธ์แบรนด์ยุคดิจิทัล ที่เน้นความไร้เหตุผลแต่สร้างการจดจำ

September 27, 2025 / 0 Comments
read more

ทองคำโลก ราคาแรง ผลตอบแทนสูงสุดรอบ 46 ปี YLG มองทองไทยเป้า 5.7 หมื่นบ.

BizKet

YLG ชี้ทองไทยทำจุดสูงสุดใหม่ 5.7 หมื่นบาทต่อบาททองคำ แรงหนุนจากทองโลกทำ New All Time High เป็นปีที่ทองคำโลกให้ผลตอบแทนมากที่สุดในรอบ 46 ปี มองเป้าหมายทองไทยปีนี้ยังคงที่ 57,000 บาทต่อบาททองคำ   พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ราคาทองไทยขึ้นไปทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 57,000 บาทต่อบาททอง ซึ่งถือว่าถึงเป้าหมายแรกของปีนี้ที่ YLG ให้ไว้ที่ 57,000 บาทต่อบาททองคำเรียบร้อยแล้ว   ส่งผลให้นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาทองคำในประเทศพุ่งขึ้นแล้ว 14,350 บาทต่อบาททอง หรือคิดเป็น 33.73% โดยมี 2 ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ราคาทองคำในประเทศพุ่งขึ้นอย่างร้องแรง ได้แก่   1.ราคาทองคาในตลาดโลก เดินหน้าทำ New All Time High เช่นกัน นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาทองคำโลกพุ่งขึ้นมาแล้ว 1,130.64 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 43.48% ถือเป็นปีที่ทองคำโลกให้ผลตอบแทนมากที่สุดในรอบ 46 ปี นับจากปี 2522   โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจาก ประเด็นความกังวลเกี่ยวกับการชัตดาวน์ (ปิดตัวชั่วคราว) ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯหลังจากในวันศุกร์วุฒิสภาได้ปฎิเสธร่างงบประมาณระยะสั้นที่สภาผู้แทนราษฎร์ได้อนุมัติมา ซึ่งหากร่างงบประมาณไม่ได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 30 ก.ย. ก็จะทำให้รัฐบาลเสี่ยงถูกชัตดาวน์   นอกจากนี้ยังมีปัจจัยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ออนค่าจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งภายในปีคือ คือในการประชุมเดือน ต.ค. และ ธ.ค.   รวมถึงปัจจัยบวกจากกองทุน SPDR เข้าถือทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการรายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพบการถือครองเพิ่มขึ้น 18.9 ตัน ก่อนจะซื้อเพิ่มในวันจันทร์ 6.01 ตัน ทำให้การถือครอบขึ้นสู่ระดับ 1,000.57 ตัน สูงสุดนับตั้งแต่ เดือน ส.ค. 2565 และยังมีปัจจัยความต้องการทองคำในอินเดียที่แข็งแกร่งตั้งแต่กลางเดือน พ.ย.ปีที่ผ่านมา จนทำให้อินเป็นเป็นผู้บริโภคทองคำเป็นอันดับ 2 ของโลก   2 .  การอ่อนค่าของเงินบาทจากดัชนีดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ 95.804  ประกอบกับมีแรงขายหุ้นและพันธบัตรจากความกังวลของต่างชาติในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้มีกระแสเงินไหลออกระยะสั้น     โอกาสลุ้นเป้า 60,000 บาท   ทั้งนี้ YLG ยังคงมองเป้าหมายแรกของทองคำในประเทศไว้ที่ 57,000 บาท หากราคาทะลุเป้าหมายแรกมีโอกาสที่จะทดสอบเป้าหมายถัดไปที่ 60,000 บาทต่อบาททองคำ   อย่างไรก็ดีหากเงินบาทแข็งค่าจากระดับปัจจุบันที่ 31.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็จะส่งผลให้ความเป็นไปได้ที่จะไปทดสอบเป้าหมายถัดไปลดลง ดังนั้นการเคลื่อนไหวของทองคำในประเทศขึ้นอยู่กับค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ   ทั้งนี้ หากราคาทองคำไม่ผ่านเป้าหมายแรกที่ 57,000 บาทต่อบาททองคำ แนะนำแบ่งขายทำกำไรบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด และแนะนำให้ซื้อกลับเมื่อย่อตัวหากราคาไม่หลุดแนวรับที่ 55,000 – 50,000 บาทต่อบาททองคำ   พวรรณ์ กล่าวว่า นักลงทุนที่สนใจลงทุนกับ YLG สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆผ่านแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง   โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold       Alternate-X      ราคาทองคำไทยทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 57,000 บาท/บาททองคำ ตามแรงหนุนทองคำโลก สอดคล้องทองคำโลกปีนี้ให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 46 ปี เพิ่มกว่า 43% YLG คาดหากทะลุ 57,000 บาท มีโอกาสทดสอบ 60,000 บาท โดยค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางราคาทองคำในประเทศ แนะนักลงทุนเข้าถึงทองคำง่ายผ่านแอป Get Gold by YLG เริ่มลงทุนเพียง 100 บาท        

September 27, 2025 / 0 Comments
read more

‘ท๊อป-จิรายุส’ บิทคับ ชวนกว่า 700 คนดิจิทัล ส่องอุตฯDIGITALแบบไหน?’ไทย’ได้ไปต่อ

BizKet,  EcoVative

บิทคับ ร่วม 12 สมาคมดิจิทัลเป็นเจ้าภาพ จัดงาน ‘Digital Night 2025’ รวมพลคนดิจิทัลกว่า 700 ชีวิต ส่องอนาคตประเทศไทย จะไปต่อแบบไหนบนเส้นทางเศรษฐกิจดิจิทัล ในอนาคต     จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า ‘บิทคับ’ และบริษัทในเครือ ร่วมกับ 12 สมาคมดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงาน Digital Night 2025 เพื่อพบปะสังสรรค์ประจำปีของคนในวงการดิจิทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่า 700 คน ในงาน BITKUB SUMMIT 2025 จัดขึ้นวันที่ 25 ต.ค. นี้ ณ ฮอลล์ 3-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ   โดย 12 สมาคมดิจิทัลที่เข้าร่วม ได้แก่   สมาคมการค้าผู้ประกอบการเทคโนโลยีดิจิทัล (DTE) สมาคมผู้ดูแลเว็บและสื่อออนไลน์ไทย (Thai Webmaster) สมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด (MarTech Association) สมาคมไทยไอโอที (Thai IoT) สมาคมเมต้าเวิร์สไทย (Metaverse Thai) สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (Thai Startup) สมาคมธุรกิจดิจิตอลภาคเหนือ (NDEA) สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย (Thai Programmer) สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-Commerce สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (Thai Digital Asset) สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA)   “งาน BITKUB SUMMIT 2025 จัดขึ้นเพื่อ Upskill และ Reskill ให้คนไทยทุกคนในประเทศให้สามารถเข้าถึงความรู้สำคัญในด้านต่าง ๆ และเตรียมพร้อมปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงได้”   โดยความร่วมมือกับ 12 สมาคมดิจิทัล ยังเป็นการผนึกกำลังระหว่างภาคีเครือข่ายดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยไปสู่อนาคต ซึ่งบทบาทของ Digital Night 2025 นี้จะเป็นเวทีที่สร้างสรรค์โอกาสใหม่ทั้งด้านธุรกิจ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงเป็นพื้นที่ให้คนในวงการดิจิทัล ทั้งภาครัฐ เอกชน สตาร์ทอัพ และสมาชิกสมาคมต่าง ๆ ได้มาสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจและต่อยอดสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทยต่อไป   สำหรับการจัดงานฯแถลงข่าวในครั้งนี้ ยังได้ผู้แทนสมาคมดิจิทัลชั้นนำกล่าวถึงความร่วมมือในการจัดงาน Digital Night 2025 ได้แก่   สุทัด ครองชนม์ นายกสมาคมไทยไอโอที ณัฐวุฒิ ปิ่นทองคำ อุปนายกสมาคมการค้าผู้ประกอบการเทคโนโลยีดิจิทัล ไชยพงศ์ ลาภเลี้ยงตระกูล นายกสมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด ธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) กุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย คุณพิพัฒน์ พิเชฐจำเริญ นายกสมาคมผู้ประกอบการเทคโนโลยีดิจิทัล     โดยงาน BITKUB SUMMIT 2025 มหกรรมความรู้ที่จะรวมตัวผู้นำในแต่ละวงการระดับประเทศ ทั้งด้านการเงิน (Financial Literacy) เทคโนโลยี (Digital Literacy) และการดูแลสุขภาพเพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว (Longevity) มาแบ่งปันความรู้และทิศทางของเทรนด์โลก ระหว่างวันที่ 25-26 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 3-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ   ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ bitkubsummit.com/register  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป       Alternate-X สรุปให้        BITKUB SUMMIT 2025 จัดงานใหญ่ รวมพลคนดิจิทัลกว่า 700 คนในงาน Digital Night 2025 พร้อมร่วมกับ 12 สมาคมดิจิทัลชั้นนำของไทย ผนึกกำลังสร้างเครือข่ายและโอกาสใหม่ โดยงานนี้เป็นเวทีเชื่อมโยงภาครัฐ เอกชน สตาร์ทอัพ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ชูแนวคิด Upskill-Reskill ยกระดับทักษะการเงิน ดิจิทัล และสุขภาพ เพื่ออนาคต งานจัดขึ้น 25-26 ต.ค. 2568 ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ลงทะเบียนร่วมงานฟรีที่ bitkubsummit.com  

September 26, 2025 / 0 Comments
read more

‘อดทน-รอจังหวะ’ สูตรฝ่าอสังหาฯท้าทาย ‘ศุภาลัย’ หวนใช้ผ่อนดาวน์ 0% ล็อคลูกค้าตัวจริง

BizKet

‘ศุภาลัย’ เปิดสูตรอสังหาฯ ฝ่าความท้าทายปี68 ใช้ความอดทน รอเวลาเหมาะสม ตัดพื้นที่สำนักงานขายโครงการฯ ทำต้นทุนราคาดีเรียกลูกค้า ฝ่าความท้าทายปี68   ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ศุภาลัย วางแนวทางการทำธุรกิจให้กระชับพร้อมติดตามผลดำเนินงานให้รวดเร็วขึ้นเพื่อทันต่อสถาณการณ์ต่างๆ ทั้งกำลังซื้อ เศรษฐกิจในภาพรวม จากแผนเดิมที่วางไว้ในช่วงระยะสั้น กลาง และ ยาว หรือตามแผนระยะ 3-5 ปี ซึ่งแนวทางดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว   โดยในช่วงที่ผ่านมา 9 เดือนของปี2568 ศุภาลัย ยังมีผลดำเนินการที่แข็งแกร่งพร้อมทยอยเปิดตัวโครงการฯใหม่ของปี2568 ล่าสุดเปิดตัวโครงการฯ ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน-วงเวียนใหญ่ (Supalai Premier Taksin-Wongwianyai) มูลค่าโครงการ 2,650 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน หนึ่งในโครงข่ายการเดินทางสำคัญของฝั่งธนบุรีที่มีศักยภาพสูงในเชิงคมนาคม เชื่อมต่อเข้าสู่ย่านเศรษฐกิจ สาทร–สีลม   “โครงการฯใหม่นี้ พัฒนาขึ้นตามอินไซด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ต้องการสินค้าราคาดีสมเหตุสมผลในทำเลดี ซึ่งจากผลสำรวจในตอนนี้ยังพบข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคที่น่าสนใจคือต้องการสินค้าราคาดีที่สุดเพื่อให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินให้อนุมัติได้ง่ายที่สุด”   ไตรเตชะ กล่าวว่าการที่ศุภาลัย สามารถทำสินค้าในราคาดีบนทำเลศักยภาพที่มีความต้องการสูงของกลุ่มลูกค้าได้ มาจากประสบการณ์ในตลาดอสังหาฯ มายาวนานจากการสะสมที่ดินเพื่อรอจังหวะพัฒนาโครงการที่เหมะสม โดยเฉพาะในโครงการฯ นี้ที่ตัดพื้นที่สำนักงานขายออกไป เพื่อให้ได้ต้นทุนการเงินที่ดีขึ้นและมีผลต่อราคาขายโครงการให้กับลูกค้า ทำให้สามารถลงทุนก่อสร้างโครงการฯได้ในช่วงนี้   “ศุภาลัยใช้ความอดทนและรอจังหวะที่เหมาะสมทำให้สามารถพัฒนาโครงการฯบนที่ดินศักยภาพได้ในราคาต้นทุนที่ดี”   นอกจากนี้ ในช่วงตลาดชะลอตัวยังเป็นโอกาสให้บริษัทฯ ตุนซื้อที่ดิน ในราคาเสนอขายที่ถูกลงกว่า 10% โดยที่ผ่านมามีทั้งแลนด์ลอร์ด (เจ้าของที่ดิน) และ ดีเวลลอปเปอร์ เข้ามาเสนอขายที่ดินกับศุภาลัย   โดยเบื้องต้น บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนที่ดินเปล่าไว้ 8,000 ล้านบาท มองทั้งที่ดินทำเลเดิมที่ขายดีอยู่แล้ว เช่น เชียงใหม่ รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ ที่ไม่เคยไป ปัจจุบันใช้งบไปแล้ว 4,000 ล้านบาท   “ราคาที่ดินลดลง 10% จากช่วง 2-3 ปีก่อน ด้วยไม่มีคนซื้อที่ดิน เพราะตลาดที่อยู่อาศัยด้อยลง ผู้ประกอบการขอสินเชื่อโครงการยาก และมีปัญหาการออกหุ้นกู้ เขาจึงเอาเงินไปใช้อย่างอื่นแทน เพื่อเอาแคชโฟลว์เข้าดีกว่า”   ไตรเตชะ กล่าวว่า จากภาพรวมตลาดอสังหาฯ ที่ผ่านมาผู้ประกอบการต่างหันมาใช้กลยุทธ์ด้านราคาสูงขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GROSS PROFIT : GP) ของกลุ่มอสังหาเหลือน้อยกว่า 30% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นมา 4 ไตรมาสติดต่อกัน (ไตรมาส 3-4 ปี 2567 – ไตรมาส 1-2 ปี 2568) ขณะที่อัตรา GP ต่ำ 30% ส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit : NP) ก็แทบไม่เหลือแล้ว   อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดอสังหาจะหดตัวแต่ยังมีโอกาสเสมอ ถ้าจับตลาดให้ถูกต้อง ทั้งทำเลและราคาที่เหมาะสม เช่น   โครงการ ศุภาลัย เอลีท สุขุมวิท 39 ที่ขายหมดไปแล้ว (Sold Out ไป) บนทำเลดังกล่าว หลังจากศุภาลัยเข้าไปจัดหา(Supply)ห้องขนาดใหญ่ 3 ห้องนอน ตามความต้องการ (Demand) สูงแต่ขาดตลาด ในราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป  ซึ่งแม้ว่าไม่ได้มีราคาถูก แต่ยังสามารถขายได้ โครงการ ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน-วงเวียนใหญ่ ราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท/ยูนิต เฉลี่ย 77,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งมีราคาถูกกว่าโครงการในทำเลเดียวกันที่มีราคา 90,000-110,000 บาท/ตร.ม. จากการที่ในทำเลนี้มีซัพพลายน้อย และมักมีราคาขายสูงกว่า 3 ล้านบาท/ยูนิต ขณะที่ยังมีดีมานด์จำนวนมากในย่านนี้ ที่ต้องการ คอนโดระดับราคา 2-3 ล้านบาท/ยูนิต   อสังหาฯ โค้งท้ายปี68   ไตรเตชะ กล่าวเสริมว่า ในครึ่งปีหลัง 2568 ศุภาลัยเปิดตัวโครงการเพิ่มอีก 8 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ และแนวราบ 6 โครงการ (เป็นต่างจังหวัด 2 โครงการ) ปัจจุบันมี Backlog ราว 12,600 ล้านบาท ทยอยโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ 7,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเตรียมทยอยโอนในปีถัด ๆ ไป โดยช่วงครึ่งปีแรกบริษัทฯ ทำรายได้ไปแล้ว 11,000 ล้านบาท   ขณะที่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ถือเป็นช่วงที่ยากลำบากด้วยไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปัจจัยลบซ้ำเติมตลาด อาทิ แผ่นดินไหว และภาษีทรัมป์ ส่งผลให้รายได้ของกลุ่มอสังหามีโอกาสพลาดเป้าได้เช่นกัน ขณะที่การแข่งขันสูงมากในตอนนี้ จากกำลังซื้อคนไทยมีจำกัด จากเรื่องหนี้ครัวเรือน   “ความต้องการเชิงลึกลูกค้าในอดีตต้องการของแถมไปกับโครงการ แต่ตอนนี้ไม่ต้องการของแถมแต่ขอแลกเป็นส่วนลดราคาเพื่อให้สามารถกู้บ้าน/คอนโดได้”   พร้อมประเมินว่าในปี 2568 จะเป็นช่วงที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ ’น้อยกว่า‘ Sold Out โครงการเก่ากว่า 10% โดยคาดการณ์ว่าปีนี้ ตลาดที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ จะมีเพียง 55,000 ยูนิต/ปี จากช่วงสถานการณ์ปกติเปิดตัวราว ๆ 100,000 ยูนิต/ปี และเคยเปิดตัวสูงสุดในปี 2556 ที่ 130,000 ยูนิต/ปี     “ถึงตลาดจะไม่ดีคาดจะไม่เปิดตัวต่ำกว่า 55,000 ยูนิตแล้ว ส่วนในปี 2569 อสังหาฯ มีลุ้นฟื้นตัว กลับมาเปิดโครงการที่ 70,000 ยูนิต/ปี ถ้าเทียบกับปี 2566 ก็ถือว่าเติบโต 60-70%”     สำหรับแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ฯ ใน 3 เดือนสุดท้ายปี 2568 มองว่าตลาดในภาพรวมเริ่มกลับมาราว 90% เทียบกับในช่วงหลังสถานการณ์แผ่นดินไหวเมื่อต้นปีทีผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มกำลังซื้อที่อยู่อาศัยจริงและนักลงทุน   “สถานการณ์อสังหาฯไทย ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสสองปีนี้ที่ผ่านมา”   พร้อมกล่าวต่อว่า ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจภาคอสังหาฯ ไม่ได้คาดหวังมากนักหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้ นายอนุทิน ชาญวีรกถุล นายกรัฐมนตรี ด้วยมีระยะเวลาทำงานช่วงสั้น แต่มองว่าในช่วงเวลาที่มีอย่างจำกัดรัฐบาลอาจจำเป็นต้องเร่งแผนงานที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว (Quick Win) ออกมาให้ได้ก่อน       ล็อคเป้าลูกค้าตัวจริงศุภาลัย     ด้าน ชัยจักร วทัญญู ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน–วงเวียนใหญ่ เป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 38 ชั้น วางผังโครงการเชิงกลยุทธ์โดยอาคารรูปตัว L ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดในช่วงบ่าย และเปิดรับลมธรรมชาติเข้าสู่พื้นที่ส่วนกลาง   นอกจากนี้ โครงการฯ ดังกล่าวยังสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นด้วยให้ของแถมในแต่ละยูนิต โดยเฉพาะการติดตั้ง ‘เครื่องทำน้ำร้อน’ ที่พบว่าเป็นหนึ่งในสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลูกค้าต้องการสูงเป็นอันดับต้นๆ จากการสำรวจ นอกเหนือจากการให้ของแถม เครื่องปรับอากาศ ชุดครัวบิลต์-อิน พร้อมเตาไฟฟ้า และเครื่องดูดควัน วอลล์เปเปอร์ เครื่องทำน้ำร้อน ฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัย และ ดิจิทัล ดอร์ ล็อค   จากการสำรวจความต้องการเชิงลึกผู้อยู่อาศัยในทำเลโดยรอบโครงการฯ พบว่ายังมีดีมานด์ความต้องการซื้ออยู่อาศัยจริงสูง โดยเฉพาะสินค้าราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งโครงการฯ มียูนิตราคาดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนราว 77% ของโครงการทั้งหมด 830 ยูนิตแบ่งเป็นสำหรับพักอาศัย 828 ยูนิตและร้านค้า 2 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนพื้นที่จอดรถ 55% หรือ 1 ห้องพักจอดรถได้ 1 คัน   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังใช้กลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และนักลงทุนในโครงการฯของศุภาลัย ด้วยเงื่อนไขการชำระเงินสำหรับลูกค้าที่สนใจโดยจัดโปรแกรมให้จองการทำสัญญา ผ่อน 0% นาน6 เดือน ซึ่งบริษัทฯ ได้นำกลับมาใช้ตั้งแต่ต้นปี 2568 ใน 2 โครงการแรกที่เปิดตัวไปก่อนหน้า คือ ศุภาลัย เอลีท สุขุมวิท 39 (SUPALAI ELITE SUKHUMVIT 39) และศุภาลัย เซนส์ แจ้งวัฒนะ-หลักสี่ ส่วนโครงการ ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน-วงเวียนใหญ่ (Supalai Premier Taksin-Wongwianyai) ให้ทำสัญญาพร้อมโปแกรมผ่อน 0% นาน6 เดือน มีอัตราค่าจองตามเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละแบบ (Type) ห้องชุด อาทิ   1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 35 ตร.ม. ราคา 39-3.48 ล้านบาท จองผ่อน 60,000 บาท ทำสัญญา 6,900 บาท เงินดาวน์ (36 งวด) 6,900 บาท 1 ห้องนอนพลัส ขนาดพื้นที่ 5 ตร.ม. ราคา 3.33-4.15 ล้านบาท จองผ่อน 60,000 บาท ทำสัญญา 8,900 บาท เงินดาวน์ (36 งวด) 8,900 บาท 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 0-71.0 ราคา 4.16 – 6.93 ล้านบาท จองผ่อน120,000 บาท ทำสัญญา 13,900 บาท เงินดาวน์ (36 งวด)13,900 บาท 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ -129.5 ตร.ม. ราคา 8.54 – 13.30 ล้านบาท จองผ่อน 300,000 บาท ทำสัญญา 24,900 บาท เงินดาวน์ (36 งวด) 24,900 บาท 4 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 190 ตร.ม. ราคา86 ล้านบาท จองผ่อน 360,000 บาท ทำสัญญา 59,000 บาท เงินดาวน์ (36 งวด) 59,000 บาท   “การนำโปรแกรมให้จองผ่อน0% กลับมาใช้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าตัวจริงของศุภาลัย ที่มีความต้องการสินค้าจริงที่จะไม่หนีหายไปไหนในอนาคต”   สำหรับโครงการฯ จะเริ่มดำเนินก่อสร้างใน 2-3 เดือนข้างหน้านับจากนี้ หลังได้รับใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว พร้อมมองว่าหากมียอดขาย (presale) ราว 70-80% ถือว่าโครงการฯ ประสบความสำเร็จน่าพอใจ         Alternate-X สรุปให้       ศุภาลัย ฝ่าความท้าทายอสังหาฯ ปี 2568 ใช้ประสบการณ์รอจังหวะพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ เปิดตัว ‘ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน-วงเวียนใหญ่’ มูลค่า 2,650 ล้านบาท เจาะทำเลฝั่งธนฯ ตัดพื้นที่สำนักงานขาย ลดต้นทุน สร้างราคาขายที่เข้าถึงง่าย ตรงใจผู้ซื้อจริง เสริมกลยุทธ์โปรแกรมจองผ่อน 0% นาน 6 เดือน ดึงดูดกลุ่มผู้ซื้ออยู่อาศัยจริงและนักลงทุน มองตลาดอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว คาดดีมานด์จริงและการฟื้นตัวกำลังซื้อหนุนยอดขาย

September 26, 2025 / 0 Comments
read more

‘แกร็บ’ ผนึก วิทยาลัยดุสิตธานี ยกระดับอุตสาหกรรมเรียกรถ คว้ากูรูอัพสกิลคนขับ

PRnounce

แกร็บ ประเทศไทย ตอกย้ำบทบาทผู้นำแพลตฟอร์มเรียกรถอันดับหนึ่ง จับมือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) สานต่อโครงการ GrabAcademy คว้า “วิทยาลัยดุสิตธานี” ร่วมพัฒนาหลักสูตรอบรมคนขับภายใต้คอนเซ็ปต์ “ยกระดับมาตรฐาน บริการด้วยหัวใจ” เสริมประสิทธิภาพการให้บริการและสร้างความประทับใจให้ผู้โดยสาร พร้อมเสริมทัพด้วยการดึงผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารเพื่อสร้างความประทับใจ   โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน นักสื่อสารและพิธีกรชื่อดัง และการดูแลรักษายานพาหนะ โดย บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ผู้นำแบรนด์รถจักรยานยนต์ชั้นนำ และบี-ควิก ศูนย์บริการรถยนต์แบบครบวงจร หวังยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมเรียกรถผ่านแอปฯ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว   เมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “รถรับจ้างสาธารณะเป็นหนึ่งในบริการที่ช่วยตอบสนองการเดินทางในชีวิตประจำวันและมีส่วนช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศ โดยมาตรฐานของคนขับและคุณภาพการให้บริการถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้โดยสารทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ  ในฐานะผู้บุกเบิกบริการเรียกรถผ่านแอปฯ   แกร็บมุ่งมั่นที่จะช่วยส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมการเดินทาง ตลอดจนระบบขนส่งสาธารณะของไทยให้ก้าวไปข้างหน้า โดยนอกจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยแล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของคนขับอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้แกร็บจึงได้จับมือพันธมิตรจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้และพัฒนาทักษะให้กับคนขับทั้งในด้านบริการ การสื่อสาร และการดูแลยานพาหนะ เพื่อมุ่งสร้างความประทับใจให้ผู้ใช้บริการและช่วยยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมโดยรวม”   สำหรับการพัฒนาศักยภาพของคนขับในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ยกระดับมาตรฐาน บริการด้วยหัวใจ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ GrabAcademy ซึ่งริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2563 โดยความร่วมมือระหว่าง แกร็บ ประเทศไทย และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (หรือ ดีป้า) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนขับและผู้ประกอบการร้านอาหาร   โดยได้พัฒนาและนำเสนอคอร์สอบรมที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการอย่างต่อเนื่อง อาทิ เทคนิคการให้บริการ การวางแผนภาษีและการเงินเบื้องต้น การสื่อสารภาษาต่างชาติเบื้องต้นเพื่อการบริการ เป็นต้น โดยปัจจุบันมีการจัดทำคอร์สอบรมสำหรับคนขับจำนวนทั้งสิ้น 32 หลักสูตร และมีคนขับให้ความสนใจเข้าชมและเรียนรู้รวมกว่า 3 ล้านครั้ง   ไฮไลท์สำคัญของการพัฒนาความรู้และทักษะของคนขับภายใต้แนวคิด “ยกระดับมาตรฐาน บริการด้วยหัวใจ” ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่   หลักสูตร “5 ดีให้ได้ 5 ดาว” โดย วิทยาลัยดุสิตธานี สถาบันการศึกษาด้านอุตสาหกรรมการบริการชั้นนำ ซึ่งปูพื้นฐานพร้อมแนะนำเทคนิคให้บริการด้วยหัวใจ ซึ่งประกอบด้วย “ดูดี” ทั้งการรักษาสุขอนามัย บุคลิกภาพ และการแต่งกาย “มารยาทดี” โดยเน้นให้บริการด้วยความสุภาพ อ่อนน้อม รู้จักกาลเทศะ พร้อมดูแลอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง “รู้ดี” โดยรู้จักประเมินความพร้อมในการให้บริการของตนเอง รู้ความต้องการของลูกค้า รวมถึงวิธีการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ “พูดดี” โดยสื่อสารกับลูกค้าด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงที่สุภาพ เหมาะสม และ “คิดดี” คือมีทัศนคติเชิงบวกและตระหนักถึงบทบาทของการเป็นผู้ให้บริการกับผู้โดยสารและเป็น “ด่านหน้า” ที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว หลักสูตร “ไม่ใช่แค่การสื่อสาร แต่คือการสร้างความประทับใจ”โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ซึ่งนำเสนอทักษะและเทคนิคการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงแนะนำบทสนทนาภาษาต่างชาติเบื้องต้นให้กับคนขับ โดยถอดบทเรียนจากประสบการณ์การใช้บริการจริงเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการสื่อสารและรับมือกับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างความประทับใจ อันจะนำไปสู่คะแนนรีวิว 5 ดาวและทิปพิเศษจากผู้โดยสาร หลักสูตร “ดูแลรถ ขัดเงาภาพลักษณ์ ยกระดับบริการ” โดยผู้เชี่ยวชาญจาก บี-ควิก ศูนย์บริการรถยนต์แบบครบวงจร และ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ผู้นำแบรนด์รถจักรยานยนต์ชั้นนำ ซึ่งมาร่วมแชร์เทคนิคและวิธีการดูแลรักษายานพาหนะเบื้องต้น ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพื่อเสริมทักษะให้คนขับสามารถตรวจประเมินสภาพและบำรุงรักษารถ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงาน ให้พร้อมบริการผู้โดยสารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ   “แกร็บพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น มาตรฐานด้านความปลอดภัย นวัตกรรม รวมถึงคุณภาพในการให้บริการ เพราะเราเชื่อว่าบริการนี้ไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางให้กับผู้คนจำนวนมาก แต่ยังเป็นด่านแรกในการต้อนรับและสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวตั้งแต่เดินทางออกมาจากสนามบิน โดยเราหวังว่าหลักสูตรต่างๆ ภายใต้โครงการ GrabAcademy จะช่วยพัฒนาความรู้และทักษะให้กับคนขับ และมีส่วนช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมเรียกรถ ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศของเราต่อไป” นางสาวเมธิณี กล่าวทิ้งท้าย   พัสดุเอกสาร การเรียกรถรับ-ส่งหรือแท็กซี่ ไปจนถึงการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ เช่น บริการสินเชื่อและการทำประกัน แกร็บยังได้ดำเนินธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตในประเทศมาเลเซียภายใต้แบรนด์ Jaya Grocer และ Everrise ซึ่งสร้างความสะดวกสบายในการสั่งซื้อสินค้าและของชำแบบออนดีมานด์ให้กับผู้บริโภคได้มากขึ้น นอกจากนี้ แกร็บยังให้บริการทางการเงินผ่านธนาคารดิจิทัล GXS Bank ในประเทศสิงคโปร์และ GX Bank ในประเทศมาเลเซียด้วย ทั้งนี้ แกร็บก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2555 ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปข้างหน้า ผ่านการสร้างโอกาสและส่งเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับทุกคน และยึดมั่นเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งให้กับผู้ถือหุ้น ควบคู่ไปกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมทั่วทั้งภูมิภาค    

September 25, 2025 / 0 Comments
read more

‘เบญจ เบญจรงคกุล’ เปลี่ยนผ่าน ‘UIH’ ยุคใหม่ รับอนาคตเครือข่ายดิจิทัลซับซ้อน

BizKet,  EcoVative

UIH เปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ยุค Intent-based Infrastructure บริการเครือข่ายเพื่อธุรกิจยุคใหม่ UIH NaaS รับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความปลอดภัย     เบญจ เบญจรงคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (UIH) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและโซลูชันสำหรับองค์กร เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ UIH ได้ก้าวข้ามบริการระบบเครือข่ายแบบเดิมสู่ ‘Intent-based Infrastructure’ ต่อยอดประสบการณ์ และความร่วมมือระหว่างพันธมิตรเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรทุกขนาดเปลี่ยนผ่านสู่สู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) มากว่า 30 ปี   จากในช่วงที่ผ่านมา UIH ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบเชื่อมต่อที่ทันสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีของลูกค้าองค์กรทุกขนาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ จนมาถึงในปัจจุบันที่เข้าสู่ยุคระบบเครือข่ายที่ มีสามารถเข้าใจและดำเนินการตามความตั้งใจหรือเป้าหมายของผู้ดูแลระบบได้โดยอัตโนมัติ         ด้าน ปกาสิต วัฒนา Chief Digital Infrastructure & Technology Officer บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (UIH) กล่าวว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ประเมินว่าการใช้งานเครือข่ายที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเชิงปริมาณข้อมูลและความซับซ้อนของการเชื่อมต่อ โดยปัจจัยสำคัญมาจาก   การเติบโตของการใช้งานสื่อวิดีโอ ความต้องการสื่อสารแบบเรียลไทม์ การนำ AI และ IoT มาใช้ในกระบวนการธุรกิจมากขึ้น   ขณะที่ องค์กรส่วนใหญ่จะต้องบริหารโครงข่ายที่กระจายตัวมากขึ้น ทั้งศูนย์ข้อมูลส่วนกลาง สาขา และการเชื่อมต่อกับ Cloud หลายค่าย ซึ่งจะทำให้รูปแบบการบริหารจัดการเครือข่ายต้องเปลี่ยนจากการเน้นฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ไปสู่การใช้บริการแบบ as a service และ Automation มากขึ้น   สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายถึงการทิ้งระบบเดิมที่ยังมีความสำคัญต่อธุรกิจ แต่จะต้องออกแบบให้ระบบใหม่และระบบเดิมทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ   ขณะที่ การลงทุนจึงต้องยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งในด้าน Bandwidth ความปลอดภัย และความสามารถในการปรับเพิ่มหรือลดทรัพยากรได้ตามความต้องการจริงของธุรกิจ   โดย UIH ในฐานะผู้ให้บริการเครือข่ายจะเป็นทั้งผู้เชื่อมต่อ และในฐานะพันธมิตรที่ช่วยองค์กรแปลงความต้องการทางธุรกิจให้กลายเป็นสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่เหมาะสมที่สุด ด้วยแนวคิด Secure by Design และ Policy-driven Automation เพื่อสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และต้นทุน   สำหรับ UIH Network as a Service (UIH NaaS) เป็นบริการเครือข่ายที่ออกแบบให้ลูกค้าเลือกใช้ฟีเจอร์ด้านการเชื่อมต่อและความมั่นคงปลอดภัยตามความต้องการจริงและขอบเขตของบริการโดยรวมถึงเทคโนโลยีสำคัญ เช่น SD-WAN, NAC, Firewall, Secure Web Gateway, Web Application Firewall, Zero Trust Network Access และ Load Balancer บริการทั้งหมดทำงานบนโครงข่าย MPLS และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของ UIH ซึ่งเชื่อมต่อได้ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน Cloud ของ UIH เอง และ Public Cloud ชั้นนำโดยตรง รองรับการเชื่อมต่อระหว่างสำนักงานใหญ่ สาขา รวมถึงการเข้าถึงบริการจากภายนอกองค์กรได้อย่างปลอดภัยและยืดหยุ่น   โดย Network as a Service (NaaS) ของ UIH ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่สถาปัตยกรรมระบบ (Secure by Design) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อและใช้งานได้อย่างมั่นใจตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งการออกอินเทอร์เน็ตโดยตรงจากสาขา หรือการเข้าถึงระบบองค์กรจากภายนอกผ่าน Remote Access   ขณะที่ บริการนี้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเพิ่มหรือลด Bandwidth ได้ตามความต้องการจริง ทั้งชั่วคราวหรือถาวร โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนหรือจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม พร้อมรองรับการติดตั้งและปรับเปลี่ยนระบบเครือข่ายด้วย Touchless Deployment ช่วยให้การตั้งค่าและการปรับปรุงระบบสามารถทำจากระยะไกลโดยอัตโนมัติ ลดความจำเป็นในการเข้าหน้างานและลดการหยุดชะงักของระบบให้น้อยที่สุด       Alternate-X สรุปให้       UIH ก้าวสู่ Intent-based Infrastructure รองรับโลกดิจิทัลซับซ้อน โดย ‘เบญจ เบญจรงคกุล’ นำองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ Network as a Service (NaaS) ช่วยองค์กรจัดการเครือข่ายยืดหยุ่น รองรับการใช้ข้อมูลเรียลไทม์, AI และ IoT ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และต้นทุน        

September 25, 2025 / 0 Comments
read more

กลยุทธ์ ‘สุดเคี่ยว’ ที่พา Spring Airlines กำไร 5.4 พันล. สวนทางยักษ์การบินจีนขาดทุน

BizKet

Spring Airlines สายการบินโลว์คอสท์ กับกลยุทธ์ ‘สุดเคี่ยว’ ฟันกำไร 5,400 ล้าน  สวนทางยักษ์การบินจีนขาดทุน     ในห้วงเวลาที่สายการบินขนาดใหญ่ของจีนอย่าง Air China, China Southern Airlines, และ China Eastern Airlines รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 ประสบปัญหาขาดทุน   สืบเนื่องจากการฟื้นตัวของเส้นทางบินระหว่างประเทศช้า ต้นทุนการให้บริการที่สูงตามสภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยด้านการท่องเที่ยวหดตัว แต่กลับมีสายการบินโลว์คอสต์รายหนึ่งกลับบินสวนทาง ด้วยผลประกอบการที่ทำให้แวดวงการบินต้องหันมาสนใจ   สปริงแอร์ไลน์ Spring Airlines Co., Ltd. (春秋航空) สายการบินโลว์คอสต์สัญชาติจีน ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 ด้วยกำไรสุทธิ 1,200 ล้านหยวน (ราว 5,398 ล้านบาท) แม้จะลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนหน้าราว  14%   แต่สำหรับสปริงแอร์ไลน์ ยังคงเกาะกลุ่มสายการบินโลว์คอสจีนที่มีผลประกอบการในเชิงบวก ทั้ง Juneyao Airlines  และ China Express Airlines ในขณะที่สายการบินของรัฐอย่าง Air China, China Eastern Airlines และ China Southern Airlines ต่างมีผลประกอบการขาดทุนกันเป็นแถว   สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของโมเดลธุรกิจโลว์คอสต์ของสปริงแอร์ไลน์ที่คิดค่าบริการเสริมแทบทุกอย่างที่เกินจากการนั่งบนเครื่องบิน   อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้สปริงแอร์ไลน์แตกต่าง คือ การที่ผู้บริโภคชาวจีนไม่เพียงแต่ยอมรับ แต่ยังเปลี่ยนการเผชิญหน้านี้ให้กลายโมเดลการตลาดที่สร้างปรากฏการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจตามมา   คิดเงินเพิ่ม ในทุกบริการ   หลายคนน่าจะพอคุ้นเคยกับโมเดลของสายการบินโลว์คอสท์ที่มักคิดค่าบริการในหลายส่วนเพิ่ม แต่สำหรับสปริงแอร์ไลน์ สายการบินสัญชาติจีนที่ขึ้นชื่อเรื่องการกดต้นทุนให้ต่ำที่สุดและดึงรายได้เสริมให้มากที่สุด   เริ่มจากกลยุทธ์ ‘ตั๋วถูก’ ที่ดึงดูดใจด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 200 หยวน หรือราว 900 บาท สำหรับเส้นทางในประเทศ แต่ความคุ้มค่านี้มาพร้อมกับการแยกบริการพื้นฐานออกเกือบทั้งหมด   นโยบายกระเป๋าคือหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของสายการบิน โดยผู้โดยสารสามารถนำกระเป๋าถือขึ้นเครื่องได้ฟรีเพียง 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม และขนาดจำกัดที่ 20x30x40 เซนติเมตร   แต่หากต้องการโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่อง 20 กิโลกรัมและจองล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ จะต้องจ่าย 210 หยวน ซึ่งบางครั้งแพงกว่าตั๋วเครื่องบินเองเสียอีก และถ้าลืมจองล่วงหน้าไปแจ้งที่เคาน์เตอร์เช็คอิน ราคาจะพุ่งขึ้นเป็น 300 หยวนทันที ไม่มีการลดหย่อนผ่อนปรนเด็ดขาด   นอกจากนี้ บนเครื่องบินแทบไม่มีบริการฟรี ผ้าห่ม อาหาร หรือเครื่องดื่ม ล้วนต้องซื้อเพิ่มทั้งสิ้น   โมเดลธุรกิจนี้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในรายงานประจำปีของบริษัทว่าเป็น ‘แบบจำลองธุรกิจตั๋วราคาต่ำและบริการแบบเลือกซื้อ (à la carte) ที่โปร่งใส’ โดยมีเป้าหมายให้ผู้โดยสารจ่ายเฉพาะสิ่งที่ตนเองต้องการจริงๆ   Wang Zhenghua ผู้ก่อตั้ง Spring Airlines เคยให้สัมภาษณ์กับ Caixin สื่อธุรกิจดังของจีน ไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราขายเพียงแค่ที่นั่งบนเครื่องบิน การขนส่งเป็นบริการหลัก ของอื่นๆ เป็นบริการเพิ่มเติม’   นอกเหนือจากบริการบนเครื่องแล้ว ความสำเร็จของสปริงแอร์ไลน์ไม่ได้มาจากการเก็บค่าบริการจากผู้โดยสารเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากวินัยในการลดต้นทุนภายในที่เรียกได้ว่า ‘เคี่ยวกับตัวเอง’ ไม่แพ้กัน   หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการใช้ ‘ฝูงบิน’ แบบเดียวกันทั้งหมด โดยสปริงแอร์ไลน์เลือกใช้เครื่องบินเพียงรุ่นเดียวคือ Airbus A320 สำหรับทุกเที่ยวบิน การตัดสินใจเช่นนี้ช่วยลดต้นทุนการฝึกอบรมกัปตันและช่างเทคนิค ลดความซับซ้อนของระบบลอจิสติกส์อะไหล่ และทำให้การบริหารจัดการง่ายขึ้นอย่างมหาศาล   แค่ ‘ไม่’ ก็เพิ่มรายได้   อีกหนึ่งการลดต้นทุนที่เห็นชัดคือการไม่ติดตั้งที่นั่งระดับพิเศษอย่าง First Class หรือ Business Class เลย ทำให้สายการบินสามารถเพิ่มจำนวนที่นั่ง Economy ได้มากกว่าเดิม และสร้างรายได้จากการขายตั๋วต่อเที่ยวบินสูงขึ้น   นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ ‘ไม่บินช่วงไพร์มไทม์’ โดยสายการบินจงใจให้บริการเที่ยวบินเฉพาะในช่วงเช้าตรู่และช่วงดึก ซึ่งช่วยลดค่าธรรมเนียมการลงจอดและค่าใช้บริการสนามบินลงอย่างมีนัยสำคัญ   นอกจากนี้ยังเลือกใช้การจอดเครื่องบินในหลุมจอดที่ไกลจากอาคารผู้โดยสาร (Bus Gate) ซึ่งผู้โดยสารต้องนั่งรถบัสไปขึ้นเครื่อง แทนที่จะใช้การต่องวงช้างในการบอร์ดดิ้งผู้โดยสาร ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของสายการบินในการให้บริการ   สร้างความได้เปรียบต้นทุน   จากข้อมูลในรายงานทางการเงินของบริษัท เครื่องบินของ Spring Airlines มีชั่วโมงบินเฉลี่ยสูงถึง 9.74 ชั่วโมงต่อวัน (เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ประมาณ 9 ชั่วโมง) โดยเน้นบินในชั่วโมงที่คนไม่นิยม (เช้าตรู่หรือดึกมาก) เพื่อลดค่าธรรมเนียมสนามบินและเพิ่มรอบบิน   รายงานวิเคราะห์จาก CAPA – Centre for Aviation ชี้ว่า “Spring Airlines แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการควบคุมต้นทุน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำ ความได้เปรียบนี้ทำให้บริษัทสามารถรักษากำไรได้แม้ในสภาพตลาดที่ท้าทาย”   ลูกค้าสู้กลับ   ปรากฏการณ์ต่อต้านอย่างสร้างสรรค์ ของผู้โดยสารจีน ทำให้สปริงแอร์ไลน์กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในแวดวงธุรกิจการบิน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความไม่พอใจหรือการต่อต้านเชิงลบ แต่เป็นการยอมรับกติกาและผู้โดยสารกลับหาทาง ‘เอาชนะ’ อย่างชาญฉลาด แทนที่จะบ่นเกี่ยวกับนโยบายกระเป๋าที่เข้มงวด   ผู้โดยสารจำนวนมากกลับมองว่าการเดินทางโดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการเสริมแม้แต่บาทเดียวเป็น ‘ความท้าทายและความภาคภูมิใจ’ ของตนเอง   “มันเหมือนเล่นเกมค่ะ” หมิงหมิง พนักงานออฟฟิศวัย 28 ปีในเซี่ยงไฮ้ซึ่งใช้บริการสปริงแอร์ไลน์เป็นประจำกล่าวกับ South China Morning Post ว่า “เป้าหมายคือเอาชนะกฎของพวกเขา การได้จัดของให้พอดีกับกระเป๋า 7 กิโลกรัมโดยไม่ขาดอะไรเลย มันให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองชนะ”   ทัศนคติแบบนี้จุดประกายให้เกิดปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจอย่าง “ตลาดกระเป๋าสำหรับสปริงแอร์ไลน์โดยเฉพาะ”   เมื่อความต้องการเกิดขึ้น อุปทานก็ต้องตามมา บรรดาผู้ผลิตกระเป๋าและเสื้อผ้าจีนซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความว่องไวต่อเทรนด์ ได้รีบตอบสนองตลาดทันที   ด้วยกระเป๋าที่ระบุขนาด “20x30x40 ซม.” ชัดเจนในชื่อสินค้า พร้อมแฮชแท็ก #春秋航空专属 (#สำหรับสปริงแอร์ไลน์โดยเฉพาะ) ปรากฏเต็มหน้าแพลตฟอร์มอย่าง Taobao และ JD.com จนคำค้นหา “กระเป๋าไซส์ 20x30x40” กลายเป็นคำยอดนิยม ขอขอบคุณภาพจาก thaipick.com   นอกจากกระเป๋าเดินทางแล้ว ยังเกิดแฟชั่นใหม่ที่เรียกว่า ‘สตีลธ์แฟชั่น’ สำหรับเดินทาง เช่น   เสื้อกั๊กและกางเกงหลายกระเป๋าที่ออกแบบมาเพื่อยัดของใช้ส่วนตัวได้มากที่สุด เสื้อกั๊กตกปลากลายเป็น ‘ไอเทมต้องมี’ สำหรับผู้โดยสาร   ขอขอบคุณภาพจาก socialbeta.com   ส่วนแบรนด์เสื้อผ้าอย่าง Jiaonei (蕉内) ถึงกับออกแบบกางเกงที่มีช่องมากถึง 8 กระเป๋า เพื่อให้พกพา iPad mini ที่ชาร์จ และโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องใช้กระเป๋าหลัก ปลอกหมอนรองคอก็ถูกดัดแปลงให้ยัดเสื้อผ้าเบาๆ แทนไส้หมอน เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของโดยไม่เพิ่มน้ำหนักสัมภาระ   ผู้โดยสารบางคนถึงกับมองว่าการหาวิธีหลีกเลี่ยงค่ากระเป๋าเป็น “ปฏิบัติการตู้คอนเทนเนอร์มนุษย์” โดยใช้ทุกช่องทางที่กฎของสายการบินอนุญาตเพื่อเอาชนะระบบ มีการประเมินว่ายอดขายรวมของกระเป๋าไซส์มินิและเสื้อผ้าหลายกระเป๋าอาจสูงถึง 5 ล้านชิ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา   ขณะที่ South China Morning Post วิเคราะห์ว่า รายได้จากบริการเสริมเหล่านี้ โดยเฉพาะค่ากระเป๋า คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สปริงแอร์ไลน์สามารถคงราคาตั๋วในระดับต่ำเพื่อดึงดูดลูกค้าได้ต่อเนื่อง   แม้จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ สายการบินกลับไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา ตรงกันข้าม โฆษกของ Spring Airlines ให้สัมภาษณ์กับ Caixin Global ว่า   “ตราบใดที่การกระทำยังอยู่ในกฎเกณฑ์ที่เรากำหนดไว้ สายการบินก็ยินดีให้บริการ”   พร้อมเสริมว่าพฤติกรรมการประหยัดของผู้โดยสารสอดคล้องกับปรัชญาธุรกิจของบริษัทที่ต้องการมอบทางเลือกการเดินทางที่คุ้มค่าที่สุดให้ลูกค้า   ขณะที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยังเต็มไปด้วยกลยุทธ์จากนักเดินทาง เช่น “ขาไปไม่ซื้อน้ำหนักกระเป๋า เพราะมีแต่เสื้อผ้าเบาๆ ขากลับถ้าซื้อของฝากเยอะ ค่อยซื้อน้ำหนักเพิ่ม” หรือ “ถ้าน้ำหนักเกินหน้าเกตจริงๆ ก็แค่หยิบของที่ไม่สำคัญออกมาทิ้ง” กลายเป็นการแลกเปลี่ยนเคล็ดลับแบบกึ่งขบขันที่สะท้อนว่า ผู้โดยสารไม่ได้แค่ยอมรับกฎ แต่ยังสนุกกับการหาวิธีเอาชนะมันด้วย   เกมที่ทุกฝ่ายชนะ   สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสปริงแอร์ไลน์กับลูกค้าไม่ได้เป็นความสัมพันธ์แบบ “ผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่” แต่เป็นเหมือนเกมที่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกติกาและยอมเล่นร่วมกัน สปริงแอร์ไลน์ชนะด้วยกำไรที่งดงามและความสามารถในการคงราคาตั๋วให้ดึงดูดลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง   ขณะที่ผู้โดยสารก็รู้สึก “ชนะ” เพราะสามารถเดินทางในราคาที่ถูกที่สุดโดยไม่เสียเงินเกินจำเป็น   ในยุคที่เศรษฐกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเดินทางแบบ “รู้แล้วจ่าย” (pay-what-you-choose) ของสปริงแอร์ไลน์ดูเหมือนจะตอบโจทย์ทั้งด้านจิตใจและกระเป๋าเงินของผู้บริโภคชาวจีนอย่างลงตัว   และตราบใดที่ความต้องการเดินทางราคาประหยัดยังคงอยู่ โมเดลธุรกิจที่เน้นต้นทุนต่ำและบริการแบบเลือกซื้อก็มีแนวโน้มที่จะพาสายการบินนี้ทะยานต่อไปในน่านฟ้าจีนและตลาดต่างประเทศ   ทั้งนี้ ภาพรวมอุตสาหกรรมการบินจีนในครึ่งแรกของปี 2568 ยิ่งตอกย้ำบทบาทของสายการบินเอกชนอย่างสปริงแอร์ไลน์   ปัจจัยสำคัญคือความได้เปรียบด้านการบริหารต้นทุนและความคล่องตัวในการปรับเส้นทางบินให้สอดคล้องกับความต้องการ   ในขณะที่สายการบินของรัฐที่ปรับตัวช้า ยังคงได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวของเส้นทางระหว่างประเทศที่ช้ากว่าคาด ซึ่งทำให้สัดส่วนรายได้จากเที่ยวบินระหว่างประเทศยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด   Alternate-X สรุปให้  Spring Airlines สายการบินโลว์คอสต์จีน โดดเด่นสวนกระแสยักษ์การบินที่ขาดทุน ด้วยกลยุทธ์คือ “ตั๋วถูก” แต่คิดค่าบริการเสริมแทบทุกอย่าง พร้อมลดต้นทุนด้วยฝูงบิน Airbus A320 รุ่นเดียว และไม่บินช่วงไพร์มไทม์ ขณะเดียวกันลูกค้ากลับสนุกกับการหาวิธี “เล่นเกม” เอาชนะกฎ เช่น กระเป๋า 7 กก. หรือเสื้อหลายกระเป๋า โดยผลลัพธ์ คือ กำไร 5.4 พันล้าน และโมเดลธุรกิจที่ลูกค้า-สายการบินต่างรู้สึกชนะร่วมกัน

September 24, 2025 / 0 Comments
read more

‘KFC’ เล่นใหญ่ ส่งเมนูใหม่ท้ายปี ‘ชิซซ่า’ ขวัญใจชาวเจนฯZ รับจบในร้านเดียวได้กินทั้งไก่-พิซซ่า

BizKet,  EcoVative

ตลาดร้านอาหารบริการด่วน หรือ คิวเอสอาร์ (QSR-Quick Service Restaurant) ของไทยในปี 2567 คาดมีมูลค่ารวมราว ๆ 47,700 ล้านบาท   โดยตลาดกลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น   ไก่ทอด ครองสัดส่วนอยู่ที่ 58% (27,600 ล้านบาท) เบอร์เกอร์ 23% (10,900 ล้านบาท) พิซซ่า 20% (9,500 ล้านบาท)   จากตัวเลขดังกล่าว ย้ำสถานะความเป็นพี่ใหญ่ของ ‘ไก่ทอด’ ที่ครองแชมป์เบอร์หนึ่งด้วยส่วนแบ่งมากสุดในตลาดคิวเอสอาร์นี้ ได้เป็นอย่างดี   ทำให้ในช่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีทั้งผู้เล่นรายใหม่ ๆ ต่างเสนอตัวเข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้เป็นระยะ หรือแม้แต่ร้านอาหารในหมวดเบอร์เกอร์ และ พิซซ่า เองก็ต่างหันมาพัฒนาโปรดักส์เมนูทางเลือกอย่างไก่ทอดมาเสิร์ฟให้กับลูกค้า ด้วยเช่นกัน   เพื่อขอชิงส่วนแบ่งกระเพาะ (share of stomach) จากผู้บริโภคชาวไทยที่อยากให้ลองแบ่งใจมาให้กับเมนูไก่ทอดทางเลือกจากแบรนด์อื่นกันดูบ้าง   อย่างไรก็ตาม ในฝั่งแบรนด์เคเอฟซี เองก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ ที่นอกจากจะมีเมนูไก่ทอด เป็นฮีโร่ โปรดักส์ ประจำร้านแล้ว เคเอฟซี ยังมีเมนูมื้อหลักอื่นๆ อย่าง เบอร์เกอร์สูตรเฉพาะของทางร้าน และ เมนูข้าว มาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคชาวไทย เช่นกัน   รวมถึงการใช้กลยุทธ์การพัฒนาเมนูนวัตกรรม Product Innovation ที่เน้นการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ มากระตุ้นยอดขาย พร้อมสร้างความสดใหม่ และดึงดูดความสนใจของลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเมนูพิเศษ หรือเมนูที่ให้บริการในช่วงเวลาจำกัด หรือเมนูพิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อโปรโมชั่นเฉพาะช่วง   ดึงสายท้าทายเจนฯ ซี   ล่าสุดในโค้งท้ายปี 2568 นี้ เคเอฟซี ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวพร้อมข้ามสายไปหมวดพิซซ่า ด้วยการออกเมนูใหม่ ‘ชิซซ่า’ พิซซ่าไก่กรอบฮอทแอนด์สไปซี่ วางราคาเริ่มต้น 49 บาท ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 29 ตุลาคม 2568 เท่านั้น   ‘ภัทรา ภัทรสุวรรณ’ Associate Marketing Director KFC ประเทศไทย กล่าวว่า “การพัฒนาเมนู ‘ชิซซ่า’  พิสูจน์ให้เห็นถึงความกล้าท้าทายกรอบเดิมๆ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการผสมผสานรสชาติไว้อย่างลงตัว เพื่อเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่กล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง กล้าท้าทายและไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ   “ชิซซ่า ไม่ใช่แค่การรวมไก่ทอดกับพิซซ่าไว้เพียงเท่านั้น แต่ยังสร้างมิติใหม่ของความอร่อยที่จะทำให้เป็นประสบการณ์สุดประทับใจให้กับลูกค้าทุกคน”       พร้อมเสริมว่า โดยตลอดช่วงทำตลาดสินค้าเมนูใหม่ เคเอฟซี ยังได้นำกระแส ฮิตในกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z   อย่าง ‘Brainrot’ เทรนด์การสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วยความแปลกใหม่ที่ติดหูหลายๆ คนจนกลายเป็นไวรัลทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงแนะนำคาแรคเตอร์ ‘ชิซซาลูลู่’ (Chizzalulu) ถึงที่มาของคาแรคเตอร์ตัวนี้ตั้งแต่การเกิดมา ที่มาพร้อมเพลงประจำตัวสุดติดหู ‘ชิซซาลูลู่ ชิซาลาลา…ฉันเป็นไก่ทอดหรือพิซซ่ากันแน่?”     อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง  ‘Brainrot Marketing’ ทำไมคอนเทนต์ไร้สาระถึงขายได้? เจาะกลยุทธ์ไวรัลที่ Gen Z หยุดไถไม่ได้   นอกจากนี้ เคเอฟซี ยังเปิดให้ทุกคนมาร่วมสนุกในโลก ‘Roblox’ พร้อมตะลุยภารกิจสุดตื่นเต้น ‘Hunt Down Chizzalulu’ ไล่ล่าชิซซาลูลู่ยักษ์เพื่อค้นหาความลับของชิซซ่าว่าเป็นไก่ทอดหรือพิซซ่ากันแน่ เพื่อรับสกิน (Skin) ที่เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะกิจกรรมนี้เท่านั้น   โดย เคเอฟซี ยังเลือกสื่อสารกิจกรรมการตลาดฯ ดังกล่าวในช่องทางTikTok @KFCThailand ในวันที่ 25 กันยายน 2568 นี้ด้วย   สำหรับสินค้าเมนูใหม่ ‘ชิซซ่า’ จาก KFC จะเริ่มตั้งแต่ 25 กันยายน – 29 ตุลาคม นี้ ที่ร้าน KFC ทุกสาขาทั่วประเทศ (ยกเว้นสาขาท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ)   ปัจจุบันมีร้านเคเอฟซี 1,156 สาขาทั่วประเทศ (ณ กรกฎาคม 2568) บริหารแบรนด์และแฟรนไชส์ โดย   บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด บริหารร้านเคเอฟซีโดย แฟรนไชส์ซี่ จำนวน 3 ราย ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (RD) บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA)       Alternate-X สรุปให้   ตลาด QSR ไทยปี 2567 มูลค่า 47,700 ล้าน โดยไก่ทอดครองสัดส่วน 58% ใหญ่ที่สุดในตลาด ทำให้ KFC เดินเกม Product Innovation สร้างเมนูใหม่ ๆ มาตลอดเพื่อดึงดูดลูกค้า ส่วนโค้งสุดท้ายปี 2568 KFC เปิดตัวเมนู ‘ชิซซ่า’ ผสมผสานไก่ทอดกับพิซซ่า ราคาเริ่มต้น 49 บาท ใช้กลยุทธ์เจาะ Gen Z + เทรนด์ Brainrot พร้อมเปิดตัวคาแรกเตอร์ไวรัล ‘ชิซซาลูลู่’ ผสานโลกจริง–โลกเสมือน ผ่านกิจกรรมบน Roblox และ TikTok เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่กับลูกค้า      

September 23, 2025 / 0 Comments
read more

Hisense ลงทุน 4,700 ล้าน ตั้งฐานผลิตฯแห่งที่2 ในไทย เข้าสู่ยุคใหม่ ‘เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ’

BizKet

Hisense แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจีน ลงเฟสแรก 4,700 ล.บาทสร้างนิคมอุตฯอัจฉริยะทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมี่ยม แผนใน 5 ปี มุ่งสู่ new S-Cruve หลังพบสัญญาณบวกคนไทยตอบรับตู้เย็น-เครื่องซักผ้า ครึ่งแรกปี68 โต20%   โทมัส เทา ผู้จัดการทั่วไป นิคมอุตสาหกรรม HHA Industrial Park เปิดเผยว่า หลังจากแบรนด์ไฮเซ่นส์ ‘Hisense’ ในฐานะหนึ่งในสิบแบรนด์ชั้นนำที่แข็งแรงที่สุดของประเทศจีน เข้ามาทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยมาร่วม 8 ปี ไปพร้อมสร้างการจดจำแบรนด์และการยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย   โดยไฮเซ่นส์ ประเทศจีน ได้วางแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดโลคัล ฟอร์ โลคัล (Local for Lacal) พร้อมวางไทยเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญในฐานะศูนย์กลางการผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม เพื่อทำตลาดทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และ เวียดนาม)     “ประเทศไทยมีศักยภาพความพร้อมทั้งด้านระบบโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ จากภูมิศาสตร์ของไทยที่เป็นทำเลจุดศูนย์กลางของกลุ่มซีแอลเอ็มวี”     โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ‘ไฮเซ่นส์’ ใช้งบลงทุนไปแล้วกว่า 2,100 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะไฮเซ่นส์ ในนิคมอุตสาหกรรมเอสเอ็นซี จังหวัดระยอง บนพื้นที่กว่า 98 ไร่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเสริมแกร่งเครือข่ายการผลิตในภูมิภาคอาเซียน คาดว่าจะมีกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศสูงสุดถึง 3,000,000 เครื่องต่อปี และสร้างงานให้กับคนในชุมชนกว่า 1,500 คน   ล่าสุดในปี 2568 ‘ไฮเซ่นส์’ ขยายการลงทุนครั้งใหญ่ในประเทศไทย ใช้งบลงทุนเบื้องต้น ราว 4,700 ล้านบาท จัดตั้ง นิคมอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะ Hisense  มีขนาดพื้นที่ 400 ไร่ ตั้งภายในนิคมอุตฯอมตะซิตี้ ชลบุรี 2 อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี     สำหรับนิคมอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะ Hisense (Hisense Intelligence Manufacturing Park) แห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ประเภท ตู้เย็น และเครื่องซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมวางศิลาฤกษ์ไปเมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา   โดยนิคมฯ แห่งนี้ วางแผนก่อสร้างแล้วเสร็จรวม 3 ระยะ (Phase) เป็นเวลา 5 ปี (2568-2573) แบ่งออกเป็น   แผนลงทุนในระยะแรก (2568-กลางปี2669) ผลิตตู้เย็น และเครื่องซักผ้า มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 2,600,000 เครื่อง/ปี   แผนลงทุนในระยะที่สอง (ปี2570-2571) วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และเครื่องซักผ้า ระดับพรีเมียมขนาดใหญ่   พร้อมลงทุน เพิ่มเติมกำลังการผลิตตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และเครื่องซักผ้า ระดับพรีเมียมขนาดใหญ่ โดยจะลงทุนเพิ่มเติม ในผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศแบบทำความเย็น จากส่วนกลาง   แผนลงทุนในระยะที่สาม (ปี2572-2573) เตรียมแผนขยายอุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต (New S-curve) เพื่อรองรับการขยายการเติบโตธุรกิจในระดับภูมิภาค     โทมัส กล่าวว่า นิคมฯ ในไทยดังกล่าว ยังเป็นอีกหนึ่งการลงทุนนอกประเทศจีนครั้งใหญ่ของไฮเซ่นส์ ที่ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนจากรัฐบาลไทย คาดว่าจะมีส่วนสร้างแรงงานในชุมชนท้องถิ่นเพิ่มอีก 1,200 คน โดยในระยะที่1 (ช่วงปี 2568-2569) ฐานการผลิตแห่งนี้จะผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้มากถึง 2,600,000 เครื่องต่อปี   “การลงทุนครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญของไฮเซ่นส์ ในการขยายเครือข่ายการผลิตและกระจายสินค้าให้ครอบคลุมตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และสอดคล้องกับเป้าหมายใหม่สู่การสร้างองค์กรระดับโลกและเป็นแบรนด์ระดับโลก”   โดยปัจจุบันไฮเซ่นส์สร้างเครือข่ายครบวงจรผ่านศูนย์ปฏิบัติการ 7 แห่ง ศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) 30 แห่ง และนิคมอุตสาหกรรม 36 แห่งทั่วโลก ในช่วงที่ผ่านมา   โทมัส กล่าวต่อว่า การเลือกไทยเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญในครั้งนี้ ยังสะท้อนจากการเติบโตของแบรนด์ไฮเซ่นส์ตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (เดือนมกราคม ถึงเดือนมิถุนายน) Hisense ประเทศไทยสามารถสร้างสถิติยอดจำหน่ายภายประเทศเติบโตสูงถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ตู้เย็นที่ขยายตัวอย่างโดดเด่นถึง 27% และเครื่องซักผ้าที่ขยายตัวสูงถึง 61%   “ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยและความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อคุณภาพ นวัตกรรม และการบริการของแบรนด์ Hisense และนำสู่การขยายการลงทุนต่อเนื่องในประเทศไทยนับจากนี้”       Alternate-X สรุปให้     ไฮเซ่นส์ (Hisense) แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจีน เดินหน้าขยายการลงทุนในไทยกว่า 4,700 ล้านบาท ตั้งโรงงานอัจฉริยะผลิตตู้เย็น–เครื่องซักผ้าในชลบุรี บนพื้นที่ 400 ไร่ ระยะเวลา 5 ปี ด้วยกลยุทธ์ ‘Local for Local’ ใช้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตและกระจายสินค้าพรีเมียมสู่ตลาด CLMV โดยครึ่งแรกปี 2568 ยอดขายในไทยโต 20% โดยเฉพาะตู้เย็นโต 27% และเครื่องซักผ้าโต 61% พร้อมมองต่อฐานการผลิตอุตสาหกรรม New S-Curve สร้างการเติบโตระยะยาวในภูมิภาค

September 23, 2025 / 0 Comments
read more

วัยรุ่นเชียงใหม่ ไอเดียกรีน จุดสารตั้งต้นแก้ PM 2.5 ผ่านแคมป์ ‘เพาเวอร์กรีน’ บ้านปู

EcoVative

‘เพาเวอร์กรีน’ ปูทางคนรุ่นใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม หลัง 2 ผู้นำรุ่นใหม่ คว้า ‘เยาวชนดีเด่นด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม’ โชว์เคสแอปฯต้นไม้ฟอกอากาศ-นำร่องฟื้นอากาศเชียงใหม่   พลังของเยาวชนคนรุ่นใหม่ คือ ‘ความหวังของโลกใบนี้’ ท่ามกลางความผันผวนของโลกส่งผลกระทบเปลี่ยนแปลงรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น   รัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส – สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินกิจการด้านพลังงานและบริการโซลูชั่นเทคโนโลยีพลังงาน กล่าวว่า หนึ่งในกิจกรรมหลักเพื่อมีส่วนร่วมสนับสนุนความยั่งยืนในสังคม โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพเยาวชนไทยผ่านโครงการ ‘ค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเพาเวอร์กรีน’ (Power Green Camp) มานานกว่า 20 ปี   โดยโครงการฯ ดังกล่าวเสมือนเป็น ‘เวทีบ่มเพาะ’ สร้างผลผลิตที่มีคุณภาพกระจายอยู่ทั่วประเทศ ด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์ที่โครงการฯ มอบให้เยาวชนเพาเวอร์กรีน ได้หล่อหลอมให้เกิดเครือข่ายผู้นำรุ่นใหม่ที่พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลง ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสังคมและโลกที่ยั่งยืนนับจากวันนี้ไปสู่อนาคต     ปัจจุบัน ค่ายเพาเวอร์กรีน ได้พัฒนาเยาวชนไทยไปแล้วกว่า 1,200 คน และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จนี้ถูกตอกย้ำผ่านศิษย์เก่าเยาวชนค่ายเพาเวอร์กรีนที่สามารถคว้ารางวัลเด็กและเยาวชนดีเด่นด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในระดับจังหวัด   สำหรับ ‘คนแรก’ คือ น้องหนูแหวน – พณณกร ออมสิน ศิษย์เก่าเยาวชนค่ายเพาเวอร์กรีน รุ่น 19 จากโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี ที่เพิ่งเข้ารับรางวัลเด็กและเยาวชนดีเด่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดกาญจนบุรี และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติจังหวัดกาญจนบุรี ประจำวันปี 2568     หนูแหวน เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความเชื่อว่า     “หนูโตมากับต้นไม้ เขาเป็นเพื่อนเรา ถ้าไม่มีต้นไม้ก็ไม่มีเรา อยากจะอยู่ดูแลเขาไปเรื่อย ๆ”       หนูแหวน ได้นำแพสชันนี้ผลักดันให้ตัวเองเข้าร่วมค่ายเพาเวอร์กรีน รุ่นที่ 19 ในปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Urban Rewilding: ป่า – เมือง – ชีวิต เพราะเชื่อว่าเยาวชนควรกลับมาใกล้ชิดป่า เข้าใจระบบนิเวศ และมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับเมืองให้มากขึ้น ซึ่งเป็นหัวข้อที่ตรงกับความสนใจและแพสชันของหนูแหวน   “การเข้าร่วมค่ายเพาเวอร์กรีนคือจุดเปลี่ยนชีวิต หนูได้เปิดโลกและมองเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในมิติที่กว้างและลึกกว่าที่เคย”   โดยในปีนั้น โครงงานแอปพลิเคชัน tintin assistance ที่ทีมของหนูแหวนได้คิดค้นและนำเสนอในค่ายฯ คว้ารางวัลชนะเลิศ ด้วยไม่ใช่แค่แอปพลิเคชันจัดการพื้นที่สีเขียวในเมือง แต่เป็นตัวอย่างของความคิดสร้างสรรค์ที่พิสูจน์ว่าเยาวชนสามารถลงมือเปลี่ยนเมืองและสิ่งแวดล้อมได้จริง   นอกจากนี้ หนูแหวน ยังได้กลับมาเป็นพี่เลี้ยงเพาเวอร์กรีน รุ่นที่ 20 พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้น้อง ๆ และยังเป็นโอกาสให้หนูได้มาเรียนรู้เรื่องการลดคาร์บอนซึ่งเป็นธีมหลักของค่ายปีที่ 20   ทั้งนี้ ‘หนูแหวน’ ได้นำเอาความรู้เหล่านั้นไปต่อยอดเป็นโครงงานวิจัยของตนเอง ในการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชฟอกอากาศแต่ละชนิด ทำให้เกิดเป็นความรู้ใหม่ต่อยอดจากสิ่งเดิมที่มีอยู่   นอกจากนี้ ยังมีเยาวชนจากค่ายฯ อีกคนที่ได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติ และเกียรติบัตรรางวัลเด็กและเยาวชนดีเด่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่ร่วมกับบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ และชมรมเยาวชนดีเด่นจังหวัดเชียงใหม่ ประจำปี 2567 คือ   ‘น้องตี๋ – สิริราช ยานะ’ ศิษย์เก่าเยาวชนค่ายเพาเวอร์กรีน รุ่น 17 ปัจจุบันศึกษาอยู่ระดับชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี     “ผมเป็นคนเชียงใหม่ที่ต้องเผชิญกับปัญหา PM 2.5 ทุกปี ทำให้ผมอยากลุกขึ้นมาปกป้องสุขภาพคนในครอบครัว และหาวิธีแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้เชียงใหม่กลับมามีอากาศที่สะอาดและหายใจได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง”         น้องตี๋ มาเข้าร่วมค่ายเพาเวอร์กรีน รุ่นที่ 17 ในปี 2565 ซึ่งเป็นธีม ‘Climate Change: We Must Change’ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนำความรู้ไปแก้ไขปัญหาที่เขาและชุมชนกำลังเผชิญ ค่ายเพาเวอร์กรีนได้เปิดโลกให้น้องตี๋เข้าใจลึกซึ้ง และจริงจังกับประเด็นนี้มากขึ้น   โดยหลังจากจบค่าย น้องตี๋ ยังคงขับเคลื่อนงานสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งเข้าร่วมกิจกรรมค่ายและโครงการต่าง ๆ ในเชียงใหม่ ลงมือจัดกิจกรรมสิ่งแวดล้อม เป็นแกนนำเยาวชนผลักดันการเปลี่ยนแปลงผ่านหลายบทบาท ทั้งในฐานะ   สมาชิกสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ก่อตั้งกลุ่มเยาวชน YRC Green Generation ผู้ก่อตั้งเพจ GreenerThailand   สำหรับ สิ่งที่น้องตี๋ทำเริ่มสร้างการตระหนักรู้ในวงกว้าง จนได้รับการยอมรับ และสามารถคว้ารางวัลเยาวชนดีเด่นด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในที่สุด     ติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรมและรายละเอียดโครงการ ‘ค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเพาเวอร์กรีน’ (Power Green Camp) เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/powergreencamp   Alternate-X สรุปให้   ค่ายเพาเวอร์กรีน ปลูกฝังเยาวชนไทยให้เป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมมากว่า 20 ปี ล่าสุด 2 ศิษย์เก่า ‘หนูแหวน’ และ ‘ตี๋’ คว้ารางวัลเยาวชนดีเด่นด้าoทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้าน ‘หนูแหวน’ พัฒนาแอปฯ ฟอกอากาศ พร้อมต่อยอดงานวิจัยด้านการดูดซับคาร์บอนของพืช ขณะที่ ‘น้องตี๋’ ขับเคลื่อนประเด็น PM 2.5 เชียงใหม่ ผ่านกลุ่ม YRC Green Generation และเพจ GreenerThailand ทั้งสองสะท้อนพลังคนรุ่นใหม่ที่พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกยั่งยืน ตามความมุ่งมั่นของกลุ่มบ้านปู

September 22, 2025 / 0 Comments
read more

กลุ่มวันสยาม X POEM ดีไซน์แฟชั่น ‘ยูนิฟอร์ม’ ใหม่ รับเทรนด์รีเทลโลก-ชิงกำลังซื้อลักซูรี

BizKet,  Peace&Play

กลุ่มวันสยาม คอลแล็บส์ POEM แบรนด์ดีไซเนอร์ไทยระดับโลก ออกแบบยูนิฟอร์มใหม่พนักงาน สร้าง Vibes ครบลูป ย้ำภาพบริการรีเทลระดับสากล     สรัลธร อัศเวศน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Customer Centricity & Relationship บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้ให้บริการเดสติเนชั่นค้าปลีกระดับโลก ภายใต้กลุ่มวันสยาม (One Siam) ประกอบด้วย สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม เปิดเผยว่า กลุ่มวันสยาม วางแนวทางปรับปรุงและพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรีเทลอย่างต่อเนื่อง   พร้อมใช้ Customer-Centric Experience ศูนย์กลางลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ ที่สอดรับกับแนวโน้มการตลาดค้าปลีกระดับโลก โดยยกระดับการให้บริการแบบครบวงจร (Comprehensive Service Transformation) ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์   นอกจากนี้ยังร่วมกับ POEM แบรนด์แฟชั่นไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ในการเปิดตัวยูนิฟอร์มภาพลักษณ์ใหม่ สำหรับทีมคัสโตเมอร์ เอ็นเกจเมนต์ (Customer Engagement) ภายใต้การออกแบบของ ‘ฌอน-ชวนล ไคสิริ’ เพื่อเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการส่งมอบบริการที่เหนือความคาดหวัง     “กลุ่มวันสยาม ได้ดึงจุดแข็งด้านการให้บริการในแบบเฉพาะบุคคล และความเป็นเลิศในการให้บริการของทีมพนักงาน Customer Engagement มาพัฒนาและยกระดับการให้บริการ”     ขณะที่ กลยุทธ์ Customer-Centric Experience ของกลุ่มวันสยาม ยังปฏิวัติ ประสบการณ์ของลูกค้าแบบ 360 องศา ได้แก่   Personalized Service การบริการเหนือระดับด้วยด้วยแนวคิด ‘Anticipate Customer Needs’ เราเข้าใจคุณ… ก่อนที่คุณจะรู้ตัวเอง! โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง AI และ Machine Learning มาช่วยคาดการณ์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้แม่นยำมากขึ้น เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงใจดีขึ้น World-Class Service for All เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั้งที่เป็นสมาชิกและยังไม่ได้เป็นสมาชิกที่มาจับจ่ายภายในศูนย์ฯ พร้อมสร้างความพึงพอใจและประทับใจในทุกทัช พอยต์ ด้วยมาตรฐานการให้บริการระดับโลก ที่ครอบคลุมตลอดเส้นทางประสบการณ์ของลูกค้า Exclusive Service/Privileges for Member มอบสิทธิพิเศษเหนือระดับครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งภายในศูนย์การค้าและนอกศูนย์การค้า ทั้งในและต่างประเทศ Global Privilege ร่วมกับ 12 พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลก ใน 10 ประเทศและเขตปกครองพิเศษ นำร่องสร้างลักซูรี อีโคซิสเต็ม ในปลายปีนี้ แบบ 360 องศา เพื่อยกระดับสู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่อยู่ในใจลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก Innovation Service ริเริ่มนำ AI-Powered Customer Service Kiosk ระบบปฏิบัติการบริการที่ผสาน AI Intelligence กับ Human Touch รองรับ 7 ภาษาหลัก ได้แก่ ไทย, อังกฤษ, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, รัสเซีย, และอาหรับ เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการสื่อสารแบบไร้รอยต่อ เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และการบริการที่ใช้ข้อมูลจากทุกทัช พอยต์ ของลูกค้ามาศึกษาเพื่อพัฒนาการบริการให้ดียิ่งขึ้น   สรัลธร  เสริมว่า ส่วนหนึ่งในแผนงานกลุ่มวันสยาม คือ การใช้เอไอมาร่วมขับเคลื่อนลูกค้าอัจฉริยะ (AI-Driven Customer Intelligence) เพื่อเข้าใจลูกค้าในระดับลึกและสร้างกลยุทธ์การตลาดได้แม่นยำ โดยผสานการทำงานในรูปแบบ ออมนิชาแนล เอ็กซพีเรียนซ์ เอ็กเซลเลนซ์​ (Omnichannel Experience Excellence)  เพื่อส่งมอบประสบการณ์เหนือระดับและสร้างความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งแนวทางนี้ยังสอดคล้องเทรนด์การตลาดรีเทลโลกในปัจจุบัน คือ การผสมผสานระหว่างลูกค้า ข้อมูล และ เอไอ (Combination of Customer + Data + AI)     “การได้รับการบริการระดับเวิลด์คลาสของทีม Customer Engagement  พร้อมใช้ประโยชน์จาก Data Hub และครองความเป็นผู้นำในตลาดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงสุดในประเทศไทย”   พร้อมเสริมว่า ล่าสุดทีมลูกค้าสัมพันธ์ กลุ่มวันสยามยังได้เข้ารอบ Finalist ของเวทีประกาศรางวัลด้านบริการระดับโลกที่จัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ คือ People in Retail Awards สาขา Customer Service Team of the Year ซึ่งเป็นรางวัลที่จัดขึ้นเพื่อเชิดชูบุคลากรในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีผลงานยอดเยี่ยม และเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจด้านวัฒนธรรมองค์กรและการบริการลูกค้า   “เราเป็นกลุ่มศูนย์การค้าเดียวของเอเชียที่ได้เข้าชิงรางวัลสุดยอดบริการระดับโลกนี้”     ดึงภาพจำสู่งานดีไซน์     ด้าน ชวนล ไคสิริ ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ POEM ผู้สร้างสรรค์ยูนิฟอร์มภาพลักษณ์ใหม่ กล่าวว่า “ในฐานะที่ผมเติบโตมากับศูนย์การค้ากลุ่มสยามพิวรรธน์ตั้งแต่วัยเด็ก ภาพความทรงจำในแต่ละยุคของสยาม     พารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม ได้หล่อหลอมแรงบันดาลใจในการออกแบบครั้งนี้   “ผมตีความความทันสมัยและความล้ำสมัยที่ได้ส่งต่อมาตลอด ถ่ายทอดผ่านสีและดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนขององค์กร สร้าง Professional Credibility ผ่านการออกแบบแฟชั่นที่สะท้อนภาพลักษณ์องค์กรและเป็น First Touch Point กับลูกค้า”       สำหรับ ดีไซน์ใหม่นี้ ผ่านการออกแบบจากการพูดคุยกับทีมพนักงานผู้สวมใส่ที่ใช้งานจริง เราเน้นฟังก์ชันและความคล่องตัว โดยปรับซิลูเอตให้เหมาะกับการทำงานจริง มีทั้งกระโปรงทรงเอและกางเกงเพื่อเป็นทางเลือก เพิ่มความมั่นใจด้วยคัตติ้งและแพทเทิร์นแบบเทเลอร์เมด ซึ่งเป็นลายเซ็นของแบรนด์ POEM ผสานโทนสีเทาที่เป็นสีแห่งความก้าวหน้า   โดยสีเทาที่ใช้ คือ Neutral Grey ที่ให้ความสุภาพและเป็นกลาง โดยในชุดของพนักงานที่ทำงานภายใน สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ จะใช้ผ้าสีเทานี้ มาทำหน้าที่เป็นพื้นให้สีม่วงซึ่งเป็นสีหลักของสยามพิวรรธน์   สำหรับไอคอนสยาม จะใช้สีเทาจับคู่กับสีทองซึ่งเป็นสีอันเป็นเอกลักษณ์ของไอคอนสยาม  นอกจากนี้ ยังได้ทำการดีไซน์ชุดของทีมงานต่างๆ ที่แม้มีความแตกต่าง แต่ก็มีความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีความโดดเด่นมีระดับ             Alternate-X สรุปให้       กลุ่มวันสยามจับมือกับ POEM แบรนด์ดีไซเนอร์ไทยระดับโลก เพื่อออกแบบยูนิฟอร์มใหม่สำหรับทีมพนักงาน สร้างภาพลักษณ์ที่สะท้อนบริการระดับสากลและเสริมความมั่นใจในการทำงาน การร่วมมือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Customer-Centric Experience เพื่อยกระดับการให้บริการแบบครบวงจร พร้อมย้ำจุดยืนในการเป็นกลุ่มศูนย์การค้า ‘หนึ่งเดียวในเอเชีย’ ที่เข้ารอบชิงรางวัล People in Retail Awards สาขา Customer Service Team of the Year ที่ประเทศอังกฤษ    

September 21, 2025 / 0 Comments
read more

‘ออริจิ้น’โฟกัสอสังหาฯอนาคต โสด-ไม่มีเพื่อน-เลี้ยงสัตว์ได้ ปรับพอร์ตเน้น ‘เพ็ต-เฟรนด์ลี่’

BizKet

‘ออริจิ้น’ ปรับพอร์ตคอนโดโฟกัส ‘เพ็ต-เฟรนด์ลี่’ รับอนาคตสังคมโสด-ไม่มีเพื่อน-เลี้ยงสัตว์ได้ขยายตัวตามอุตฯ สัตว์เลี้ยง เจาะกลุ่มอยู่อาศัยจริง-ลงทุนปล่อยเช่า ให้ผลตอบแทนสูงเพิ่ม 25-50% เทียบนัน-เพ็ต     อภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ORIGIN VERTICAL) ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) กล่าวว่า บริษัทฯ วางหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญการทำตลาดโครงการคอนโดฯ นับจากนี้ไปให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในอนาคตที่สอดคล้องกับอุตสากรรมสัตว์เลี้ยง ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงต่อเนื่องทุกปี   โดยบริษัทฯ วางแผนปรับสมดุล (Portfolios balance)โครงการคอนโดทั้งหมดให้ อยู่ในรูปแบบการอยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง (Pet-Friendly) ในสัดส่วน 40-50% ในอนาคต จากปัจจุบันโครงการคอนโดออริจิ้น มีสัดส่วน 70% อยู่อาศัยทั่วไป และ 30% เป็นเพ็ต-เฟรนด์ลี่ ปัจจุบันมีจำนวนโครงการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ จำนวน 25 โครงการ มีโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่จำนวน 7 โครงการ     “ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่จะเป็นคนโสด ไม่มีเพื่อน และหันมาเลี้ยงสัตว์เป็นสมาชิกครอบครัวตัวเอง ซึ่งจะมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น”     เลี้ยงสัตว์ได้ให้ค่าเช่าเพิ่ม 50%     อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในไตรมาส4 ปี2568 บริษัทฯ วางแผนเปิดตัวใหม่ (New Launch) ใน3 โครงการคอนโด พร้อมเปิดตัวอีก 2 แบรนด์ใหม่ (New Brand) ในเครือออริจิ้น คือ ออริจิ้น เรสซิเดนซ์ (Origin Residence) พัฒนาภายใต้แนวคิด เพ็ต-เฟรนด์ลี่ ซึ่งแบรนด์หลังจะทำตลาดที่กรุงเทพฯ และ ภูเก็ต   แนวทางดังกล่าว เพื่อรองรับความต้องการทั้งกลุ่ม ผู้อยู่อาศัยจริง และ นักลงทุนที่ต้องการซื้ออสังหาฯเพื่อปล่อยเช่าในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีความต้องการเลี้ยงสัตว์ได้ที่ปัจจุบันมีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องทุกปี   “จากการสำรวจผลตอบแทนรายได้จากค่าเช่าในโครงการหรืออาคารรูปแบบ เพ็ต-เฟรนด์ลี่ อย่างออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น พบว่าจะได้หลัก1-1.2 หมื่นบาทต่อเดือนในรายปล่อยเช่า เทียบกับค่าเช่ายูนิต นัน-เพ็ตฯ อยู่ที่ราวๆ 8 พันบาทต่อเดือน”   โดยช่องว่างรายได้จากค่าเช่าที่ปรับสูงขึ้นถึง 50% คาดว่ามาจากการรับประกันความมั่นใจการดูแลความเสียหายของเฟอร์นิเจอร์ และ สภาพห้องชุด โดยรวม กรณีผู้เช่าอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยง       ‘B2B’ กลยุทธ์ปิดยอดโอนไว   อภิสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทเปิดตัวคอนโดแบรนด์ Origin Plug & Play รองรับการอยู่อาศัยไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยคุ้มค่า ทำเลเดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า มีจุดเด่นที่ห้องแบบเพดานสูง ส่วนกลางครบ ในราคาที่จับต้องได้   โดยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้โอนบิ๊กล็อต จำนวน 278 ยูนิต โครงการ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) ให้กับ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 90% โดยทำเลที่ตั้งโครงการ ติด BTS สายสีเขียว สถานีสายลวด เพียง 0 เมตร   อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง   ‘ออริจิ้น’ ครึ่งแรกปี68 ทำยอดพรีเซลกว่า 1.4 หมื่นล. แผนQ3เร่งโอนคอนโด-ทำตลาดพร้อมอยู่ 4 ปัจจัยหนุน ‘DELTA’ กวาด ‘บิ๊ก ล็อต’ คอนโดฯออริจิ้น เติมสภาพคล่อง ‘ORI’ ไตรมาส2ปี68 มหาเศรษฐีตระกูล ‘Koo’ ปิดดีล 500 ล.บาท ซื้อยกฟลอร์โซนค้าปลีก ‘ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์’ ‘ออริจิ้น’ หวนใช้ ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ แบรนด์แอมฯ เรียกเชื่อมั่นแบรนด์ ครึ่งหลังปี68     สำหรับ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมระดับ Mid – High End สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และสามารถเลี้ยงสัตว์ใด้   ติด BTS สายสีเขียว สถานีสายลวด บนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ จำนวน 1 อาคาร ความสูง 25 ชั้น จำนวน 1,044 ยูนิต กับร้านค้า 1 ยูนิต รูปแบบห้องเพดานสูง 4.2 เมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 22 – 34.5 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท ส่วนกลาง/สิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ล็อบบี้, Co – Working Space, Sky Lounge , สวน 3 จุด, สระว่ายน้ำ, ห้องสันทนาการ, ฟิตเนส และ พื้นที่ส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยง Pet Club อาคารที่จอดรถ 1 อาคาร ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ติดตั้งกล้อง CCTV ทั่วโครงการ ควบคุมการเข้าออกด้วย Key Card   โดยทำเลโดยรอบ ใกล้แหล่งงานใหญ่อย่าง นิคมอุตสาหกรรมบางปู รวมถึงแหล่งพักผ่อนชายทะเล สถานตากอากาศบางปู ศูนย์การค้า ไลฟ์สไตล์ สถานพยาบาล และสถานศึกษา   “ออริจิ้น เน้นเจาะตลาดผู้บริโภคทั่วไป และกลุ่มนักลงทุน ควบคู่กลุ่มลูกค้าองค์กรหรือ B2B ในโซนแหล่งงาน ฐานการผลิตในประเทศไทยที่ต้องการที่อยู่อาศัยให้พนักงานด้วยโมเดลการขายแบบบิ๊กล็อต ด้วยกลยุทธ์นี้ช่วยสร้างทั้งยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บริษัทฯ ได้อย่างรวดเร็ว”      นอกจากนี้ยังได้เตรียมส่งมอบโครงการ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์ (Origin Plug & Play Srinakarin) มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท คอนโดใหม่ติดถนนใหญ่ เพดานสูง 4.2 เมตร แห่งแรกบนถนนศรีนครินทร์ใกล้ BTS สายสีเหลือง 2 สถานี (สถานีศรีด่าน และ ศรีแบริ่ง) ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70%   โครงการพัฒนาบนที่ดินกว่า 2 ไร่ ความสูง 35 ชั้น จำนวน 593 ยูนิต กับร้านค้า 1 ยูนิต ขนาดห้องพักตั้งแต่ 1 Bedroom ขนาด 22 ตร.ม. – 1 Bedroom Plus ขนาด 34 ตร.ม. บริเวณโดยรอบ ใกล้ Foodland และห้าง Jas Urban ส่วนกลางลอยฟ้า ไฮไลท์หลักชั้น 35 จัดสรรให้เป็นพื้นที่สระว่ายน้ำวิวเมือง 270 องศา ราคาเริ่ม 2.99 ล้านบาท     อภิสิทธิ์ กล่าวถึงภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปี 2568 คาดมีแนวโน้มค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยหนุน   การลดลงของดอกเบี้ย มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% มาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราว   ทั้งนี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้กับผู้บริโภคตัดสินใจซื้อหรือโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยได้ดี เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก   ขณะที่ การแข่งขันของตลาดคอนโดฯ ยังคงคึกคักผ่านแคมเปญโปรโมชันต่างๆ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ เร่งทำยอดขาย และรายได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ต่อเนื่องไปจนถึงต้นปีหน้า       Alternate-X สรุปให้     ออริจิ้น ปรับพอร์ตคอนโดรับเทรนด์อนาคต โฟกัสโครงการ เพ็ต-เฟรนด์ลี่ รองรับคนโสด-เลี้ยงสัตว์ เพิ่มโอกาสการลงทุน ปล่อยเช่าได้ผลตอบแทนสูง 25-50% ทำอีก 2 แบรนด์ใหม่ ‘Origin Residence’ เจาะทำเลทั้งกรุงเทพฯ และภูเก็ต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ถึงจะเน้นเช่าแต่ก็ยังมีดีมานด์ดันตลาดอสังหาฯ โตต่อเนื่อง

September 21, 2025 / 0 Comments
read more

ลิ้มรสมือ ‘เชฟแพม’ ระดับโลก กับ 11 เมนูลับร้าน ‘โพทง’ ไอคอนสยาม ชวน 20 ท็อปสเปนเดอร์

Peace&Play,  WeView

ไอคอนสยาม ย้ำกลยุทธ์ประสบการณ์พิเศษ ดึงสายช้อปเปย์สูงสุด 20 คน สัมผัสรสชาติเชฟหญิงระดับโลก ร้านอาหารไทย-จีนไฟน์ไดนิ่งสุดหรู ‘โพทง’   สุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า ไอคอนสยาม วางกลยุทธ์ต่อเนื่อง ‘ICONSIAM Extraordinary Experience’ สร้างประสบการณ์ความอร่อยเหนือความคาดหมายแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่นเป็นปีที่ 2  ในแคมเปญ ‘The Rarity Dining series with POTONG’ โดยร่วมกับ ‘เชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ’ The World’s Best Female Chef 2025 แห่งร้านอาหารไทย-จีนไฟน์ไดนิ่งระดับหรู ‘โพทง’   “จากความสำเร็จของโครงการ ICONSIAM Extraordinary Experience ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี มีลูกค้าสนใจเข้าร่วมโครงการสูงกว่าปีที่แล้วกว่า 300%”   สุพจน์ กล่าว     สำหรับแคมเปญ ‘The Rarity Dining Series with POTONG’  ในปีนี้ เตรียมรังสรรค์เมนูพิเศษสำหรับกิจกรรมนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ลูกค้าไอคอนสยามได้สัมผัสประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟทั้งด้านรสชาติ ความคิดสร้างสรรค์ และเรื่องราวที่น่าจดจำ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ ICONSIAM Extraordinary Experience พร้อมสร้างแรงบันดาลใจและความสุขเหนือความคาดหมายให้กับทุกคน   โดยกิจกรรม ‘The Rarity Dining series with POTONG’ เตรียมพาลูกค้าคนพิเศษของไอคอนสยามร่วมสัมผัสประสบการณ์ไฟน์ไดนิ่งในสไตล์ ‘Progressive Thai-Chinese Cuisine’ ผ่าน 11 คอร์สเมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ICONSIAM x POTONG ที่รังสรรค์โดย ‘เชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ’ เชฟหญิงชื่อดังของไทย ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น The World’s Best Female Chef 2025 จาก The World’s 50 Best Restaurants ท่ามกลางบรรยากาศหรูหราคลาสสิกในอาคารเก่าแก่สไตล์ชิโน-โปรตุกีสอายุกว่า 120 ปี ย่านสำเพ็ง ที่บรรพบุรุษของเชฟแพมเคยเปิดเป็นห้างขายยาโพทงมาก่อน     สำหรับ การรับประทานอาหารที่โพทงในรูปเเบบ ‘5 Elements, 5 Senses’ จะพาไปดื่มด่ำกับประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เเตกต่างเเละไม่เหมือนใคร ทั้งลิ้มรสชาติความอร่อย พร้อมเสริมอรรถรสด้วยเรื่องเล่าแห่งกาลเวลาระหว่างความดั้งเดิมและความร่วมสมัย   โดยเชฟแพมเลือกนำเสนอคอร์สเมนูอาหารสุดพิเศษภายใต้คอนเซ็ปต์ของ ‘กาลเวลา’ ดึงเอารสชาติในความทรงจำของเชฟและรูปแบบวัฒนธรรมการกินของคนไทยเชื้อสายจีน มาเป็นแรงบันดาลใจในสร้างสรรค์แต่ละเมนู   ทั้งนี้ ลูกค้าไอคอนสยามที่อยากลิ้มรสเมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากเชฟหญิงระดับโลก สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ทาง ONESIAM SuperApp โดยสมาชิก ONESIAM 20 ท่าน ที่สะสมยอดใช้จ่ายสูงสุดตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน – 8 ตุลาคม 2568 (ยอดสะสมขั้นต่ำที่ 30,000 บาทขึ้นไป) จะได้รับสิทธิ์ไปร่วม ดินเนอร์มื้อพิเศษที่ร้านโพทง ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568   สำหรับ วิธีการเข้าร่วมกิจกรรมในแคมเปญ “ICONSIAM Extraordinary Experience The Rarity Dining series with POTONG” สามารถลงทะเบียนผ่าน ONESIAM SuperApp ได้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน – 8 ตุลาคม 2568 โดยมีเงื่อนไขดังนี้   เงื่อนไขการเข้าร่วมกิจกรรม ลูกค้าไอคอนสยามที่เป็นสมาชิก ONESIAM ลงทะเบียนร่วมกิจกรรม “ICONSIAM Extraordinary Experience The Rarity Dining series with Baan Tepa Culinary Space” ผ่าน ONESIAM SuperApp ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน – 8 ตุลาคม 2568 สมาชิกผู้มียอดใช้จ่ายสะสมที่ไอคอนสยาม รวมสยาม ทาคาชิมายะ และไอซีเอส ในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด สูงสุด 20 ท่านแรก (ยอดสะสมขั้นต่ำที่ 30,000 บาท โดยยอดใช้จ่ายต้องประกอบด้วยหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่ม 5,000 บาทขึ้นไป) จะได้รับสิทธิ์ร่วมเดินทางไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้านอาหาร ‘โพทง’ ในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2568 จำนวน 20 สิทธิ์ สิทธิ์ละ 2 ที่นั่ง รวมทั้งหมด 40 ท่าน ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย จำกัด 1 สิทธิ์ / สมาชิกตลอดรายการ และจำกัดรวม 20 สิทธิ์ตลอดรายการ           Alternate-X สรุปให้        ไอคอนสยาม ดึงกลยุทธ์ ‘ICONSIAM Extraordinary Experience’ จัดแคมเปญหรู The Rarity Dining Series with POTONG ชวนลูกค้า Top Spender 20 ท่าน ดินเนอร์ไฟน์ไดนิ่งสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดย เชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ The World’s Best Female Chef 2025 ลิ้มรส 11 คอร์ส Progressive Thai-Chinese Cuisine ณ ร้าน ‘โพทง’  

September 21, 2025 / 0 Comments
read more

ทำไมสนใจแต่ไม่ซื้อ? ลูกค้า 50–75% หายกลางทาง! VML แนะแบรนด์อุดรอยรั่วเพิ่มรายได้

BizKet

ซับซ้อนไม่พอ แถมยังย้อนแย้งอีก!!  พฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่แบรนด์สินค้าต้องเจอท่ามกลางการแข่งขันสูงในตลาดเดียวกัน ที่ยังต้องรอจังหวะกว่าลูกค้าจะตัดสินใจ ‘คลิก’   ปัจจุบันหลายแบรนด์กำลังเผชิญปัญหาสำคัญในเส้นทางผู้บริโภค (Consumer Journey) เมื่อพบการหลุดหาย ‘Drop-off’ ระหว่างขั้นตอนการพิจารณา (Consideration) สู่การตัดสินใจซื้อ (Purchase) สูงถึง 50–75% ส่งผลให้ยอดขายไม่เติบโตตามเป้าหมาย และทำให้แบรนด์ สูญเสียโอกาสทางรายได้กว่า 35–55%   ปรัตถจริยา ชลายนเดชะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร VML Thailand  เอเยนซี ผู้ให้บริการโซลูชันความคิดสร้างสรรค์ ข้อมูล และเทคโนโลยี กล่าวถึงภาพรวมผู้บริโภคไทยในปัจจุบัน มีความคิดและพฤติกรรมที่ย้อนแย้งกันในตัวผู้บริโภคเอง นำไปสู่ปรากฏการณ์ใหม่ เรียกว่า ‘Consumer Paradox Mindsets’  ‘ความย้อนแย้งในใจ’ ผู้บริโภคไทย ที่แม้จะแสดงความสนใจสินค้า แต่กลับลังเลไม่ซื้อจริง ซึ่งถือเป็นความท้าทายใหญ่ของธุรกิจในยุคนี้   จากสถานการณ์ดังกล่าว เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลก ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ กระแสโซเชียลมีเดีย ที่เปลี่ยนแปลงค่านิยม และการดิสรัปชันของเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI เป็นต้น   โดย VML Thailand ทำการศึกษาวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ พร้อมนำผลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคจากงานวิจัย “The Future 100” และ “Future Shopper” ของ VML ที่จัดทำอย่างต่อเนื่องทั่วโลกมากว่าสิบปี ร่วมกับการสำรวจผู้บริโภคทั่วโลกจำนวนกว่า 45,000 คน พร้อมตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อมูลจากพาร์ทเนอร์บริษัทวิจัยชั้นนำอย่าง Kantar, Global Web Index และ Euromonitor มาร่วมวิเคราะห์ เพื่อถอดรหัสความเข้าใจพฤติกรรมที่ย้อนแย้งของผู้บริโภค ถึงปัจจัยที่สร้างความสับสนลังเลในการตัดสินใจด้านต่างของผู้บริโภค ที่ทำให้นักการตลาด แบรนด์ ต้องเสียโอกาสในการขายไป     โฉมใหม่การตลาดไทย     ขณะที่ ผลการวิจัยระบุ 4 มิติสำคัญ ที่เป็นตัวอย่างความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ในยุคปัจจุบัน   1.The Spending Paradox: Willing to Spend vs. Power to Spend คือความย้อนแย้งใน ‘ความอยากจ่าย’ กับ ‘กำลังในการจ่าย’ แม้จะมีแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ทำให้กำลังซื้อลดลง   แต่ผู้บริโภคชาวไทยโดยเฉพาะ Gen Z กลับมีความอยากที่จะใช้จ่ายในหลายหมวดหมู่สินค้าและโซลูชันมากกว่าทุกเจเนอเรชัน โดยเฉพาะค่าอาหาร เครื่องดื่ม และค่าใช้จ่ายส่วนตัว   70% ต้องมองหาแบรนด์ทางเลือกที่ราคาถูกกว่า   อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งของผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังมีความอยากเก็บเงินและลงทุนเพื่ออนาคต   ในขณะที่กลุ่ม Gen X ถึง Baby Boomer ที่มีฐานะดีกว่ากลับเน้นประหยัดกับค่าปัจจัยพื้นฐาน แต่ยังแอบเปิดใจให้กับสินค้าโซลูชันด้านสุขภาพและการแสวงหาประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน   2.The Relationship Paradox: Need to Disconnect vs. Drive to Reconnect ความย้อนแย้งใน ‘การอยากเชื่อมต่อ’ กับ ‘อยากหยุดเชื่อมต่อ’ ถึงแม้ว่าคนไทยกว่า 90% สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้และเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียตลอดเวลา   แต่ผู้บริโภคชาวไทยเกือบ 80% กำลังพิจารณาเรื่อง ‘การควบคุมปริมาณข้อมูล’ เช่น การเลิกติดตาม หรือ บล็อกโซเชียลมีเดียบางแพลตฟอร์ม   71% เริ่มรู้สึกเอียนเทคโนโลยีและต้องการอิสระ 38% ของคนไทย หันมาสนใจกิจกรรมในโลกจริงเพื่อสุขภาพจิตที่ดี   อย่างไรก็ตามพวกเขายังมองเทคโนโลยีในแง่ดีมากกว่าแง่ไม่ดี และเชื่อว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับความสามารถในการเชื่อมต่อกับผู้คนและโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้นได้   3.The Belief Paradox: Demand for Real vs. Crave for Wow คือความย้อนแย้งใน ‘ความต้องการความซื่อสัตย์จริงใจ’ กับ ‘ความโหยหาความตื่นเต้นเซอร์ไพรส์เร้าใจ’   จากผลการวิจัยล่าสุดของ VML กับผู้บริโภคไทยพบว่า ความเชื่อมั่นในบุคคล แบรนด์ และอินฟลูเอนเซอร์กำลังถูกท้าทายจากความไม่เชื่อใจของผู้บริโภค เนื่องจากข่าวด้านลบและข่าวปลอมบนโซเชียลมีเดีย   80% ของคนไทย กังวลเรื่องข่าวปลอม ขณะที่ความเชื่อมั่นใน AI กลับสูงเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ผู้บริโภคเรียกร้องความจริงและความซื่อสัตย์เป็นคุณค่าสูงสุด โดยต้องการแบรนด์ที่จริงใจ 64% และน่าเชื่อถือ 70% 73% ของคนไทย ยังต้องการแบรนด์ที่บันเทิง ดึงดูดทุกโสตประสาทสัมผัส และสร้างความ ‘ว้าว’ ด้วย ถึงจะเป็นแบรนด์ที่โดดเด่น และเป็น Top of Mind ในใจผู้บริโภค   4.The Health & Wellness Paradox: Fear of Aging vs. Joy of Aging คือความย้อนแย้งใน ‘ความกลัวแก่’ กับ ‘ความสุขสนุกของชีวิตในวัยหลังเกษียณ’ เนื่องจากสุขภาพกายและใจเป็นหนึ่งในสองคุณค่าสูงสุดทั้งในหมู่คนไทยและทั่วโลก หมวดสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีจึงเป็นอันดับต้นๆ ที่คนไทยยินดีจ่ายเงินเพิ่ม 70% ของคนไทย กำลังดูแลสุขภาพกาย สุขภาพจิต และจิตวิญญาณอย่างจริงจัง สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ผู้ที่กลัวความแก่ชรามากที่สุดกลับเป็นคนรุ่นใหม่ Gen Z ซึ่งมองว่าการดูแลรูปลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องลงทุนมากกว่าคนรุ่นอื่น ในทางกลับกัน กลุ่ม Baby Boomer ซึ่งเป็นผู้สูงวัยที่สุดกลับเป็นกลุ่มที่กลัวความแก่น้อยที่สุด โดย 90% เชื่อว่า ‘อายุเป็นเพียงตัวเลข’ และกว่า 50% คิดว่าชีวิตและการใช้ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้หลังอายุ 60 ปี     อะไร ? ที่ทำให้แบรนด์ไม่โต   ปรัตถจริยา กล่าวว่า ปัจจุบันแบรนด์ต่างๆ ไม่ได้ขาด การรับรู้ Awareness แต่กลับประสบปัญหาใหญ่หลวงจากการขาด ‘Effective Push-throug’ วิธีผลักลูกค้าที่สนใจให้ตัดสินใจซื้อจริง (Conversion) และ กลับมาซื้อซ้ำ (Retention) โดยต้องจัดการกับปัญหาสำคัญคือ การหลุดหาย Drop-off ที่ลูกค้าส่วนใหญ่หายไปในขั้นตอนสุดท้าย จากที่ ‘สนใจสินค้า’ แต่ไม่ ‘ซื้อจริง’   โดยมีอัตราการหลุดหายจากตัดสินใจสู่การซื้อจริง สูงถึง 50-75% ในทุกอุตสาหกรรม ส่งผลให้แบรนด์สูญเสียโอกาสทางรายได้ถึง 35-55% “จากรอยรั่วเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ค่าโฆษณาที่แพงขึ้น 2.5-3.5 เท่า กลับเพิ่มคอนเวอร์ชั่น ได้เพียง 5-10% เท่านั้น”     จากข้อมูลเชิงลึกชี้ให้เห็นว่า   ค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง 8-12% แต่ความคาดหวังจากคุณภาพของสินค้ากลับสูงขึ้น 15-20% ขณะที่ต้นทุนสื่อพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง 15-25% และต้นทุนธุรกิจเพื่อให้ได้ลูกค้า 1 คน (Cost per acquisition) สูงขึ้นถึง 25-45% นอกจากนี้ 68% ของลูกค้าพร้อมเปลี่ยนแบรนด์ใน 1 คลิกหากเจอประสบการณ์ใหม่ของลูกค้า หรือ ข้อเสนอที่ดีกว่าที่ดีกว่า 72% ของคู่แข่งใช้ AI ในการปรับปรุงการขายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (Optimize Funnel) เพิ่มขึ้น 35% จากปี 2567     “ทุกการ Drop-off คือรายได้ที่สูญเสียไป ซึ่งการทำความเข้าใจความย้อนแย้งในใจผู้บริโภค เพื่อดึงมุมเหล่านี้มาสร้างความอยากลองอยากมีประสบการณ์กับแบรนด์ เพื่อนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ทางการตลาด”     โดย VML มองว่าตลาดในปี 2568-2569 นี้ ตลาดจะยิ่งท้าทายขึ้น ผู้บริโภคมีความอดทนน้อยลง และความภักดีต่อแบรนด์เปราะบางลงอย่างมาก     “แบรนด์ที่จะชนะคือแบรนด์ที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ราบรื่น สร้างความผูกพันทางอารมณ์ และขับเคลื่อนผลลัพธ์ได้อย่างแท้จริง”     ขณะที่ ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับแบรนด์คือ การที่ลูกค้าหลุดและรายได้หายโดยไม่รู้ตัว แม้ว่ามรการรับรู้ (Awareness) ดีแต่ยอดขายไม่พุ่ง ลูกค้าเดินเข้าร้านแล้วกลับไปซื้อบนเว็บไซต์อื่น หรือลูกค้าเพิ่มของลงตะกร้าแต่ไม่ซื้อ   ทั้งหมดนี้ คือ ‘รูรั่ว’ ที่เกิดจากจุดบอดในประสบการณ์ตลอดเส้นทางของลูกค้า และการสื่อสาร ที่นำไปสู่การหลุดออกจากแบรนด์       ประสบการณ์ลูกค้าต้องราบรื่น   ปรัตถจริยา กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าว VML ได้เปิดตัว NO LEAK SOLUTION™ โซลูชันปฏิวัติการตลาดยุคใหม่ด้วยความท้าทายเหล่านี้ เพื่ออุดรอยรั่วตลอดเส้นทางของผู้บริโภค พร้อมเปิดโอกาสทางการตลาดเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้าในมุมที่อาจไม่ได้นึกถึงก่อนหน้านี้ เพื่อนำไปสู่โอกาสของยอดขายใหม่ๆ   สำหรับ NO LEAK SOLUTION™ ของ VML Thailand มุ่งออกแบบประสบการณ์แบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์ที่จะยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เพิ่มคุณค่าตลอดเส้นทางของผู้บริโภค และปรับปรุงการค้าให้เหมาะสมเพื่อความได้เปรียบในอนาคต   ขณะที่โซลูชั่นนี้ ถูกออกแบบมาบนฐานความเข้าใจ Consumer Paradox Mindsets โดยการรับรู้และยอมรับความย้อนแย้งที่ซับซ้อนในใจผู้บริโภคยุคใหม่ แล้วนำความเข้าใจนั้นมาแปลงเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สร้างประสบการณ์แบรนด์ที่ตอบสนองทั้งสองด้านของความต้องการที่ขัดแย้งกัน เช่น   การสร้างประสบการณ์ Phygital ที่ผสานโลกดิจิทัลและโลกจริง การพัฒนา Real Showmanship ที่ผสานความจริงใจกับความตื่นตาตื่นใจ การสร้างความเชื่อและคุณค่าร่วมกันที่ตอบโจทย์ทั้งความอยากจ่ายและขีดจำกัดในการจ่าย การเปลี่ยนมุมมองเรื่องวัยให้เป็น Empowering Journey ในทุกช่วงชีวิต ผ่าน 5 โซลูชันหลักที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพรายได้สูงสุดและขับเคลื่อนเส้นทาง End-to-End แบบไร้รอยรั่ว เพื่อ Conversion และ Retention สูงสุด     นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วยเทคนิคขั้นสูง เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า การระบุจุดรั่วไหลที่แม่นยำในการค้นหา ‘จุดวิกฤต’ ที่นำไปสู่การลดลงของลูกค้า พร้อมแนวทางแก้ไขที่วัดผลได้โดยนำเสนอโซลูชันที่ปฏิบัติจริงเพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพ และการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนที่ช่วยรักษาฐานลูกค้า เพิ่มรายได้ และสร้างการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว       Alternate-X การตลาดในตอนนี้ หลายแบรนด์เจอปัญหาใหญ่ แม้ลูกค้าสนใจสินค้าแต่ไม่ซื้อจริง เกิด Drop-off สูงถึง 50–75% ส่งผลให้รายได้หายไปกว่า 35–55% แม้จะลงทุนโฆษณาเพิ่ม ค่า Cost per Acquisition ก็พุ่งขึ้นต่อเนื่อง VML Thailand ชี้พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เต็มไปด้วย ‘ความย้อนแย้ง’ ทั้งอยากจ่ายแต่ไม่กล้า อยากเชื่อมต่อแต่ก็อยากตัดขาด เพื่อแก้โจทย์นี้ VML เปิดตัว NO LEAK SOLUTION™ ปิดรอยรั่วตลอด Consumer Journey ช่วยแบรนด์เพิ่ม Conversion, Retention และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

September 21, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดกาแฟ 6.5 หมื่นล.ปี68 ยังมีช่องว่างอีกเพียบ เจนฯใหม่ดื่มกาแฟสดแซงสำเร็จรูป

BizKet,  Peace&Play

กวินฯ บอกปี68 ตลาดกาแฟธุรกิจร้านคาเฟ่ยังเติบโต คนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 1 แก้วต่อวันขยายความนิยมถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่-ผู้สูงอายุ ส่งผลให้มูลค่าตลาดแตะ 6.5 หมื่นล.บาท ปีนี้   กวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ดำเนินงานจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทย โดยเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี หรือประมาณ 1 แก้วต่อวัน   ขณะที่ ความนิยมดื่มกาแฟ ไม่ได้จำกัดเฉพาะวัยทำงาน แต่ขยายไปถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้สูงอายุ ส่งผลให้มูลค่า การตลาดภายในประเทศปี 2568 แตะระดับ 6.5 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 8.33% จากปี 2567     “ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมจากการดื่มกาแฟสำเร็จรูปสู่กาแฟสด สะท้อนถึงรสนิยมของคนยุคใหม่ที่ต้องการดื่มด่ำคุณภาพ รสชาติ และ ประสบการณ์ใหม่ๆ ของกาแฟที่สูงขึ้น”       พร้อมเสริมว่า จากแนวโน้มดังกล่าว ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยหนุนโอกาสทางธุรกิจร้านกาแฟยังมีช่องว่างการเติบโต ซึ่งหากมองเชิงลึกในรูปแบบธุรกิจร้านกาแฟจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ   Franchise/Chains เป็นธุรกิจที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ และเป็นทางเลือกของผู้ที่อยากเปิดร้านกาแฟแต่ยังไม่มีประสบการณ์ Independent เป็นธุรกิจที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด สูงถึง 4% ของธุรกิจกาแฟในประเทศ โดยเป็นการบริหารธุรกิจโดยเจ้าของร้านเองอาจมีสาขาในแบรนด์ประมาณ 1-3 สาขา เช่น Stand Alone, Truck และ Kiosk     กวิน เสริมว่า ล่าสุดบริษัทร่วมกับสมาคมต่าง ๆ ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศกว่า 150 ราย และภาครัฐ จัดงาน ASEAN Café Show 2025 แสดงสินค้าเพื่อธุรกิจคาเฟ่ครบวงจร ครั้งที่ 19 ระหว่างวันที่ 2–5 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา   โดยการจัดงานฯ ยังต้อนรับช่วงไฮซีซันไตรมาสสุดท้ายของปี พร้อมแบ่งโซนจัดแสดงออกเป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่   กาแฟและชา (กาแฟทุกประเภท เครื่องคั่ว เครื่องชง และอุปกรณ์ Brewing) เบเกอรี่และ ขนมหวาน (เค้ก ขนมปัง ไอศกรีม และของหวานนานาชนิด) อุปกรณ์และเทคโนโลยีร้าน (POS, Vending Machine, Café Design, Digital Solutions) วัตถุดิบและส่วนผสม (ผง เครื่องปรุง ไซรัป ซอส นม และวัตถุดิบเพื่อสุขภาพ) บรรจุภัณฑ์และ ดีไซน์ (แก้ว ถุง กล่องเพื่อสร้างมูลค่าแบรนด์) ธุรกิจแฟรนไชส์คาเฟ่และเบเกอรี่ ตอกย้ำแนวคิด ‘Taste the Trends’ พร้อมกิจกรรมเสวนาและเวิร์กช็อปกว่า 40 รายการ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษภายในงานครั้งนี้ยกตัวอย่าง อาทิ   Main Stage: Design Thinking For Cafe In 2025 โดย World Wide Coffee Workshop 2nd Thailand Ultimate Barista 2025 Brew by Technology โดย World Wide Coffee DaVinci Barista Craft Championship 25/26 “เมื่อการชงไม่ได้จบลงแค่ที่แก้วกาแฟ แต่คือ Data ที่มีมูลค่ามหาศาล” โดย คุณธีรพล อำไพ   Pastry LAB Zone:   การสาธิตสูตรขนมปังและเบเกอรี่สุดพิเศษ โดย เชฟเดช แสงศรีจันทร์ จากสมาคมเบเกอรี่ (ประเทศไทย) Trendy Ice-cream : มัจฉะถั่วแดง โดย N2ICE เมนู Italian Bomboloni โดย เชฟฟาง – ศศิธร แซ่ฮู๋ เมนู Chocolate Raspberry Tart โดย เชฟฟาง – ศศิธร แซ่ฮู๋   Drinks LAB Zone:   Secret Drinks of Siam Bee Secret “Sangria” พร้อม Flair Bartender Show โดย Okuri House Limited Partnership “Natural Vanilla Diversification” โดย Sam Vanilla ชงชาง่ายๆ มือใหม่ก็ทำได้ โดย SL Industry Co., Ltd. Slush World Family Club โดย World Wide Coffee Chocolate Lover สาธิตการชงเครื่องดื่ม โดย คุณฐิตินาถ ประชากุล   โดย กิจกรรม Workshop ทั้งหมดนี้เปิดให้ผู้เข้าชมงานเข้าร่วม ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าผ่านทาง https://eventpassinsight.co/el/to/ACS2514   โดย คาดว่าตลอด 4 วันของการจัดงานจะมีผู้เข้าชมกว่า 20,000 คนจากทั่วประเทศ สร้างรายได้เจรจาธุรกิจราว 700 ล้านบาท   Alternate-X สรุปให้  ตลาดกาแฟไทยปี 2568 แตะมูลค่า 65,000 ล้านบาท โต 8.33% จากปีก่อน โดยคนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 1 แก้วต่อวัน มากกว่า 340 แก้วต่อปี ขณะที่พฤติกรรมเปลี่ยนจากกาแฟสำเร็จรูปสู่ ‘กาแฟสด’ สะท้อนรสนิยมผู้บริโภคยุคใหม่ ทำให้ธุรกิจคาเฟ่ยังมีช่องว่างเติบโต โดยเฉพาะร้านอิสระ (Independent) ครองสัดส่วนกว่า 94% โดย งาน ASEAN Café Show 2025 เตรียมโชว์เทรนด์ธุรกิจครบวงจร คาดผู้เข้าชมกว่า 20,000 คน    

September 18, 2025 / 0 Comments
read more

GenAI พลิกเกมอีคอมเมิร์ซ! ‘ลาซาด้า’ โชว์พลังผู้ช่วยAI ดันยอดขายแคมเปญ ‘9.9’

BizKet

‘ลาซาด้า’ ปรับใหญ่ใช้ GenAI ตัวช่วยอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ เปิดสถิติพลังนักช้อปไทยหลังแคมเปญ 9.9  กระแสถ่ายรูปคลาสสิคฟีเวอร์! หนุนโพลารอยด์-ฟิล์มโตแรง ส่วน ‘บิวตี้ ไอเท็ม’ ยังแชมป์ยืนหนึ่งยอดขายตลอดไป     ไอริส เว่ย ประธานลาซาด้า กรุ๊ป ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับภูมิภาค ลาซาด้า (Lazada) เปิดเผยว่า ‘ลาซาด้า’ มุ่งยกระดับมาตรฐานและกำหนดอนาคตของอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในเทคโนโลยีล้ำสมัยและเครือข่ายของแบรนด์คุณภาพสูง ในฐานะผู้บุกเบิกการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในภูมิภาคนี้     ปัจจุบัน ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขาย (GMV) จากแบรนด์ไม่ถึง 30% โดยลาซาด้า มองว่าเป็นโอกาสเติบโตครั้งใหญ่ในอนาคต โดยจะผลักดันการขยายตัวผ่านการสร้างพลังให้กับแบรนด์ ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี GenAI ที่จะมีมูลค่ากว่า 1.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573     “เรากำลังพลิกโฉมวิธีการที่ผู้บริโภคค้นหาสินค้า และยกระดับประสิทธิภาพการขายของแบรนด์ให้ก้าวไปอีกขั้น” ไอริส ย้ำ       จากแนวทางดังกล่าวลาซาด้า ยังสะท้อนความสำเร็จจากกลยุทธ์ขับเคลื่อนด้วยสินค้าแบรนด์ รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาสินค้าคุณภาพจากแบรนด์แท้เพิ่มมากขึ้น ผ่านแคมเปญ ‘9.9 ลดอลัง ปังทุกแบรนด์’ ซึ่งมีการเติบโตที่แข็งแกร่งทั่วทั้งภูมิภาค     ลูกค้าเจนใหม่ใช้เทคโนโลยีพุ่ง     ด้าน ‘โรนัลด์ ฟู’ ผู้อำนวยการฝ่ายแคมเปญ ลาซาด้า กรุ๊ป กล่าวว่า ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ความสำคัญกับเรื่องสินค้าแท้ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และประสบการณ์การช้อปปิงระดับพรีเมียมมากขึ้น ซึ่ง ‘LazMall’ ศูนย์รวมแบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 32,000 แบรนด์ ยังคงเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนความสำเร็จของแคมเปญใหญ่ของลาซาด้า     ทั้งนี้ ลาซาด้า ยังสร้างสถิติใหม่บนแพลตฟอร์มมีมูลค่าเฉลี่ยของคำสั่งซื้อที่สูงขึ้น 30% เมื่อเทียบกับแคมเปญ 9.9 ในปีที่ผ่านมา ส่วนผู้ขาย 100 รายทั่วภูมิภาค เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 49 เท่าเทียบกับปีก่อนหน้าเช่นกัน     ‘Lazzie’ ผู้ช่วย AI เพิ่มยอดขาย     ทั้งนี้ ลาซาด้า ยังได้ต่อยอดศักยภาพ ‘Lazzie’ ผู้ช่วยช้อปส่วนตัวที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมและเพิ่มประสิทธิภาพของเมกะแคมเปญ 9.9 ปีนี้ ด้วยกิจกรรม ‘LazzieChat Challenge’ เพิ่มการมีส่วนร่วมมากขึ้น 53% โดยนักช้อปในไทยและมาเลเซียยังเริ่มต้นการสนทนากับ Lazzie เองเพิ่มขึ้น 34%   นอกจากนี้ ยอดคำสั่งซื้อจากการสนทนากับ Lazzie ยังเพิ่มขึ้นกว่า 36% เมื่อเทียบกับแคมเปญ 6.6 ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนศักยภาพของ AI ที่ช่วยเพิ่มยอดการซื้อ-ขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเปลี่ยนประสบการณ์การซื้อขายที่เคยเป็นเพียงธุรกรรมให้กลายเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลและเข้าถึงนักช้อปได้จริง     บิวตี้ ไอเท็ม ยังครองแชมป์     สำหรับสินค้ามาแรงในแคมเปญ 9.9 ในหมู่นักช้อปไทย ที่ยังได้รับความนิยมมีดังนี้   สินค้าความงาม (Beauty) มียอดขายเติบโตสูงถึง 815% สะท้อนกระแสการดูแลตัวเองที่ยังมาแรง กระเป๋าเดินทาง-อุปกรณ์ท่องเที่ยว ยอดขายเติบโต 670% เมื่อเทียบเวลาปกติ รับเทศกาลเที่ยวปลายปี หมวดหมู่ของเล่นและเกม จากแรงหนุนจากกระแสแฟนด้อม แบรนด์ดังอย่าง POP MART เติบโต 170% ยอดขายกล้องโพลารอยด์-ฟิล์มโต 253% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว กระแสถ่ายภาพแบบคลาสสิกมาแรง! เครื่องเล่นเกมพกพาพุ่ง 1,084% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากกลุ่มลูกค้าสายเกมเมอร์ สินค้าไอดอล ยอดขายเติบโต 9,860% จากกลุ่มแฟนด้อมไทยปลุกตลาด     ขยายตลาดกำลังซื้อสูง     ด้าน ‘หลี่ เจียงกาน’ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Momentum Works  บริษัทที่ปรึกษาและพัฒนาธุรกิจ และการวิจัยข้อมูลเชิงลึก กล่าวว่า พฤติกรรมนักช้อปที่มีกำลังซื้อสูงมีความต้องการทั้งประสบการณ์การช้อปที่ราบรื่นและต้องการสินค้าแท้ ความมั่นใจในคุณภาพ และการมีส่วนร่วม ไปพร้อมกัน   ขณะที่ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงมีสัดส่วนยอดขายจากสินค้าแบรนด์ไม่ถึง 30% สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสเติบโตอีกมหาศาลสำหรับแพลตฟอร์มที่สามารถช่วยให้แบรนด์เชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง และจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว   สำหรับ ลาซาด้า กรุ๊ป ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินกิจการมา 13 ปี ในประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ปัจจุบันธุรกิจเชื่อมโยงผู้ใช้งานเป็นประจำราว 160 ล้านราย เข้ากับผู้ขายที่ดำเนินธุรกิจอยู่มากกว่า 1 ล้านรายต่อเดือน        Alternate-X สรุปให้       ลาซาด้า ขยับใหญ่ดึงเทคโนโลยี GenAI พัฒนาอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมมองเห็นสัดส่วนการขายจากแบรนด์ไม่ถึง 30% ซึ่งเป็นโอกาสเติบโตมหาศาล ขณะที่แคมเปญ 9.9 ของลาซาด้าสร้างสถิติใหม่ ยอดคำสั่งซื้อเฉลี่ยต่อครั้งเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบปีก่อน โดยผู้ช่วย AI ‘Lazzie’ มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มการมีส่วนร่วมและยอดขายให้ผู้ขาย ขณะที่ สินค้าเด่นในไทย ได้แก่ ความงาม, กล้องโพลารอยด์, เกมพกพา และสินค้าแฟนด้อมที่โตแรง    

September 18, 2025 / 0 Comments
read more

เตรียมตัวเที่ยวปลายปี Gother ฉลองครบ 1 ปี กดจองตั๋วบิน-ที่พัก รับโปรแรง

PRnounce

Gother (โกเธอร์) ฉลองครบรอบ 1 ปี สุดยิ่งใหญ่ มอบความคุ้ม 3 ต่อ จัดเต็มทั้งส่วนลดสูงสุด 50% และของรางวัล150,000 บาท และโค้ดส่วนลดเพิ่ม 500 บาท ระหว่าง 18 ก.ย.–5 ต.ค.นี้ หวังส่งเสริมคนไทยเที่ยวช่วงสิ้นปีถึงต้นปี 2569   นายอนุพงษ์ เกรียงไกรลิปิกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง Gother กล่าวว่า ในโอกาสที่ Gother ครบรอบ 1 ปี ของการเปิดให้บริการแพลตฟอร์มจองทริปท่องเที่ยวของคนไทยเพื่อคนไทย ซึ่งเราพร้อมให้บริการที่เข้าถึงและเข้าใจทุกไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของคนไทยอย่างแท้จริง ภายใต้การสร้างแรงบันดาลใจให้คุณออกไปท่องเที่ยว สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ในแบบของตัวเอง ผ่านการจองบริการท่องเที่ยวที่เรานำเสนอแบบครบวงจร ทั้งบริการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก กิจกรรม รถเช่า แพ็คเกจทัวร์  Gother ได้จัดโปรโมชันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปีนี้ เพื่อส่งเสริมให้คนไปเที่ยวช่วงสิ้นปี หรือต้นปี 2569 Gother ได้จัดโปรแรงสุดในรอบปี รับส่วนลดและรางวัลคุ้ม 3 ต่อ ให้ทั้งส่วนลด ตั๋วเครื่อง ที่พัก กิจกรรม และสิทธิ์จับฉลากมูลค่ารวมรางวัลกว่า 150,000 บาท และโค้ดส่วนลดพิเศษ 500 บาท สำหรับการจองครั้งถัดไป ระยะเวลาโปรโมชั่น: 18 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568       ต่อที่ 1: ส่วนลดจองเที่ยวผ่าน Gother   ตั๋วเครื่องบิน เส้นทางในประเทศ ลด 6% สูงสุด 800 บาท ขั้นต่ำ 3,000 บาท ตั๋วเครื่องบิน เส้นทางต่างประเทศ ลด 8% สูงสุด 4,500 บาท ขั้นต่ำ 15,000 บาท ที่พัก ในประเทศ ลดทันที 600 บาท ขั้นต่ำ 4,000 บาท ที่พัก ต่างประเทศ ลด 15% สูงสุด 2,000 บาท ขั้นต่ำ 5,000 บาท กิจกรรมในประเทศ ลด 7% สูงสุด 350 บาท ขั้นต่ำ 1,500 บาท กิจกรรม ต่างประเทศ ลด 9% สูงสุด 899 บาท ขั้นต่ำ 3,500 บาท   ต่อที่ 2: สิทธิ์จับฉลากรางวัลสำหรับทุกคนที่มียอดจองทุก 5,000 บาท   รางวัลที่ 1 : ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ญี่ปุ่น ทุกเส้นทางบินที่ให้บริการจากสายการบิน EVA Air (Full Service) 1 รางวัล 2 ที่นั่ง มูลค่ารวม 75,000 บาท รางวัลที่ 2 : ห้องพักหรู Studio Pool Villa โรงแรม Casa de La Flora 1 รางวัล เข้าพักได้ 2 ท่าน มูลค่า 20,000 บาท รางวัลที่ 3 : ห้องพัก Sea View Deluxe โรงแรม Cape Sienna Gourmet Hotel & Villas 1 คืน มูลค่า 14,500 บาทง รางวัลที่ 4 : ห้องพัก Deluxe Poolside โรงแรม La Vela Khaolak 1 คืน มูลค่า 12,194 บาท รางวัลที่ 5 : ห้องพัก Flora Room โรงแรม La Flora Khaolak 1 คืน มูลค่ากว่า 11,400 บาท รางวัลที่ 6 : Gother Voucher มูลค่า 3,000 บาท จำนวน 10 รางวัล รวมมูลค่า 30,000 บาท   ต่อที่ 3: เมื่อจองครบ 5,000 บาทขึ้นไป รับโค้ดส่วนลดสำหรับการจองครั้งถัดไปมูลค่า 500 บาท (ขั้นต่ำ 3,500 บาท) และโปรโมชั่นพิเศษสุด   ดีลพิเศษสายการบิน สำหรับช่วง 1st Gother Birthday MEGA Sale วันที่ 25 ก.ย. – 5 ต.ค. 2568 ตั๋วเครื่องบิน ในประเทศ ลด 50% สูงสุด 150 บาท ไม่มีขั้นต่ำ ที่พัก ในประเทศ ลด 50% สูงสุด 250 บาท ไม่มีขั้นต่ำ สายการบิน EVA Air ลดทันทีเลย 1,500.- ไม่มีขั้นต่ำ เฉพาะเส้นทางญี่ปุ่นและเกาหลีเท่านั้น สายการบิน All Nippon Airways ลดทันที 1,500.- ไม่มีขั้นต่ำ เฉพาะเส้นทางบินญี่ปุ่นเท่านั้น ทุกสายการบิน ลดทันทีเลย 1,000.- ไม่มีขั้นต่ำ เฉพาะเส้นทางบินไปฮ่องกงเท่านั้น ดีลพิเศษ 1 แถม 1 + ลดเพิ่มสูงสุด 899 บาท* สำหรับช่วง 1st Gother Birthday MEGA Sale ทัวร์ไหว้พระ-ทัวร์มูเตลู พระวัดดังที่ฮ่องกง (1 วัน) เริ่มต้นเพียง – ระยะเวลาจอง : 25 ก.ย.-5 ต.ค. 2568 ช่วงเวลาเดินทาง : 1 25 ก.ย. – 30 ธ.ค. 2568 แพ็กเกจเกมกอล์ฟและความบันเทิงครบครัน ที่ Topgolf Megacity เริ่มต้นเพียง  149.- ระยะเวลาจอง : 25 ก.ย.-5 ต.ค. 2568 ช่วงเวลาเดินทาง : 25 ก.ย. – 30 ธ.ค. 2568 บัตรโดยสารรถไฟ AREX Incheon Airport Express แบบเที่ยวเดียว (สนามบินอินชอน) เริ่มต้นเพียง – ระยะเวลาจอง : 18 ก.ย. – 1 ต.ค. 2568 ระยะเวลาเดินทาง : 18 ก.ย. – 30 ธ.ค. 2568 กระเช้า Ngong Ping 360, Hong Kong เริ่มต้นเพียง – ระยะเวลาจอง : 25 ก.ย.-5 ต.ค. 2568 ช่วงระยะเวลาเดินทาง : 25 ก.ย. – 30 ธ.ค. 2568 (ยกเว้น 2-16 ก.ย. 2568) บัตรเข้าชม Macau Tower (Macau Tower Sightseeing Ticket) เริ่มต้นเพียง – ระยะเวลาจอง : 25 ก.ย.-5 ต.ค. 2568 ระยะเวลาเดินทาง : 25 ก.ย. – 30 ธ.ค. 2568 WoW Park – Buy 1 Get 1 Free Combo Ticket เริ่มต้นเพียง – ระยะเวลาจอง : 25 ก.ย.- 5 ต.ค. 2568 ระยะเวลาเดินทาง : 25 ก.ย.- 31 ต.ค. 2568 บัตรเข้าสวนสนุก Ocean Park Hong Kong เริ่มต้นเพียง 2,139.- ระยะเวลาจอง : 25 ก.ย. – 5 ต.ค. 68 ระยะเวลาเดินทาง : 25 ก.ย. – 30 ธ.ค. 68 บัตรสวนสนุก Disneyland Hong Kong ซื้อแพคเกจ 3 ใบ หรือ 4 ใบ ลด 15% ช่วงเวลาจอง : 25 ก.ย.-5 ต.ค. 2568   เพื่อมอบความสุขให้ลูกค้าแบบจัดเต็ม ในโอกาสฉลองครบรอบ 1 ปี Gother ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Hong Kong Tourism Board (HKTB) จัดโปรโมชันสุดพิเศษสำหรับนักเดินทางชาวไทยที่มีแผนเที่ยวฮ่องกงโดยเฉพาะ ตั๋วเครื่องบิน เส้นทางฮ่องกง (ไม่จำกัดสายการบิน) ลด 12% สูงสุด 2,500 บาท เมื่อมียอดจองขั้นต่ำ 4,000 บาท ที่พักในฮ่องกง ลด 15% สูงสุด 2,500 บาท เมื่อมียอดจองขั้นต่ำ 4,000 บาท   รวมถึงส่วนลดพิเศษสำหรับกิจกรรมยอดนิยม เพื่อให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษอย่างเต็มที่ เช่น ฮ่องกงบัสทัวร์ กระเช้านองปิง ทัวร์มูเตลู พีคแทรมและสกายเทอเรส และสวนสนุก ดิสนีย์แลนด์ ฮ่องกง (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท เสิร์ชเอ็นจินอ็อปทิไมเซชั่น จำกัด กำหนด)   นายอนุพงษ์ กล่าวต่อไปว่า การดำเนินงานของGother ได้รับการสนับสนุนจาก บีคอน เวนเจอร์ส แคปิทัล บริษัทเงินร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย และ กรุงไทย เวนเจอร์ส บริษัทเงินร่วมลงทุนของธนาคารกรุงไทย เพื่อเสริมศักยภาพและตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวไทย พร้อมสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ปัจจุบันเปิดตัวมาแล้วกว่า 1 ปี มีความมุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มให้เป็นแพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวที่ 1 ในใจของคนไทย ที่มีบริการการท่องเที่ยวที่ครบวงจร และตอบโจทย์การใช้งานของคนไทยทั้งประเทศ สำหรับผู้ที่สนใจโปรโมชั่นสามารถดูรายละเอียดได้ที่ ข้อมูลเพิ่มเติม Link: https://www.gother.com/th-th/promotions/gother-birthday-2025      

September 18, 2025 / 0 Comments
read more

ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เปิด 3 เส้นทางใหม่ขยายตลาดฟรีวีซ่า ดันผู้โดยสาร 1.7 ล้านปี 68

BizKet

ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เพิ่ม3 เส้นทางใหม่ในเอเชีย เซนได-อัลมาตี-ริยาด เติมเป้า1.7 ล้านคนสิ้นปี68 หลังไตรมาส 3 ตลาดญี่ปุ่นกริบเดือนกรกฎาคม     ภัทรา บุศราวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ กล่าวว่า สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ (รหัสเที่ยวบินXJ) วางกลยุทธ์มุ่งเปิดเส้นทางที่มีศักยภาพในภูมิภาคการบินใหม่ๆ ที่หลากหลายขึ้นให้สอดคล้องสมรรถนะของเครื่องบินแอร์บัส A330 ที่ได้นำเข้ามาประจำการฝูงบินแล้ว   ล่าสุด ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เปิด 3 เส้นทางบินใหม่บินตรงจากประเทศไทยไปยัง 3 เมืองใหม่ครอบคลุมทั้งเอเชียกลาง เอเชียเหนือ และเอเชียตะวันออกกลาง คือ   เซนได ประเทศญี่ปุ่น อัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย   “ทั้ง 3 ปลายทางเที่ยวบินใหม่ของไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ จะเริ่มให้บริการต้นเดือนธันวาคม ซึ่งเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวคาดว่าจะได้รับความนิยมจากนักเดินทางทั้งจากไทยที่เดินทางออกไป และนักท่องเที่ยวใน 3 ประเทศที่จะเข้ามาไทย” ภัทรา กล่าว     พร้อมเสริมว่า ใน 2 เส้นทางบินใหม่ เซนได ประเทศญี่ปุ่น และ อัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน ยังเป็นปลายทางให้นักเดินทางจากไทยเข้าประเทศดังกล่าวได้โดยไม่ต้องยื่นขอวีซ่าล่วงหน้า หรือ ฟรีวีซ่า (Visa-free) ส่วน ‘ริยาด’ เป็นอีกหนึ่งตลาดทางการท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจระหว่างสองประเทศทั้งไทยและซาอุฯ โดยให้บริการบินตรง ดังนี้   ดอนเมือง(DMK) สู่ อัลมาตี(ALA) ประเทศคาซัคสถาน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์และอาทิตย์ ดอนเมือง (DMK) สู่ เซนได(SDJ) ประเทศญี่ปุ่น 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์และอาทิตย์ ดอนเมือง(DMK) สู่ ริยาด(RUH) ประเทศซาอุดีอาระเบีย 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี เสาร์เเละอาทิตย์   ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถสำรองที่นั่งในช่องทางทางแอป AirAsia MOVE และ www.airasia.com โดยเส้นทางสู่อัลมาตีเเละเซนได เริ่มให้บริการเที่ยวบินเเรก 1 ธันวาคม 2568 เส้นทางริยาดเริ่ม 2 ธันวาคม 2568 โดยกำหนดอัตราค่าบัตรโดยสารทั้ง 3 เส้นทางบิน ดังนี้   เซนได ราคาเริ่มต้น 4,990 บาทต่อเที่ยวบิน อัลมาตี ราคาเริ่มต้น 6,690 บาทต่อเที่ยวบิน ริยาด ราคาเริ่มต้น 7,190 บาทต่อเที่ยวบิน       คำทำนายญี่ปุ่น ทำเดือนก.ค.บินวูบ   ภัทรา กล่าวว่า การขยายเส้นทางบินใหม่ล่าสุด โดยเฉพาะเมืองเซนได ยังตอกย้ำความเชี่ยวชาญเส้นทางบินญี่ปุ่นของแอร์เอเชีย จากก่อนหน้าเปิดให้บริการเส้นทางบินตรงไปยังปลายทาง ฟุกุโอกะ (Fukuoka),โอกินาว่า(Okinawa),โอซาก้า (Osaka), นาโกย่า (Nagoya), โตเกียว (Tokyo) และ ซัปโปโร ทำให้แอร์เอเชียมีเส้นทางบินเชื่อมไทยและญี่ปุ่นมากที่สุด   อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2568 ที่ผ่านมา ยอมรับว่าตลาดญี่ปุ่น ได้นิ่งไปอย่างชัดเจน จากความไม่มั่นใจของนักเดินทางทั้งชาวไทยและญี่ปุ่น จากกระแสคำทำนาย (นักเขียนมังงะ ‘เรียว ทัตสึกิ’) ว่าอาจจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในวันที่ 5 ก.ค.ปี2568) ซึ่งมีผลต่อการเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในเดือนดังกล่าว   ภัทรา เสริมว่าจากการเปิด 3 เส้นทางบินใหม่ พร้อมบริหารจัดการในบางเส้นทางบินใหม่ เช่น ลดเหลือ 7 เส้นทางบินไปยังประเทศจีน จากเดิมเคยมีจำนวนสูงสุดอยู่ที่ 14 เส้นทางบิน เพื่อให้มีความเหมาะสมกับตลาดในภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปีนี้ ที่คาดว่าจะมีนักเดินทางต่างชาติมาไทย 35 ล้านคน จากเมื่อต้นปีจนถึงขณะนี้มีจำนวนนักเดินทางอยู่ที่ 23 ล้านคน   ขณะที่ ชาวต่างชาติที่เดินทางมาไทยด้วยสายการบินแอร์เอเชียใน 3 อันดับแรก คือ มาเลเซีย, อินเดีย และ จีน ถัดไปเป็นรัสเซีย และ 3 จุดหมายปลายทางยอดนิยมที่คนไทยเดินทางออกไป คือ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย และ โซล เกาหลีใต้   จากแผนดังกล่าว ไทยแอร์เอเชีย วางเป้าหมายจะมีผู้โดยสารใช้บริการตลอดทั้งปี 1.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากในปี 2567 อยู่ที่ 1.6 ล้านคน ซึ่งการดำเนินงานภาพรวมถึงในขณะนี้ลดลง 7% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน   ขณะที่ในปี 2568 ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ พร้อมให้บริการด้วย 10 เส้นทางบินตรงจากดอนเมือง(DMK) สู่ โตเกียว (NRT) โอซาก้า (KIX) นาโกย่า (NGO) ซัปโปโร (CTS) ประเทศญี่ปุ่น โซล (ICN) ประเทศเกาหลีใต้ เดลี(DEL) ประเทศอินเดีย เซี่ยงไฮ้ (PVG) ประเทศจีน และเส้นทางใหม่ อัลมาตี (ALA) ประเทศคาซัคสถาน เซนได(SDJ) ประเทศญี่ปุ่น ริยาด(RUH) ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยมีเเผนรับเครื่องบินแอร์บัส A330 ใหม่จำนวน 2 ลำประจำการฝูงบินในไตรมาสที่ 4 รวมฝูงบินเป็น 11 ลำ ณ สิ้นปี   ชงรัฐบาล ฟื้นปลอดภัยเที่ยวไทย   ภัทรา กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ไทยแอร์เอเชียเตรียมหารือร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมการบินแห่งประเทศไทย (AIAT) เสนอมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวประเทศไทย ด้วยแพ็คเกจจูงใจนักเดินทางต่างชาติภายใต้แคมเปญโปรโมชั่นต่าง ๆ อาทิ การสะสมหรือรวบรวมบัตรโดยสารเครื่องบินตามมูลค่าที่กำหนด ให้สามารถนำไปเป็นส่วนลดเพื่อร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวอื่นๆ ในประเทศไทย ได้ต่อไป     “ไทยแอร์เอเชียจะร่วมกับสมาคมฯ เสนอมาตรการฯนี้ไปยังรัฐบาลชุดใหม่ให้พิจารณาโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นความมั่นใจและความเชื่อมั่น โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยการท่องเที่ยวของไทยให้กลับมาโดยเร็วที่สุด” ภัทรา กล่าว         Alternate-X สรุปให้      ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เปิด 3 เส้นทางบินใหม่: เซนได, อัลมาตี และ ริยาด เจาะตลาดฟรีวีซ่า ดึงนักเดินทางเข้า-ออกไทย รองรับฤดูกาลท่องเที่ยว ตั้งเป้าผู้โดยสารรวมปี 2568 กว่า 1.7 ล้านคน จาก 1.6 ล้านในปีที่ผ่านมา ซึ่งญี่ปุ่นยังเป็นตลาดหลัก แม้เจอกระแสการเดินทางชะลอช่วงกลางปี โดยสายการบินปรับกลยุทธ์ตัดเส้นทางจีนบางส่วน เพิ่มความเหมาะสมกับตลาด

September 17, 2025 / 0 Comments
read more

จับตา ‘Labubu’ อาร์ต ทอย ของเล่น Pop Mart ที่เคยฮิตทั่วโลก ใกล้หมดกระแส?

Zcreat

เกิดอะไรขึ้น? กับ ‘Labubu’ อาร์ตทอยสุดฮิตจาก Pop Mart อาจกระทบอัตราเติบโตPop Mart หลังความนิยมหลังตลาดมือสองส่งสัญญาณชะลอตัว และอาจเจอความเสี่ยงในอนาคต ซ้ำรอบ Beanie Baby Story by Jittrapon ponlawat   สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของของเล่นสะสมได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่เรียกว่าลาบูบู้ ‘Labubu’ ตุ๊กตาตัวจิ๋วหน้าตายิ้มฟันแหลมจากจีน ที่กลายเป็นเทรนด์ระดับโลก ทั้งนักสะสม ดารา นักกีฬา รวมถึงแฟนของเล่นทั่วโลกต่างให้ความสนใจ   Labubu เป็นตุ๊กตาที่โดดเด่นด้วยการออกแบบที่น่ารัก แต่แฝงความขี้เล่น มี หูยาวเหมือนกระต่าย, ตาโต, คิ้วเข้ม และปากยาวเผยฟันแหลมเก้าซี่ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้ผู้ที่พบเห็นตกหลุมรักตั้งแต่แรก   แม้ราคาจะเริ่มต้นเพียง $14–$30 สำหรับรุ่นที่ใช้ห้อยกระเป๋าโดยทั่วไป แต่ราคาตลาดมือสองของ Labubu หายากสามารถพุ่งขึ้นหลายพันดอลลาร์ ทำให้ Pop Mart International Group Ltd. บริษัทผู้ผลิต Labubu Dolls กวาดรายได้มหาศาล และทำให้ Wang Ning ผู้ก่อตั้งกลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีหนุ่มอายุน้อยที่รวยที่สุดของจีน   จับดีไซน์มาเขย่าเทรนด์   Labubu Dolls เป็นของเล่นสะสมในสาย Monsters ของบริษัท Pop Mart จากจีน ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสร้างสรรค์ของเล่นที่โดดเด่นและน่าสะสม ตัวละคร Labubu ถูกออกแบบโดย Kasing Lung นักวาดและดีไซเนอร์ชาวฮ่องกงที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับของเล่นแต่ละตัว   โดยแต่ละซีรีส์ของ Labubu จะมีธีมและสไตล์แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น ซีรีส์ Exciting Macarons (2023) ที่เน้นสีหวานสดใส, Have a Seat (2024) ที่นำเสนอของเล่นในท่านั่ง, และ Big into Energy (2025) ที่มาพร้อมสีสันจัดจ้านแบบ tie-dye   นอกจากนี้ Pop Mart ยังปล่อย Labubu รุ่นพิเศษที่จำหน่ายเฉพาะบางประเทศ เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับนักสะสม เช่น รุ่น Hide and Seek ที่ขายเฉพาะในสิงคโปร์ และคอลเล็กชันร่วมกับแบรนด์แฟชั่นระดับโลกอย่าง Labubu X Vans Oldskool Monsters ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก   ของเล่น Labubu มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดห้อยกระเป๋า (Bag Cham) ประมาณ 15–17 เซนติเมตร ไปจนถึงตัวใหญ่สูง 80 เซนติเมตร แต่สินค้าที่สร้างกระแสฟีเวอร์และขายดีที่สุดคือ Bag Cham แบบกล่องสุ่ม (blind box) ซึ่งผู้ซื้อจะไม่ทราบว่าข้างในเป็นตัวละครแบบไหน ทำให้เกิดการสะสม ลุ้น ตามล่าของหายาก และสร้างแรงจูงใจให้แฟนของเล่นต้องซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง   ปัจจัย Labubu ฮิต   บลูมเบิร์กวิเคราะห์วา ความนิยมของลาบูบู้มาจากหลายปัจจัยที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ประการแรกคือ กลยุทธ์ blind box ซึ่งBag Cham ที่ถูกขายในกล่องสุ่ม ผู้ซื้อจะไม่ทราบว่าข้างในเป็นตัวละครแบบไหน ทำให้เกิดความตื่นเต้นและแรงจูงใจให้ซื้อซ้ำ เพื่อหวังได้ตัวที่ต้องการ โดยตัวละครหายากในแต่ละซีรีส์มีโอกาสเพียง 1 ใน 72   ประการต่อมาคือ ความหายากและคุณภาพของสินค้า ของเล่นบางรุ่นของ Labubu มีการเย็บด้วยมือ ทำให้การผลิตช้าลง และ Pop Mart ต้องเร่งขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการ นอกจากนี้แต่ละซีรีส์ยังมีตัวพิเศษ (special edition) ที่หายากมาก ส่งผลให้แฟนสะสมตื่นเต้นและเพิ่มมูลค่าให้กับของเล่น   อีกปัจจัยสำคัญคือ ความต่อเนื่องของคอลเล็กชัน Pop Mart ปล่อยซีรีส์ใหม่ของ Labubu อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ซีรีส์ Pin for Love (2025) ซึ่งเป็น phone charm ขนาดเล็ก ที่มาพร้อมตัวพิเศษสองตัวในกล่อง 14 ตัว ทำให้แฟน ๆ มีเหตุผลในการซื้อของใหม่อยู่เสมอ ทั้งหมดนี้สร้างปรากฏการณ์ Labubu Mania ที่กระจายไปทั่วโลก   ราคาของลาบูบู้ขึ้นอยู่กับขนาด ซีรีส์ และประเทศที่วางขาย ในจีน Bag Cham Labubu ราคาปลีกอยู่ที่ 99 หยวน (ประมาณ 14 ดอลลาร์) ส่วนรุ่น mini ขนาดเล็กขายอยู่ที่ 79 หยวน (ประมาณ 11 ดอลลาร์) ของเล่นขนาดใหญ่สามารถสูงถึง 1,299 หยวน (ประมาณ 182 ดอลลาร์)   ขณะที่ตัว Labubu พลาสติกขนาด 80 เซนติเมตรมีราคาถึง 5,999 หยวน (ประมาณ 842 ดอลลาร์) สำหรับสหรัฐอเมริกา บัคชาร์มมีราคาประมาณ 27.99 ดอลลาร์ และรุ่น mini ประมาณ 22.99 ดอลลาร์   สำหรับนักสะสม ราคาของลาบูบู้สามารถพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะรุ่นหายาก ตัวอย่างเช่น Big into Energy special edition (2025) ขายในตลาดมือสองเดือนมิถุนายน 2025 ราคาสูงถึง 45 เท่าของราคาปลีก   ขณะที่ Labubu x Vans Oldskool Monsters Forever ขนาด 38 เซนติเมตร ที่ราคา 599 หยวน (84 ดอลลาร์) ขายใน eBay สูงถึง 10,585 ดอลลาร์ และแม้แต่ Labubu ขนาดเท่าคนจริง สีเขียว mint ก็ถูกประมูลในปักกิ่งด้วยราคาสูงถึง 150,000 ดอลลาร์   ในจีนลาบูบู้สามารถหาซื้อได้จาก ร้าน Pop Mart กว่า 400 สาขา และ ตู้ขายอัตโนมัติกว่า 2,000 ตู้ นอกจากนี้ยังสามารถสั่งซื้อออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง WeChat, Tmall, JD และ Douyin ส่วนตลาดมือสองก็มีให้เลือกบนแพลตฟอร์ม Qiandao, Xianyu และ Xiaohongshu   สำหรับต่างประเทศ Pop Mart มีร้านในกว่า 12 ประเทศ รวมถึง สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส ไทย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังสามารถสั่งซื้อออนไลน์ผ่าน Amazon และ TikTok ทำให้แฟนของเล่นทั่วโลกเข้าถึงสินค้าได้ง่าย แต่สำหรับตัวละครหายากยังคงมีจำนวนจำกัด ทำให้เกิดการแข่งขันสูงในตลาดมือสอง   Pop Mart กับอนาคตเมื่อตลาดลาบูบู้ชะลอตัว   Pop Mart ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดย Wang Ning เริ่มจากร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ด ก่อนที่จะขยายเข้าสู่ตลาดของเล่นสะสม และก้าวขึ้นเป็นบริษัทของเล่นใหญ่ที่สุดของจีน ความสำเร็จของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อ Labubu Dolls กลายเป็นสินค้าขายดี ส่งผลให้รายได้ของ Pop Mart ในครึ่งแรกของปี 2025 พุ่งสูงขึ้นถึง 204%   โดยเฉพาะยอดขายต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นถึง 440% เพื่อรองรับความต้องการทั่วโลก บริษัทวางแผนจะเปิด 60 สาขาใหม่ในต่างประเทศภายในปีนี้ เพิ่มจาก 140 สาขาที่มีอยู่เดิม   ความสำเร็จครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความมั่งคั่งของ Wang Ning ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินถึง 21.4 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เขากลายเป็น มหาเศรษฐีหนุ่มอันดับ 4 ของโลก   แม้ Labubu จะขายดีอย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดมือสองเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว ทำให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์เตือนว่า Pop Mart อาจเผชิญความเสี่ยงในอนาคต หลังจากการประเมินของ JPMorgan หุ้นของ Pop Mart ลดลงเกือบ 25%   นอกจากนี้ เจฟฟ์ จาง นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยตลาด Morningstar Inc. ในฮ่องกง มองว่า  การเติบโตของ Pop Mart อาจชะลอตัวลงในปี 2026 ส่วนหนึ่งจากฐานราคาและสินค้าที่ขายโดยพึ่งพิงกระแสที่สูงมากของ Pop Mart ในปีนี้นั่นเอง   โดยทั่วไป ของเล่นสะสมมักมีวงจรชีวิตราว 2–3 ปี แต่การออกคอลเล็กชันใหม่อย่างต่อเนื่องสามารถช่วยยืดอายุความนิยมได้ นักวิเคราะห์เปรียบเทียบปรากฏการณ์ Labubu กับ Beanie Baby ในสหรัฐอเมริกา ช่วงปี 1990 ซึ่งราคาของเล่นสะสมพุ่งสูงสุดแล้วค่อย ๆ ลดลงภายใน 4 ปี   อย่างไรก็ตาม ของเล่นบางคอลเล็กชัน เช่น Barbie รุ่นพิเศษ หรือ Star Wars Figurines สามารถรักษาความนิยมได้นานกว่า ทำให้ Labubu ยังมีโอกาสต่อยอดตลาดสะสมในอนาคตได้     ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/features/2025-09-16/labubu-dolls-why-are-they-so-popular-how-is-pop-mart-stock-performing?srnd=homepage-americas&embedded-checkout=true     Alternate-X สรุปให้     Labubu ของเล่นสะสมสุดฮิตจาก Pop Mart เคยสร้างปรากฏการณ์ระดับโลกทำราคาพุ่งแรง โดยบางรุ่นในตลาดมือสองขายสูงกว่าปลีกหลายสิบเท่า ทำให้ Pop Mart กวาดรายได้โตระเบิด โดยยอดขายต่างประเทศเพิ่มกว่า 400% อย่างไรก็ตาม ตลาดมือสองเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว กระทบความมั่นใจนักลงทุนโดยนักวิเคราะห์เตือนอนาคต Pop Mart อาจเจอความเสี่ยงเหมือนเคส Beanie Baby

September 17, 2025 / 0 Comments
read more

อสังหาฯปี68 รุมเร้าไม่พัก ต้นทุนเพิ่ม-ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ รปภ. ได้3 หมื่นบ.สูงกว่าป.ตรีบางสาขา

BizKet

แอล พี พีฯ บอกว่าปี 2568 ท้าทายตลาดอสังหาฯ  รับต้นทุนพุ่ง 15-20% หลังบางไซต์ก่อสร้างแรงงานกัมพูชากลับประเทศหาย 80% เจออีกปรับค่าแรงขั้นต่ำทำอาชีพ รปภ. รายได้แตะ 3 หมื่นบาท   สุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP  ผู้ให้บริการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลชุดนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เข้ามาบริหารคาดว่าจะสามารถเจรจาข้อตกลงด้านแรงงานกัมพูชาได้และจะคลี่คลายในปลายปี 2568  ด้วยถานการณ์ก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงที่ผ่านมามีแรงงานกัมพูชา กลับประเทศไปก่อนหน้า แต่ขณะนี้มีบางส่วนก็อยากกลับเข้ามาทำงานในไทย     “ปี 2568 เป็นปีท้าทายของภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องพึ่งพาแรงงานสูง และปัจจุบันเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในกลุ่มไซต์งานก่อสร้าง และงานซ่อมบำรุง ที่ขับเคลื่อนด้วยแรงงานต่างชาติเป็นหลัก จากความขัดแย้งในชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้แรงงานกัมพูชากลับประเทศ โดยบางไซต์งานมีแรงงานหายไปกว่า 20-80%” สุรวุฒิ กล่าว     โดยปัจจัยดังกล่าว สร้างแรงกดดันให้ผู้ประกอบการแบกต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นราว 15-20% ในการหาแรงงานชาติอื่น ๆ มาทดแทน จากปกติจ่ายค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 400 บาท/วัน ขณะที่อุตฯก่อสร้างพึ่งพาแรงงานกัมพูชาจำนวนมาก ซึ่งในตอนนี้ยังสามารถบริหารจัดการได้โดยใช้แรงงานไทยจากภาคเกษตรกรรมเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แต่จะต้องกลับไปยังถิ่นฐานของตัวเองในเดือนตุลาคมเพื่อการทำนาปรัง ทำให้ผู้ประกอบการต้องวางแผนหาแรงงานก่อสร้างจากเมียนมา และ สปป.ลาว เข้ามาทดแทน ซึ่งทั้งสองชาติมีทักษะที่ดีและมีอำนาจต่อรองสูง     สุรวุฒิ  กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ สร้างผลกระทบต่อธุรกิจ เนื่องจากรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่มีต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) เพิ่มขึ้น อาทิ กลุ่มงานบริการรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ซึ่งมีเงินเดือนสูงราว 30,000 บาท/เดือน มากกว่าคนจบประดับปริญญาตรีบางสายงาน     ขณะที่ ปัจจุบันค่าแรง รปภ. ได้รับอยู่ที่ 400 บาทต่อวันพร้อมปฎิบัติงาน 8 ชม. แต่โดยปกติรปภ.จะทำงานกะละ 12 ชม. เท่ากับมีค่าล่วงเวลา (OT)  เพิ่มอีก 4 ชม. (ตามกฎหมายเพื่อคุ้มครองค่าล่วงเวลาของ รปภ.) โดยจะต้องให้ค่าโอที 1.5 เท่า ของอัตราปกติ คิดเป็นประมาณ 75 บาท/ชม. หากเพิ่มเวลางานกว่า 1 กะ ก็จ่ายเพิ่มขึ้น หรือทำงานในวันหยุดค่าแรงจะได้ 2 เท่า     อย่างไรก็ตาม นอกจาก ฟิกซ์ คอสต์ ที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรงขั้นต่ำแล้ว ปัจจัยนี้อาจทำให้ผู้บริโภคในโครงการที่อยู่อาศัยต้องแบกภาระค่าส่วนกลางสูงขึ้นอีกด้วย ทำให้ในบางโครงการเริ่มเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยแบบไร้คนเพื่อมอนิเตอร์ตลอดเวลา อาทิ การติดกล้องวงจรปิดเพิ่มขึ้น ระบบการเข้าอาคารที่รัดกุมมากขึ้น รวมถึงเพิ่มตำแหน่งงานอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค เข้ามาทดแทนงานจิปาถะที่ รปภ. ต้องช่วยลูกบ้าน เช่น ช่วยยกของ เปิดประตู เป็นต้น โดยอาจพิจารณาสายงานซัพพอร์ตและบริการแทน ซึ่งตรงใจลูกบ้าน และมีต้นทุนถูกกว่าการจ้างงาน รปภ. เพื่อทำหลายหน้าที่     Alternate-X สรุปให้      LPP บอกว่า ปี 2568 ภาคอสังหาฯ ไทยเจอวิกฤติซ้อน ทั้งขาดแรงงานกัมพูชากลับประเทศกว่า 80% ผู้ประกอบการต้องแบกต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้น 15–20% จากการหาแรงงานชาติอื่นมาทดแทน ค่าแรงขั้นต่ำที่ขยับสูงขึ้น ดันต้นทุนธุรกิจเพิ่มแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำ อาชีพรปภ. มีรายได้แตะ 30,000 บาท/เดือน สูงกว่าบัณฑิตปริญญาตรีบางสายงาน สุดท้ายลูกบ้านอาจต้องรับภาระค่าส่วนกลางเพิ่มขึ้นจากต้นทุนที่พุ่งต่อเนื่อง

September 17, 2025 / 0 Comments
read more

HEYDAY PLAYLAND เมืองอาร์ตทอย ริมน้ำ ปักหมุดไอคอนสยาม ป๊อป-อัพ สโตร์ ใหญ่สุด

Peace&Play,  WeView

ไอคอนสยาม ย้ำแลนด์มาร์คทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่เหล็กดูดพันธมิตรอีเวนต์นานาชาติ ดึง ‘HEYONE และ MORE THAN ARTS & TOYS’ ปักหมุดปีอป-อัพสโตร์ใหญ่สุดในไทย ‘HEYDAY PLAYLAND’   ไอคอนสยาม ย้ำตำแหน่งแลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา และในฐานะ ‘Global Experiential Destination’ ดึงดูดให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเป็นจุดหมายปลายทางประสบการณ์ระดับโลก ให้กับนักเดินทาง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรนานาชาติ ทั้งการจัดกิจกรรมทางการตลาด (อีเวนต์) รวมถึงการเปิดร้านสาขาจากต่างประเทศ  ที่ได้รับความสนใจตลอดช่วงที่ผ่านมา   ล่าสุด ไอคอนสยาม ร่วมกับ HEYONE สตูดิโออาร์ตทอยชื่อดังจากประเทศจีน เจ้าของลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์ยอดนิยมอย่าง   OZAI MIMI FAYA FURFUR ฯลฯ   พร้อมร่วมกับ MORE THAN ARTS & TOYS ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ของเล่น ของสะสม ยกทัพคาแรกเตอร์สุดน่ารักมาจัดงาน ‘HEYDAY PLAYLAND’ เปิด Pop-up Store ที่ใหญ่ที่สุดในไทย เพื่อให้แฟนๆ เลือกช้อปสินค้าพรีเมียมและของสะสมรุ่น   ล่าสุด ยังมีไฮไลต์เปิดตัวอาร์ตทอยรุ่นพิเศษครั้งแรกในโลก และจัดเต็มกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมาย ท่ามกลางบรรยากาศสนุกสดใสราวกับยกเอาสนามเด็กเล่นแห่งความสุขมาไว้ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ให้คนรักอาร์ตทอยได้เพลิดเพลินกับประสบการณ์สุดพิเศษ ระหว่างวันที่ 12 กันยายน – 9 ตุลาคม 2568 ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G ไอคอนสยาม   โดยการจัดงาน HEYDAY PLAYLAND ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งงานใหญ่ที่ไอคอนสยามตั้งใจนำเสนอกระแสป๊อปคัลเจอร์ระดับโลกและมอบที่สุดของประสบการณ์ด้านศิลปะให้คนไทยได้สัมผัส ผ่านพื้นที่สุดสร้างสรรค์และผลงานอาร์ตทอยยอดนิยมซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจในระดับสากลของ HEYONE เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งความร่วมมือทางศิลปะและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระดับนานาชาติของไอคอนสยาม   HUHU ศิลปินผู้ออกแบบอาร์ตทอย MIMI (ซ้าย) และ เรย์มอน หยู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) (ขวา)   ด้าน เรย์มอน หยู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) HEYONE กล่าวว่า ความร่วมกับไอคอนสยามครั้งนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Collaboration to win ร่วมกัน โดยสร้างพื้นที่แห่งนี้ ให้เป็น Creative Playground สำหรับแฟน ๆ นักสะสม และผู้ที่อยากสัมผัสประสบการณ์ใหม่จาก HEYONE   โดยในงานฯ ยังมีความพิเศษและทำสถิติครั้งแรกในหลายอย่าง ทั้ง ‘Pop-up Store’ ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ HEYONE เคยจัดมา และการเปิดตัวอาร์ตทอยรุ่นพิเศษเป็นครั้งแรกในโลกหลากหลายรุ่น   นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่จัดแสดงซีรีส์ใหม่ของ HEYONE ครบทั้งคอลเลกชันในที่เดียว พร้อมเตรียมของสะสมพิเศษ เป็นจำนวนมากที่สุด โดยเป็นซีรีส์ใหม่ทั้งหมด ที่มีความน่าตื่นเต้น ทุกชิ้น   สำหรับ ‘HEYDAY PLAYLAND’  ถือเป็น Pop-up Store ที่ใหญ่ที่สุดในไทย และทำสถิติเป็น Pop-up Store ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจัดมาของ HEYONE โดยนำคาแรกเตอร์ยอดนิยมมาให้แฟน ๆ ได้เลือกสะสมจำนวนมาก และยังรวมของเล่นของสะสมหลากหลายที่สุดที่เคยจัดมา พร้อมจัดเต็มกิจกรรมพิเศษและเซอร์ไพรส์ตลอดงานทั้งการเปิดตัว MIMI Blind Box รุ่นพิเศษสำหรับต่างประเทศ เป็นครั้งแรกในโลก รวมถึง Ozai-400%: The Silent Tragicomedy ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษเฉพาะ ICONSIAM เท่านั้น และยังเป็นงานแรกที่เปิดตัวซีรีส์ Oh Zai 400% ครบทั้งเซ็ตในงานเดียว       นอกจากนี้อีกหนึ่งไฮไลต์ เอ็กซ์คลูซีฟ คือ การเปิดตัวสินค้าลิมิเต็ดสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ อาทิ   MIMI-Overseas Limited-Jiuzhou Odyssey MIMI-Neo-Chinese Style The Poetry of Time in Four Seasons R3na-First generation product OZAI-First Generation Derivative Product Overseas Limited   โดยได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ บนพื้นที่จัดงานที่ออกแบบอย่างสวยงาม มีโซนอินเตอร์แอ็กทีฟให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมกับประสบการณ์ความสุขและความสนุกอย่างเต็มอิ่ม     สำหรับในวันเปิดงานเมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา มีเหล่าคนดังผู้ชื่นชอบอาร์ตทอยมาร่วมเปิด Pop-up Store ต้อนรับคาแรกเตอร์น่ารักๆ จาก HEYONE อย่างคับคั่ง อาทิ ไอซ์–พาริส อินทรโกมาลย์สุต, ปอนด์–พลวิชญ์ เกตุประภากร, ก้าวหน้า–กิตติภัทร แก้วเจริญ และอีกมากมาย   นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก HUHU ศิลปินผู้ออกแบบ MIMI และเจ้าของ MIHU Studio มาร่วมกิจกรรมเซ็นลายเซ็นให้แฟน ๆ ที่ซื้อ MIMI Blind Box ภายในงานด้วย     สำหรับ HEYONE เป็นสตูดิโออาร์ตทอยชื่อดังจากประเทศจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 เพื่อสร้างสรรค์กระแสวัฒนธรรมใหม่ ๆ และเฉลิมฉลองให้กับแก่นแท้ของการเล่น มุ่งปกป้องความเป็นต้นฉบับทางศิลปะและคุณค่าด้านความคิดสร้างสรรค์ของ IP พร้อมส่งเสริมสายสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างผู้คน และสร้างการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งระหว่างผลงาน IP ของแบรนด์และคอมมูนิตี้ทั่วโลก โดยมีคาแรกเตอร์ยอดฮิต อาทิ OZAI, MIMI, FAYA, FURFUR ฯลฯ         Alternate-X สรุปให้ ไอคอนสยามร่วมกับ HEYONE และ MORE THAN ARTS & TOYS จัดงานใหญ่ ‘HEYDAY PLAYLAND’ สร้างอาณาจักรอาร์ตทอยชื่อดังมาปักหมุด Pop-up Store ใหญ่ที่สุดในไทย พร้อมเปิดตัวคาแรกเตอร์และรุ่นพิเศษครั้งแรกในโลก เช่น MIMI Blind Box และ OZAI รุ่นลิมิเต็ด สร้างบรรยากาศ Creative Playground ริมเจ้าพระยา พร้อมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ตอกย้ำ ICONSIAM เป็น Global Experiential Destination ดึงดูดแฟน ๆ ศิลปะและนักท่องเที่ยวทั่วโลก

September 15, 2025 / 0 Comments
read more

ชาตรามือ 80 ปี จากตำนานชาไทย จะเป็นซอฟต์ พาวเวอร์ มูลค่าแบรนด์หมื่นล้านระดับโลก

BizKet

‘ชาตรามือ’ (ChaTraMue) แบรนด์ชาไทยในตำนาน เตรียมเข้าสู่ปีที่ 80 พร้อมจัดงานใหญ่ ‘ChaTraMue Original Thai Tea Festival’ เพื่อฉลองการเดินทางที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของชาไทย     จุดเริ่มต้นของ “ชาตรามือ”     หลายคนอาจทราบเรื่องราวของชาตรามือ เกิดขึ้นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จากร้านชาเล็กๆ ที่เน้นคุณภาพ พร้อมนำเข้าใบชาชั้นเยี่ยมจากประเทศจีนเข้ามาทำความรู้จักกับผู้บริโภคชาวไทยในร้านกาแฟยุคก่อน ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของผู้คนมาร่วมวงกินมื้อเช้า อย่างกาแฟร้อน ชาร้อน ปาท่องโก๋จิ้มนม พร้อมถกเรื่องราวข่าวสารบ้านเมืองของแต่ละวัน ในยุคนั้น   ด้วยเมื่อราว 40-50 ปีก่อนทุกร้านกาแฟทั้งในกรุงเทพฯ หรือ อาจรวมถึงในต่างจังหวัด เชื่อว่าจะต้องมีชาตรามือกระป๋องสีแดง-ขาว อ้วนๆ วางอยู่เคียง-ข้าง ‘อาแปะ’ เจ้าของร้านกาแฟยุคเก่าอย่างแน่นอน   80 ปีแห่งความสำเร็จ   จากเส้นทางเริ่มต้นจนมาถึงในปี 2568 ‘ชาตรามือ’ เตรียมฉลองอายุครบ 80 ปี ที่นอกจากจะได้ครองแชมป์ No. 1 ชาไทยในใจคนไทยมาได้ในทุกยุคสมัยแล้ว   ในวันนี้ ชาตรามือ ยังเตรียมออกสเต็ปใหม่สู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก ‘Global Brand’ ในฐานะหนึ่งในซอฟต์เพาเวอร์ เพื่อส่งต่อเอกลักษณ์ของ ‘ชาไทย’ ไปสู่ผู้คนทั่วโลก   โดย ‘ชาตรามือ’ ออกมาย้ำจุดยืนชัดเจนของแบรนด์ คือ การเป็นตัวแทนวัฒนธรรมไทยที่ทันสมัย พร้อมพัฒนานวัตกรรมและเมนูใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ทั้งด้านรสชาติและมาตรฐานการผลิต   ทำให้ ชาไทย ของชาตรามือ กลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ชาไทยแท้’ ขวัญใจทั้งชาวไทยและตลาดในต่างประเทศที่เคยทำความรู้จักแบรนด์นี้มาก่อน   ชาตรามือ ชาไทย เฟสติวัล   ล่าสุด ชาตรามือ ได้จัดงาน ‘ChaTraMue Original Thai Tea Festival’ ระหว่างวันที่ 19 – 21 กันยายน 2568 ตั้งแต่ 10.30 – 20.00 น. ณ โซน อีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ที่นอกจากฉลองครบรอบ 80 ปี แต่ยังออกมาบอกถึงความตั้งใจของชาตรามือในการสื่อสารคุณค่าของ ชาไทย ไปสู่คนรุ่นใหม่   โดยงานฯ นี้เปิดโอกาสให้แฟนชาไทยได้สัมผัสประสบการณ์เต็มรูปแบบ ตั้งแต่การชิมเมนูใหม่ การชมสินค้าลิมิเต็ดเอดิชั่น ไปจนถึงการเรียนรู้เรื่องราว 80 ปีของแบรนด์ ผ่านนิทรรศการที่บอกเล่าเส้นทางตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้   คอลแล็บส์ 10 แบรนด์รุ่นใหม่   นอกจากนี้ ยังมีหนึ่งในไฮไลต์ในงานฯ คือ ชาตรามือได้ร่วมมือกับ 10 แบรนด์ดังที่มารวมตัวกัน เพื่อตีความและสร้างสรรค์เมนู ‘ชาไทย’ ในสไตล์ของตนเอง จำหน่ายเฉพาะงานนี้ อย่าง   After You Holiday Pastry Kaew Boutique Yole ถิงถิง น้ำเต้าหู้ปูปลา และอื่น ๆ   นอกจากนี้ ยังกิจกรรมการพูดคุย และพบปะกับผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มชื่อดังที่เป็นพันธมิตรกับ ‘ชาตรามือ’   ด้วยแนวคิดนี้ สะท้อนกลยุทธ์ของชาตรามือ ที่อยากสื่อสารไปยังคนรุ่นใหม่ว่า ชาไทย สามารถพลิกแพลงได้หลากหลาย ตั้งแต่เครื่องดื่ม ของหวาน ไปจนถึงเมนูครีเอทีฟ สายสร้างสรรค์ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกด้วย   จากกิจกรรมดังกล่าว อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สสตอรี่ เทลลิ่ง (Story Telling) เส้นทาง 80 ปี ‘ชาตรามือ’ ที่เป็นมากกว่าการเฉลิมฉลอง ด้วยการออกยืนยันตัวตนในฐานะแบรนด์ชาไทยที่มีมูฟ เมนต์ อยู่เสมอ   นับจากจากร้านชายุคบุกเบิก สู่แบรนด์ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ (จากกิจกรรมการจัดงานฯ) และพร้อมจะนำชาไทยไปสู่เวทีโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Thai Tea for Everyone, Everywhere’   โดยในปี 2568 ชาตรามือ ครองส่วนแบ่งตลาดชาไทยในประเทศอยู่ประมาณ 70%  มีรายได้รวมในปัจจุบันราว 3,000 ล้านบาท พร้อมวาง เป้าหมายในอีก 2 ปีข้างหน้า คาดรายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท  ปัจจุบันมีสาขาในประเทศ 220 สาขา และสาขาต่างประเทศราว 114 แห่ง   อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง ‘CTM’ แบรนด์ลูก ‘ชาตรามือ’ มาเพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ เข้าสู่ยุคชาไทย…ไม่(ใส่)สีส้ม   จากอัตราการเติบโตเชิงรายได้ดังกล่าว หากนำมาเข้าสูตรการหามูลค่าแบรนด์  โดยประมาณ ด้วยใช้วิธีการประเมินเบื้องต้นแบบ P/E ratio (มูลค่าตามกำไร) คาดว่ามูลค่าของชาตรามือ น่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 7,000 – 10,000 ล้านบาท   และหากเติบโตตามเป้าหมาย (ไปถึง 5,000 ล้านบาทรายได้) รวมทั้งสามารถรักษากำไร การขยายสาขาแบรนด์ไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ดีตามแผนไปสู่ Global Brand คาดอาจผลักดันให่มูลค่าอาจสูงขึ้นไปถึง 12,000 – 13,000 ล้านบาท ได้เช่นกัน       Alternate-X สรุปให้      ชาตรามือเดินทางมากว่า 8ทศวรรษ สร้างตำนานชาไทยที่อยู่คู่ผู้คนและวัฒนธรรมการดื่มชา จากร้านชายุคแรกเริ่ม สู่แบรนด์ที่คนทั่วโลกจดจำในชื่อ Thai Tea อันเป็นเอกลักษณ์ ล่าสุดเพื่อเข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น แบรนด์ได้ต่อยอดด้วยนวัตกรรมเมนูและการคอลแลบกับแบรนด์ดัง ทำให้ภาพลักษณ์ทันสมัย และจากคุณค่าที่สั่งสมมาอย่างยาวนานไปพร้อมกับขยายธุรกิจ ยังทำให้ชาตรามือมีมูลค่าแบรนด์แตะหลักหมื่นล้านบาท ที่ไม่ใช่เพียงแค่ยอดขายแต่คือพลังแบรนด์สัญชาติไทย ที่ ‘ชาตรามือ’ เตรียมผลักดันชาไทยสู่เวทีโลกต่อไป

September 15, 2025 / 0 Comments
read more

‘นิปปอนเพนต์’ ย้ำภาพ ‘สีเพื่อสุขภาพและความงาม’ สร้างความต่างตลาดสี 2.7 หมื่นล.

BizKet,  EcoVative

‘นิปปอนเพนต์’ ใช้ ‘นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์’ ดึงฟีเจอร์เพื่อสุขภาพควบความงาม สินค้ากลยุทธ์ เข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่   นิปปอนเพนต์ (Nippon Paint) แบรนด์สีทาอาคาร ระดับโลกที่อยู่มานาน 140 ปี และเข้ามาทำตลาดในไทยมานานเกือบ 60 ปี ปัจจุบัน สีนิปปอนเพนต์ ยังคงไปต่อในตลาดสีทาอาคาร ด้วยการให้ความสำคัญด้านนวัตกรรมเพื่อเจาะตลาดสีทาอาคารในปี 2568 คาดมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท   โดยในปีนี้ นิปปอนเพนต์ ยังมาในบทบาท ‘นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์’ ( Nippon Paint AirCare) สีนวัตกรรมทาภายในเพื่อสุขภาพ เกรดอัลตร้าพรีเมียม รายแรกในไทยกับตรารับรองระดับโลก GREENGUARD GOLD จากสถาบัน UL สหรัฐอเมริกา พร้อมรับประกันอากาศภายในห่างไกลสารระเหย (Zero VOCs)   ด้วยนวัตกรรมนี้ ‘สีนิปปอนเพนต์’ บอกว่าเสมือนหนึ่งเป็นตัวช่วยผู้ดูแลอากาศในบ้านให้สะอาดกว่า มาเพื่อเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นให้กับทุกชีวิตด้วยแนวคิด ‘สีที่แคร์ทุกลมหายใจ’ และยังเป็น ‘Lifestyle Interior Paint” ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยทุกรูปแบบอย่างแท้จริง จากความหลากหลายของสีสันช่วยให้ผู้ใช้ได้สะท้อนตัวตนตามต้องการ     อินเทอร์เน็ต ฟิล์ม สื่อสารแบรนด์     ทั้งนี้ เพื่อสื่อสารภาพลักษณ์ดังกล่าวไปยังกลุ่มเป้าหมาย ‘นิปปอนเพนต์’ ได้ใช้เครื่องมือการตลาดผ่านอินเทอร์เน็ตฟิล์มเรื่องใหม่ ‘คนรักสุขภาพ’ และ ‘ทุกคนที่มองหาสีสันที่ใช่ เพื่อแสดงอัตลักษณ์จากภายในสู่ที่อยู่อาศัย เพื่อส่งให้ ‘นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์’ เป็นสีนวัตกรรมทาภายในที่หนึ่งในใจของทุกคน   ต่อการเลือกแผนสื่อสารการตลาดดังกล่าว นิปปอนเพนต์ ได้เลือกหยิบการเล่าเรื่องของสีทาภายในทั่วไป ซึ่งมักจะพบสาร VOCs (Volatile Organic Compounds: สารอินทรีย์ระเหยง่าย) เป็นส่วนประกอบ   โดยหนึ่งในสารอันตรายที่สุดในกลุ่มนี้ คือ ‘ฟอร์มัลดีไฮด์’  อันเป็นบ่อเกิดของอาการทางสุขภาพทั้งแบบเฉียบพลัน เช่น แสบตา ไอ ผื่นคัน และอาจส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจได้ในระยะยาว   นอกจากนี้ ผนังบ้านก็มักจะเป็นส่วนที่ถูกละเลยในการทำความสะอาดและกลายเป็นพื้นที่สะสมเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว   นอกจากเพนพอยต์ดังกล่าวแล้ว นิปปอน เพนต์ ยังใช้กระแสการใส่ใจดูแลสุขภาพที่มาแรงในไทย สะท้อนให้เห็นผ่านการใช้จ่ายซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น อาหารเสริม อุปกรณ์ออกกำลังกาย   อย่างไรก็ตาม ‘คนรักสุขภาพ’ จำนวนมากอาจยังไม่รู้ว่า ‘สีทาภายในบนผนังมีผลต่อสุขภาพ’ ทั้งที่สีเป็นหนึ่งสิ่งที่อยู่รอบตัวเราในทุกๆ วัน และหากสีบนผนังมีสาร VOCs เป็นส่วนประกอบ สารนั้นจะอยู่ในทุกลมหายใจถึงแม้จะไม่รู้สึกถึงกลิ่นฉุนแล้วก็ตาม   ทำให้ ‘นิปปอนเพนต์’ ต้องการสื่อสารถึงความสำคัญของสีทาภายในที่มีผลต่อสุขภาพร่างกาย และเลือกส่ง ‘นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์’ เข้าตอบโจทย์เป็น “Lifestyle Interior Paint” ในฐานะสีนวัตกรรมทาภายในที่คนรักสุขภาพเลือกใช้ ด้วยคุณสมบัตินวัตกรรม “สีเพื่อสุขภาพ” ระดับโลก   โดย ‘นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์’ – ‘สีที่แคร์ทุกลมหายใจ’ มาพร้อมคุณสมบัติ   สีไร้สารระเหยที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย (Zero VOCs) โดยเป็นสีรายแรกในไทยที่ได้รับตรารับรองระดับโลก GREENGUARD GOLD จากสถาบัน UL ประเทศสหรัฐอเมริกา สีที่ช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา – ด้วยคุณสมบัติ Air Fresh พร้อมเทคโนโลยี Active Carbon ที่สามารถดูดซับสารพิษฟอร์มัลดีไฮด์และสารระเหยอื่นๆ สีที่ช่วยยับยั้งไวรัสและแบคทีเรียบนผนัง – ด้วยคุณสมบัติ Air Anti ที่มีเทคโนโลยี Silver-Ion เพื่อฟิล์มสีทำปฏิกิริยายับยั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิดบนผนังได้สูงถึง 99.99% สีสวยงาม ทนทานเหมือนใหม่เสมอ แม้ผ่านการเช็ดล้างขัดถูได้สูงถึง 500,000 รอบ โดยที่สียังสดเหมือนใหม่ ไม่ลอกล่อน   นอกจากนี้ นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์ ยังเป็น Lifestyle Interior Paint ที่ตอบโจทย์สุนทรียะด้านความงาม ด้วยเฉดสีของนิปปอนเพนต์ที่มีให้เลือกกว่า 2,338 สี รองรับทุกตัวตนของผู้ใช้สีได้ทุกรูปแบบร่วมจับคู่กับแนวทางการออกแบบภายในหรือเฟอร์นิเจอร์ได้ตามต้องการ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมภายในบ้านที่ตรงใจทุกไลฟ์สไตล์   ขณะเดียวกัน ‘สี นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์’ ยังเป็นสีที่โดนใจไลฟ์สไตล์ ‘รักษ์โลก’ ด้วยเป็นสีที่ปลดปล่อยคาร์บอนฯ ในระดับต่ำ (Low Carbon) ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นสีเกรดอัลตร้าพรีเมียม ทนทานยาวนาน 15 ปี+ จึงไม่ต้องทาซ้ำบ่อยครั้ง คุ้มค่าในการใช้งานและไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร   รวมถึงบรรจุภัณฑ์ถังสีนิปปอนเพนต์ แอร์แคร์ ยังผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ส่งให้สีนวัตกรรมรุ่นนี้เป็นทั้งการดูแลทั้งสุขภาพผู้ใช้งานและสุขภาพสิ่งแวดล้อมโลก สานต่อความยั่งยืนไปพร้อมกัน   ปัจจุบัน นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์ สามารถเลือกชมเฉดสีที่ใช่ได้ที่โมเดิร์นเทรดและร้านค้าตัวแทนจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ทั่วประเทศ       Alternate-X สรุปให้     นิปปอนเพนต์ ย้ำภาพลักษณ์ ‘สีเพื่อสุขภาพและความงาม’ ในตลาดสีปี 2568 เปิดตัว นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์ สีนวัตกรรมเกรดอัลตร้าพรีเมียม รายแรกในไทย มาพร้อมคุณสมบัติ Zero VOCs ฟอกอากาศ ยับยั้งไวรัส-แบคทีเรีย บนผนังได้ 99.99% มีเฉดสีให้เลือกกว่า 2,338 สี สร้างบรรยากาศและสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย หวังครองใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ในตลาดสีทาอาคารมูลค่า 2.7 หมื่นล้าน ด้วยจุดขายสุขภาพ ความงาม และความยั่งยืน  

September 15, 2025 / 0 Comments
read more

โค้งท้ายปี 68 เอพีฯ ลุยบ้านเดี่ยว 8 โครงฯใหม่ ชูจุดขายดีไซน์-ทำเล เริ่มต้น 4 ล.

BizKet

เอพี ไทยแลนด์ บุกอสังหาฯ 4 เดือนสุดท้าย เน้นแนวราบกรุงเทพฯ-ขอนแก่น  เปิดอีก 8 โครงการใหม่ ใช้ทุกเซ็กเมนต์-เจาะทุกลุ่มเป้าหมาย     ธิติเมศร์ สุขุมาลพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ผู้พัฒนาอสังหารริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยรายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแผนทำตลาดขยายโครงการที่อยู่อาศัยแนรวราบ เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวใหม่เพิ่มอีกจำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,850 ล้านบาท   สำหรับแผนดังกล่าว เพื่อตอบโจทย์ครบทุกระดับ (Segment) ในทุกระดับราคา และในทำเลศักยภาพ เปิดราคาเริ่มต้น 4 – 90 ล้านบาทโดยใช้ 4 แบรนด์บ้านเดี่ยว ดังนี้   MODEN CENTRO THE CITY BEON   โดยโครงการแรกที่ในเดือนกันยายนนี้ ได้แก่ MODEN บางนา – สุวรรณภูมิ เปิดให้ชมครั้งแรก 20 – 21 กันยายนนี้ ราคาเริ่มต้น 5.99 – 10 ล้านบาท ชูจุดเด่น New Design สไตล์ Mediterranean พื้นที่ใช้สอยขนาด 263 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ที่จอดรถ พร้อมห้องอเนกประสงค์ และส่วนกลางขนาดใหญ่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Santorini ประเทศกรีซ   จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน เตรียมเปิดตัวพร้อมกัน 4 โครงการ ได้แก่   CENTRO ราชพฤกษ์ – นครอินทร์ ราคาเริ่มต้น 8.9 – 15 ล้านบาท* ทำเลบนจุดศูนย์กลาง ราชพฤกษ์ CENTRO ทวีวัฒนา 2 ราคาเริ่มต้น 10.9 – 15 ล้านบาท* ด้วยแบบบ้านดีไซน์ใหม่สไตล์ Modern Neo Classic บนที่ดินเริ่มต้น 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 375 ตร.ม. ฟังก์ชันใหญ่ 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พร้อม Double Master Bedroom และ Walk-in Closet ในทุกห้องนอน THE CITY ทวีวัฒนา 2 ราคาเริ่มต้น 14.9 – 20 ล้านบาท* มอบพื้นที่ชีวิตเหนือระดับ พื้นที่ใช้สอยกว่า 454 ตร.ม. ด้วยฟังก์ชัน 5 ห้องนอน 4 ที่จอดรถ ให้ความเป็นส่วนตัวเพียง 63 ครอบครัว   นอกจากนี้ ยังมีโครงการไฮไลต์ภายใต้ Majestic Collection กับ BEON เกษตร -นวมินทร์ ราคาเริ่มต้น 45 ล้านบาท* ภายใต้คอนเซปต์ LIVING IN THE EDGE OF CONTRAST ให้ความหมายระดับลักซูรีในรูปแบบใหม่ ด้วยบ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 825 ตร.ม. ในทำเลใจกลางเกษตร-นวมินทร์ ใกล้ Central Eastville เป็น Private Residence ให้ความเป็นส่วนตัว 23 ครอบครัวเท่านั้น ธิติเมศร์ กล่าวว่า จากแนวทางดังกล่าว ยังยืนยันถึงความสำเร็จของเอพีฯ จาก 4 รางวัลที่ได้รับจากเวที PropertyGuru Thailand Property Awards 2025 ประกอบด้วย   Best Luxury Lifestyle Housing Development (Bangkok) – THE PALAZZO ปิ่นเกล้า-บรมฯ Best Luxury Housing Interior Design (Bangkok) – BEON เกษตร-นวมินทร์ Best Housing Architectural Design (Bangkok) – THE CITY ราชพฤกษ์-พรานนก Best Housing Landscape Design (Bangkok) – CENTRO สาทร-สุขสวัสดิ์   “รางวัลเหล่านี้ คือ หนึ่งบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นและความตั้งใจของเอพีในการพัฒนาโครงการ โดยเริ่มต้นจากความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ทั้งการใช้ชีวิตและบริบทของครอบครัวเมือง รวมถึงการออกแบบที่สะท้อนทั้งความสวยงามและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต”   ธิติเมศร์ กล่าวทิ้งท้าย           Alternate-X สรุปให้       เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าบุกตลาดอสังหาฯ โค้งท้ายปี 2568 เน้นโครงการแนวราบ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่รวม 8 โครงการ มูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้าน ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ระดับกลางถึงลักชูรี สะท้อนกลยุทธ์เจาะครบทุกเซ็กเมนต์ เสริมความแข็งแกร่งในตลาด

September 15, 2025 / 0 Comments
read more

PWC สำรวจผู้บริโภคไทย กังวลสุดใน 12 เดือนหน้าหวั่น ‘ค่าครองชีพ’ กระทบเศรษฐกิจ

BizKet

ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ หรือ พีดับบลิวซี (PricewaterhouseCoopers) หนึ่งในสี่ยักษ์ผู้ตรวจสอบบัญชีระดับโลก เปิดรายงานผลสำรวจเสียงของผู้บริโภค ประจำปี 2568 ฉบับภาพรวมประเทศไทย   ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2568 PwC ได้สำรวจผู้บริโภคจำนวน 21,075 รายใน 28 ประเทศและอาณาเขต รวมถึงผู้บริโภคจากประเทศไทยจำนวน 521 ราย   โดยผลสำรวจภาพรวมระดับโลก ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารและแนวโน้มของผู้บริโภค ได้แก่ พฤติกรรมการซื้อของชำและการเลือกอาหาร อนาคตด้านสุขภาพ เทคโนโลยีเกิดใหม่ และประเด็นสำคัญด้านสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน   งานวิจัย ‘Value in motion’ ของ PwC ได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกจะพัฒนาไปสู่ระบบนิเวศที่มีความเชื่อมโยงกันและขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีมากขึ้น โดยมีนวัตกรรม สุขภาพ และความยั่งยืนเป็นแกนหลัก เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน   ผู้บริโภคในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทาน การชอปปิง และการเลือกแบรนด์ โดยความคาดหวังของผู้บริโภคเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การมองหาตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ไปจนถึงการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน   ด้วยเหตุนี้ธุรกิจที่มุ่งหวังจะเติบโตในตลาดนี้ ควรต้องทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้   รายงานผลสำรวจเสียงของผู้บริโภค ประจำปี 2568 ฉบับภาพรวมประเทศไทย ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกล่าสุด เพื่อเปิดเผยว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคกำลังปรับเปลี่ยนอนาคตของอาหารอย่างไร   โดยเราได้ทำการสำรวจตั้งแต่การเลือกอาหารของผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงความภักดีต่อแบรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไป   นอกจากนี้ เมื่อสุขภาพ ความยั่งยืน และเทคโนโลยี กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ เราจะมาเจาะลึกถึงปัจจัยที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจซื้อในปัจจุบัน และปัจจัยเหล่านี้มีความสำคัญอย่างไรต่อ “การจัดการอาหารเพื่อเลี้ยงดูประชากร” ในวันข้างหน้า ผู้บริโภคชาวไทยกำลังรู้สึกถึงแรงกดดันจากโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว   57% กล่าวว่า ค่าครองชีพจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประเทศมากที่สุดในอีก 12 เดือนข้างหน้า สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก 58% ที่มองว่า ค่าครองชีพเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุด   ในด้านความมั่นคงทางการเงิน ผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยมากกว่าครึ่ง (53%) มองว่าตนเองมีความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเล็กน้อยที่ 46%   อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากยังคงต้องเผชิญกับความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ   36% ระบุว่า พวกเขากำลังประคับประคองเรื่องการเงิน 8% รู้สึกไม่มั่นคงทางการเงินเลย     ในขณะเดียวกัน การเลือกซื้ออาหารในปัจจุบันของผู้บริโภคชาวไทย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพของอาหารด้วย     โดย 66% กล่าวว่า มีความกังวลมากเกี่ยวกับการใช้ยาฆ่าแมลงในอาหาร ขณะที่ 55% กังวลเกี่ยวกับปริมาณของวัตถุเจือปนอาหารหรือสารกันบูด 51% กังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพ จากการบริโภคอาหารแปรรูปขั้นสูง ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าในขณะที่ผู้บริโภคชาวไทยกำลังรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณภาพของอาหารที่รับประทานมากขึ้นด้วย พฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคชาวไทย   ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม vs ร้านค้าปลีกสมัยใหม่     เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความชื่นชอบในการซื้อของชำ ผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ ยังคงนิยมใช้บริการร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อในท้องถิ่น หรือร้านค้าเล็ก ๆ ในชุมชน เป็นต้น   99% ของผู้บริโภคชาวไทย ใช้บริการร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม   ในขณะเดียวกันผู้บริโภคชาวไทยมากกว่าครึ่ง ก็ได้หันมาใช้บริการค้าปลีกสมัยใหม่ ได้แก่ แพลตฟอร์มสั่งซื้อออนไลน์ และบริการผูกปิ่นโตแบบสมัครสมาชิก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้ผู้บริโภคจะเปิดรับวิธีการชอปปิงออนไลน์ในยุคดิจิทัล แต่พวกเขาก็ยังคงอาศัยการชอปปิงแบบดั้งเดิมเป็นหลัก       54% ของผู้บริโภคชาวไทย หันมาใช้บริการร้านค้าปลีกสมัยใหม่       ผู้บริโภคชาวไทยแสดงความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ   สุขภาพเป็นแรงจูงใจสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้สำหรับผู้บริโภคชาวไทยในการเลือกบริโภคอาหาร ตัวอย่างเช่น ประมาณ 40% ระบุว่าพวกเขารับประทานอาหารเสริมหรือวิตามินเป็นประจำเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 30%   แนวโน้มสำคัญที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่ง คือ การลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยผู้บริโภคชาวไทยถึง 86% ระบุว่าได้ลดการบริโภคเครื่องดื่มมึนเมา ‘ในระดับมาก’ หรือ ‘ในระดับปานกลาง’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกรับประทานอาหารที่เน้นสุขภาพ (เทียบกับ 75% ทั่วโลก)   นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยส่วนมาก (70%) ยังระบุว่าพยายามหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปขั้นสูงอย่างน้อย ‘ในระดับปานกลาง’     Alternate-X สรุปให้   PwC เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยปี 2568 พบว่าคนไทยกังวลเรื่องค่าครองชีพสูงสุดใน 12 เดือนข้างหน้า โดย ผู้บริโภคกว่า 57% เห็นว่าค่าครองชีพกระทบเศรษฐกิจโดยตรงพฤติกรรมการจับจ่ายเปลี่ยนไป เน้นสุขภาพ คุณภาพ และความปลอดภัยของอาหาร ขณะที่ ธุรกิจอาหารไทยต้องเร่งปรับกลยุทธ์สู่สุขภาพ ความยั่งยืน และเทคโนโลยี

September 15, 2025 / 0 Comments
read more

เยือนไทยครั้งแรก!! ‘Jason Kwon’ ผู้บริหาร OPenAI มองแต้มต่อคนไทยในยุค AI

BizKet,  EcoVative

นักธุรกิจไทยหัวแถวกว่า 100 คนรวมตัวในงานเสวนาด้านเอไอ ได้ ‘Jason Kwon’ ผู้บริหาร OpenAI เยือนไทยครั้งแรก! มอง ‘ความเป็นไปได้’ คนไทยกับเอไอในทางธุรกิจ   House of Wisdom ร่วมกับ Woody World จัดงานเสวนาเอ็กซ์คลูซีฟ ‘AI LEAP: Turning Today’s Disruption into Tomorrow’s Advantage’ ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเพื่อตอกย้ำบทบาท ‘คลับแห่งความรู้ ไม่รู้จบ’     สำหรับงาน OpenAI Forum ได้รับความสนใจ จากนักธุรกิจชั้นแนวหน้ากว่า 100 คนเข้าร่วม อาทิ กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร, นภัสนันท์ พรรณนิภา, อัญชลิน พรรณิภา, ภูริต ภิรมย์ภักดี, วรภัทร ชวนะนิกุล, สุรชัย พุฒิกุลางกูร, สินชัย ลาภศิริผล และ ธนา เทียนอัจฉริยะ  เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการเติบโตของ AI และบทบาทของไทยบนเวทีโลก     โดยเนื้อหาในงานฯ ยังระบุถึงบทบาทของประเทศไทย กำลังยกระดับบทบาทสู่การเป็นผู้นำด้านการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งาน ChatGPT – OpenAI จากสถิติพบว่าจำนวนผู้ใช้งาน ChatGPT รายสัปดาห์ในไทย เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าในรอบปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการก้าวสู่โลกอนาคตแห่ง เทคโนโลยี     ในงานฯ ครั้งนี้ ยังรวมเหล่ากูรูสายเทคโนโลยีระดับสูง ‘เจสัน ควอน(Jason Kwon)’ ประธานเจ้าหน้าที่กลยุทธ์ (Chief Strategy Officer) ของ OpenAI, กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล, กรุ๊ป แชร์แมน (Group Chairman) ของ KBTG ผู้นำด้านเทคโนโลยีและ Startup Ecosystem ของภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้พร้อมมองต่อไปยังทิศทางโลกในยุคเอไอเข้ามามีบทบาท นับจากนี้ไป     แต้มต่อคนไทยในเวทีใหม่ เจสัน กล่าวว่า ‘การมองโลกในแง่ดีและความสามารถ ในการปรับตัวของคนไทย’ คือ ‘แต้มต่อเชิงการแข่งขัน’ ของคนไทยที่เอื้อต่อการก้าวสู่ยุค AI และยังเสริมว่า คนไทยกำลังยอมรับที่จะใช้ AI เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อเสริมศักยภาพและเปิดโอกาสใหม่ ๆ ทั้งในด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และการเป็นผู้ประกอบการ AI เพื่อการเติบโตของทุกคน     ด้าน เรืองโรจน์ พูนผล (กระทิง) กล่าวว่า AI เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความเท่าเทียม ว่า ‘เทคโนโลยีต้องเป็น สะพาน ไม่ใช่กำแพง AI จะช่วยลดช่องว่างทางโอกาส เปิดทางให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้ สร้างสรรค์ และเข้าถึงความรู้ได้ อย่างเท่าเทียม’   ไทย พร้อมนำด้าน AI   ขณะที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ใช้งานเทคโนโลยีรุ่นแรก ทั้ง Mobile Banking หรือ Social Media และวันนี้ ความคล่องตัวนั้นได้ขยายมาถึง AI ซึ่งทำให้ไทยอยู่ในจุดที่พร้อมจะเป็นผู้นำในการผสาน AI เข้ากับชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรมอนาคต   “คนไทยเรียนรู้เร็ว ปรับตัวเก่ง สิ่งนี้อยู่ใน DNA ของเรา”   เรืองโรจน์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   “ความคิดสร้างสรรค์ในระดับโลกของคนไทย ทำให้เราสามารถสร้างผลงานด้านโฆษณา และคอนเทนต์ที่ได้รับรางวัลมากมาย และเมื่อรวมเข้ากับ AI ไทยพร้อมจะก้าวสู่ความเป็นผู้นำในเวทีใหม่ของความ คิดสร้างสรรค์”         คลื่นลูกใหม่แห่ง AI       ขณะที่ ข้อมูลล่าสุดจาก OpenAI ระบุว่า การยอมรับ AI อย่างรวดเร็วในประเทศไทย มาจาก คนรุ่นใหม่อายุ 18–24 ปี ที่ใช้ ChatGPT ครอบคลุมทั้งการทำงานและชีวิตประจำวัน โดยกรณีใช้งานยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่   การแปลภาษา การขอคำแนะนำเชิงปฏิบัติ (How-to) การเรียนรู้และการติว การดูแลตนเอง การเขียนเชิงสร้างสรรค์     รากฐานยั่งยืน     ในเวที OpenAI Forum ครั้งนี้ตอกย้ำว่า การยอมรับ AI ของประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงการใช้งานในฐานะผู้บริโภค แต่ยังสะท้อนถึง พลังของคนรุ่นใหม่ การกำกับดูแลที่แข็งแรง และความมุ่งมั่นในการสร้างความเท่าเทียม ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังกลายเป็น รากฐานสำคัญที่จะนำพาประเทศไปสู่ระบบนิเวศ AI ที่มั่นคงและยั่งยืน     ผู้สนใจสามารถรับชมวิดีโองานเสวนาฉบับเต็ม พร้อมเนื้อหาและมุมมองเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่าง           Alternate-X สรุปให้       Jason Kwon ผู้บริหาร OpenAI เยือนไทยครั้งแรก แชร์มุมมองอนาคต AI ในงานเสวนาเอ็กซ์คลูซีฟ ‘AI LEAP: Turning Today’s Disruption into Tomorrow’s Advantage’ มีนักธุรกิจไทยกว่า 100 คนร่วม พร้อมมองแนวโน้ม AI Forum ไทยมีศักยภาพสูงในเวที AI จากการยอมรับและการใช้งาน ChatGPT ขณะที่ คนรุ่นใหม่คือกำลังหลักในการขับเคลื่อนนวัตกรรม AI  ที่กำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจและความคิดสร้างสรรค์ไทย

September 14, 2025 / 0 Comments
read more

กำลังซื้อไม่ได้แย่ ‘Shopee 9.9’ พุ่ง 1 ล้านออเดอร์ ใน 30 นาที ‘สกินแคร์’ No.1 สายช้อปเจนฯZ

BizKet

ช้อปปี้ สู่ปีที่ 10  แคมเปญดับเบิ้ลเดท ‘9.9’ ปีนี้มีสถิติน่าสนใจ ในเวลาไม่ถึง30 นาทีแรก มีคำสั่งซื้อทะลุ 1 ล้านออเดอร์ มี 3 กลุ่มสินค้าตัวท็อปครองใช้นักช้อปเจนฯซี     คงกฤช ล้อเลิศรัตนะ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจการตลาด ช้อปปี้ (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ระดับภูมิภาค เปิดเผยวว่า จากแคมเปญซิกเนเจอร์ช้อปปี้ ดับเบิลเดท (Double Date) ‘Shopee 9.9’ เข้าสู่ปีที่ 10 ในปี 2568  นี้ได้รับความสนใจจากลูกค้าต่อเนื่องทั้งจาก กลุ่มผู้บริโภค และ พันธมิตรธุรกิจร้านค้า ที่เข้าร่วมแคมเปญฯ   โดยในปีนี้ ช้อปปี้ ได้พัฒนาทั้งดีลคุ้มค่าประหยัดค่าใช้จ่าย, การจัดส่งที่ไวขึ้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักช้อปยุคใหม่ และเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังบนแพลตฟอร์ม ให้กับร้านค้าเพื่อช่วยเพิ่มยอดขาย และให้ผู้บริโภคเข้าถึงประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุด   “แคมเปญ 9.9 ปีนี้ ได้ความไว้วางใจอีกครั้ง ด้วยยอดคำสั่งซื้อทะลุ 1 ล้านออเดอร์ ในเวลาไม่ถึง 30  นาทีแรกของวันที่ 9  กันยายน 2568 สะท้อนพลังความไว้วางใจและเชื่อมั่นที่นักช้อปมีต่อ Shopee” คงกฤช กล่าว   ทั้งนี้ เป็นผลจากแนวทางการขับเคลื่อนโอกาสใหม่ ด้วยเครื่องมือการตลาดทรงพลัง เชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และครีเอเตอร์ ผ่าน Shopee Live, Shopee Video และ Shopee Affiliate Program ในฐานะแพลตฟอร์มให้ตอบสนองความต้องการผู้ใช้งานและเตรียมพร้อมสู่อนาคต   ขณะที่ Shopee Live : จุดหมายของนักช้อปสายไลฟ์ – ยังเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยผู้ขายดึงดูดผู้ชมและสร้างยอดขายแบบเรียลไทม์   “ในแคมเปญ 9.9 มีร้านค้าท้องถิ่นรายหนึ่งที่สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 29 เท่า และร้านค้าบน Shopee Live ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ขายสินค้ามากกว่า 100,000 ชิ้นภายในเวลาเพียง 1 นาที ของวันที่ 9 เดือน 9 จากการเสนอโปรโมชั่นพิเศษและการสาธิตสินค้าแบบไลฟ์สด ทำให้ผู้ขายสามารถเข้าถึงนักช้อปได้ใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” คงกฤช กล่าว         สำหรับ Shopee Video: เครื่องมือสร้างคอนเทนต์สั้นดึงดูดนักช้อป-เป็นฟีเจอร์สำคัญที่ช่วยผู้ขายและครีเอเตอร์สร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดใจด้วยความรวดเร็วและความบันเทิง ตอบรับกระแสการรีวิวและการนำเสนอสินค้าที่กำลังได้รับความนิยมสูง ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ   ทั้งนี้ จากแคมเปญ 9.9 ที่ผ่านมา ร้านค้ารายหนึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 13 เท่า ที่มาจาก Shopee Video สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักช้อปที่มีต่อฟีเจอร์วิดีโอ ซึ่งได้กลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ครบ คุ้มค่า และสนุกยิ่งขึ้น   โดยในช่วงแคมเปญ 9.9 ที่ผ่านมา Shopee Live และ Shopee Video กวาดยอดรับชมรวมกว่า 300 ล้านวิว สะท้อนพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนจากการเลือกซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว ไปสู่การเลือกรับชมคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ทั้งความบันเทิงและครบพร้อมในการตัดสินใจซื้อสินค้า   ขณะที่ Shopee Affiliate ดันยอดขายผ่านครีเอเตอร์ -กลายเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการซื้อขายออนไลน์ผ่านเครือข่ายครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ ที่ช่วยเสริมทั้งความน่าเชื่อถือและยอดขายให้กับผู้ขายและแบรนด์อย่างชัดเจน ในช่วงแคมเปญ 9.9 ที่ผ่านมา ช้อปปี้ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้ให้กับร้านค้าเครื่องประดับท้องถิ่นร้านหนึ่งจนมียอดขาย เติบโตขึ้นกว่า 800 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ   สำหรับ Shopee 9.9 ปีนี้ ยังมีจำนวนออเดอร์เติบโตขึ้นกว่า  9เท่า ในวันที่ 9 กันยายน เมื่อเทียบกับวันปกติ ขณะเดียวกัน นักช้อปจำนวนมากเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เข้าร่วมโปรแกรมโค้ดส่งฟรีและโค้ดส่งไว ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อผ่านสิทธิประโยชน์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นราว 13 เท่า ในช่วงระยะเวลาของแคมเปญ   ขณะที่ผู้ขายที่เข้าร่วมโปรแกรมกระตุ้นยอดขายอย่าง SHOPEE XTRA ต่างเห็นยอดขายเติบโตมากกว่าช่วงเวลาปกติถึง 6 เท่า   “ที่โดดเด่นคือการมีผู้ขายหน้าใหม่รายหนึ่งที่เข้าร่วม Shopee 9.9 เป็นครั้งแรกสามารถสร้างการเติบโตผ่านยอดคำสั่งซื้อได้มากกว่า 42 เท่าในวันที่ 9 กันยายน” คงกฤช กล่าว พร้อมเสริมว่า   จากการตอบรับแคมเปญ ‘Shoppee 9.9’ ย้ำการเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่นไทยอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ในฐานะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ครองใจนักช้อปชาวไทยด้วยแนวคิด ‘ครบ คุ้ม ไว การันตี ที่ช้อปปี้’ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Gen Z ซึ่งมองหาทั้งความครบครันและความคุ้มค่า ซึ่งในแคมเปญ 9.9 ที่ผ่านมา สินค้าที่กลุ่ม Gen Z เลือกช้อปมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่   สกินแคร์ดูแลผิว เครื่องสำอาง อุปกรณ์ซักผ้าและทำความสะอาด   “นอกจากนี้ ช้อปปี้ ยังมอบความคุ้มค่าในแคมเปญ 9.9 ที่ผ่านมา สำหรับโค้ดส่วนลดมูลค่ารวมสูงถึง 2 พันล้านบาท ช่วยให้นักช้อปประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งในการซื้อสินค้าบน Shopee และการสั่งอาหารผ่าน ShopeeFood ในวันดังกล่าว” คงกฤช เสริม   ขณะเดียวกัน ShopeeFood ยังมอบดีลล็อคราคา เริ่มต้น 9 บาทช่วยให้ผู้ใช้งานประหยัดเพิ่มขึ้นกว่า 20 ล้านบาท และสินค้าที่ขายดี 5 อันดับบน ShopeeFood ได้แก่   ชาไทย อเมริกาโน่ ชาเขียวนม ตำปูปลาร้า ไก่ทอด   นอกจากนี้ ช้อปปี้ ยังให้ความสำคัญด้านความไว ในการจัดส่งที่รวดเร็วเพื่อตอบรับจังหวะชีวิตยุคใหม่ในปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ ‘ความเร็วในการรับสินค้า’ ไม่แพ้ความสะดวกในการสั่งซื้อ โดยในแคมเปญ 9.9 ที่ผ่านมา Shopee สร้างสถิติใหม่ ส่งมอบสินค้าให้แก่นักช้อปภายในระยะเวลาเพียง 25 นาทีของวันที่ 9 เดือน 9  รวมถึงนำมาตรการ การันตีความปลอดภัย สินค้าแท้ 100% บน Shopee Mall พร้อมนโยบายคืนสินค้า 7-15 วัน       Alternate-X สรุปให้     Shopee สู่ปีที่ 10  แคมเปญ 9.9 สร้างสถิติออเดอร์ทะลุ 1 ล้านครั้งใน 30 นาทีแรก Gen Z เป็นกำลังซื้อหลัก โดยเฉพาะกลุ่มสกินแคร์ เครื่องสำอาง และสินค้าไลฟ์สไตล์ ส่วนเครื่องมือ Shopee Live และ Shopee Video ดันยอดขาย-ยอดวิวรวมกว่า 300 ล้านครั้ง ขณะที่ร้านค้าท้องถิ่น-ผู้ขายหน้าใหม่เติบโตหลายสิบเท่าจากการเข้าร่วมแคมเปญ สะท้อนอีคอมเมิร์ซไทยยังคึกคัก แม้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว

September 13, 2025 / 0 Comments
read more

วิถีใหม่คนไทย ปีนี้ภาพชัดแห่ขายฝาก ‘แบรนด์เนม’ แปลงสินทรัพย์-เติมสภาพคล่อง

BizKet

‘แบรนด์เนม มันนี่’ รีวิวธุรกิจครบ1 ปี มียอดสินเชื่อเกินเป้า 200 ล.บาท หลังเศรษฐกิจหน่วง ‘คนไทย’ ปล่อยแบรนด์เนมขายฝากพุ่ง ขอคืนกำไรลูกค้าลดดอกเบี้ย 0.88%   ปพน มนัสภากร  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ก่อตั้งบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด (Brandname Money) ผู้นำด้านบริการสินเชื่อเช่าซื้อและขายฝากแบรนด์เนม กระเป๋า นาฬิกา จิวเวลรี่ Luxury แห่งเดียวในประเทศไทย และสินเชื่อเช่าซื้อแบรนด์เนมแห่งแรกของโลก เปิดเผยว่าแบรนด์เนมมันนี่ ดำเนินธุรกิจมาครบ 1 ปี เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สามารถขยายพอร์ตการปล่อยสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง เกินเป้าหมาย       ล่าสุด สามารถปล่อยสินเชื่อได้กว่า 200 ล้านบาทแล้ว  แบ่งเป็น   สินเชื่อจำนำหรือขายฝากสินค้าแบรนด์เนม LUXURY วงเงิน 150 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อหรือผ่อนไป-ใช้ไปวงเงิน 30 ล้านบาท สินเชื่อผ่อนจบ-รับของ วงเงิน 20 ล้านบาท   “ในโอกาสครบรอบ 1 ปี เราได้จัดแคมเปญคืนกำไรให้ลูกค้าขายฝาก โดยลดดอกเบี้ยลงเหลือ 0.50% สำหรับเดือนแรก และบริการย้ายค่ายเป็นการย้ายการขายฝากจากที่เดิมมาฝากที่แบรนด์เนมมันนี่ โดยเราจะไถ่ถอนให้ฟรี”   ปพน กล่าวพร้อมเสริมว่า หากลูกค้าต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่าและเสียค่าปรับจากการผิดนัดชำระหนี้ในอัตราสูง หรือยอดที่ฝากไว้กับที่เดิมได้วงเงินต่ำต้องการเพิ่มวงเงินสภาพคล่อง สามารถย้ายมาขายฝากที่แบรนด์เนมมันนี่ ได้เช่นกัน รวมถึงยังให้บริการไปรับของถึงที่บ้านฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จากทีมรับของที่มีมาตรฐาน พร้อมอุปกรณ์กันกระแทก และประกันภัยสินค้า   ขณะเดียวกัน แบรนด์เนมมันนี่ ยังได้ทำแคมเปญร่วมกับพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์ ร้านขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองชั้นนำ โดยปัจจุบันเรามีพันธมิตรร้านค้าจำนวนมากกว่า 70 ร้านค้าทั่วประเทศที่ในออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ร้าน Bagnifique Brandname , SF Brandname, Clara Brandname ฯลฯ เพื่อกระตุ้นทั้งฝั่งคนขายและคนซื้อ ภายใต้ ecosystem ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์   ปพน กล่าววว่า “ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เพราะช่วงเศรษฐกิจไม่ดี คนจะนำแบรนด์เนมมาขายฝากเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องการใช้เงิน ต้องการสภาพคล่องทางการเงิน โดยเราเข้าถึงง่ายและรวดเร็วกว่าแหล่งเงินทุนอื่น ที่ต้องยื่นเอกสาร รอผลอนุมัติที่ต้องใช้เวลา แต่เราใช้เวลาพิจารณาสินเชื่อไม่ถึงชั่วโมง โอนเงินให้ได้เลย”   อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจดีขึ้น คนต้องการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น หากต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนม เรามีบริการสินเชื่อเช่าซื้อแบรนด์เนมทั้งของใหม่มือหนึ่งและมือสอง  โดยบริษัทมีระบบการบริหารจัดการความเสี่ยง พร้อมพัฒนาระบบ Risk  Management อย่างต่อเนื่อง ด้วยการอนุมัติที่รัดกุม ใช้เครดิตสกอร์ริ่ง และเกณฑ์พิจารณาสำหรับสินค้าแบรนด์เนมโดยเฉพาะ และมีทีมงาน Collection ติดตามหนี้ มีทีมงานกฎหมายที่เข้มแข็ง   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง  เศรษฐกิจซึม หนุนตลาดแบรนด์เนมมือสอง คนแห่ปล่อยของเติมสภาพคล่อง Brandname Money บอกแบรนด์เนมหรูไม่ใช่แค่ ‘ของมันต้องมี’ แต่เป็นการลงทุนของคนรุ่นใหม่   ปพน กล่าวต่อ ทิศทางและเป้าหมายธุรกิจแบรนด์เนม มันนี่ว่า แผนงานระยะกลาง ตั้งแต่ปี 2569–2571 บริษัทตั้งเป้าปูพรมขยายสาขาและจุดรับขายฝากแบรนด์เนมทั่วประเทศ  พร้อมพัฒนาระบบ Credit Scoring และ AI Risk Model สำหรับสินค้าแบรนด์เนม LUXURY โดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงินกับลูกค้า และเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงของธุรกิจ โดยตั้งเป้าวงเงินปล่อยสินเชื่อแบรนด์เนมให้ถึง 1,000 ล้านบาท ภายปี 2571   โดยบริษัทจะใช้กลยุทธ์ จากความเป็นผู้เชี่ยวชาญสินค้าแบรนด์เนม และมีความเข้าใจคนที่ใช้สินค้าแบรนด์เนมอย่างแท้จริง เพราะเราทราบดีว่า ของทุกชิ้นไม่ได้มีแค่ ‘มูลค่า’ แต่ยังมี ‘คุณค่า’ ทางจิตใจ  ดังนั้นผู้ที่มีสินค้าแบรนด์เนม แต่มีความจำเป็นหรือต้องการใช้เงิน-ขาดสภาพคล่อง โดยยังไม่ต้องการเสียของรักไป  แต่สามารถนำมาขายฝากกับแบรนด์เนมมันนี่ โดยบริษัทจะประเมินให้สินเชื่อในราคาตลาด ไม่กดราคาและคิดอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ส่วนผู้ที่ต้องการมีสินค้าแบรนด์เนมไว้ในครอบครอง ไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนอีกต่อไป สามารถใช้บริการสินเชื่อกับเราได้ ตามสโลแกนของแบรนด์เนมมันนี่คือ ‘ใครๆก็ใช้แบรนด์เนมได้’   จากแนวทางดังกล่าว บริษัทวางแผนระยะยาวตั้งเป้าหมายภายในปี 2573 จะระดมทุนกระจายขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน พร้อมเปิดโอกาสให้บริษัทในตลาดทุนร่วมลงทุน “ทิศทางธุรกิจของแบรนด์เนมมันนี่ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทมองโอกาสการระดมเงินทุนเพื่อนำมาขยายพอร์ตขยายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินเสนอวงเงินกู้ให้เรา และยังมีบริษัทมหาชนที่อยู่ในตลาดหุ้น สนใจเข้ามาขอร่วมทุนกับแบรนด์เนมมันนี่หลายราย แต่ทางเรายังไม่ได้มีการเจรจาหรือตอบตกลงกับรายใด”   ทั้งนี้ บริษัทฯ ต้องการเลือกพันธมิตร ที่มีความเข้าใจและมีวิสัยทัศน์ใกล้เคียงร่วมกันมากที่สุด ด้วยมองธุรกิจในระยาวมากกว่าการปล่อยสินเชื่อแบรนด์เนม แต่ขยายสู่การเป็นแหล่งเงินทุนหรือเป็นผู้สร้างสภาพคล่องทางการเงินให้กับคนรักแบรนด์เนมทั่วประเทศ           Alternate-X สรุปให้   แบรนด์เนม มันนี่ ปล่อยสินเชื่อครบ 1 ปี ยอดทะลุ 200 ล้านบาท ตั้งเป้าพอร์ตโตแตะ 1,000 ล้านบาท ปี 2571 ก่อนเข้าตลาดหุ้นปี 2573 ด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ ใช้กระเป๋า นาฬิกา และจิวเวลรี่แบรนด์เนม เป็นหลักประกันสินเชื่อ สะท้อนพฤติกรรมคนไทยมอง ‘ของหรู’ เป็น สินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ใช่แค่ของใช้เทรนด์ใหม่ที่ชี้ให้เห็นความต้องการสภาพคล่อง และการเข้าถึงแบรนด์เนมง่ายขึ้น

September 13, 2025 / 0 Comments
read more

ดุสิตธานี หลังไร้ ‘ศุภจี’ ตั้ง ‘ชนินทธ์ โทณวนิก’ นั่ง Group CEO มีผลทันที

BizKet

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568  ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 11/2568 โดยมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญระดับบริหารและคณะกรรมการบริษัท พร้อมประกาศจัดงานแถลงข่าวใหญ่ในช่วงบ่ายเพื่อเผยทิศทางธุรกิจบทใหม่   โดยที่ประชุมมีมติรับทราบการลาออกของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ จากตำแหน่งกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (Group CEO) ให้มีผลทันที เนื่อจากศุภจีต้องรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลอนุทิน 1   พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งนายชนินทธ์ โทณวณิก เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคนใหม่ เพื่อสานต่อยุทธศาสตร์การเติบโตของเครือดุสิตธานีทั้งในประเทศและต่างประเทศ   ที่ประชุมยังมีมติแต่งตั้งนายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการแทนนางศุภจี และแต่งตั้งนายสมประสงค์ บุญยะชัย เป็นกรรมการอิสระแทนนางนวลพรรณ ล่ำซำ ที่ลาออกไปก่อนหน้านั้น   นอกจากนี้ ยังมีการปรับอำนาจกรรมการผู้มีสิทธิ์ลงนามผูกพันบริษัท โดยกำหนดให้กรรมการ 3 คน คือ นายชนินทธ์ โทณวณิก, นางสินี เธียรประสิทธิ์ และนายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ลงนามร่วมกัน 2 ใน 3 คน พร้อมประทับตราบริษัท   หลังการแจ้งข่าวต่อกลต. หุ้น DUSIT ช่วงบ่ายเวลา 13.20 น. ปรับตัวขึ้นแรง 0.90 บาท หรือ 7.63% มาอยู่ที่ 12.70 บาท   ช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ บริษัทฯ ยังได้ออกหนังสือเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าว “ถึงความสำเร็จในปัจจุบัน สู่การสร้างสรรค์บทใหม่” ในวันเดียวกัน เวลา 13.30–15.30 น. ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โดยมีนายชนินทธ์ โทณวณิก ในฐานะรักษาการประธานกรรมการ และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ในฐานะซีอีโอ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและทิศทางการบริหารในอนาคต Alternate-X สรุปให้    ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ประกาศเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงทันที หลัง ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ ลาออกจากตำแหน่ง Group CEO เพื่อรับตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์ ที่ประชุมแต่งตั้ง ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ เป็น Group CEO คนใหม่ โดยในช่วงเช้าของวันที่ 12 ก.ย. หุ้น DUSIT พุ่งกว่า 7% หลังข่าวประกาศผู้บริหารชุดใหม่

September 12, 2025 / 0 Comments
read more

ส่งออกธรรมดา โลกไม่จำ ทำ ‘ข้าวเหนียวทุเรียนพร้อมเสิร์ฟ’ แพลททินัม ฟรุ๊ต แตกไลน์ใหม่

BizKet

PTF เล็งแผนส่งออกใหม่แตกไลน์ ‘ข้าวเหนียวทุเรียนพร้อมเสิร์ฟ’ ต่อยอดผลสดทุเรียน พรีเมี่ยมขยายตลาดใหม่ พร้อมปิดดีลใหม่ ‘ลำไยสด’ เข้ายุโรป     ณธกฤษ เอี่ยมสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลททินัม ฟรุ๊ต จำกัด (มหาชน) หรือ PTF ผู้ส่งออกผักและผลไม้สดเกรดพรีเมี่ยมแบบ One Stop Service เปิดเผยว่า ภาพรวมผลไม้ไทยในงาน Asia Fruit Logistica 2025 เวทีแสดงสินค้าผักและผลไม้สดอันดับหนึ่งของเอเชีย ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ว่า ปีนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 730 บริษัทฯ จาก 43 ประเทศทั่วโลก   โดยในส่วน  PTF เองได้มีโอกาสพบปะคู่ค้าชาติต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะฝั่งยุโรปเพื่อหารือขยายความร่วมมือในอนาคตซึ่งมีแนวโน้มการตอบรับเป็นอย่างดี   ขณะที่ สิ่งน่าสนใจจากงานปีนี้ คือ ผลไม้ไทยอย่างทุเรียนและลำไยยังได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการชาติต่างๆ เป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะลำไยช่อสดที่เป็นดาวรุ่งดวงใหม่ในตลาดยุโรป อาทิ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ ให้การตอบรับเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาบางชาติอาจไม่รู้จัก หรือ ไม่เคยชิม แต่เมื่อทดลองชิมลำไยสดเกรดพรีเมี่ยมที่เรานำไปจัดแสดงก็ชื่นชอบรสชาติ และด้วยอายุการเก็บรักษา (Shelf Life) ที่ค่อนข้างยาวช่วยลดอุปสรรคด้านการขนส่ง จึงต้องการนำเข้าไปทำตลาดในประเทศ     นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสามารถเพิ่มพอร์ตลูกค้ารายใหม่จากทางอินเดียเข้ามาด้วย โดยอยู่ระหว่างตกลงในรายละเอียดการซื้อขาย ซึ่งเป็นโอกาสที่แพลททินัม ฟรุ๊ต ได้รับและเป็นการบ้านที่ต้องกลับไปหาลำไยคุณภาพเพื่อรองรับตลาดใหม่เหล่านี้ให้เพียงพอมากขึ้นในอนาคต   “จากเดิมที่ตลาดหลักลำไยของแพลททินัม ฟรุ๊ต จะอยู่ที่อินโดนีเซียและจีนเป็นหลัก” ณธกฤษ กล่าว   พร้อมเสริมว่า สำหรับราชาผลไม้อย่างทุเรียนยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งให้ความเชื่อมั่นในรสชาติและคุณภาพหมอนทองไทย     โดยในงานฯ นี้ แพลททินัม ฟรุ๊ต ยังได้เจรจากับคู่ค้าเพื่อเตรียมเปิดตลาดใหม่ในอีกหลายมณฑลทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเพิ่มเติมด้วย   “ดีมานด์ของทุเรียนไทยในตลาดจีนเชื่อว่ายังเติบโตได้อีกมาก เพราะยังมีหลายพื้นที่ หลายมณฑลของจีนที่ทุเรียนไทยยังเข้าไปไม่ถึง ซึ่งเป็นโอกาสของทุเรียนไทย แต่เราต้องคง “คุณภาพและความปลอดภัย” เป็นสำคัญจึงจะสามารถเข้าไปเปิดตลาดเหล่านี้ได้” ณธกฤษ ย้ำ   นอกจากผลไม้สดแล้ว ภายในงานปีนี้ แพลททินัม ฟรุ๊ต ได้นำ “ข้าวเหนียวทุเรียนสำเร็จรูป” ผลิตภัณฑ์ไลน์ใหม่ Ready to eat ที่บริษัทฯ ได้ทำการวิจัยพัฒนาเข้าไปเปิดตลาด พบว่าได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีโดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าในยุโรป ที่มีความลงตัวทั้งในเรื่องรสชาติและกลิ่นของน้ำกะทิทุเรียน   อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง กินผลสดเชยแล้ว!! คนจีนฮิตทุเรียนแนวใหม่ เอาไปทำอาหารคาว-หวาน-เครื่องดื่ม   สำหรับ หัวใจสำคัญของแพลททินัม ฟรุ๊ต คือ นอกจากผลไม้ทุกลูกที่คัดจากสวนที่มีมาตรฐาน GAP และ Global GAP รับรอง ก่อนนำมาตรวจสอบคัดคุณภาพและความปลอดภัยตาม Global standard แล้ว บริษัทฯ ยังมีการลงทุนระบบโลจิสติกส์รูปแบบ One Stop Service ถือเป็นผู้ส่งออกผลไม้สดรายแรกของไทยที่ลงทุนระบบการขนส่งแบบ Cold chain เพื่อควบคุมอุณหภูมิตลอดเส้นทาง   โดยเริ่มตั้งแต่การ Load สินค้าที่ต้องคำนวณอุณหภูมิในตู้และจำนวนวันของการขนส่งในแต่ละจุด เพื่อรักษาคุณภาพความสดจากสวนจนถึงมือผู้บริโภค จึงช่วยสร้างความมั่นใจและการยอมรับให้กับลูกค้าในเรื่องการควบคุมคุณภาพและขนส่งสินค้าที่เที่ยงตรงแม่นยำ ปัจจุบันเรามีตลาดส่งออกผลไม้สดกระจายอยู่ทั้งในเอเชีย ยุโรป อาทิ สาธารณรัฐประชาชนจีน อินโดนีเซีย อินเดีย นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร ซึ่งเรายังคงมองหาโอกาสที่จะนำผลไม้ไทยไปปักธงบนตลาดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง   สำหรับผลดำเนินการธุรกิจย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีอัตราเติบโตเป็นบวกทุกปี (ข้อมูลล่าสุด ปี 2566)   ปี 2562 รายได้ 1,113,385,904.71 บาท กำไร 14,806,397.30 บาท คิดเป็น 1.33% ของรายได้ ปี 2563 รายได้ 1,293,674,549.88 บาท กำไร 25,254,338.54 บาท คิดเป็น 1.95% ของรายได้ ปี 2564 รายได้ 1,838,964,152.99 บาท กำไร 26,860,552.13 บาท คิดเป็น 1.46% ของรายได้ ปี 2565 รายได้ 3,060,627,528 บาท กำไร 46,173,306 บาท คิดเป็น 1.51% ของรายได้ ปี 2566 รายได้ 2,591,338,053 บาท กำไร 52,737,929 บาท คิดเป็น 2.04% ของรายได้   An AI-generated cover image by Google Gemini       Alternate-X สรุปให้     PTF เดินเกมบุกตลาดผลไม้โลก เปิดไลน์ใหม่ ข้าวเหนียวทุเรียนพร้อมเสิร์ฟ ต่อเนื่องจากผลไม้สดพรีเมี่ยม เจาะตลาดจีนและยุโรป พร้อมปิดดีลใหม่ ‘ลำไยสด’ เข้าสู่ยุโรป จากดีมานด์หลายประเทศให้การตอบรับดี ย้ำความพร้อมระบบโลจิสติกส์ Cold Chain คุมคุณภาพทุกขั้นตอน สร้างความเชื่อมั่น มุ่งขยายตลาดใหม่ต่อเนื่อง ตอกย้ำการเป็นผู้นำส่งออกผลไม้ไทย

September 11, 2025 / 0 Comments
read more

เสนาฯ ปลุกแรงซื้ออสังหาฯ ลุยต่อโซนรังสิต ‘ให้อยู่ก่อน กู้ทีหลัง’ ทำคอนโดแบรนด์ใหม่ ‘COZI’ 2 ทำเล  

BizKet

เสนา ดันยอดขายอสังหาฯ รวบ 13 โครงการโซนรังสิตย้ำแคมเปญ  ‘เฮ้ยยย!! อยู่ก่อน กู้ทีหลัง’ ดึง ‘ธอส. – กรุงไทย’ ให้ดอกเบี้ยพิเศษ แก้ปมลึกคนกรุงเทพฯยังอยากมีบ้านแต่กู้ผ่านยากจัง พร้อมเปิดอีกคอนโดแบรนด์ใหม่ COZI เจาะนิว เจนฯ   ‘อุมาพร ธัญลักษณ์ภาคย์’ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า บริษัทฯ วางแนวทางการตลาดในช่วง 4 เดือนสุดท้ายปีนี้ โดยมุ่งสื่อสารการตลาดผ่านประสบการณ์ให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายรับรู้และสัมผัสได้จริง ภายใต้แคมเปญเต็มรูปแบบ ‘เฮ้ยยย!! อยู่ก่อน กู้ทีหลัง’   โดยแคมเปญฯ จะครอบคลุมทุกช่องทาง ตั้งแต่การสื่อสารออนไลน์ กิจกรรมออน กราวด์ ที่ศูนย์การค้าในทำเลใกล้กับโครงการอสังหาฯ ของเสนา  เพื่อสร้างการเชื่อมต่อกับโครงการจริงไปจนถึงการสร้าง การมีส่วนร่วม (Engagement) บนโซเชียล มีเดีย ที่มีความสำคัญเท่า ๆ กัน ในปัจจุบัน   “อินไซด์การรับรู้ข้อมูลในวันนี้ ผู้บริโภคไม่ได้เลือกบ้านจากการเห็นเพียงครั้งเดียว แต่ต้องการข้อมูลที่หลากหลาย การเปรียบเทียบ และความมั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อ” อุมาพร กล่าว   นอกจากนี้ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเลือกที่อยู่อาศัย ที่แบรนด์ต้องนำมาคิดและออกแบบอย่างครบถ้วน อาทิ   สิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ความคุ้มค่าทางการเงิน การตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป   ขณะเดียวกัน เสนาฯ ยังได้กระแสตอบรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ โซนบางนา จากการพัฒนาสินค้าที่ตรงใจผู้บริโภคในแคมเปญ ‘เฮ้ยยย!! อยู่ก่อน กู้ทีหลัง’ ภายใต้โครงการ LivNex เช่าออมบ้าน เช่าเพื่อเป็นเจ้าของ นวัตกรรมทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อปลดล็อก ‘Pain Point’ ของคนไทยที่อยากมีบ้านแต่ยังไม่พร้อมกู้ธนาคาร   โดยโครงการฯ นี้ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรสถาบันการเงิน เพื่อให้คนไทยเข้าถึงการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ได้แก่   ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้คำปรึกษาและแนะนำบริการด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย กับสินเชื่อบ้าน 72 ปี ธอส. มอบอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรกเริ่มต้นเพียง 0.72% ต่อปี ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มอบข้อเสนอพิเศษ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ปีแรกเริ่มเพียง 2.20% และผ่อนสบายล้านละ 2,600 บาท/เดือน นาน 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่   “สิ่งที่ทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จ คือ ความเข้าใจเพนพอยต์ของคนรุ่นใหม่และครอบครัวที่อยากมีบ้าน แต่ติดปัญหาเรื่องการกู้สินเชื่อ LivNex จึงเข้ามาช่วยปลดล็อกความกังวล ด้วยการเปลี่ยนค่าเช่าเป็นเงินออมต่อยอดสู่การมีบ้านจริง” อุมาพร กล่าวพร้อมเสริมว่า “จากงานที่เมกา บางนา มีผู้สนใจจำนวนมาก ด้วยยอดจองมูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท และสร้างฐานลูกค้าใหม่ (Leads) รวมทุกช่องทางมากกว่า 2,000 ราย ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์”    นอกจากนี้ เสนาเตรียมโครงการบ้านและคอนโดคุณภาพมาให้เลือกกว่า 13 โครงการ ในโซนรังสิต เช่น   บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่ออกแบบเพื่อการอยู่อาศัยของครอบครัว   SENA VILLAGE บางกะดี – ติวานนท์ SENA VILLAGE รังสิต – ติวานนท์   คอนโดราคาจับต้องได้สำหรับคนเริ่มต้นทำงาน หรือครอบครัวเล็ก   SENA KITH พหลโยธิน – นวนคร SENA KITH รังสิต คลอง 4 SENA KITH รังสิต – ติวานนท์   SENA ECO TOWN รังสิต สเตชั่น ที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า   นอกจากนี้ ยังเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ COZI โครงการคอนโดมิเนียมดีไซน์ใหม่ 2 ทำเลศักยภาพ เพื่อตอบโจทย์คนเมืองรุ่นใหม่ คือ   COZI บีทีเอส สะพานใหม่ COZI รามอินทรา – คู้บอน   ทั้งนี้ จากการต่อยอดแคมเปญดังกล่าวที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต จะช่วยกระตุ้นยอดจองและขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเป้าหมายมูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาทที่วางไว้ตลอดแคมเปญ พร้อมตอกย้ำผู้นำที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) และเพื่อการอยู่อาศัยครบวงจรคุณภาพ พร้อมสร้างโอกาสและความมั่นคงให้คนไทยได้ก้าวสู่การมีบ้านจริงอย่างยั่งยืน     Alternate-X สรุปให้      เสนาฯ ลุยต่อยอดแคมเปญ ‘อยู่ก่อน กู้ทีหลัง’ บุกตลาดโซนรังสิต จับมือพันธมิตร ธอส.–กรุงไทย ปลดล็อกการมีบ้านง่ายขึ้น พร้อมเปิดตัวคอนโดแบรนด์ใหม่ COZI 2 ทำเลศักยภาพ จัดกิจกรรมใหญ่ที่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 11–17 ก.ย. นี้  ตั้งเป้ายอดขายรวมกว่า 200 ล้านบาท จากแคมเปญ

September 11, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดแรงงานเข้าสู่ ยุค5 คนทำงานจะเป็น ‘ไซบอร์ก’ ทักษะใหม่ต้อง ‘Prompt AI’ ให้เก่ง

BizKet,  EcoVative

ในงาน ‘The Next HumAnIty กำกับอนาคต AI กำหนดอนาคตสังคม’ จัดโดย ศูนย์คุณธรรม เมื่อวันที่  10 กันยายน 2568 พร้อมด้วยเหล่า ‘กูรู’ ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในบริบทการใช้ชีวิตยุคดิจิทัล   โดยเฉพาะการเข้ามามีบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะพลิกโฉมการทำงานในอนาคต สะท้อนผ่านเวทีเสวนา ‘at Work นิยามใหม่ของคน และงานในยุค Al’ จาก ‘แทนพงศ์ สุคนธ์พานิช’  Chief Product Officer of FutureSkill และ  ปฤณ จำเริญพานิช Co-Founder & CEO of AEIOU   ‘แทนพงศ์’ เกริ่นถึงการเข้ามาของเอไอ ในวันนี้ คือ จุดเริ่มของ ‘ทักษะ’ ใหม่ของผู้คน ที่ปรับเอามาใช้ในชีวิตการทำงานแต่ละวัน ในฐานะผู้ช่วยมนุษย์ จากความสามารถของเอไอ ที่ถนัดในการทำงานประจำ (Routien) เดิมๆ ซ้ำๆ แต่ขณะเดียวกันเอไอ จะเรียนรู้เพิ่มขึ้นจากการรับคำสั่งจากมนุษย์ที่ป้อนให้ในแต่ละทาสก์ (Task)   ดังนั้น ‘มนุษย์’ สามารถใช้ความเก่งของเอไอที่มีอยู่หลากหลายในปัจจุบัน มาจัดลำดับการทำงาน Workflow ให้กระจายทาสก์ ออกไปไปยังความถนัดของแต่ละเอไอที่มีอยู่ในตลาด เพื่อสร้างผลลัพธ์การทำงานให้มีคุณค่ามากขึ้น   “การใช้งานเอไอจากนี้ไปจะเป็นการต่อยอดแวลูงานรูทีน แต่ใช้แรงงานคนลดลง เช่น ในงานการตลาด คนจะมีหน้าที่ดราฟต์งานคอนเทนต์ หรือ แคมเปญ แล้วให้เอไอไปทำต่อ แต่เสร็จแล้วต้องเอามาปรับแต่งเพิ่มให้มีความสมบูรณ์ เรียกว่าอนาคตคนทำงานจะเป็นไซบอร์ก คือ มนุษย์ครึ่งหนึ่งเอไอครึ่งหนึ่งที่ต้องทำงานร่วมกัน” แทนพงศ์ กล่าว   พร้อมเสริมว่าในปัจจุบัน จะเห็นนักการตลาดในหลายองค์กรต่างใช้เอไอ เข้ามาร่วมสำรวจข้อมูล พฤติกรรมผู้บริโภค ไปจนถึงวิเคราะห์แคมเปญการตลาดของคู่แข่งได้แล้ว   ‘แทนพงศ์’ กล่าวว่าความน่าสนใจของเอไอ คือการเข้ามาจัดระเบียบโลกใหม่ในการทำงาน จากปัจจุบันจะเห็นว่า เอไอช่วยผลักดันองค์กรไปสู่ระดับร้อยล้าน พันล้านบาทได้ในเวลารวดเร็ว ด้วยการใช้พนักงานหลัก 10-20 คนที่แตกต่างไปจากในอดีตที่ต้องใช้พนักงานราวหลักร้อยถึงพันคนในองค์กรขนาดใหญ่   “เอไอจะมีความเก่งงานสเกลและสปีดอความไวที่ทำได้รวดเร็วกว่า ขณะที่มนุษย์ ยังแข็งแกร่งในด้านจิตใจ การคิดเชิงกลยุทธ์ หรือการวิเคราะห์แยกแยะข้อมูลอยู่” แทนพงศ์ เสริม       ‘เอไอ’ ขับเคลื่อนการทำงานยุค5     ด้าน ปฤณ กล่าวว่า สถานการณ์การเข้ามามีบทบาทของเอไอ เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุค 5 ของการเปลี่ยนอาชีพการทำงานครั้งใหญ่ โดยในอนาคตจะมีแผนกใหม่ ฝ่ายสนับสนุนเอไอ ‘AI Support’ เกิดขึ้น เพื่อเข้ามาบริหารจัดการงานเอไอ องค์กร   “การเข้ามาของเอไอ คือ ต้องเพิ่มโปรดักทิวิตีการทำงานได้มากขึ้น ซึ่งคนหรือแรงงานอนาคตจะต้องมีทักษะการใช้เอไอ เพื่อช่วยย่นระยะเวลาได้ด้วยหนึ่งคนเสร็จงาน จาก 5 เวิร์กโฟลว์เดิม ได้ภายในหนึ่งชั่วโมงหรือในหนึ่งวัน” ปฤณ ย้ำ   พร้อมยกภาพให้เห็นชัด การทำงานทั้ง 5 ยุคที่ผ่านมา   ในช่วงปี 2010s-2020s จากกระบวนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ เอไอ (Al Transformation Era) จากเวิร์กโฟลว์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยปรับแต่งการทำงานและปรับขนาดการดำเนินงานยุคสมาร์ทโฟน ในช่วงปี 1990s-2010s เวิร์กโฟลว์แบบเครือข่ายได้เปลี่ยนโฉมการประสานงาน ผ่านการสื่อสารแบบเรียลไทม์ และยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ในช่วงปี 1980s-1990s เป็นยุคแห่งเครื่องจักร มีการแปลงดิจิทัลมาช่วยให้ประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น และกระจายงาน ในช่วงต้นศตวรรษที่19 เป็นยุคอุตสาหกรรมการใช้เครื่องจักรปฏิวัติเวิร์กโฟลว์ ช่วยลดเวลาในการส่งออก     “การทำงานยุคเอไอที่มีหลากหลายความสามารถที่แตกต่างกันออกไป จะเป็นผู้ช่วยมนุษย์ในรูปแบบ 1 คนต่อ 5 เอไอ ซึ่งทักษะใหม่ที่ต้องการในอนาคต คือ การบริหารจัดการด้านเอไอ และการป้องคำสั่ง หรือ เอไอ พร้อมต์ ที่มีประสิทธิภาพจริงๆ” ปฤณ กล่าว   อย่างไรก็ตามต่อข้อกังวล ‘เอไอ’ จะเข้ามาแทนที่มนุษย์โดยสมบูรณ์แบบหรือไม่ในอนาคตนั้น ปฤณ บอกว่า จะเป็นความท้าทายของทักษะผู้ใช้เอไอมากกว่า โดยวัดจาก ‘ผลลัพธ์’ (Out Put) ที่ออกมา โดยสามารถสังเกตได้ว่า แม้จะใช้เอไอตัวเดียวกันแต่คำตอบที่ได้รับอาจแตกต่างกันออกไป   “นั่นเป็นเพราะประสบการณ์จากผู้ใช้งานหรือผู้ปฎิบัติหน้าที่นั้น ๆ ที่มีคลังความรู้แตกต่างกันออกไป ทำให้มีประสบการณ์ป้อนชุดคำสั่ง หรือ เอไอ พร้อมต์ ได้ ไม่เหมือนกัน”   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง  จุฬาฯ เปิดคณะใหม่ ‘Extension School’ รับยุค AI เน้นเรียนรู้ตลอดชีวิต Open House ก.ย. 68     ขณะที่หลักการทำงานชุดนี้ ยังตอบคำถามได้ดีถึงความกังวลของกระแสรีไทร์เมนต์ในคนทำงานอายุ 45 ปีในปัจจุบันที่กำลังจะจะถูกแทนที่ด้วยเอไอ ซึ่งจะพบว่าแรงงานในแต่ละเจนฯ คือ คนรุ่นใหม่มีความคล่องแคล่วในการใช้เอไอเป็นเครื่องมือ แต่ในคนรุ่นเก่า จะมีทักษะการใช้ชุดคำสั่งเอไออย่างครอบคลุม ที่ได้จากประสบการณ์มากกกว่า   ปฤณ ย้ำกว่า การเข้ามาของเอไอ จะเปลี่ยนโฉมเวิร์กโฟลว์การทำงานในอนาคตอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่มนุษย์ในด้าน ความไว้วางใจ ความน่าเชื่อถือ รสนิยม และ จินตนาการ ได้   พร้อมทิ้งท้าย คำพูดของ ‘มุสตาฟา ซูเลย์แมน’ ซีอีโอของไมโครซอฟท์ ว่า “AI is a new kind of ‘digital species’ as our ‘new partners’ rather than just a tool, AI เป็นชนิดใหม่ของ ‘สายพันธุ์ดิจิทัล’ ในฐานะ ‘คู่หูใหม่’ ของเรา แทนที่จะเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น     An AI-generated cover image by Google Gemini       Alternate-X สรุปให้     งานเสวนา The Next Humanity ชี้ให้เห็นบทบาทสำคัญของ AI ต่ออนาคตสังคมและการทำงาน โดยผู้เชี่ยวชาญเผยว่า AI จะช่วยจัดลำดับเวิร์กโฟลว์ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบก้าวกระโดด โดย เอไอ ถูกยกให้เป็นผู้ช่วยมนุษย์ในงานรูทีน พร้อมเปิดโอกาสให้คนโฟกัสงานเชิงกลยุทธ์ ขณะที่ การทำงานอนาคตจะเป็นการผสานมนุษย์และ AI ในรูปแบบ ‘มนุษย์ครึ่งหนึ่ง เอไอครึ่งหนึ่ง’        

September 11, 2025 / 0 Comments
read more

งานแฟร์ของอร่อย ดึงทราฟฟิกเข้าห้างฯ ตลอดไป ‘เมกา บางนา’ ยึดฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออก

Peace&Play,  WeView

‘เมกาบางนา’ ย้ำพื้นที่แหล่งรวมอาหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพฯ ตะวันออก กลยุทธ์ดึงสายช้อปทุกเจนฯ ด้วยแคมเปญช้อปยังไงให้อร่อยด้วย   วรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา แหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดฝั่งกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก เปิดเผยว่า ศูนย์การค้าเมกาบางนา ย้ำตำแหน่งแหล่งช้อปปิ้งใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ด้วยแนวคิด YOUR EVERYDAY MEETING PLACE ด้วยกิจกรรมการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกเจนเนอเรชัน   โดยเฉพาะการสร้างจดจำ ‘เมกา บางนา’ ในตำแหน่งหมุดหมายปลายทางร้านอาหาร ‘FOOD DESTINATION’ ของกรุงเทพฯ ตะวันออก จัดแคมเปญ “MEGA FOODIE WONDERLAND” ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 กันยายน 2568 รองรับสายชิมสายช้อปเข้าสู่โลกแห่งความอร่อยสุดมหัศจรรย์ จากร้านอาหารหลากหลายสไตล์ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ตะวันตก คาเฟ่ และของหวาน   “ในงานฯ นี้รวมร้านอาหารแบรนด์ดังกว่า 200 ร้าน มาเอาใจทุกไลฟ์สไตล์ความอร่อยในที่เดียว” วรรณวิมล กล่าว พร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ ยังมีไฮไลต์สุดพิเศษ โดยนำคะแนนเมกา สไมล์ รีวอร์ดส 120 คะแนน แลกรับฟรี! ‘MEGA YUMMY BOX X MILLIONSMONSTER’ กล่องเก็บความอร่อยลายพิเศษ ผลิตจำนวนจำกัด (Limited Edition) ออกแบบโดย ‘AnOfficerDies’ หรือ กอล์ฟ – ฐิติภูมิ เพ็ชรสังข์ฆาต ศิลปินนักวาดภาพประกอบชื่อดังเจ้าของลายเส้น ‘Millionsmonster’ โดยแคมเปญ ‘MEGA FOODIE WONDERLAND’ สมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส เตรียมรับความคุ้มค่าแบบจัดเต็มกับสิทธิพิเศษมากมาย เพียงรับประทานอาหารหรือช้อปปิ้งครบตามเงื่อนไข แลกรับ MEGA VOUCHER ได้ทันที   แลกรับฟรี! MEGA VOUCHER มูลค่า 100 บาท เมื่อรับประทานอาหารครบ 2,500 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ แลกรับฟรี! MEGA VOUCHER มูลค่า 200 บาท เมื่อรับประทานอาหารหรือช้อปปิ้งครบ 20,000 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ (ยกเว้นหมวด Home & Decor และ IT) แลกรับฟรี! MEGA VOUCHER มูลค่า 300 บาท เมื่อช้อปในหมวด Home & Decor และ IT ครบ 50,000 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ   นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำความเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารอย่างแท้จริง เมกาบางนามอบสิทธิพิเศษระดับเอ็กซ์คลูซีฟให้สายกินและนักช้อป สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตกรุงศรี และ บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน กับแคมเปญ ‘ช้อป กิน ฟิน คุ้ม ที่เมกาบางนา” รับสิทธิพิเศษสูงสุดถึง 3 ต่อ   ต่อที่ 1 รับส่วนลดสูงสุด 60%* จากร้านค้าแบรนด์ดังและร้านอาหารมากมายที่ร่วมรายการในเมกาบางนา ต่อที่ 2 กิน 1,000 บาท คืนสูงสุด 200 บาท* เมื่อรับประทานครบ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป (เฉพาะร้านอาหารที่ร่วมรายการ) ต่อที่ 3 รับ MEGA VOUCHER สูงสุด 300 บาท* เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมหมวดร้านอาหาร หรือหมวดช้อปปิ้ง 2,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป รับ MEGA VOUCHER มูลค่า 100 บาท   *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี   วรรณวิมล กล่าวว่า สำหรับผู้สมัครสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส ระหว่างวันที่ 1 – 30 กันยายน 2568 ยังได้รับฟรีเมนูพิเศษหรือส่วนลดเอ็กซ์คลูซีฟ ร่วมสัมผัสประสบการณ์ความคุ้มค่าของการกินและช้อปปิ้งภายในเมกาบางนา จากร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการกว่า 10 แบรนด์ ทั้งสายกินและสายแฟชั่นไลฟ์สไตล์ อาทิ   BINCHO BONCHON EASY BUDDY GUSS DAMN GOOD SMITH & CO., BLUE ELEPHANT H&M MATCHBOX POWER BUY ZARA   นอกจากนี้ ยังร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัลฟรี! เพียงสมัครสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส พร้อมแสดงใบเสร็จ (ไม่มีขั้นต่ำ) หรือใช้คะแนนเพียง 10 คะแนน รับสิทธิ์เล่นเกมลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษ อาทิ  IKEA VOUCHER มูลค่า 100 บาท, GIFT VOUCHER มูลค่า 100 บาท จาก ร้านหยกสด, คูปองส่วนลดเครื่องดื่ม 15% จาก STARBUCKS (เมื่อซื้อสินค้าราคาปกติ) บัตรร้องคาราโอเกะฟรี 1 ชั่วโมง มูลค่า 600 บาท หรือ บัตรเล่นโบว์ลิ่งฟรี 1 เกมส์ มูลค่า 200 บาท จาก BLU O RHYTHM & BOWL สามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 6-7, 13-14, 20-21 และ 27-28 ก.ย. 68 ณ บริเวณบูธกิจกรรม ชั้น 1 โซนบิ๊กซี   ทั้งนี้ เมกาบางนา ขอเชิญชวนสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส ร่วมเปิดประสบการณ์ความสดชื่นในแคมเปญ “MEGA BREW-LAND” เพลิดเพลินไปกับเสน่ห์ของชา หลากหลายรสชาติ ทั้ง ชาผลไม้ ชาญี่ปุ่น หรือชาไทย ที่พร้อมเติมพลังและรีเฟรชความสุขได้ทุกวัน เพียงใช้คะแนนตามที่กำหนด แลกรับฟรี! เครื่องดื่มสุดพิเศษจาก 12 ร้านคาเฟ่ชั้นนำที่ร่วมรายการ ได้แก่ ALTO COFFEE ROASTERS, AU BON PAIN, FUKU MATCHA, GAGA, INTHANIN, JIANCHA, KYO ROLL EN, O-LI-NO CREPE & TEA, TP TEA, TWIN MADE, WARABIMOCHI KAMAKURA และ ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน ระหว่างวันที่ 1 – 30 กันยายน 2568 เฉพาะสาขาที่ศูนย์การค้าเมกาบางนาเท่านั้น              

September 11, 2025 / 0 Comments
read more

คนไทย ติด ‘ท็อป10’ ลงทุนซื้อทองคำเก่งสุดในโลก ‘YLG’ บอกปีนี้ลุ้นทองไทยแตะ 5.6 หมื่นบ.

BizKet

วายแอลจี บอกสถิติปี67 คนไทยติดท็อป 10 ของโลก และท็อป 4 ของเอเชีย ซื้อทองคำต่อเนื่องปี 2568 ความต้องการพุ่งกว่าเดิมหลังพบครึ่งปีแรก ดีมานด์ทองคำเพื่อบริโภคแตะ20.7 ตัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน21%   พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ทิศทางความต้องการทองคำในประเทศไทยปี 2568 ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 ที่มีความต้องการทองคำของไทยเพื่อการบริโภค (ไม่รวมอุปสงค์จากธนาคารกลาง) สูงถึง 49 ตัน เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตราการเติบโต 13% นี้ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในโลกในปี  2567 ส่งผลให้ช่วงดังกล่าวความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคของไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก และอันดับที่ 4 ของเอเชีย   โดย ประเทศไทยถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 ปี นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในปี พ.ศ. 2564 – 2567 ขณะเดียวกันปี 2568 ภาพรวมครึ่งปีแรกความต้องการทองคำเพื่อบริโภคของไทยอยู่ที่ 20.7 ตัน เติบโต 21 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงคาดการณ์ว่าทิศทางการเติบโตของไทยปีนี้ทั้งปีจะไม่ต่ำกว่าปี 2567 แน่นอน   โดยเฉพาะความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน เนื่องจากทิศทางทองคำปีนี้ยังมีแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน แม้ว่าล่าสุดจะทำจุดสูงสุดใหม่ทะลุ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ไปแล้ว แต่ยังมีโอกาสขึ้นไปหาเป้าหมายระดับบนที่ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์   ขณะที่ทองคำแท่งในประเทศมองว่าภายในสิ้นปีนี้มีโอกาสแตะระดับ 56,000 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งถือว่าไม่หวือหวามากเนื่องจากค่าเงินบาทในระยะนี้กลับมาแข็งค่า   นักลงทุนไทย 97% ลงทุนทองคำ   อย่างไรก็ดีจากการสำรวจล่าสุดพบว่านักลงทุนไทย 100% มีจำนวน 97% ที่ลงทุนในทองคำ ในกลุ่มนี้มี 20% ที่เข้ามาลงทุนทองคำโดยที่ไม่เคยซื้อทองคำมาก่อน และมี 77% ที่ลงทุนทองคำโดยที่เคยซื้อทองคำมาแล้ว ขณะเดียวกันมีเพียง 3% ที่ไม่คิดลงทุนและซื้อทองคำ โดยให้เหตุผลว่าความรู้และความสามารถในการซื้อมีจำกัด รวมถึงไม่ทราบถึงทางเลือกการลงทุนทองคำที่จับต้องได้และราคาไม่แพง   รวมถึงนักลงทุนทองคำเกือบครึ่งหนึ่งกังวลเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ทองคำ เช่น สินค้าปลอม และ กังวลเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ที่ไม่มีการรับประกันความปลอดภัย รวมถึงกังวลด้านการเก็บรักษาทองคำให้ปลอดภัย   ตั้งองค์กรคุมขายทองออนไลน์   จากปัญหาและความกังวลดังกล่าวคณะกรรมการสมาคมผู้ค้าทองคำจึงได้ร่วมมือกันแต่งตั้งองค์กรกํากับดูแลการดําเนินงานกิจการค้าทองออนไลน์ในประเทศไทย (SRO) ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแลตนเอง มีคณะอนุกรรมการด้านการซื้อขายทองคำออนไลน์จำนวน 7 คน วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ดำรงตำแหน่งสูงสุด 2 วาระติดต่อกัน   โดยจะคัดเลือกจากนิติบุคคลไทยที่มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาทขึ้นไปที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการค้าทองคำออนไลน์และมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ความเป็นเจ้าของ ซึ่งความร่วมมือในการก่อตั้ง SRO นี้ ถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมทองคำให้เกิดความโปร่งใสและเป็นมาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการรักษาความซื่อสัตย์สุจริต การรับรองราคาที่โปร่งใสและเป็นธรรม ปกป้องข้อมูลลูกค้าและความปลอดภัยของระบบ หลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้เข้าใจผิดหรือผิดกฎหมาย   นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์และราคาอย่างชัดเจน รวมถึงส่งเสริมกิจกรรมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ส่งเสริมความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำออนไลน์ มุ่งสร้างความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น และมาตรฐานตลาด เพื่อให้ทั้งผู้ซื้อหรือผู้ขายได้ประโยชน์จากมาตรฐานความโปร่งใสที่ SRO สร้างขึ้น การรณรงค์การมีส่วนร่วมในการสร้างความโปร่งใสของสมาชิก มีช่องทางร้องเรียนและการประเมินสมาชิก สร้างระบบนิเวศการซื้อขายทองคำที่น่าเชื่อถือและยืดหยุ่น รับรองการคุ้มครองผู้บริโภคและความเชื่อมั่นในระยะยาว สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับสากลเพื่อการกำกับดูแลที่ยั่งยืนส่งเสริมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องผ่านการศึกษาและนวัตกรรม   ส่วนนักลงทุนที่สนใจลงทุนกับ YLG สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆผ่านแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold โทร. 0-2678-9888 #2       Alternate-X สรุปให้   คนไทยติดอันดับ Top 10 ของโลก และ Top 4 ของเอเชีย ด้านการซื้อทองคำ ในปี 2567 ความต้องการทองคำในไทยพุ่ง 13% สูงที่สุดในโลก ขณะที่ครึ่งปีแรก 2568 ความต้องการทองคำเพื่อบริโภคแตะ 20.7 ตัน โตอีก 21% ด้านสมาคมผู้ค้าทองคำตั้งองค์กรกำกับขายทองออนไลน์ (SRO) เพื่อสร้างความโปร่งใส โดยนักลงทุนไทยนิยมทองคำ 97% และมีแพลตฟอร์ม YLG ที่เริ่มลงทุนได้เพียง 100 บาท      

September 10, 2025 / 0 Comments
read more

แกร็บฟู้ด บอก ‘ทาร์ตไข่’ ยอดสั่งโตพุ่ง80% ดึง ‘YOLK’ ทำโปรเจกต์พิเศษ

BizKet

แกร็บฟู้ด เผยเทรนด์ขนมหวาน ทาร์ตไข่ มาแรงจัด ครึ่งแรกปี68 ยอดขายพุ่ง 80% มีร้านใหม่เข้ามาเปิดขายบนแพลตฟอร์มโตเกือบ3 เท่ากว่า 11,000 ร้าน   จิรกิตติ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเดลิเวอรี แกร็บ ประเทศไทย ผู้ให้บริการซูเปอร์แอปพลิเคชั่น แกร็บ (Grab) เปิดเผย นับจากปลายปีที่ผ่านมา กระแสเมนูของหวาน ‘ทาร์ตไข่’ ขยายตัวในกลุ่มลูกค้าชอบทดลองประสบการณ์ใหม่ๆ หรือ ‘เออร์ลี อด็อปเตอร์’ (Ealrly Adopter)ต่อเนื่อง ผลักดันให้มียอดขายในครึ่งแรกของปีนี้ (มกราคม – มิถุนายน 2568) ผ่านช่องทางแกร็บ เติบโตกว่า 80% และมีจำนวนร้านขายทาร์ตไข่เข้ามาในแพลตฟอร์ม เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า รวมกว่า 11,000 ร้าน   จากกระแสดังกล่าว ‘แกร็บ’ ใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านความร่วมมือ (Collaboration Marketing)ล่าสุดร่วมกับ ‘YOLK’ แบรนด์ทาร์ตไข่สเปเชียลตี้ยอดนิยมของไทย นำเสนอโปรเจกต์พิเศษ ‘Proudly, Made in Thailand’ ดึง 4 แบรนด์อาหาร-เครื่องดื่มไทยชื่อดัง พัฒนาเมนูคอลแลบส์ 4 รสชาติพิเศษ ให้บริการถึงสิ้นเดือนตุลาคม นี้ ให้สั่งได้ผ่านบริการ Grab เดลิเวอรี เท่านั้น   “ทาร์ตไข่ เป็นเมนูขนมอบที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทย โดย YOLK ร้านขายทาร์ตไข่สเปเชียลตี้ ถือเป็นแบรนด์ไทยที่ปลุกความนิยมจนกลายเป็นเมนูไวรัลและสร้างปรากฏการณ์ทาร์ตไข่ฟีเวอร์ โดยได้กระแสตอบรับที่ดีในโลกโซเชียล จนมียอดขายถล่มทลายทั้งหน้าร้านและเดลิเวอรี” จิรกิตติ์ กล่าว   สำหรับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ 4 แบรนด์สัญชาติไทยในโปรเจกต์ล่าสุดนี้ ยังถูกการันตีคุณภาพและความอร่อยจาก #GrabThumbsUp โดยแกร็บร่วมเชื่อมโยงร้านดังที่มีเมนูฮิตบนแพลตฟอร์ม พร้อมสนับสนุนการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ จากแบรนด์ไทย เพื่อตอบโจทย์กลุ่มฟู้ดดี้ (Foodie) ‘สายกิน’ ที่มองหาความแปลกใหม่อยู่เสมอ   โดยโปรเจกต์ ‘Proudly, Made in Thailand’ นี้ ยังได้สร้างสรรค์ทาร์ตไข่ 4 รสชาติพิเศษที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ ได้แก่   ทาร์ตไข่ซุปทรัฟเฟิลชีสน้ำผึ้ง (Truffle Honey Cheese) ร่วมกับแบรนด์ร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่เน้นผักออแกนิกอย่าง โอ้กะจู๋ ทาร์ตไข่กาแฟเดอร์ตี้โมจินมสด (Dirty Coffee & Fresh Mochi) ร่วมกับร้านกาแฟสเปเชียลตี้ในย่านทรงวาดอย่าง โรงคั่วกาแฟทรงวาด (Songwat Coffee Roasters) ทาร์ตไข่สังขยาใบเตยน้ำตาลโตนด (Pandan Custard & Palm Sugar Caramel) ร่วมกับร้านขนมไทยร่วมสมัย แก้วบูทีค ทาร์ตไข่ครีมชีสเจลลี่องุ่น (Kyoho Grape Jelly & Cream Cheese) ร่วมกับร้านเครื่องดื่ม เจี้ยนชา (JIANCHA)   โดยทั้ง 4 รสชาติพิเศษวางจำหน่ายที่ร้าน YOLK ทุกสาขา และช่องทางเดลิเวอรี สั่งได้เฉพาะที่ Grab จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม         ด้าน ‘สาริน รณเกียรติ’ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ร่ำรวยที่สุด จำกัด ในเครือ เดอะ ฮอลิเดย์ กรุ๊ป เจ้าของแบรนด์ YOLK เผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้ได้ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ในรูปแบบของทาร์ตไข่ทั้ง 4 รสชาติ สะท้อนผ่านโปรเจกต์ ‘Proudly, Made in Thailand’ ของแบรนด์ไทยรุ่นใหม่ ที่ตั้งใจนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ผ่านเมนูอาหาร โดยมีแกร็บฟู้ดเป็นพันธมิตรสำคัญ ในฐานะเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ สำหรับบริการเดลิเวอรีนับตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน   “ปัจจุบัน YOLK มีสัดส่วนยอดขายผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรีถึง 25% ซึ่งช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ขณะเดียวกันข้อมูลเชิงลึกจากแพลตฟอร์มยังช่วยให้เราสามารถวางแผนกลยุทธ์และต่อยอดธุรกิจจากความต้องการของตลาดได้จริง” สาริน กล่าว   พร้อมกันนี้ ‘YOLK’ ยังได้พัฒนาและนำเสนอรสชาติใหม่ๆ นอกจากรสชาติออริจินัล เพื่อสร้างสีสันให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทาร์ตไข่มัทฉะโมจิสด ที่ร่วมกับแบรนด์ชาเขียวอย่าง MTCH หรือ ทาร์ตไข่วานิลลาจาก 3 สายพันธุ์ ที่ร่วมกับแฟลกชิปแบรนด์อย่าง HOLIDAY PASTRY จนมาถึงจนมาถึงโปรเจกต์ล่าสุดนี้         Alternate-X สรุปให้    แกร็บฟู้ด เผยเมนู ทาร์ตไข่ กำลังมาแรง ครึ่งแรกปี 2568 ยอดขายโต 80% มีร้านใหม่เพิ่มกว่า 11,000 ร้าน จากกระแสถูกขับเคลื่อนโดยแบรนด์ดัง YOLK ที่ทำให้ทาร์ตไข่กลายเป็นเมนูไวรัลและสร้างฟีเวอร์ทั่วโซเชียล ล่าสุด Grab ร่วมกับ YOLK เปิดโปรเจกต์ Proudly, Made in Thailand คอลแลบส์ 4 แบรนด์ไทยพัฒนาเมนูใหม่ นำเสนอทาร์ตไข่ 4 รสชาติพิเศษ เช่น ทรัฟเฟิลชีส–สังขยาใบเตย–เจลลี่องุ่น ให้สั่งผ่าน Grab เดลิเวอรีเท่านั้น โดยการจับมือครั้งนี้สะท้อนกลยุทธ์ Collaboration Marketing เชื่อมแบรนด์ไทยเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล ตอบโจทย์สายฟู้ดดี้

September 10, 2025 / 0 Comments
read more

‘CTM’ แบรนด์ลูก ‘ชาตรามือ’ มาเพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ เข้าสู่ยุคชาไทย…ไม่(ใส่)สีส้ม

BizKet

‘ชาตรามือ’ (ChaTraMue) ปัจจุบันมีอายุกว่า 80 ปี มีจุดเริ่มต้นในปีพ.ศ. 2488 หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด จากครอบครัวคนจีนเชื้อสายแต้จิ๋วที่อพยพเข้ามาในไทยและนำเข้าชาจากจีนมาตั้งแต่รุ่นแรก ๆ   โดยที่มาแบรนด์ ‘ตรามือ’ มาจากโลโก้รูป ‘มือกำถ้วยชา’ ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ตั้งแต่ยุคแรก เพื่อบ่งบอกถึงคุณภาพและความจริงใจ ซึ่งมักจะมีคำว่า Number One Brand กำกับด้วย   พัฒนาการกิจการ   จากเดิม ชาตรามือ เป็นธุรกิจจำหน่ายใบชาแบบขายส่ง–ขายปลีกในย่านสำเพ็ง ก่อนต่อยอดเป็นชาไทยสำเร็จรูปที่ใช้กันตามร้านน้ำชาและร้านกาแฟโบราณทั่วประเทศ   พร้อมกับเข้าสู่วงการ ‘ชาไทยต้นตำรับ’ ด้วยจุดเด่นของชาตรามือ คือ ชาไทยสูตรเข้มข้น กลิ่นหอม สีส้มเด่นชัด ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ และเป็นวัตถุดิบหลักของ ‘ชาไทยเย็น’ ที่แพร่หลายไปทั่วโลกในเวลาต่อมา   จากนั้นกิจการได้เข้าสู่ช่วงการขยายธุรกิจ  พร้อมตั้งโรงงานผลิตในชื่อ ‘โรงงานใบชาสยาม’ พร้อมจดทะเบียนเป็น บริษัท ชาไทย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มาจนถึงปัจจุบัน พร้อมเข้าสู่การบริหารแบรนด์ชาตรามือในรุ่นถัดมา ภายใต้บริษัท บริษัท สยาม เอฟ บี โปรดักส์ จำกัด โดยมี ‘ศรีศุภร จาตุรงควนิชย์’ และ ‘พราวนรินทร์ เรืองฤทธิเดช’ ร่วมเป็นผู้บริหารในฐานะกรรมการบริษัทฯ   โดยมีผลดำเนินงานเป็นบวก มาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ดังนี้   ปี 2563 รายได้ 386,481,066.30 บาท กำไร 2,991,890.07 บาท คิดเป็น 0.77% ของรายได้ ปี 2564 รายได้ 370,940,682.11 บาท กำไร 4,945,861.14 บาท คิดเป็น 1.33% ของรายได้ ปี 2565 รายได้ 387,693,613.71 บาท กำไร 6,810,795.57 บาท คิดเป็น 1.76% ของรายได้ ปี 2566 รายได้ 371,428,373.79 บาท กำไร 8,422,133.03 บาท คิดเป็น 2.27% ของรายได้ ปี 2567 รายได้ 470,608,23 บาท กำไร 17,950,614.18 บาท คิดเป็น 3.81% ของรายได้   ถึงปัจจุบัน ‘ชาตรามือ’ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายทั้งด้านนวัตกรรม และใบชาสูตรใหม่ อย่าง ชาไทย, ชาเขียว, ชาอู่หลง, ชาจีน, ชาพร้อมดื่ม และผงชา 3-in-1 (ทรีอินวัน) รวมทั้งไอศกรีมชาไทย ไปจนถึง ขนมและของฝาก   อย่างไรก็ตาม จากกระแสสุขภาพที่มาแรง ทำให้ชาตรามือยังได้หันไปทำสินค้ารายการใหม่ที่ใส่ใจการดูแลสุขภาพในกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น อย่าง ชาคีโต, ชาลดน้ำตาล, คอมบูฉะ เป็นต้น   ตลาดชาในไทย 2 หมื่นล.   ขณะเดียวกันจากเทรนด์ชาไทยแสนอร่อย ด้วยรสชาติและกลิ่นหอมเย้ายวนที่ไม่เหมือนชาในประเทศไหน ๆ ก็ยิ่งสร้างกระแสความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อ ‘Thai Tea’ อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมา และเป็นแรงหนุนให้ตลาดชาพร้อมดื่มในไทยเติบโตขึ้นตามมา   แนวโน้มดังกล่าว ยังสอดคล้องกับการเติบโตของ ตลาดเครื่องดื่มชาโดยรวม ประเทศไทยในปี 2567 คาดมีมูลค่าราว 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 2 หมื่นล้านบาท ในปี 2568   จากสถานการณ์ดังกล่าว แน่นอนว่าย่อมมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดนี้เพิ่มขึ้น และเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในประเทศของชาตรามือ ยังได้ใช้กลยุทธ์ขยายแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดไปเมื่อเร็วๆ นี้ ในชื่อ ‘CTM’ (ย่อมาจาก Captivating Tea Muse) ขณะเดียวกันก็ยังไปสัมพันธ์กับแบรนด์แม่ ChaTraMue ชาตรามือ อีกด้วย   วางตำแหน่งการตลาดใหม่   สำหรับ ‘CTM’ เป็นการแตกแบรนด์เพื่อเจาะตลาด ‘ชาแนวใหม่’ และกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ ด้วยมาพร้อมคอนเซปต์ใหม่ที่เน้นความน่าหลงใหลของชา (Captivating Tea Muse)   โดยตั้งเป้าเจาะตลาดเครื่องดื่มแนว ‘ชานม-ชาผลไม้’ ที่มีความสดชื่น แยกความต่างจากภาพลักษณ์ดั้งเดิมของชาตรามือ สีส้มสะท้อนความหวาน มัน อร่อย ของรสชาติ เป็นจุดขาย     เพิ่มความต่าง-ขายพรีเมียม   ต่อการเข้ามาของ ‘CTM’ ยังได้สร้างตัวตนใหม่ เพื่อเข้าไปทดลองในตลาดพรีเมียม-แมส พร้อมใช่โทนสีโลโก ‘เขียวตัดทอง’ มาสะท้อนความแคปติวา ชวนหลงใหลในรสชาติของชาที่สื่อถึงความพรีเมียม สวยงาม และทันสมัย มีราคาจำหน่ายตั้งแต่ 75 ถึง 200 บาท เปิดสาขาแรกที่ เซ็นทรัล พาร์ค   ไม่รีแบรนด์แต่ใช้ ‘CTM’ ขยายฐาน   อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ ‘ชาตรามือ’ เป็นแบรนด์สุดเก๋าในตลาดมานานร่วม 8 ทศวรรษ แน่นอนว่าย่อมมีแฟนพันธ์แท้เหนียวแน่นทั้งกลุ่มคนไทยและต่างชาติ หากจะใช้วิธีรีแบรนด์หรือปรับสูตรให้เข้ากับเทรนด์อาจยังไม่ใช่คำตอบ   ดังนั้น การใช้กลยุทธ์ต่อยอดด้วยการแตกแบรนด์ใหม่ อย่าง CTM น่าจะเข้ามาตอบผู้บริโภคยุคใหม่ ได้ดีกว่า ที่มาพร้อมกับการปรับภาพลักษณ์ให้ร่วมสมัย รวมถึงขยายไลน์สินค้าใหม่ อย่าง ชาไทยไม่มีสี ชาไทยคอมบูฉะ และไอศกรีมรสชาไทย   ทำให้ ‘CTM’ จึงเป็นอีกหนึ่งหนทางในการต่อยอดให้แบรนด์ดึงดูดความสนใจของคนรุ่นใหม่ GenY และ GenZ ได้มากขึ้น พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคที่ต่างออกไป     Alternate-X สรุปให้      “ชาตรามือ” แบรนด์ชาไทยในตำนานกว่า 80 ปี แตกไลน์เปิดตัว “CTM” (Captivating Tea Muse) เพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ GenY–GenZ โดยแบรนด์ CTM ใช้คอนเซปต์พรีเมียม-ทันสมัย เน้นชาแนวใหม่ทั้งชานม ชาผลไม้ และคอมบูฉะ พร้อมเลือกใช้โทนสีเขียว-ทอง ของโลโก้ สื่อถึงความสดใหม่และร่วมสมัย ต่างจากภาพจำชาไทยสีส้ม ด้วยกลยุทธ์นี้ จะช่วยให้ชาตรามือรักษาฐานลูกค้าเก่า และขยายสู่กลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ในไทยและต่างประเทศ ตลาดชาไทยมีมูลค่าแตะ 2 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และ CTM คือก้าวสำคัญสู่สมรภูมิใหม่นี้

September 9, 2025 / 0 Comments
read more

ไทยแลนด์ พาวิลเลียน ยอดเข้าชมทะลุ 1.5 ล้านคน ในงาน EXPO 2025 OSAKA KANSAI JAPAN

Peace&Play

จากการจัดงาน EXPO 2025 OSAKA KANSAI JAPAN ในปี 2568 ถึงในตอนนี้มี ผู้เข้าชมอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ในงานฯ ทะลุ 1,500,000 คน ติดอันดับพาวิลเลี่ยนที่ได้รับความนิยม     อัครพงศ์ เฉลิมนนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา พร้อมด้วย เสาวภา จงกิตติพงศ์ นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญด้านคุ้มครองผู้บริโภคด้านระบบบริการสุขภาพ อาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ในงาน EXPO 2025 OSAKA KANSAI JAPAN ได้มอบของที่ระลึกแก่ผู้เข้าชมอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ลำดับที่ 1,500,000 เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณในความสนใจและการสนับสนุนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยมี นายวุฒิธร มิลินทจินดา ร่วมแสดงความยินดี ในโอกาสนี้   สำหรับ ไทยแลนด์ พาวิลเลียน ในงานฯ ได้รับความสนใจจากชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทั่วโลกด้วยเสน่ห์ของความเป็นไทยที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน และการบริการด้วยรอยยิ้มของคนไทย จึงทำให้เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมาอาคารนิทรรศการไทย  ได้มีโอกาสต้อนรับผู้เข้าชมลำดับที่ 1,500,000   นอกจากความสวยงามของอาคารนิทรรศการไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยอันงดงามและ โดดเด่นผ่านสถาปัตยกรรมไทยแล้วภายในอาคารยังได้นำเสนอมนต์เสน่ห์ของประเทศไทย ภูมิวิถีแบบไทย วัฒนธรรมประเพณี สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม   รวมถึงศักยภาพสาธารณสุขไทย ภายใต้นโยบาย Thailand Medical hub 4 ด้าน ได้แก่   Medical service hub Academic hub Wellness hub Product Hub   นอกจากนี้ ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ของไทยที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงการนำซอฟต์พาวเวอร์ไทย (Soft power) ทั้ง สินค้า บริการอาหาร นวดไทย สถานที่ท่องเที่ยว มานำเสนอบนเวทีโลก   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสดงศิลปวัฒนธรรมของไทยบนเวทีหน้าอาคาร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ผู้เข้าชมงานต่างพากันมารอชมกันอย่างแน่นขนัด ด้วยความสวยงาม อ่อนช้อย และยังสร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้ชม ทั้งนี้ อาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ในงาน EXPO 2025 OSAKA, KANSAI, JAPAN ยังจัดแสดงให้เยี่ยมชม ตั้งแต่วันนี้ ถึง 13 ตุลาคม 2568 ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น   อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวข้อง  ส่อง ‘บูธไทย’ ใน EXPO 2025 โอซากา – มีไฮไลท์ อะไรว้าว?!? ทำทั่วโลกแห่เช็คอินไม่ขาดสาย       Alternate-X สรุปให้   อาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ในงาน EXPO 2025 OSAKA KANSAI JAPAN มียอดผู้เข้าชมทะลุ 1,500,000 คนแล้ว โดยเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ปีนี้ที่ผ่านมา กงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา มอบของที่ระลึกแก่ผู้เข้าชมลำดับพิเศษเพื่อแสดงความขอบคุณ ขณะที่ พาวิลเลียนไทยได้รับความนิยมจากทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวทั่วโลก จากเสน่ห์ของความเป็นไทยถ่ายทอดผ่านสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และการบริการด้วยรอยยิ้ม ตอกย้ำภาพลักษณ์ไทยในฐานะ Thailand Medical Hub และประเทศที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมโดดเด่น  

September 9, 2025 / 0 Comments
read more

[PR Photo] บีแอลซีพีฯ ลงนามข้อตกลง REPCO ใช้เอไอเดินเครื่องจักรโรงไฟฟ้า

PRnounce

นายยุทธนา เจริญวงศ์ (คนกลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (BLCP Power Limited) พร้อมด้วย ดร. พิเชษฐ์ ตั้งปัญญารัช (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ระยองวิศวกรรมและซ่อมบำรุง จำกัด (REPCO) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง ทั้งด้านการตรวจสอบเชิงความเสี่ยง การบำรุงรักษาเชิงความน่าเชื่อถือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การตรวจจับ การคาดการณ์ปัญหา และการจำลองด้านวิศวกรรมมาปรับใช้ในการดำเนินงานจริง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและยกระดับการเดินเครื่องจักร การบำรุงรักษา และความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางพลังงานให้กับประเทศ โดยมีนายอดุลย์ อุดมวรวุฒิ (ที่ 2 จากซ้าย) รองผู้จัดการใหญ่โรงไฟฟ้า นายสุรเชษฐ รัตนาประเสริฐ (คนแรกซ้าย) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิศวกรรม บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด นายวริทธิ์ กฤตผล(ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการ Business Solution and Commercial และ นายวีร์ จาบถนอม (คนแรกขวา) ผู้จัดการด้านดิจิตอลโซลูชั่น บริษัท ระยองวิศวกรรมและซ่อมบำรุง จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อเร็วๆ นี้ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี – BLCP Power Limited

September 9, 2025 / 0 Comments
read more

‘ลูกรัก’ ราชบัณฑิตยสภา ‘GOOD SUNDAY’ เขียนให้ถูก เมนูคาเฟ่ มัตจะ-ลัตเต-มอคา ฯลฯ

Peace&Play

ร้าน ‘Goodsunday Coffee Bar’ ของอดีตแอร์โฮสเตส ‘อาร์ม – กานต์ชนิต สุรินทร์สภานนท์’ ที่ผันตัวมาทำคาเฟ่สายครีเอทีฟ กับแนวคิดเรียกแขกให้ไวรัล ด้วยการเขียนใหม่ให้ถูกเมนูเครื่องดื่ม ตามสำนักงานราชบัณฑิตยสภา 1.จุดเริ่มต้นไวรัล   เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โซเชียลมีเดียพูดถึง ‘การเขียนชื่อเมนูคาเฟ่ให้ถูกต้องตามราชบัณฑิตยสภา’ จากเมนูยอดฮิตอย่าง ‘มัตจะ’ (ไม่ใช่มัตฉะ), ลัตเต (ไม่ใช่ลาเต้), มอคา (ไม่ใช่มอคค่า) ไปจนถึงคำทับศัพท์อื่น ๆ ที่หลายร้านคาเฟ่มักสะกดผิดแบบเคยชิน   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ประกาศคำเขียนถูกต้อง ‘ลัตเต–มัตจะ–มอคา’ ทำเอาชาวเน็ตเคว้ง   2.กระแสที่ตามมา   จากความความเคลื่อนไหวนี้ กลายเป็นไวรัล เพราะคนแชร์เมนูแก้วกาแฟที่เขียนชื่อผิด-ถูกกันสนั่นโลกออนไลน์ ที่มาทั้งทั้งความขำแรงไปพร้อมให้ความรู้เชิงภาษา จนเกิดเป็นกระแส ‘คาเฟ่สะกดถูก’ ที่หลายร้านเริ่มหันมาใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างชื่อเมนู   3.GOOD SUNDAY ปรับขื่อไว   ต่อกระแสนี้ มีร้านกาแฟ GOOD SUNDAY ของอดีตแอร์โฮสเตส ‘อาร์ม – กานต์ชนิต สุรินทร์สภานนท์’  เป็นหนึ่งในคาเฟ่ที่หยิบกระแสนี้มาใช้อย่างครีเอทีฟ โดยปรับการเขียนชื่อเมนูใหม่ทั้งหมดให้ถูกต้องตามราชบัณฑิตยสภา พร้อมทำคอนเทนต์บนโซเชียลที่ทั้งให้ความรู้และสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้า   คอนเทนต์นี้ เป็นอีกตัวอย่างการทำ ‘Marketing Real-time’ ที่โดนใจคนรุ่นใหม่ และช่วยสร้างเอนเกจเมนต์ได้ทันกระแสชาวโซเชียล     Alternate-X     ร้าน Goodsunday Coffee Bar ของอดีตแอร์โฮสเตส “อาร์ม – กานต์ชนิต สุรินทร์สภานนท์” ปรับตัวไวกับกระแสโซเชียล กระแสเริ่มจากการถกเถียงการสะกดชื่อเมนูคาเฟ่ให้ถูกต้องตามราชบัณฑิตยสภา เช่น มัทจะ ลัตเต มอคา จนเป็นไวรัลดังไปทั่วเพราะทั้งฮาและให้สาระ จนหลายร้านหันมาใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างชื่อเมนู GOOD SUNDAY ใช้ไอเดียนี้ทำคอนเทนต์โซเชียลที่ทั้งสนุกและมีสาระ พร้อมปรับเมนูจริงให้ถูกต้อง เป็นตัวอย่างการทำ Real-time Marketing ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และสร้างเอนเกจเมนต์ได้ทันเวลา

September 9, 2025 / 0 Comments
read more

หาทางรอดโลกรวน ป่วนเศรษฐกิจ-สังคม-คน ชวนปรับตัว-ทำจริงในงาน ‘SX2025’

EcoVative,  Peace&Play

ในอนาคตจะเป็นแบบไหน เริ่มได้จาก ‘บลู พรินต์’ ของทุกคนในวันนี้ ที่จะต้องปรับตัวและร่วมมือ ‘ทำจริง’ ชวนไปฟังเรื่องเล่าจากสุดยอดทอล์ค ‘ทางรอดในยุคโลกรวน’ ที่งาน SX2025   งานมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ที่เตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน ถึง 5 ตุลาคม ปีนี้ พร้อมเปิดเวทีใหญ่ชวนฟังแนวคิดจาก ‘คนลงมือทำจริง’ ในหลากหลายวงการ   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง ไทยเบฟ x เนชั่นแนล จีโอฯ ทำสารคดียั่งยืนระดับโลก ใช้ทีมไทยร่วมผลิต เปิดตัวงาน SX2025 ส่องโลกอนาคตยั่งยืน เอาไปต่อยอดไอเดียธุรกิจ-ชีวิต งาน ‘SX 2025’ กับ 10 ไฮไลท์ชวนว้าว!!    ทั้งธุรกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชน ผู้เชี่ยวชาญกว่า 750 ท่าน ที่จะมาร่วมแชร์แนวคิด ประสบการณ์ และหาคำตอบใหม่ ๆ เพื่อ “ปรับตัว และร่วมมือ สู่ทางรอดในยุคโลกรวน   ในงานฯ จะชวนทุกคนร่วมเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้นำการเปลี่ยนแปลงและองค์กรต้นแบบที่กล้าปรับตัว เปิดรับแนวทางใหม่ และลงมือทำจริง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนไปสู่ความสมดุลในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืนเต็มอิ่มตลอด 10 วันเต็ม บนเวที SX GRAND PLENARY HALL เวที SX Talk Stage และ  SX Idea Lab  ในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 : พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)   สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมงานฟรี! ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) เวลา 10.00-20.00 น. ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของ SX ได้ทาง Facebook Page : Sustainability Expo, www.sustainabilityexpo.com และแอดไลน์ @sxofficial เพื่อร่วมสนุกไปกับกิจกรรมการสะสมแต้ม   พร้อมลุ้นรับรางวัล 10 วัน ที่จะชวนคุณมาร่วมกอบกู้โลกใบนี้ไปด้วยกันที่ Sustainability Expo 2025: “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” เพราะโลกที่ดีกว่า…เริ่มต้นได้จากเราทุกคน

September 9, 2025 / 0 Comments
read more

‘ศุภาลัย’ เปิดเกม Mortgage Tech ไทย ส่งแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัล ‘D.E.A.L’

BizKet

‘ศุภาลัย’ เร่งแผนประชิดทำตลาดถึงตัวลูกค้า เปิด ‘D.E.A.L’ ดึง 10 ธนาคารพันธมิตรทำแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลครบวงจรให้สินเชื่อดอกฯพิเศษ เสริมคล่องกำลังซื้ออสังหาฯ   ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ร่วมกับ 10 ธนาคารชั้นนำ เพิ่มประสบการณ์ทางการเงินภายใต้บริการใหม่ ‘D.E.A.L.’ (Digital Easy Application for Loan)แพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลเพื่อยกระดับกระบวนการยื่นสินเชื่อที่อยู่อาศัยครบวงจร   โดยแพลตฟอร์มฯ นี้จะช่วยให้ลูกค้าซื้อบ้านได้ง่าย สะดวก และมั่นใจยิ่งขึ้น ให้ครบจบในที่เดียว ตั้งแต่   การประเมินความพร้อม เปรียบเทียบข้อเสนอ ยื่นขอสินเชื่อกับธนาคาร สิทธิพิเศษอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้า ศุภาลัยโดยเฉพาะ   “แพลตฟอร์ม D.E.A.L. จะเข้ามาปฏิวัติวงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้วยแพลตฟอร์มที่ศุภาลัยพัฒนาขึ้น เพื่อยกระดับกระบวนการขอสินเชื่ออย่างครบวงจร เป็นรายแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ” ไตรเตชะ กล่าว   สำหรับ 10 ธนาคารพันธมิตร ประกอบด้วย   ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์   โดยแพลตฟอร์ม D.E.A.L. จะช่วยให้ลูกค้าทำการยื่นสินเชื่อเป็นเรื่องง่าย พร้อมยกระดับมาตรฐานบริการสินเชื่อ โดยศุภาลัย ยังร่วมกับธนาคารพันธมิตรจัดทำอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรกต่ำสุด 1.79%* สำหรับบ้านและคอนโดมิเนียม (*อัตราดอกเบี้ยประจำเดือนกันยายน 2568) พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ต่อเนื่องทุกเดือน สำหรับลูกค้าศุภาลัยเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการ และความสามารถในการผ่อนชำระได้อย่างแท้จริง** (**เงื่อนไขเป็นไปตามที่ทางธนาคารฯ กำหนด)   สำหรับแพลตฟอร์ม D.E.A.L. ของศุภาลัย เริ่มใช้งานจริงตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 ครอบคลุมทุกโครงการ ทั่วประเทศ และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าโดยแพลตฟอร์มนี้มอบประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่าง ด้วยจุดเด่นในการวิเคราะห์คุณสมบัติลูกค้าล่วงหน้า แนะนำสถาบันการเงินที่เหมาะสม เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขสินเชื่อที่ตอบโจทย์ พร้อมติดตามผลอนุมัติ ช่วยให้กระบวนการยื่นขอสินเชื่อบ้านและคอนโดมิเนียมของลูกค้าเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน และย่นระยะเวลาในการยื่นขอสินเชื่อและรอผลอนุมัติ  โดย บริการดังกล่าว ยังเป็นจุดเริ่มต้นสู่การพัฒนา Mortgage Tech ในประเทศไทย และสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืนในอนาคต ด้วย       Alternate-X สรุปให้   ศุภาลัยเปิดตัวแพลตฟอร์ม D.E.A.L. (Digital Easy Application for Loan) ร่วมมือกับ 10 ธนาคารชั้นนำ เพื่อยกระดับกระบวนการสินเชื่อบ้านและคอนโดฯ แบบครบวงจร โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย และยื่นกู้ในที่เดียว สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย โดย แพลตฟอร์มมอบสิทธิพิเศษดอกเบี้ยต่ำสุด 1.79% ในปีแรก พร้อมสิทธิประโยชน์ต่อเนื่องสำหรับลูกค้าศุภาลัย นับเป็นการปฏิวัติ Mortgage Tech รายแรกในวงการอสังหาฯ ของไทย ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่และเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังปูทางไปสู่การสร้าง ระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืน และเสริมความแข็งแกร่งต่อธุรกิจอสังหาฯ ในอนาคต

September 9, 2025 / 0 Comments
read more

‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ จากซีอีโอหญิงหัวแถว สู่ (ว่าที่) รมว.พาณิชย์รัฐบาลอนุทิน

BizKet

‘นิ่ง ลึก สุขุม’ พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มแทบตลอดระยะเวลากับคู่สนทนา คือ บุคลิกที่สะท้อนตัวตนเด่นชัด ของ ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ ผู้บริหารหญิงระดับซูเปอร์โปรเฟสชั่นนัล ที่นั่งเก้าอี้บริหารองค์กรใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ มากว่า 30 ปี   ในวันนี้ ‘ศุภจี’ เตรียมเริ่มต้นเส้นทางบริหารใหม่อีกครั้งหลังวัยเกษียณในฐานะว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (คนนอก) ภายใต้รัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ของประเทศไทย   1.ประวัติส่วนตัว   ศุภจี สุธรรมพันธุ์ มีชื่อเล่นว่า ‘แต๋ม’  (วิกิพีเดีย) ระบุข้อมูลเบื้องต้น เธอเกิดในปี พ.ศ. 2507 ปัจจุบันอายุ 61 ปี   2.ด้านการศึกษา   ‘ศุภจี’ จบระดับมัธยมจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟ บางนา และเรียนต่อปริญญาตรี สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นได้รับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (MBA) สาขาการเงินและการบัญชีต่างประเทศ จาก Northrop University รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา   นอกจากนี้ ‘ศุภจี’ ยังผ่านการอบรมผู้บริหารจากหลายสถาบัน เช่น Director Certification Program, Advanced Audit Committee Program และหลักสูตรผู้บริหารสูงจากสถาบันต่างๆ   3. ด้านครอบครัว   จากข้อมูลสาธารณะเปิดเผยเพียงว่า ‘ศุภจี’ มีบุตรสองคน และเธอ ยังเป็นพี่สาวของ ‘ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์’ กรรมการผู้จัดการไมโครซอฟท์ประเทศไทย คนปัจจุบัน ด้วย   4. ประวัติการทำงานตลอด 30 ปี   ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา ‘ศุภจี’ รับบทบาทในฐานะผู้นำหญิงระดับสูงสุดในหลายองค์กร   โดยเฉพาะในองค์กรยักษ์เทคโนโลยีระดับโลก ไอบีเอ็ม (IBM)  ที่ ‘เธอ’ ทำงานมานานกว่า 23 ปี ตั้งแต่ตำแหน่งระดับเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2532 และดำรงตำแหน่งสุดท้ายในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป (General Manager) ซึ่งถือเป็นผู้บริหารหญิงสูงสุดที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ขององค์กร และดำรงตำแหน่ง ASEAN Global Technology Services จนถึงปี 2554 และยังเคยทำงานถึงที่สำนักงานใหญ่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ด้วย   จากนั้น ‘ศุภจี’ ได้เข้ารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหารในบริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการธุรกิจดาวเทียมเชิงพาณิชย์รายแรกและรายเดียวของประเทศไทย ช่วงระหว่างปี 2554 – 2558   ถัดมาในปี 2559 ‘ศุภจี’ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) จนถึงปัจจุบัน สิ่งที่น่าสนใจ คือ เธอ ยังเป็น กรุ๊ป ซีอีโอของ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานะ ซีอีโอ คนแรกที่ไม่ใช่คนในตระกูลผู้ก่อตั้ง   5.ผู้พลิกสถานการณ์   ตลอดระยะการทำงานร่วม 30 ปีที่ผ่านมาของ ‘ศุภจี’ ฉายแสงผลงานที่โดดเด่นและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะใน ‘ไทยคม’ ก่อน ‘ศุภจี’ เข้ามา กิจการขาดทุนต่อเนื่องกว่า 2,000–4,000 ล้านบาท ต่อปี สาเหตุหลักจากต้นทุนโครงการไอพีสตาร์สูงเกินรายได้   แต่ภายใต้การบริหารของเธอ ได้มีการปรับกลยุทธ์ด้านต้นทุน การหาพันธมิตรต่างประเทศ และการขยายตลาด ทำให้บริษัท พลิกกลับมามีกำไรได้ในปี  2555 และต่อยอดให้เติบโตอย่างยั่งยืน   ส่วนผลงาน ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เธอวางยุทธศาสตร์ในการเติบโตทั้งในธุรกิจโรงแรม การศึกษา ด้านพัฒนาอสังหา และบริการที่เกี่ยวเนื่อง โดยเพิ่มพอร์ตกิจการจาก 27 แห่งใน 9 ประเทศ เป็นกว่า 300 แห่งใน 18 ประเทศ   จากเส้นทางการทำงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยังสะท้อนถึงการรับรางวัลและการยกย่องตามมา เช่น   Women of the Year” จาก Bangkok Post (2021) Best CEO in Strategic Agility (2021) Forbes Asia’s Power Businesswomen (2023) Most Inspiring in Travel (Asia) (2024)   6.บทบาทล่าสุด   ปัจจุบัน ‘ศุภจี’ ดำรงตำแหน่ง Group Chief Executive Officer (CEO) และ กรรมการบริหารกลุ่ม (Executive Director) ของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) โดยมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านกลยุทธ์ ความเสี่ยง และความยั่งยืน   นอกจากนี้เธอยังดำรงตำแหน่งกรรมการในหลายบริษัทย่อยของกลุ่มดุสิต และยังเป็นคณะกรรมการหลายภาคส่วน อาทิ สถาบันการศึกษา ธนาคาร พัฒนาภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ   7.วิสัยทัศน์-ยืดหยุ่น-มุ่งผลลัพธ์   การทำงานในช่วง10 ปีสุดท้ายก่อนถึงวัยเกษียณ ‘ศุภจี’ เป็นหัวเรือใหญ่สำคัญต่อการบริหารจัดการองค์กรท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ของ ‘ดุสิตธานี’ ให้ยังคงทำกำไรสุทธิ แม้ในปีแรกๆ จะขาดทุนก่อนหน้านี้ เช่น ไตรมาส 1 ปี 2564 พลิกขาดทุนเป็นกำไร 74 ล้านบาท   นอกจากนี้ เธอ ยังเข้ามาปรับโครงสร้างองค์กร ลดต้นทุนอย่างเข้มงวด และกระจายการลงทุนไปในธุรกิจอาหาร การศึกษา และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากโรงแรมเพียงอย่างเดียว   ขณะเดียว ทีมของเธอยังยอมลดเงินเดือนผู้บริหารระดับสูง 25–50% เพื่อรักษาความมั่นคงของพนักงานล่างและสร้างความเป็นธรรมในองค์กร ด้วย   รวมถึงอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญ คือ เร่งลงทุนระบบดิจิทัล เช่น ระบบ ERP (SAP S/4HANA), Microsoft Azure, CRM เพื่อสร้างความยืดหยุ่นขององค์กรในระยะยาว ที่สะท้อนถึงการมองไกลในอนาคตของธุรกิจ   รวมถึงการที่ ดุสิตฯ ได้ใช้โมเดล ‘Hope for the best, but prepare for the worst’ เพื่อเตรียมพร้อมจุดแข็งขององค์กรรับมือสถานการณ์ไม่แน่นอน   จากเส้นทางการบริหารของ ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ ซูเปอร์ซีอีโอหญิงพร้อมผลงานตลอดช่วงที่ผ่านมา สะท้อน 3 คำว่า ‘วิสัยทัศน์ – ความยืดหยุ่น – มุ่งมั่นผลลัพธ์’ ได้เป็นอย่างดี ที่เป็นแรงส่งสำคัญให้ไปสู่เส้นทางใหม่ในวัยหลังเกษียณ กับบทบาท (ว่าที่) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลชุด ‘อนุทิน ชาญวีรกุล’  หลังได้พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ไปเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568  ที่ผ่านมานี้     Alternate-X สรุปให้     ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ ซีอีโอหญิงระดับสูงด้วยประสบการณ์มานานกว่า 30 ปี กับผลงานนำองค์กรไทยคมและดุสิตธานี พลิกผลกำไรและขยายธุรกิจระดับสากล ด้านการศึกษาเธอ จบ MBA และผ่านหลักสูตรผู้บริหารชั้นสูงหลายแห่ง พร้อมรับรางวัล Women of the Year, Forbes Asia’s Power Businesswomen และอื่นๆ ปัจจุบัน ‘ศุภจี’ เป็นที่จับตาต่อการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่จะเตรียมสร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ในการบริหารงานประเทศภายใต้รัฐบาลชุด อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี

September 8, 2025 / 0 Comments
read more

รูทบินใหม่ไม่ง้อวีซ่า ‘อัลมาตี’ คาซัคสถาน ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เปิดราคาตั๋ว 6,690 บ.

BizKet,  Peace&Play

ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เปิดเส้นทางใหม่บินตรง ‘อัลมาตี’ คาซัคสถาน! บินจากดอนเมือง กรุงเทพ แบบไม่ต้องขอวีซ่า ราคาเริ่มต้น 6,690 บาทต่อเที่ยวบิน   ภัทรา บุศราวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ผู้ให้บริการสายการบิน แอร์เอเชีย ระหว่างประเทศ ‘ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์’ (XJ)  เปิดเผยว่า สายการบินฯ วางแผนบุกตลาดเอเชียกลางเป็นครั้งแรก โดยเปิดเส้นทางบินใหม่ล่าสุด กรุงเทพ (ดอนเมือง) สู่เมือง อัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน   สำหรับเส้นทางบินใหม่นี้ เปิดโอกาสให้คนไทยสัมผัสประสบการณ์ใหม่แบบฟรีวีซ่า พร้อมพบกับธรรมชาติสุดมหัศจรรย์ในบรรยากาศยุโรป และสถาปัตยกรรม-ศิลปวัฒนธรรมยิ่งใหญ่ ด้วยสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี   ทั้งนี้ สายการบิน XJ พร้อมให้บริการแบบเที่ยวบินประจำ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และอาทิตย์) เริ่มให้บริการเที่ยวบินแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ด้วยเครื่องบินแอร์บัส A330 จำนวน 367 ที่นั่ง   โดยในโอกาสนี้ ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ยังมาพร้อมราคาโปรโมชั่นพิเศษ เริ่มต้นที่ 6,690 บาทต่อเที่ยวบิน สามารถจองได้แล้วตั้งแต่วันที่ 8-21 กันยายน 2568 เพื่อใช้เดินทางตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2569  จองผ่านแอป AirAsia MOVE และเว็บไซต์ www.airasia.com   “การเปิดตลาดไปสู่เอเชียกลางของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ถือเป็นเส้นทางที่ท้าทาย และมีจุดที่น่าสนใจ น่าค้นหา ไม่แพ้กัน ด้วยเป็นเส้นทางที่คนไทยยังไม่คุ้นเคย แต่อัลมาตีถือเป็นเมืองที่น่าตื่นตาตื่นใจ รอให้นักเดินทางชาวไทยไปสัมผัสกับประสบการณ์การเดินทางใหม่ๆ พร้อมไปพักผ่อนในภูมิภาคที่มีอากาศเย็นสบาย” ภัทรา กล่าว     สำหรับเส้นทางบินใหม่นี้ ยังเป็นการขยายตลาดไปยังภูมิภาคใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าออกไปให้กว้างขึ้น พร้อมเปิดพื้นที่การเดินทางใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่มองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ น่าตื่นเต้น ในราคาที่คุ้มค่า จากเดิมที่ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ มีความโดดเด่นในเส้นทางการบินประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีมายาวนาน   นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา กลุ่มแอร์เอเชียได้เปิดเส้นทางกัวลาลัมเปอร์–อัลมาตี ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ การเพิ่มกรุงเทพฯ เป็นฮับที่สองในการเชื่อมต่อสู่คาซัคสถานครั้งนี้ นับเป็นการเร่งกลยุทธ์ของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ในการขยายสู่ตลาดใหม่ พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายของกลุ่มแอร์เอเชียทั่วเอเชีย   สำหรับเมืองอัลมาตี เป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศคาซัคสถาน เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่ผสมผสานอย่างลงตัว ทั้ง วิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามแห่งหนึ่งของโลก มีหิมะปกคลุมเกือบทั้งปี ทะเลสาบอัลมาตี (Big Almaty Lake) ที่โอบล้อมด้วยภูเขาหิมะ ชารินแคนยอน หุบเขาสีแดงที่เกิดจากการทับถมละอองลาวาจากภูเขาไฟ จากการกัดกร่อนจากลมและน้ำจึงทำให้ภูเขามีลวดลายและรูปทรงแปลกตา ​สกีรีสอร์ทแห่งชิมบุลลักซ์ ที่เปิดให้เล่นสกีได้ระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนพฤษภาคม   นอกจากนี้ ยังมี สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อาทิ มหาวิหารเซนคอฟ แลนด์มาร์กยอดนิยม เป็นอาสนวิหารของศาสนาคริสต์ นิกายออร์โธดอกซ์ พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองอัลมาตี พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง ศูนย์รวมทุกเรื่องราวของประเทศคาซัคสถาน ตลาดกรีนบาซาร์ ตลาดเก่าแก่กลางเมือง ที่ผสมผสานวัฒนธรรมเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน เป็นต้น   ปัจจุบันไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ มีเครื่องบินประจำฝูงบิน 9 ลำ  ให้บริการเส้นทางบินตรง 7 เส้นทาง จากกรุงเทพ (ดอนเมือง) สู่ โตเกียว โอซาก้า นาโกย่า ซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เดลี ประเทศอินเดีย เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และเส้นทางบินใหม่ล่าสุดสู่อัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน เป็นเส้นทางที่ 8   *ประเทศและดินแดนที่ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยเดินทางไปได้โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา   ตารางเที่ยวบิน กรุงเทพฯ ดอนเมือง (DMK) – อัลมาตี (ALA)     Alternate-X สรุปให้       ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพ–อัลมาตี คาซัคสถาน แบบไม่ต้องขอวีซ่า ราคาโปรโมชั่นเริ่มต้นเพียง 6,690 บาทต่อเที่ยวบิน เปิดจองแล้ววันนี้ ให้บริการ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เริ่มบิน 1 ธันวาคม 2568 ด้วยแอร์บัส A330 โดยเมือง ‘อัลมาตี’ เป็นเมืองหลวงเก่าของคาซัคสถาน โดดเด่นทั้งธรรมชาติอลังการและวัฒนธรรมผสมผสาน ถือเป็นก้าวสำคัญในการบุกตลาดเอเชียกลาง เสริมเครือข่ายใหม่ของแอร์เอเชีย      

September 8, 2025 / 0 Comments
read more

1 ทศวรรษ ‘บลู พอร์ต หัวหิน’ ดึงเสน่ห์ยุค80’s รำลึกเมืองคลาสสิค เที่ยวชายทะเล

Peace&Play

ในเดือนตุลาคม 2568 ปีนี้ บลูพอร์ต หัวหิน (Bluport Hua Hin) ศูนย์การค้าสไตล์รี สอร์ต มอลล์ แห่งแรกของวงการค้าปลีกในไทย จะมีอายุครบ 10 ปี   ย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 โครงการฯ นี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 2 กลุ่มทุนค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ รายใหญ่ ระหว่าง กลุ่ม เดอะมอลล์  และ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด โดย บริษัท หัวหิน แอสเสท จำกัด ด้วยมูลค่าการลงทุนในครั้งนั้นราว 5,000 ล้านบาท ตั้งบนพื้นที่ขนาด 200,000 ตารางเมตร จากนั้นถัดมาอีก 5 ปี (ปี 2564) กลุ่มเดอะมอลล์ ได้ถอนหุ้นออกจากโครงการฯ   ปัจจุบัน เหลือเพียงกลุ่มบริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด เป็นผู้บริหารหลักโครงการฯ ที่ดำเนินกิจการ กระทั่วเข้าสู่ปีที่ 10 อย่างรวดเร็ว ขณะที่ตลอดช่วงที่ผ่านมา ‘บลู พอร์ต หัวหิน’ ได้ทยอยปรับโฉมใหม่โครงการในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ เพื่อเป็นหนึ่งในซัพพอร์เตอร์หลัก ต่อการผลักดันให้ ‘หัวหิน’ เป็นเดสติเนชั่นในกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เดินทางเข้ามาพักผ่อนในโอกาสสำคัญต่างๆ ทั้งการประชุมขององค์กร, การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล, การประชุมวิชาชีพ และนิทรรศการ หรือ ไมซ์ (MICE) รวมถึงการจัดเลี้ยงงานพิธี หรือ กิจกรรมต่างๆ     ปัจจุบัน ‘บลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ต มอลล์’ กำลังเดินหน้าสู่ทศวรรษแรก ด้วยโฉมใหม่ภายใต้การบริหารของ ‘วจี กลมเกลี้ยง’ ในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท หัวหิน แอสเสท จำกัด คนล่าสุด   ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือการบริหารของ ‘เธอ’ ที่ได้รับโปรโมทในตำแหน่งดังกล่าว จากก่อนหน้าในฐานะกรรมการบริหารบริษัทฯ ซึ่งยังมาพร้อมกับหนึ่งในแผนงานสำคัญ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมให้กับบลู พอร์ต หัวหิน หลังได้ 2 ผู้เช่าแม่เหล็กรายใหญ่ ‘Anchor Tennent’ มาสร้างสีสันใหม่ให้กับโครงการฯ   ประกอบด้วย ‘บลูพอร์ต ฮอลล์’ ศูนย์การประชุมและจัดเลี้ยง HuaHin Convention Center (HHCC) พื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ที่เปิดให้บริการไปเมื่อเดือนกันยายน ปีที่ผ่านมา   ศูนย์ฯ นี้ยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ตอนบนของไทย ครอบคลุมจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร รองรับผู้ร่วมงานมากกว่า 2,000 คน   รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่โครงการฯ ส่วนหนึ่งเป็น พิพิธภัณฑ์บลูพอร์ต (BLUPORT GALLERY) ศูนย์แสดงของสะสม (Collection) และงานศิลปะต่างๆและในกลางปี 2568 นี้ บลูพอร์ต หัวหิน ยังมีแผนเปิดตัว Museo Auto Classica พิพิธภัณฑ์รถยนต์คลาสสิก นำเสนอคอลเล็กชั่นรถยนต์วินเทจ ที่หาชมได้ยาก   ขณะเดียวกัน เพื่อสร้าง ‘HuaHin Vibes’ บลู พอร์ต หัวหิน ยังเติมกิมมิคสนุกๆ มาสร้างสีสันให้กับโครงการผ่านงานอีเวนต์ ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องในทุกเทศกาลวันสำคัญ   ‘หัวหิน รำลึก’ เรโทร ยุค80’s   ล่าสุด ‘บลู พอร์ต หัวหิน’ หยิบกลยุทธ์ ‘Music Marketing’ มาสร้างไวบส์ให้ชวนรำลึกถึงความคลาสสิคของเมืองท่องเที่ยวชายทะเลเมืองไทย ด้วยนำเสียงเพลงที่คิดถึง…กำลังจะกลับมาอีกครั้ง กับ ‘Pink Panther & Friends’ คอนเสิร์ตแห่งมิตรภาพและตำนานของวงการเพลงไทย พร้อมพบกับบทเพลงคลาสสิก อย่าง ‘รักฉันนั้นเพื่อเธอ’ และอีกหลากหลายเพลงที่อยู่ในความทรงจำ   โดยในครั้งนี้พิงค์แพนเตอร์ ยังได้ชวนเพื่อน ๆ ศิลปินชื่อดังผู้เคยร่วมเส้นทางดนตรีเดียวกันกลับมาร่วมเวทีด้วยอีกครั้ง ทั้ง สุชาติ ชวางกูร, เท่ห์ อุเทน พรหมมินทร์, ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์, วิยะดา โกมารกุล ณ นคร และชมพู ฟรุตตี้ โดยศิลปิน ทุกท่านจะมาร่วมถ่ายทอดความสนุกสนาน ความทรงจำ และพลังแห่งเสียงเพลง ให้ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น ประทับใจ   สำหรับอีเวนต์นี้ จัดขึ้นในวันที่เสาร์ที่ 20 กันยายน 2568 ณ หัวหิน คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ชั้น 1 บลูพอร์ต หัวหิน โดยบัตรเข้าชมมีทั้งแบบ VIP Zone ราคา 1,200 บาท และ Friends Zone ราคา 800 บาท เปิดจำหน่ายแล้ววันนี้ทางเว็บไซต์ https://bppinkpanther.gosalepage.co/fsn-gnft-cgw   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลูพอร์ต หัวหิน โทร. 032-905111 Facebook: Bluport Hua Hin Official หรือ Line: @Bluport     An AI-generated cover image by ChatPGT       Alternate-X สรุปให้       บลูพอร์ต หัวหิน ฉลองครบรอบ 10 ปี ในฐานะรีสอร์ต มอลล์ แห่งแรกของไทย พร้อมแผนปรับโฉมใหม่ เสริมแม่เหล็กใหญ่ดึงดูด ทั้งพื้นที่คอนเวนชันเซ็นเตอร์และแกลเลอรี ที่จะเปิดตัวกลางปี 2568 นี้ พิพิธภัณฑ์รถยนต์คลาสสิก Museo Auto Classica สร้างแลนด์มาร์กใหม่ ล่าสุดจัดคอนเสิร์ต Pink Panther & Friends รำลึกบทเพลงยุค 80’s เติมบรรยากาศความทรงจำ ตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายปลายทางด้านช้อปปิ้ง การท่องเที่ยว และงานอีเวนต์ครบวงจร

September 8, 2025 / 0 Comments
read more

‘LOCATION is KING’ ทำเลที่ใช่ คือ คำตอบ!! ‘The Base พระราม9’ เริ่ม 3.79ลบ.

WeView

นับจากต้นปีจนถึงตอนนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ยังอยู่ในภาวะทรงๆ หลังเจอหลากหลายปัจจัยลบกะทบ ความเชื่อมั่น ‘sentiment’ กำลังซื้อ ผู้บริโภคในภาพรวม . โดยเฉพาะ เหตุการณ์แผ่นดินไหวสะเทือนกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่เมื่อปลายเดือน มีนาคม 2568 . เหตุการณ์ในช่วงนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘การสอบไล่’ เพื่อคัดผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ‘Developer’ ของไทย ว่าใครจะ ‘ผ่าน’ เกณฑ์ ได้ไปต่อในตลาดอสังหาฯ หลังผ่านพ้นวิกฤตที่เกิดขึ้น . อันนี้ ยังไม่นับรวม ‘การสอบย่อย’ เพื่อแก้โจทย์กำลังซื้อผู้บริโภคโดยเฉพาะในตลาดระดับกลาง-ล่าง ที่หายไปหลังสถาบันการเงินปฏิเสธคำขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราเฉลี่ย 75–77% และอาจสูงถึง 90% ในกลุ่มสินค้าระดับต่ำราคา 3 ล้านบาทในปี 2567 ที่ผ่านมา . จากสถิติดังกล่าว ทำให้ในปี2568 นี้จะเห็นได้ว่ามี Dev. หลายรายต่างโฟกัสไปที่โปรดักส์ระดับหรู-พรีเมียม ด้วยเชื่อว่า เป็นกำลังซื้อที่ยังมีอยู่ . แต่หลังจากผ่านมาครึ่งทางของปี 2568 ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต่างยอมรับว่ากำลังซื้อระดับบนเองก็เริ่มจะชะลอตัวเช่นกัน ทำให้หลายแบรนด์ต้องหันกลับมาทบทวนแผนธุรกิจไปพร้อมบริหารพอร์ตสินค้าเพื่อควานหา ‘กำลังซื้อที่แท้จริง’ . ขณะที่ ‘แสนสิริ’ เป็นหนึ่งในนั้น ที่บอกว่าขอแตะเบรคการทำตลาดพรีเมียมก่อน แต่จะหันกลับมาบริหารพอร์ตโปรดักส์โครงการพร้อมอยู่ และเปิดโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพแทน . ทั้งนี้เพื่อเข้าหากำลังซื้อที่มีความต้องการชัดเจนจากกลุ่ม 1.ซื้ออยู่เอง และ 2.นักลงทุนในตลาดทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล  จังหวัดหัวเมือง เชียงใหม่ ชลบุรี และ ภูเก็ต . โดยในช่วง ที่เหลืออีก 4 เดือนสุดท้ายของปี2568 นี้ยังทำให้ ‘แสนสิริ’ เปิดตัวได้อีก 6-7 โครงการใหม่ (new launch) จากทั้งหมด 15 โครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้เมื่อต้นปี . [ทำไม ‘แสนสิริ’ ถึงทำได้] . สมัตถ์คม ต่างวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวสูง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ บอกว่าเป็นเพราะแสนสิริ มีฐานลูกค้าที่รอโปรดักส์ ออกมาทำตลาด . โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ ยิ่งทำให้ ‘ลูกค้า’ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน มองเห็นว่า แบรนด์ไหน? จะเอาอยู่กับการบริหารวิกฤตอสังหาฯ ในครั้งนี้ . ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนั้น เปรียบเสมือนการให้บริการหลังการขายของจริง และจับต้องได้ในความรู้สึกของลูกค้า และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้สินค้ากลุ่มคอนโดมีเนียม ของแสนสิริได้ไปต่อถึงในตอนนี้ . จากในช่วงก่อนหน้าตลาดอสังหาฯอยู่ท่ามกลางความกังวลของผู้บริโภคที่มองหาโครงการโลว์-ไรซ์ (8ชั้น)  มากกว่าโครงการไฮ-ไรซ์ แต่อย่างหลังแสนสิริก็ยังสามารถทำได้ดี จากยอด Sold-Out ในหลายโครงการที่เปิดจอง (Pre Sale) ไปก่อนหน้า . สมัตถ์คม บอกว่า การที่ ‘แสนสิริ’ ทำได้เป็นเพราะ ‘ขายความใช่’ ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะ ‘ทำเล’ ด้วยสินค้าโครงการพร้อมอยู่ (Ready to Move) ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ซึ่งตอนนี้มี ‘อินไซต์’ต้องการอยู่อาศัยใกล้กับสถานที่ทำงาน สถานที่เรียน  เพื่อลดการเดินทางและมีเวลาได้ใช้ชีวิตมากขึ้น . [กำลังซื้อที่ใช่] . นอกจาก ‘ทำเล’ แล้ว แสนสิริ ยังควานหาต่อถึงกำลังซื้อในตอนนี้ ที่มีอยู่สองกลุ่มที่ (คิดว่า) ใช่ นั่นคือ 1. ซื้อจริงอยู่จริง และ 2.นักลงทุน ที่ยังมีแรงซื้ออสังหาฯ กลุ่มคอนโด เพื่อปล่อยให้เช่าอยู่อาศัย . โดย ‘ดีมานด์’ เหล่านี้ ก็วกกลับมาตอบโจทย์เรื่องหลัก คือ การอยู่อาศัยในทำเลที่ใช่ในที่สุด แม้ว่าจะมีเทรนด์คนรุ่นใหม่ไม่ซื้อที่อยู่อาศัยและเป็นแนวคิด ไวรัล มาก่อนหน้า แต่สุดท้ายคนกลุ่มนี้ ก็ยังมองหาที่อยู่อาศัย จาก ‘ทำเล’ ใช้เป็นคีย์อยู่ดี   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง    ‘แสนสิริ’ มองตลาดคอนโดกลับสู่สถานการณ์อยู่อาศัยจริง คนเลือกทำเลใกล้ที่ทำงาน-ตลาดเช่ามาแรง   [The Base พระราม9 พร้อมอยู่ 3.79 ล.]   จากส่วนผสมทั้งหมดทำให้ ‘แสนสิริ’ ไปต่อด้วยการเปิดตัว ‘เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9’ (The Base Urban Rama 9)  คอนโดใหม่พร้อมอยู่ บนทำเลแยกผังเมือง ด้วยราคาเริ่มต้น 3.79 ล้านบาท (ราคาเฉลี่ย 128,000 บาท/ตารางเมตร) . โดยโครงการฯ มีมูลค่าราว 1,700 ล้านบาท เนื้อที่ 1 ไร่ เป็นอาคารพักอาศัยสูง 29 ชั้น 1 อาคาร มี ด้ 311 ยูนิต  และที่จอดรถรูปแบบ Auto-Parking ทั้งหมด รองรับได้ 54% . ในส่วนงานดีไซน์ มีให้เลือก 6 รูปแบบ ทั้งห้องแบบ Simplex และ LOFT ออกแบบมาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน   ในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางกว่ามีขนาด 2,700 ตร.ม. ออกแบบภายใต้แนวคิด ‘Uniquely your urban beat ชีวิตผลิต Beat ได้ไม่ซ้ำ’ ตอบโจทย์ทั้งพื้นที่ทำงาน Co-Working Space,  ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และมุมให้ความผ่อนคลาย . [ให้ยีลด์ 6%] . นอกจากทำเล ย่านใจกลางเมืองที่รายล้อมด้วยอาคารสำนักงานหลายแห่ง เพื่อรองรับลุ่มคนทำงาน ยังส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้ เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือการปล่อยเช่าเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงถึง 6% ก็ยังให้ความคุ้มค่าอย่างน่าสนใจ . โดย The Base Urban Rama 9 ให้เปิดจอง 13-14 ก.ย. นี้ ลงทะเบียนที่ https://siri.ly/jDpj0m7     Alternate-X สรุปให้    ตลาดอสังหาฯ ไทยปี 2568 ยังท้าทายจากปัจจัยลบและกำลังซื้อที่ชะลอตัว หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่กลายเป็นบททดสอบแบรนด์พัฒนาอสังหาฯ ไทยแสนสิริเลือกปรับกลยุทธ์หันมาจับ ‘ทำเลที่ใช่’ และโครงการพร้อมอยู่แทนตลาดพรีเมียมที่ชะลอการทำตลาดออกไปก่อน เพื่อเจาะกลุ่มกำลังซื้อจริงและนักลงทุนยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดคอนโด พร้อมเปิด The Base Urban Rama 9 เปิดตัวด้วยราคาเริ่ม 3.79 ลบ. พร้อมยีลด์ลงทุนสูงถึง 6%

September 8, 2025 / 0 Comments
read more

รู้จัก SDLG บนความท้าทายตลาดเครื่องจักรหนัก กับแผนเจาะอุตฯก่อสร้าง 2 แสนล.ในไทย

BizKet

Alternate X SDLG Thailand ชวนอ่านกลยุทธ์และทำความรู้จักกับ เอสดีแอลจี ‘SDLG’ แบรนด์ธุรกิจเครื่องจักรหนักสัญชาติจีน มาตรฐานยุโรป กับแผนเข้าตลาดไทยบนความท้าทายในอุตสากรรมก่อสร้างกว่า 2 แสนล้านบาท ด้วยกลยุทธ์การสร้างความเชื่อมั่นสินค้า ที่มาพร้อม’ราคา’ สมเหตุสมผลจากข้อได้เปรียบภาษีนำเข้า 0% จากประเทศจีน     SDLG ทำอะไร?   ก่อนอื่น มาทำความรู้จัก SDLG ดำเนินการภายใต้บริษัท ซานตงหลิงกง คอนสตรัคชั่น แมชชีนเนอรี (Shandong Lingong Construction Machinery Co., Ltd.) ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องจักรหนัก ประเทศจีน มานานร่วม 5 ทศวรรษในปัจจุบัน กับหลักคิดตลอดแนวทางการทำงานภายใต้มาตรฐานสากล ด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ถูกถ่ายทอดองค์ความรู้ (Know-How)  จาก Volvo CE ผู้ผลิตยนตกรรรมชั้นสูง ยุโรป ในช่วงก่อนหน้า มาสร้างจุดเด่นแบรนด์ให้มีความแตกต่างไปจากผู้เล่นรายอื่นจากฐานการผลิตในประเทศเดียวกัน   โดยจุดเด่นดังกล่าวนี่เอง ทำให้ SDLG มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการขยายตลาดนอกประเทศจีน ล่าสุด ‘ไทย’ นับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายปลายทางสำคัญ ที่ SDLG ตัดสินใจเข้ามาลงทุนเป็นแห่งที่สอง ต่อจากประเทศอินโดนีเซีย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้     พลิกโฉมงานก่อสร้าง ‘ไทย-จีน’   โดย SDLG ขยับการลงทุนครั้งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียฯ โดยใช้กลยุทธ์ความร่วมมือกับ บริษัท ที.ซี.ซี. ลิสซิ่ง แอนด์บิสซิเนส จำกัดในฐานะพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศไทย เพื่อจัดตั้ง 2 ธุรกิจใหม่ร่วมกันในประเทศไทย คือ   บริษัท เอสดีแอลจี ไทยแลนด์ จำกัด (SDLG Thailand) ใช้ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนการถือหุ้น 90% เป็นของบริษัทที.ที.ซีฯ และอีก 10% เป็นของบริษัท SLDG ประเทศจีน   ทำหน้าที่ นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องจักร SDLG อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งบริหารความพึงพอใจลูกค้าในภาพรวม   บริษัท เอสดีแอลจี ลีสซิ่ง แอนด์ เซอร์วิส (SLDG Leasing and services) ใช้ทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท พร้อมวงเงินสนับสนุนกว่า 4,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการถือหุ้น 66% เป็นของบริษัทที.ที.ซีฯ และอีก 34% เป็นของบริษัท SLDG ประเทศจีน   ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการด้านการเงินครบวงจร สำหรับรถใหม่ และรถมือสอง   ‘ยศวัฒน์  เรืองรักษ์ลิขิต’ กรรมการผู้จัดการบริษัท ที.ซี.ซี. ลิสซิ่ง แอนด์บิสซิเนส จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ เพื่อรองรับโอกาสทางการค้าและธุรกิจในอุตสาหกรรมงานก่อสร้างในไทยที่เติบโตต่อเนื่อง จากในไตรมาส2 ปี2568 มีมูลค่ามากกว่าสองแสนล้านบาท ขยายตัวราว 34.5% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน (อ้างอิงข้อมูล ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์)   โดยการเติบโตมาจาก ปัจจัยหลัก การขยายตัวงานก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐ และเอกชน โดยเฉพาะการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) รวมถึงความต้องการใช้งานรถขุด รถตัก และรถเกรดเดอร์ ในภาคการเกษตร เป็นต้น   แก้เพนต์พอยต์ ซ่อมนานรออะไหล่   ‘ยศวัฒน์’ กล่าวว่าแบรนด์ SDLG ภายใต้การดำเนินงานของ เอสดีแอลจี ไทยแลนด์ จะยังเข้ามาช่วยลูกค้าแก้ปัญหาเชิงลึก (Pinpoint)  โดยเฉพาะงานบริการหลังการขาย การดูแลซ่อมบำรุงเครื่องจักร โดยไม่ต้องรอชิ้นส่วนอะไหล่เป็นระยะเวลานาน ด้วยเครื่องจักรหนัก SDLG ในทุกรุ่น มีความพร้อมของอะไหล่ที่ตรงกับสล็อตและรุ่นการผลิต ซึ่งเป็นไปตามาตรฐานยุโรป   “จากประสบการณ์ในการทำตลาดบริษัทซี่งเป็นผู้นำเข้าและทำตลาดเครื่องจักรแบรนด์จีนมาก่อนหน้าไม่ต่ำกว่า 20 ปี พบเพนต์พอยต์หลัก คือ ลูกค้าจะรอระยะเวลาการซ่อมบำรุงนานซึ่งมาจากคำสั่งซื้ออะไหล่เครื่องจักรที่มักไม่ตรงรุ่นกับเครื่องจักรที่ใช้งาน ซึ่งกลายเป็นต้นทุนที่ลูกค้าต้องสูญเสียจากโอกาสในการทำงานของแต่ละวันที่หายไป” ยศวัฒน์ กล่าว   เจาะตลาดทั่วไทย   สำหรับแนวทางการทำธุรกิจของ เอสดีแอลจี ไทยแลนด์ จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ (Phase) คือ ในช่วง1-3 ปีแรก จะมุ่งสร้างระบบเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมสร้างการรับรู้แบรนด์ SDLG ให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ทั้งภาครัฐ เอกชน ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง โรงงาน เหมือง และภาคการเกษตร   โดย SDLG Thailand จะเป็นผู้นำเข้าและทำตลาดสินค้าเครื่องจักรหนักในรุ่นและราคาที่เหมาะสมมีตั้งแต่ระดับราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท ไปจนถึงระดับราคา 7-8 ล้านบาท   นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดศูนย์บริการหลังการขายและดูแลรักษา ในเบื้องต้นจำนวน16 แห่ง ครอบคลุมจังหวัดหัวเมืองทั่วประเทศ อาทิ เชียงใหม่, ขอนแก่น, อุดรธานี,อุบลราชธานี, สงขลา, สุราษฎร์ธานี, ชลบุรี, ระยอง, กรุงเทพฯ และ ภูเก็ต เป็นต้น   โดยในระยะถัดไป อาจมีแผนจัดตั้งโรงงานเอสดีแอลจี ในประเทศไทย เพื่อรองรับการเติบโตในอุตสาหกรรมก่อสร้างในอนาคต เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจร่วมกันในด้านต้นทุนการดำเนินงาน ด้วย   ‘การดูแล’ หัวใจเข้าถึงลูกค้า   ยศวัฒน์ กล่าวต่อ ถึงความท้าทายในการทำตลาดท่ามกลางการแข่งขันในตลาดที่มีผู้เล่นที่แข็งแรงก่อนหน้า โดยบริษัทฯ วางแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นแบรนด์ SDLG ในตลาดประเทศไทย โดยต่อยอดจากประสบการณ์ในตลาดเครื่องจักรหนักในช่วง 15 ปีก่อนหน้าที่ผ่านมา ซึ่งมีความคุ้นเคยและเข้าใจความต้องการเชิงลึกลูกค้ากลุ่มนี้ โดยเฉพาะงานบริการหลังการขายหลังจากสินค้าหมดประกัน ซึ่งบริษัทฯ มีฐานข้อมูล (Data Base) ไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน   “การทำงานของเอสดีแอลจี ไทยแลนด์ จะใช้ทั้งแผนเชิงรุกและรับเพื่อเข้าถึงฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ไปพร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีอยู่ในตลาดเครื่องจักรหนักที่ปัจจุบันมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท แบ่งสัดส่วน 80% เป็นกลุ่มรถขุด และ รถตัก” ยศวัฒน์ กล่าว     ลดต้นทุน เท่ากับเพิ่มโอกาส   ด้าน ‘คณิต ลิมปิพิชัย’ นายกสมาคมลีสซิ่งไทย เปิดเผยในฐานะกรรมการผู้บริหาร บริษัทเอสดีแอลจี ลิสซิ่งแอนด์เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า บริษัทวางแนวทางการทำตลาดเครื่องจักรหนัก SDLG ในประเทศไทย จะใช้จุดแข็งความครบวงจร ทั้งสินค้า งานบริการหลังการขาย และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อตอกย้ำจุดแข็งการเข้ามาทำตลาดในไทยอย่างจริงจัง   “จากประสบการณ์และความเข้าใจเชิงลึกกลุ่มลูกค้าที่มักนิยมโมเดลการเช่าซื้อเครื่องจักรหนักในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และระยะเวลาสัญญาการผ่อนเช่าซื้อที่เหมาะสม โดยบริษัทฯจะนำอินไซต์เหล่านี้พัฒนาทั้ง ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ด้วยสินค้ามาตรฐานยุโรป มาให้ความสะดวกและสภาพคล่องด้านราคาให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่เข้ามาช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน” คณิต กล่าว   โดยในเบื้องต้น บริษัทฯ เตรียมวงเงินสินเชื่อเช่าซื้อให้บริการรถใหม่และมือสองไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท พร้อมหมุนเวียนในระยะเวลาราว 4 ปี วางเป้าหมายในปี 2569 จะมียอดจำหน่ายเครื่องจักรหนัก SDLG ราว 500 คัน คิดเป็นมูลค่ารายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท จากนั้นในปีถัดไปจะเพิ่มเป็น 600 และ 700 คัน   จากแผนทั้งหมดของ SDLG ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นจากโอกาสการลงทุนทางธุรกิจที่สะท้อนผ่านศักยภาพการเติบโตอุตสาหกรรมก่อสร้าง และภาคการเกษตรของไทย ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวในอนาคต           Alternate-X สรุปให้   SDLG แบรนด์เครื่องจักรหนักจากจีน เดินหน้าขยายตลาดในไทย รับมูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้างกว่า 2 แสนล้านบาท ชูจุดแข็งมาตรฐานยุโรปที่ได้รับการถ่ายทอดจาก Volvo CE และข้อได้เปรียบภาษีนำเข้า 0% จากการร่วมทุนกับ TCC Leasing ตั้ง 2 บริษัทใหม่ในไทย ทั้งด้านจัดจำหน่ายและบริการทางการเงินครบวงจร เน้นเจาะตลาดด้วยบริการหลังการขายและอะไหล่ที่พร้อมรองรับ ลดปัญหาซ่อมนาน เพิ่มความมั่นใจลูกค้า เป้าหมายระยะยาว คือ สร้างเครือข่ายบริการทั่วประเทศ พร้อมโอกาสจัดตั้งโรงงานผลิตในอนาคต      

September 7, 2025 / 0 Comments
read more

เทรนด์ ‘กินล้างแค้น’พุ่งดันฟีเจอร์ ‘กินที่ร้าน’ โต 250% ‘แกร๊บ’ ให้จองคิว 500 ร้านเด็ด

BizKet

แกร็บ กระตุ้นเศรษฐกิจชวนคนออกไป Dine Out   อัปฟีเจอร์ ‘กินที่ร้าน’ กลยุทธ์เพิ่มยอดขายให้พาร์ทเนอร์ รวบ 500 ร้านอร่อยในกรุงเทพฯ-ภูเก็ต เปิดให้จองโต๊ะ ไม่พอยังได้ดีลคุ้มอีกด้วย   พนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด แกร็บ ประเทศไทย ผู้ให้บริการซูเปอร์แอปพลิเคชั่น ระดับภูมิภาค เปิดเผยว่า หลังจากเปิดตัวบริการ ‘กินที่ร้าน’ ในประเทศไทยไปเมื่อปี 2566 เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 ที่พบว่าหันออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ หรือเทรนด์ ‘Revenge Dining’ ซึ่งในช่วงแรก แกร็บได้ร่วมกับพันธมิตรร้านอาหารทำตลาดผ่านการเขายดีลส่วนลด ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน   โดยในปี 2567 แกร็บ มียอดการซื้อดีลเพื่อกินที่หน้าร้านเติบโตขึ้นกว่า 250%  ซึ่งหลังเข้าซื้อกิจการของ Chope ในปีที่ผ่านมา ยังทำให้ผสานจุดแข็งทั้งด้านเทคโนโลยีและเครือข่ายร้านอาหารของทั้งสองบริษัทไว้ด้วย ทำให้แกร็บสามารถให้บริการ Dine Out ได้อย่างเต็มรูปแบบ ครอบคลุมทั้งการจองโต๊ะร้านอาหารและการขายดีลส่วนลดสำหรับการไปกินที่ร้าน เพื่อนำเสนอประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาทั้งความสะดวกสบายและความคุ้มค่าภายในแอปพลิเคชันเดียว   พนมกร กล่าวว่า จากความครบวงจรบริการ ‘กินที่ร้าน’  ยังได้ขยายการให้ บริการจองโต๊ะร้านอาหาร (Dine Out Book Table)  เพื่อเจาะกลุ่มคนเมืองที่มีกำลังซื้อระดับกลางถึงบน โดยเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานที่ยินดีใช้จ่ายเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่น่าจดจำ โดยเฉพาะในโอกาสพิเศษหรือการเฉลิมฉลองโมเมนต์สำคัญ โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อมื้ออยู่ที่ประมาณ 500 – 1,500 บาท ต่อคน   สำหรับบริการ Dine Out Book Table แกร็บได้คัดร้านอาหารชั้นนำที่โดดเด่นทั้งในด้านบรรยากาศ รสชาติและคุณภาพของการให้บริการ ทั้ง ร้านไฟน์ไดน์นิ่ง ร้านดังในโรงแรม ร้านพรีเมียมแคชชวลไดน์นิ่ง รวมถึงร้านที่กำลังเป็นกระแส โดยปัจจุบันมีพันธมิตรร้านอาหารที่ร่วมให้บริการแล้วกว่า 500 แบรนด์ทั้งในกรุงเทพฯ และ ภูเก็ต และจะขยายพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต   นอกจากนี้ แกร็บยังมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ใช้บริการจองโต๊ะด้วยโปรโมชัน ‘Book with Grab, Get Free Dish’ รับฟรี! เมนูจานพิเศษ จากร้านที่ร่วมรายการ และพิเศษสำหรับผู้ใช้บริการที่ซื้อดีล เพียงใส่โค้ด ‘DINEOUT20’ รับส่วนลดสำหรับบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน Grab เพื่อใช้สำหรับการเดินทางไปยังร้านอาหาร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ Power of Superapp ที่แกร็บมุ่งผสานการทำงานของทุกธุรกิจภายในอีโคซิสเต็มเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างประสบการณ์มื้อพิเศษแบบไร้รอยต่อ ตั้งแต่การเดินทางจนถึงโต๊ะอาหาร       ชอบแบบไหนไปดีลนั้น     พนมกร  กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากผลสำรวจผู้ใช้บริการ GrabFood พบว่าดีลส่วนลดที่ดึงดูดใจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจไปรับประทานอาหารนอกบ้าน  รองจากเมนูที่ขาย และระยะทางในการเดินทางไปที่ร้าน โดยแกร็บได้นำมาพัฒนาสู่การขายดีลส่วนลดร้านอาหาร เพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้บริการที่มองหาความคุ้มค่าเป็นหลัก   ปัจจุบัน แกร็บนำเสนอดีลส่วนลดร้านอาหารใน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่   Voucher Deals หรือดีลส่วนลดที่สามารถซื้อล่วงหน้าเพื่อนำไปใช้รับส่วนลดหรือรับเซ็ตเมนูอาหารราคาพิเศษได้ที่หน้าร้าน Total Bill Discount หรือดีลส่วนลดทั้งบิล ที่สามารถใช้เพื่อรับส่วนลดได้ทันทีเมื่ออยู่ที่ร้านอาหาร โดยมีพันธมิตรร้านอาหารที่ร่วมรายการมากกว่า 2,500 แบรนด์ ครอบคลุมตั้งแต่เชนร้านอาหารจานด่วนไปจนถึงร้านหรูระดับพรีเมียม   สำหรับ ดีลส่วนลดเหล่านี้ เพื่อรองรับพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้บริโภค โดยผู้ใช้บริการ Dine Out Deals แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ตามอินไซต์ของการใช้บริการ อันได้แก่   กลุ่มที่ชอบรับประทานคนเดียว (Solo Treats) ซึ่งนิยมซื้อดีลอาหารประเภทเซ็ตเมนูจากร้านในห้างหรือเชนร้านอาหารยอดนิยม ตอบโจทย์พฤติกรรมการให้รางวัลตัวเองในมื้อกลางวัน หรือการกินมื้อค่ำคนเดียวที่เน้นความสะดวกและคุ้มค่า กลุ่มคู่รักหรือคนที่ชอบรับประทานเป็นคู่ (Couple Dine Out) ซึ่งนิยมซื้อดีลจากคาเฟ่ ร้านขนมหวาน และร้านแคชชวลไดน์นิ่งที่กำลังเป็นกระแส เพื่อไปเดทหรือใช้วันว่างร่วมกันได้บ่อยขึ้น กลุ่มที่ชอบรับประทานด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ (Group Gathering) ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะในร้านบุฟเฟ่ต์ ปิ้งย่าง สุกี้และชาบู ซึ่งถือเป็น 3 ประเภทร้านอาหารยอดนิยมของคนไทยเมื่อต้องการไปกินอาหารร่วมกันเป็นกลุ่ม   พนมกร กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวบริการ Dine Out เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการ แกร็บ ได้ส่งแคมเปญใหญ่ ‘ไม่พลาด ดีลดี มีโต๊ะ’ (The Missing Deals & Table) ในช่วงไตรมาสสาม เพื่อสื่อสารถึงสิทธิประโยชน์ให้กับผู้บริโภค ทั้งมูลค่าของดีลส่วนลดค่าอาหารที่สูญไป หรือเวลาที่เสียไประหว่างรอโต๊ะเพราะไม่ได้จองล่วงหน้า ด้วยกลยุทธ์การตลาด 360 องศาเพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง   นอกจากนี้ ยังปลุกกระแส FOMO กลัวพลาดเทรนด์ของผู้บริโภค ผ่านการใช้สื่อและกิจกรรมออฟไลน์สร้างสรรค์ทั่วกรุงเทพฯ อย่าง กองดีลมหึมาใจกลางลานพาร์คพารากอน รถบรรทุกดีลที่วิ่งทั่วกรุงเทพฯ และบิลบอร์ดในย่านร้านอาหารยอดนิยม พร้อมจัดเต็มแคมเปญโฆษณาผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม ด้วย     Alternate-X สรุปให้     แกร็บดันบริการ ‘กินที่ร้าน’ โตพุ่ง 250% หลังเทรนด์ ‘กินล้างแค้น’ ยังมาแรงในไทย ผู้บริโภคหันกลับไปกินข้าวนอกบ้านเพื่อประสบการณ์ใหม่หลังโควิด แกร็บ เปิดบริการจองคิวร้านอร่อยในกระแสกว่า 500 ร้านดังทั้งกรุงเทพฯ และภูเก็ต ดึงดีลส่วนลด + การจองโต๊ะ ผ่านซูเปอร์แอป แบบไร้รอยต่อ พร้อมส่งแคมเปญ ‘ไม่พลาด ดีลดี มีโต๊ะ’ ดึงลูกค้ากลุ่มวัยทำงาน–คนเมือง

September 6, 2025 / 0 Comments
read more

Bitget ชี้บิตคอยน์ 140,000 ดอลลาร์ อีธีเรียม 6,000 ดอลลาร์ นักลงทุนใช้ DCA รับโอกาสสูง

BizKet

Bitget เผยบิตคอยน์มีลุ้นแตะ 140,000 – อีธีเรียมมีลุ้น 6,000 ดอลลาร์ หากเฟดใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายแต่ถ้าเงินเฟ้อยังสูงอาจกดดันราคา   เกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก กล่าวว่า คำปราศรัยของ ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (เฟด) ในงานประชุมที่ Jackson Hole มีนัยยะสำคัญต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินคือคณะกรรมการนโยบายการเงินให้ความสำคัญกับแนวโน้มเงินเฟ้อมากกว่าความกังวลในตลาดแรงงานระยะสั้น จากข้อความนี้อาจทำให้ความผันผวนในตลาดการลงทุนยังคงมีอยู่ต่อไปเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ ฯ ยังคงอยู่ในระดับ 2.7% สูงกว่าเป้าหมายระดับ 2% ค่อนข้างมาก   อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดจะมองว่ามีความเป็นไปได้ 80% ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้ แต่อาจจะไม่ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องตามที่นักลงทุนคาดหวังก็เป็นได้เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแบบชะงักงัน ( stagflation ) ที่เกิดจากการขึ้นราคาสินค้าด้วยภาษีขณะที่การเติบโตของแรงงานชะลอตัวลง เราจึงไม่สามารถคาดหวังได้ถึงการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ   “ทิศทางราคาบิตคอยน์และอีธีเรียมมีแนวโน้มที่จะขึ้นอยู่กับนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ หากมีสัญญาณการใช้นโยบายที่เข้มงวด (hawkish) จากเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อราคาอาจปรับตัวลง แต่ถ้าส่งสัญญาณผ่อนคลาย (dovish) ราคาบิตคอยน์มีโอกาสแตะระดับ 140,000 ดอลลาร์ และอีธีเรียมอาจแตะระดับ 6,000 ดอลลาร์ แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ซื้อขายแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA)เพื่อลดความเสี่ยงจากความอ่อนไหวของคริปโทต่อปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค” เกรซี่ เฉิน  กล่าว   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง คริปโทฯ สดใส หลังสหรัฐฯ คลายกฎลงทุน Bitget ลุ้น ETH แตะ 3,000 ดอลลาร์ฯ     ด้าน ไรอัน ลี หัวหน้านักวิเคราะห์ ของ บิตเก็ต กล่าวว่าแนวโน้มในช่วงระยะสั้นนี้ราคาอีธีเรียมมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าบิตคอยน์จากปัจจัยพื้นฐานที่เกิดการใช้งานบล็อกเชนที่เพิ่มขึ้นตลอดจนความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่มากขึ้นทำให้เห็นแนวโน้มที่นักลงทุนระดับวาฬหรือรายใหญ่เริ่มที่จะมีการขายบิทคอยน์ออกมาเพื่อลงทุนในอีธีเรียมมากขึ้น ขณะที่บิตคอยน์ยังคงมีปัจจัยบวกจากข้อมูล On-chain ชี้ให้เห็นถึงการลดลงของ ซัพพลายสำรองในกระดานเทรด (exchange reserves) บ่งบอกถึงแรงขายที่ลดลงและมีศักยภาพสำหรับการฟื้นตัว ภาพรวมในระยะกลางถึงยาวทั้งสองสินทรัพย์ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง   นอกจากอีธีเรียมที่มีแนวโน้มเติบโต กระแสของการเงินไร้ตัวกลางหรือ DeFi ยังมีโอกาสที่จะเติบโตเช่นกันจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศสนับสนุน DeFi เช่นเดียวกับ Stablecoin เห็นได้จากการเติบโตของทองคำในรูปแบบโทเคน (Tokenized Gold) ที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 2.5 พันล้านดอลลาร์ช่วยเปิดประตูสู่การเป็นเจ้าของแบบ fractional ownership ผู้ที่มีเงินลงทุนจำนวนไม่มากก็สามารถที่จะลงทุนสินทรัพย์ต่างๆได้   รวมถึงทองคำโทเคนไม่ใช่แค่การลงทุนเฉพาะกลุ่มรายย่อยอีกต่อไป ปัจจุบันมากกว่า 40% ของผู้ถือครอง นำโทเคนไปใช้ในกลยุทธ์ DeFi lending และ yield farming เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนและป้องกันความเสี่ยง สะท้อนถึงความนิยมใน DeFi ที่เพิ่มสูงขึ้นและน่าจะเห็นโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น   โดยโปรเจกต์ที่ต้องจับตาคือ World Liberty Finance (WLFI) ซึ่งเป็น DeFi Protocol บริหารโดย โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (Donald Trump Jr.) ลูกชายของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเริ่มจากการออก Stablecoin ของตัวเอง ความนิยมในโปรเจกต์ดังกล่าวทำให้โทเคนที่เพิ่งเปิดตัวออกมาถูกลิสต์ในกระดานซื้อขายชั้นนำทั่วโลกรวมถึง Bitget ที่ลิสต์ในส่วนของ Innovation และ DeFi ต้องจับตาว่าโปรเจกต์นี้จะสร้างความรับรู้เรื่อง DeFi ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นได้หรือไม่     AlterNate-X สรุปให้   Bitget ชี้บิตคอยน์มีโอกาสแตะ 140,000 ดอลลาร์ อีธีเรียม 6,000 ดอลลาร์ หากเฟดผ่อนคลายนโยบายการเงิน สำหรับนักลงทุนแนะนำใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ขณะที่ ราคาอีธีเรียมอาจสร้างผลตอบแทนสูงกว่าบิตคอยน์ในระยะสั้นจากความสนใจของนักลงทุนสถาบัน ส่วน DeFi และ Stablecoin กำลังเติบโต พร้อมทองคำโทเคนที่ช่วยให้ลงทุนแบบ fractional ownership และโปรเจกต์ World Liberty Finance (WLFI) ของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ น่าจับตามองในตลาด DeFi และกระดานเทรด Bitget    

September 5, 2025 / 0 Comments
read more

ทำสินค้าไทย 4 ภาคให้เริ่ด! ต้องสร้างสรรค์-ดีไซน์ CEA ชวนธุรกิจท้องถิ่นสร้างแบรนด์ภูมิภาค

BizKet,  EcoVative,  Peace&Play

จะเกิดอะไรขึ้น?!? เมื่อ CEA จับคาแรกเตอร์ในแต่ละภูมิภาคไทยมาใส่ดีไซน์ไอเดียสร้างเป็นแบรนด์ โดยความน่าสนใจอยู่ที่ทั้ง 4 ภาคมี 4 อัตลักษณ์ และถ้าจะทำให้ขึ้นต้องใช้ธีมเข้ามากำกับด้วยชุดแบรนดิ้งสำเร็จรูป พร้อมดาวน์โหลดฟรี     อาสา ผิวขำ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม ภายใต้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA กล่าวว่า ปัจจุบัน อุตสาหกรรมสร้างสรรค์เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และมีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2566 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 15 สาขาของไทยมีมูลค่ารวมสูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 8.01% ของ GDP ประเทศ และก่อให้เกิดการจ้างงานเกือบ 1 ล้านคน   ขณะที่ในปี 2567 ผู้ประกอบที่เข้าร่วมโครงการของ CEA มีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30% จากการเข้าร่วมอบรมกิจกรรมเพื่อยกระดับธุรกิจสร้างสรรค์ โดย CEA ตั้งเป้าผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้เติบโตขึ้นอีก 5% ภายในปี 2570 โดยมุ่งเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก   ทั้งนี้เพื่อขยายขีดความสามารถผู้ประกอบการท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง CEA เปิดตัวโครงการแบรนดิ้งผลิตภัณฑ์ 4 ภูมิภาค เป็นหนึ่งในเครื่องมือช่วยเสริมความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นตัวขับเคลื่อน   สร้างพลังแบรนดิ้ง  4 ภาค   ทั้งนี้ จากการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการทั่วประเทศ CEA พบว่าหลายธุรกิจยังคงโฟกัสเฉพาะ ‘สินค้า’ โดยละเลย ‘แบรนด์’ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดด้านการแข่งขันในตลาดยุคใหม่ โครงการ Branding 4 Regions ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ประกอบการสร้างตัวตนของแบรนด์ได้ง่ายขึ้น โดยผสาน ดีเอ็นเอของทั้ง 4 ภูมิภาคเข้ากับแบรนด์ เพื่อเสริมพลังซอฟต์พาวเวอร์ท้องถิ่น   ภควัต วงศ์ไทย นักพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจและนวัตกรรมอาวุโส ให้ข้อมูลว่าชุดแบรนดิ้งสำเร็จรูป (Regional Branding Kit) จากโครงการ Branding 4 Regions เปรียบเสมือนเป็นชุดเครื่องมือพร้อมใช้สำหรับการเริ่มต้นสร้างแบรนด์ ที่ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์โดยนักออกแบบที่ทำงานร่วมกับพื้นที่ สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่างร่วมสมัย ครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ พร้อมให้ผู้ประกอบการ นักออกแบบ และภาคธุรกิจ นำไปต่อยอดพัฒนาแบรนดิ้งให้กับสินค้าและบริการได้อย่างสะดวกมากขึ้น   โดยโครงการ Branding 4 Regions จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยวางรากฐาน ทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจและกล้าที่จะเริ่มต้นสร้างแบรนด์ด้วยการหยิบจับเทมเพลตต่าง ๆ จาก Regional Branding Kit นี้ มาปรับให้เข้ากับธุรกิจ สินค้า หรือบริการของตนเอง เพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยสะท้อนอัตลักษณ์ของแต่ละภูมิภาคให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วย   ทั้งนี้ ‘Regional Branding Kit’ นี้ถูกออกแบบมาให้นำไปประยุกต์ใช้ได้ง่าย ไม่ซับซ้อน โดยผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลไปช่วยพัฒนาโลโก้ รูปภาพการสื่อสารต่าง ๆ เพื่อการขาย การพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงกระบวนการอื่น ๆ ในการสร้างแบรนด์ ช่วยให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีความเชี่ยวชาญเรื่องดีไซน์ ไม่มีทุนที่จะไปจ้างดีไซเนอร์ สามารถทดลองและนำชุดแบรนดิ้งสำเร็จรูปนี้ไปใช้ได้ง่ายและเกิดประโยชน์จริง   ขณะเดียวกัน แบรนดิ้งผลิตภัณฑ์ 4 ภูมิภาค ยังเป็นการเชื่อมโยงทุนทางวัฒนธรรมประจำถิ่นมาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบเป็นชุดแบรนดิ้งสำเร็จรูป (Regional Branding Kit) ซึ่งประกอบด้วยธีมและคอนเซ็ปต์ที่ช่วยเป็นแนวทางการบอกเล่าเรื่องแบรนด์ของแต่ละภูมิภาค, โลโก้, ชุดสีหลัก, ฟ้อนต์, เทมเพลตพื้นฐานสำหรับนำไปปรับใช้ต่อกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น แผ่นรองแก้ว, กล่อง, เทปกาว, ปลอกหุ้มแก้ว, เทปกาว, ซองตะเกียบ ฯลฯ โดยผู้ประกอบการสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี เพื่อนำไปปรับ แก้ไข และต่อยอด เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์   สำหรับ ชุดแบรนดิ้งสำเร็จรูป (Regional Branding Kit) ครอบคลุม 4 ภูมิภาค ด้วยคอนเซ็ปต์เฉพาะตัวและมีเอกลักษณ์โดดเด่น     ภาคเหนือ: Goodness North ภาคเหนือแสนดี   ธรรมชาติอันงดงามท่ามกลางบรรยากาศแสนสงบ ได้หล่อหลอมให้เกิดความลึกซึ้งละมุนละไมของการใช้ชีวิต ก่อเกิดเป็นทรัพย์สินและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทรงคุณค่า รวมถึงการตกผลึกทางความคิดอันลึกซึ้ง ส่งผลให้ผู้คนในภาคเหนือแสวงหาความเรียบง่าย ตระหนักถึงธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ใส่ใจทั้งตนเองและชุมชน พร้อมปรับตัวเพื่อเปิดรับโอกาสใหม่ ๆ อยู่เสมอ Slogan: ความดีงามที่ลึกซึ้งอย่างยั่งยืน (Serenity Sparks Sustainable Goodness)     ภาคกลาง: Klang Glam ภาคกลางระยิบระยับ   ภาคกลางพร้อมต้อนรับผู้คนที่หลากหลายทั้งความทันสมัยของชีวิตในเมืองที่ไม่เคยหลับใหล วัฒนธรรมประเพณีอันงดงามที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนาน รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ทุกองค์ประกอบล้วนประสานกันอย่างลงตัวและสง่างาม จะมองไปทางใดก็มีแต่ความระยิบระยับเปล่งประกายจากทั่วทุกพื้นที่ Slogan: ความเปล่งประกายจากทั่วสารทิศ (The Illumination of All Sights)     ภาคอีสาน: Isan Exuberance ภาคอีสานพร้อมสรรพ   พลังแห่งมิตรภาพ ความมีชีวิตชีวา และความสนุกสนานอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทุกคนต้องสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต ภูมิภาคแห่งนี้มีทุกสิ่งพร้อมสรรพ ทั้งสินทรัพย์ท้องถิ่น ทุนทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ภูมิปัญญาที่ตกทอดจากบรรพบุรุษ ความหลากหลายของธรรมชาติ ตลอดจนผู้คนที่รักและภูมิใจในความเป็นเลือดอีสานที่พร้อมทุ่มเทพลังในการยกระดับภูมิภาคอันเป็นที่รักให้เติบโต ทั้งหมดนี้หลอมรวมเป็นเสน่ห์เปี่ยมสีสัน ตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด Slogan: ความพรั่งพร้อมที่เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตชีวาและมิตรภาพ (A Great Deal of Vivid Experiences)       ภาคใต้: Blissome Pakk Taii ภาคใต้สุขสำราญ   ปักษ์ใต้คือดินแดนที่งดงามดั่งสรวงสวรรค์ หลอมรวมทั้งธรรมชาติที่สร้างบรรยากาศแห่งการพักผ่อนจาก ‘เขา ป่า นา เล’ พร้อมท้องทะเลอันมีเอกลักษณ์ทางฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน อาหารรสชาติจัดจ้านที่รังสรรค์จากวัตถุดิบหลากหลายของภูมิภาค รวมถึงประวัติศาสตร์อันรุ่มรวยและวิถีชีวิตของผู้คนจากพหุวัฒนธรรม ทั้งหมดนี้ล้วนสร้างความสุขสำราญใจ บ่มเพาะความรู้สึกของผู้มาเยือน จากความรู้สึกทั่ว ๆ ไปให้กลายเป็นความรัก Slogan: สรวงสวรรค์ที่หลอมรวมทุกความสุขไว้ด้วยกัน (The Serendipities in Paradise)   เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงถ่ายทอดรากวัฒนธรรม วิถีชีวิต และประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น แต่ยังถูกออกแบบให้ร่วมสมัย เหมาะสำหรับการต่อยอดสู่สินค้า การออกแบบ บริการ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมโยงอัตลักษณ์ท้องถิ่นกับความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก   ดาวน์โหลดฟรีได้แล้ววันนี้ https://www.cea.or.th/storage/app/media/Project-pdf/FINAL_E-book_Regional_branding_kit.pdf   โดยชุดแบรนดิ้งสำเร็จรูป (Regional Branding Kit) เปิดให้ผู้ประกอบการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้สนใจทั่วไปดาวน์โหลดได้ฟรี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างแบรนดิ้งแบบพร้อมใช้ ให้คุณได้มีคู่มือในการพัฒนาศักยภาพธุรกิจ และร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติม https://www.cea.or.th/th/single-project/branding-4-regions       Alternate-X สรุปให้     CEA เปิดตัวโครงการ ‘แบรนดิ้ง 4 ภูมิภาค’ เสริมพลังผู้ประกอบการท้องถิ่น พร้อม Regional Branding Kit ฟรี ชุดแบรนดิ้งสำเร็จรูปใช้งานง่าย สะท้อนอัตลักษณ์ไทยทั้ง 4 ภูมิภาคผ่านดีไซน์ร่วมสมัย ช่วยสร้างแบรนด์สินค้าและบริการให้แข็งแกร่ง เข้าสู่ตลาดโลก ผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

September 5, 2025 / 0 Comments
read more

กลยุทธ์ รพ.‘MedPark’ คอลแล็บส์แพทย์มือหนึ่ง เปิดศูนย์ปลูกถ่ายเส้นผมขายฐานคนไข้

BizKet,  Peace&Play

โรงพยาบาลเมดพาร์ค ดึงแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเปิด ‘ศูนย์ปลูกถ่ายเส้นผม’ ขยายฐานผู้รับบริการชาวต่างชาติ มองอนาคตความใส่ใจบุคลิกภาพศรีษะ ขุมทรัพย์เศรษฐกิจพันล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ   นายแพทย์พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลเมดพาร์ค กล่าวว่าโรงพยาบาลเมดพาร์ค ดำเนินกิจการสู่ปีที่ 5 ในปัจจุบัน ด้วยวิสัยทัศน์มุ่งสู่โรงพยาบาลเอกชนศูนย์รวมแพทย์เฉพาะทางระดับแนวหน้าในทุกสาขา ล่าสุดวางกลยุทธ์การให้บริการทางการแพทย์ โดยร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการปลูกถ่ายเส้นผม เปิดตัวศูนย์ปลูกถ่ายเส้นผม (Hair Restoration Center) อย่างเป็นทางการภายในโรงพยาบาลเมดพาร์ค เพื่อรองรับความต้องการผู้เข้ารับบริการทั้งกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติ ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง   “เมดพาร์คได้รับเกียรติจากนายแพทย์ดำเกิง ปฐมวาณิชย์ มารับหน้าที่หัวหน้าศูนย์ฯ ซึ่งท่านเป็นผู้บุกเบิกการปลูกผมในประเทศไทย ซึ่งยังสะท้อนถึงความสำคัญในการเลือกพันธมิตรสู่ความร่วมมือที่ดีในการก่อตั้ง ศูนย์ปลูกถ่ายเส้นผม แห่งนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการรักษาให้กับผู้เข้ารับบริการ พร้อมสร้างมาตรฐานการปลูกผมที่มีความปลอดภัยในระดับโรงพยาบาลอีกด้วย” นายแพทย์พงษ์พัฒน์ กล่าว       ธุรกิจ Billions of Dollars     นายแพทย์ดำเกิง ปฐมวาณิชย์ ผู้บุกเบิกวงการปลูกผมในประเทศไทย เปิดเผยในฐานะหัวหน้าศูนย์ปลูกถ่ายเส้นผม โรงพยาบาลเมดพาร์ค กล่าววว่า ศูนย์ฯดังกล่าวถือเป็นหนึ่งใน3 ที่ให้บริการด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและด้านความเชื่อมั่นระดับโรงพยาบาลของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาขาบริการทางการแพทย์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการในยุคปัจจุบัน   “ศูนย์ฯ มีจุดเด่นที่แตกต่างไปจากการรับบริการจากคลินิกปลูกผม คือ ผู้ใช้บริการ/คนไข้ จะอยู่ภายใต้การดูแลร่วมกันของแพทย์เฉพาะทางต่างสาขา อาทิ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ที่มีความต้องการปลูกผม ขณะที่โรงพยาบาลเมดพาร์ค มีแพทย์เฉพาะทางด้านต่าง ๆ ที่สามารถให้คำปรึกษาควบคู่ไปกับการวางแผนปลูกผมได้อย่างปลอดภัย” นายแพทย์ดำเกิง กล่าว     ทั้งนี้ ศูนย์ปลูกถ่ายเส้นผม โรงพยาบาลเมดพาร์ค ให้บริการแก้ปัญหาผมบางและศีรษะล้านได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ขั้นตอนวินิจฉัย วางแผนการรักษารายบุคคล จนถึงการปลูกผมด้วยเทคนิคที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานโรงพยาบาล ประกอบด้วยการปลูกผม 3 เทคนิคสำคัญ ได้แก่   FUE (Follicular Unit Extraction): การปลูกผมแบบเจาะย้ายรากผมทีละกอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว FUT (Follicular Unit Transplantation): การปลูกผมโดยการผ่าตัดย้ายแถบหนังศีรษะ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจำนวนกราฟต์มาก ๆ เพราะสามารถเก็บกราฟต์ได้คุณภาพสูง ลดการสูญเสียรากผม และเพิ่มความหนาแน่นของเส้นผมที่ปลูกใหม่ได้เป็นอย่างดี Combo (FUE + FUT): การผสมผสานทั้งสองเทคนิค สำหรับกรณีที่ต้องการผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ในระดับสูงสุด   สำหรับ ศูนย์ฯ ดังกล่าวรองรับกลุ่มเป้าหมายทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มหลังที่ให้ความสนใจเข้ามาปรึกษาเพื่อใช้บริการปลูกผมด้วยเทคนิคดังกล่าว จากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางของไทย โดยมีกรณี (Case) ที่น่าสนใจเข้ามารับบริการ จากชาวต่างชาติอายุ95 ปี และได้ผลตอบรับพึงพอใจกลับไป   “ระยะเวลาการปลูกผมต่อกราฟโดยเฉลี่ยเห็นผลจะอยู่ที่ประมาณ 4 สัปดาห์ หรือราว 1 เดือน จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการติดตามผล ซึ่งอัตราค่าบริการจะแตกต่างออกไปในแต่ละเคสขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยในภาพรวมของผู้เข้ารับบริการด้วย” นายแพทย์ดำเกิง กล่าวพร้อมเสริมว่า “ผู้มีปัญหาผมบาง ศรีษะล้าน ซึ่งมักพบในเพศชายส่วนใหญ่และจะมีปัญหามากขึ้นตามวัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากสถิติ 95% มาจากพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น และอีก 5% มาจากปัจจัยสภาพแวดล้อมและอาหารการกินประจำวัน”   อย่างไรก็ตาม งานบริการทางการแพทย์เพื่อรักษาและการปลูกผม ในปัจจุบันมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง และเป็นที่น่าสนใจในเชิงวิชาการทางการแพทย์ที่ขณะนี้มีการศึกษาด้านดังกล่าว รวมถึงงานวิจัยเกี่ยวกับผมหงอกเกี่ยวกับการชะลอการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี (Melanin) เส้นผมด้วยมีความเกี่ยวพันกับระบบเศรษฐกิจและธุรกิจหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (Billions Dollars) และมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต         Alternate-X สรุปให้   โรงพยาบาลเมดพาร์ค เดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ เปิดศูนย์ปลูกถ่ายเส้นผมภายในโรงพยาบาล ดึงทีมแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง นำโดยผู้บุกเบิกการปลูกผมในประเทศไทย รองรับทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ที่ต้องการแก้ปัญหาผมบางและศีรษะล้าน ศูนย์ฯ มีบริการครบวงจร ตั้งแต่วินิจฉัย ออกแบบการรักษา จนถึงเทคนิคปลูกผมมาตรฐานสากล ชูจุดแข็งความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในระดับโรงพยาบาล สร้างฐานธุรกิจสุขภาพมูลค่าพันล้านดอลลาร์  

September 5, 2025 / 0 Comments
read more

UIH Cloud HM คว้าใบรับรอง ISO/IEC 27018 ย้ำผู้นำ Multi-Cloud Expert

PRnounce

UIH ยกระดับมาตรฐานบริการ Cloud HM ตอกย้ำผู้นำ Multi-Cloud Expert ของไทย  คว้าใบรับรอง ISO/IEC 27018 จาก BSI   บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (UIH) ผู้ให้บริการโซลูชันดิจิทัลครบวงจร ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ เมื่อ Cloud HM ผลิตภัณฑ์ด้านบริการ Multi-Cloud Expert ภายใต้การบริหารของ UIH ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 27018:2019 ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PII) บนระบบคลาวด์สาธารณะ จากสถาบัน British Standards Institution (BSI) Cloud HM: Multi-Cloud Expert ภายใต้ UIH ได้รับการรับรอง ISO/IEC 27018 มาตรฐาน ISO/IEC 27018:2019 เป็นมาตรฐานสากลสำหรับผู้ให้บริการคลาวด์ในฐานะ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (PII Processor) ซึ่งกำหนดแนวทางการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าในสภาพแวดล้อมคลาวด์อย่างเข้มงวด การได้รับการรับรองครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Cloud HM ผลิตภัณฑ์ภายใต้ UIH ไม่เพียงแค่เป็นผู้นำด้านบริการ Multi-Cloud แต่ยังมีมาตรการปกป้องข้อมูลที่ได้มาตรฐานระดับโลก และสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย (PDPA) คำยืนยันจาก Cloud HM – Your Multi-Cloud Expert นายปกาสิต วัฒนา กรรมการผู้จัดการ Cloud HM ภายใต้ UIH กล่าวว่า  การได้รับการรับรอง ISO/IEC 27018 คือการยืนยันอีกขั้นว่า Cloud HM ในฐานะ Multi-Cloud Expert ของไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ลูกค้าทุกองค์กรสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะได้รับการจัดการอย่างโปร่งใส ปลอดภัย และตามมาตรฐานสากล UIH มุ่งสู่การเป็น AI-Ready Provider ด้วย Cloud HM – Multi-Cloud Expert ที่องค์กรไว้วางใจ การรับรอง ISO/IEC 27018 จาก BSI ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า UIH มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานบริการดิจิทัลในทุกมิติ ครอบคลุม Multi-Cloud, Cybersecurity, Connectivity และ Application Services โดยมี Cloud HM เป็น ผลิตภัณฑ์หลักที่วางตำแหน่งชัดเจนในฐานะ “Your Multi-Cloud Expert” พร้อมส่งมอบบริการครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้งระบบ ไปจนถึงการสำรองข้อมูลและ Disaster Recovery ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงและเชื่อถือได้ UIH และ Cloud HM ยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรทุกระดับ ตั้งแต่ธุรกิจ SME จนถึงองค์กรระดับ Enterprise ว่า Cloud HM จะเป็น Multi-Cloud Expert ที่อยู่เคียงข้างธุรกิจไทยในการก้าวสู่อนาคตดิจิทัลอย่างมั่นใจ  

September 5, 2025 / 0 Comments
read more

รู้จัก ‘Bombardier’ จากผู้ผลิตรถกวาดหิมะ สู่เครื่องบินเจ็ตหรูที่’คุณก็รู้ว่าใคร’บินไปดูไบ

Zcreat

การเดินทางออกนอกประเทศของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ได้กลายเป็นที่สนใจในสื่อ หลังจากที่เขาออกจากประเทศไทยด้วย เครื่องบินส่วนตัว ของ MJETS จากท่าอากาศยานดอนเมือง Story by Jittrapon ponlawat     โดยมีจุดหมายที่แจ้งกับสาธารณชนว่าเป็นประเทศสิงคโปร์เพื่อไปตรวจสุขภาพ แต่เส้นทางการบินกลับเปลี่ยนแปลง เมื่อเครื่องบินผ่านมาเลเซีย เครื่องบินได้หันหัวมุ่งไปทางอ่าวเบงกอล ซึ่งท้ายที่สุดชัดเจนว่า จุดหมายปลายทางของทักษิณคือนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์   ตามรายงานข่าวระบุวา การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เป็นการหลบหนี เนื่องจากคดีอาญามาตรา 112 สิ้นสุดลงแล้ว และพาสปอร์ตที่เคยถูกอายัดก็ได้รับการปลดล็อก ทำให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ตามปกติ   สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือ เครื่องบินส่วนตัวที่ใช้ในการเดินทางในครั้งนี้ คือหนึ่งในรุ่น Business Jet ระดับหรูจากบริษัท Bombardier ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจชั้นนำของโลก และมีประวัติที่น่าทึ่ง ตั้งแต่การก่อตั้งในปี 1942 จากการสร้าง รถกวาดหิมะ (Snowmobile) จนกลายเป็นบริษัทอากาศยานระดับโลก   จุดเริ่มต้นจากรถกวาดหิมะ   Bombardier Inc. ก่อตั้งโดย Joseph-Armand Bombardier ในปี 1942 ที่เมือง Valcourt ประเทศแคนาดา จุดเริ่มต้นเกิดจากเหตุการณ์ส่วนตัวที่สะเทือนใจ เมื่อ Joseph-Armand สูญเสียลูกชายวัย 2 ขวบเพราะไม่สามารถเข้าถึงโรงพยาบาลได้ทันเนื่องจากหิมะหนาทึบ ความสูญเสียครั้งนี้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาฝันสร้างยานพาหนะที่สามารถ “ลอยตัวบนหิมะ” ได้   ในปี 1935 Joseph-Armand ออกแบบและสร้าง รถหิมะ B7 Snow Coach ซึ่งสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 7 คน และถูกนำไปใช้ในพื้นที่ชนบทของ Quebec สำหรับขนส่งเด็กไปโรงเรียน ขนส่งสินค้า ส่งไปรษณีย์ และทำหน้าที่เป็นรถพยาบาล หลังจากนั้นในปี 1941 เขาเปิดโรงงานผลิตใน Valcourt และต่อมาปี 1942 ก่อตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการในชื่อ L’Auto-Neige Bombardier Limitée   ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความต้องการรถหิมะลดลง Joseph-Armand จึงเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น รถกวาดหิมะขนาดใหญ่สำหรับเทศบาล และ รถสำหรับงานเหมือง ปิโตรเลียม และป่าไม้   ต่อมาในปี 1957 Bombardier พัฒนาสนุกเกอร์ยางต่อเนื่องแบบชิ้นเดียว (Continuous Track) สำหรับรถหิมะขนาดเล็ก ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Ski-Doo ชื่อที่เกิดจากความผิดพลาดในการพิมพ์ แต่กลับกลายเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมากและกลายเป็นสัญลักษณ์ของสโนว์โมบิล เนื่องจากให้ความคล่องตัวในการลุยหิมะและง่ายต่อการบำรุงรักษา   ในปี 1964 Joseph-Armand เสียชีวิต และการบริหารงานถูกส่งต่อให้กับลูกชายและลูกเขย โดย Laurent Beaudoin ลูกเขยของผู้ก่อตั้งเข้ามารับตำแหน่งประธานบริษัท และทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในทศวรรษต่อมา   แตกไลน์ขยายสู่ธุรกิจรถไฟ   ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 Bombardier เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ยานพาหนะทางน้ำและมอเตอร์ไซค์ โดยในปี 1968 บริษัทได้รับสิทธิ์การผลิต Sea-Doo personal watercraft หลังจากที่ Clayton Jacobson II ประดิษฐ์เจ็ตสกี ทำให้ Bombardier สามารถนำเทคโนโลยีใหม่มาพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นยังเข้าสู่ตลาดมอเตอร์ไซค์ด้วย Can-Am ที่ใช้เครื่องยนต์ Rotax ซึ่งได้มาจากการซื้อกิจการ Rotax ในปี 1970 การขยายธุรกิจไปยังยานพาหนะหลากหลายประเภทสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Bombardier ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค   หลังวิกฤตพลังงานในปี 1970 ความต้องการรถหิมะลดลงอย่างมาก Bombardier จึงปรับกลยุทธ์เข้าสู่ ธุรกิจระบบขนส่งทางรางและรถโดยสารสาธารณะ อย่างจริงจัง โดยเริ่มจากปี 1974 เมื่อบริษัทได้รับคำสั่งซื้อรถไฟ MR-73 สำหรับ Montreal Metro และในปี 1982 Bombardier ชนะสัญญาโครงการสร้างรถไฟ R62A สำหรับ New York City Subway มูลค่า 663 ล้านดอลลาร์ ต่อมาในปี 1996 บริษัทยังเป็นผู้พัฒนารถไฟความเร็วสูง Acela Express ซึ่งถือเป็นรถไฟที่เร็วที่สุดในอเมริกาเหนือ การเติบโตในธุรกิจระบบขนส่งยังรวมถึงการเข้าซื้อกิจการสำคัญหลายแห่ง เช่น Montreal Locomotive Works, ANF Industrie และ Adtranz ทำให้ Bombardier กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถไฟและระบบขนส่งที่ใหญ่ที่สุดของโลก   บุกเบิกอากาศยานจาก Learjet ถึง Global Jet   Bombardier เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่อุตสาหกรรมอากาศยานเพื่อธุรกิจอย่างจริงจัง โดยในปี 1986 บริษัทได้เข้าซื้อกิจการ Canadair จากรัฐบาลแคนาดา ต่อมาในปี 1990 Bombardier ซื้อ Learjet และในปี 1992 ขยายกิจการเพิ่มเติมด้วยการซื้อ de Havilland Canada จากนั้นในปี 1995 บริษัทก่อตั้ง Flexjet เพื่อให้บริการด้านเครื่องบินส่วนตัวและการจัดการธุรกิจเครื่องบิน การลงทุนเหล่านี้ทำให้ธุรกิจอากาศยานของ Bombardier เติบโตอย่างรวดเร็ว และบริษัทกลายเป็นผู้ผลิต เครื่องบินธุรกิจ (Business Jet) ชั้นนำของโลก โดยมีเครื่องบินสองซีรีส์หลักคือ Global Series และ Challenger Series   โดยช่วงปี 1980 Bombardier เริ่มขยายการลงทุนเข้าสู่อุตสาหกรรมอากาศยานเพื่อธุรกิจ โดยมุ่งเน้นไปที่เครื่องบินขนาดเล็กและเครื่องบินธุรกิจ (Business Jet) ก่อนที่จะเติบโตกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโลก   ปี 1986 Bombardier ซื้อกิจการ Canadair จากรัฐบาลแคนาดา ซึ่ง Canadair เคยถูกชาติทำให้เป็นรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ปี 1976 หลังจากการเข้าซื้อ Bombardier สามารถฟื้นฟูกิจการจนกลับมามีกำไรได้   ช่วงปี 1989–1992  บริษัทขยายฐานการผลิตอย่างรวดเร็ว โดยเข้าซื้อ Short Brothers ในไอร์แลนด์เหนือ (1989), Learjet ในสหรัฐอเมริกา (1990) และ de Havilland Canada (1992) ซึ่งทั้งสามบริษัทก่อนหน้ามีปัญหาทางการเงิน การเข้าซื้อกิจการเหล่านี้ช่วยเสริมขีดความสามารถด้านเครื่องบินธุรกิจและเครื่องบินภูมิภาค   ในปี 1995  Bombardier ก่อตั้ง Flexjet เพื่อให้บริการเครื่องบินเจ็ตรายบุคคลและเชิงธุรกิจ จากการเติบโตอย่างรวดเร็ว Bombardier กลายเป็นผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจชั้นนำของโลก โดยมีเครื่องบินหลักสองซีรีส์คือ Global Series และ Challenger Series ซึ่งโดดเด่นด้านความเร็วและระยะบินไกล   แม้ Bombardier จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การเปิดตัว CSeries Aircraft กลับสร้างความท้าทายครั้งใหญ่ ทำให้บริษัทประสบปัญหาหนี้สินอย่างหนักจนเกือบล้มละลายในปี 2015 ส่งผลให้ต้องขายกิจการหลายส่วน และปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นเฉพาะการผลิตเครื่องบินธุรกิจเป็นหลัก ปัจจุบัน เครื่องบิน Global 7500/8000 ของ Bombardier ถือเป็นเครื่องบินธุรกิจที่เร็วที่สุดและสามารถทำความเร็วเหนือเสียงได้ในการทดสอบปี 2021 นอกจากนี้ ในปี 2023 Bombardier ส่งมอบเครื่องบินธุรกิจทั้งหมด 138 ลำ ครองตำแหน่ง ผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จและความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดระดับโลก   แม้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การเปิดตัว CSeries Aircraft ทำให้ Bombardier ประสบปัญหาหนี้สินอย่างหนักและเกือบล้มละลายในปี 2015 บริษัทจึงต้องขายกิจการบางส่วนและโฟกัสเฉพาะการผลิตเครื่องบินธุรกิจ   เครื่องบิน Global 7500/8000 ของ Bombardier ถือเป็นเครื่องบินธุรกิจที่เร็วที่สุด และในการทดสอบปี 2021 สามารถทำความเร็วเหนือเสียงได้   ในปี 2023 Bombardier ส่งมอบเครื่องบินธุรกิจ 138 ลำ ทำให้ครองตำแหน่งผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจอันดับหนึ่งของโลก   ช่วงการพัฒนาของ CSeries เจอปัญหาหนักทั้งเรื่องการผลิตล่าช้าและการแข่งขันกับ Airbus, Boeing และ Embraer โดยเฉพาะ Boeing ที่ฟ้องเรื่องการขายต่ำกว่าต้นทุน (dumping) จนเกิดข้อพิพาทการค้าในสหรัฐอเมริกา   เพื่อรักษาโครงการและการจ้างงาน รัฐบาลควิเบกและรัฐบาลแคนาดาจึงให้ความช่วยเหลือทางการเงิน โดยในปี 2017 Bombardier จึงร่วมมือกับ Airbus ส่งผลให้ CSeries ถูกรีแบรนด์เป็น Airbus A220 และมีสายการผลิตในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา   หลังจากขายโครงการ CSeries, Q400 และ CRJ ไปแล้ว Bombardier ได้ปรับโฟกัสธุรกิจไปที่เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเพียงอย่างเดียว ปัจจุบัน Bombardier Aviation มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Dorval, Quebec, Canada และผลิตเครื่องบินในซีรีส์ Global และ Challenger แม้ในอดีตบริษัทจะมีโรงงานใน 27 ประเทศและพนักงานกว่า 70,000 คน แต่ปัจจุบันได้ลดขนาดองค์กรลงเพื่อเน้นธุรกิจเครื่องบินธุรกิจที่มีกำไรสูง ด้วยกลยุทธ์นี้ Bombardier จึงกลายเป็นผู้นำด้านเครื่องบินธุรกิจความเร็วสูงและระยะบินไกลครองตลาดโลกอย่างมั่นคง มีคู่แข่งคือบริษัท Gulfstream Aerospace บริษัท BBJ ของโบอิ้ง และบริษัท ACJ ของแอร์บัส ที่ล้วนเป็นคู่แข่งในตลาดไพรเวทเจ็ตทั้งสิ้น       Alternate-X สรุปให้      ‘Bombardier’ มีจุดเริ่มต้นจากการผลิตรถกวาดหิมะในปี 1942 ก่อนจะเติบโตสู่ธุรกิจระบบรางและอากาศยาน โดยบริษัทขยายกิจการด้วยการเข้าซื้อ Learjet, Canadair และ de Havilland จนกลายเป็นผู้ผลิตเครื่องบินเจ็ตหรูระดับโลกจุดเด่นคือเครื่องบินซีรีส์ Global และ Challenger ที่ครองตลาดไพรเวทเจ็ตความเร็วสูงและระยะบินไกล ยิ่งทำให้ชื่อ Bombardier ถูกจับตามองในไทย จากการเดินทางของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ สู่ดูไบ โดยปัจจุบัน Bombardier ครองตำแหน่งผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจอันดับหนึ่งของโลก

September 5, 2025 / 0 Comments
read more

วัตสัน ฉลองอยู่ไทย 29 ปี เปิดยูนิฟอร์มใหม่ ให้พนักงานร่วมออกแบบเป็นมากกว่าชุดทำงาน

BizKet,  Peace&Play

ร้าน ‘วัตสัน’ ทำตลาดในไทยครบรอบ 29 ปี แผนไปต่อด้วยแนวคิด ‘เพื่อนคู่ซี๊’ สุขภาพความงาม กับหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้วยชุดยูนิฟอร์มใหม่ ให้พนักงานมีส่วนร่วมออกแบบเพื่อสะท้อนการใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปด้วย    หลังจาก A.S. Watson Group กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสุขภาพและความงามที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและยุโรป ปัจจุบันยังอยู่ภายใต้บริษัทแม่คือ CK Hutchison Holdings ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ได้เข้ามาขยายธุรกิจค้าปลีกความงามและเพื่อสุขภาพ ร้าน ‘วัตสัน’ ประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2539   ถึงในปัจจุบัน ‘วัตสัน’ ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 29 ปี พร้อมไปต่อด้วยแผนความเป็น ‘เพื่อนคู่ซี้’ สุขภาพและความงามคู่ความยั่งยืนสังคม เพื่อตอกย้ำจุดยืนที่อยู่เคียงข้างทุกคน สะท้อนวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม     ด้าน ‘นวลพรรณ ชัยนาม’ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 29 ปีที่ผ่านมา วัตสันมุ่งมั่นในการเป็นเพื่อนคู่คิดในชีวิตประจำวันของทุกคนในเรื่องสุขภาพและความงาม ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่ได้เติบโตจากจุดเริ่มต้นในวันแรก จนถึงปัจจุบันการดำเนินธุรกิจมีมีกว่า 750 สาขาครอบคลุมทุกจังหวัด โดยช่วงที่ผ่านมา วัตสัน ยังได้ปรับตัวมาย่างต่อเนื่องเพื่อจะมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า ทั้งการชอปปิงหน้าร้านและออนไลน์         และในโอกาสพิเศษนี้ วัตสัน ยังได้เปิดตัวยูนิฟอร์มใหม่ที่พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการออกแบบ เพื่อให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและเป็นตัวเองอย่างแท้จริง สอดคล้องกับความเชื่อของเราที่ว่าการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนจะต้องควบคู่ไปกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีในทุกมิติ ทั้งผู้คน โลก และผลิตภัณฑ์ของเรา     “วัตสันจะยังคงมุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายเพื่อเติมรอยยิ้มให้กับลูกค้าและขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนวัตสันมาตลอด 29 ปี” นวลพรรณ กล่าว นอกจากนี้ วัตสันยังใช้โอกาสดังกล่าว ในการเดินหน้าพันธกิจเพื่อสังคม ผ่านความร่วมมือกับสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน ที่ทำต่อเนื่องทุกปีมานานกว่า 19 ปี ในกิจกรรมจำหน่ายตุ๊กตางู และการประมูลตุ๊กตางูขนาดใหญ่เพื่อการกุศลที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า แฟนคลับ และเหล่าพันธมิตร โดยรายได้จากกิจกรรมกว่า 500,000 บาท จะนำไปสมทบทุนช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและสตรีที่เปราะบางในสังคมต่อไป   โดยการจัดงานฉลองครบรอบ 29 ปี ในครั้งนี้ ยังได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้เข้าร่วมงาน โดยมีศิลปิน ดารา เซเลบริตี้ชื่อดัง และคู่ค้าพันธมิตรเข้าร่วมงานกันคับคั่ง อาทิ วอร์ วนรัตน์, คิมเบอร์ลี่, ณิชา ณัฏฐณิชา, อแมนด้า ออบดัม, ต้าห์อู๋ พิทยา, ปราง กัญญ์ณรัณ, ก้อย อรัชพร, น้องแดน (ช่อง Cullen Hateberry), เชียร์ ฑิฆัมพร, แจ๊คกี้ จักริน วง TRINITY, ญดา นริลญา, วง Bamm, วง Empress ฯลฯ   การจัดงานฯ ภายใต้บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสุข และความประทับใจ ที่ผสมผสานความบันเทิงเข้ากับตัวตนของวัตสันอย่างลงตัว ทั้งแฟชั่นโชว์สุดพิเศษจากเหล่าดาราและเซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย การเปิดตัวยูนิฟอร์มใหม่ของพนักงาน ชูแนวคิด ‘WEAR YOUR STATEMENT’ ให้ยูนิฟอร์มเป็นมากกว่าแค่ชุดทำงาน แต่คือการ “ใส่เพื่อเป็นตัวเอง” และมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินที่มาสร้างความสนุกสนาน   จากความสำเร็จของการจัดงานในครั้งนี้ สะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งตลอด 29 ปีที่ผ่านมาของวัตสัน ประเทศไทย ทั้งในแง่ของการขยายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 750 แห่ง และการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัตสันสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง คือความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับลูกค้าที่เปรียบเสมือน “เพื่อนคู่ซี้” ที่เข้าใจทุกความต้องการ คอยให้คำปรึกษา แนะนำ และแบ่งปันสิ่งดีๆ เสมอมา   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง BrandCase: ชิ้นที่2 หนึ่งบาท ‘วัตสัน’ กลยุทธ์ราคา ‘คุ้มค่าสะใจ’ พาแบรนด์กลับมาครองใจลูกค้าไทย ถอดรหัสแบรนด์ ‘วัตสัน’ อยู่ค้าปลีกไทยมา 29 ปี ขึ้น No.1 แบรนด์บิวตี้ในใจคนไทย วัตสัน ยกระดับสิทธิประโยชน์สุดคุ้มในรอบปี เอาใจสมาชิกวัตสัน คลับ ผ่าน ‘Club of More’ พฤติกรรมชอปออนไลน์ คนไทยชอบ ‘ชอปก่อนนอน’ 3 ทุ่ม เวลาทองกดของใส่ตระกร้า       Alternate-X สรุปให้      วัตสัน ประเทศไทย เปิดตัวยูนิฟอร์มใหม่ ฉลองครบรอบ 29 ปีในไทย เดินหน้าสร้างภาพลักษณ์ทันสมัย ใกล้ชิดผู้บริโภคมากขึ้น ใช้คอนเซ็ปต์ ‘เพื่อนคู่ซี๊’ ในด้านสุขภาพและความงาม เตรียมขยายกลยุทธ์การตลาด สู่คนรุ่นใหม่และลูกค้าประจำ สานต่อความเป็นแบรนด์ร้านค้าปลีกสุขภาพและความงามอันดับ 1

September 5, 2025 / 0 Comments
read more

รู้จักเทคโนโลยี 5-Axis พลิกระบบการผลิตสู่ยุคเอไอ ผู้ผลิตชิ้นส่วนเร่งปรับตัวรับอุตฯอนาคต

PRnounce

งาน 5-Axis Seminar 2025 เวทีสัมมนายกระดับมาตรฐานการผลิตชิ้นส่วนไทย ชวนผู้ประกอบการปรับตัวรับการผลิตป้อนอุตสาหกรรมอนาคต  หลังภาครัฐ หนุนมาตรการภาษีลงทุนเทคโนโลยี-เครื่องจักรอัตโนมัติ     รัชศักดิ์ เกิดภู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมชชีนเทค จำกัด กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและแนวโน้มอุตสาหกรรม ตลอดจนความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยผู้ผลิตในอุตฯผลิตชิ้นส่วนไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนสำคัญของภูมิภาคมายาวนาน ทั้งในกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และแม่พิมพ์ ซึ่งมีจุดแข็งด้านแรงงานฝีมือ ระบบซัพพลายเชนที่เข้มแข็ง และมาตรฐานการผลิตที่เชื่อถือได้ ต้องเร่งปรับตัวเข้าสู่อุตฯใหม่และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะกลุ่ม ยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องมือแพทย์ และอากาศยาน   ขณะที่ การลงทุนด้านเครื่องจักรและซอฟต์แวร์ การพัฒนาทักษะแรงงานขั้นสูง และการนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น Automation, Digitalization, AI และ Smart Manufacturing มาใช้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด และยกระดับการผลิตให้มีความแม่นยำสูงขึ้นในเวลาส่งมอบที่สั้นลง   โดยเฉพาะเทคโนโลยีเครื่องจักร 5 แกน (5-Axis) ซึ่งเป็นเครื่องจักร CNC ที่เคลื่อนที่ได้พร้อมกัน 5 ทิศทาง ทำให้สามารถตัด กัด เจาะ และขึ้นรูปชิ้นงานได้อย่างละเอียดและซับซ้อนมากกว่าเครื่องจักรแบบ 3 หรือ 4 แกนทั่วไป รองรับการทำงานร่วมกับระบบ Automation และสามารถผลิตได้ทั้งจำนวนมาก (Mass Production) และสินค้าหลากหลายรูปแบบ (High-Mix Low-Volume)   สำหรับ การนำเทคโนโลยี 5-Axis มาใช้ จะช่วยยกระดับการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และเสริมศักยภาพการแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทยคงความเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาคและของโลกได้อย่างมั่นคง   ดังนั้นเพื่อส่งเสริมความรู้และแนวทางการลงทุนที่คุ้มค่า ผู้เชี่ยวชาญ สมาคม และพันธมิตรในอุตสาหกรรมเครื่องจักร 5 แกนจากทั่วโลก จึงได้ร่วมกันจัดงาน 5-Axis Seminar 2025 ขึ้น ระหว่างวันที่ 2–3 ตุลาคม 2568 ณ อีสติน ธนาซิตี้ กอล์ฟ รีสอร์ท กรุงเทพฯ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และแนวทางการใช้เทคโนโลยี 5-Axis ให้เหมาะสมกับการผลิตแก่ผู้ประกอบการไทย   ด้าน สิริวัฒน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ สถาบันไทย-เยอรมัน (TGI) กล่าวว่า แนวโน้มการผลิตของไทยกำลังก้าวสู่ระบบอัตโนมัติที่ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ลดข้อผิดพลาด และยกระดับผลผลิต ทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่รวดเร็วขึ้น และแข่งขันได้ในตลาดโลกที่ซับซ้อนมากขึ้น   ขณะที่ การจัดสัมมนา 5-Axis Seminar 2025 เป็นอีกเวทีสำคัญในการถ่ายทอด องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี 5 แกน ระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรให้พร้อมทำงานร่วมกับเครื่องจักรยุคใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ   สำหรับมาตรการสนับสนุนของภาครัฐนั้น ปัจจุบันกรมสรรพากรร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (CoRE) เปิดให้ผู้ประกอบการที่ลงทุนในระบบ Automation สามารถยื่นขอยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้สูงสุด 100% ของมูลค่าการลงทุน ครอบคลุมทั้งเครื่องจักรและซอฟต์แวร์ที่เชื่อมกับระบบอัตโนมัติ โดยใช้สิทธิ์ได้ต่อเนื่องนานถึง 5 รอบบัญชี ทั้งนี้ต้องเป็นโครงการที่ลงทุนจริงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564 – 31 ธันวาคม 2568 และผ่านการรับรองจาก CoRE ว่าเป็นระบบ Automation ที่เข้าเกณฑ์   สุรชัย ตั้งธราธร ประธานบริษัท เอช เอส เอ็ม แมชชีนเนอรี่ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายเครื่องจักรอุตสาหกรรม และผู้บุกเบิกการนำเข้าเครื่องจักร 5 แกน ประสิทธิภาพสูงจากเยอรมนีและไต้หวัน กล่าวว่า ตลาดเครื่องจักร 5 แกน ในประเทศไทยมีการเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับความต้องการของโรงงานที่ต้องผลิตชิ้นงานซับซ้อนและแม่นยำสูง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ขณะเดียวกันยังได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐผ่านมาตรการด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้ผู้ประกอบการสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น   โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดสำหรับผู้ประกอบการที่ปรับใช้เทคโนโลยี 5 แกน ร่วมกับระบบ Automation คือ สามารถยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และสร้างความสามารถในการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมไทยในการตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงและเชื่อมโยงสู่ห่วงโซ่การผลิตระดับโลกด้วย   สำหรับผู้สนใจหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานสัมมนา 5-Axis Siminar 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-3 ตุลาคม 2568 ณ อีสติน ธนาซิตี้ กอล์ฟ รีสอร์ท บางนา กม.15 กรุงเทพฯ สามารถติดต่อได้ที่ อีเมล: contact@mreport.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.mreport.co.th    

September 5, 2025 / 0 Comments
read more

‘แสนสิริ’ มองตลาดคอนโดกลับสู่สถานการณ์อยู่อาศัยจริง คนเลือกทำเลใกล้ที่ทำงาน-ตลาดเช่ามาแรง

BizKet

‘แสนสิริ’ มองปี68 บทพิสูจน์ผู้พัฒนาฯหลังแผ่นดินไหว ตลาดคอนโดกลับมาเป็นของผู้บริโภคอยู่อาศัยจริง ยังไปต่อตามแผนเปิดครบ 15 โครงการใหม่ปีนี้ ใน4 เดือนสุดท้ายเปิดเกมแข่งราคา-ทำเล   สมัตถ์คม ต่างวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวสูง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เปิดเผยว่า ในไตรมาส4 ปี2568 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวอีก 6-7 โครงการคอนโดมีเนียมใหม่ (New Launch) จากภาพรวมเปิดตัว 15 โครงการฯ ได้ตามแผนเดิมที่วางไว้เมื่อต้นปี 2568 เพื่อรองรับความต้องการในตลาดของกลุ่มเป้าหมายลูกค้าในปัจจุบัน ที่ยังมีความต้องการสินค้ากลุ่มนี้ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และ ภูเก็ต   สำหรับโครงการฯที่จะเปิดตัวพร้อมทำตลาด (Pre Sale) ในแบรนด์ต่างๆ เช่น เบส (Base) คอนโดมีเนียม พระราม9, ดี คอนโด (D Condo) และ เซลฟ์ บาย แสนสิริ (Xelf by Sansiri) โดยวางระดับราคาเฉลี่ย 1.3- 1.5 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือมีราคาต่อยูนิตราว 3-5 ล้านบาท   สมัตถ์คม กล่าวว่า แผนดังกล่าวยังเพื่อรองรับความต้องการของกำลังซื้อศักยภาพที่แท้จริงของตลาดคอนโดในปัจจุบัน ที่พบว่าได้เปลี่ยนไปจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ หลังผ่านพ้นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบทั้งความต้องการสินค้าคอนโดในตลาดที่เปลี่ยนไป และมีผู้พัฒนาอสังหาฯบางราย ชะลอแผนเปิดตัวโครงการฯใหม่ออกไปเช่นกัน โดยเฉพาะโครงการแนวนาบ และ คอนโดตึกสูง (High-Rise)   “เหตุการณ์ในครั้งนั้น ผู้พัฒนาฯหลายแห่งได้ปรับตัวการทำตลาดรวมทั้งแสนสิริ  เพื่อเข้าถึงความต้องการลุกค้าที่ยังมีศักยภาพ โดยใช้สูตรใหม่คือการทำโครงการพร้อมอยู่ หรือ  RMF พร้อมใช้กลยุทธ์ราคาเพื่อดึงดูดกำลังซื้อในช่วงสุดท้ายของปีนี้ ส่วนโครงการฯระดับพรีเมียมในพอร์ตแสนสิริ จะชะลอการทำตลาดออกไปก่อนตามกำลังซื้อในตอนนี้ และรอให้สถานการณ์ตลาดมีความแข็งแรงมากกว่านี้ก่อน ” สมัตถ์คม กล่าวพร้อมเสริมว่า   ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าแผนดังกล่าว ยังจะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ หรือ วัยทำงาน ที่ต้องการที่พักอาศัยในเมืองหรืออยู่ใกล้สถานที่ทำงาน ตามความต้องการจริงใน 2 กลุ่มกำลังซิ้อลูกค้าในปัจจุบัน คือ 1.กลุ่มต้องการซื้อ เพื่ออยู่อาศัยจริง และ 2.กล่มนักลงทุน ซื้อเพื่อปล่อยให้เช่า   “ส่วนแนวทางการทำโครงการฯ ให้ลูกค้าเข้ามาอยู่ก่อนแล้วกู้สินเชื่อธนาคารทีหลังนั้น มองว่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาสุดท้าย ด้วยผู้พัฒนาโครงการจะต้องยอมรับความเสี่ยงนี้เอง”  สมัตถ์คม กล่าว   ขณะที่การทำตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปี68 นี้ บริษัทฯ จะมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจริงๆ ทั้งด้านของราคาและโปรโมชั่นที่ดึงดูดมากขึ้น โดยใช้ทำเลในแต่ละผลิตภัณฑ์คอนโดที่มีความแตกต่างกันออกไป มากระตุ้นยอดขาย อาทิ โครงการย่านฝั่งธนบุรี , รัชดา 19 หรือ ประดิพัทธ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นทำเลในเมืองและเป็นแหล่งงาน   “หลังแผ่นดินไหว สถานการณ์ตลาดคอนโดตอนนี้ จะหันมาโฟกัสกลุ่มคนทำงาน ตามโลเคชั่น มากขึ้น ขณะที่ราคาบ้านเองก็เริ่มขยับขึ้น ทำให้ตลาดเช่าดีมากๆ ในตอนนี้ แม้ว่าคนซื้อจะหายไป แต่มีกลุ่มนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสและมีศักยภาพเข้ามาเสริม รวมถึงปัจจัยหนุนจาก ดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับลดลง นโยบาย LTV ที่ผ่อนคลาย เข้ามาสนับสนุนตลาดอสังหาฯ ปลายปีนี้” กล่าวพร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าคอนโดในช่วงที่ผ่านมา มาจากปัจจัย ความเชื่อมั่นของผู้พัฒนาฯ เพิ่มขึ้น ที่สามารถบริหารวิกฤตหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา นอกเหนือจากปัจจัยหลัก ความต้องการสินค้าพร้อมอยู่, ผู้อยู่อาศัยได้ประโยชน์ลดค่าใช้จ่าย, ผู้พัฒนาฯให้การช่วยเหลือลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อ เป็นต้น   ขณะที่ ในช่วงที่ผ่านมาแต่ละโครงการฯ แสนสิริ ที่เปิดตัวไปแล้ว มีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชม หลักกว่าสิบรายต่อสัปดาห์ รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ในปัจจุบัน ที่เป็นกลุ่มชาวเมียนมา มีความสนใจโปรดักส์คอนโด ทำเลในเมืองมากขึ้น ระดับราคา 5-8 ล้านบาท ในทำเลใกล้โรงพยาบาล และสถานศึกษาของบุตรหลานที่เข้ามาศึกษาในไทย   สมัตถ์คม กล่าวทิ้งท้ายว่า “สถานการณ์อสังหาฯ ไทยในปัจจุบัน ได้กลับสู่สภาพความเป็นจริงของตลาดแล้ว อาจจะไม่ได้เห็นภาพของกลุ่มที่เข้ามาซื้อใบจองโครงการฯ เพื่อนำไปขายต่ออีกแล้ว”          Alternate-X สรุปให้   ตลาดคอนโดไทยปี 2568 กลับสู่ความต้องการอยู่อาศัยจริง หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว คนรุ่นใหม่เลือกทำเลใกล้ที่ทำงานมากขึ้น กระตุ้นความต้องการคอนโดในเมือง ทำตลาดเช่าคึกคัก นักลงทุนยังเห็นโอกาสจากกลุ่มวัยทำงานและต่างชาติ โดยแสนสิริเดินหน้าตามแผนเปิดครบ 15 โครงการในปีนี้ แม้ตลาดมีความท้าทาย ด้วยกลยุทธ์โฟกัส ‘ทำเล + ราคา’ เป็นตัวขับเคลื่อนยอดขายโค้งสุดท้ายของปี

September 4, 2025 / 0 Comments
read more

OSIM ยกเครื่องการตลาด ส่งแบรนด์เก้าอี้นวดลักซูฯ ขยายฐานครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า  

BizKet,  EcoVative,  Peace&Play

OSIM Thailand ปรับใหญ่กลยุทธ์เข้าทุกกลุ่มเป้าหมายหาช่องขายใหม่ทุกทาง เปิดตัวรุ่นใหม่ OSIM uDivine V3 นวดด้วย AI  ผ่อนคลายเต็มรูปแบบเหมือนมีเทอราพิสส่วนตัว ตั้งเป้าปิดปียอดขายโตขึ้น 20%   มุทิตา เลาะไธสง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท โอซิม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ทำตลาดเก้าอี้นวดไฟฟ้าแบรนด์ OSIM  เปิดเผยว่า ‘OSIM’ เป็นแบรนด์ระดับโลก และยังเป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพ ด้วยประสบการณ์กว่า 46 ปีในด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยวางกลยุทธ์ปรับภาพลักษณ์ใหม่แบรนด์ (Refresh Brand) OSIM ให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้พร้อมขยายฐานตลาดไปยังผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่   ทั้งนี้ เพื่อรองรับการทำตลาดเชิงรุกในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก ปัจจัยหลัก ทั้งกระแสการรักและเอาใจใส่ในสุขภาพที่มากขึ้นของผู้บริโภค และ การเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้มากมายหลากหลายแบรนด์ ในช่วงที่ผ่านมา   “จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทฯ วางแผนขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาด เพื่อสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน ในทุกช่องขายเพื่อเข้าถึงฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มองหานวัตกรรมสุขภาพที่ตอบโจทย์ชีวิตจริง” มุทิตา กล่าว   โดย บริษัทฯ ได้นำจุดแข็งของ OSIM มาร่วมขับเคลื่อนการทำตลาด ทั้งในด้านเทคโนโลยี AI อัจฉริยะที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ รวมถึงดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ที่หรูหราทันสมัย ท้อนถึงความสำเร็จจากการได้รับรางวัลต่างๆ ในระดับโลก ทั้งด้านแบรนด์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการดำเนินธุรกิจ   นอกจากนี้ ยังเตรียมสร้างการรับรู้แบรนด์ OSIM ในตำแหน่งทางการตลาด ‘ลูกค้ารู้จักและภูมิใจเป็นเจ้าของ’ โดยครอบคลุมด้านต่างๆ อาทิ  ขยายช่องทางธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) แตกไลน์สู่กลุ่มคลินิกสุขภาพ โรงแรม หรือ ออฟฟิศเพื่อเพิ่มยอดขายในรูปแบบการสั่งซื้อจำนวนมาก (Mass Purchase) สำหรับแผนสร้างการรับรู้แบรนด์โฉมใหม่ OSIM ประเทศไทย เตรียมร่วมงานกับ KOL หลากหลายระดับ ทั้งดารา, อินฟลูเอนเซอร์ระดับกลาง และไมโครอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมและกระจายไปยังวงกว้าง  พร้อมปรับภาพลักษณ์การสื่อสาร บนแพลตฟอร์มโอน มีเดีย (Owned Media) ให้มีความหรูหรา น่าเชื่อถือ และเป็นมิตรกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น   ขณะเดียวกัน ยังสร้างความเชื่อมั่นด้วยผู้เชี่ยวชาญ ผ่านทีมแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัด ร่วมยืนยันประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์  ไปพร้อมจัดกิจกรรมในร้าน OSIM เพื่อสร้างประสบการณ์จริงให้กับลูกค้า กระตุ้นการ Walk-in และทดลองสินค้า  รวมถึงการนำระบบ CRM และโปรโมชั่นสมาชิก เพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ และกระตุ้นการซื้อซ้ำ พร้อมพัฒนาแคมเปญ Flash Sale & Double Day เพื่อเพิ่มยอดขายในช่วงวันสำคัญของตลาดออนไลน์   ล่าสุด ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ OSIM uDivine V3 มีจุดเด่นด้วยระบบ AI อัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์จุดปวดล้าเฉพาะบุคคล พร้อมเทคโนโลยีการนวดลึกที่จำลองการนวดแบบมืออาชีพ ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้เข้าสปาส่วนตัวทุกวัน โดยเบื้องต้นสินค้าเตรียมทำตลาดในรูปแบบให้สั่งจองล่วงหน้า (pre order) พร้อมกำหนดราคาขายพิเศษอยู่ที่ 139,900 บาท   “จากแนวทางทั้งหมดในสิ้นปีนี้คาดว่าสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20% ซึ่งเป้าหมายของเราไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดขายในระยะสั้น แต่คือการทำให้ลูกค้าภูมิใจที่เป็นเจ้าของ OSIM ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพ นวัตกรรม และภาพลักษณ์ที่เรากำลังสร้างใหม่” มุทิตา กล่าวทิ้งท้าย     Alternate-X สรุปให้      OSIM Thailand รีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่เพื่อขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ เปิดตัวเก้าอี้นวดอัจฉริยะรุ่นใหม่ uDivine V3 ใช้ AI วิเคราะห์จุดเมื่อยเฉพาะบุคคล ชูจุดเด่นเทคโนโลยีการนวดลึก เสมือนมีเทอราพิสส่วนตัวในบ้าน วางกลยุทธ์การตลาดรุกทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และ B2B เจาะโรงแรม-คลินิกสุขภาพ ตั้งเป้ายอดขายปี 2568 โตเพิ่ม 20% พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำเก้าอี้นวดระดับโลก  

September 3, 2025 / 0 Comments
read more

‘ลาซาด้า’ เลเวล อัป ดึงแบรนด์เข้า LazMall เติมความลักซูรี ขยับสู่ ‘อีคอมเมิร์ซ พรีเมียม’

BizKet

‘ลาซาด้า’ มุ่งสู่แพล็ตฟอร์ อีคอมเมิร์ซ ยุคใหม่ ใช้ AI ครบวงจรขอเติบโตยั่งยืน พร้อมย้ำคุณภาพดึงแบรนด์เติมประสบการณ์พรีเมียม  ‘ผ่าน LazMall’ โตกว่า 22%   วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ระดับภูมิภาค กล่าวว่า งเทพฯ 2 กันยายน 2568 – ลาซาด้า ประเทศไทย ประกาศวิสัยทัศน์การเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ มุ่งยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม ด้วยการมอบประสบการณ์การช้อประดับพรีเมียม และการเป็นศูนย์รวมสินค้าคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ มุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มพรีเมียม สร้างการเติบโตด้วยคุณภาพ     สำหรับวิสัยทัศน์ ดังกล่าวยังสอกคล้องกับข้อมูลเชิงลึก พบว่า นักช้อปไทยครองแชมป์จับจ่ายออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ถึง 68.2% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต และพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ทุกเจนที่หันมาช้อปออนไลน์เป็นหลัก สะท้อนความคาดหวังที่สูงขึ้นในทุกการใช้จ่าย การตัดสินใจซื้อสินค้าจึงเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาความคุ้มค่าที่มากกว่าราคา แต่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและประสบการณ์ที่ไว้วางใจได้ เห็นได้ชัดจากเทรนด์การเติบโตของยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 22% บน LazMall แหล่งรวมสินค้าแบรนด์คุณภาพองลาซาด้า ตั้งแต่ต้นปี 2568     ขณะเดียวกัน ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและนับเป็นตลาดที่มีการขยายตัวเร็วที่สุดในภูมิภาค โดยในปี 2567 มีอัตราการเติบโตถึง 21.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 12%  โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตแตะ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2573   จากแนวโน้มดังกล่าว ลาซาด้า วางแนวคิด ‘Next-Level eCommerce’ มุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่มอบประสบการณ์การช้อปแบบพรีเมียม นำจุดแข็งด้านสินค้าแบรนด์และบริการคุณภาพ ซึ่งเป็นนิยามใหม่ของความคุ้มค่าที่นักช้อปไทยมองหา เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและมีคุณภาพอย่างแท้จริง พร้อมลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และผลักดันการเติบโตของอีคอมเมิร์ซไทยเพื่อความแข็งแกร่งในระยะยาว   “แนวทาง เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและอินไซต์ผู้บริโภคยุคใหม่ ไปพร้อมบุกเบิกทิศทางและสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมด้วย” วาริสฐา กล่าวพร้อมเสริมว่า พร้อมกับยกระดับมาตรฐานวงการอีคอมเมิร์ซ สู่แพลตฟอร์มให้ความคุ้มค่าให้ผู้บริโภคไทย พร้อมเจาะตลาดคุณภาพโดยนำเทคโนโลยี AI เข้ามายกระดับประสบการณ์ให้กับทั้งผู้ซื้อ แบรนด์ และผู้ขาย ด้วย 3 โฟกัสหลัก   คัดสรรสินค้าคุณภาพครบทุกหมวดหมู่ (High-Quality Assortment)   นำเสนอสินค้าแบรนด์แท้ 100% รวมถึงสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ลาซาด้า ผ่าน LazMall และ LazMall Luxury ศูนย์รวมร้านค้าทางการของแบรนด์ชั้นนำ ที่มีมากกว่า 32,000 แบรนด์ทั่วทั้งภูมิภาค ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายด้วยหมวดหมู่ขายดีอย่าง LazBEAUTY, LazLOOK และ Lazada Electronics เสริมพอร์ตสินค้า โดยนำร่องโมเดลค้าส่งสำหรับลูกค้าธุรกิจ (B2B) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ประกอบการ ด้วยสินค้ากว่า 15,000 รายการ ครอบคลุมหมวดเกษตรกรรม อุปกรณ์ประปา และอุปกรณ์ไฟฟ้า   มอบประสบการณ์การช้อปที่เหนือกว่า (High-Quality Experience)   เพิ่มความเชื่อมั่นนักช้อป โดยยกระดับประสบการณ์ที่สะดวกสบาย ในทุกมิติ ด้วย ‘4 การันตี’ จาก LazMall (การันตีสินค้าแบรนด์แท้ 100% – จัดส่งตรงเวลา – คืนสินค้าพร้อมเงินคืนไว – การันตีสต็อกพร้อม) โปรแกรมส่งเร็วพิเศษ Priority Delivery 24 Hours สั่งซื้อสินค้าภายในเที่ยง ได้รับสินค้าในวันถัดไป ตลอดจนประสบการณ์การช้อปไร้รอยต่อกับบริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า โปรแกรมเก่าแลกใหม่และ อัปเกรดรุ่นในหมวดโทรศัพท์มือถือ และประกันสินค้าในประเภทต่าง ๆ ลาซาด้ายังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อนำเสนอประสบการณ์การช้อปที่ราบรื่นและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลยิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น Lazzie แชตบอตอัจฉริยะผู้ช่วยแนะนำสินค้าที่ตรงใจ พร้อมทั้งช่วยเพิ่มโอกาสการมองเห็นให้กับร้านค้า นอกจากนี้ ยังเตรียมส่งบริการใหม่ Lazada Membership ระบบสมาชิกสะสมคะแนนเพื่อมอบสิทธิพิเศษมากมายให้กับนักช้อป   ดึงอินไซต์สร้างอิมแพ็กผ่านแคมเปญคุณภาพ (High-Quality Campaign)   จากข้อมูลเชิงลึก (อินไซต์) ระบุกว่า 50% ของยอดขายบนแพลตฟอร์มมาจากแคมเปญ โดย ลาซาด้า เร่งสร้างแคมเปญหลากหลายรูปแบบตลอดทั้งปี พร้อมทุ่มงบเพิ่มคูปองส่วนลดในช่วงแคมเปญมากกว่าเดิมถึง 45% แต่ยังยึดพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม สร้างความเหนียวแน่นกับนักช้อป และสร้างโอกาสให้ผู้ขายเติบโตไปพร้อมกัน สะท้อนความสำเร็จในช่วงเมกะแคมเปญและแคมเปญ Double Digit ด้วยยอดขายบนแพลตฟอร์มเติบโตกว่า 300% เมื่อเทียบกับวันปกติ ในขณะที่แคมเปญ Mid-Month ยอดโต 70% ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังพบการเติบโตในแคมเปญหมวดหมู่สินค้า นำโดยหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าโตกว่า 2 เท่า ส่วนสินค้าแฟชันและความงามโตเพิ่มขึ้น 40%   วาริสฐา กล่าวว่า  ลาซาด้า รับตำแหน่งแบรนด์อันดับ 1 ในไทย จากผลสำรวจ Thailand’s Top 50 Brands 2025 โดย Campaign Asia สะท้อนวิสัยทัศน์แบรนด์ในการมุ่งเน้นคุณภาพทุกด้าน ทั้งสินค้า การบริการ และประสบการณ์การช้อป ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างรากฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมสร้างคุณค่าและผลกระทบเชิงบวกให้แก่ทุกภาคส่วนในอีโคซิสเต็ม นำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน   โดยเตรียมเปิดตัวเมกะแคมเปญ ‘9.9 ลดอลัง ปังทุกแบรนด์’ ยกระดับประสบการณ์การช้อประดับพรีเมียมด้วยสินค้าคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ พร้อมโปรโมชันจัดเต็ม ตั้งแต่ 8 กันยายน 2 ทุ่ม ถึง 11 กันยายน 2568 มอบส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท* LazFlash ลดสูงสุด 90%* แบรนด์ดังลดแรง 6 ชั่วโมงแรก 2 ทุ่ม ถึง ตี 2 และดีลพิเศษอีกหลายต่อ พร้อมเพิ่มความสนุกด้วยกิจกรรมจาก Lazzie ฟีเจอร์ผู้ช่วย AI สุดล้ำ เพียงพิมพ์คำว่า ‘HEYLAZZIE’ ในแชต ก็มีสิทธิ์รับ LazRewards ได้ทุกวัน และหากแชตกับ Lazzie อย่างต่อเนื่อง ก็ยังมีสิทธิ์ปลดล็อก LazRewards สูงสุดกว่า 200 บาท* ได้อีกด้วย ตอบโจทย์นักช้อปยุคใหม่ที่มองหาความคุ้มค่าอย่างแท้จริง Alternate-X สรุปให้ ลาซาด้าเผยข้อมูล นักช้อปออนไลน์ไทยครองอันดับ 1 ของโลก คาดการณ์ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยโตแตะ 2 ล้านล้านบาทใน 5 ปี ระบุ LazMall โตต่อเนื่อง 22% หนุนการช้อประดับพรีเมียม มุ่งสู่วิสัยทัศน์ Next-Level eCommerce ใช้ AI ยกระดับประสบการณ์ผู้ซื้อ-ผู้ขาย พร้อมเดินหน้าสร้างคุณภาพ ยึดตำแหน่งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ไทย  

September 3, 2025 / 0 Comments
read more

YLG ชี้ทองคำโลกขาขึ้นชัด แนะตลาดฟิวเจอร์ส ลงทุน 10% มองทองไทยกรอบ 5.2 – 5.4 หมื่นบ.

BizKet

วายแอลจี ชี้ทองคำช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังเป็นเทรนด์ขาขึ้น ปัจจัยบวกกระแสการปรับลดดอกเบี้ยเฟด ด้านทองไทยลุ้นเคลื่อนไหวในกรอบ 52,500 – 54,100 บาทต่อบาททองคำ แนะลงทุนในตลาดฟิวเจอร์ส เพิ่มโอกาสการลงทุนด้วยการใช้เงินลงทุน 10% ของมูลค่า   ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน เเอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสามารถขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติกาลครั้งใหม่ที่ 3,508.33 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความใน Truth Social ที่ระบุถึงสาเหตุการตั้งภาษีกับอินเดียสูงถึง 50% เนื่องจากถูกอินเดียเอาเปรียบมาตลอด   พร้อมกล่าวว่าการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐคือ ‘หายนะด้านเดียวอย่างสิ้นเชิง’ ซึ่งการโพสต์ข้อความดังกล่าวได้สร้างสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐ ทำให้เกิดแรงซื้อทองเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย   โดยก่อนหน้านี้วายแอลจี มองว่าภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ราคาทองคำจะสามารถทำระดับสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งและล่าสุดราคาทองคำได้ปรับขึ้นมาตามคาดการณ์  โดยเชื่อว่าในไตรมาส 4 ราคาทองคำจะยังเคลื่อนไหวในแดนบวก แม้ว่าจะมีการเทขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง   อย่างไรก็ดีหากมองถึงปัจจัยในหลากหลายด้าน ก็ยังมีน้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของทองคำในเชิงบวก  โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ล่าสุดตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐ เช่น ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐนั้นอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ   อีกทั้ง ‘เจอโรม พาวเวล’ ประธานเฟด ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม Jackson Hole ว่า ‘ความเสี่ยงด้านการจ้างงานกำลังเพิ่มขึ้น และภาษีศุลกากรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับราคาเพียงครั้งเดียว ความสมดุลของความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจำเป็นต้องปรับนโยบาย’  ทำให้นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นปัจจัยหนุนหลักต่อราคาทองคำ   นอกจากนี้ นโยบายทางการเงินของเฟดยังมีความเป็นไปได้ที่สูงขึ้น ว่าจะมีจุดยืนที่ผ่อนคลาย (Dovish stance) มากขึ้น นับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ มีความพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกดดัน เจอโรม พาวเวล ให้รีบทำการปรับลดดอกเบี้ยลงและลาออกจากประธานเฟด  รวมไปถึงการสั่งปลด ลิซ่า คุก หนึ่งในผู้ว่าการเฟด ซึ่งนับเป็นการเข้าแทรกแซงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นตลอด 111 ปีที่ผ่านมา  แต่ทางด้าน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยังออกมาปกป้องการกระทำดังกล่าวของโดนัลด์ ทรัมป์  อีกทั้ง ยังมีความพยายามที่จะส่งคนสนิทอย่าง สตีเฟน มิแรน เข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเฟด แทนที่ อาเดรียนา คูเกลอร์ ที่ลาออกไปในช่วงก่อนหน้านี้   เป้าหมายถัดไป 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์   ทั้งนี้ในปีนี้ วายแอลจี ได้ให้เป้าหมายราคาทองคำไว้ที่โซน 3,500 – 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ราคาจะทดสอบเป้าหมายแรกที่ระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปแล้วถึงสองครั้ง  อย่างไรก็ดี หากสามารถยืนแล้วไปต่อได้พร้อมปัจจัยพื้นฐานเข้ามาสนับสนุน จะมีเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และระดับ 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ   สำหรับคำแนะนำการลงทุนทองคำ ในระยะสั้นมองว่าทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 3,437-3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และกรอบแนวต้าน 3,508-3,540 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์  ส่วนทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ มองว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 52,500-54,100 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากค่าเงินบาทระดับ 33.24 บาทต่อดอลลาร์)   ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดฟิวเจอร์ส แนะนำเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในระดับสูง เพราะใช้เงินลงทุนเพียง 10% ของราคาทองคำ และสามารถทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด โดยล่าสุดวายแอลจีได้ออกโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีกับ YLG Futures รับสิทธิ์ใช้งาน Trading View Essential Plan ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า 5 ด้าน 1.กราฟและอินดิเคเตอร์ครบครัน รวมถึง Volume Profile 2.เครื่องมือวาดรูปและฟีเจอร์ทางเทคนิค 3.การแจ้งเตือนราคา 4.ไอเดียเทรดจากคอมมูนิตี้ 5.ไม่มีโฆษณาและอีกจำนวนมาก   Alternate-X สรุปให้   YLG คาดราคาทองคำโลกยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย โดยราคาทองคำต่างประเทศเคลื่อนไหวเหนือ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีลุ้นแตะ 3,700 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองไทยคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 52,500–54,100 บาทต่อบาททองคำ แนะนักลงทุนใช้ตลาดฟิวเจอร์ส ลงทุนเพียง 10% เพื่อสร้างโอกาสทำกำไร มองแนวโน้มไตรมาส 4/68 ยังเป็นบวก แม้มีแรงขายทำกำไรบางช่วง  

September 3, 2025 / 0 Comments
read more

ทาโร อยู่มากว่า 40 ปีไม่ขอแก่แต่ไปต่อ’สแน็ก’ เพื่อโลกขยายไลน์ใหม่ตลาดสุขภาพ-สูงวัย

BizKet,  EcoVative

‘ทาโร’ มุ่งสุ่ธุรกิจเพื่อสังคม ปรับใหม่แนวคิดตลอดกระบวนการผลิตควบการตลาดยั่งยืน มุ่งสู่ ‘สแน็ก’ แห่งอนาคต เจาะหมดทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่-สูงวัย   วิภาส จิรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท พี เอม ฟูด จำกัด ผู้ผลิตสินค้าขนมขบเคี้ยวปลาสวรรค์ทาโร ของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทฯ วางแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าตลอดห่วงโซ่การผลิต (Value Chain) โดยเฉพาะลดส่วนเกินเหลือทิ้ง (Waste) จากเนื้อปลาซึ่งเป็นวัตุถิบหลักในการผลิตสินค้าปลาสวรรค์ทาโร ในรูปแบบต่างๆ  รวมถึงบรรจุภัณฑ์ (แพ็คเกจจิ้ง) ซองสินค้า เพื่อสร้างประโยชน์ให้ได้สูงสุด   จากที่ผ่าน ปลาหนึ่งตัวใช้ประโยชน์ได้ราว 40% ส่วนที่เหลือ 60% จะเป็นของเสียด้วยเป็นส่วนของ หัว หนัง และ ก้างปลา หรือราว 30% จะถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์  และอีก 30% จะเป็นส่วนของพุงและใส้ปลา ซึ่งจะถูกนำไปใช้ผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์   อย่างไรก็ตาม หลังการปรับแนวทางการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องด้านความยั่งยืน จากเดิมที่โรงงานสั่งเฉพาะวัตถุดิบเนื้อปลาบด (ซูเรมิ) จากซัพพลายเออร์เท่านั้น แต่จากนี้ไปจะมีการทำงานร่วมกันเพื่อให้จัดส่งฟู้ด เวสต์ ในส่วนดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเป็นสินค้าสแน็กรายการใหม่ ที่ปัจจุบันมีสินค้าทำตลาดแล้ว คือ ปลาสวรรค์ทาโร่ แผ่นแซ่บ  เป็นต้น   ”โรงงานฯ  ทำงานร่วมกับทีมวิจัยและพัฒนามาก่อนหน้านี้ราว 2 ปี เพื่อลดของเสียจากกระบวนการผลิตให้ได้น้อยที่สุด พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนเกินของวัตถุดิบหลักซูเรมิ ไปสู่สินค้าตัวใหม่ในพอร์ตปลาสวรรค์ทาโร่“ วิภาส กล่าว ขยายไลน์ใหม่สูงวัย-เพื่อสุขภาพ   ด้าน ปิย สมุทรโคจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ทำตลาดสินค้าขนมขบเคี้ยว ปลาสวรรค์ทาโร กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ในตลาดมา 48 ปี มีสินค้าเรือธงในกลุ่มสแน็ก คือ ปลาสวรรค์ทาโร่ เป็นแบรนด์ในตลาดมากว่า 40 ปี เช่นกัน ถึงปัจจุบันได้พัฒนานวัตกรรมสินค้าให้มีความหลากหลาย รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้ในทุกรุ่น   ล่าสุด บริษัทฯ ร่วมกับพันธมิตรองค์กรรายใหญ่ จัดกิจกรรมเพื่อมีส่วนร่วมในสังคมภายใต้แคมเปญ ‘ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง’ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 – 31 มกราคม 2569  ร่วมลุ้นของรางวัลทุกเดือน รวมมูลค่ากว่า 16 ล้านบาท   โดยตลอดระยะเวลา 5 เดือนของแคมเปญฯ ดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าหมายในเชิงการสร้างการรับรู้การนำกลับไปใช้ใหม่ของแพ็คเกจจิ้งพลาสติกสินค้าจากการคัดแยกขนาดตามแต่ละประเภทของซองบรรจุปลาสวรรค์ทาโร่ ให้กับผู้บริโภค ได้มีส่วนร่วมผ่านกิจกรรมการตลาดในแคมเปญฯ นี้ และต่อยอดไปสู่ความร่วมมือระหว่างพันธมิตรหรืองค์กรอื่นได้ต่อไปในอนาคต   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง   ทาโร ร่วมพันธมิตรหนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน เปลี่ยนพลาสติกเป็นพลังงานสะอาด         ปิยะ กล่าวว่า ผลิตตภัณฑ์ปลาสวรรค์ทาโร่ ใน6 เดือนแรกของปี 2568 มีอัตราการเติบโตราว 6%  โดยครองส่วนแบ่งอันดับ1 ของกลุ่มปลาเส้น ด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 90% โดยตลาดกลุ่มนี้เติบโตราว 5% และเป็นอันดับ 3 ของตลาดขนมขบเคี้ยวมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท (ในครึ่งแรกของปี 2568 จากมูลค่ารวมตลาดแสน็กราว 4 หมื่นล้านบาท) มีการเติบโตราว 10% ปัจจัยหลักมาจากการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ในตลาดกลุ่มบุกปรุงรส หรือ หมึกกรุบ ที่เข้ามาสร้างสีสันในตลาดในช่วงที่ผ่านมา   บริษัทฯ คาดว่าในไตรมาสสี่ปีนี้ และไตรมาสแรกปีหน้า ตลาดกลุ่มปลาเส้น จะกลับมาคึกคักด้วยเข้าสู่หน้าขาย จากการทำตลาดสินค้าหลากหลายรายการใหม่ อาทิ ทาโร เคลือบชีส, ทาโร บิ๊กโรล เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ ยังไม่มีแผนปรับราคาสินค้าในขณะนี้   จากปัจจุบัน สินค้าปลาสวรรค์ทาโร มียอดขายหลักในช่องทางโมเดิร์นเทรด (MT) และ ช่องทางร้านสะดวกซื้อ (CVS)  รวมกันสัดส่วน 60% และที่เหลือในช่องทางค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade)ราว 40% โดยกลุ่มสินค้าระดับราคา 10 บาท จะได้การตอบรับดี     “ตลาดสแน็กถือเป็นสินค้า อิมพัลส์ คาแรกเตอร์ ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อด้วยอารมณ์เป็นหลัก ซึ่งไม่มีผลกระทบมากนักแม้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยยังเป็นตลาดที่มีการเติบโตเฉลี่ยทุกปีราว 4-5% ในช่วงสถานการณ์ปกติก่อนมีสินค้าแคทตากอรี่ใหม่เข้ามาในตลาด” ปิยะ กล่าว     นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังทำตลาดส่งออกในรูปแบบรับจ้างผลิต (OEM)อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตดีตามความต้องการของตลาด จากคำสั่งซื้อ (Order) ที่เข้ามาแล้วในไตรมาสสามต่อเนื่องในไตรมาสสี่ ปีนี้ รวมถึงมีแผนเข้าไปทำตลาดในประเทศจีน ที่ขณะนี้ดำเนินการด้านลิขสิทธิ์เครื่องหมายทางการค้าเรียบร้อยแล้ว รวมถึงการเข้าตลาดในสหรัฐอเมริกา ในรูปแบบอีคอมเมิร์ซ ด้วย ส่วนตลาดในประเทศกัมพูชา ขณะนี้ยังชะลอแผนธุรกิจออกไปก่อนจากปัญหาตความขัดแย้งระหว่างสองประเทศไทยและกัมพูชา ในช่วงที่ผ่านมา “จากภาพรวมทั้งหมดคาดผลักดันให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตราว 6-7% ในปี 2568 นี้” ปิยะ กล่าว   ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังวางแผนในอีก3-5 ปีข้างหน้า เตรียมขยายธุรกิจภายใต้ไลน์การผลิตใหม่ ทั้งในกลุ่มสินค้าเพื่อคุณประโยชน์ดูแลสุขภาพ สินค้าเสริมแคลเซียมสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อตอบโจทย์และรอบรับการเข้าสู่สังคมสังคมสูงวัยเต็มตัว ในอนาคตด้วย รวมไปถึงทยอยปรับสูตรสินค้าโดยทยอยลดโซเดียมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความคุ้นชินในรสชาติให้กับผู้บริโภค  เพื่อสร้างความยั่งยืนธุรกิจไปพร้อมตลาดในอนาคต   ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่และให้ความสำคัญในการใช้ชีวิตที่มีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนให้บริษัท มุ่งพัฒนาสินค้าสแน็กรายการใหม่ๆ  พร้อมจัดกิจกรรมการตลาด ให้สอดรับกระแสความยั่งยืน ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง Alternate-X สรุปให้   ‘ทาโร’ พัฒนาแนวทางการผลิตใหม่ ลดของเสียจากปลาและบรรจุภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มโดยนำฟู้ดเวสต์มาผลิตเป็นสแน็กใหม่ เช่น ทาโร่แผ่นแซ่บ พร้อมจัดแคมเปญ ‘ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง’ ร่วมรีไซเคิลซองพลาสติก เตรียมขยายไลน์สแน็กเพื่อสุขภาพและผู้สูงวัย รองรับสังคมสูงวัย คาดการเติบโตธุรกิจปี 2568 ราว 6-7% พร้อมแผนรุกตลาดต่างประเทศ    

September 2, 2025 / 0 Comments
read more

ทาโร ร่วมพันธมิตรหนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน เปลี่ยนพลาสติกเป็นพลังงานสะอาด

EcoVative,  PRnounce

ทาโร จับมือ ไปรษณีย์ไทย–PTG–SLEEK EV เปิดแคมเปญ ‘ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง’ เดินหน้า Circular Economy ลดขยะกว่า 1,000 ตัน/ปี เปลี่ยนซองพลาสติกเป็นพลังงานสะอาด พร้อมลุ้นโชครวมกว่า 16 ล้าน   บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวปลาสวรรค์ทาโร จับมือพันธมิตรหลัก ได้แก่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สลีค อีวี จำกัด เปิดตัวแคมเปญ “ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง” ชวนคนไทยร่วมส่งคืนซองเปล่าทาโร เพื่อกำจัดอย่างถูกวิธี เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล นำไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงานไฟฟ้า ทดแทนอุตสาหกรรมการใช้ถ่านหิน พร้อมสิทธิ์ลุ้นรางวัลรวมมูลค่ากว่า 16 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 – 31 มกราคม 2569   จากที่ผ่านมาการกำจัดขยะพลาสติกจะใช้วิธีการฝังกลบ ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อยสลายนานหลายสิบปีกว่าพลาสติกเหล่านี้จะสลายตัว  ดังนั้นการบริหารจัดการขยะพลาสติกอย่างถูกต้อง ควรต้องเริ่มตั้งแต่จุดเริ่มต้น ด้วยพฤติกรรมการแยกขยะและสร้างความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยแคมเปญฯ ตั้งเป้าสามารถลดขยะพลาสติกได้กว่า 1,000 ตันต่อปี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน   คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ กล่าวว่า “ปัญหาขยะพลาสติกและภาวะโลกร้อนเป็นวิกฤติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และภาคธุรกิจต้องแสดงความรับผิดชอบต่อห่วงโซ่คุณค่าอย่างจริงจัง แคมเปญ ‘ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง’ จึงเป็นพันธกิจสำคัญในการจัดการซองทาโรที่ย่อยสลายยาก กลับมาเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาด โดยจับมือพันธมิตรที่มีเป้าหมายและความมุ่งมั่นร่วมกัน นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากหลากหลายธุรกิจมาบูรณาการ ซึ่งโครงการนี้สามารถช่วยลดขยะฝังกลบได้กว่า 1,000 ตันต่อปี ผลิตไฟฟ้าได้ 2.4–3.0 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพียงพอต่อการใช้งานของ 667–833 ครัวเรือน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 2,000 ตัน CO₂e โดยเราเชื่อว่าโครงการนี้ไม่เพียงช่วยจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างการตระหนักรู้ ปลูกฝังพฤติกรรมการคัดแยกขยะ และต่อยอดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน”   ด้าน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ตลอด 142 ปี ไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่ส่งต่อความสุข ความสำเร็จให้คนไทย และมุ่งมั่นส่งต่อโลกที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไปด้วย โดยไปรษณีย์ไทยมุ่งดำเนินงานด้าน Circular Economy ผลักดันโครงการ Green Hub ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ โครงการ reBOX โครงการ reBAG  โครงการ e-Waste ฯลฯ ช่วยด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการขยะ (Waste) ประเภทต่างๆ เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการจัดการและแปรรูปอย่างสมดุลต่อไป  ซึ่งการร่วมมือในแคมเปญนี้จึงเป็นการส่งพลัง อีกก้าวสำคัญจากทุกคนมารวมกัน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของไปรษณีย์ไทยและศักยภาพด้านเครือข่ายและระบบโลจิสติกส์  ที่ครอบคลุมทั่วประเทศเป็นจุดรวบรวมและส่งต่อซองทาโรเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ซึ่งไม่เพียงช่วยลดขยะพลาสติก แต่ยังสร้างคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม   คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “PTG มุ่งเติบโตควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ 3Re – Reduce, Reforest, Readjust Portfolio เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและขับเคลื่อนสู่พลังงานสะอาด ความร่วมมือในโครงการ ‘ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง’ เป็นอีกตัวอย่างสำคัญที่นำซองขนมที่ย่อยสลายยากเข้าสู่กระบวนการจัดการอย่างเป็นระบบและแปรรูปเป็นขยะเชื้อเพลิง RDF (Refuse-Derived Fuel) ตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ซึ่งสะท้อนบทบาทของ PTG ในการใช้ความเชี่ยวชาญด้านพลังงานเพื่อสร้างคุณค่าร่วมทั้งต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ตอกย้ำวิสัยทัศน์อยากเห็นคนไทย ‘อยู่ดี มีสุข’ และการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง”   ในส่วนของ คุณกันตินันท์ ตันวีนุกูล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สลีค อีวี จำกัด กล่าวว่า “SLEEK EV เชื่อว่าความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ทางเลือก แต่คือรากฐานของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เรามุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral ภายในปี 2030 ผ่านการพัฒนานวัตกรรมระบบยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร (Full-stack EV Ecosystem) ที่ช่วยลดมลพิษและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การเข้าร่วมแคมเปญนี้ จึงเป็นการตอกย้ำยอดพันธกิจของเราในการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาช่วยจัดการขยะพลาสติกให้เกิดประโยชน์สูงสุด ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอาหาร โลจิสติกส์ พลังงาน หรือยานยนต์ไฟฟ้า ต่างสามารถร่วมกันสร้างสังคมที่สะอาด ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนได้จริง”   แคมเปญ “ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง” ชวนผู้บริโภคร่วมลดปัญหาขยะพลาสติกได้ง่าย ๆ เพียงรวบรวมซองทาโรรสชาติใดก็ได้ ขนาดหรือราคาเดียวกัน รวมมูลค่าตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไปได้ 1 สิทธิ์ ไม่จำกัดสิทธิ์ต่อการส่ง 1 ครั้ง แล้วส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ พร้อมใช้ Tracking Slip เป็นหลักฐานการร่วมกิจกรรม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 – 31 มกราคม 2569 แล้วมาร่วมลุ้นของรางวัลทุกเดือน รวมมูลค่ากว่า 16 ล้านบาท อันได้แก่  iPhone 16 Pro จำนวน 60 เครื่อง, iPad Air 11 นิ้ว จำนวน 60 เครื่อง, รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า SLEEK EV จำนวน 60 คัน และรางวัลใหญ่ รถยนต์ไฟฟ้า Volvo รุ่น EX30 จำนวน 6 คัน (*จำกัดสิทธิ์ 1 ท่านต่อ 1 รางวัล และหากได้รับมากกว่า 1 รายการ จะได้รับเพียงรางวัลที่มีมูลค่าสูงสุด **เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ) ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และการประกาศผู้โชคดีแคมเปญ “ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง” ได้ทางwww.taroraklok.com   Alternate-X สรุปให้    ทาโรเปิดแคมเปญ ‘ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง’ ร่วมมือกับไปรษณีย์ไทย PTG และ SLEEK EV เพื่อลดขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าลดขยะกว่า 1,000 ตันต่อปี และนำไปแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าสะอาดทดแทนถ่านหิน แคมเปญเปิดให้ผู้บริโภคร่วมส่งคืนซองทาโรผ่านเครือข่ายไปรษณีย์ทั่วประเทศ พร้อมสิทธิ์ร่วมสนุกเพื่อลุ้นรางวัลใหญ่รวมมูลค่ากว่า 16 ล้านบาท ตั้งแต่กันยายน 2568 ถึงมกราคม 2569 สะท้อนการทำงานร่วมกันของธุรกิจอาหาร พลังงาน โลจิสติกส์ และยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืน  

September 2, 2025 / 0 Comments
read more

รัฐบาลไต้หวัน เร่งเจาะตลาดการศึกษา ดึงเด็กไทยเรียนต่อ ติดอันดับ 6 ของโลก

EcoVative,  Peace&Play

รัฐบาลไต้หวัน ส่งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเส้นทางความรู้คู่การทำงาน จัดนิทรรศการการศึกษาไต้หวันและเส้นทางสู่อาชีพ ประจำปี 2568 ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 30–31 ส.ค. เจาะตลาดความรู้เด็กไทยติดอันดับ 6 ไปเรียนต่อ ปีเตอร์ หลัน ผู้แทนรัฐบาลไต้หวัน สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย กล่าวว่า หลังการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา (TVET) และมอบโอกาสการฝึกภาคปฏิบัติให้แก่นักเรียนไทยที่ไปศึกษาในไต้หวัน ซึ่งเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับความร่วมมือในอนาคตด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ไปเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา พร้อมผลักดันความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างไต้หวันและไทย ตามแผน ‘ส่งเสริมให้นักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนและพำนักในไต้หวัน” ของกระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน   ล่าสุด รัฐบาลไต้หวันจัดพิธีเปิดศูนย์ความร่วมมือแลกเปลี่ยนบุคลากรนานาชาติไต้หวัน ประจำประเทศไทย (กรุงเทพมหานคร) อย่างเป็นทางการขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์บริการทางการศึกษาในเมือง: อาคารเคเอกซ์ (Knowledge Exchange – KX) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ของการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างสองประเทศ   โดยศูนย์ดังกล่าวจะให้บริการเกี่ยวกับหลักสูตรเตรียมภาษาจีน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนด้านวิชาการ และทรัพยากรความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้นักศึกษาไทยไปศึกษาและหางานทำในไต้หวัน พร้อมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยไทยและไต้หวันในการจัดตั้งหลักสูตรพิเศษเกี่ยวกับการผลิตบุคลากรด้านอุตสาหกรรมในระดับนานาชาติ (INTENSE Program)   “ไต้หวันมีคณาจารย์คุณภาพสูง สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีความเป็นสากล การศึกษาระดับอุดมศึกษาของไต้หวันจึงได้รับความนิยมจากนักศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาโดยตลอด และกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของการพัฒนาบุคลากรในภูมิภาค”  ปีเตอร์ กล่าว   โดยในปีที่ผ่านมา มีนักศึกษาต่างชาติจำนวนกว่า 120,000 คน ไปศึกษาต่อที่ไต้หวัน โดยในจำนวนนี้มีนักศึกษาจากไทยเกือบ 5,000 คน ทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งนักศึกษาต่างชาติอันดับที่ 6 ของโลกที่มาเรียนในไต้หวัน   ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาไต้หวันและไทย ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างภาคการศึกษากับภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนยกระดับการรับรู้เกี่ยวกับการศึกษาระดับอุดมศึกษาของไต้หวันในประเทศไทย จึงได้จัดงาน ‘งานนิทรรศการการศึกษาไต้หวันและเส้นทางสู่อาชีพ’ ประจำปีนี้ ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 30–31 สิงหาคม 2568 โดยมีมหาวิทยาลัยจากไต้หวันเข้าร่วมทั้งสิ้น 39 แห่ง และมีบริษัทไต้หวัน 12 แห่ง มาตั้งบูธรับสมัครคนไทยเข้าทำงาน   สำหรับในปีนี้ ผู้จัดงานได้รวบรวมมหาวิทยาลัยชื่อดังจากไต้หวันจำนวน 39 แห่ง มาให้บริการแนะนำหลักสูตร วิธีการสมัคร ข้อมูลทุนการศึกษา และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการศึกษาต่อยังต่างประเทศ อีกทั้งคณะกรรมการส่งเสริมการสอบวัดทักษะภาษาจีนแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานที่พัฒนาการทดสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีนก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน เพื่อให้ข้อมูลที่สมบูรณ์แก่ผู้ที่สนใจไปศึกษาต่อในไต้หวัน   นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมชมงานยังมีโอกาสเข้าร่วมจับรางวัล โดยรางวัลใหญ่ที่สุดคือหลักสูตรภาษาจีนแบบเข้มข้น เป็นระยะเวลา 3 เดือน ผู้ได้รับรางวัลจะได้เรียนที่ศูนย์ภาษาจีนในสถาบันการศึกษาที่ไต้หวันฟรี!   นอกจากนิทรรศการการศึกษาแล้ว ยังมีกิจกรรมการแนะแนวอาชีพ โดยเชิญบริษัทไต้หวัน 12 แห่งมาตั้งบูธให้คำปรึกษาด้านฝึกงานและประกอบอาชีพ ช่วยให้นักศึกษาวางแผนประกอบอาชีพหลังจากสำเร็จการศึกษาอย่างมั่นใจ พร้อมเชิญชวนครู นักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครองชาวไทยมาเข้าชมงานนิทรรศการ ในครั้งนี้     Alternate-X สรุปให้     รัฐบาลไต้หวัน เดินกลยุทธ์ดึงดูดนักศึกษาไทย เปิดศูนย์แลกเปลี่ยนบุคลากรนานาชาติและจัดงานนิทรรศการการศึกษาไต้หวัน 2025 จากที่ผ่านมา มีนักศึกษาไทยเกือบ 5,000 คน ไปเรียนต่อปี ทำให้ไทยติดอันดับ 6 ของประเทศที่มีนักศึกษาไปศึกษาต่อมากที่สุด แผนนี้ไม่เพียงเน้นการศึกษา แต่ยังรวมถึงโอกาสฝึกงาน การทำงาน และความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม 39 มหาวิทยาลัยและ 12 บริษัทจากไต้หวันเข้าร่วมงานในกรุงเทพฯ เพื่อเจาะตลาดการศึกษาและแรงงานไทย นับเป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและ Soft Power ของไต้หวัน ที่มุ่งใช้การศึกษาเชื่อมเศรษฐกิจ–วัฒนธรรมกับไทย

September 2, 2025 / 0 Comments
read more

มือเก๋าอสังหาฯ เมืองนนท์ สบช่องตลาดขาลง ร่วมทุนเศรษฐีที่ดิน ทำบ้านเดี่ยวพูลวิลล่า

BizKet

เดวาแลนด์ บริหารที่ดินในมือแลนด์ลอร์ดทั่วไทย ใช้สูตรร่วมทุนทำบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม มองโอกาสยังมีในตลาดกำลังซื้อสูง ใช้ ‘ทำเล’ เป็นจุดขาย นำร่อง 3 โครงการในกรุงเทพฯ   เลิศมงคล วราเวณุชย์ อดีตนายกสมาคมอสังหริมทรัพย์นนทบุรี, อุปนายกและเลขาธิการ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดวา แลนด์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ว่า บริษัทฯ จัดตั้งเมื่อ 2 ปีก่อนด้วยประสบการณ์ในตลาดอสังหาฯ มานานกว่า 30 ปี มองเห็นโอกาสทางธุรกิจในรูปแบบการร่วมทุน (JV) ระหว่างเจ้าของที่ดิน (Land Loard) ในประเทศไทยที่มีดินสะสม (Land Bank) เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ ร่วมกัน   สำหรับแนวคิดดังกล่าว จะนำทั้งจุดแข็งจากความเชี่ยวชาญด้านการตลาดและการพัฒนาโครงการฯ โดยเฉพาะการเลือกทำเลที่มีศักยภาพเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัย พัฒนาโครงการฯที่ตรงกับความต้องการ (Demand) ในแต่ละทำเล (Location) จากเจ้าของที่ดินแต่ละแห่งที่ครอบครองอยู่ซึ่งยังไม่ต้องการปล่อยที่ดินแปลงดังกล่าว แต่ต้องการบริหารจัดการด้านภาษีอัตรา 100% ตามประกาศพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2567   “แม้ว่าจะมีหลายรายที่นำที่ดินมาพัฒนาเอง แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่สามารถกู้สินเชื่อโครงการผ่าน ทำให้เกิดโมเดลความร่วมมือกับมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นแนวคิดในการจัดจั้งเดวลาแลนด์ ขึ้นมา” เลิศมงคล กล่าว       ล่าสุดในปีนี้ บริษัทฯ เดวา แลนด์ ใช้ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ร่วมกับ 3 ตระกูลนำที่ดิน 3 แปลงมาพัฒนาโครงการอสังหาฯ บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ แคนวาส (CANVAS) ใน 3 ทำเล ดังนี้   โครงการแรกบริษัทฯ ร่วมทุนสัดส่วน 50% กับครอบครัว ‘เลาหพันธุ์’ นำที่ดินบริเวณซอยพระราม 9 ซอย 59 จำนวนทั้งหมด 1 ไร่พัฒนาบ้านเดี่ยวพูลวิลล่า ‘แคนวาส พระราม9’  โดยแต่ละยูนิตจะมีขนาดที่ดิน 35-43 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 366 ตารางเมตร  จำนวน 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พร้อมลิฟต์ทุกหลัง และ Rooftop Garden นบนดาดฟ้าทุกหลัง มีจำนวน 8 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 24.9-34.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 220 ล้านบาท โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟสๆละยูนิต เป็นบ้านพร้อมอยู่ โดยเฟสแรกจะเปิดพรีเซลในวันที่ 1 กันยายน 2568 ส่วนเฟส 2 จะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างอีก 8 เดือน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2569   ส่วนอีก 2 โครงการ คือ บ้านเดี่ยวพูลวิลล่าสั่งสร้าง บนทำเลอารีย์-พหลโยธิน  บริษัทฯ ร่วมทุนสัดส่วน 75% กับกลุ่ม  ‘นาคะเกศ’ โดยนำที่ดินทั้งหมด 178 ตารางวา พัฒนาโครงการในชื่อ ‘แคนวาส อารีย์’ จำนวน 4  ยูนิต ขนาด 25-45 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 35-45 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 350-450 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พร้อมลิฟต์ทุกหลัง และ Rooftop Garden นบนดาดฟ้าทุกหลัง มูลค่าโครงการ 160 ล้านบาท   โครงการที่ 3 ตั้งอย่บนทำเลสุขุมวิท 101 (ปุณณวิถี) บริษัทฯ ร่วมทุนสัดส่วน 67% เป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม ‘เจริญพานิช’ นำที่ดินบนพื้นที่ทั้งหมด 215 ตารางวา พัฒนาภายใต้แบรนด์ ‘แคนวาส ปุณณวิถี’ เป็นบ้านเดี่ยวพูลวิลล่าสั่งสร้าง จำนวน 4 ยูนิต ขนาด 35-55 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 35-45 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 350-450 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พร้อมลิฟต์ทุกหลัง และ Rooftop Garden นบนดาดฟ้าทุกหลัง มูลค่าโครงการ 120 ล้านบาท   โดยทั้ง 3 โครงการจะเปิดพรีเซลพร้อมกันวันที่ 1 กันยายน 2568 แต่ 2 โครงการหลังจะเป็นบ้านสั่งสร้าง ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 1 ปี โดยราคาที่ดินเปล่าทั้ง 3 ทำเล ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150,000 – 500,000 บาท/ตารางวาขึ้นไป จับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจน้อยที่สุด ทางเลือกบริหารที่ดินมรดก   เลิศมงคล  กล่าวว่า แนวคิดการร่วมทุนระหว่างแลนด์ลอร์ดในการพัฒนาโครงการฯ เป็นการนำที่ดินที่มีอยู่และต้องการพัฒนาโครงการมาตีมูลค่าเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละโครงการจะใช้เงินลงทุนเองเกือบทั้งหมดและขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินบางส่วนเท่านั้น และเมื่อโครงการฯขายได้เจ้าของที่ดินจะได้รับเงินคืนตามสัดส่วนหุ้นที่เข้ามาลงทุนในรูปแบบที่ดินของแต่ละโครงการ ซึ่งบริษัทฯ เตรียมนำโมเดลนี้ขยายไปทั่วประเทศ ด้วยได้รับความสนใจจากแลนด์ลอร์ดรายต่างๆ รวมถึงผู้พัฒนาอสังหาฯ ด้วย ที่ขณะนี้มีอผู้สนใจรอ (Waiting List) ร่วมพันฒนาโครงการฯกับบริษัทไม่ต่ำกว่า 20 ราย   “จากเวสติ้ง ลิสต์  ที่ติดต่อเข้ามาหากเป็นที่ที่ดินแปลงสวย บริษัทฯ ก็พร้อมจะร่วมพัฒนาโครงการทั่วประเทศ” เลิศมงคล   กล่าว   โดย บริษัทมองว่าที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ และยังมีช่องว่างทางการตลาดหากสามารถพัฒนาในทำเลดี ราคาสมเหตุสมผล เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า  จากความได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนที่ดิน ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งในย่านเดียวกันโดยเฉลี่ยประมาณ 30% ด้วยส่วนใหญ่เป็นที่ดินมรดก นานถึง 50-60 ปี  ซึ่งเจ้าของที่ดินสามารถนำมาต่อยอดได้ ซึ่งทั้ง 3 โครงการฯ ยังใช้ทีมงานเดียวกันทั้งหมดสามารถตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้ดี   ขณะที่ กลุ่มเป้าหมายทั้ง 3 โครงการฯ จะป็นผู้ต้องการอยู่อาศัยจริง (Real Demand)  ที่ยังมีกำลังซื้อสูงแฃะได้รับผลกระทบน้อยสุดจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยโครงการฯใน3 ทำเลยังตั้งอยู่ในย่านโรงพยาบาลชั้นนำ และเป็นหนึ่งในแนวทางกำหนดบุคลิกภาพลูกค้า (Persona) ให้แตกต่างกันออกไป อาทิ ทำเลพระราม 9 จะเป็นกลุ่มแพทย์วัยหนุ่ม มีระดับรายได้มาก 1.1-1.2 แสนบาทต่อเดือน ทำเลอารีย์ พหลโยธิน 14 จะเป็นกลุ่มอาจารย์แพทย์ มีระดับรายได้สูงขึ้นมาอีก และทำเลสุดท้าย สุขุมวิท 101 (ปุณณวิถี)  จะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ สตาร์ท อัป ต่างๆ เพื่อรองรับดีมานด์ในย่านดังกล่าว ซึ่งมีบริษัทเอกชนด้านเทคโนโลยีหลายแห่งรวมตัวอยู่   อสังหาฯท้ายปี 68 ไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว   เลิศมงคล กล่าวว่าแนวทางธุรกิจ ดังกล่าวยังเป็นการปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์อสังหาฯ ครึ่งปีหลัง 2568 ในภาพรวมยังทรงกับทรุด  แต่ยังมีข่าวดี หลังจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจาก 36% เหลือ 19% มีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งการที่ผู้ประกอบการไทยมีความกังวลว่านักลงทุนจากจีน และ ญี่ปุ่น จะย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามนั้น คงเป็นเรื่องยากอย่างแน่นอน เพราะเวียดนามถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่ 20%   ขณะที่ภาพรวมในประเทศไทยหากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ไม่โต ภาพรวมตลาดอสังหาฯก็คงไม่เติบโตตามไปด้วย แต่คาดว่าจะไม่แย่ลงไปกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว โดยในปี 2568 นี้พบว่ายอดขายที่อยู่อาศัยในกทม.-ปริมณฑล อยู่ที่ประมาณ 60,000 ยูนิต (บวกลบ) เมื่อเทียบกับปี 2541- 2543 มียอดขายที่อยู่อาศัยในกทม.-ปริมณฑล ที่ 33,000 – 34,000 ยูนิต/ปี เท่ากับยอดสร้างเสร็จ ซึ่งมองว่าปีนี้ยอดขายยังสูงกว่าในช่วงดังกล่าว 2 เท่าตัว       Alternate-X สรุปให้   บริษัท เดวา แลนด์ จำกัด เปิดตัวโมเดลร่วมทุน (JV) ระหว่างแลนด์ลอร์ดและนักพัฒนาอสังหาฯ นำที่ดินสะสมมาต่อยอดเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม ปี 2568 เปิดโครงการ CANVAS 3 ทำเลทอง ได้แก่ พระราม 9, อารีย์-พหลโยธิน และสุขุมวิท 101 รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยบ้านเดี่ยวพูลวิลล่าทุกยูนิตมีลิฟต์และ Rooftop Garden ราคาเริ่มต้น 24.9–45 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ที่ยังมีกำลังซื้อสูง กลยุทธ์นี้ช่วยเจ้าของที่ดินเลี่ยงภาระภาษีและสร้างผลตอบแทน พร้อมลดต้นทุนเฉลี่ย 30% จากการใช้ที่ดินมรดก เดวา แลนด์ เตรียมขยายโมเดลนี้ทั่วประเทศ รองรับแลนด์ลอร์ดที่สนใจร่วมพัฒนาโครงการไม่ต่ำกว่า 20 ราย  

September 1, 2025 / 0 Comments
read more

‘CHiQ’ แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจีน แผนบุกไทยใช้กลยุทธ์ ‘ความฉลาดมีไสตล์’ เจาะใจคนรุ่นใหม่

BizKet

CHiQ แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือ Changhong กับกลยุทธ์เจาะตลาดไทยให้อยู่ในใจคนรุ่นใหม่ได้ต้องใช้ ความฉลาดมีสไตล์ จับพันธมิตร ‘Global House’ พร้อมส่ง ฮีโร่โปรดักต์ใหม่ ‘ตู้เย็นอัจฉริยะ’ ปลายปี 2025   ผู จงฮุย (Mr.Pu Zonghui) ผู้อำนวยการ บริษัท ฉางหง อิเล็คทริค (ไทยแลนด์) จำกัด (CHANGHONG ELECTRIC (THAILAND) CO., LTD.) และ บริษัท ชิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ‘CHiQ’ เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือฉางหง ผู้ผลิตลำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งได้การตอบรับดีจากผู้บริโภคชาวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชันการใช้งานและดีไซน์ที่สอดคล้องกับแนวคิด ฉลาดอย่างมีสไตล์ ‘Smart with Style’  นำความอัจฉริยะของเทคโนโลยีเข้ากับดีไซน์ที่หรูหราและใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน   “พันธกิจของแบรนด์คือการเพิ่มคุณค่าให้กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ผ่านผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบาย รสนิยม และนวัตกรรม โดย CHiQ พัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องจากความต้องการของผู้ใช้ เพื่อยกระดับประสบการณ์การอยู่อาศัยในบ้านให้เหนือกว่า” จงฮุย กล่าวพร้อมเสริมว่า   ทั้งนี้ แบรนด์ ‘CHiQ’ วางตำแหน่งทางการตลาดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์ ในราคาจับต้องได้ มีราคาตั้งแต่ 2,590-29,500 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละผลิตภัณฑ์ โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดไทยคือ เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, ทีวี และ มินิบาร์   ล่าสุดในปีนี้ บริษัทฯ วางแผนเปิดตัวหนึ่งในไฮไลต์สินค้าสำคัญ คือ ‘ตู้เย็นอัจฉริยะรุ่นใหม่’ ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์พระเอก (Hero Product) ของแบรนด์สำหรับตลาดไทยในช่วงปลายปี มาพร้อมการออกแบบ (Design) มีเอกลักษณ์สะดุดตา เพิ่มประสิทธิ์ภาพด้านพลังงานและความทนทาน สะท้อนแนวคิด ‘Smart with Style’ จากการผสมผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ากับดีไซน์ที่ลงตัวกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่   จากแนวทางดังกล่าว บริษัทฯ ยังวางแผนขยายการเติบโต (Scale up) ธุรกิจในประเทศ ผ่านความร่วมมือกับ Global House ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านชั้นนำ เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่ายจากโลกออนไลน์สู่หน้าร้านจริง ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้สะดวกขึ้น พร้อมสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ในมาตรฐานการบริการและการดูแลหลังการขาย   โดยสินค้าของ CHiQ จะวางสินค้าเข้าสู่ช่องทางจำหน่าย Global House ทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้สัมผัสและทดลองสินค้าได้จริงในร้าน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยผสานกลยุทธ์การตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในด้าน ทั้งการสร้างการรับรู้แบรนด์ การสื่อสารนวัตกรรมผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือการให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์จริงในหน้าร้าน   “เราเชื่อมั่นว่า CHiQ จะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยได้ทั้งด้านความสะดวกสบาย ความทันสมัย และคุณภาพที่เหนือกว่า”  จงฮุย กล่าว   สำหรับการขยายตลาดออฟไลน์ของ CHiQ ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การนำแบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น พร้อมตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับโลก ขณะที่ แบรนด์ CHiQ ก่อตั้งในในปี 2014 จากการต่อยอดกลยุทธ์ของฉางหง (Changhong) ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 67 ปี ในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ปัจจุบันแบรนด์มีมูลค่ากว่า 33,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และติดอันดับ 500 บริษัทผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก   โดยตลอดเส้นทางที่ผ่านมา CHiQ ยังได้ร่วมเป็นพันธมิตรองค์กรกีฬาชั้นนำ อาทิ FIS World Cup, DSV (สมาคมสกีเยอรมัน), ทีมฟุตบอล Borussia Dortmund, ทีมชาติเบลเยียม และ Formula 1 ออสเตรเลีย ซึ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับทั้งไลฟ์สไตล์และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง         Alternate-X สรุปให้   CHiQ แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับโลกในเครือฉางหง เดินหน้าขยายตลาดในไทยอย่างจริงจัง ในปลายปี 2025 เตรียมเปิดตัว ‘ตู้เย็นอัจฉริยะรุ่นใหม่’ เป็น Hero Product พร้อมวางกลยุทธ์ขยายช่องทางออฟไลน์ ร่วมมือกับ Global House ให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้สะดวก ตอกย้ำจุดยืน Smart with Style รวมเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ากับดีไซน์หรูหรา เป็นแผนมุ่งสร้างแบรนด์ CHiQ เป็นผู้นำเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะในไทยและอาเซียน  

September 1, 2025 / 0 Comments
read more

ส่องโลกอนาคตยั่งยืน เอาไปต่อยอดไอเดียธุรกิจ-ชีวิต งาน ‘SX 2025’ กับ 10 ไฮไลท์ชวนว้าว!!  

BizKet,  EcoVative,  Peace&Play

SX2025 มหรรมงานยั่งยืนสู่ปีที่6 เตรียมเข้าสู่แพลตฟอร์มระดับโลก ผ่าน 10 โซนไฮไลท์ให้ ‘ทุกคน’ มองเห็นอนาคตใหม่ ให้คนอยู่ด้วยกันกับโลกใบเดิมเพิ่มเติมคือความยั่งยืน และยังมีกำไร     ต้องใจ ธนะชานันท์ ผู้อำนวยการคณะจัดงาน Sustainability Expo 2025 (SX 2025) เปิดเผยว่างานฯ จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ซึ่งในปีนี้ยังได้จัดตั้งบริษัท ซัสเทนอะบิลิตี้ เอ็กซ์โป จำกัด ขึ้นเป็นกิจการเพื่อสังคม (SE) เพื่อขยายผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ให้ควบคู่ไปด้วยกัน ทั้งโลก คน และ กำไร  (Planet, People, Profit) พร้อมผลักดันแพลตฟอร์มนี้ให้ดำเนินการอย่างยั่งยืน ได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย   โดย ในปีนี้กำหนดแนวคิดหลักการจัดงาน ‘พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก’ (Sufficiency for Sustainability) ซึ่งยังสอดคล้องแกนหลักด้านความยั่งยืนในระดับโลกที่เป็นกระแสทั้งจากการนำปรับมาใช้ (Adaptation) และ ความร่วมมือระหว่างกัน (Collaboration)  ให้ครอบคลุมทุกระดับการใช้ชีวิตได้อย่างความสมดุลและเป็นรูปธรรม   “จากจุดเริ่มต้นงานฯครั้งแรกถึงในปัจจุบัน เพื่อผลักดันสู่การเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือด้านความยั่งยืนสำคัญ ในระดับภูมิภาคอาเซียน และในปีนี้ ยังได้ขยายความร่วมมือไปยังนานาชาติมากยิ่งขึ้น พร้อมก้าวสู่เวทีความยั่งยืนระดับโลก” ต้องใจ กล่าว   ด้วยมีการคาดการณ์ว่า ในอีก 25 ปีข้างหน้า ภาวะโลกรวน (Climate Change) อาจทำให้เศรษฐกิจเสียหาย 12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก     สำหรับแพลตฟอร์มฯ เริ่มจากผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-Founders) นำโดย   บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เอสซีจี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เครือข่าย TSCN (Thailand Supply Chain Network )   นอกจากนี้ ยังร่วมด้วยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุม และนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ร่วมขับ เคลื่อนการดำเนินงานตามแนวทาง Carbon Neutral Event เพื่อยกระดับการจัดงานสู่ความยั่งยืนระดับสากล   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง ไทยเบฟ x เนชั่นแนล จีโอฯ ทำสารคดียั่งยืนระดับโลก ใช้ทีมไทยร่วมผลิต เปิดตัวงาน SX2025   โชวฺ 10 ไฮไลท์ ยั่งยืน   สำหรับงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน- วันที่ 5 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)  พร้อมไฮไลท์ตลอดระยะเวลาการจัดงาน 10 วัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำจริงในระดับบุคคลและคนรุ่นใหม่                    อย่างต่อเนื่อง และ “ลงมือทำจริง”   ประกอบด้วย 10 โซนหลักที่ไม่ควรพลาด ดังนี้   โซน SEP INSPIRATION สำรวจเรื่องราวความสำเร็จขององค์กรชั้นนำในการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้จนประสบความสำเร็จ ‘การปรับตัวอย่างยั่งยืน เริ่มต้นได้จากตัวเรา’ และองค์กรต่างประเทศที่มาแบ่งปันเรื่องราวเพื่อความยั่งยืนของโลก (ชั้น G)   โซน BETTER ME นำเสนอภายใต้แนวคิด ‘Adaptation for Longevity’ พบการปรับตัวในมิติสุขภาพและการดำรงชีวิตให้มีความสุขรองรับช่วงอายุที่ยืนยาว ตื่นตากับความก้าวหน้าทางการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ตลอดจนไปถึงการเรียนรู้ทุกช่วงวัยเพื่อไปสู่การสูงวัยอย่างมีความสุข…ชีวิตดีมีคุณภาพเริ่มได้ที่ตัวเรา (ชั้น G)   โซน BETTER LIVING ชวนทุกคน ‘ตื่นรู้และปรับตัว’ เรียนรู้วิธีการรับมือและปรับตัวต่อ  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “Climate Change Adaptation” จากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อวางแผนล่วงหน้าในการตั้งรับเมื่อเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในสภาวะโลกรวน (ชั้น G)   โซน BETTER COMMUNITY พบ ‘Community in Action’ เมืองปรับตัวด้วยพลังชุมชน ที่จะชวนคุณมาสำรวจบทบาทของจิตอาสา และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อผลักดันและเติมเต็มสังคมที่ดี ผ่าน 3 พื้นที่ ได้แก่ Inspiring Showcase, Connect the Dots และ Gathering Space (ชั้น G)   โซน BETTER WORLD งานศิลป์ ที่ไม่ได้มีแค่ความสวยงาม                  แต่ชวนให้คิดและมองโลกในมุมมองใหม่ที่สะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคม (ชั้น G)   SX FOOD FESTIVAL เทศกาลอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่ชวนทุกคนมา “กินเพื่อรักษ์โลก” พบร้านอาหารเพื่อสุขภาพกว่า 100 ร้านค้า และเชฟชื่อดัง อาทิ มาสเตอร์เชฟ, ท็อปเชฟ, ไอรอนเชฟ และเฮลส์ คิทเช่น (ชั้น LG) SX KIDS ZONE ชวนน้องๆ มาสนุกกับการเรียนรู้เรื่องการปรับตัวของสัตว์ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว (ชั้น LG)   SX MARKETPLACE ชอปเปลี่ยนโลก สู่ไลฟ์สไตล์ยั่งยืนกับสินค้า “ดีต่อโลก และดีต่อคุณ” และ พบกับ Market Square สนามทดลองนวัตกรรมและสินค้าเพื่อการใช้ชีวิตยั่งยืน (ชั้น LG)   SX REPARTMENT STORE พื้นที่สำหรับส่งต่อและเปลี่ยนสิ่งของนอกสายตา หรือของใช้ภายในบ้านที่ไม่ใช้แล้ว และยังอยู่ในสภาพดีให้กลับมามีคุณค่าอีกครั้ง (ชั้น LG)   งานสัมมนา และเครือข่ายธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (B2B) เจาะลึกแนวทางธุรกิจยั่งยืนการทำเวิร์กชอปด้านความยั่งยืน (SX IDEALAB) การบรรยายและการเสวนาจากผู้ลงมือทำจริงด้านความยั่งยืน (SX Talk Stage) และการแข่งขัน Enactus World Cup 2025 presented by ThaiBev ที่มีผู้ร่วมเข้าแข่งขันจาก 32 ประเทศทั่วโลก (ชั้น G ชั้น 1 และ ชั้น 2)     Alternate-X สรุปให้   งาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) จัดขึ้นเป็นปีที่ 6 ด้วยแนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” โดยปีนี้ได้ขยายตัวสู่เวทีระดับโลกและจัดตั้งเป็นกิจการเพื่อสังคมเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อม 10 โซนไฮไลต์ที่จะช่วยให้ทุกคนได้เรียนรู้และนำแนวทางความยั่งยืนไปปรับใช้ในชีวิตและธุรกิจจริง ตั้งแต่เรื่องสุขภาพ การปรับตัวต่อสภาพอากาศ ไปจนถึงกิจกรรมเพื่อสังคม

August 31, 2025 / 0 Comments
read more

TAICCA ปักหมุดไทย ‘ฮับ’ ครีเอเตอร์คอนเทนต์ กลยุทธ์กระโจนสู่ตลาดอาเซียน

Peace&Play

‘ไทก้า’ ขยายตลาดครีเอเตอร์คอนเทนต์ไต้หวัน บุกไทยครั้งแรกในงาน BIDC 2025 โชว์เคสสินค้าคาแรกเตอร์แบรนด์พรีเมี่ยม มองโอกาสร่วมมือนักสร้างสรรค์ท้องถิ่น   ซู กวน ซู ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ (Ms. Shu-Kuan Su, Director of the International Business Department) สำนักงานส่งเสริมคอนเทนต์สร้างสรรค์ไต้หวัน (TAICCA – Taiwan Creative Content Agency)  หรือ ไทก้า กล่าวว่า TAICCA ได้เข้าร่วมงาน Bangkok International Digital Content Festival (BIDC) 2025 เป็นครั้งแรก พร้อมนำเสนอ Taiwan Content Island พาวิลเลียนแสดงผลงานจากครีเอเตอร์จากไต้หวัน เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือในตลาดประเทศไทย เมื่อวันที่ 26-28 สิงหาคม 2568 ณ ฮอลล์ 1 ชั้น 5 ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ที่ผ่านมา   สำหรับการร่วมงานฯ ครั้งนี้ เพื่อร่วมผลักดันคอนเทนต์เชิงสร้างสรรค์ของไต้หวันเข้าสู่ประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมนำขบวนผลิตภัณฑ์คาแรกเตอร์แบรนด์พรีเมียม ที่เคยออกผลงานในรูปแบบสินค้าภายใต้แบรนด์เอง มาจัดจำหน่ายให้แฟนตัวละครต่างๆได้เป็นเจ้าของ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคมนี้ ด้วย   ขณะเดียวกัน ยังเป็นก้าวสำคัญของ TAICCA ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไต้หวันในการเผยแพร่ผลงานการสร้างสรรค์คอนเทนต์คาแรคเตอร์สายเลือดไต้หวันในตลาดประเทศไทย   โดยได้นำกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ลิขสิทธิ์ทางปัญญา (IP) ที่พร้อมต่อยอดทางธุรกิจถึง 18 IP มาร่วมจัดแสดงภายในบริเวณ Taiwan Content Island ภายใต้แนวคิดหลักและเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของเอเชีย พร้อมมุ่งผสานภาพลักษณ์ของเกาะไต้หวันให้เข้ากับแบรนด์คาแรคเตอร์ที่มีเอกลักษณ์และสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดสากล     จากแนวทางดังกล่าว ยังเพื่อส่งมอบพลังแห่ง ‘Cultural Black Tide’ ที่มีชีวิตชีวาจากไต้หวัน อันได้แก่ Balloonmon Beelu Friends Bird Era Bounce Chimoz Gacha Chicken Hi John I’m Mark Kuroro Space Exploration Team Lusasa Maomaochong Shark My Favorite Towels Shiny And Moony Taiwanimal Tea Girls WDOG Yameme   “TAICCA มุ่งมั่สร้างสรรค์ความร่วมมือระยะยาวในระดับสากล และเชื่อมั่นว่าการเริ่มต้นจากงาน BIDC 2025  ในประเทศไทยจะเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมคอนเทนต์เชิงวัฒนธรรมของไต้หวันในเวทีโลกโดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน”   ซู กล่าวพร้อมเสริมว่า   TAICCA มองว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมคอนเทนท์ดิจิทัลและบุคคลากรในวงการครีเอทีฟและนักออกแบบผลงานศิลปะของประเทศไทย มีศักยภาพที่สูงมากทีเดียว มีการเปิดกว้างทางความคิดสร้างสรรค์ และเป็นที่รู้จักในแวดวงของงานสร้างสรรค์อย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากหากในอนาคตทั้ง 2 ประเทศสามารถร่วมงานกันได้มากยิ่งขึ้นและจับมือก้าวเข้าไปสู่เวทีใหญ่ๆหรือระดับโลก     ในขณะเดียวกัน TAICCA ยังได้ประสานพาผู้ก่อตั้ง ผู้ผลิต และนักสร้างสรรค์ชาวไต้หวันเดินทางมาประเทศไทยเข้าร่วมงานด้วยตัวเองเพื่อทำความรู้จักกับผู้ประกอบการไทยเพื่อเป็นโอกาสทางความร่วมมือ และต่อยอดอุตสาหกรรมวัฒนธรรมร่วมกัน อาทิ   คุณแองจี้ ฮู (Angie Hu) ผู้ก่อตั้ง Hu Creates Co., Ltd. บริษัทชั้นนำด้านการจัดการลิขสิทธิ์ IP และการบริหารศิลปิน ที่นำเสนอ IP ศิลปะที่น่าสนใจจากตลาดเอเชียสู่เวทีระดับโลก ทั้งในยุโรปและอเมริกา เพื่อมุ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างศิลปินและตลาดนานาชาติ   โดยหนึ่งในผลงานที่โดดเด่น ได้แก่ ‘Mr. Shark’ เป็นคาแรคเตอร์ IP ต้นฉบับจากไต้หวันที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง สร้างสรรค์โดยคุณ Jiang ในปี 2020 Mr. Shark มีเสน่ห์เฉพาะตัวด้วยลายเส้นที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง และอารมณ์ขันที่เข้าถึงง่าย ทำให้สามารถเอาชนะอุปสรรคทางวัฒนธรรมและภาษาได้เป็นอย่างดี   ขณะที่ ความสำเร็จทางการตลาดของ Mr. Shark ได้รับการยืนยันจากหลากหลายความร่วมมือ ทั้งในไต้หวันกับ 7-ELEVEN ที่สามารถจำหน่ายสินค้าแถมในอีเวนต์แลกแต้มได้มากกว่า 30,000 ชิ้น รวมถึงสติกเกอร์และธีม LINE ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในระดับนานาชาติ Mr. Shark ได้ร่วมมือกับ Watsons ในฮ่องกงเพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ร่วมแบรนด์ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์   คุณเคท ชาง ( Kate Chang) (CEO) และคุณ เอมี่ เชน (Amy Chien) – International licensing manager จาก INDOT IMAGE Co., Ltd. เอเจนซี่ดังด้านวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่ได้รับความนิยมในระดับสากล กับคาแรกเตอร์สุดอบอุ่น และเปี่ยมด้วยเสน่ห์  ‘Maomaochong’ เหมาเหมาชง หนอนผีเสื้อแสนน่ารักผู้สวมหมวกสตรอว์เบอร์รีอันเป็นเอกลักษณ์   พร้อมกับผองเพื่อนอีก 9 ตัวนำมาถ่ายทอดข้อคิดเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มพนักงานออฟฟิศและกลุ่มผู้ชมผู้หญิง ที่ได้พัฒนาแบรนด์มาเกือบ 20 ปี และมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียกว่า 700,000 Co-branded กับพันธมิตรหลากหลายไม่ว่าจะเป็น 7-11 Watson หรือบัตรเครดิต เป็นต้น โดยผู้ประกอบการและครีเอเตอร์จากไต้หวันมุ่งหวังจะได้นำ IP ที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้เข้าทำความรู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น รวมถึงมีแผนการร่วมงานกับบริษัทต่างๆ ในตลาดเมืองไทยในอนาคต   นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Speet Meeting Session) การนำเสนอผลงานของแต่ละ IP บนเวที และเปิดโอกาสในการสนทนาแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Pitching and Networking Session)   Spotlight on Taiwan: Business Pitching and Networking Session: เวทีสำหรับการนำเสนอผลงานและจับคู่ธุรกิจ โดยมีการเชิญพันธมิตรที่มีศักยภาพในตลาดในกลุ่มงานสร้างสรรค์มาเข้าร่วม เพื่อช่วยให้ผลงานคาแรคเตอร์จากไต้หวันเป็นที่รู้จัก และสามารถขยายตลาดไปยังกลุ่มธุรกิจในไทยและอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ   Taiwan Content Island Pop-up Store: เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง TAICCA ได้ร่วมมือกับร้านค้าไลฟ์สไตล์และสินค้าเชิงสร้างสรรค์ชื่อดังของไทยอย่าง “Medium and More” และศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เปิด Pop-up Store ที่รวบรวมผลงานจำนวน 7 แบรนด์คาแรกเตอร์มาต้อนรับแฟนชาวไทยอย่าง 1.Kuroro Space 2. Chimoz 3.Taiwanimal 4. WDOG 5. Maomaochong 6. GachaChicken 7. BIRD ERA  ภายในร้าน Medium and More ชั้น 3 และบริเวณชั้น G ของศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ จนถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้โดยนับเป็นการเข้าสู่ตลาดประเทศไทยครั้งแรกของแบรนด์สร้างคาแรคเตอร์ของไต้หวัน   Alternate-X สรุปให้  TAICCA (Taiwan Creative Content Agency) จากไต้หวัน เข้าร่วมงาน BIDC 2025 ครั้งแรกในไทย โชว์คาแรกเตอร์ IP พรีเมียมกว่า 18 ผลงาน ตั้งเป้าขยายความร่วมมือกับครีเอเตอร์ไทย ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางคอนเทนต์อาเซียน

August 29, 2025 / 0 Comments
read more

จัดใหญ่ครั้งแรกในไทย งาน TAAPE & TBE 2025 จับคู่ธุรกิจเครื่องเล่นสวนสนุก-บิลเลียด

Peace&Play

BSAT ร่วมพันธมิตรจัดใหญ่ครั้งแรกในไทยงาน TAAPE & TBE 2025 อิมแพคฯ จับคู่ธุรกิจเครื่องเล่น กีฬาบิลเลียด กว่า 30 ประเทศ เติมความครบกิจกรรม-เกมรับท่องเที่ยวไทยฟื้นโค้งท้ายปี68     สุนทร จารุมนต์ นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย (BSAT) กล่าวว่าสถานการณ์ตลาดการท่องเที่ยวและกีฬาในประเทไทยว ในปลายปี 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงพีคหรือไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวประเทศไทย และด้วยศักยภาพด้านสถานที่ แหล่งท่องเที่ยว การบริการที่ครบครัน จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก โดยกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ มีความเชื่อมั่นจะผลักดันธุรกิจท่องเที่ยวไทยและภูมิภาคนี้พลิกฟื้นขึ้นมาได้   ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและกีฬาในช่วงปลายปีที่จะกลับมาคึกคัก โดยหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยและประเทศจีนได้หารือและร่วมกันเตรียมจัดงาน Thailand Amusement & Attraction Parks Expo (TAAPE) 2025 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และถือเป็นงานสำคัญสำหรับส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรระดับภูมิภาค พร้อมกับงานแสดงสินค้าบริการกีฬาเพื่ออุตสาหกรรมบิลเลียดและสนุกเกอร์ หรือ Thailand Billiards Expo (TBE) 2025 ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี   “สมาคมฯ พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันให้งานนี้ประสบความสำเร็จ และเชื่อมั่นว่างาน TBE จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจกีฬาบิลเลียดมากขึ้น รวมถึงเป็นสะพานเชื่อมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของกีฬาบิลเลียดในระดับภูมิภาคต่อไป” สุนทร กล่าว โดยงานฯ นำผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องเล่น สวนสนุก และกีฬาบิลเลียดแบรนด์ชั้นนำกว่า 300 บริษัท จาก 30 ประเทศ แสดงสินค้าพร้อมจัดกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ที่น่าสนใจ คาดมีผู้เข้าร่วมงาน 5,000 คน สร้างมูลค่าซื้อขายรวมมากกว่า 50 ล้านบาท   ท่องเที่ยวอาเซียนโต7%   ด้าน หวัง เจ้าหยุน ประธานบริหาร บริษัท กวางตง แกรนเดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า ในวาระครบรอบ 35 ปีความสัมพันธ์จีน–อาเซียน และ ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน การจัดงาน TAAPE 2025 และ TBE 2025 ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการให้เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย–จีน   ขณะเดียวกัน ยังเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมจากความต้องการของภาคธุรกิจในการ ‘ออกสู่ต่างประเทศ’ มีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีประชากรมากกว่า 680 ล้านคน และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยปีละกว่า 5% กลายเป็นภูมิภาคสำคัญในกลยุทธ์ระดับโลกของบริษัทต่าง ๆ   ในด้านการท่องเที่ยว ตลาดท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราการเติบโตกว่า 7% ต่อปี ความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเที่ยวมีช่องว่างสูง TAAPE 2025 จะมุ่งเน้นที่อุปกรณ์วัฒนธรรม อุปกรณ์ท่องเที่ยว และเครื่องเล่นต่าง ๆ เพื่อนำเสนอผลงานนวัตกรรมระดับโลก และสนับสนุนให้ธุรกิจเข้าถึงตลาดอาเซียนและเอเชียใต้ ด้วยเทคโนโลยี VR/AR กำลังสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค และกลุ่มผู้บริโภควัยหนุ่มสาวในภูมิภาคนี้ให้ความสนใจประสบการณ์ immersive อย่างสูง     kสำหรับกีฬาบิลเลียด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีอุตสาหกรรมบิลเลียดใหญ่อันดับสองของโลก และประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมบิลเลียดในอาเซียน โดย TBE 2025 จะสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนระดับโลก เพื่อส่งเสริมความร่วมมือเชิงลึกด้านการแข่งขัน อุปกรณ์ และการพัฒนาบุคลากร ความผสมผสานระหว่างธุรกิจกีฬาและเศรษฐกิจท่องเที่ยวกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่เพื่อการเติบโตของประเทศ   หวัง กล่าวอีกว่า การจัดงานครั้งนี้ทางบริษัทฯ ได้ร่วมกับ บริษัท คอมพาสเอ็กซิบิชั่น จำกัด จัดงานขึ้น พร้อมมีตัวแทนองค์กรให้การสนับสนุนและความร่วมมือที่สำคัญจากทั้งไทยและจีน ที่ได้ร่วมแถลงข่าวจัดงาน อาทิ   กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) สมาคมการค้าของเล่นและผลิตภัณฑ์เด็กไทย สมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย (BSAT) สำนักงานเศรษฐกิจและการค้ามณฑลกวางตุ้งประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาคมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและบันเทิงแห่งประเทศจีน สมาคมการค้าไทย-จีน สมาคมสวนสนุกและสถานบันเทิงสำหรับครอบครัวแห่งมาเลเซีย สมาคมนันทนาการสำหรับครอบครัวอินโดนีเซีย (ARKI) จาก Funworld สมาคมบิลเลียดและสนุกเกอร์เวียดนาม สมาคมบิลเลียด-สนุกเกอร์ลาว สภาส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศจีน สมาคมอุตสาหกรรมของเล่นเพื่อการเรียนรู้เวินโจว สมาคมเกมและเครื่องเล่นจงซาน บริษัท Jinma Amusement บริษัท MACROMOS AIRSTAR บริษัท บริษัท โซลิด เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด บริษัท Gabenate Co., Ltd. เป็นต้น   จากความร่วมมือต้องการสร้างมาตรฐานร่วม แบ่งปันเทคโนโลยี และขยายตลาดร่วมกัน เพื่อการบูรณาการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และกีฬา ให้ความบันเทิงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว และกีฬาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค สำหรับผู้สนใจติดตามข้อมูลงานเพิ่มเติมได้ผ่านทาง www.taapeexpo.com และ www.aseantbe.com   Alternate-X สรุปให้ ภาคเอกชนไทยและจีน ร่วมจัดงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจครั้งใหญ่ TAAPE & TBE 2025 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวและกีฬาในช่วงปลายปี 2568 โดยงาน TAAPE จะรวบรวมผู้ประกอบการด้านเครื่องเล่นและสวนสนุกจากกว่า 30 ประเทศ ขณะที่งาน TBE มุ่งยกระดับวงการกีฬาบิลเลียดไทยให้เทียบเท่านานาชาติ ความร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน พร้อมทั้งตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมในภูมิภาคอาเซียน

August 29, 2025 / 0 Comments
read more

‘สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ เปิดแล้วสวนลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในไทย 3 ก.ย. นี้

EcoVative,  Peace&Play

‘สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ ชื่อทางการสวนลอยฟ้าใจกลางเมืองใหญ่สุดในไทย เปิด 3 ก.ย.นี้   วิมานสุริยา ประกาศชื่อทางการ ‘สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองกรุงเทพฯ โครงการ ‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ โชว์ 8 ไฮไลท์แห่งรุ่งอรุณรับนักเดินทางทั่วโลก   ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการจัดแคมเปญประกวดตั้งชื่อ ‘The Landmark of Thai Pride: Roof Park Naming Campaign’ โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์กับพื้นที่สีเขียวคุณภาพแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ซึ่งแคมเปญฯ ได้รับความสนใจและร่วมส่งรายชื่อเข้ามาประกวดมากกว่า 2,200 ชื่อ   โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมคัดเลือกและตัดสินผลรายชื่อที่ส่งเข้าประกวด ประกอบด้วย   กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) บริษัท วิมานสุริยา จำกัด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กรุงเทพมหานคร ศิลปินแห่งชาติปี 2563 สาขาทัศนศิลป์ บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) และ บริษัท Landscape Collaboration จำกัด   ได้ร่วมคัดเลือกชื่อที่มีความไพเราะและความหมายงดงามตรงตามข้อกำหนดของแคมเปญ พร้อมประกาศชื่ออย่างเป็นทางการของ สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ ‘สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Arun at Dusit Central Park)’   ศุภจี กล่าวว่า ‘ดุสิต’ ไม่ได้เป็นเพียงชื่อโรงแรมดุสิตธานีที่อยู่คู่กรุงเทพฯ และประเทศไทยมาอย่างยาวนานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงดินแดนแห่งสันติสุขเปรียบดังสรวงสวรรค์ที่สงบ ร่มเย็น และงดงาม โดยคำว่าอรุณ คือ แสงแรกของวัน แสงเงิน แสงทองยามพระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า เป็นการมาของแสงอาทิตย์สัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่ ในช่วงเวลาที่ธรรมชาติและผู้คนต่างตื่นขึ้นมารับชีวิตที่สดใสในแต่ละวัน   นอกจากนี้ ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากความงดงามของวัดอรุณ สัญลักษณ์แห่งแสงรุ่งอรุณของกรุงเทพฯ และประเทศไทย โดยปรากฏผ่านการออกแบบอาคารภายในโครงการฯ ที่ถ่ายทอดแรงบันดาลใจมาจากยอดของพระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม กลายเป็นอัตลักษณ์สำคัญที่สะท้อนถึงสถานที่แห่งนี้คือเมืองดุสิตธานี   “สวนดุสิตอรุณ เป็นมากกว่าสวนลอยฟ้าหรือพื้นที่สีเขียว แต่คือพื้นที่แห่งชีวิตที่สะท้อนการเริ่มต้นใหม่ ความสดใสและความหวังในทุกวัน ให้ทุกคนได้สัมผัสความสงบ เติมเต็มกำลังใจ และพร้อมเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีพลัง” ศุภจี กล่าว   สำหรับภายในพื้นที่ของ ‘สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ ประกอบด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ถึง 7 ไร่ (11,200 ตารางเมตร) พร้อมดีไซน์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ   โดยเฉพาะ 8 ไฮไลต์สำคัญที่จะสร้างความอัศจรรย์ที่รอต้อนรับทุกๆ คน ได้แก่   1.จุดชมวิวระเบียงรังนก (Bird Nest Viewpoint) พื้นที่สำคัญที่มอบวิวแบบพาโนรามาเชื่อมต่อวิวระหว่างสวนดุสิตอรุณกับสวนลุมพินี ได้อย่างไร้รอยต่อ ท่ามกลางบรรยากาศของต้นไม้สีเขียวที่ให้คุณได้นั่งชมทิวทัศน์   2.ม่านน้ำ 2513 (Cascade 2513) หนึ่งในซิกเนเจอร์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2513 เป็นสัญลักษณ์ของความสงบ ร่มเย็น และความหรูหราที่คงอยู่เหนือกาลเวลา ซึ่งบริเวณน้ำตกแห่งนี้จะถูกรายล้อมด้วยต้นไม้น้ำนานาพันธุ์เพื่อสร้างความร่มเย็นและสวยงาม   3.อัฒจันทร์ดุสิตพินี (Dusitpini Amphitheatre) พื้นที่สันทนาการสำหรับจัดกิจกรรม นั่งพักผ่อน หรือเป็นจุดนัดพบ เปรียบเสมือนเป็นพื้นที่ไลฟ์สไตล์แห่งความสุขอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ให้คุณสัมผัสความเขียวขจีของสวนดุสิตอรุณ สวนลุมพินี และความเป็นเมืองได้โดยรอบ   4.จุดชมวิวสวัสดีบางกอก (Sawasdee Bangkok Viewpoint) อีกหนึ่งจุดชมวิว เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศรับชมความสวยงามด้วยวิวมุมสูงของสวนดุสิตอรุณ สัมผัสเส้นสายทางเดินที่ทอดยาวโดยมีต้นไม้นานาพันธุ์รายล้อม และยังเปิดทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ในมุมมองใหม่ๆ   5.ดี การ์เด้น (D Garden) พื้นที่สีเขียวที่รายล้อมคุณด้วยสวนดอกไม้นานาพันธุ์ มอบความร่มรื่นและกลิ่นหอมเพื่อให้คุณได้พักผ่อนท่ามกลางการโอบรับด้วยความสดชื่นของธรรมชาติ   6.เดอะ เทอเรส (The Terrace) หนึ่งในพื้นที่กิจกรรมของสวนดุสิตอรุณ ถูกวางให้เป็นพื้นที่ไลฟ์สไตล์ที่เชื่อมต่อระหว่างสวนดุสิตอรุณและพื้นที่ของศูนย์การค้า โดยตั้งอยู่บริเวณ Food Passage   7. เดอะ พลาซ่า (The Plaza) พื้นที่กิจกรรมสีเขียวให้พักผ่อนทำกิจกรรมแบบสัมผัสธรรมชาติ กับสนามหญ้าสีเขียว และมอบความร่มรื่น เย็นสบาย เพราะเป็นพื้นที่ที่ใกล้กับบริเวณน้ำพุ หรือม่านน้ำ 2513 (Cascade 2513)   8.เดอะ คอร์ดยาร์ด (The Courtyard) หนึ่งในสามของพื้นที่กิจกรรมที่เปิดต้อนรับให้สร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ได้อย่างลงตัว โดยตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ของ D Garden   ทั้งนี้ “สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Arun at Dusit Central Park)” เป็นชื่อที่สร้างสรรค์โดยผู้ชนะการประกวด ‘คุณตรัย ธนะสาร’ ซึ่งจะได้รับรางวัลแพ็คเกจตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักโรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น 3 วัน 2 คืน   นอกจากนี้ยังมีรางวัลชมเชยอีก 5 รางวัล ซึ่งผู้ชนะรางวัลดังกล่าวประกอบไปด้วย ‘คุณ Nattaphong Theeralerttham’ ‘คุณ Vorapot Chomsri’ ‘คุณชลชัย เทพกำปนาท’ ‘คุณ Nartrachada Thapanapongsator’ และ ‘คุณ Prerath Prima’ ซึ่งจะได้รับบัตรรับประทานอาหาร ณ ห้องอาหาร Pavilion โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ   ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับรางวัลสามารถรับทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://dusitcentralpark.com/roofparknamingcampaign หรือ Facebook: www.facebook.com/dusitcentral   ‘สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Arun at Dusit Central Park)’ สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เตรียมเปิดให้บริการในวันที่ 3 กันยายน โดยเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. สำหรับท่านที่ต้องการใช้บริการสวนดุสิตอรุณสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ช่องทาง Facebook: www.facebook.com/dusitcentral และ Instagram: www.instagram.com/dusitcentralpark”     Alternate-X สรุปให้      วิมานสุริยาประกาศชื่ออย่างเป็นทางการของสวนลอยฟ้าในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ว่า “สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ซึ่งมีความหมายถึงแสงอรุณของการเริ่มต้นใหม่ โดยสวนลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยขนาด 7 ไร่แห่งนี้จะเปิดให้บริการในวันที่ 3 กันยายนนี้ พร้อมด้วย 8 ไฮไลต์สำคัญที่ออกแบบมาเพื่อเป็นพื้นที่แห่งชีวิตและแรงบันดาลใจใจกลางเมือง   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง   • ถอดคอนเซปต์ ‘Biophilia’ โครงการ ‘Dusit Central Park’ กับสวนลอยฟ้าใหญ่สุดในไทย

August 29, 2025 / 0 Comments
read more

เช็กอินกินเที่ยว ‘แกร็บ x ททท.’ ชวน Gen Z สัมผัสอาร์ตเดสติเนชั่น 5 เมือง

BizKet,  Peace&Play

แกร็บ X ททท. ทำโปรเจกต์พิเศษ ‘เช็กอินกินเที่ยว กับ Grab Now Go Around’ ชวน 5 ศิลปินไทยสร้างอาร์ตเดสติเนชั่นใหม่ กระตุ้นการท่องเที่ยว   จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย ผู้ให้บริการซูเปอร์แอปพลิเคชันแพลตฟอร์มเดลิเวอรี ระดับภูมิภาค เปิดเผยว่า กระแสการท่องเที่ยวกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญการหาประสบการณ์ที่แตกต่างและมีความหมายมากขึ้น   โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปะและวัฒนธรรม เช่น การเยี่ยมชมนิทรรศการ งานจัดแสดงศิลปะ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ท่องเที่ยวยอดนิยมของกลุ่ม Gen Z และ Millennials   “แกร็บ เล็งเห็นโอกาสในการนำศิลปะ มาเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้คนกับสถานที่ท่องเที่ยว พร้อมตอบรับเป้าหมายการทำให้ประเทศไทยเป็นอีกหมุดหมายของครีเอทีฟ เดสติเนชั่น” จันต์สุดา กล่าว   นอกจากนี้ ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แกร็บ ยังได้ริเริ่มโปรเจกต์ ‘เช็กอินกินเที่ยว กับ Grab Now Go Around’ โดยร่วมมือกับศิลปินไทยขวัญใจวัยรุ่น มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะใน 5 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ได้แก่   เชียงใหม่ ขอนแก่น พัทยา กรุงเทพฯ ภูเก็ต   โดยให้เหล่าคาแรกเตอร์ เป็นตัวแทนพาทุกคนออกไปกินเที่ยวที่จังหวัดต่างๆ และชวนนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ออกไปค้นหาแรงบันดาลใจที่อาจแอบซ่อนอยู่    ทั่วเมืองไทย   ด้าน วรรณภา เกียรติพงษา ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ททท. มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เป็นกลไกสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ   โดยตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นครีเอทีฟ เดสติเนชั่น (Creative Destination) เพื่อตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของปีท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025   สำหรับโปรเจกต์ ‘เช็กอินกินเที่ยว กับ Grab Now Go Around’ ถือเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมศักยภาพของศิลปินไทย ผ่านการใช้พลังแห่งความสร้างสรรค์มาช่วยสะท้อนอัตลักษณ์และเสน่ห์ของเมืองท่องเที่ยวหลักในมุมมองใหม่ให้ไปไกลสู่สายตาชาวโลก โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยในปีนี้ให้เติบโตยิ่งขึ้น     5 เมือง ชวนเที่ยวสร้างสรรค์   เชียงใหม่: ผลงานจาก Chubbynida หรือ นิดา-ชนิดา อารีวัฒนสมบัติ ศิลปินนักวาดภาพประกอบลายเส้นน่ารัก จากคาแรกเตอร์สาวตัวกลมผู้เป็นมิตร สู่ธีม ‘The City in Your Palm’ ที่รวมเชียงใหม่ไว้ในมือ ทั้งข้าวซอย ไส้อั่ว หรือแม้กระทั่งโคมล้านนา โดยผลงานได้จัดแสดงที่ One Nimman ร้าน LONDON BAKERY และร้านสุกี้ช้างเผือก สาขาหลัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   ขอนแก่น: ผลงานจาก YEEDIN หรือ ปันปัน-รสิกา สายแสง เจ้าของลายเส้นสีสดและคาแรกเตอร์สุดแฟนซี พาคาแรกเตอร์ปีศาจสายกิน “MERCY” บุกถิ่นอีสาน สะท้อนความสนุกและความหลากหลายของอาหารท้องถิ่น โดยผลงานได้จัดแสดงที่ตลาดต้นตาล ร้าน Nap’s Coffee และร้าน Roast8ry Khonkaen   พัทยา: ผลงานจาก Sahred Toy หรือ ต๊อด-อารักษ์ อ่อนวิลัย หนึ่งในนักวาดภาพประกอบตัวท็อปของประเทศที่มีผลงานหนังสือและภาพประกอบให้แบรนด์สินค้าต่างๆ มาร่วมนำเสนอเสน่ห์เมืองชายทะเลที่เต็มไปด้วยพลังในมุมมองร่วมสมัย โดยเน้นถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้คน อาหาร และการเดินทางที่ ไร้รอยต่อในเมืองท่องเที่ยวที่ไม่เคยหลับใหล โดยผลงานได้จัดแสดงที่เซ็นทรัลพัทยา ร้าน Sunset Coffee Roaster และร้าน Lighthouse Bay   บรรทัดทอง กรุงเทพฯ : ผลงานจากทีม ease around หรือ ป้อ-ชัยวัฒน์ อุทัยกรณ์ และ ตาล-วริษฐา จงสวัสดิ์ ในธีม ‘Creative Food Destination’ สื่อถึงบรรทัดทองในฐานะแหล่งรวมมิตรทางวัฒนธรรมการกินและการพบปะเพื่อนฝูง ด้วยลายเส้นมินิมอลที่เพิ่มเติมความสดใสจากการใช้สีสัน พร้อมสอดแทรกเมนูขึ้นชื่อ อย่าง หมูกระทะ ชาไทย และบัวลอยในบรรยากาศที่ทั้งเก่าและเก๋าของบรรทัดทอง โดยผลงานได้จัดแสดงที่ย่านบรรทัดทอง บริเวณซอยจุฬาฯ 5   Old Town ภูเก็ต: ผลงานจาก Painterbell หรือ เบล-เศรษฐพร ก่อวาณิชกุล เจ้าของผลงานคาแรกเตอร์ “John Lulu and Friends” ที่น่ารัก สนุก และเต็มไปด้วยจินตนาการ พร้อมเชื่อมโยงกับความคลาสสิกของสถาปัตยกรรมชิโน–โปรตุกีส ผสมผสานเข้ากับลวดลายกราฟิกที่แสดงความเป็นเมืองเก่าที่ยังมีชีวิตชีวา โดยผลงานได้จัดแสดงในสถานที่ยอดฮิตอย่าง ร้าน Torry’s Ice Cream ร้าน Campus Coffee Roasters และร้าน Phuketique   ขณะเดียวกัน แกร็บ ยังจัดโปรเพียงใส่โค้ด ‘GRABNOW’ รับส่วนลด 15%* สำหรับบริการสั่งอาหารและเรียกรถ เมื่อใช้ใน 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น พัทยา กรุงเทพฯ และภูเก็ต ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2568 *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด.     Alternate-X สรุปให้ แกร็บและททท. ร่วมกันเปิดตัวโปรเจกต์พิเศษ “เช็กอินกินเที่ยว กับ Grab Now Go Around” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว Gen Z และ Millennials ที่สนใจงานศิลปะและวัฒนธรรม โดยร่วมมือกับ 5 ศิลปินไทยสร้างสรรค์ผลงานศิลปะใน 5 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ได้แก่ เชียงใหม่, ขอนแก่น, พัทยา, กรุงเทพฯ (บรรทัดทอง) และภูเก็ต (เมืองเก่า) เพื่อนำเสนอเสน่ห์ของเมืองในมุมมองใหม่ พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปค้นหาแรงบันดาลใจและประสบการณ์ที่แตกต่าง และมอบส่วนลด 15% สำหรับบริการสั่งอาหารและเรียกรถใน 5 จังหวัดดังกล่าว

August 29, 2025 / 0 Comments
read more

ททท. นำร่อง 5 เส้นทางเที่ยวใหม่ ใช้โมเดลยั่งยืน ESG Tourism ทำมา 2 เดือนมีรายได้เพิ่ม 20%

BizKet,  EcoVative,  Peace&Play

ททท. เปิดโมเดลท่องเที่ยวชุมชนยั่งยืน 5 จังหวัด ร่วมเอกชนมหาชน ใน 2 เดือนสร้างรายได้เพิ่ม 20 % มีนักท่องเที่ยวทะลุ 30,000 คน /ครั้ง จะไปต่อสู่ตลาดระดับโลกให้ได้   ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และองค์กรเอกชนชั้นนำ เผยความสำเร็จโครงการ ‘Village to the World #SustainableAgenda’ ซีซันล่าสุด จุดประกายพลังให้ชุมชนไทยด้วยโมเดล งการท่องเที่ยวโดยชุมชน’ ที่ยกระดับจากกิจกรรม CSR ไปสู่การเป็น กลไก ESG Tourism ที่วัดผลได้จริง   โดยการเชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาของชุมชนเข้ากับวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนของภาคธุรกิจ ก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วม ทั้งในมิติ การเติบโตของชุมชน การสร้างคุณค่าให้กับองค์กรเอกชน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืนในภาพรวม ผ่านโค-ครีเอชั่น (Co-Creation)  และการทำงานจริงกับลูกค้าองค์กรรายใหญ่ ผ่านฝึกอบรมเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการ การตลาด การสื่อสาร และการพัฒนาทักษะบริการ ควบคู่กับโอกาสในการทำงานจริงกับบริษัทจดทะเบียนฯ   “โครงการฯ นี้ พิสูจน์ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชน สามารถเป็นเวที ESG ที่มีชีวิต เชื่อมโยงตลาดทุน ธุรกิจ และวัฒนธรรมไทยได้อย่างแท้จริง จากความสำเร็จของโครงการสะท้อนผ่านการสร้างรายได้และโอกาสให้กับชุมชนและสร้างแรงบันดาลใจและมาตรฐานใหม่ให้กับภาคธุรกิจที่ต้องการขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม” ฐาปนีย์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ โครงการฯ ยังสร้างประสบการณ์ร่วมแห่งความสุข ภายใต้แนวคิด ‘Change Unknown to Unforgettable’ ที่เปลี่ยนสิ่งไม่คุ้นเคยให้เป็นประสบการณ์ที่ไม่รู้ลืม โดยททท. มีแผนพัฒนาโครงสร้างเชิงนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนด้าน ESG Tourism พร้อมต่อยอดความร่วมมือธุรกิจ–ชุมชน สู่ระบบนิเวศความยั่งยืนระดับประเทศ พร้อมสานต่อเครือข่ายความร่วมมือให้ชุมชนไทยเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนบนเวทีโลกต่อไป   โมเดลร่วมมือทำจริงใน 5 จังหวัด   โดยโครงการฯ ได้ริเริ่มความร่วมมือระหว่าง ‘บริษัทจดทะเบียน’ กับ ‘ชุมชนต้นแบบ’ ใน 5 พื้นที่ทั่วประเทศ โดยแต่ละคู่ความร่วมมือมีเป้าหมายเฉพาะที่แตกต่างกัน แต่สะท้อนการนำ ESG มาปฏิบัติจริงอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่   1.BAFS x บ้านมุงเหนือ จ.พิษณุโลก ต่อยอดฐานการทำงานเดิมของไทยแอร์เอเชีย พัฒนาเกษตรปลอดภัย ระบบบริการชุมชน และมาตรฐานความปลอดภัย ก่อให้เกิดความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องและเสริมพลังกัน   2.AWC (Melia Pattaya) x บ้านอำเภอ จ.ชลบุรี สร้างระบบจัดการขยะเชิงสร้างสรรค์ และส่งเสริมความตระหนักด้าน Circular Economy ในชุมชนชายทะเล เพื่อพัฒนาสู่โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืน   3.AIS x บ้านแม่สูนน้อย จ.เชียงใหม่ ยกระดับชุมชนสู่การเป็น Digital Community ผ่านการฝึกทักษะการสร้างคอนเทนต์ การตลาดออนไลน์ และการสื่อสารจุดขายด้วยภาษาสมัยใหม่ที่เข้าถึงตลาดกว้างขึ้น   4.SCG (Yournique) x บ้านป่าแลวหลวง จ.น่าน พัฒนาโมเดล เศรษฐกิจหมุนเวียน ควบคู่กับกลยุทธ์การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม   5.Thai AirAsia x บ้านท่ามะโอ–ปงสนุก จ.ลำปาง ผสานการเปิดเผยข้อมูลทางวัฒนธรรมท้องถิ่นตามแนวทาง UNESCO Culture | 2030 Indicators เข้ากับกิจกรรม Employee Engagement เชิงลึก เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับชุมชนอย่างยั่งยืน   ชุมชนรายได้เพิ่ม 20% นักท่องเที่ยวกว่า 3 หมื่นคน   สำหรับ ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของโครงการในระยะเวลาเพียง 2 เดือน (ก.ค.–ส.ค. 2568) แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่จับต้องได้ โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่พื้นที่ต้นแบบรวมกว่า 30,000 คน-ครั้ง และสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20% พร้อมทั้งเกิดการพัฒนา สินค้าและบริการใหม่ ที่ตอบโจทย์ตลาด B2B และองค์กร ได้อย่างตรงจุด อาทิ การทำงานร่วมกับ OTA โปรแกรม CSR ทริปส่งเสริมแรงจูงใจ (Incentive Trip) และกิจกรรม Internal Branding ขององค์กร   ชุมชนได้เรียนรู้จริง องค์กรได้ ESG ที่ ‘มีชีวิต’   ด้าน ปฏิวัติ ด่านแก้ว ที่ปรึกษาชุมชนบ้านมุงเหนือ จังหวัด พิษณุโลก กล่าวว่าโครงการนี้ช่วยให้ผู้นำและสมาชิกชุมชนได้เรียนรู้การทำงานกับองค์กรจริง ตั้งแต่การรับฟังโจทย์ลูกค้า การสื่อสารคุณค่าของชุมชนให้ตรงกับความต้องการ การพัฒนาโปรแกรมที่ตอบโจทย์องค์กร ไปจนถึงการวัดผลลัพธ์ตามมาตรฐานที่องค์กรใช้จริง ทำให้ชุมชนรู้จักความต้องการของลูกค้าองค์กร รู้ว่าอะไรที่นักท่องเที่ยวต้องการ และควรพัฒนาอะไรให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น   สร้าง Brand Loyalty และพลังพนักงาน   ด้าน กัปตันภราดร ขำปรางค์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการการบิน บริษัท ไทยแอร์ เอเชีย จำกัด หรือ Thai AirAsia กล่าวว่า องค์กรที่เข้าร่วมก็สามารถ บูรณาการผลลัพธ์จากโครงการเข้าสู่รายงาน ESG ที่จับต้องได้จริง พร้อมทั้งสร้าง Brand Loyalty และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพนักงานอย่างยั่งยืน   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง   ‘ลำปาง’ เมืองเที่ยวยั่งยืน โปรเจกต์ ‘Village to the World’ จังหวัดนำร่องดึงเอกชนลงทุน ESG เที่ยวไทยร่วมตลาดทุน จับคู่เอกชน-ชุมชนท้องถิ่น นำร่อง 5 จังหวัดแหล่งเที่ยวยั่งยืน ‘บ้านปู’ รับเศรษฐกิจชะลอตัว ใช้กลยุทธ์หนุนกิจการเพื่อสังคม แชร์ 5 ทางรอดฝ่าความท้าทาย   ระบบนิเวศยั่งยืนระดับประเทศ   นอกจากนี้ หนึ่งในผลลัพธ์เชิงกลยุทธ์ที่น่าจับตาของโครงการนี้ คือการต่อยอดความร่วมมือ ข้ามองค์กรในห่วงโซ่คุณค่าเดียวกัน (Cross-Sector Collaboration) ตัวอย่างเช่น กรณี BAFS และสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่ทำงานต่อเนื่องในชุมชนบ้านมุงเหนือ โดยใช้ฐานการทำงานเดิมของ AirAsia ผสานกับองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ของ BAFS ก่อให้เกิดโมเดลความร่วมมือใหม่ระหว่างองค์กรต่างอุตสาหกรรมในบริบท ESG Tourism ที่ลงมือทำจริงและขยายผลได้จริง จาก ‘Unknown” สู่ “Unforgettable’         Alternate-X สรุปให้   ททท. ใช้โมเดล ‘Village to the World’ สร้างการท่องเที่ยวชุมชนยั่งยืน 5 จังหวัด เชื่อมโยงชุมชนกับองค์กรใหญ่ พัฒนาโครงการ ESG Tourism อย่างเป็นรูปธรรม เพียง 2 เดือน ชุมชนมีรายได้เพิ่มเฉลี่ย 20% นักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ต้นแบบกว่า 30,000 คน-ครั้ง เดินหน้าต่อยอดความร่วมมือธุรกิจ–ชุมชน สู่ระบบนิเวศท่องเที่ยวระดับโลก

August 28, 2025 / 0 Comments
read more

‘เซ็นทรัล’ แจง 3 ข้อ ปัดไม่เกี่ยวปมขัดแย้ง DUSIT เปิดตามแผนเดิม ‘เซ็นทรัล พาร์ค’ 4 ก.ย.นี้  

BizKet

หลังชื่อของ ‘เซ็นทรัล’ ถูกพาดพิงปมร้อนความขัดแย้งในครอบครัวที่โยงสู่การบริหารธุรกิจ DUSIT พร้อมถ้อยแถลงของ ชนินทร์  ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ รักษาการประธานกรรมการ บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หลังถูกถอดจากตำแหน่งกรรมการบริษัทฯ   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง   จากปาก ‘ชนินทร์ โทณวณิก’ ถูกปลด ดุสิตธานี – เปิดปม ‘คนนอก’ ควบคุมธุรกิจ ศึกชิงอำนาจ ‘ดุสิตธานี’ อนาคตแบรนด์โรงแรมไทย ความขัดแย้งภายใน สั่นคลอนเวทีโลก ถอดคอนเซปต์ ‘Biophilia’ โครงการ ‘Dusit Central Park’ กับสวนลอยฟ้าใหญ่สุดในไทย   โดยในวันเดียวกันนี้ (27 สิงหาคม) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN  ได้ส่งแถลงการณ์ขอปฏิเสธข่าวและชี้แจงเกี่ยวกับการถือหุ้นบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มีเนื้อหาระบุ   อ้างถึงข่าวพาดพิง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดต่อนโยบายการเข้าลงทุนของ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ในบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) บริษัทฯ ขอปฏิเสธข้อมูลที่มีการเผยแพร่สู่สาธารณะ และขอชี้แจง ดังนี้   1.บริษัทฯ ได้รับโอกาสในการร่วมลงทุน และเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับดุสิตธานีในการพัฒนาโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งใช้งบลงทุนมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท   โครงการดำเนินการพัฒนาด้วยดีมาโดยตลอด  ซึ่งในส่วนของโรงแรมและอาคารสำนักงานได้เปิดดำเนินการแล้ว  และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค กำลังจะเปิดให้บริการในวันที่ 4 กันยายน 2568 นี้   2.ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนาถือหุ้นในดุสิตธานีจำนวน 145,238,320 หุ้น  คิดเป็นร้อยละ 17.09 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของดุสิตตั้งแต่ปี 2561  ซึ่งที่ผ่านมาเซ็นทรัลพัฒนา เคารพในการบริหารงานของผู้ถือหุ้นใหญ่ และสนับสนุนการดำเนินงานด้วยดีมาโดยตลอด   ดังนั้น เมื่อเซ็นทรัลพัฒนา ได้รับการเสนอให้ส่งตัวแทนเพื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นแต่งตั้งเป็นกรรมการของดุสิตธานี ทางเซ็นทรัลพัฒนา เล็งเห็นว่าจะสามารถใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเพื่อร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของดุสิตธานีให้เติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป   การเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งกรรมการเป็นไปตามแนวทางการมีส่วนร่วมตามสัดส่วนการถือหุ้นซึ่งถือเป็นแนวปฏิบัติตามปกติ ในการดูแลเงินลงทุน โดยไม่มีอำนาจในการควบคุมในดุสิตแต่อย่างใด   ทั้งนี้ เซ็นทรัลพัฒนา มีเจตนาอันดีและดำเนินงานภายใต้หลักธรรมภิบาลตามแนวทางของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการกำกับดูแลเรื่องการจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) อันเป็นสิ่งที่เซ็นทรัลพัฒนา ให้ความสำคัญ และดำเนินการในแนวทางปฏิบัติเดียวกันกับการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจทุกรายทั้งในและต่างประเทศมาโดยตลอด   3.ดุสิตธานี บริหารงานโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คือบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด  เซ็นทรัลพัฒนา ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในการตัดสินใจดำเนินการของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด   เซ็นทรัลพัฒนา ยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจมาตลอด 45 ปี และได้รับการรับรองและตรวจสอบอย่างโปร่งใสมาโดยตลอด รวมถึงสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง Alternate-X สรุปให้   เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ปฏิเสธข่าวเกี่ยวข้องความขัดแย้งในครอบครัวโทณวณิกที่โยงกับ DUSIT ย้ำการลงทุนเป็นเพียงพันธมิตรในโครงการ ‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ ตั้งแต่ปี 2560 โดยปัจจุบันถือหุ้น DUSIT 17.09% ไม่มีสิทธิ์ควบคุมกิจการ ยืนยันดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาลและโปร่งใส พร้อมเดินหน้าตามแผนเปิดศูนย์การค้า ‘เซ็นทรัล พาร์ค’ อย่างเป็นทางการ 4 กันยายน 2568

August 28, 2025 / 0 Comments
read more

สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ประกาศคำเขียนถูกต้อง ‘ลัตเต–มัตจะ–มอคา’ ทำเอาชาวเน็ตเคว้ง

Peace&Play

วงการคาเฟ่สะเทือน เมนูที่คุณสั่งเขียนผิดมาตลอดหรือเปล่า? รู้ยัง? “ลัตเต–มัตจะ–มอคา” เขียนแบบนี้ถึงถูก ราชบัณฑิตฯ เคาะแล้ว   เนื่องจากเทรนด์ความนิยมชาเขียวแบบผงบดในกลุ่มนักดื่มชาวไทยที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ ส่งผลให้มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนไม่น้อย ถกเถียงถึงรูปแบบการเขียนทับศัพท์ของชื่อเมนู ชาเขียว “มัทฉะ” ว่าแท้จริงแล้วเป็นการสะกดผิดมาโดยตลอด   ส่งผลให้ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก ‘คำไทย’ เผยแพร่ข้อมูลคำทับศัพท์อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานราชบัณฑิตยสภา เกี่ยวกับชื่อเมนูเครื่องดื่มยอดฮิตที่คนไทยนิยมใช้ แต่หลายคำสะกดไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ทางภาษา   โพสต์ดังกล่าวได้ระบุถึงตัวอย่างคำว่า   latte → ลัตเต คำว่า latte ในภาษาอิตาลีหมายถึง “นม” เมื่อใช้คำว่า caffè latte จึงแปลว่า “กาแฟนม” โดยราชบัณฑิตฯ กำหนดให้ทับศัพท์ว่า “ลัตเต” ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่สะกดว่า “ลาเต้”   ส่วนคำว่า  matcha → มัตจะ คำว่า 抹茶 (matcha) ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง “ชาเขียวบดละเอียด” ราชบัณฑิตฯ กำหนดให้ใช้ว่า “มัตจะ” แต่คนไทยนิยมสะกดว่า “มัทฉะ”   นอกจากนี้ยังมีคำอื่น ๆ อย่าง mocha → มอคา และ macchiato → มัคคียาโต ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อให้ใช้ตามมาตรฐานการทับศัพท์   กระแสบนโซเชียลหลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ มีผู้ใช้จำนวนมากเข้ามาคอมเมนต์และแชร์ต่อ บางส่วนมองว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่ควรรู้จักคำสะกดที่ถูกต้อง ขณะที่อีกหลายคนยอมรับว่ายังคงติดกับการสะกดแบบเดิมที่แพร่หลายในเมนูคาเฟ่     Alternate-X สรุปให้    โลกคาเฟ่ไทยกำลังถกเถียงเรื่องการสะกดชื่อเมนูยอดฮิตให้ถูกต้องตามราชบัณฑิตฯ โดยคำว่า ‘Latte’ ต้องสะกดว่า ‘ลัตเต’ ไม่ใช่ ‘ลาเต้’ ส่วน ‘Matcha’ ควรสะกดว่า ‘มัตจะ’ แทน ‘มัทฉะ’ ส่วน ‘Mocha’ คือ ‘มอคา’ และ ‘Macchiato’ คือ ‘มัคคียาโต’ ทำโซเชียลแห่แชร์ ยอมรับว่าสะกดผิดมาตลอด แต่ก็ยังติดการใช้แบบเดิมในเมนูร้านกาแฟ An AI-generated cover image by Gemini

August 27, 2025 / 0 Comments
read more

Xiaohongshu สื่อโซเชียลจีน ดึงแบรนด์ไทยเจาะตลาดใหญ่ ถึงมือผู้บริโภคมังกรกว่า 350 ล.คน

BizKet

Xiaohongshu แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์และโซเชียลคอมเมิร์ซ No.1 จีน ร่วมพันธมิตรสื่อในไทยรายแรก THE LEMON SHOT เชื่อมแบรนด์สู่ตลาดผู้บริโภคจีนกว่า 350 ล้านคน   กนกพร ปรัชญาเศรษฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THE LEMON SHOT ผู้ให้บริการโซลูชันการตลาดแบบครบวงจร ขับเคลื่อนโดยครีเอเตอร์ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ร่วมงานกับ Xiaohongshu แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์และโซเชียลคอมเมิร์ซ อันดับ 1 จีนในฐานะพันธมิตร สื่อท้องถิ่น (Local Media Partner) อย่างเป็นทางการรายแรกของประเทศไทย เพื่อร่วมสร้างโอกาสทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ และการเติบโตให้กับแบรนด์จากการขยายตลาดสู่ผู้บริโภคชาวจีนที่กลุ่มนี้ โดยตรง   สำหรับความร่วมมือดังกล่าว THE LEMON SHOT ได้รับสิทธิ์อย่างเป็นทางการในการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของ Xiaohongshu ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์การค้นหา และข้อมูลหมวดหมู่สินค้า   “ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นกุญแจ ในการปลดล็อกกลยุทธ์การตลาด รวมถึงวางแผนการใช้อินฟลูเอนเซอร์ให้แบรนด์ เพื่อเข้าถึงและตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคชาวจีนกว่า 350 ล้านคนบนแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์และโซเชียลคอมเมิร์ซอันดับ 1 ของประเทศจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” กนกพร กล่าวพร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ ยังเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จตลอด 3 ปีของ THE LEMON SHOT ในการส่งมอบแคมเปญครบวงจรกว่า 1,000 โครงการ ผ่านเครือข่ายครีเอเตอร์กว่า 1,000 คน และผู้ชมคอนเทนต์รวมกว่า 100 ล้านคน กนกพร กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคชาวจีนมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดเทรนด์และภาพลักษณ์แบรนด์ระดับโลก ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจไทยทั้งในภาคการท่องเที่ยว ค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ ความงาม และสุขภาพ   ขณะที่ความร่วมมือครั้งนี้ ยังเพื่อรองรับธุรกิจไทยที่ต้องการเข้าถึงตลาดจีน ด้วยความเชี่ยวชาญด้าน Cross-border Marketing ของทีม THE LEMON SHOT XPLORE ครอบคลุมตลาด   จีนแผ่นดินใหญ่ จีนไต้หวัน จีนฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์   นอกจากนี้ ยังให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง TikTok, Douyin หรือ WeChat ด้วยการนำข้อมูลเชิงลึกจาก Xiaohongshu กับทีมผู้เชี่ยวชาญ มาต่อยอดการทำงานที่ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคจีน เพื่อร่วมผลักดันแบรนด์ไทยก้าวสู่ตลาดจีนได้อย่างมั่นใจและยั่งยืน   ด้าน Dodo Kwong ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของ Xiaohongshu กล่าวเสริมว่า ประเทศไทย คือ หมุดหมายอันดับต้น ๆ ของผู้บริโภคชาวจีน และเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจ เรื่องราวต่าง ๆ สำหรับ Xiaohongshu Community มาโดยตลอด   สำหรับ ความร่วมมือกับ THE LEMON SHOT ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการรายแรกในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพให้แบรนด์ไทยสามารถแบ่งปันเรื่องราว และผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์เข้าสู่ Xiaohongshu Community ได้มากยิ่งขึ้น     เกี่ยวกับ THE LEMON SHOT   THE LEMON SHOT  ผู้นำด้านโซลูชันการตลาดแบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนโดยครีเอเตอร์ชั้นนำของประเทศไทย ที่เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดด้วยครีเอเตอร์ ที่ผสานพลังเครือข่ายครีเอเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เข้ากับกลยุทธ์การสื่อสารที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล สร้างสรรค์แคมเปญสำหรับลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม พร้อมกลุ่มธุรกิจระดับภูมิภาค THE LEMON SHOT XPLORE ผู้นำด้าน Cross-Border Marketing เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   เกี่ยวกับ Xiaohongshu (RED)   Xiaohongshu (小红书) แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์และโซเชียลคอมเมิร์ซชั้นนำของประเทศจีน ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 350 ล้านคน ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับแรงบันดาลใจ การค้นพบสินค้า และการแชร์ประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวัน และเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ผู้บริโภคจีนในการค้นพบสินค้า การตามเทรนด์ และการตัดสินใจซื้อ สำหรับผู้บริโภครุ่นใหม่ของจีน ทั้งสินค้าแฟชั่น ความงาม ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงการท่องเที่ยว โดยมีบทบาทสำคัญในการสร้างกระแส เทรนด์ และชุมชนออนไลน์ที่แข็งแกร่ง     Alternate-X สรุปให้     Xiaohongshu แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์และโซเชียลคอมเมิร์ซ อันดับ 1 ของจีน จับมือ THE LEMON SHOT เป็นพันธมิตรสื่อรายแรกในไทย เปิดโอกาสให้แบรนด์ไทยเข้าถึงผู้บริโภคชาวจีนกว่า 350 ล้านคน ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านพฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์ และหมวดหมู่สินค้า THE LEMON SHOT พร้อมต่อยอดกลยุทธ์ Cross-border Marketing ช่วยธุรกิจไทยขยายตลาดจีนได้อย่างมั่นใจและยั่งยืน        

August 27, 2025 / 0 Comments
read more

ศึกชิงอำนาจ ‘ดุสิตธานี’ อนาคตแบรนด์โรงแรมไทย ความขัดแย้งภายใน สั่นคลอนเวทีโลก

BizKet

กลุ่มดุสิตธานี หนึ่งในองค์กรไทยที่มีประสบความสำเร็จในกลุ่มธุรกิจบริการฮอสพิทาลิตี้ จากประสบการณ์ในธุรกิจโรงแรมกว่า 7 ทศวรรษ ด้วยพอร์ต จำนวนโรงแรม รีสอร์ทและวิลล่า ที่อยู่ในการดูแลกว่า 300 แห่งทั้งในและต่างประเทศ ในปัจจุบัน  จากจุดเริ่มต้นธุรกิจโรงแรมครั้งแรก ด้วยการเปิด โรงแรมปริ๊นเซส เมื่อปี พ.ศ. 2492 โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย โดยชื่อ ‘ดุสิตธานี’ ตั้งตามชื่อเมืองจำลองของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งแปลว่า ‘เมืองสวรรค์’ ตามจุดประสงค์จากแรงบันดาลใจ ทั้งชื่อชื่อสรวงสวรรคชั้นที่ 4 ที่ชื่อว่า ‘ดุสิต’ เพื่อให้ผู้มาใช้บริการของโรงแรมรู้สึกเสมือนหน่ึงอยู่ในสวรรค์   ขอบคุณภาพจาก ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล   ขอบคุณภาพจาก ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล   อีกทั้งยังสอดคล้องกับทำเลโรงแรมดุสิตธานี ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามพระบรมรูปของรัชกาลที่ 6 บริเวณสวนลุมพินี ตามที่พระองคเ์คยมีพระราชประสงคที่ จะสร้างเมืองแม่แบบประชาธิปไตย ให้ตั้งชื่อเมืองนั้นว่า ‘ดุสิตธานี’   กระทั่งโรงแรมดุสิตได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องพร้อมขยายธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม ทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้การบริหารในรูปแบบกิจการมหาชนในปัจจุบัน ในชื่อ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ ‘DUSIT’ มีธุรกิจครอบคลุม 5 ประเภทหลัก ได้แก่   ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหาร ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง.   โดย ข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ระบุบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นกิจการลำดับที่1 ในสัดส่วน 49.74%  ของบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) โดยมีบุคคลสำคัญ ดังนี้   ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการ คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ รองประธานกรรมการและกรรมการอิสระ จุดเริ่มต้นความขัดแย้ง   จากเส้นเรื่องการดำเนินกิจการโรงแรมภายใต้กลุ่มดุสิตธานี มานานกว่า 70 ปี ได้ถึงจุดสะดุดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น โดยเรียงตามไทม์ไลน์ ดังนี้   กุมภาพันธ์ 2568 ชนินทร์ถูกถอดจากกรรมการ บริษัทชนัตถ์และลูก (โฮลดิ้ง) ส่งผลให้สิทธิออกเสียงในที่ประชุมหลุดจากมือ 25 เมษายน 2568 ผู้ถือหุ้นใหญ่ (ที่โฮลดิ้งคุมแล้ว) ไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567 16 มิถุนาย 2568 บอร์ด DUSIT ตั้งชนินทร์เป็นรักษาการประธานบอร์ด     เกม (ธุรกิจ)พลิก     โดยเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 บอร์ด DUSIT ได้ปลดชนินทร์ออกจากตำแหน่งรักษาการประธานบอร์ด พร้อมถอดสิทธิการลงนามของ ชนินทร์, สินี เธียรประสิทธิ์ (น้องสาว) และ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ (ซีอีโอ DUSIT)   จากเหตุการณ์นี้ ถือเป็นจุดพลิกอีกครั้ง เพราะนั่นหมายถึงสิทธิออกเสียง ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ไม่อยู่ในมือชนินทร์อีกต่อไป เท่ากับชนินทร์ถูก ‘ตัดขาด’ จากอำนาจการบริหารโดยตรง   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง   จากปาก ‘ชนินทร์ โทณวณิก’ ปมถูกปลด ดุสิตธานี – เปิดปม ‘คนนอก’ ควบคุมธุรกิจ     ต่อความแตกหักในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัว แต่อาจเป็นการแย่งชิงการควบคุมธุรกิจโรงแรมไทยระดับตำนานกว่า 80 ปี อย่าง ‘ดุสิตธานี’ และเป็นกรณีศึกษาด้านแบรนด์ ที่สะท้อนทั้งปัญหาครอบครัว ธรรมาภิบาล และความเชื่อมั่นของตลาดทุน   ภาพลักษณ์แบรนด์   จากสถานการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้ อาจมีผลต่อการภาพลักษณ์แบรนด์ ด้วยโรงแรมไม่ใช่แค่ขายห้องพัก แต่ยังขาย ‘ความมั่นใจ ความสงบ และประสบการณ์’   ขณะที่กระแสความขัดแย้งในครอบครัวที่ออกมาเรื่อย ๆ อาจทำให้คู่ค้าระดับสากล เช่น เอเยนต์ท่องเที่ยว, พาร์ทเนอร์ธุรกิจการประชุมและจัดเลี้ยง (MICE), แบรนด์หรูที่จับมือกับโรงแรม เกิดความลังเลต่อการเซ็นสัญญาใหม่ ด้วยยังไม่ทราบระยะเวลาที่ชัดเจนว่า ใคร? จะควบคุมทิศทางการบริหารที่ชัดเจนจริง ๆ   การแข่งขันในเวทีโลก   ขณะเดียวกัน ‘ดุสิต’ ได้พยายามปรับตำแหน่งทางการตลาด Reposition สู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก ที่บริหารโรงแรมในต่างประเทศ   ทั้งนี้หากนักลงทุนและสื่อสากลมีภาพจำ คือ ‘บริษัทครอบครัวไทยที่ทะเลาะกันเอง’ อาจมีความกังวลต่อแบรนด์จะเสียความสามารถทางเครดิต (credibility) ในการไปสู้กับเครือใหญ่ธุรกิจเชนโรงแรมใหญ่ ๆ อย่าง Marriott, Hilton, Accor ที่เน้นความเสถียรของการบริหารจัดการ   การระดมทุนและโครงการขยาย   นอกจากนี้ ดุสิต ยังมีแผนลงทุนโครงการใหม่ ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ อาทิ รีสอร์ท, มิกซ์-ยูส , โครงการที่อยู่อาศัย เรสซิเดนซ์ ระดับหรู ฯลฯ   ขณะที่ความไม่ชัดเจนของผู้ถือหุ้นใหญ่อาจทำให้ ต้นทุนการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินสูงขึ้น หรือมีผลอาจทำให้โครงการต้องชะลอ ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตระยะยาวของแบรนด์ ได้เช่นกัน   การถูกจับตามองมากขึ้น   อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง วิกฤตนี้อาจกลายเป็นโอกาสทางการปรับแบรนด์ใหม่ ‘Rebranding Opportunity’ ได้เช่นกัน หาก Dusit จัดการปัญหาได้ดี ซึ่งจะทำให้ถูกมองว่าเป็นบริษัทไทยที่ผ่านพายุแห่งความไม่สงบของการขัดแย้งภายในครอบครัวให้ไปสู่การบริหารจัดการระดับมืออาชีพ ที่โปร่งใส  จากการปรับตัวได้ อย่างแข็งแรงขึ้น   แต่หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป แบรนด์ อาจมีสิทธิ์ลุ้นต่อการเป็นกรณีศึกษาที่ไม่ประสบความสำเร็จ ของกิจการครอบครัวไทย ที่อาจเปลี่ยนมือได้ในอนาคตหรือไม่?   จากเส้นเรื่องทั้งหมดนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ DUSIT แบรนด์ระดับตำนานโรงแรมของไทย อาจแค่เรื่องความขัดแย้ง แต่ยังเป็น ภาพลักษณ์, การแข่งขัน, ความน่าเชื่อถือในเวทีโลก และพลังคนในองค์กร ที่จะกำหนดอนาคตแบรนด์ Dusit หลังศึกครั้งนี้!!     Alternate-X สรุปให้      กลุ่มดุสิตธานี เริ่มธุรกิจโรงแรมครั้งแรกเมื่อปี 2492 ก่อนเติบโตเป็นเครือระดับโลก ปัจจุบันดำเนินธุรกิจหลัก 5 ด้าน ได้แก่ โรงแรม อาหาร การศึกษา อสังหาฯ และบริการอื่น ๆ จากความขัดแย้งผู้ถือหุ้นและการปลดผู้บริหารสำคัญในปี 2568 กลายเป็นจุดพลิกธุรกิจอีกครั้งใหญ่ ด้วยเหตุการณ์นี้อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์แบรนด์ ความเชื่อมั่นนักลงทุน และพันธมิตรธุรกิจ จากวิกฤตครั้งนี้ยังอาจเป็นทั้งความเสี่ยง หรือโอกาสในการ Rebranding และการปรับสู่การบริหารโปร่งใส ย้ำความมืออาชีพและความเชื่อมั่นแบรนด์โรงแรมไทยระดับตำนาน  

August 27, 2025 / 0 Comments
read more

จากปาก ‘ชนินทร์ โทณวณิก’ ถูกปลด ดุสิตธานี – เปิดปม ‘คนนอก’ ควบคุมธุรกิจ

BizKet

ทีมสื่อสารองค์กร Dusit INTERNATIONAL นำส่งจดหมายเชิญสื่อมวลชนอย่างเร่งด่วนในช่วงเช้าวันที่ 27 สิงหาคม 2568  พร้อมรับฟังการแถลงข่าว โดย ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ รักษาการประธานกรรมการ บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ในหัวข้อ ‘การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของดุสิตธานี’   โดย ชนินทร์ เผยรายละเอียดดังนี้ ว่า หลายท่านคงได้เห็นข่าวว่า บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ได้เสนอวาระให้ถอดถอนผมออกจากตำแหน่งกรรมการ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ บริษัท ดุสิตธานี ที่จะถึงในเดือนหน้านี้   “วันนี้ผมจึงขอใช้โอกาสนี้ พูดตรง ๆ ต่อสาธารณะ เพื่อให้ทุกคนได้รับฟังข้อเท็จจริงจากปากของผมเอง”       จุดเริ่มต้นของปัญหา   เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มจากความวุ่นวายของการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 32/2568 ที่ผ่านมาทั้งสองครั้ง และการไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ของ บมจ. ดุสิตธานี  แต่จุดเริ่มต้นของปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นหลังจากที่คุณแม่ ท่านผู้หญิง ชนัตถ์  ปิยะอุย สิ้น   เนื่องจากท่านผู้หญิงฯ ได้มอบหมายให้ผมเป็นเสาหลักในการดูแลกิจการของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานี และธุรกิจอื่นของครอบครัวเป็นเวลากว่า 30 ปี   ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา อำนาจกรรมการของบริษัทภายใต้การดูแลของท่านผู้หญิงฯ คือ ท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับผม หรือ ท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับคุณสินี  เธียรประสิทธิ์   โดยเมื่อท่านผู้หญิงฯ ไม่อยู่แล้ว ผมคือผู้ลงนามหลัก ที่ต้องลงนามร่วมกับคุณสินี หรือผมลงนามร่วมกับน้องคนเล็ก   ต่อมา น้องทั้งสองคนของผมได้ร่วมกันใช้เสียงโหวตเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการเดิมที่คุณแม่กำหนดไว้ เพื่อแก้ไขอำนาจกรรมการ โดยไม่ฟังเสียงของผม   โดยจากที่ผมมีอำนาจหลักในการลงนามร่วมกับใครคนใดคนหนึ่ง เปลี่ยนให้เป็นกรรมการสองในสามลงนามร่วมกัน  และหลังจากนั้น น้องๆ ก็ร่วมกันปลดผมออกจากการเป็นกรรมการของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด รวมถึงการปลดผมออกจากการเป็นกรรมการทุกบริษัทในกองมรดก   ทั้งที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรม ผมจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิของผม และขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง   ต่อมาในช่วงโควิด เราทั้งสามคนมีการตกลงที่จะแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วน คือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี) บริษัท ปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และ บริษัท ธนจิรัง จำกัด (เป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์)   โดยทุกฝ่ายตกลงให้ผมได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในขณะที่น้องแต่ละคนได้หุ้นในอีกสองบริษัทดังกล่าว และให้นำทรัพย์สินอื่นๆ มาชดเชยกันให้เป็นธรรมและเท่าเทียมกันสำหรับทุกฝ่าย   แต่ในภายหลัง ทั้งสองคนเปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อตกลงนั้น ซึ่งผมเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของน้องทั้งสอง น่าจะเป็นผลมาจากโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส เกิดขายดีกว่าที่คิด หลังจากโควิดจบลง     ผลกระทบที่ลุกลามมาถึงดุสิตธานี     ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว และยังหวังว่าการฟ้องร้องต่างๆ  ของผมที่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายจะนำไปสู่การไกล่เกลี่ย และประนีประนอม แต่วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาพูด เพราะการกระทำแบบเดียวกันได้ขยายมาถึงบมจ. ดุสิตธานี   ก่อนหน้านี้ พวกเขาใช้อำนาจผ่านบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงิน ทั้งที่งบการเงินไม่ได้มีปัญหา และล่าสุดยังพยายามถอดถอนผมออกจากตำแหน่งกรรมการในดุสิตธานี เพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกครอบครัวเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อ บมจ. ดุสิตธานี แต่ยังเป็นการเปิดทางให้คนนอกครอบครัวเข้ามายึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมาอีกด้วย   นอกจากนี้ ผมเห็นว่าผู้ที่จะต้องเสียหายไปด้วยก็คือ ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถตอบโต้ หรือทำอะไรได้เลย   การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการและความพยายาม Take Over   สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะ   มีการเสนอกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มเซ็นทรัล การเปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจจากคนในครอบครัวไปสู่คนนอก ที่ไม่เคยบริหารและไม่รู้จักดุสิตธานีอย่างแท้จริงมาก่อน โดย 2 ใน 3 สามารถลงนามแทนบริษัท เป็นการเปิดทางให้คนนอกเข้าควบคุมกิจการที่ครอบครัวสร้างมาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมการเดิมลงนามเลยก็สามารถผูกพันดุสิตธานีได้   และที่ผ่านมา ยังมีความพยายามผลักดันให้ผมแบ่งหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานีออกเป็นสามส่วน เพื่อขายต่อให้คนนอก ทั้งๆ ที่ข้อบังคับของบริษัท ชนัตถ์และลูก ระบุไว้ว่า ไม่ให้ขายหุ้นของชนัตถ์และลูก ให้แก่คนนอกครอบครัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ เท่ากับเปิดประตูให้คนนอกเข้ามาครอบครองกิจการที่เคยเป็นของครอบครัวสร้างมาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง   ความพยายามในการแทรกแซง   กลุ่มเซ็นทรัลเคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.ดุสิตธานีหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเคยซื้อหุ้นดุสิตธานี จนถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้เราทราบ ทั้งที่เป็นพันธมิตรและคู่สัญญาในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค   จนผมต้องไปเจรจา เพื่อขอให้เขาขายหุ้นออกครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้กลุ่มเซ็นทรัลส่งคนมานั่งเป็นกรรมการ เพราะธุรกิจเรามีความทับซ้อนกัน เช่น ธุรกิจสายโรงแรมก็มีการแข่งขันกันโดยตรง และยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหารเหมือนกัน ด้วยเกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์   และต่อมาผมได้ทราบมาจากหลายช่องทางและเข้าใจว่า ทางกลุ่มเซ็นทรัลและบริษัท ชนัตถ์และลูก ภายใต้การบริหารของน้องสาวทั้งสองของผม ได้มีการหารือกันหลายครั้ง เพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม   ผมเข้าใจว่าการหารือกันระหว่างทั้งสองฝ่ายอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเข้าควบคุมอำนาจบริหารกิจการดุสิตธานี  ซึ่งผมเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส และยังอาจมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากความทับซ้อนของธุรกิจ   และที่สำคัญ ณ ปัจจุบัน โครงการนี้ สามารถขายไปได้แล้วกว่า 92% เพราะผู้ซื้อเชื่อมั่นในชื่อเสียงและการบริหารงานอย่างมีคุณภาพ และการไม่เอาเปรียบผู้ซื้อของดุสิตธานี แต่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ และอาจจะส่งผลกระทบต่อการโอนห้องชุด ที่จะเริ่มในไม่กี่เดือนข้างหน้า และกระทบต่อความเชื่อมั่นในโครงการทั้งหมด   เจตนารมณ์การก่อตั้ง   ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหมดนี้ ผมอยากให้ทุกคนย้อนกลับไปมองว่า ดุสิตธานีถือกำเนิดขึ้นมาเพื่ออะไร   ท่านผู้หญิงชนัตถ์ เป็นคนแรกๆ ในประเทศ ตั้งแต่เมื่อ 76-77 ปีที่แล้ว ที่เชื่อมั่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ท่านจึงได้พยายามสร้างโรงแรมที่ดี และต่อมาจึงสร้างโรงแรมดุสิตธานีอย่างยิ่งใหญ่ กลายเป็นโรงแรมต้นแบบที่นำเอาหลายสิ่งที่ประเทศไทยยังไม่เคยมีมาก่อนมาไว้ที่นี่   เช่น เป็นโรงแรมที่มีรูปลักษณะของการออกแบบที่เป็นไทย และมีการบริหารงานและการให้บริการด้วยเอกลักษณ์ของความเป็นไทย  มีการเชิญคนอื่น โดยส่วนใหญ่เป็นเพื่อนคุณแม่ เข้ามาร่วมลงทุนในการสร้าง   ดังนั้น เมื่อโรงแรมดุสิตธานี เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2513 จึงกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย และกลายเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น  โรงแรมแห่งนี้ กลายเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาให้กับประเทศไทย และเป็นตัวชูโรงในการเชิดชูวัฒนธรรมไทย และการออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างไทย ให้ต่างชาติได้เห็น ซึ่งหลังจากนั้น ก็ยังไม่มีโรงแรมไหน หรือธุรกิจการท่องเที่ยวใดๆ ที่สามารถสร้างภาพพจน์ในระดับเดียวกันกับที่ดุสิตธานีเคยทำได้มาก่อน   นอกจากนี้ ท่านผู้หญิงฯ ยังได้วางหลักการในการบริหารธุรกิจ ที่เรายึดถือมาโดยตลอดตั้งแต่แรก คือ Business with Honor — นั่นก็คือ ต้องทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบใคร  เชิดชูความเป็นไทย ไม่ค้ากำไรเกินควร  ยึดประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อนสิ่งอื่นใด ยึดผลประโยชน์และความพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ มากกว่าจะเห็นผลประโยชน์ต่างๆ เฉพาะตน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ หรือกำไรระยะสั้นๆ  นี่คือรากฐานที่ทำให้ดุสิตธานีเป็นแบรนด์ไทยที่ทุกคนภาคภูมิใจ   ท่านผู้หญิงฯ เน้นย้ำว่า เพื่อให้หลักการนี้คงอยู่ ครอบครัวลูกหลานของท่าน จะต้องเป็นผู้ดูแลและรักษาบริษัทไว้ต่อไป และนั่นคือที่มาของโครงสร้างการบริหารที่ท่านผู้หญิงฯ วางไว้ใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด   ซึ่งสุดท้ายแล้ว เป็นที่น่าเสียใจและเจ็บปวดอย่างยิ่ง ที่คุณสินีและน้องอีกคนเห็นต่าง และเป็นผู้เปิดประตูเชิญชวนให้คนนอกที่ไม่เคยบริหารดุสิตธานีมาก่อนเข้ามามีอำนาจควบคุม บมจ. ดุสิตธานี ที่ยืนหยัดบริหารงานตามหลักการของท่านผู้หญิงชนัตถ์มาโดยตลอด   เรื่องผลประกอบการ – ความจริงที่ต้องเข้าใจ   ข้อกล่าวหาว่า บริษัทขาดทุนต่อเนื่องและมีหนี้สินสูงนั้น ไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด การขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการใหญ่ ‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ มูลค่า 46,000 ล้านบาท การลงทุนในโครงการต่างๆ ก่อนที่จะเกิดโควิด และความพยายามในการประคับประคองกิจการในช่วงโควิด โดยที่เราไม่เคยเพิ่มทุนแม้แต่น้อย  ไม่เคยที่จะผลักภาระต่างๆ ไปยังผู้ถือหุ้น แต่พยายามอย่างมากที่จะดูแล ประคับประคองกิจการ ดังนั้น นี่ไม่ใช่การล้มเหลวทางธุรกิจ  แต่เป็นรากฐานในการสร้างธุรกิจให้เติบโตต่อไป   วันนี้เราได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เราทำได้  โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยความเชื่อมั่น และการสนับสนุนของผู้ถือหุ้นรายย่อย ตลอดจนคณะกรรมการของบริษัททุกๆ ท่าน ทั้งที่พ้นวาระไปแล้ว เพราะบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่เลือกให้กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ และคณะกรรมการบริษัทชุดปัจจุบัน  รวมถึงคณะผู้บริหารที่นำโดยคุณศุภจี และพนักงานของดุสิตธานีทุกคนที่ทุ่มเททำงานกันมาอย่างหนักเป็นเวลา 7-8 ปี   เราต้องผ่านทั้งปัญหาเรื่องโควิด ปัญหาเรื่องการขอกู้เงินธนาคาร ซึ่งมีนโยบายระงับการให้สินเชื่อในช่วงโควิด ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างช่วงโควิด การมีสงครามในหลายประเทศทำให้วัสดุก่อสร้างราคาแพงขึ้น ปัญหาคอนโดล้นตลาด และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว   ทุกคนร่วมต่อสู้กันมาโดยตลอด ทำให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมาก ตั้งแต่หลักการ แนวคิด และการออกแบบให้โครงการมีความแตกต่างจากที่อื่น และมีจุดแข็งหลายอย่าง เช่น ทุกอาคารในโครงการมองเห็นวิวสวนลุมพินีอย่างเต็มตา ซึ่งตอนนี้โครงการทั้งหมดกำลังเดินไปได้ดีมาก โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่เปิดมาไม่ถึงปี ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า โครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นโครงการห้องชุดขายไปแล้วกว่า 92% รอทยอยรับรู้รายได้การโอนอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า และจะช่วยให้เรามีรายได้เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และกำลังจะมีกำไรมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน   รายได้เหล่านี้ จะมาช่วยปลดภาระหนี้ที่ค้างอยู่  นอกจากนี้ เรายังพยายามสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ดีงามให้กับสังคม เช่น สวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งนี่คือ แนวคิดของผม ที่ต้องการสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพ  ดังนั้น ความสำเร็จเหล่านี้ คือ เครื่องพิสูจน์ว่า ดุสิตธานีกำลังจะก้าวผ่านช่วงที่ยากที่สุด และเดินสู่การเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง   สิ่งที่ต้องการสื่อ   สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ส่วนตัวของผมกับใคร แต่คือการปกป้องดุสิตธานีที่กำลังจะมีอนาคตที่สดใส จากการถูกยึดครองโดยไม่เป็นธรรม  ทั้งๆ ที่ ดุสิตธานีคือแบรนด์ไทยที่ครอบครัวเราสร้างมากว่า 76 ปี และเป็นมรดกทางจิตวิญญาณที่ต้องรักษาไว้   แต่อยู่ๆ กลับจะมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการ ด้วยการเสนอชื่อกรรมการเข้ามาใหม่ถึง 10 คน ทำให้จำนวนกรรมการเพิ่มขึ้นจากเดิม 12 เป็น 18 คน และเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ซึ่งสามารถทำให้อำนาจการควบคุมกิจการเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหาร ซึ่งผมคิดว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการ และทีมงานที่ทุ่มเทเวลามาเกือบ 10 ปี เพื่อฟูมฟักและทำให้ดุสิตธานีเติบโตมาจนถึงจุดนี้  และที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นยังเป็นการไม่ยุติธรรมต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย   ดังนั้น ผมเห็นว่าการที่พยายามจะเอาคนนอก ที่ไม่ได้เข้าใจความเป็นดุสิตธานี เข้ามากุมอำนาจในช่วงนี้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมกับหลายๆ ฝ่าย ซึ่งอาจจะสร้างผลกระทบในทางลบกับบริษัทดุสิตธานีอย่างมาก  ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของดุสิตธานี จะสร้างผลกระทบให้กับเจ้าของโรงแรมที่ไว้วางใจให้ดุสิตธานีบริหารให้เกือบ 300 แห่งทั่วโลก หรือแม้แต่หุ้นส่วนที่มาเข้าลงทุนกับบริษัทในเครือ ลูกค้าที่มาใช้บริการโรงแรม รวมถึงลูกค้าในโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส กว่า 400 คนที่มาซื้อห้องชุด ด้วยความเชื่อถือและมั่นใจในคณะกรรมการ และผู้บริหารชุดปัจจุบัน   กิจการต้องเป็นอิสระ   ผมขอยืนยันว่า ดุสิตธานี จะต้องเป็นบริษัทที่มีความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทอื่น จึงจะสามารถสืบสานเจตนารมณ์และหลักการที่ดีของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ในการเน้นเอกลักษณ์และความเป็นไทย และให้คุณค่าความสำคัญกับกับการดูแลผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย   ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายสำหรับการสนับสนุนที่มีให้มาโดยตลอด  และขอยืนยันว่า สิ่งที่ผมทำ ไม่ใช่เพื่อรักษาตำแหน่ง แต่เพื่อรักษาความถูกต้อง ความเป็นธรรม และอนาคตขององค์กร เพื่อให้ดุสิตธานียังคงเป็นแบรนด์ไทยที่น่าภาคภูมิใจของครอบครัว ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน และประเทศชาติ   ผมขอสัญญาว่า ผมยังจะไม่ไปไหน  และจะยังอยู่กับดุสิตธานีตลอดไป และถ้าหากสามารถปลดผมได้ ผมก็จะยังอยู่กับดุสิตธานีในบทบาทอื่น และจะพยายามอย่างเต็มที่ในการกลับเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารดุสิตธานีเหมือนเดิม ผมจะไม่ยอมทิ้งดุสิตธานีไปไหน  รวมทั้งจะใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่มีอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องดุสิตธานี ไม่ให้ถูกยึดครองโดยไม่ชอบธรรม ผมจะคอยทำหน้าที่จับตาและเฝ้าดู กรรมการและผู้บริหารใหม่ รวมถึง ใครก็ตาม หากเข้ามาทำให้ดุสิตธานีเสียหาย ผมจะใช้สิทธิที่ตนเองมีในการดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด     Alternate-X สรุปให้     ‘ชนินทร์ โทณวณิก’ แถลงข่าวกรณีถูกปลดจากตำแหน่งกรรมการบริหาร ดุสิตธานี เผยปมความขัดแย้งเริ่มจากการจัดการมรดกและอำนาจการลงนามภายในครอบครัว โดยอ้างถึงการถูกคนในครอบครัวโหวตถอดออกจากบริษัท ‘ชนัตถ์และลูก’ และบริษัทในกองมรดก พร้อมเปิดปมมีความพยายามให้คนนอก โดยเฉพาะกลุ่มทุนใหญ่ เข้ามาควบคุมกิจการ ขณะที่ ชนินทร์ยืนยันจะต่อสู้เพื่อรักษาดุสิตธานีให้เป็นแบรนด์กิจการที่ยังเป็นอิสระ   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง   ศึกชิงอำนาจ ‘ดุสิตธานี’ อนาคตแบรนด์โรงแรมไทย ความขัดแย้งภายใน ท้าทายเวทีโลกสั่นคลอน

August 27, 2025 / 0 Comments
read more

โรงไฟฟ้า BLCP จับมือพันธมิตร หนุนวิจัยพัฒนาพลังงานสะอาด เสริมความมั่นคงและความยั่งยืน

EcoVative,  PRnounce

บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (BLCP) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรธุรกิจ และภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีพลังงาน สร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย การดูแลสิ่งแวดล้อม และการสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน   นายยุทธนา เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด กล่าวถึงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมถือเป็นพันธกิจหลักของบริษัทมาโดยตลอดว่า เพื่อให้การผลิตไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ควบคู่ไปกับการสร้างนวัตกรรมในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition)   ทั้งนี้ BLCP ได้เริ่มดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงไฟฟ้า เพื่อมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตไฟฟ้า เช่น   การเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้โดยพัฒนาปรับปรุงการเผาไหม้ถ่านหินบิทูมินัสคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดของเสียจากกระบวนการผลิต การจัดการน้ำอย่างยั่งยืนโดยใช้เทคโนโลยีแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืดเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตและหมุนเวียนใช้ภายในโรงไฟฟ้า 100% การบำบัดน้ำเสียก่อนนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดผลกระทบต่อแหล่งน้ำจืดในพื้นที่ การทดลองเชื้อเพลิงร่วมผ่านการศึกษาและทดสอบการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก เช่น แอมโมเนีย และชีวมวล (Biomass) ร่วมกับการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน เพื่อลดปริมาณการใช้ถ่านหิน   แม้จะมีต้นทุนสูงขึ้นในระยะแรก แต่บริษัทฯ มุ่งหวังว่าการวิจัยนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ราคาเชื้อเพลิงทางเลือกสมเหตุสมผลต่อการใช้งานในระยะยาว   ด้านการใช้เทคโนโลยีควบคุมและจัดการสิ่งแวดล้อมนั้น โรงไฟฟ้า BLCP ให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพอากาศตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด ด้วยการติดตั้งและพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อจัดการมลพิษหลัก 3 ชนิด ได้แก่ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NOx) ควบคุมอุณหภูมิของหัวเผา (Burner) เพื่อป้องกันการเกิดก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ควบคุมคุณภาพถ่านหินให้มีปริมาณซัลเฟอร์ไม่เกินมาตรฐาน   พร้อมติดตั้งเครื่องดักจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Flue Gas Desulphurization: FGD) เพื่อดักจับก๊าซส่วนที่เหลือ และฝุ่นละออง ซึ่งมีการใช้เครื่องดักจับฝุ่นระบบไฟฟ้าสถิตย์ (Electrostatic Precipitator: ESP) ในการดักจับฝุ่นก่อนปล่อยสู่บรรยากาศ รวมถึงยังได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดอากาศอัตโนมัติแบบต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring System: CEMS) ที่ปล่องระบายความสูง 200 เมตร และมีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ (Air Quality Monitoring Station: AQMS) 4 แห่งรอบโรงไฟฟ้า เพื่อเฝ้าระวังคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์อีกด้วย   นอกจากนั้นยังได้ร่วมมือกับหน่วงงานภาครัฐและพันธมิตรเพื่อการพัฒนาในอนาคตอีกหลายโครงการ ทั้งด้านการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องกับหลากหลายองค์กร อาทิ ความร่วมมือกับพันธมิตรระดับนานาชาติอย่าง JERA, Mitsubishi Corporation และ Mitsubishi Heavy Industries ภายใต้การสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) ในโครงการศึกษาการใช้ แอมโมเนียคาร์บอนต่ำ เป็นเชื้อเพลิงร่วมในการผลิตไฟฟ้า โครงการวิจัยนวัตกรรมจุลสาหร่ายเพื่อบำบัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ร่วมกับ Algal Bio ประเทศญี่ปุ่น วิจัยนวัตกรรมจุลสาหร่ายเพื่อบำบัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ   ส่วนความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนภายในประเทศนั้น ได้แก่ ความร่วมมือกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.): วิจัยการใช้ชีวมวลร่วมกับถ่านหิน และสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากของเหลือทิ้ง เช่น การผลิตเจลสำหรับผู้ป่วยและการผลิตเมทานอลจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.): ร่วมมือในโครงการวิจัยเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) โครงการวิจัยการนำขี้เถ้าจากโรงไฟฟ้าไปผลิตเป็นคอนกรีตคุณภาพสูงร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับความร่วมมือกับภาคเอกชนนั้น ได้ร่วมลงนามความร่วมมือกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำสำหรับเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้า ลดคาร์บอนในการผลิตไฟฟ้า หนุนเป้าหมาย Net Zero และยังได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในการศึกษาโครงการนำร่องการดักจับและกักเก็บคาร์บอนในทะเล (Carbon Capture) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญสำหรับพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่อีกด้วย   นายยุทธนา ยังได้กล่าวถึง ความมุ่งหวังและเป้าหมายของการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของ BLCP ว่า ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเป้าหมายระยะสั้นเท่านั้น แต่เชื่อว่าโครงการต่างๆ เหล่านี้จะถูกพัฒนาและต่อยอดต่อไปได้ในอนาคต เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทย ทั้งในด้านการผลิตไฟฟ้า การพัฒนาสิ่งแวดล้อม และการสร้างความยั่งยืนร่วมกับสังคมและชุมชนต่อไปในระยะยาว    

August 26, 2025 / 0 Comments
read more

สินเชื่อ ‘กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง’ หนุนหัวแถว SMEs ไทย ให้วงเงินรถพร้อมใช้ 10 ล.บาทขึ้นไป

PRnounce

กรุงศรี ออโต้ ส่งสินเชื่อ ‘กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง’ เพิ่มสภาพคล่อง SME ซื้อรถไว้ใช้ในกิจการ จัดสินเชื่อเเช่าซื้อ ให้ดอกเบี้ยพิเศษนาน 60 เดือน   จากสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางย่อม (SMEs) ไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปี 2568 จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของภาคธุรกิจ แต่การเสริมสภาพคล่องยังคงเป็นโจทย์สำคัญ   ดังนั้น การบริหารกระแสเงินสดและการวางแผนภาษีจึงเป็นเครื่องมือที่หลายองค์กรมองหาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท   ขณะเดียวกัน ยานพาหนะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง การใช้บริการ งสัญญาเช่าซื้อ’ หรือ ‘สัญญาเช่าทางการเงิน’ เพื่อซื้อรถยนต์ไว้ใช้ในกิจการ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน   โดยกรุงศรี ออโต้ ได้นำเสนอ ‘กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง’ หรือ สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการ ที่ครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เช่น รถกระบะ รถบรรทุก รถพ่วง และรถหัวลาก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ประกอบการ   โดยสามารถเลือกรูปแบบทางการเงิน ได้ทั้งสัญญาเช่าซื้อ หรือ สัญญาเช่าทางการเงิน  โดยไม่ต้องใช้เงินสดก้อนใหญ่ แต่สามารถชำระค่าเช่าเป็นงวดรายเดือนพร้อมอัตราดอกเบี้ยคงที่ อีกทั้งยังสามารถนำค่าเช่าไปหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเกณฑ์บัญชี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนภาษีและบริหารกระแสเงินสดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น   5 จุดเด่นของสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการ:   ช่วยประหยัดภาษี: ลูกค้านิติบุคคลสามารถนำค่าเช่ามาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรฐานบัญชี เสริมสภาพคล่องทางการเงิน: สัญญาเช่าทางการเงินสามารถแบ่งชำระรายเดือน ไม่กระทบกระแสเงินสด เพื่อรักษาสภาพคล่องและได้รับประโยชน์ทางบัญชีได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่: ลงทุนในรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน อัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา: สามารถวางแผนทางการเงินได้มีประสิทธิภาพ เงื่อนไขโปร่งใสและเข้าใจง่าย: วางแผนการเงินได้สะดวกและแม่นยำ   รายละเอียดข้อเสนอ กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง: วงเงินสินเชื่อรถยนต์พร้อมใช้ (ฟลีท)   ครอบคลุมสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ วงเงินสินเชื่อตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป วงเงินสินเชื่อมีอายุ 1 ปี และสามารถต่ออายุได้โดยยื่นเอกสารเพื่อพิจารณาอนุมัติ ระยะเวลาทำสัญญา 12-60 เดือน   สัญญาเช่าทางการเงิน (ลีสซิ่ง)   ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้ และรถกระบะ ระยะเวลาทำสัญญา 36-60 เดือน อัตราดอกเบี้ยคำนวณแบบลดต้นลดดอก และคงที่ตลอดอายุสัญญา   นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถชำระค่างวดได้อย่างสะดวกผ่านหลากหลายช่องทางใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (เคาน์เตอร์, ATM, ระบบออนไลน์) หักบัญชีอัตโนมัติ (Direct Debit) รวมถึง โลตัส, 7-Eleven, เคาน์เตอร์เซอร์วิส, ที่ทำการไปรษณีย์ และ CenPay   ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรุงศรี ออโต้ คอล เซ็นเตอร์  0 2740 7400 หรือ LINE Official Account @krungsriauto  เว็บไซต์ bit.ly/3Jqi45U     สำหรับผลิตภัณฑ์ กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง  รถยนต์ใหม่ (ป้ายดำ) อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 2.45% – 8.00% (เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก 4.66% – 15.81% ต่อปี)   *ระยะเวลาผ่อนชำระ 36 – 60 เดือน   *สำหรับลูกค้านิติบุคคลที่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อตามหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของกรุงศรีออโต้   *เงื่อนไขและข้อกำหนดอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารฯ กำหนด    

August 26, 2025 / 0 Comments
read more

รพ.วิมุต ปรับแผนลงทุนยืดหยุ่น เพิ่ม 275 เตียงขยายคนไข้ต่างชาติ รับศก.ชะลอ-โคเปย์เมนต์

BizKet,  Peace&Play

รพ.วิมุต แผนต่อเนื่องขยาย 6 ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง ย้ำแตกต่างรับการแข่งขันบนถนนเส้นพหลโยธิน เพิ่มอีก 80 เตียงขยายพอร์ตคนไข้ต่างชาติดกลุ่มเมียนมา-อินโดฯ ทดแทนกัมพูชา หาย   นพ. นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาล วิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ปรับแผนลงทุนแบบยืดหยุ่น (Flexible Investment Plan) ให้สอดคล้องกับผลดำเนินงานโรงพยาบาลในแต่ละปี เพื่อบริหารต้นทุนการดำเนินงานธุรกิจโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพสูงสุดตามแนวโน้มเศรษฐกิขชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา มีผลต่อผู้เข้ามารับบริการทั้งคนไทยและต่างชาติ   สำหรับแผนงานโรงพยาบาลวิมุตในปี 2568-2569 จะใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างการให้บริการทางการแพทย์รักษาโรคยากซับซ้อนและเฉพาะทาง ที่โดดเด่นบนถนนพหลโยธิน ที่ปัจจุบันมีทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ไม่ต่ำกว่า 8 แห่งที่เปิดให้บริการบนถนนระนาบเดียวกัน   หลังโรงพยาบาลวิมุต เปิดให้บริการร่วม4 ปีในปัจจุบัน ได้รับความไว้วางใจจากคนไข้เข้ามาใช้บริการทั้งชาวไทยและต่างชาติต่อเนื่องสัดส้วน 90% และ 10% ตามลำดับ ซึ่งจากนี้ไปจะมุ่งให้การรักษาโรคยากซับซ้อนมากขึ้น” นพ. นิพัฒน์ กล่าว   โดยรพ.วิมุต วางแผนเปิดให้ศูนย์บริการทางการแพทย์เฉพาะทางรวมทั้งสิ้น 6 ศูนย์ฯ ภายในปี 2569 โดยในปี 2568 วางแผนเปิด 3 ศูนย์ฯ ซึ่งเปิดไปแล้วศูนย์สุขภาพปอด ล่าสุด ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด และเตรียมเปิด ศูนย์กระดูกและข้อ ในเร็วๆนี้ จากนั้นในหน้า จะเปิดอีก 3 ศูนย์ฯ คือ ศูนย์ทรวงอก และสุขภาพสตรี ,ศูนย์ทางเดินอาหาร, ศูนย์ศัลยกรรมและอายุรกรรม   “สำหรับงบลงทุนศูนย์ฯ ดังกล่าว โรงพยาบาลจะใช้กลยุทธ์บริหารจัดการงบดุลตามเพอร์ฟอร์แมนซ์ในสัดส่วนราว 30% ของแต่ละศูนย์ฯ เพื่อใช้หมุนเวียนต้นทุนการดำเนินการโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนทีเดียวทั้งหมด โดยเฉพาะอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีราคาสูงในปัจจุบันที่สามารถใช้วิธีเช่าซื้อได้ทำให้ได้เทคโนโลยีสมัยใหม่ต่อเนื่อง” นพ. นิพัฒน์ กล่าวพร้อมเสริทมว่า   จากแผนดังกล่าว เพื่อรองรับความต้องการเข้ารับบริการของคนไข้ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ด้วยบริการทางการแพทยเฉพาะทาง โดยเฉพาะในกลุ่มหลังเพื่อตอกย้ำศักยภาพประเทศไทยซึ่งเป็น เวริลด์ เมดิคัล ฮับ ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะการเข้ารับการรักษาการผ่าตัด จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางพัฒนารายได้ให้กับกิจการโรงพยาบาลเอกชน   นอกจากนี้ ในปี2568 โรงพยาบาลวิมุตยังวางแผนขยายเตียงเพิ่มอีก 80 เตียง รวมเป็น 275 เตียงจาก 215 เตียงในปัจจุบัน เพื่อขยายการทำตลาดคนไข้ต่างชาติ เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเมียนมา , ลาว และกัมพูชา ซึ่งในกลุ่มหลังพบว่ามีจำนวนลดลงไปพอสมควรหลังปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา   “ในช่วงที่ผ่านกลุ่มคนไข้ต่างชาติลดลงราว 5% รวมถึงตลาดจีนและอาหรับ แต่ยังได้กลุ่มเมียนมา และอินโดนีเซีย เข้ามาทดแทน”  นพ. นิพัฒน์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   ขณะที่กลุ่มคนไข้คนไทยที่เข้ามารับบริการ มีแนวโน้มลดลงเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และโค-เปย์เมนต์ (Co-Payment: ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลส่วนแรกตามจำนวนที่ระบุไว้ในแบบประกันภัย ถ้ากรมธรรม์มี Deductible)   นพ. นิพัฒน์ กล่าวว่า หลังจากเปิดให้บริการปีที่4 ปัจจุบันโรงพยาบาลวิมุต มีฐานผู้เข้ามารับการรวมกลุ่มคนไข้จากความร่วมมือทางพันธมิตรองค์กรต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 3 แสนราย นอกจากนี้ในฐานะธุรกิจในเครือพฤกษา ยังให้บริการทางการแพทย์ในกลุ่มลูกบ้านพฤกษาไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน ด้วย   ทั้งนี้ จากแผนดังกล่าวที่วางไว้ โรงพยาบาลวิมุตคาดว่าจะยังสามารถรักษารักการเติบโตรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อยู่ที่ 30% จากปี 2567 โดยในครึ่งแรกของปี 2568 สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายในระดับน่าพอใจ โดยในปี 2567 มีรายได้ 988.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.83% จากปี 2566     Alternate-X สรุปให้ โรงพยาบาลวิมุต ปรับกลยุทธ์ลงทุนแบบยืดหยุ่นเพื่อรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว ปี 2568–2569 พร้อมเปิดศูนย์แพทย์เฉพาะทางครบ 6 ศูนย์ รองรับโรคซับซ้อนขยายจำนวนเตียงเพิ่มเป็น 275 เตียง เพื่อดึงดูดคนไข้ต่างชาติ โดยเฉพาะจากเมียนมาและอินโดนีเซีย โดยการลงทุนใช้งบตามผลงานจริง ลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนทางการแพทย์ วางเป้ารายได้เติบโตต่อเนื่อง 30% สานต่อการเป็นหนึ่งใน World Medical Hub

August 26, 2025 / 0 Comments
read more

ไทยเบฟ x เนชั่นแนล จีโอฯ ทำสารคดียั่งยืนระดับโลก ใช้ทีมไทยร่วมผลิต เปิดตัวงาน SX2025

EcoVative

กลุ่มไทยเบฟ ร่วมโปรดักชันระดับโลก เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ผลิตสารคดีธีมยั่งยืนในไทย ใช้เวลายาว 3 ปี เปิดตัวครั้งแรกในงาน SX 2025   เจรมัย พิทักษ์วงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานมีเดีย แอนด์ อีเวนต์ บิสซิเนส บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มอมรินทร์ และ ซีอาเซียน (C ASEAN) ในเครือไทยเบฟ (ThaiBev) ผู้ผลิตและทำตลาดอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ระดับภูมิภาค ร่วมกับทีมผู้ผลิตสารคดี เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก (National Geographic) ผลิตสารคดีชุด ฟอลโลว์ เดอะ วอเตอร์ (FOLLOW THE WATER) ซึ่งถือเป็นการทำงานร่วมกันครั้งแรกระหว่างภาคเอกชนไทยและทีมงานสารคดีโปรดักชันระดับโลก   สำหรับโครงการสารคดี FOLLOW THE WATER ชุดดังกล่าว ทีมอมรินทร์ฯ จะเป็นหนึ่งในผู้ควบคุมการผลิต (Producer) ของฝั่งไทยเพื่อทำงานร่วมกับทีมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ตั้งแต่การวางเค้าโครงเรื่องราว (Story Teller) บทสารคดี (Script) ฯลฯ   โดยจะเปิดตัวโครงการฯ นี้เป็นครั้งแรกในงานมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน ถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2568  ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นี้     เจรมัย กล่าวว่า โครงการฯ ยังเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญในงานฯ ครั้งนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบอกเล่าเรื่องราวความยั่งยืนของโลกและมนุษย์ ผ่านเนื้อหา 2 ส่วน (Part) สำคัญ โดยในพาร์ตแรกเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวบันดาลใจเกี่ยวกับสายน้ำจากนักสำรวจของ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก   สำหรับเนื้อหาภาค1 เช่น ‘Memories of the River’, ‘The Music That Came with the Rain’, ‘Guardians of the Marsh’ เป็นต้น โดย ปาโบล อัลบาเรงกา (Pablo Albarenga) ช่างภาพสารคดี (Documentary photographer) และ แกบ เมย์ลา (Gab Mejla) ช่างภาพสายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Conservation Photographer)  และในพาร์ตที่สอง จะเป็นเรื่องราวในชื่อ ‘เอาเออร์ เซเลสเชิล เจอร์นี’ (OUR CELESTIAL JOURNEY) บอกเล่าเรื่องราวความเกี่ยวข้องและความสัมพันธ์ของท้องฟ้า   เจรมัย กล่าวต่อถึงแนวคิดโครงการฯ เกิดจากความตั้งใจร่วมกัน แนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอมรินทร์กรุ๊ป ซึ่งได้ร่วมผลิตสารคคีชุดต่างๆ มาโดยตลอด   “ที่ผ่านมาเรามักจะเห็นสารคดีที่ถูกผลิตโดยชาวต่างชาติ โดยจะเห็นคนไทยน้อยมาก ซึ่งทางแนทจีโอฯ SX และกลุ่มไทยเบฟมาคุยกัยในคอนเซปต์ก่อนว่าต้องการสร้างโอกาสให้คนไทยสร้างสารคดีระดับโลก ให้คนต่างชาติมาอ่าน มาดูคอนเทนต์จากการโปรดิวซ์ของคนไทยบ้าง” เจรมัย ขยายที่มาพร้อมเสริมว่า     เมื่อได้แนวทางแล้ว จากนั้นได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการกำหนดหัวข้อรายการต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อจัดทำธีม (Theme) ในชื่อชุดสารคดี FOLLOW THE WATER พร้อมขยายต่อไปยังจุดเชื่อมโยงทั้งแหล่งกำเนิดต้นทางสายน้ำ การสร้างเขื่อน ไปจนถึงการไหลออกสู่ทะเล ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม อย่างปัญหาขยะ เป็นต้น     เจรมัย กล่าวว่า สารคดีชุดนี้ยังใช้ทั้งนักทำสารคดีไทย ช่างภาพไทย นักสิ่งแวดล้อมไทย ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมตลอดการทำงานที่คาดว่าจะใช้ระยะเวลาราว 3 (2568-2571) ซึ่งได้เริ่มงานไปแล้วในบางส่วน และพร้อมจะเปิดตัวในงาน  SX2025 นี้   “หลังเปิดตัวโปรเจกต์ฯ ทางทีมงานมีแผนคัดหานักสำรวจสารคดีไทยร่วมโครงการนี้ ในแต่ละปีด้วย” เจรมัย กล่าว   สำหรับงบลงทุนโครงการฯ ยังไม่สามารถให้รายละเอียดที่ชัดเจนในขณะนี้ ด้วยเป็นโปรเจกต์ฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคสังคม สิ่งแวดล้อม และพร้อมมองหาองค์กร แบรนด์ เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนในระยะยาวพร้อมนำไปเผนแพร่ออกอากาศไปยังผู้รับชมได้ทั่วโลก ขณะที่ปัจจุบันการผลิตสารคดีต่อชิ้นของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ใช้งบลงทุนเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมริกา หรือมากกว่า 30 ล้านบาท และมีแบรนด์สินค้าระดับโลกหลากหลาย ร่วมให้การสนับสนุน (Sponcer) เช่นกัน       Alternate-X สรุปให้   กลุ่มไทยเบฟ ร่วมกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ผลิตสารคดียั่งยืนชุด FOLLOW THE WATER ใช้เวลากว่า 3 ปีในการถ่ายทำ โดยมีทีมไทยและต่างชาติร่วมกันสร้างสรรค์ โดยสารคดีชุดนี้ จะเปิดตัวครั้งแรกในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) เล่าเรื่องราวแรงบันดาลใจจากสายน้ำและท้องฟ้า ผ่านมุมมองนักสำรวจระดับโลก โปรเจกต์นี้เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้คนไทยก้าวสู่เวทีสารคดีระดับสากล                

August 26, 2025 / 0 Comments
read more

ราคาทองคำ พุ่งรับสัญญาณลดดอกเบี้ย หลังคำปราศรัย ‘พาวเวลล์’ ด้าน ‘YLG’ ชี้ก.ย.มีลุ้นขาขึ้น

BizKet

YLG ถอดรหัสคำปราศัย ‘พาวเวลล์’ การประชุม Jackson Hole สิ้นสุด บ่งชี้ทิศทางดอกเบี้ยเฟด มีลุ้นราคาระยะยาวทองคำเป็นขาขึ้น สิ้นปีมีสิทธิ์ทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีก​ รับธนาคารกลางทั่วโลกซื้อต่อเนื่อง   หลังการกล่าวปราศรัยครั้งสุดท้ายของ ‘เจอโรม พาวเวลล์’  (Jerome Powell) ในฐานะประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) จากการประชุมเศรษฐกิจ ‘แจ็กสัน โฮล’ ใน รัฐไวโอมิง สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ได้สิ้นสุดลง   โดยนักลงทุนต่างแสดงความยินดี ต่อการเปิดไฟเขียวให้ซื้อสินทรัพย์เสี่ยงได้ ซึ่งหวังว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย แต่มีนัยแฝงที่เขายังมองเห็นความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อที่รออยู่ข้างหน้า   ด้วย ‘พาวเวลล์’ ได้ให้คำใบ้ถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน แต่ยังไม่ตัดสินใจทำ โดยพยายามรักษาสมดุลระหว่างความเสี่ยงในตลาดงานที่เพิ่มขึ้นและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่   จากคำกล่าวสุนทรพจน์ของพาวเวลล์ ปัจจัยหนึ่งทำให้ตลาดมองว่าเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ที่จะส่งแรงหนุนเชิงบวกต่อราคาทองคำ แต่ก็ยังมีความผันผวนเพราะความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยและแรงกดดันเงินเฟ้อ YLG มองราคาทองกลับเป็นบวก   สอดคล้องกับ ‘พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า หลังการประชุมฯ ดังกล่าวพร้อมรับทราบทิศทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยมี 3 สิ่งที่ต้องจับตาเป็นพิเศษซึ่งจะกระทบต่อราคาสินทรัพย์การลงทุน คือ   อัตราเงินเฟ้อ ตลาดแรงงาน การทบทวนกรอบนโยบาย   โดยราคาทองคำ ยังต้องจับตาว่าประธานเฟด จะแสดงท่าทีกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อหรือตลาดแรงงานมากกว่ากัน เนื่องจากหากกังวลในภาวะเงินเฟ้อจากดัชนี PPI ที่เร่งตัวขึ้นมาในช่วงก่อนหน้า   “อาจทำให้ตลาดตีความว่าเฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย และเป็นปัจจัยกดดันทองคำ  แต่หากมีการแสดงความกังวลต่อตัวเลขการจ้างงาน (Non-Farm) ที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจน จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยเฟด และกลับมาเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำเช่นกัน” ‘พวรรณ์ กล่าว   ในขณะที่ ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้มีโอกาสกลับมาเป็นสัญญาณบวก เนื่องจากในท้ายที่สุดแล้ว ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดก็จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอยู่ดี   โดยในการประชุมเฟดในวันที่ 16 – 17 ก.ย.นี้ ตลาดเทน้ำหนักส่วนใหญ่ว่าจะปรับลด 0.25% และจะทำการลดดอกเบี้ยรวมได้ 2-3 ครั้งในปีนี้   ขณะที่ ‘วายแอลจี’ คาดการณ์ว่าในเดือนก.ย. อาจจะมีโอกาสเห็นราคาทองคำขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ที่ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์   ปัจจัยหนุนราคาทองคำ   นอกจากนี้ทองคำยังได้รับแรงสนับสนุนจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่เช่น UBS ได้ปรับเป้าหมายราคาทองคำเป็น 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของวายแอลจีที่ให้ไว้ที่ 3,600-3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ในขณะที่ Goldman Sachs ได้คงคาดการณ์ราคาทองคำที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงกลางปี 2569   ส่วนในระยะยาวยังมีกระแส De-Dollarization ลดทอนบทบาทดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของ BRICS มาสนับสนุนราคาทองคำ โดย IMF รายงานว่า สัดส่วนของสกุลเงินดอลลาร์ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ลดลงเหลือ 57.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2537  สวนทางกับเทรนด์การเข้าซื้อทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   หลังจาก World Gold Council รายงานว่า ธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 15 ติดต่อกัน  โดยในปี 2567 มีปริมาณการเข้าซื้อทองคำระดับ 1,045 ตัน และถือเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่ความต้องการทองคำสูงเกิน 1,000 ตัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยสิบปีที่ 473 ตัน กรอบราคาทองคำในไทย   สำหรับการเคลื่อนไหวของทองคำในช่วงระยะสั้นนี้วายแอลจี มองกรอบการเคลื่อนไหวที่ 3,311-3,280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากสามารถผ่านช่วงการประชุมแจ็กสัน โฮล ไปแล้วยังสามารถยืนอยู่ได้ จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกครั้งไปทดสอบแนวต้าน 3,352-3,375 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ส่วนราคาทองคำในประเทศมองเคลื่อนไหวในกรอบ 50,700-52,200 บาทต่อบาททองคำ   ส่วนนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการสะสมทอง และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย   สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold โทร. 0-2678-9888 #2   Alternate-X สรุปให้   การประชุม Jackson Hole สิ้นสุดลง พร้อมคำปราศรัยสุดท้ายของ “เจอโรม พาวเวลล์” ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย กดดันเศรษฐกิจแต่หนุนทองคำ ขณะที่ YLG มองเดือนกันยายน ทองคำมีโอกาสขาขึ้นแตะ ATH สิ้นปีกหจากความต้องการธนาคารกลางทั่วโลกยังซื้อทองคำต่อเนื่อง หนุนความต้องการสูง นักลงทุนรายย่อยสามารถสะสมทองระยะยาวผ่าน Get Gold by YLG ด้วยเงินเพียง 100 บาท

August 25, 2025 / 0 Comments
read more

‘เจปัง’ ไอติมย่างเนย พลิกไอเดียธุรกิจคนรุ่นใหม่ สู่โมเดลแฟรนไชส์ยั่งยืน

BizKet,  EcoVative,  Zcreat

สกู๊ปไอติมหวานเย็นฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมขนมปังย่างเนยหอมกรุ่น ที่กัดเข้าไปโดนอึ้งแรกเจอความเข้มข้นของรสชาติเนื้อไอศครีม ต่อด้วยอึ้งที่สองของความเข้ากันสุดๆ กับขนมปังกรอบนอกนุ่มในที่มาห่อเจ้าไอศครีม ได้แบบลงตัว   จาก ‘ฟีลลิ่ง’ข้างต้น อาจไม่เกินจริงเลยสำหรับสาย ‘เบเกอรี่ ไอศรีม เลิฟเวอร์’ ทั้งหลาย เมื่อลองได้มีเอ็กซพีเรียนซ์กับ ‘เจปัง’ (J-Pang) แบรนด์ร้านไอติมย่างเนย เจ้าดังในย่านวังหลัง ที่ตอนนี้ธุรกิจขยายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 35 สาขา ภายใต้ฝีมือ ‘โดม-พีรล์ รัตนวชิรินทร์’  ผู้บริหารรุ่นใหม่วัย 33 ปี   ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ค เจปัง ไอติมย่างเนย หอมกรอบ โคตรอร่อย   ‘เจปัง’ ออกสตาร์ทจากจุดยั่งยืน   ‘โดม’ เปิดร้านเจปัง สาขาวังหลัง พร้อมบอกเล่าเส้นทางธุรกิจ เจปัง ไอติมย่างเนย กับจุดเริ่มต้นธุรกิจที่น่าสนใจ ทั้งการลองผิดลองถูกกับชื่อแบรนด์ในยุคแรก ๆ ก่อนเปิดท้ายด้วยแผนขยายธุรกิจแตก Fighting Brand ใหม่เพื่อออกมาแข่งขันในตลาดไอศรีมเพิ่มอีก!!   สำหรับ จุดเริ่มต้น ‘เจปัง’ ไอติมย่างเนย นั้นต้องย้อนกลับไปครั้งแรกเมื่อราว 5-6 ปีก่อน หรือราวๆปี 2562 ส่วนหนึ่งมาจากแนวคิดการขยายธุรกิจใหม่จากกิจการหลักของครอบครัว โรงงานรับจ้างผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ และ ยูนิฟอร์ม เครื่องแบบให้กับองค์กรธุรกิจ ที่อยู่ในภาวะชะลอตัว   “ในช่วงจังหวะนั้นคุณพ่อ เริ่มมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อความยั่งยืน หรือ ‘ESG’ และได้เข้าไปคลุกคลีกับภาคการเกษตรผู้ปลูกอ้อย ออร์กานิค และอยากต่อยอดเอาพืชไร่กลุ่มนี้มาใช้เป็นวัตุดิบน้ำตาลอ้อย ออร์กานิคเพื่อทำไอศครีม” โดม เล่าถึงที่มา   พร้อมขยายต่อ หลังจากได้แนวคิดธุรกิจที่ต่อยอดระบบเศรษฐกิจยั่งยืนแล้ว จากนั้นจึงเข้าสู่การกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมสูตรลับเฉพาะ เพื่อให้สมกับคุณค่าของวัตถุดิบตลอดกระบวนการเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตที่ไร้สารเคมี   ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ค เจปัง ไอติมย่างเนย หอมกรอบ โคตรอร่อย ทบทวนข้อผิดพลาดสร้างแบรนด์ใหม่   เมื่อได้ผลิตภัณฑ์และสูตรตามคิดไว้แล้ว สเต็ปต่อไป คือ การตั้งชื่อแบรนด์สินค้าเพื่อเดบิวต์เข้าสู่วงการไอศครีม ในตอนนั้น โดม บอกว่า หลังได้ตัวสินค้าแล้วใช้ชื่อแรกคือ ‘เป่า-ยิง-ฉุบ’ เพื่อทำตลาดเฉพาะตัวไอศกรีมเท่านั้น   แต่เมื่อทำตลาดไปสักระยะแล้วพบว่า ‘เปา-ยิง-ฉุบ’ ไม่ได้การตอบรับเท่าที่ควร ด้วยพบข้อผิดพลาดสำคัญ ทั้ง แบรนด์, การทำตลาด และ ราคาสินค้าที่ไม่สอดคล้องกัน   ‘โดม’ บอกว่า ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่ทำให้เขาต้องกลับไปหมกหมุ่นเพื่อศึกษาและทบทวนการตลาดใหม่ ก่อนตัดสินใจรีแบรนดิ้งเป็น ‘เจปัง’ (J-Pang) โดยเอาคอนเซปต์มาครอบภายใต้ 3 คีย์เวิร์ดหลัก คือ ‘สร้างสรรค์’ ‘สนุก’ และ ‘จริงใจ’ ซึ่งมาพร้อมกับโลโก้แบรนด์ที่สะท้อนความเป็น Japanese Icon ให้ชัดเจนขึ้น   “การเลือกแนวคิดความเป็นญี่ปุ่นมาใช้กับเจปัง ยังเพื่อสื่อถึงความคราฟต์ พิถีพิถัน ของรสชาติ และสไตล์ ผ่านเรื่องราวของไอศครีมที่มาจากวัตถุดิบออร์กานิค” เขาให้รายละเอียด   ปัจจุบัน ‘เจปัง ไอติมย่างเนย’ เปิดให้บริการมากว่า 5 ปี วางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นร้านไอศครีมระดับแมสพรีเมี่ยม ที่ผู้บริโภคเข้าถึงง่ายด้วยราคาในคุณภาพรสชาติระดับบน หลังจากควานหา Positioning แบรนด์อย่างหนัก ด้วยในตอนนั้น มีแบรนด์ไอศกรีมรุ่นพี่ๆ ที่น่าสนใจอยู่ในตลาดก่อนหน้า ทั้ง  สเวนเซ่นส์ ที่ครองตลาดไอศรีมระดับบน หรือ ไอศรีมสไตล์โฮมเมด จะเป็นของแบรนด์ ‘Umm milk’ อืมม์..มิลค์   จากจุดนั้นเองที่ทำให้ เจปัง ลองมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ กระทั่งพบ อินไซต์ความนิยมการบริโภคไอศครีมกับขนมปังของคนไทย ที่มีอยู่มาช้านาน และต่อยอดสู่โปรดักส์ไอศครีมเสิร์ฟพร้อมขนมปังย่างเนย ภายใต้แบรนด์ ‘เจ-ปัง’ พร้อมปักหมุดเปิดสาขาแรกในย่านวังหลัง ออกมาได้ในที่สุด   โดม เสริมเกร็ดธุรกิจอีกว่า การที่แบรนด์ ‘เจปัง’ มีประโยคต่อท้ายว่า ‘ไอติมย่างเนย’ ยังเป็นกิมมิคในการเปิดตัวแบรนด์ ด้วยช่วงนั้นในตลาดอาหารเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกลุ่มบุเฟต์ปิ้งย่าง มักลงท้ายชื่อร้านว่าย่างเนย ซึ่งเจปัง มองเห็นเป็นความสนุกและอยากให้ติดตลาด จึงเติมท้ายชื่อแบรนด์เข้าไป ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่จริงๆ   “เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเจปัง ไอติมย่างเนย ที่เมื่อลูกค้ามารับประทานที่ร้าน ยังจะเห็นกระบวนการทำไอติมที่ครบทุกสัมผัสทั้งดูสี ฟังเสียงการย่าง ก่อนปิดท้ายรสชาติความอร่อย” โดม ขยายภาพแนวคิดแบรนด์ ให้เห็นชัดขึ้น   ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ค เจปัง ไอติมย่างเนย หอมกรอบ โคตรอร่อย เส้นทางแฟรนไชส์ สู่ร้อยล้าน   จากจุดเริ่มต้นแบรนด์ ที่แจ้งเกิดในย่านวังหลัง ก่อนธุรกิจจะขยายสาขาเพิ่มในเวลาต่อมา ทั้งบนทำเลพระราม2 การเข้าไปในศูนย์การค้าหลายแห่ง ซึ่งในช่วงนั้น มีผู้สนใจหลายราย ได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขอซื้อแบรนด์ธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ เป็นจำนวนมาก   แต่ โดม บอกว่า หลังจากหารือร่วมกับทีมผู้ก่อตั้งธุรกิจแล้ว ต่างมีความเห็นร่วมกันว่า ‘ไม่ขาย’ นั่นไม่ใช่เพราะว่าเจปังจะดังแล้วหยิ่ง แต่ด้วยเหตุผลในตอนนั้นเป็นจังหวะที่เขาและทีมฯยังไม่มีความพร้อมและไม่มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจแฟรนไชส์ใดๆ มาก่อน   จากจุดนั้นเอง ที่ผลักดันให้ตัวเขา เข้าไปเรียนรู้ระบบและขั้นตอนทางธุรกิจแฟรนไชส์ต่างๆ กับหน่วยงานรัฐที่สนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในด้านนี้โดยตรง  เพื่อเตรียมขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์อย่างเต็มตัว ถึงปัจจุบัน เจปัง ไอติมย่างเนย เปิดให้บริการทั้งหมด 35 สาขา แบ่งสัดส่วนเป็นแฟรนไชส์ 20 สาขา และลงทุนเอง 15 สาขา   โดยมี 3 รูปแบบแฟรนไชส์ เจ-ปัง ไอติมย่างเนย สำหรับนักลงทุนที่สนใจ คือ   ร้านขนาดใหญ่ (L Size) ใช้งบลงทุนเริ่มต้น 9 แสนบาท โมเดลนี้ จะให้บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เมนูต่างๆ ภายใต้คอนเซปต์คาเฟ่ มี่ที่นั่งให้บริการลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้าน ปัจจุบัน มีสาขาต้นแบบ (Flagship Store) คือ เจ-ปัง ไอติมย่างเนย สาขาวังหลัง   ร้านขนาดกลาง (M Size) ใช้งบลงทุนเริ่มต้น 2 แสนบาท โมเดลนี้ จะให้บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เมนูต่างๆ ภายใต้คอนเซปต์คาเฟ่ มี่ที่นั่งให้บริการลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้าน แต่มีขนาดเล็กลงกว่าไซส์แอล   ร้านขนาดเล็ก (S Size) ใช้งบลงทุน 9 หมื่นบาท โมเดลนี้ จะให้บริการภายใต้แนวคิดคาเฟ่ ทู โก (café to go) ในรูปแบบคีออสต์ (Kios) ได้ทั้งแบบตั้งวางในพื้นที่ศูนย์อาหาร หรือ ตั้งเป็นมุมของว่าง ในร้านอาหารต่างๆในคอนเซปต์เดียวกัน   เจปัง จะไปทั่วไทย   โดม บอกแผน ในปี2568 เจปัง ไอติมย่างเนย วางเป้าหมายขยายธุรกิจร้านสาขาได้ไม่ต่ำกว่า 100 แห่งและจะไปทั่วประเทศ พร้อมยอดขายอยู่ที่ 100 ล้านบาท   “เป้าหมายดังกล่าว เป็นความตั้งใจในการทำธุรกิจของเจปังฯ ในปีนี้ แต่จากภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมที่ชะลอตัว  อาจทำให้ต้องทบทวนแผนอีกครั้ง”    อย่างไรก็ตาม ต่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้นั้น โดม บอกว่า จะใช้กลยุทธ์ความร่วมมือระหว่างพันธมิตรท้องถิ่นร่วมเป็นตัวแทนกระจายสินค้า (Distribution Channal) ในหัวเมืองจังหวัดใหญ่ อาทิ เชียงใหม่, หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา, สุราษฎร์ธานี และ ขอนแก่น เพื่อกระจายสินค้าแบรนด์เจปังฯ ออกสู่ตลาดทั่วประเทศ ได้ในอนาคต   พร้อมวางเป้าหมาย ให้แต่ละจังหวัดมี1 ตัวแทนก็จะสามารถทำให้เจปังฯ ขยายธุรกิจได้ครบ100 จุดได้ตามที่ตั้งใจไว้  โดยปัจจุบันมีสัดส่วนสาขาร้านไซส์เอส ราว 95% และอีก 5 % เป็นสาขาร้านไซส์เอ็ม และ ไซส์แอล รวมกัน   ความท้าทาย ไอศกรีมสายคราฟต์   โดม กล่าวต่อว่า หลังจากเจปัง ดำเนินธุรกิจมาถึงในวันนี้ พบว่ายังต้องเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับตลาดและผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากการเข้ามาในธุรกิจนี้ ซึ่งเป็นจุดยากของเจปังฯ  ที่แม้ว่าจะมีจุดเด่นด้านสินค้าและกลยุทธ์ราคา แต่ต้องเจอกับความท้าทายของผู้บริโภค !!   ด้วยยิ่งเจปังฯ ขายดีมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงจำนวนคิวของลูกค้าอาจจะต้องต่อคิวรอนานขึ้น…และต้องวัด (ใจ) กับผู้บริโภคว่า จะยอมกลับมาซ้ำอีกหรือไม่?!?   จากจุดนี้ ทำให้เจปังฯ ต้องวางแผนเพื่อหากลยุทธ์ใหม่ๆ ผ่านโปรโมชั่นต่างๆ มารับมือกับชาเลนจ์ลูกค้า เช่นกัน ด้วยหลังจากที่ลูกค้าได้ทดลองต่อคิวซื้อสินค้าในครั้งแรกแล้ว และหากติดใจจะยอมกลับมารอคิวซ้ำอีกครั้งในภายหลังเพื่อแลกกับความคุ้มค่าของเงินที่ต้องจ่ายไปให้กับประสบการณ์ความอร่อย ที่แม้ว่าจะรอนาน (ในบางสาขา)   พร้อมกันนี้ โดม ยังให้มุมมองการทำธุรกิจในฐานะผู้บริหารคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้าในตลาดอาหารและเครื่องดื่ม ว่า   “ในตอนนี้ทุกแบรนด์ร้านอาหารเครื่องดื่ม ต่างแข่งขันกันสูง ถ้าหากเริ่มทำอะไรที่กว้างๆแล้วมันจะไม่สุด การที่ใครจะเกิดขึ้นมาได้ต้องแตกต่างเท่านั้น และจะแตกต่างอย่างไรต้องใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป”   ‘โดม’ ปิดท้ายบทสรุปอัตลักษณ์แบรนด์ เจปัง ไอติมย่างเนย ที่แตกต่าง และที่สำคัญคือการเป็นธุรกิจร้านไอศกรีมที่ยั่งยืนมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น และยังไม่หยุดกับแค่ธุรกิจนี้แบรนด์เดียวอีกต่างหาก ด้วยในตอนนี้ ‘โดม’ ยังเตรียมเปิดตัวธุรกิจไอศกรีมแบรนด์ใหม่ ‘ไม่อร่อย ให้ต่อย’ พร้อมวางตำแหน่งให้เป็น Fighting Brand ในตลาดกลุ่มไอศรีม สตรีท ฟู้ด   ขณะที่ แบรนด์นี้จะเตรียมมาท้าทายระบบ ให้ผู้บริโภคมาต่อยได้จริงหากไม่อร่อย อีกด้วย!!      Alternate-X สรุปให้     ‘เจ-ปัง ไอติมย่างเนย’ แบรนด์ขนมหวานสุดฮิตจากย่านวังหลัง สร้างจุดขายด้วยไอศกรีมเสิร์ฟคู่ขนมปังย่างเนย ภายใต้ฝีมือ ‘โดม-พีรล์ รัตนวชิรินทร์’ ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ต่อยอดธุรกิจการ์เมนต์ของครอบครัว สู่ตลาดอาหารและเครื่องดื่ม จากการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ สู่เอกลักษณ์ญี่ปุ่นที่ผสานความสนุกและคุณภาพ ด้วยวัตถุดิบออร์แกนิก ปัจจุบันมี 35 สาขาทั่วประเทศ ในรูปแบบแฟรนไชส์และลงทุนเอง พร้อมโมเดลร้านหลายขนาด ในปีนี้ ตั้งเป้าขยาย 100 สาขา สู่แบรนด์ไอศกรีมระดับแมสพรีเมียมและแฟรนไชส์ทั่วไทย                  

August 23, 2025 / 0 Comments
read more

‘น้ำปลาผง’ ลดโซเดียม แก้โจทย์ ‘คนรุ่นใหม่’ ไม่กินเค็ม แผนน้ำปลาพิไชย ขยับใหญ่ธุรกิจ 88 ปี

BizKet,  EcoVative

น้ำปลาพิไชย เจ้าของแบรนด์น้ำปลาแท้หอยนางรม เครื่องปรุงรสที่อยู่คู่ครัวไทยมานานร่วม 88 ปี กับการกลับมาทวงแชมป์ ‘ท็อปโฟร์’ หนึ่งในสี่แบรนด์แรกเจ้าตลาดน้ำปลาในไทยกว่าหมื่นล้านบาท พร้อมพาธุรกิจไปสู่ยอดขายพันล้านบาทในปี 2570   พันธ์ชนะ รัตนประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำปลาพิไชย จำกัด ผู้ผลิตน้ำปลาพิไชย กล่าวว่าในฐานะผู้บริหารธุรกิจรุ่น 3 ซึ่งเข้าสู่ยุคการใช้นวัตกรรมผลิตภัณฑ์มาทำตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ต่อยอดจากในยุคแรกรุ่นคุณปู่และคุณพ่อ ซึ่งเป็นช่วงการก่อตั้งและวางรากฐานกิจการ จากการนำใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรทันสมัย มาใช้เป็นจุดเด่นในการผลิตสินค้า เพื่อแข่งขันในตลาดยุคนั้น   “ในช่วงยี่สิบปีก่อนน้ำปลาพิชัย ซึ่งมีสินค้าในพอร์ตอย่างแบรนด์น้ำปลาแท้ตราหอยนางรม เป็นผู้เล่นหลักและติดอันดับหนึ่งในสี่ของเจ้าตลาดมาโดยตลอด และได้หยุดพักการทำตลาดไปช่วงหนึ่งทำให้แบรนด์ตกไปอยู่อันดับที่ 5 ในตลาด”   จากสถานการรณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัทฯ ต้องหันกลับมาโฟกัสการทำตลาดผลิตภัณฑ์ในแบบที่เรียกว่ายกเครื่องใหม่เกือบหมดทั้ง การออกนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดทั้งในกลุ่มผู้บริโภคค้าปลีก , กลุ่มธุรกิจต่อธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหาร ไปจนถึงการทำโปรโมชั่นและกิจกรรมการการตลาดเพื่อสื่อสารแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ทั้งในช่องทางออนไลน์ และ ออนกราวนด์ ให้ครอบคลุม     เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่กินน้ำปลา     ต่อการกลับมาทำตลาดเชิงรุกในรอบนี้ของน้ำปลาพิไชยในครั้งนี้  ยังเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ให้เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเจนเนอเรชั่นซี (Z Generation) ให้ได้มากขึ้น   หลังพบผลสำรวจน่าสนใจที่ส่งแรงกระเพื่อมในตลาดน้ำปลาครั้งใหญ่ ข้อมูลระบุคนรุ่นใหม่เจนฯซีไม่นิยมกินน้ำปลา ด้วยเหตุผลเป็นซอสปรุงรสที่มีกลิ่น และ มีความเค็ม!!   จาก Pain Point ดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่ทำให้บริษัทฯ มุ่งให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่องภายใต้การบริหารของ ‘พันธ์ชนะ’     ล่าสุด บริษัทฯ เปิดตัวสินค้านวัตกรรมน้ำปลาผง ภายใต้แบรนด์น้ำปลาแท้หอยนางรม พร้อมวางแผนทำตลาดค้าปลีกในกลุ่มผู้บริโภค อย่างเป็นทางการราวปลายปี2568 หรือในต้นปี2569   โดยขณะนี้อยู่ระหว่างกำหนดราคาขายปลีกสินค้าให้ชัดเจนก่อน ด้วยจะเป็นสินค้าน้ำปลาผงในรูปแบบบรรจุ 10 ซองในแพ็คเกจหนึ่งกล่อง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการนำไปปรุงรสอาหาร รองรับกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย อยู่อาศัยในคอนโด หรือ ต้องการพกติดกระเป๋าเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ทั้งในและต่างประเทศ   “ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ทำตลาดน้ำปลาผงพร้อมจัดส่งให้ในอุตสาหกรรมอาหาร ฟู้ดเซอร์วิส ต่างๆ อาทิ โรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โรงงานผลิตอาหารต่างๆ ด้วยเป็นวัตถุดิบเครื่องปรุงให้รสชาติอูมามิ มีความกลมกล่อมเมื่อนำไปทำอาหารคาวแบบแห้งได้อย่างดี” พันธ์ชนะ กล่าวพร้อมเสริมว่า   “น้ำปลาผงดังกล่าว จะยังตอบโจทย์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ที่ลดทั้งกลิ่นและความเค็ม ด้วยใช้วัตถุดิบดิบหลักในการผลิตเดียวกับน้ำปลาแท้หอยนางรม ไลท์ สูตรลดโซเดียม 30% อีกหนึ่งสินค้านวัตกรรมของบริษัทฯ ที่ได้การตอบรับดีในตลาด”   พันธ์ชนะ บอกว่า ในช่วงที่ผ่านมายอดขายหลักน้ำปลาผง มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศ ธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) 20% และ บริการธุรกิจอาหาร (Food Service) 80%   ซึ่งอย่างหลังบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาร่วมเป็นพันธมิตรนำผลิตภัณฑ์เข้าไปนำเสนอให้กับ 2 ผู้ให้บริการอาหารรายใหญ่ของไทย ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป และ กลุ่มไทยเบฟ ฟู้ด  รวมถึงการทำตลาดส่งออกไปต่างประเทศเพิ่ม       กลยุทธ์ออกสินค้าใหม่เพิ่มยอดขาย     นอกจากนี้ น้ำปลาพิไชย  ยังเตรียมแผนพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดภายใต้แบรนด์น้ำปลาแท้หอยนางรมอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2569 จะมีอีกราว 2-3 สินค้ารายการใหม่     โดยนอกจากจะมีสินค้าพระเอกน้ำปลาผง แล้ว บริษัทฯ ยังขยายไลน์สินค้าใหม่ในกลุ่มกะปิ ออกมาเป็นครั้งแรก ด้วยเช่นกัน รวมถึงสินค้าน้ำจิ้มซีฟู้ด ภายใต้แบรนด์น้ำปลาแท้หอยนางรม ออกมาทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น นอกเหนือจากก่อนหน้าที่สินค้าพริกน้ำปลาบรรจุซองแบรนด์น้ำปลาแท้หอยนางรม พัฒนาเพื่อทำตลาดเป็นรายแรกและได้การตอบรับอย่างสูงในตลาดกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร (Food Service) และในช่องทางร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ ที่จำหน่ายอาหารพร้อมทานแช่แข็ง   “น้ำจิ้มซีฟู้ด จะเป็นพระเอกใหม่ในวงการอาหารโลก ที่ต่อจากน้ำจิ้มไก่” พันธ์ชนะ กล่าว   ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสินค้าในพอร์ตทั้งหมดเกือบ 100 รายการ (SKUs) แบ่งออกเป็นกลุ่มสินค้าราว 10 ชนิด อาทิ น้ำปลากลุ่มพรีเมียม เซ็กเมนต์ น้ำปลาไลท์ (ลดโซเดียม), น้ำปลาซีเลคเต็ด (อเนกประสงค์ รสกลมกล่อม), น้ำจิ้มซีฟู้ด, กะปิพรีเมียม, ซอสกระเพรา, ซอสต้มยำ และผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอื่น ๆ     สำหรับการกำหนดราคาสินค้ากลุ่มน้ำปลาพิไชยในการทำตลาด อาทิ น้ำปลาแท้ตราหอยนางรมขวดแดง วางราคาอยู่ที่ 30++ บาท ขนาดบรรจุขวด 700 มล. น้ำปลาแท้ตราหอยนางรมสีทอง วางราคา 43 บาท ขนาดบรรจุขวด 700 มล. น้ำปลาแท้ตราหอยนางรม ไลท์ และ ซีเล็คเต็ด วางราคา 59 บาท ขนาดบรรจุ 300 มล.   พันธ์ชนะ เสริมว่าสินค้าน้ำปลา จัดเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ต้นทุนสูงตลอดทั้งกระบวนการผลิต โดยเฉพาะค่าแรงที่ปรับขึ้นทุกปี คิดเป็นสัดส่วนราว3% ของต้นทุน ส่วนราคาปลาที่นำมาใช้หมักทำน้ำปลานั้นก็มีราคาปรับขึ้นทุกปีเช่นกัน ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 15 บาทต่อกิโลกรัม   พร้อมเสริมว่า “ในอุตสาหกรรมน้ำปลา คุณพ่อมักพูดเสมอว่าน้ำปลาเป็นสินค้าที่ถูกที่สุดในโลกแล้ว ที่เริ่มต้นจากซื้อปลามาหมักใช้เวลา12-18 เดือน นำออกไปขายในราคา 20-30 บาท ซึ่งผู้บริโภคจะใช้ขวดหนึ่งราวๆ  1 เดือน”   ดังนั้นการจะขึ้นราคาสินค้าจึงยังไม่ใช่คำตอบของการทำตลาด แต่การพัฒนาสินค้าให้มีนวัตกรรมมาเพิ่มมูลค่าพร้อมนำเสนอราคาใหม่ มาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน จะตอบโจทย์ทั้งธุรกิจและการแข่งขันในตลาด ได้มากกว่า     “ท่ามกลางต้นทุนและสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้ การจะแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งมาให้ได้แค่ 0.5% เป็นสิ่งที่ยากมากๆ แต่บริษัทฯ ยังไม่มีแผนปรับราคาสินค้าแต่อย่างใด แต่ะมุ่งไปจัดกิจกรรมทางการตลาดเชิงรุกมากขึ้น” พันธ์ชนะ กล่าว     จากแผนธุรกิจดังกล่าว บริษัทฯ ยังได้วางแผนใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 30-40 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตและลงทุนบ่อหมักปลาเพิ่มอีก 5,000 บ่อ พร้อมขยายเพิ่มอีก 20 เครื่องจักรใหม่ เพื่อทำตลาดน้ำปลาเชิงรุก นับจากนี้ไป     2 ปีหน้าสู่ยอดขายพันล้านบาท     ขณะเดียวกัน ในโอกาสฉลองครบรอบ 88ปี ในปี2568 บริษัทฯ ยังจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแคมเปญ ‘ลดยกแบรนด์’ ในราคาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งในช่องทางโมเดิร์นเทรด และทราดิชันแนลเทรด ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา  ซึ่งมีส่วนทำให้ยอดขายในประเทศเติบโตกว่า 22% พร้อมเตรียมจัดแคมเปญฯ ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้ ในทุกช่องทางเช่นเดียวกับครึ่งปีแรก   จากแนวทางดังกล่าว บริษัทวางเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในสี่ (Top4) ผู้นำตลาดน้ำปลา และมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ในปี 2570 โดยในปี  2568 คาดมีรายได้ราว 680 ล้านบาท จากในปี 2567 อยู่ที่ 600 ล้านบาท     โดยวางสัดส่วนรายได้ 70% จากตลาดในประเทศ และ 30% จากการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศเป้าหมาย ได้แก่     อินโดนีเซีย แคนาดา ยุโรป ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์   ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ในประเทศอยู่ที่ 60% และส่งออกต่างประเทศอยู่ที่ 40%   ตลาดน้ำปลา โค้งท้ายปี68     พันธ์ชนะ กล่าวถึงแผนธุรกิจครึ่งหลังปี 2568 บริษัทฯ ยังใช้กลยุทธ์ใหม่มุ่งสร้างประสบการณ์แบรนด์ครบวงจร และเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะน้ำปลาเพื่อสุขภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า(Value added)และยอดขายในประเทศทำให้ในครึ่งแรกของปี 2568 เติบโตได้กว่า 22% ส่วนตลาดอุตสาหกรรมน้ำปลาในประเทศเติบโตเพียง 5%   โดยยอดขายเติบโตในช่องทางโมเดิร์นเทรด มากกว่า 27% เนื่องจากได้ขยายช่องทางการขายให้ครอบคลุมมากขึ้น  ส่วนยอดขายช่องทางออนไลน์ ทั้งใน TikTok, Shopee ,Lazada และ facebook ยอดขายโตก้าวกระโดดขยายตัวกว่า 30% ส่วนช่องทางมทราดิชันแนลเทรด ยังคงที่แต่มีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้น   นอกจากนี้ ยอดขายของบริษัท ยังเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์  โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ พรีเมียม เศ็กเมนต์ (Premium Segment) มียอดขายเติบโตมากที่สุด 30%  ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ สแตนดาร์ด เซ็กเมนต์ (Standard Segment) เติบโต 14% และกลุ่มผลิตภัณฑ์อีโคโนมี เซ็กเมนต์ (Economy Segment) ยังเป็นกลุ่มที่มีขนาดเล็กอยู่ แต่เติบโตมากกว่า 160%   สำหรับการส่งออกไปต่างประเทศช่วงครั้งปีแรกนั้นยอดขายค่อนข้างคงที่ เนื่องจากได้รับผลกระทบ ช่วงสหรัฐอเมริกาประกาศอัตราภาษีนำเข้าอัตราใหม่  จึงทำให้ลูกค้าต่างประเทศชะลอดูความชัดเจน แต่ปัจจุบันได้ดำเนินการสั่งซื้อเป็นปกติแล้ว       คนไทยกินน้ำปลาเฉลี่ย 5.6 ลิตรต่อปี     พันธ์ชนะ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ยังมองเห็นโอกาสทางทางธุรกิจในอุตสาหกรรมตลาดน้ำปลาในไทย ที่ปัจจุบันคาดมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท และยังแข่งขันสูงมาก โดยในครึ่งแรกของปี2568 มีอัตราเติบโตอยู่ที่ 5%เทียบกับครึ่งแรกของปี2567 ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ลดลง  สาเหตุหลักมาจากกลุ่มซอสและเครื่องปรุงอาหารที่เข้ามาแข่งขันและมีการบริโภคอยู่ในระดับสูง โดยการเติบโตหลักมาจาก   ช่องทางห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เติบโต 11% และมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น ช่องทางห้างค้าปลีกเดิม (Traditional Trade) เติบโตลดลง 3%     “จากภาพรวมและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้ยังพบว่าตลาดน้ำปลาต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากที่เคยเติบโต7%” พันธ์ชนะ กล่าว     สำหรับพฤติกรรมการบริโภค พบว่า ประชากรไทยมีอัตราการบริโภคน้ำปลาสูง โดยเฉลี่ยบริโภคน้ำปลา ประมาณ 15 มิลลิลิตรต่อคนต่อวัน หรือคิดเป็น 5–6 ลิตรต่อคนต่อปี มีผู้เล่นในตลาดน้ำปลา 5 แบรนด์หลักอันดับแรก คือ ทิพรส, ปลาหมึก, เมกาเชฟ , เป่าฮื้อ และ หอยนางรม   ขณะที่ตลาดต่างประเทศ  จากข้อมูลสถิติการค้าระหว่างประเทศของกรมศุลกากร ระบุว่า ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำปลาที่มีความสำคัญในตลาดโลก และครึ่งแรกของปีนี้เทียบกับครึ่งแรกของปีก่อนหน้า มีอัตราเติบโต 1.3% โดยประเทศคู่ค้าหลัก   อันดับ 1 สหรัฐอเมริกาเติบโต 7.8% อันดับ 2 คือ สปป.ลาว เติบโต 23.6% อันดับ 3 เปลี่ยนมาเป็นญี่ปุ่น เติบโต 22.7% อันดับ 4 และ 5 ยังคงเดิม คือ ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์ ตามลำดับ แต่ทั้ง 2 ประเทศมีการเติบโตที่ลดลง     Alternate-X สรุปให้   น้ำปลาพิไชย ฉลองครบ 88 ปี หันกลับมารุกตลาดน้ำปลาอีกครั้ง แก้ Pain Point คนรุ่นใหม่ที่ไม่นิยมกินน้ำปลาเพราะกลิ่นแรงและเค็ม เปิดตัวนวัตกรรม ‘น้ำปลาผง’ ลดโซเดียม พกพาง่าย ใช้งานสะดวก เสริมพอร์ตสินค้าครอบคลุมทั้งน้ำปลา กะปิ และน้ำจิ้มซีฟู้ด ตั้งเป้ารายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 พร้อมขยายตลาดส่งออก    

August 22, 2025 / 0 Comments
read more

เมกาบางนา เปิดพื้นที่ ‘สปอร์ต อีเวนต์ มาร์เก็ตติง’ ดึงนิวเจนฯ สายช้อปยุคใหม่แข็งแรง

PRnounce

เมกาบางนา เปิดสนามบาสฯ กลางศูนย์การค้า จัดศึกบาสเกตบอล 3X3 ระดับนานาชาติ สร้างพื้นที่แห่งการช้อปปิงคู่กิจกรรมแอคทีฟ รับเทรนด์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่   วรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา กล่าวว่า ศูนย์การค้าเมกาบางนา ในฐานะแหล่งช้อปปิ้งใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก วางแนวคิด ‘YOUR EVERYDAY MEETING PLACE’ พร้อมทำตลาดผ่านกิจกรรม เพิ่มประสบการณ์การใช้ชีวิตให้ทุกๆ วันมีความสุขมากยิ่งขึ้น  เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่อย่างต่อเนื่อง   ล่าสุดศูนย์ฯ ร่วมกับบริษัท วิคตอรี่ พาร์ทเนอร์ส จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์การจัดแข่งขันอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดสนามบาสเกตบอลประเภท 3 คน กลางศูนย์การค้า พร้อมจัดการแข่งขันบาสเกตบอลสามคนระดับนานาชาติ “3X3.EXE PREMIER THAILAND 2025” ตั้งแต่วันที่ 9 – 31 สิงหาคม 2568 ณ ฟู้ดวอล์ค พลาซ่า ศูนย์การค้าเมกาบางนา ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2   “กิจกรรมฯ นี้ยังตอกย้ำบทบาทของเมกาบางนาในฐานะพื้นที่ส่งเสริม ACTIVE HEALTHY LIFESTYLE ให้เกิดขึ้นได้จริงในชีวิตประจำวันสำหรับทุกคอมมูนิตี้” วรรณวิมล กล่าวพร้อมเสริมว่า   สำหรับการจัดการแข่งขันบาสเกตบอล 3 คนในครั้งนี้ ยังเพื่อให้เป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนได้พัฒนาศักยภาพ ด้านกีฬา และเชื่อมโยงชุมชนใกล้เคียง ปลูกฝังการรักการออกกำลังกาย และสร้างเสริมสุขภาพที่ดี (ACTIVE HEALTHY LIFESTYLE) ตามแนวคิดของเมกาบางนา ‘YOUR EVERYDAY MEETING PLACE’ สำหรับทุกไลฟ์สไตล์ของคนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง”   โดยเมกาบางนาได้สร้างสรรค์กิจกรรมที่เชื่อมโยงและเติบโตไปพร้อมกับชุมชนรอบข้าง ผ่านการส่งเสริมสุขภาพและทักษะให้กับเยาวชนอย่างยั่งยืน ด้วยการจัดกิจกรรมสอนบาสเกตบอลให้กับนักเรียนจากโรงเรียนในพื้นที่ใกล้เคียง ช่วงอายุ  10 – 18 ปี ในทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดี ตลอดเดือนสิงหาคมนี้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมมีโค้ชมืออาชีพมาเป็นผู้ฝึกสอน เพื่อส่งเสริมสุขภาพและทักษะกีฬาผ่านการเรียนรู้ที่สนุกสนาน เข้าถึงง่าย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน   ด้าน ทศวรรษ เตลาน เจ้าของลิขสิทธิ์รายการ 3×3.EXE PREMIER THAILAND และกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิคตอรี่ พาร์ทเนอร์ส จำกัด กล่าวว่า “การแข่งขัน 3X3.EXE PREMIER THAILAND 2025 ถือเป็นรายการระดับนานาชาติที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการยกระดับนักบาสเกตบอลไทยสู่เวทีโลก ซึ่งประเทศไทยได้รับสิทธิ์ให้เป็นหนึ่งในเจ้าภาพอย่างเป็นทางการจากญี่ปุ่น   “ความร่วมมือกับเมกาบางนาในการจัดการแข่งขัน ณ สนามที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสนามแข่งขันยอดเยี่ยม ‘THE BEST VENUE OF THE YEAR 2024’ ตอกย้ำมาตรฐานและคุณภาพของสถานที่ในการรองรับการแข่งขันระดับนานาชาติ” ทศวรรษ กล่าว   สำหรับ การแข่งขัน “3X3.EXE PREMIER THAILAND 2025” ถือเป็นรายการบาสเกตบอล 3 คนระดับมืออาชีพ ที่มีรูปแบบการแข่งขันแบบสะสมคะแนน โดยครั้งนี้มีการแข่งขันประเภททีมชาย 12 ทีม และทีมหญิง 6 ทีม   โดยเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน ทีมที่มีคะแนนสะสมสูงสุดอันดับที่ 1 และ 2 ของแต่ละประเภท รวม 4 ทีม จะได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ “3X3.EXE PREMIER 2025 PLAYOFFS” ณ จังหวัดโอซากะ ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 27–28 กันยายน 2568 ซึ่งจะเป็นเวทีชี้ชะตาเพื่อคว้าสิทธิ์เข้าสู่รายการ FIBA 3X3 WORLD TOUR พร้อมแพ็คเกจเข้าร่วมการแข่งขันที่ญี่ปุ่นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท   โดยนอกจากการแข่งขันระดับมืออาชีพแล้ว ยังมีกิจกรรม “MEGA HOOPS: 3X3 YOUTH BATTLE 2025” การแข่งขันรุ่นเยาวชนอายุ 10–18 ปี ที่จัดขึ้นทุกวันเสาร์ เพื่อเป็นเวทีให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพและเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงในการแข่งขันอย่างมืออาชีพ พร้อมทั้ง FREE COURT ให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้ามาเล่นบาสเกตบอลในสนามจริง และกิจกรรม “3X3 BASKETBALL CLINIC” สอนพื้นฐานและเสริมทักษะให้กับผู้ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย   ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจทุกท่านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศการแข่งขันบาสเกตบอล 3 คนระดับนานาชาติ ส่งเสียงเชียร์ทีมโปรด สัมผัสความมันแบบใกล้ชิด และเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาไทย พร้อมกิจกรรมเวิร์กชอป คลินิกสอนบาส ในงาน “3X3.EXE PREMIER THAILAND 2025” ระหว่างวันที่ 9 – 31 สิงหาคม 2568 ณ ฟู้ดวอล์ค พลาซ่า ศูนย์การค้าเมกาบางนา   Alternate-X สรุปให้   เมกาบางนาเปิดสนามบาสเกตบอลกลางศูนย์การค้า จัดศึก ‘3X3.EXE PREMIER THAILAND 2025’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สร้างพื้นที่ Active Lifestyle เชื่อมโยงการช้อปปิงกับกิจกรรมกีฬา ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ มีไฮไลท์การแข่งขันมีทั้งทีมชาย 12 ทีม และทีมหญิง 6 ทีม เพื่อหาตัวแทนไทยไปแข่งที่โอซากะ ญี่ปุ่น พร้อมด้วยกิจกรรมเยาวชน ‘MEGA HOOPS: 3X3 YOUTH BATTLE 2025’ และคลินิกสอนบาสโดยโค้ชมืออาชีพ ฟรีตลอดงาน จัดขึ้นวันที่ 9 – 31 สิงหาคม 2568 ณ ฟู้ดวอล์ค พลาซ่า ศูนย์การค้าเมกาบางนา        

August 21, 2025 / 0 Comments
read more

‘เชียงใหม่’ จะมีรถรางไฟฟ้า AWC ร่วม อรุณ พลัส เชื่อม ‘ลานนาทีค เดสทิเนชั่น’ เปิดสิ้นปี68

EcoVative,  Peace&Play,  WeView

AWC ดึง Arun Plus ทำ ‘Chiang Mai Tram By Lannatique’ รถแทรมไฟฟ้านำเที่ยวแห่งแรกในไทย เชื่อมแลนด์มาร์ก ‘ลานนาทีค เดสทิเนชั่น’ หนุนชียงใหม่ปลายทางเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   ข้อมูลล่าสุด (ปี2568) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมที่เดินทางเข้ามายังจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา มีทั้งสิ้น 11,485,568 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 4.42   โดย เดือนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยมากสุด ได้แก่ ธันวาคม 936,880 คน และจำนวนน้อยสุดในกันยายน 438,162 คน ส่วนเดือนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากสุด ได้แก่ ธันวาคม 369,435 คน และจำนวนน้อยสุดในกันยายน 242,269 คน   ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยอัตราการเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอดหลังผ่านพ้นการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ สะท้อนถึงเสน่ห์ของเมืองที่พร้อมต้อบรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก และเป็นโอกาสทางธุรกิจท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องที่เข้ามาลงทุนเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเมืองอย่างยั่งยืน   ขณะที่ล่าสุด ของ บริษัทแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ได้ปักหมุดให้ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเมืองจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   กับโปรเจกต์ล่าสุด โดยร่วมมือกับ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด ผู้ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ร่วมพัฒนา ‘Chiang Mai Tram By Lannatique’ รถแทรมไฟฟ้าล้อยางนำเที่ยวแห่งแรกของประเทศไทย ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ระบบขนส่งสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   นอกจากนี้ ยังจะเป็นต้นแบบของการเดินทางสะอาด เพื่อรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการออกแบบให้สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนาในมิติร่วมสมัย ด้วยเส้นทางวิ่งที่เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมรอบคูเมืองเชียงใหม่อย่างยั่งยืน   พร้อมทางเลือกการเดินทางสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านพื้นที่จอดรถส่วนตัวในโครงการในเครือ AWC รวมกว่า 1,500 คัน บริเวณรอบนอกตัวเมือง เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถแทรมไฟฟ้า ลดปริมาณการใช้รถยนต์ในเขตเมืองเก่า และเชื่อมต่อกับโครงการ ‘ลานนาทีค เดสทิเนชั่น’ แลนด์มาร์กศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่ใจกลางย่านช้างคลาน   โดยโครงการฯ ยังสะท้อนวิสัยทัศน์ของทั้งสององค์กรในการสร้างภูมิทัศน์ใหม่ของการเดินทางที่เชื่อมโยงเมือง ผู้คน และวัฒนธรรม นวัตกรรมที่ทันสมัยและสมดุล และร่วม ‘Building Better Future For All’ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน   สำหรับ ‘Chiang Mai Tram By Lannatique’ มีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการพร้อมกับ “ลานนาทีค เดสทิเนชั่น” ในช่วงปลายปี 2568 เพื่อร่วมขับเคลื่อนเชียงใหม่สู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลกอย่างแท้จริง   นายไมเคิล ฮาริท หัวหน้าคณะกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียล แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “AWC ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความร่วมมือกับอรุณ พลัส ในการพัฒนา ‘Chiang Mai Tram By Lannatique’ ให้เกิดขึ้น   โดยความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนนวัตกรรมที่เชื่อมโยงเมือง ผู้คน และวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างสมดุล ผ่านระบบขนส่งมวลชนสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์  โดยผสานอัตลักษณ์ล้านนาไว้ด้วยกันด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ในมิติร่วมสมัย   พร้อมเชื่อมต่อสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์กับ ชุมชนโดยรอบ และโครงการ ‘ลานนาทีค เดสทิเนชั่น’ ซึ่งจะกลายเป็นแลนด์มาร์กด้านศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยแห่งใหม่ใจกลางย่านช้างคลาน   ขณะที่ รายได้สุทธิจากโครงการ ‘Chiang Mai Tram By Lannatique’ จะร่วมสนับสนุนกิจกรรมเพื่อชุมชนอย่างยั่งยืนในจังหวัดเชียงใหม่ ตามเจตนารมณ์ในการสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน พร้อมสร้างคุณค่าในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม   รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตไปพร้อมกับเมือง และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้งด้านส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาเมืองอย่างสมดุลในระยะยาว   ขณะเดียวกันก็ร่วมขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นให้เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาเมืองเชียงใหม่สู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลกอย่างแท้จริง   ก้าวสำคัญเที่ยวยั่งยืนไทย   ขณะที่ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด ผู้ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ในฐานะส่วนหนึ่งการขับเคลื่อนโครงการ ‘Chiang Mai Tram By Lannatique’ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะไฟฟ้าที่เชื่อมโยงการเดินทางอย่างยั่งยืนเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์   โดยบริษัทฯ ทำงานร่วมกับ AWC ในการออกแบบและพัฒนารถแทรมไฟฟ้าล้อยางคันแรกของไทย ให้สามารถรองรับการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในด้านเทคโนโลยี ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย ภายใต้แนวคิดที่สะท้อนเอกลักษณ์ของล้านนาในรูปแบบร่วมสมัย   สำหรับรถแทรมได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับบริบทของเมืองเชียงใหม่ พร้อมติดตั้งระบบปรับอากาศและระบบฟอกอากาศที่สามารถกรอง PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพอากาศและประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสาร   อีกทั้งยังเลือกใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตในประเทศเป็นหลัก และดำเนินการประกอบโดยผู้ประกอบการไทย เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง บนพื้นฐานของคุณภาพและความปลอดภัยด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและได้รับการรับรองในระดับสากล   โดยโครงการฯ นี้ ยังจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นต้นแบบสำคัญของการเดินทางแห่งอนาคตที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน และเป็นอีกก้าวแห่งความร่วมมือที่สะท้อนความไว้วางใจระหว่างอรุณ พลัส และ AWC ในการร่วมกันผลักดันโครงการที่มีศักยภาพสูง เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันในระยะยาวและพร้อมเดินหน้าขยายผลความร่วมมือร่วมกันไปสู่โครงการที่มีศักยภาพอื่นๆ ของ AWC ต่อไปในอนาคต เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืนให้กับประเทศไทย   ผ่านจุดเช็คอิน 40 แห่งเชียงใหม่   สำหรับโครงการ ‘Chiang Mai Tram By Lannatique’ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด Innovative and Sustainable Tourism มีเป้าหมายเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และชุมชนท้องถิ่น รวมถึงร้านอาหาร คาเฟ่ และจุดเช็กอินชื่อดังมากกว่า 40 แห่ง ตลอดเส้นทางให้บริการ 2 สายหลักรอบคูเมืองเชียงใหม่ อาทิ   ประตูท่าแพ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตลาดวโรรส โครงการ ‘ลานนาทีค เดสทิเนชั่น’ พันธุ์ทิพย์ ไลฟ์สไตล์ ฮับ เชียงใหม่   รวมถึงโรงแรมในเครือ AWC เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถจอดรถส่วนตัวไว้ในพื้นที่รอบนอกหรือโครงการในเครือ AWC ซึ่งมีพื้นที่จอดรถรวมกันกว่า 1,500 คัน   จากนั้นสามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองผ่านระบบขนส่งมวลชนสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยลดการจราจรที่หนาแน่นและการใช้พลังงานในเขตเมือง   นอกจากนี้ รายได้สุทธิจากโครงการดังกล่าวยังจะร่วมสนับสนุนกิจกรรมเพื่อชุมชนอย่างยั่งยืนให้กับจังหวัดเชียงใหม่อย่างต่อเนื่องอีกด้วย   วิ่ง 180 กิโลเมตรต่อชาร์จเต็ม   ความโดดเด่นของรถแทรมไฟฟ้า “Chiang Mai Tram By Lannatique” อยู่ที่การออกแบบอย่างพิถีพิถันภายใต้แนวคิดการเดินทางอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความสวยงามที่กลมกลืนกับบริบทและอัตลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่ โดยตัวรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สามารถวิ่งได้สูงสุดถึง 180 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง   พร้อมดำเนินงานภายใต้มาตรฐานของคุณภาพและความปลอดภัยในระดับสากล อาทิ มาตรฐาน UNECE R100 เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ปลอดภัย เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมือง สู่การเป็นต้นแบบการเดินทางที่สะอาดและเป็นทางเลือกใหม่ของการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง   นอกจากนี้ ‘Chiang Mai Tram By Lannatique’ ยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา “ลานนาทีค เดสทิเนชั่น” โครงการไลฟ์สไตล์แลนด์มาร์กระดับโลกด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปะแห่งใหม่บนย่านช้างคลาน   เปิดปลายปี 2568   โดยเป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ของเมืองเชียงใหม่ที่หลอมรวมวิถีชีวิตท้องถิ่นล้านนาและวัฒนธรรมร่วมสมัยเอาไว้ในพื้นที่เดียวกันภายใต้แนวคิด ‘The Heart of Lanna Art Movement’ ถ่ายทอดเรื่องราวศิลปะ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของอารยธรรมล้านนาอันทรงคุณค่ายาวนานกว่า 700 ปี ออกมาในรูปแบบ ‘หมู่บ้านศิลปะร่วมสมัย’ เชื่อมโยงมรดกทางวัฒนธรรมเข้ากับการสร้างสรรค์ในโลกปัจจุบันอย่างกลมกลืนผสานกับไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ชุมชนคุณภาพระดับโลก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและส่งต่อมรดกทางวัฒนธรรมให้โลดแล่นอย่างงดงามในบริบทของโลกยุคใหม่   โดยโครงการ “ลานนาทีค เดสทิเนชั่น”  และ “Chiang Mai Tram By Lannatique” เตรียมเปิดให้บริการช่วงปลายปี 2568 นี้ ด้วยบทบาทสำคัญในการสนับสนุนแผนการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ในระยะยาวให้เป็นต้นแบบของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และยั่งยืน พร้อมเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก สอดคล้องกับพันธกิจของ AWC ในการ ‘Building Better Future For All’  เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน     Alternate-X สรุปให้ AWC จับมือ Arun Plus เปิดตัว ‘Chiang Mai Tram By Lannatique’ รถแทรมไฟฟ้านำเที่ยวแห่งแรกนไทย เป็นโปรเจกต์รองรับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เชื่อมแลนด์มาร์กใหม่ ‘ลานนาทีค เดสทิเนชั่น’ วางแผนเปิดปลายปี 2568 โดยบริการนี้ยังใช้รถไฟฟ้าล้อยางขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด วิ่งได้ 180 กม./ชาร์จ ติดตั้งระบบฟอกอากาศ PM2.5 ซึ่งโครงการฯ นี้จะช่วยลดการจราจรในเขตเมืองเก่าเชียงใหม่ พร้อมจุดจอดรถกว่า 1,500 คัน เพื่อมุ่งขับเคลื่อนเชียงใหม่สู่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง AWC ดึง A49 เบื้องหลังออกแบบแลนด์มาร์คยั่งยืนระดับโลก ผ่านสถาปัตย์ฯวัฒนธรรมไทย ผจญภัย จูราสสิค เวิลด์ฯ มันสนุก..มันว้าว!! ไม่เกินจริง กับ 10 โซนพาย้อนกลับไปโลกล้านปี เปิดแล้ว 8 สิงหา นี้ จูราสสิค เวิลด์ฯ แม่เหล็กใหม่ เอเชียทีคฯ ดูดเที่ยวระดับโลก  AWC แปลงโฉม ‘ล้ง1919-ทรงวาด’ ทำห้องพักแพงสุดในไทย The Ritz-Calrton คืนละ 3 แสนบาท ออกแบบเมืองแห่งอนาคต จุฬาฯทำหลักสูตรพัฒนาอสังหาฯ หนุนระบบนิเวศใหม่เศรษฐกิจไทย  หนุนกรุงเทพฯ เมืองเที่ยวเชิงประสบการณ์หรู ผ่านร่างทอง JW Marriott รัชดา  

August 21, 2025 / 0 Comments
read more

EternityX เปิดสำนักงานใหญ่ไทย ใช้ MarTech-AI เจาะผู้ใช้สื่อจีน กำลังซื้อใหม่ในอาเซียน

BizKet

อีเทอร์นิตี้เอ็กซ์ ชี้ ‘ผู้ใช้สื่อจีน’ พลังผู้บริโภคกลุ่มใหม่ของไทย มีกำลังซื้อสูง ที่กำลังเปลี่ยนโฉมเกมการตลาด   ชาร์ลีน รี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง อีเทอร์นิตี้เอ็กซ์ มาร์เก็ตติ้ง เทคโนโลยี่ (EternityX) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดสำนักงาน EternityX ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยมองเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ จากแนวโน้มความสม่ำเสมอของผู้ใช้ชาวจีน  รวมถึงทุกคนทั้งในไทยและทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนแพลตฟอร์มสื่อดิจิทัลจีน   สำหรับในประเทศไทยผู้บริโภคกลุ่มนี้ ยังกลายเป็น ‘Aspiration Trailblazers’ หรือ ‘ผู้บุกเบิกไลฟ์สไตล์’ ที่ให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ เชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เน้นการมีประสบการณ์ และเทรนด์โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมากกับผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าว   “เป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของ EnternityX ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะบริษัทการตลาดชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมความเชี่ยวชาญที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคจีนทั่วโลก” รี กล่าว     โดย บริษัทฯ มีความพร้อมในการทำงานร่วมกับแบรนด์ไทย ช่วยปลดล็อกโอกาส และสร้างการเติบโตใหม่ให้กับแบรนด์ ผ่านการกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำและกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาดทางวัฒนธรรม   ‘จีนรุ่นใหม่’ เป็นมากกว่ากำลังซื้อ   ด้าน เดอริค วอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจ Global อีเทอร์นิตี้เอ็กซ์ กล่าวว่า กลุ่มผู้ใช้สื่อจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรม เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเป็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี   “EternityX มุ่งสร้างเส้นทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมให้ความสำคัญกับมรดกทางวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาปรับใช้ โดยเชื่อมโยงแบรนด์กับชุมชนที่ทรงอิทธิพลเหล่านี้” วอง กล่าว     แกะอินไซต์ ผู้ใช้สื่อจีน   ทั้งนี้ ข้อมูลเชิงลึกสำคัญจากรายงาน ‘S.E.A of Change | Thailand Edition: The Rise of Chinese Media Users Redefining Modern Living and Consumer Power’ หรือ ‘เอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งการเปลี่ยนแปลง: การเติบโตของผู้ใช้สื่อจีนที่กำลังนิยามชีวิตสมัยใหม่และอำนาจของผู้บริโภค’ ระบุว่า   ไทยมีอัตราการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลจีนสูงที่สุดในภูมิภาค โดย 78% ของผู้ใช้สื่อจีนในไทยเลือกใช้แอปพลิเคชันจีนเป็นประจำทุกวัน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ 70% ในสิงคโปร์ และ 71% ในมาเลเซีย นับเป็นการรวมตัวทางดิจิทัลบนแพลตฟอร์มจีนที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค   การศึกษายังพบว่า 47% ของผู้ใช้สื่อจีนในไทยมีกำลังซื้อโดดเด่น ใช้จ่ายมากกว่า 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 231,000 บาทต่อคนต่อปีไปกับสินค้าพรีเมียม เมื่อเทียบกับ 42% ที่สิงคโปร์ และ 43% ที่มาเลเซี   นอกจากนี้ 36% นิยมช้อปปิ้งผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและการไลฟ์สดอย่างมาก   ขณะที่ 14% ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงต่อวันบนแพลตฟอร์มสื่อดิจิทัล ซึ่งมากที่สุดใน 3 ประเทศ ทั้งนี้ การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวได้รับอิทธิพลมาจากโซเชียลมีเดีย KOLs และแคมเปญการตลาดจากแบรนด์เป็นหลัก   เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ No.1   ในแง่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ พบว่าประเภทสินค้าที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่   เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ดัชนี 139) เครื่องสำอาง (ดัชนี 117) เครื่องใช้ไฟฟ้า (ดัชนี 109)   ขณะที่ 45% ใช้บริการผ่าน WeChat Pay กำลังการใช้จ่ายนี้ได้รับแรงหนุนจากกระแสการลงทุนจำนวนมากของจีนทั้งจากบริษัทสัญชาติจีนและไต้หวันในปี 2567 ด้วยมูลค่าการลงทุน 1.09 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.1% สร้างงานมากกว่า 30,000 ตำแหน่ง รวมถึงสัดส่วนการถือครองคอนโดมิเนียมของผู้ซื้อชาวจีนที่มีถึง 10.8% และจำนวนนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยไทยที่เพิ่มขึ้น 455% ในช่วงปี 2556 – 2566 ที่ผ่านมา   จากการศึกษาดังกล่าว บริษัทฯ แนะ 4 กลยุทธ์สำคัญสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายข้างต้น คือ   กลยุทธ์การตลาดที่เน้นประสบการณ์ที่ยกระดับไลฟ์สไตล์และสถานะทางสังคม กลยุทธ์การขยายอิทธิพลทางสังคมผ่าน KOLs รวมถึงการบอกต่อจากกลุ่มเพื่อน กลยุทธ์การวางตำแหน่งเป็นผู้นำเทรนด์ และ กลยุทธ์ความเป็นเลิศด้านการค้าข้ามพรมแดนพร้อมศักยภาพในการบูรณาการความเป็นนานาชาติ วิธีการชำระเงิน เนื่องจาก 54% ของผู้บริโภคพิจารณาซื้อผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่รองรับการชำระเงินของจีน โดย 11% ปฏิเสธการซื้อทันทีเมื่อไม่มีตัวเลือกดังกล่าว   นอกจากนี้ การศึกษาด้านรูปแบบการบริโภคสื่อยังพบว่า   ผู้บริโภคนิยมคอนเทนต์รีวิวและแนะนำสินค้า รวมทั้งการใช้ภาษาจีนตัวย่อในโปรโมชันสามารถกระตุ้นความตั้งใจซื้อได้ทันทีถึง 43% สะท้อนถึงความซับซ้อนในการเข้าถึงแพลตฟอร์มจีนอย่าง WeChat (วีแชท), Douyin (โต่วหยิน), และ Xiaohongshu (เสี่ยวหงซู) กับดิจิทัล อีโคซิสเต็มต่าง ๆ ของจีน   สำหรับแบรนด์ในประเทศไทย ที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดนี้ควรผสานไลฟ์สไตล์กับวัฒนธรรมของผู้บริโภค สร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจีนร่วมกับ KOLs และไลฟ์สตรีมเมอร์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นการซื้อ พร้อมสร้างช่องทางอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและรองรับการชำระเงินของจีน   นอกจากนี้ การออกแบบโปรโมชันที่ผสมผสานความคุ้นเคยทางคุณค่า วัฒนธรรม และการเร่งเร้า ขณะที่เน้นสื่อสารความเป็นของแท้ ความยั่งยืน และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ด้วยข้อความสองภาษาและมีภาษาจีนด้วย จะเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงและสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว   พลังแห่ง AI จีน   ด้าน สันติพงศ์ พิมลแสงสุริยา ตัวแทน บริษัท อีเทอร์นิตี้เอ็กซ์ มาร์เก็ตติ้ง เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดสำนักงาน EternityX ในประเทศไทยจะมีบทบาท ในการช่วยทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ เจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนและผู้ใช้สื่อจีนที่อาศัยอยู่ในประทศไทย ผ่านทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจเชิงลึกด้านกลยุทธ์สื่อจีน วัฒนธรรมจีน และพฤติกรรมผู้บริโภค พร้อมทั้งมีความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคทั้งไทยและจีนอย่างครบถ้วน   สำนักงาน EternityX ในประเทศไทยให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ ซึ่งขับเคลื่อนด้วย AI โซลูชันที่มีความอัจฉริยะทางวัฒนธรรมพร้อมกลยุทธ์เนื้อหาที่สร้างจากข้อมูลจริง การเปิดการค้าข้ามพรมแดนด้วยระบบโลจิสติกส์และการชำระเงินแบบบูรณาการ รวมถึงการขยายอิทธิพลในการสร้างการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียผ่านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ KOL ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคจีน   โดย EternityX รับมือกับความท้าทายที่มีลักษณะเฉพาะตัวของกลุ่มผู้บริโภคนี้ด้วยความเชี่ยวชาญเชิงลึกทางวัฒนธรรมและดิจิทัล เทคโนโลยี รวมทั้ง AI ที่พัฒนาขึ้นเองพร้อมความแม่นยำในการกำหนดเป้าหมายถึง 96% รูปแบบการตลาดข้ามพรมแดนที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว การบริการแบบบูรณาการครบวงจร ไม่ต้องติดต่อกับผู้ให้บริการหลายราย และความสามารถด้านการสร้างเนื้อหาภาษาจีนตัวย่อระดับเจ้าของภาษา พร้อมการบูรณาการแพลตฟอร์มด้วยความเข้าใจ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมที่แท้จริงกับผู้บริโภคและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อทันที     Alternate-X สรุปให้     EternityX มาร์เก็ตติ้ง เทคโนโลยีจากจีน เปิดสำนักงานใหญ่ในไทย มุ่งเจาะตลาดผู้ใช้สื่อจีนในอาเซียน เจาะผู้ใช้สื่อจีนในไทยสูงถึง 78% มากที่สุดในภูมิภาค พร้อมกำลังซื้อสินค้าพรีเมียมกว่า 231,000 บาทต่อปี ขณะที่ กลุ่ม “Aspiration Trailblazers” คือคนรุ่นใหม่ที่เน้นไลฟ์สไตล์ ดิจิทัล และประสบการณ์ โดย EternityX ใช้ MarTech และ AI ช่วยแบรนด์ไทยเข้าถึงผู้บริโภคจีนอย่างแม่นยำ ด้วย แนวทางสำคัญ คือ การตลาดผ่าน KOLs, คอนเทนต์สองภาษา, และระบบจ่ายเงินจีน รองรับการค้าข้ามพรมแดน     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง    อินฟลูฯ มาร์เก็ตติง โตแรง ไทยติด Top3 โลกใช้ TikTok ‘เอ้ก ดิจิทัล’ เปิดมาร์เก็ตเพลสจับคู่ให้  ‘เอ้ก ดิจิทัล’ ดึงอินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ในอุตฯค้าปลีก เปลี่ยนใจซื้อให้ไวด้วย AI เม็ดเงินโฆษณายุคใหม่ ปี68 อยู่ในสื่อดิจิทัลแล้ว 50% อินฟลูฯ ครอง 30% แซงอินเทอร์เน็ต

August 21, 2025 / 0 Comments
read more

AWC ดึง A49 เบื้องหลังออกแบบแลนด์มาร์คยั่งยืนระดับโลก ผ่านสถาปัตย์ฯวัฒนธรรมไทย

BizKet

AWC ร่วมมือ A49 พันธมิตรสถาปนิก สร้างสถาปัตยกรรมมาตรฐานระดับโลกควบคู่ศิลปวัฒนธรรมไทย หนุนท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เปิดเผย AWC ร่วมพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) บริษัทสถาปนิกชั้นนำของไทยและในระดับสากล พัฒนาโครงการสำคัญต่างๆ ภายใต้พอร์ตโฟลิโอคุณภาพของ AWC ครอบคลุมจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวชั้นนำของไทย   สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ยังเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโต (Growth-Led Strategy) โดยนำเสนอการออกแบบสถาปัตยกรรมมาตรฐานสากลที่มีความเป็นเอกลักษณ์ (Uniqueness Design) เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น และผสานความยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อพัฒนาโครงการคุณภาพระดับแลนด์มาร์ก เพื่อส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศให้แข็งแกร่ง พร้อมสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   “เป็นการสานต่อความร่วมมือระยะยาวกับ A49 พันธมิตรที่ร่วมสร้างสรรค์ AWC’s Lifestyle Destination ผ่านหลากหลายโครงการคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง” วัลลภา กล่าว   พร้อมเสริมว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมา AWC และ A49 มีวิสัยทัศน์ร่วมกันที่จะสร้างสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า เข้ากับอัตลักษณ์ท้องถิ่นและความยั่งยืนไว้อย่างลงตัว อาทิ   อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล โครงการ ‘เอ-ญ่า’ รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์ ซึ่งพัฒนาเป็นไลฟ์สไตล์รูฟ ทอป ที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ โรงแรม อินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท     ล่าสุด คือ สถาปัตยกรรมของโครงการ Jurassic World: The Experience และ Hatch Dome ที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น   โดยโครงการต่างๆ ที่ AWC พัฒนาร่วมกับ A49 และพันธมิตรระดับโลก เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์คุณค่าระยะยาวที่ยั่งยืน ส่งต่อแรงบันดาลใจ สู่ประสบการณ์พิเศษที่ผู้มาเยือนได้ร่วมประทับใจ   ทั้งนี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมประเทศไทยในฐานะผู้นำจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก สอดคล้องพันธกิจของ AWC ‘Building Better Future For All’ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน   ด้าน สุวัฒน์ วสะภิญโญกุล ประธานกรรมการบริหาร – กรรมการกำกับนโยบาย บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่าง AWC ตลอดระยะเวลที่ผ่านมา เป็นโอกาสสำคัญของ A49 ได้นำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและสถาปัตยกรรมระดับสากลมาประยุกต์ใช้ในแต่ละโครงการ   “จากความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนศักยภาพของประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก” สุวัฒน์ กล่าว   สำหรับ A49 เป็นบริษัทสถาปนิกชั้นนำของไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ด้วยรางวัลด้านการออกแบบระดับโลก อาทิ Best Large Firm: Popular Choice Winner Architizer A+Awards 2023 ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในการพัฒนาโครงการใหม่และการปรับปรุงอาคารเดิม ภายใต้แนวคิด “To Create Timeless Architecture with Design Knowledge to Define Future Living” ซึ่งเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจความต้องการของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทั้งปัจจุบันและอนาคต   โดยความร่วมมือครั้งนี้ AWC และ A49 จะร่วมกันพัฒนาหลากหลายโครงการที่ตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย ครอบคลุมไลฟ์สไตล์เดสทิเนชั่นที่หลากหลาย ตั้งแต่   โรงแรมลักชัวรีระดับโลก โครงการรีเทล-เทนเมนต์ขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โครงการเชิงศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ โรงแรม แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา โรงแรม เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก โรงแรม พาราดิซุส จอมเทียน โครงการ ลานนาทีค เดสทิเนชั่น เป็นต้น   โดยการออกแบบจะผสมผสานเอกลักษณ์ความเป็นไทยในแต่ละท้องที่เข้ากับความทันสมัยของสถาปัตยกรรมและนวัตกรรมระดับโลก เพื่อนำเสนอประสบการณ์ไม่ซ้ำใครให้แก่ผู้มาเยือน โดยคำนึงถึงความยั่งยืน ทั้งการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลสิ่งแวดล้อม และการสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนในพื้นที่     Alternate-X สรุปให้  AWC จับมือ A49 พันธมิตรสถาปนิกชั้นนำ ร่วมสร้างสถาปัตยกรรมมาตรฐานระดับโลก เน้นผสานเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทยกับการออกแบบสากลเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน โดยพัฒนาโครงการคุณภาพในจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ เสริมศักยภาพไทยสู่การเป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์เดสทิเนชั่นและแลนด์มาร์กระดับโลก ตอกย้ำพันธกิจ AWC “Building Better Future For All” เพื่ออนาคตยั่งยืน

August 20, 2025 / 0 Comments
read more

‘รอยัลโอชา’ เจ้าแรกในไทย ส่งขนมไหว้พระจันทร์แพลนต์เบส เจาะวีแกน-รักสุขภาพ

BizKet,  EcoVative,  Peace&Play

‘รอยัล โอชา’ รับกระแส ‘มัทฉะเลิฟเวอร์’ รายแรกขนมไหว้พระจันทร์แพลนต์เบส  ‘ไส้มัทฉะพิสตาชิโอ’ เจาะตลาดสายรักสุขภาพ-ชาววีแกน รับเทรนด์บริโภตคลาดโลกปีนี้แตะ 7.8 หมื่นล้านบาท   วันไหว้พระจันทร์ (จงชิวเจี๋ย) มักตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติจีน โดยปกติมักตรงกับช่วงกลางถึงปลายเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคมของปฏิทินสากล ในปี 2568 ตรงกับวันที่ 6 ตุลาคม   สำหรับวันนี้ ยังเป็นเทศกาลสำคัญของชาวจีน ที่ได้ยึดปฏิบัติเพื่อฉลองความกลมเกลียวในครอบครัวและผลผลิตทางการเกษตรตามตำนานที่บอกเล่าต่อกันมา และยังมีผลกับระบบเศรษฐกิจไปพร้อมกันทั่วโลกในย่านที่มีชุมชนชาวจีนพำนักอาศัย อยู่ด้วย   โดย ‘DiMarket’ คาดการณ์ว่าขนมไหว้พระจันทร์จะเติบโตที่อัตรา CAGR 3.3 : ข้อมูลเชิงลึกและการคาดการณ์ ระหว่างปี 2568- 2576 ตลาดขนมไหว้พระจันทร์ทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่า 2,388.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือราว 7.8 หมื่นล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ/33 บาท) ในปี 2568 นี้   ขณะเดียวกัน จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น จีน อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 3.3% ระหว่างปี 2568 ถึง 2576   โดยมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อการเติบโตนี้ จากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของขนมไหว้พระจันทร์หลากหลายรสชาติ นอกเหนือจากรสชาติแบบดั้งเดิม ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป   รอยัล โอชา ย้ำต่างสร้างจดจำตลาด   ด้าน เชฟเกวลิน พิทยานุกุล เชฟผู้วิจัยและพัฒนาเมนูและเจ้าของร้านอาหารรอยัล โอชา กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ ‘รอยัลโอชา’ วางกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง (Differentiation Strategy) พัฒนาสินค้าขนมไหว้พระจันทร์  เพื่อรองรับผู้บริโภคกลุ่มมังสวิรัติ หรือ วีแกน โดยนำเสนอเซ็ตขนมไหว้พระจันทร์พิเศษเฉพาะ (เอ็กซ์คลูซีฟ) ภายใต้คอนเซ็ปต์ A Moonlit Celestial Gift – ของขวัญจากจันทรา   สำหรับขนมไหว้พระจันทร์ ‘รอยัล โอชา’ จะใช้จุดเด่นวัตถุดิบชั้นเลิศซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำร้าน รวมถึงการนำวัตถุดิบจากท้องถิ่นที่สามารถหารับประทานได้ตามฤดูกาลเท่านั้น ที่ผ่านกระบวนการอย่างพิถีพิถันมาปรุงแต่งให้มีความพิเศษ และสร้างมูลค่าให้เป็นขนมไหว้พระจันทร์ระดับพรีเมียม เพื่อสร้างความแตกต่างในท้องตลาด   โดยในปีนี้ รอยัลโอชา ได้พัฒนาขนมไหว้พระจันทร์เพื่อรองรับกลุ่ม ‘มัทฉะเลิฟเวอร์’ ด้วยไส้มัทฉะพิสตาชิโอ ที่คัดสรรมัทฉะคุณภาพเกรดพรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นไส้ซิกเนเจอร์ใหม่ประจำร้านไส้ที่ 4 นอกเหนือรสชาติและใส้ดั้งเดิม (Original) ที่ได้รับความนิยม อย่าง ไส้คัสตาร์ด, ไส้ทุเรียนไข่เค็ม และไส้เม็ดบัวเม็ดแตงโม   ขณะเดียวกัน ยังได้พัฒนา 2 ไส้พิเศษ ได้แก่ ไส้หมูฝอยน้ำพริกมะขามไข่เค็ม ซึ่งน้ำพริกมะขามเป็นเอกลักษณ์ของทางร้าน ไส้สาหร่ายงา เป็นการนำวัตถุดิบจากท้องถิ่นทางภาคเหนือ สาหร่ายไกหรือไกยี ที่สามารถหาทานได้ตามฤดูกาลเท่านั้น   นอกจากนี้ รอยัล โอชา ยังเป็นรายแรกในประเทศไทย ที่พัฒนาขนมไหว้พระจันทร์ ในรูปแบบเมนูแพลนต์เบสเพ่อรองรับกลุ่มวีแกนที่ไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ และขยายไปยังฐานกลุ่มเป้าหมายใหม่สำหรับคนรักสุขภาพ ที่พัฒนาขึ้นโดย เชฟวิชิต มุกุระ   เพิ่มมูลค่าด้วยแพคเกจจิง   ในส่วนการทำตลาดรอยัล โอชา ยังได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบหรูหระดับเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อแสดงถึงรสนิยมของผู้ให้ และสร้างความประทับใจแก่ผู้รับ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 2 เซ็ต ได้แก่   1.Mooncake Premium Box ที่มาในกล่องสีแดงเข้ม 2 ชั้น พร้อมผ้าเอนกประสงค์สีแดงออมเบรพิมพ์ลายพระจันทร์เต็มดวงสีทองอร่าม ชั้นแรกประกอบด้วย ขนมไหว้พระจันทร์ จำนวน 8 ชิ้น รวมไส้มาทั้งหมด 4 รสชาติ ที่เป็นซิกเนเจอร์ได้แก่ คัสตาร์ด 2 ชิ้น, เม็ดบัวเม็ดแตงโม 2 ชิ้น, ทุเรียนไข่เค็ม 2 ชิ้น และมัทฉะ พิสตาชิโอ (ใหม่) 2 ชิ้น   สำหรับกล่องนี้ในชั้นที่ 2 ยังมีความพิเศษเป็น Room Fragrance Diffuser (ก้านน้ำหอม) ในชื่อกลิ่น “Royal Osha” กลิ่นพิเศษที่เป็นกลิ่นซิกเนเจอร์ของร้าน รอยัล โอชา ซึ่งเป็นดั่งภาพสะท้อนของจิตวิญญาณแห่งร้านอาหารไทยที่มีกลิ่นอายของสมุนไพรไทย เครื่องเทศ และดอกไม้หอมละมุน ขนาด 100 ml วางราคา 2,388 บาท   2.Mooncake Classic Box ในรูปแบบกล่องทรงกลมมีหูหิ้วสีแดงสด บรรจุมาในกล่องทรงกลมคล้ายปิ่นโต โดย 1 ชั้นสีแดงด้านในกล่องประดับด้วยสีทองหรูหรา ฝากล่องมีหูหิ้วสายหนังสีแดงพร้อมตัวล็อคระหว่างกล่องตัดด้วยโลโก้ รอยัล โอชา และตัวหนังสือสีทองประกายของแสงจันทร์   ประกอบด้วย ขนมไหว้พระจันทร์ จำนวน 8 ชิ้น รวมไส้มาทั้งหมด 4 รสชาติซิกเนเจอร์ โดยมี ไส้คัสตาร์ด 2 ชิ้น, ไส้ทุเรียนไข่เค็ม 2 ชิ้น, ไส้เม็ดบัวเม็ดแตงโม 2 ชิ้น และ ไส้มัทฉะพิสตาชิโอ (ใหม่) 2 ชิ้น วางราคา 988 บาท   โดยทั้ง 2 เซ็ต สามารถเปลี่ยนเป็นไส้พิเศษ หมูฝอยน้ำพริกมะขามไข่เค็ม และ สาหร่ายงา แต่ต้องสั่งจองล่วงหน้า   จากแนวทางดังกล่าวของ รอยัล โอชา เพื่อสร้างการจดจำและผลิตภัณฑ์เอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ผู้บริโภคนึกถึงในด้านความต่างขนมไหว้พระจันทร์ เพื่อมีส่วนร่วมส่งมอบทั้งความอร่อย และประสบการณ์ประทับใจ ให้ผู้บริโภคทั้งผู้รับและผู้ให้ตลอดช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในทุกปี   ใส้พิเศษต้องสั่งก่อนล่วงหน้า   ด้าน เชฟวิชิต มุกุระ เชฟมิชลินสตาร์ 1 ดาวและเอ็กเซ็กคูทีฟเชฟ ร้านรอยัล โอชา กล่าวว่าแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมไหว้พระจันทร์รอยัล ในเทศกาลขนมไหว้พระจันทร์ในปีนี้ ได้นำ ความเป็นเอกลักษณ์ด้านรสชาติร้านอาหารไทย ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาขนมไหว้พระจันทร์ 2 ไส้พิเศษดังกล่าว   “ไส้หมูฝอยน้ำพริกมะขามไข่เค็ม เพื่อรองรับผู้ที่ชอบของคาว เมื่อได้กัดเข้าไปในคำแรกอยากให้นึกถึงอาหารและความอร่อยจากร้านของเรา และยังเป็นเจ้าแรก ที่ทำไส้ขนมไหว้พระจันทร์เป็นแพลนต์เบส กับ ไส้สาหร่ายงา โดยนำสาหร่ายไก หรือ สาหร่ายไกยี วัตถุดิบประจำท้องถิ่นของทางภาคเหนือ โดยเพิ่มเท็กเจอร์ด้วยเม็ดบัว และความหอมจากงาขาว ซึ่งทั้ง 2 ไส้พิเศษนี้ต้องสั่งจองล่วงหน้า 3 วัน ด้วยสาหร่ายเป็นวัตถุดิบมีเฉพาะตามฤดูกาลเท่านั้น” เชฟวิชิต กล่าว   โดย ผู้ที่สนใจขนมไหว้พระจันทร์ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ สำหรับใช้ในวันสำคัญ โอกาสสำคัญ กับคนสำคัญ สามารถสั่งได้แล้ววันนี้ทั้ง Mooncake Premium Box และ Mooncake Classic Box สำหรับไส้พิเศษ สาหร่ายงา และหมูฝอยน้ำพริกมะขามไข่เค็ม สามารถสั่งจองล่วงหน้า 3 วัน ณ ร้านรอยัล โอชา สามารถสอบถามรายละเอียด หรือ  สั่งจองได้ที่ Line Official: @royalosha หรือ โทร 02-256-6555, มือถือ 085-489-0571     Alternate-X สรุปให้ รอยัล โอชา เปิดตัวขนมไหว้พระจันทร์พิเศษ ทั้งแพลนต์เบสรายแรกในไทยและรสชาติใหม่เอ็กซ์คลูซีฟ ในปีนี้มีไส้มัทฉะพิสตาชิโอ มาเอาใจมัทฉะเลิฟเวอร์ และ 2 ไส้ใหม่ หมูฝอยน้ำพริกมะขามไข่เค็ม – สาหร่ายงา พร้อมแพ็กเกจหรู Mooncake Premium Box และ Classic Box เหมาะทั้งผู้ให้และผู้รับ เผยเทรนด์ตลาดโลกขนมไหว้พระจันทร์โตแตะกว่า 2,388 ล้านดอลลาร์ในปี 2568 และโตยาวต่อเนื่อง โดย รอยัล โอชามุ่งสร้างความต่าง ตอกย้ำภาพลักษณ์ขนมไหว้พระจันทร์ระดับพรีเมียมจากไทยสู่ตลาดโลก    

August 20, 2025 / 0 Comments
read more

สกุลบาทดิจิทัลมาแล้ว!! THAI BAHT TrueMoney ‘THBT’ อัตราแลกเปลี่ยน 1:1 บนบล็อกเชน

BizKet

ทรูมันนี่ เปิดตัว ‘THAIBAHT TrueMoney (THBT)’ หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่กำหนดมูลค่าคงที่อิงมูลค่าเงินบาทบน Public Blockchain ผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ สามารถนำไปใช้ซื้อคูปองส่วนลด และแลกเปลี่ยนสินค้าดิจิทัลผ่านบริการของ Ascend Bit (แอสเซนด์ บิท) ภายใต้ Digital Asset Regulatory Sandbox พร้อมเปิดให้ทดลองใช้งานแล้วในวงจำกัด   ทรูมันนี่ (TrueMoney) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศเปิดตัว Thai Baht TrueMoney (THBT) หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มูลค่าคงที่เท่ากับเงินบาทในอัตรา 1:1 บน Public Blockchain พร้อมเปิดให้ทดลองใช้งานแล้วในวงจำกัด ภายใต้โครงการทดสอบ Programmable Payment ใน Enhanced Regulatory Sandbox   THBT ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญที่พัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชนสาธารณะ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรองรับการชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้เต็มรูปแบบ พร้อมเชื่อมต่อกับระบบนิเวศของ TrueMoney ได้อย่างราบรื่น ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและบริหารจัดการ THBT ได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ เพื่อนำไปใช้ซื้อคูปองส่วนลด และแลกเปลี่ยนสินค้าดิจิทัลผ่านบริการของ Ascend Bit (แอสเซนด์ บิท) ภายใต้ Digital Asset Regulatory Sandbox   THBT คืออะไร?   มูลค่าคงที่ผูกกับเงินบาทไทย: ทุก THBT มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาทไทย และมีเงินบาทจริงหนุนหลัง 100% ปลอดภัย โปร่งใส บนบล็อกเชน Base: พัฒนาบนบล็อกเชนสาธารณะ Base ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับระดับโลก ทุกธุรกรรมสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เพื่อความปลอดภัยและความโปร่งใสสูงสุด ใช้งานง่าย สะดวกสบาย แลก-ถอนได้สะดวก: จัดการ THBT ผ่านแอป TrueMoney ได้โดยตรง เชื่อมต่อโลก Web3: โอน THBT ไปยังกระเป๋า Web3 ที่ KYC แล้ว บนบล็อกเชน Base สิทธิพิเศษ: ใช้ซื้อคูปองส่วนลด และแลกเปลี่ยนสินค้าดิจิทัล ผ่านบริการจาก Ascend Bit   ก้าวสำคัญเศรษฐกิจดิจิทัลไทย   อภินันท์ ดาบเพ็ชร ผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่มีโอกาส ได้เปิดตัว THBT บนบล็อกเชนสาธารณะ ภายใต้ Enhanced Regulatory Sandbox เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนไทยจะสามารถใช้ THBT เป็นองค์ประกอบพื้นฐานบนบล็อกเชน และต่อยอดเป็นระบบนิเวศเพื่อใช้ทำธุรกรรมบนเชนอย่างปลอดภัย มั่นใจ และตรวจสอบได้ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการเงินไทย”   ผู้ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตการเงินดิจิทัล สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thbt.net และเข้าร่วมทดลองใช้งาน THBT ได้แล้ววันนี้ผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 โดยจะเปิดรับผู้เข้าร่วมจำนวนจำกัดเพียง 3,000 คนแรกเท่านั้น     Alternate-X สรุปให้ ทรูมันนี่ เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัล Thai Baht TrueMoney (THBT) มูลค่าเทียบเท่าเงินบาท 1:1 โดย THBT พัฒนาบน Public Blockchain เพื่อความปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้เต็มรูปแบบ ให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการ แลก-ถอน THBT ได้ง่ายผ่านแอปทรูมันนี่ รองรับการใช้งาน Web3 และซื้อคูปองส่วนลดหรือสินค้าดิจิทัลผ่าน Ascend Bit ซึ่ง THBT ถือเป็นก้าวสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัลไทย ภายใต้ Enhanced Regulatory Sandbox    

August 20, 2025 / 0 Comments
read more

อินฟลูฯ มาร์เก็ตติง โตแรง ไทยติด Top3 โลกใช้ TikTok ‘เอ้ก ดิจิทัล’ เปิดมาร์เก็ตเพลสจับคู่ให้

BizKet

เอ้ก ดิจิทัล มองตลาดอินฟลูฯ พลิกเกมเม็ดเงินสื่อโฆษณาย้ายหนีจากทีวีมาดิจิทัลแรงต่อเนื่อง ส่ง 3 เครื่องมือ MarTech เพิ่มฟังก์ชัน AI ช่วยแบรนด์-SME เจอตัวจริงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย   รัฐธีร์ เจริญรัตน์วรกุล ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ MarTech Solution บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวกระทบกำลังซื้อผู้บริโภคเปราะบาง และการเข้ามาเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นปัจจัยให้นักการตลาดและแบรนด์สินค้า ต้องปรับตัวเพื่อบริหารงบประมาณการสื่อสารการตลาดให้มีประสิทธิภาพเพื่อแปลงสู่ผลลัพธ์ทั้งการรับรู้และยอดขาย   โดยพบข้อมูลสนับสนุน การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อ (Media Landscape) ดังนี้   ปริมาณผู้ชม (Audience) ผ่านสื่อทีวีลดลง 7% แบรนด์ ให้น้ำหนักในการทำตลาดสื่อดิจิทัล (Digital Marketing) มากขึ้น ใช้งบประมาณราว 30% ในกลุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ แบรนด์สินค้าหมวด FMCG และ ความงาม ใช้อินฟลูฯ เพิ่มขึ้นราว40%     ‘AI’  เปลี่ยนเกม MarTech     รัฐธีร์ เสริมว่า จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นความท้าทายและโอกาสของนักการตลาดและแบรนด์ จากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีและการเข้ามาของเอไอทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย (CARG) ราว 38% ใน 5 ปีนับจากนี้ (2025-2030)   นักการตลาดใช้เอไอในสื่อดิจิทัล เพิ่มขึ้น 75% ในปี 2568 เอไอ ช่วยลดเวลา และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 60% ผลกระทบอนาคตราว 86% โดยเอไอและเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจภายในปี 2023   เปิดตลาด มาร์เก็ตเพลส อินฟลูฯ   จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ธุรกิจผ่านโซลูชัน 3 ผลิตภัณฑ์รองรับ คือ   1.Influmatch.AI Platform แพลตฟอร์มสำหรับแบรนด์หาอินฟลูเอนเซอร์ที่ใช่ และเป็นมาร์เก็ตเพลส (Marketplace) สำหรับอินฟลูเอนเซอร์   ปัจจุบันมีอินฟลูฯบนแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสบนเครือข่ายเอ้ก ดิจิทัล กว่าแสนราย โดยสัดส่วนมากกว่า 50% เป็นนาโน และไมโคร อินฟลู ที่มียอดผู้ติดตามหลักพันราย รวมถึงกลุ่มแม็คโคร และ เมกา อินฟลูฯ ที่มีผู้ติดตามหลักล้านขึ้นไป   “ปัจจุบันมีอินฟลูฯ ในไทยไม่ต่ำกว่า 9  ล้านราย คิดเป็นสัดส่วน 3 ล้านคนที่ทำกิจกรรมต่อเนื่อง โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมแนะนำรีวิวสูงสุดในปัจจุบัน จะเป็นกลุ่มไลฟ์สไตล์ สกินแคร์ความงาม และ ค้าปลีก ทั่วไป” รัฐธีร์ กล่าว   สำหรับ อินฟลูฯ มาร์เก็ตเพลสดังกล่าว บริษัทฯ ได้เปิดรับอินฟลูฯเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์ม โดยไม่มีค่าใช้จ่าย มีเป้าหมายสร้างการจับคู่ระหว่างแบรนด์และอินฟลุฯ ที่เหมาะสมเพื่อโอกาสทั้งความมั่นใจและเชื่อใจในการทำงานร่วมกัน โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายมีอินฟลูฯ เข้าร่วมเพิ่มเป็น 1 ล้านรายในปี 2569   สำหรับโซลูชันที่ 2 และ 3 คือ Admatch.AI” แพลตฟอร์มจัดการโฆษณาอัจฉริยะ และ Lucky Boost Campaign สำหรับ SMEs โดยบริษัทฯ พัฒนาแคมเปญที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจรายย่อยใช้บริการ MarTech เพิ่มยอดขาย โดยไม่เสียค่าติดตั้งและรายเดือน ชำระเฉพาะค่าบริการตามจริง จำกัดเพียง 100 แบรนด์เท่านั้น   รัฐธีร์ กล่าวว่า “จากเดิมนักการตลาดใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจเลือกอินฟลู แต่จากการเข้ามาของเอไอจะช่วยแบรนด์ตัดสินใจได้ตรงวัตถุประสงค์มากที่สุด ในยุคที่การตลาดต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีแบบเรียลไทม์ ซึ่งMarTech เป็นตัวช่วยและกลยุทธ์สำคัญ ที่นักการตลาดยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม”       คนไทย ติดท็อป3 ใช้ TikTok   รัฐธีร์ เสริมต่อถึงการรับชมคอนเทนต์ผู้บริโภคไทยบนสื่อโซเชียล พบว่า แพลตฟอร์ม TikTol ของไทยเติบโตสูงต่อเนื่อง ติด 3 อันดับแรก (Top3) คือ อินโดนีเซีย, ไทย และ เวียดนาม ผลักดันให้ตลาดอีคอมเมิร์ซ ขยายตัวสูงเช่นกัน รองลงมาเป็น มาเลเซีย, สหรัฐอเมริกา, ฟิลลิปปินส์, สหราชอาณาจักร และ สิงคโปร์   นอกจากนี้ TikTok ยังขึ้น Top3 แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มียอดใช้จ่ายโฆษณาสูงสุด 13% (YoY) TikTok Shop Thailand ในไตรมาสแรกปี 2567 เทียบไตรมาสแรกปี 2568  มีอัตราเติบโต 80%   โดยบริษัทฯ ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์TikTok ด้าน TikTok for Business มองว่าธุรกิจ SMEs สามารถนำเครื่องมือการตลาดเทคโนโลยีและเอไอเข้มาปรับใช้เพื่อการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคตามภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ได้เช่นกัน     Alternate-X สรุปให้   เอ้ก ดิจิทัล เปิดกลยุทธ์ MarTech ใช้ AI ปรับเกมการตลาดรับยุคสื่อเปลี่ยน อินฟลูฯ มาร์เก็ตติง โตแรงจากงบโฆษณาย้ายหนีทีวี แพลตฟอร์ม Influmatch.AI รวมอินฟลูฯ ไทยกว่าแสนราย ตั้งเป้าแตะ 1 ล้านรายปี 2569 ขณะที่ TikTok ดันไทยติด Top3 โลกทั้งเสพย์และซื้อ หนุนอีคอมเมิร์ซโตพุ่ง SMEs ใช้เครื่องมือใหม่ Admatch.AI และ Lucky Boost เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง   ‘เอ้ก ดิจิทัล’ ดึงอินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ในอุตฯค้าปลีก เปลี่ยนใจซื้อให้ไวด้วย AI ศึกเก่าศึกใหม่ไม่พัก ‘ประเทศไทย’ ไปต่อครึ่งหลังปี68 MI Group บอกจะขายของต้องเข้าใจลูกค้าเก่ง เม็ดเงินโฆษณายุคใหม่ ปี68 อยู่ในสื่อดิจิทัลแล้ว 50% อินฟลูฯ ครอง 30% แซงอินเทอร์เน็ต  

August 20, 2025 / 0 Comments
read more

สงครามร้านอาหาร ถึงคิวตลาดสเต๊ก 9 พันล.บาท ชานตาเฟ่ ขอรีแบรนด์ใหม่สู้ด้วย!!

BizKet

ตลาดสเต๊ก ในไทยคาดปัจจุบัน (2568) มีมูลค่าราว ๆ 9,000 ล้านบาท และเป็นหนึ่งในเซ็กเมนต์ที่ที่มีอัตราเติบโตต่อเนื่อง บนตลาดอาหารตะวันตกมูลค่า 24,000 ล้านบาท   ต่อการเติบโตของร้านสเต๊กในไทย ส่วนหนึ่งยังมาจากการขยายตัวทางธุรกิจของแบรนด์ร้านอาหารสเต็กในกลุ่มแมส อย่าง อีท แอม อาร์ (Eat Am Are) ซึ่งมีสาขาครอบคลุมไม่ต่ำกว่า 15 แห่งในปี 2567   ขณะทื่ ‘Eat Am Are’ ยังมาพร้อมกับตำแหน่งทางการตลาดที่น่าสนใจ คือ การเป็นหนึ่งใน Top of Mind แบรนด์ร้านสเต๊กกลุ่มลูกค้าคนเมือง ที่มักนึกถึงในความคุ้มค่า ทั้งด้านราคาที่จับต้องได้ และ คุณภาพความอร่อยของเมนูอาหาร เป็นอันดับต้นๆ   โดย Eat Am Areยังมาพร้อมกลยุทธ์ราคาอาหาร ด้วยเมนูเฟรนช์ฟรายส์ เริ่มต้นราคา 69 บาท และมีราคาสูงสุด 430 บาทสำหรับเมนูบีฟลอยน์ ด้วยรสชาติที่นักชิมในฐานะผู้บริโภคต่างบอกว่า ทดแทนและสู้เชนแบรนด์ใหญ่ ได้สบายมาก   สำหรับแบรนด์ Eat Am Are ข้อมูลจาก dataforthai ระบุธุรกิจก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2557 มีผลดำเนินงานทั้งรายได้ และกำไรเติบโตตลอด 5 ปีผ่านมา   ปี 2563 รายได้ 226,901,795.58 บาท กำไร 1,909,138.04 บาท คิดเป็น 0.84% ของรายได้ ปี 2564 รายได้ 270,775,451.27 บาท กำไร 2,212,520.43 บาท คิดเป็น 0.82% ของรายได้ ปี 2565 รายได้ 494,543,223.88 บาท กำไร 4,222,269.21 บาท คิดเป็น 0.85% ของรายได้ ปี 2566 รายได้ 772,056,953.99 บาท กำไร 4,151,805.64 บาท คิดเป็น 0.54% ของรายได้ ปี 2567 รายได้ 1,269,253,82 บาท กำไร 15,117,031.71 บาท คิดเป็น 1.19% ของรายได้   เจ้าใหญ่ แตกแบรนด์ใหม่แข่งในตลาด   เห็นอัตราการเติบโตที่แข็งแรงทั้งยอดขายและกำไรแบบนี้ แน่นอนว่าส่งแรงสั่นสะเทือนให้กับพี่ใหญ่ที่อยู่ในตลาดมาก่อนหน้าได้ไม่น้อยเช่นกัน!!   อย่างแบรนด์ ซิซซ์เล่อร์ (Sizzler) ที่อยู่ในไทยถึงปัจจุบันมากกว่า 30 ปี และมีมากกว่า 65-75 สาขาทั่วประเทศในตอนนี้  กับบทบาททางการตลาด ร้านอาหารตะวันตกกลุ่มสเต็กระดับพรีเมียม   โดยร้านซิซซ์เล่อร์ มีจุดเด่นเมนู ‘สลัด บาร์’ วิเศษที่ลูกค้ามาตักเท่าไหร่ก็ไม่หมด ด้วยพนักงานแต่ละสาขา ต่างขยันเติมวัตถุดิบให้แบบไม่หวงของ!! รวมถึง ‘ชีสโทสต์’ (Cheese Toast) อีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน ที่เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับสตาร์ทเตอร์ เรียกน้ำย่อยก่อนถึง เมน คอร์ส   ส่วนราคาเมนูอาหารของร้านซิซซ์เล่อร์ ก็มีหลากหลายตามเมนูทั้งราคาปกติ และราคาสมาชิก (Member Card) รวมถึงโปรโมชั่นในแต่ละช่วง เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าทั้งรายเดิมและกลุ่มใหม่ให้เข้ามาร่วมสัมผัสบรรยากาศในร้านให้ได้มากที่สุด   ขณะที่ร้านซิซซ์เล่อร์ บริหารโดยบริษัท เอสแอลอาร์ที จำกัด (ซิซซ์เล่อร์) ภายใต้ บริษัทเดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด โดยในช่วง 5 ปีย้อนหลัง กิจการมีผลดำเนินงาน ดังนี้   ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี (ข้อมูลล่าสุด ปี 2566)   ปี 2562 รายได้ 2,690,866,403 บาท กำไร 124,193,357 บาท คิดเป็น 4.62% ของรายได้ ปี 2563 รายได้ 1,757,225,056 บาท ขาดทุน 53,059,184 บาท คิดเป็น -3.02% ของรายได้ ปี 2564 รายได้ 1,455,674,167 บาท ขาดทุน 38,892,731 บาท คิดเป็น -2.67% ของรายได้ ปี 2565 รายได้ 2,359,360,783 บาท กำไร 95,022,339 บาท คิดเป็น 4.03% ของรายได้ ปี 2566 รายได้ 2,461,853,291 บาท กำไร 98,621,088 บาท คิดเป็น 4.01% ของรายได้     จากตัวเลขดังกล่าว เห็นได้ว่า ซิซซ์เล่อร์ เริ่มพลิกกลับมามีกำไรในช่วงปี 2565-256  ที่ผ่านมา ส่วนในปี 2567 ซิซซ์เล่อร์ มีรายงานรายได้อยู่ที่ 3,617 ล้านบาท และมีกำไร 198 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนหน้า   และเพื่อรักษาทรงของพี่ใหญ่ในตลาดร้านอาหารสเต๊กมูลค่า 9,000 ล้านบาท ทำให้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เครือไมเนอร์ ฟู้ด ตัดสินใจขยายธุรกิจร้านอาหารกลุ่มสเต๊กภายใต้แบรนด์ใหม่ ‘เดอะสเต๊กแอนด์มอร์’ (The Steak & More) เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัล เวสต์เกต  พร้อมแผนใน 3 ปีนับจากนี้ จะมีไม่ต่ำกว่า 70 สาขา   ที่สำคัญ ‘เดอะสเต๊กแอนด์มอร์’ จะยังเป็นหนึ่งในสองแบรนด์สร้างสัญชาติไทยของกลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด ที่จะพาแบรนด์นี้ส่งออกเพื่อทำตลาดร้านสเต๊กในต่างประเทศ ภายในปีนี้ด้วย   สำหรับกลยุทธ์ราคาของ‘เดอะสเต๊กแอนด์มอร์’ จะเริ่มต้นที่เมนูซูป ราคา 69 บาทและราสูงสุดในกลุ่มอาหารจานร้อน อยู่ที่ 399 บาท   ด้วยวางให้แบรนด์นี้ เข้าไปแข่งขันในตลาดแมส โดยถูกกำกับในคอนเซปต์ ‘สเต๊กสำหรับทุกคน’ นั่นเอง!!     ก่อนจะตัดภาพมาที่ความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในวงการร้านสเต็ก ระลอกล่าสุด เมื่อร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก (Santa Fe Steak) ได้รีแบรนดิงจากโฉมเดิมที่ใช้โลโก้ หัวรถจักรที่มากว่า 20 ปีสู่สัญลักษณ์ใหม่ แต่ยังใช้ สีส้ม ไอโคนิก (Iconic Orange) ของซานตาเฟ่ ในชื่อ Santa Fe Happy Steak พร้อมเรียกแขกผ่านเพจ เพจเฟซบุ๊ก Santa Fe ด้วยการออกโปรโมชั่น 8 บาท 8 วัน ไปเมื่อวันที่ 18 ส.ค. นี้   ขอบคุณภาพจาก เพจ fb: Santa Fe’ Steak   การรีแบรนด์ครั้งนี้ ถือเป็นภาคต่อจากเมื่อวันศุกร์ ที่15 ส.ค. ที่ผ่านมา หลังเพจเฟซบุ๊ก Santa Fe โพสต์อำลาพร้อมแท็กแบรนด์เพื่อน ๆ ในวงการ (สเต๊ก)  เดียวกันว่าเดี๋ยวกลับมาใหม่ ขณะที่ชาวโซเชียล ที่รู้ทันต่างพากันคอมเมนต์ว่า สงสัยเตรียมรีแบรนด์ แน่ๆ เช่นกัน   สำหรับร้านสเต๊กซานตาเฟ่ หรือในชื่อใหม่ Santa Fe Happy Steak ดำเนินการโดย บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (บุญรอดบริวเวอรี่) โดยบริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด ผู้ดำเนินงานร้านซานตาเฟ่ ในปี 2562   ขณะที่ปัจจุบัน ธุรกิจฯ อยู่ภายใต้บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด หรือ ‘FAB’ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของ FOOD FACTORS หรือบริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด หนึ่งในธุรกิจของกลุ่มบุญรอดฯ, AQUA บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ เบียร์ ใบหยก ซึ่งมี เบียร์-ปิยะเลิศ ใบหยก นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO   ต่อการรีแบรนด์ Santa Fe Happy Steak ครั้งนี้ ‘เบียร์ ใบหยก’ ได้โพสต์วิดีโออธิบายที่มาชื่อ Santa Fe Happy Steak  เพราะต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มโดยเฉพาะคนในกลุ่ม Gen Z ด้วยลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความรู้สึก ไม่ใช่แค่ฟังก์ชัน หรือความอร่อยของอาหารเพียงอย่างเดียว   นอกจากนี้ คลิปวิดีโอ มาร์เก็ตติ้ง ในช่อง TikTok ยังตึงสุดๆ ด้วยความสร้างสรรค์ของคอนเทนต์ ด้วยบทสนทนาระหว่างเบียร์ ใบหยก และทีมงาน มาบอกเล่าที่มาชื่อหลังปรึกษาผู้เชี่ยชาญ อย่างแชทจีพีที และ หมอดู พร้อมกับเปิดได้ไพ่ เดอะซัน ที่หมายถึงความสุข เพื่อสื่อสารให้ตรงใจในกลุ่มเป้าหมายอย่างเจนเนอเรชั่น Z ที่พร้อมหาประสบการณ์ใหม่ในทุกมื้ออาหารที่สร้างความแตกต่างไปจากเดิม พร้อมกับโปรเลขมงคล 8 บาท 8 วัน มาสร้างไวรัลในสื่อโซเชียลที่พาไปสู่คอนเวอร์ชัน ได้จริง!!   ขอบคุณภาพจาก เพจ fb: Santa Fe’ Steak   Alternate-X สรุปให้  ตลาดร้านสเต็กในไทย ปี 2568 มูลค่าแตะ 9,000 ล้านบาท แข่งขันดุเดือดทั้ง Eat Am Are, Sizzler และแบรนด์ใหม่ The Steak & More ท่ามกลางศึกนี้ Santa Fe รีแบรนด์ครั้งใหญ่เป็น Santa Fe Happy Steak ใช้โทนสีสดใส พร้อมกลยุทธ์เข้าถึง Gen Z โดย FAB Food Holding ภายใต้การนำของ ‘เบียร์ ใบหยก’ เข้ามาขับเคลื่อนการรีแบรนด์ครั้งนี้ ต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าวสอดรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาอาหารคุ้มค่าและประสบการณ์ที่แตกต่าง ทำให้ตลาดสเต็กจึงกลายเป็นสมรภูมิสำคัญ ที่แบรนด์เก่าต้องปรับตัว และแบรนด์ใหม่พยายามสร้างพื้นที่ของตัวเอง  

August 18, 2025 / 0 Comments
read more

‘แสนสิริ’ เร่งโครงการฯ ทำเลศักยภาพ กรุงเทพฯ–ภูเก็ต รับสัญญาณบวกดอกเบี้ยลด 1.5%

BizKet

แสนสิริ  แผนอสังหาฯครึ่งหลังปี 68 โฟกัสโครงการทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ-ชลบุรี-ภูเก็ต มองบวกหลังกนง.ปรับดอกเบี้ย 1.5% มีผลทันทีปลุกแรงซื้อในตลาด   ‘วิชาญ วิริยะภูษิต’ ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เปิดเผยว่าบรรยากาศกำลังซื้อ (Sentiment) ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยในภาพรวมมีแนวโน้มเป็นบวก  หลังจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันทีนั้น มองว่าเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า กนง. พร้อมใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น   จากปัจจัยดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ เนื่องจากผู้บริโภคจะมีภาระการผ่อนชำระที่ลดลงและเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการเองก็จะมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคักได้   ขณะที่ บริษัทฯ วางแผนธุรกิจจากนี้ ยังคงให้ความสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในทำเลที่มีศักยภาพสูง ซึ่งมีความต้องการ (Demand) อย่างต่อเนื่องและไม่อ่อนไหวตามสภาพตลาด โดยเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ อาทิ   สราญสิริ จตุโชติ บุราสิริ จตุโชติ   พร้อมกันนี้ ยังเร่งเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในกรุงเทพฯ และเพิ่มแบ็คล็อก (Backlog) สนับสนุนรายได้ในระยะยาว และคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันยอดขาย โดยมีโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน อาทิ   เดอะ มูฟ สุขุมวิท 107 ดีคอนโด เซนส์ (บางแสน) โฟล บาย แสนสิริ เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9   นอกจากนี้ ยังเปิดโครงการใหม่ อาทิ   วาลเลส เฮาส์ เซลฟ์ บาย แสนสิริ ไวด์เด็นบาย แสนสิริ เดอะมูฟ บางหว้า   ขณะเดียวกัน ยังมุ่งขยายการพัฒนาโครงการไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยเฉพาะภูเก็ตกับแบรนด์เศรษฐสิริในช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้ รวมถึงเพิ่มโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน   วิชาญ กล่าวต่อ สำหรับผลประกอบการในครึ่งแรกปี2568 บริษัทฯ ทำรายได้รวมที่ 15,678 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,028 ล้านบาท โดยสามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึง 26,000   โดยในไตรมาสสองของปีที่ผ่านมา มีการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จากยอดโอนที่ดีขึ้นทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม รวมถึงตลาดพรีเมียม และ มีเดียม และยังรักษายอดโอนในตลาด Affordable ไว้ได้ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 8,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% QoQ  และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% QoQ   วิชาญ ย้ำว่า บริษัทฯ ยังเติบโตแข็งแกร่งแม้ตลาดยังมีความท้าทาย เป็นผลมาจากกลยุทธ์การบริหารพอร์ตสินค้าพร้อมขายอย่างมีประสิทธิภาพ และปัจจัยสนับสนุนจากโครงการคอนโดมิเนียมที่ภูเก็ต 2 โครงการส่งมอบตามกำหนด สร้างรายได้ทันที ได้แก่ เดอะ เบส ไรส์ และ เดอะ เบส บูกิต   สำหรับแนวราบมาจาก เดมี พระราม 9-เหม่งจ๋าย ที่ขายหมด (Sold Out) ก่อนวันพรีเซล สะท้อนความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริ และยังสามารถ Sold Out โครงการไปแล้วถึง 13 โครงการ มูลค่ากว่า 15,500 ล้านบาท   ‘SIRI’ เพิ่มจ่ายปันผล   วิชาญ  กล่าวว่า นอกจากนี้ แสนสิริยังตอกย้ำสถานะความมั่นคงด้วยการเป็น 1 ใน 30 หุ้น SETHD (SET High Dividend 30 Index) หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่โดดเด่นและสม่ำเสมอ (SIRI มี Dividend Yield เฉลี่ยกว่า 8% ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา)   โดยล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผล จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1มกราคม – 30 มิถุนายน 2568 ในอัตรา 0.05 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 กันยายน 2568 หากรวมกับรอบก่อนหน้าที่จ่ายปันผลแล้วที่0.08 บาทต่อหุ้น เท่ากับปีนี้ทั้งปีจ่ายปันผล 0.13 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 8.6% จากราคาปัจจุบัน   “การจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการที่ดีของแสนสิริ” วิชาญ กล่าว ขณะที่ บทวิเคราะห์จาก บล.กสิกรไทย (1 สิงหาคม 2568) ระบุว่า แนวโน้มกำไรของ SIRI ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าธุรกิจจะท้าทาย โดยยอดโอน backlog จะหนุนยอดขายและกำไรช่วงครึ่งหลังของปี 68 ให้สูงกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยคาดว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์และกำไรของ SIRI จะยังคงเพิ่มขึ้นทุกไตรมาสต่อจากนี้ โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 1.74 บาท ราคาหุ้นที่ไม่แพง (ซื้อขายด้วย P/E ปี 68 ที่ 5.7 เท่า) และ Dividend Yield ที่ดีถึง 8.8%   ‘แสนสิริ’ ซัพพอร์ต   วิชาญ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ในฐานะรายใหญ่ตลาดอสังหาฯ ยังคงให้ความสำคัญในการเป็นพลเมืองที่ดี (Good Citizen) หนึ่งใน DNA ของแสนสิริ ในการร่วมดูแลสังคมและประเทศในภาพรวม อาทิ ภารกิจสำคัญ No One Left Behind แสนสิริไม่ทอดทิ้งใคร ล่าสุดได้ร่วมกับพาร์ตเนอร์ส่งมอบของใช้จำเป็นเพื่อช่วยเหลือพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ตลอดจนสนับสนุนเกษตรกรไทยในการรับซื้อมังคุดและลำไย ส่งต่อผลไม้คุณภาพให้กับคู่ค้า แสนสิริคอมมูนิตี้ และชุมชนโดยรอบ     Alternate-X สรุปให้      แสนสิริเร่งเครื่องครึ่งหลังปี 2568 เตรียมเปิดโครงการใหม่ทั้งบ้านและคอนโดในทำเลศักยภาพ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต มองสัญญาณบวกอสังหาฯการลดดอกเบี้ย 1.5% ของ กนง. หนุนกำลังซื้อฟื้น ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดย บริษัทฯ เน้นกลยุทธ์พัฒนาโครงการพร้อมโอน เสริมแบ็คล็อกสร้างรายได้ระยะยาว และยังคงรักษาความแข็งแกร่งด้วยการเป็นหุ้น SETHD ปันผลเฉลี่ยสูงกว่า 8% คาดครึ่งหลังปีนี้กำไรและยอดขายโตต่อเนื่อง รับแรงหนุนตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง   ตลาดเช่าอสังหาฯภูเก็ต ขยายตัว พลัสฯโชว์พอร์ต ‘แสนสิริ’ ให้ยีลด์ 6-10% มาพร้อมบริการใหม่ ‘แสนสิริ’ โฟกัส ‘ภูเก็ต’ ใน 5 ปีหน้ามีกว่า55 โครงการ รวมที่แปลงใหญ่สร้างอาณาจักรอสังหาฯ แสนสิริไปชายแดน ส่งทีมจิตอาสาพร้อมพันธมิตร-คู่ค้า ลงพื้นที่อุบลฯ ร่วมแรงใจถึงแนวหน้า แสนสิริ ย้ำสูตร JV ไปต่อทุนญี่ปุ่น มิตซุย ฟุโดซังฯ ลุยครึ่งหลังปี68 ทำ2 โครงการฯกว่า 6 พันล. ครึ่งหลังปี68 ‘แสนสิริ’ บริหารพอร์ตอสังหาฯพร้อมอยู่-สร้างใหม่ เจาะนักลงทุนกรุงเทพฯ-ภูเก็ต แสนสิริ ปลุกแรงซื้อQ3 ปรับกลยุทธ์ตลาดตรงจังหวะ จัดโปรแรงทุกกลุ่ม 110 โครงการฯ  

August 18, 2025 / 0 Comments
read more

‘ไมเร็กซ์’ ใช้ 6 เหตุผลผู้บริโภคไทยรุ่นใหม่ชอบทำอาหาร เจาะตลาดเครื่องครัว 3.5 หมื่นล.

BizKet

‘ไมเร็กซ์’ ดึงอินไซต์ Home Cooking คนไทยรุ่นใหม่ชอบทำอาหาร ทำตลาดผ่านแนวคิด ‘EASY COOKING BY MEYER’ วางป้าปี 68 ดันยอดขายเพิ่ม 15% รับตลาดเครื่องครัวไทย 3.5 หมื่นล้านบาท   โจเซฟ โล ผู้จัดการทั่วไปและผู้อำนวยการ บริษัท ไมย์เออร์ อินดัสตรีส์ จำกัด และ บริษัท ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรม Cookware and Bakeware ระดับท็อปของโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแนวทางการทำธุรกิจโดยมุ่งให้ความสำคัญกับทีมวิจัยและพัฒนา (R&D:Research and Development) พร้อมศึกษาข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน เพื่อนำมาวิเคราะห์เชิงลึก (Consumer Insight) พร้อมวางแผนพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายจากภายนอกสู่ภายใน (Outside-In) ให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกรุ่น เจนเนอเรชั่น)   ทั้งนี้ จากกการเก็บรวบรวมข้อมูลล่าสุด พบว่า คนไทยยุคใหม่อายุระหว่าง 18 – 45 ปี อาศัยอยู่ในคอนโดและบ้านพัก มีแนวโน้มเข้าครัวทำอาหารรับประทานเองเพิ่มขึ้น 10-15% จากปัจจัยบวกด้านการดูแลสุขภาพและรูปร่าง, ภาวะความผลันผวนทางเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมี 6 เหตุผลหลักที่ทำให้กลุ่มผู้บริโภคสนใจทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน ประกอบไปด้วย   ใส่ใจเรื่องสุขภาพและโภชนาการ ได้เลือกวัตถุดิบที่ดี สะอาด สดใหม่ มีคุณภาพ นำมาปรุงอาหารตามต้องการ เพื่อดูแลรูปร่างและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆในอนาคต ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะเมนูยอดนิยมที่มีราคาสูงในร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งสามารถวางแผนเลือกวัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยมและทำตามได้ง่ายๆในงบประมาณที่จำกัด ผ่อนคลายความตึงเครียด การเข้าครัวทำอาหารต้องโฟกัส อาศัยสมาธิ การเรียนรู้ ความตั้งใจ เป็นส่วนสำคัญช่วยบำบัดสมอง ฟื้นฟูอารมณ์และจิตใจ เชื่อมความสัมพันธ์ ลดอาการเสพติดโซเชียลมีเดีย มีกิจกรรมให้ทำด้วยกัน สร้างความรู้สึกอบอุ่นใกล้ชิดกันมากขึ้นภายในครอบครัว ความภาคภูมิใจที่มากกว่ารสชาติ แม้ว่าจุดเริ่มต้นอาจมีบางครั้งที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่ประสบการณ์จากการได้ลงมือฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเอาชนะใจตัวเอง และสร้างความเป็นมืออาชีพได้ในอนาคต ตัวช่วยในการทำอาหาร ปัจจุบันมีนวัตกรรมเครื่องครัวที่สามารถช่วยให้การทำอาหารเป็นเรื่องสนุก ง่าย รวดเร็ว ไม่ยุ่งยากอีกต่อไป อีกทั้งยังมีดีไซน์สวยทันสมัยเหมาะกับทุกเจนทุกไลฟ์สไตล์ เป็นแรงกระตุ้นให้อยากเข้าครัวทำอาหารและแชร์โมเม้นท์แห่งความสุขในโลกโซเชียลมีเดีย     จากแนวโน้ม ดังกล่าว ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) ได้นำมามาปรับใช้ร่วมกับการทำตลาดผ่านกระแส Home Cooking ด้วยแคมเปญ ‘EASY COOKING BY MEYER’ พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจในการเข้าครัว ให้การทำอาหารเป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ได้สุขภาพดี ภายใต้แนวคิด If you cook, you’re chef พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมเครื่องครัวคุณภาพจากแบรนด์ MEYER พร้อมกัน 2 รุ่น ได้แก่   MEYER Multipan 6 in 1 มาพร้อมความโดดเด่น การดีไซน์ที่เรียบง่ายเป็นเอกลักษณ์ พร้อมสารเคลือบลื่นกระทะเซรามิค เพิ่มความแข็งแรงทนทานขึ้น 8 เท่า มีฟังก์ชั่น 6 in 1 ตอบโจทย์ทุกเมนูทั้ง ผัด ต้ม แกง ทอด ได้ในกระทะใบเดียว ปลอดภัยสำหรับการปรุงอาหารที่อุณหภูมิร้อนจัด ใช้ได้กับเตาทุกประเภท รวมถึงเตาแม่เหล็กไฟฟ้า ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารยุคใหม่ที่อาศัยอยู่ในคอนโดและบ้านพัก   MEYER Easy Cooker หม้ออัดแรงดันไมโคเวฟ 3-in-1 อเนกประสงค์ สามารถสร้างสรรค์เมนูสุดฮิตผ่านไมโครเวฟ ทั้ง ต้ม ตุ๋น ผัด ได้ครบจบในหม้อเดียวในระยะเวลาเพียง 15 นาที คงความอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการ สามารถทนความร้อนได้ถึง 140°C มีระบบระบายแรงดันอัตโนมัติ ปลอดภัย 100% ผ่านมาตรฐาน มอก. และ BPA Free ปลอดสารก่อมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหนก็สามารถทำได้ง่ายๆ เหมาะสำหรับมือใหม่ฉบับเริ่มต้น รวมไปถึงผู้ที่เร่งรีบมีเวลาจำกัด แต่ยังคงชื่นชอบการทำอาหารที่สะดวกสบายและรวดเร็ว   โจเซฟ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เตรียมงบประมาณกว่า 30% ของยอดขายในการทำตลาดและประชาสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ ตอกย้ำแบรนด์ผลิตภัณฑ์ Branding ทั้งแมส มีเดีย และโซเชียล มีเดีย ในทุกช่องทางได้แก่ Facebook : meyercookware, Instagram: meyerthai, Web site : potsandpans.in.th และ Line : @meyercookware เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ และรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมที่ต้องการอัปเกรดเครื่องครัวที่ตอบโจทย์การใช้งานยิ่งขึ้น รวมถึงใช้อินฟลูเอ็นเซอร์ที่น่าเชื่อถือเป็นหลัก   ทั้งนี้ ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัยอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม และยังมุ่งเน้นการผลิตแบบ Net Zero รักษาสิ่งแวดล้อม Reduce GHG emission, Reduce waste to landfill, and Corporate Social Responsibility (CSR)   โดยสินค้า วางจำหน่ายทั้งในช่องทางห้างสรรพสินค้าชั้นนำ , โชว์รูมไมย์เออร์ และในแพล็ตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Shopee, Lazada, TikTok Shop   ทั้งนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 15% ภายในสิ้นปี 2568  แบ่งเป็น วางยอดขายในห้างสรรพพสินค้าชั้นนำ-โชว์รูมไมย์เออร์ 50% และช่องทางออนไลน์อื่นๆ อีก 50% จากปัจจุบันเครื่องครัวไทยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท Alternate-X สรุปให้    ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) เจาะกลุ่ม Home Cooking คนไทยรุ่นใหม่ด้วยแคมเปญ ‘EASY COOKING BY MEYER’ เน้นทำอาหารง่าย สะดวก และสุขภาพดี พร้อมเปิดตัว MEYER Multipan 6-in-1 และ MEYER Easy Cooker 3-in-1 ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่อาศัยคอนโดและบ้านพัก ใช้งบการตลาด 30% ของยอดขาย ดันรายได้เพิ่ม 15% ภายในปี 2568 สะท้อนแนวโน้มการขยายตัวตลาดเครื่องครัวไทยมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท

August 18, 2025 / 0 Comments
read more

VannDa แรปเปอร์กัมพูชา ถูก Coca-Cola ถอดจากแบรนด์แอมฯ เมื่อคนดัง ‘Callout’

BizKet

จากเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ก่อตัวเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 และยังมาพร้อมกระแสปลุกความตื่นตัวจากแนวหลังของคนทั้งสองชาติ ให้พร้อมรบในโลกไซเบอร์ที่ดุเดือด ได้ไม่แพ้แนวหน้า !!   โดยเฉพาะ กระแสแฮชแทค #แบนโค้ก ที่ก่อตัวขึ้นจากฝั่ง ‘Netizen’ ของผู้บริโภคชาวไทย กับการรณรงค์ให้ยุติการดื่มผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมแบรนด์โค้ก (Coca-Cola Coke) ไปจนกว่าแบรนด์ระดับโลกดังกล่าวจะถอดคนดังชาวกัมพูชา ‘ วัณณ์ฎา‘ ( ម៉ាន់ វណ្ណដា) หรือ ‘VannDA’  แวนดา แร็ปเปอร์ คนดังชาวกัมพูชา ที่เคยสร้างชื่อให้ชาวโลกได้รู้จักในตัวเขาและประเทศกัมพูชาได้มากขึ้น จากการโชว์ในมหกรรมพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค 2024 ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่ผ่านมา   สถานการณ์ล่าสุด แม้จะยังไม่สามารถสรุปความชัดเจนได้ว่าเป็นการทำงานจากกระแส แฮชแทค #แบนโค้ก หรือไม่?? หลังสำนักข่าว KHMER TIMES รายงานข่าวพร้อมพาดหัวระบุ ‘ประธานวุฒิสภากัมพูชา (จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน) ขอให้ประชาชนกัมพูชา สงบสติอารมณ์หลัง Coca-Cola ยกเลิกการสนับสนุนกับ VannDa ซูเปอร์สตาร์ฮิปฮอปชาวกัมพูชา   รายงานข่าวชิ้นนี้ เผยเนื้อหาอ้างอิงจากเฟซบุ๊ค ฮุนเซน เรียกร้องให้ประชาชนกัมพูชาใช้ความระมัดระวังและพิจารณาอย่างรอบคอบในการประเมินกรณีที่บริษัท Coca-Cola ยกเลิกการสนับสนุนศิลปินแร็พชื่อดังของกัมพูชาอย่าง VannDa   โดยโพสต์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเที่ยงคืนที่ผ่านมา หลังเกิดกระแสความโกรธของชาวกัมพูชาที่กราดบนสื่อโซเชียล และคว่ำบาตรบริษัทโคคา-โคล่า เนื่องจากบริษัทได้ยกเลิกสัญญาโฆษณากับ VannDa แร็ปเปอร์ดคนดังกล่าว   อย่างไรก็ตาม การเลิกจ้างยังไม่ได้รับการยืนยันหรือปฏิเสธอย่างเป็นทางการ แต่ชาวเน็ตกัมพูชาออกมาแสดงปฏิกิริยาโกรธเคืองต่อการที่โพสต์และรูปภาพของแร็ปเปอร์ชาวกัมพูชาชื่อดังถูกลบออกไป   ขณะที่ ก่อนหน้านี้ Coca-Cola เคยร่วมมือกับ Vannda โดยนำเสนอเขาในแคมเปญและมิวสิควิดีโอต่างๆ รวมถึงแคมเปญ ‘Pass on the Magic’   ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว  ‘ภวัต เรืองเดชวรชัย’ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (President & CEO) ของกลุ่ม MI (Media Intelligence Group) ได้เคยให้มุมมองต่อภาพลักษณ์ของคนดังที่มีผลต่อการทำตลาดของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ไว้อย่างน่าสนใจว่า การออกมา Call-out แสดงจุดยืนของ ‘VannDa’ ที่มีต่อประเทศกัมพูชาในเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ในช่วงสั้นอาจส่งผลดีกับตลาดภายในประเทศของกัมพูชาเองมากกว่า   “แต่ถ้าวันใด หากมีข้อสรุปออกมาแล้วว่าใครคือสีขาว หรือ สีดำ อาจมีผลกระทบตามมา ด้วยระดับโกลบอลแบรนด์ ต่างๆ จะมี กฎเกณฑ์ compulsory ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนในกิจกรรมด้านใดบ้าง”   อย่างไรก็ตาม จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาไม่ถึงเดือน หลังการออกมาเคลื่อนไหวของศิลปินคนดังกัมพูชารายดังกล่าว ที่แม้ว่าจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นผลงานของแฮชแทค#แบนโค้ก จากฝั่งไทยหรือไม่ก็ตาม?   แต่สิ่งที่ชวนคิดตามมา คือ มูลค่าของตลาดน้ำอัดลม (CSD) ในไทย ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลจาก Statista เผยว่าตลาดน้ำอัดลมในกัมพูชากำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้รวมของตลาด Soft Drinks ทั้งในและนอกบ้านในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 473.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (ราวกว่า 1.6–1.7 หมื่น ล้านบาท/อัตราแลกเปลี่ยน 35–37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ จากการเติบโตเชิงมูลค่า 255.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2565   และ เมื่อเทียบขนาดของตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในทั้ง2 ประเทศแล้ว อาจเป็นหนึ่งในชุดข้อมูลที่ผลิตภัณฑ์แบรนด์ระดับโลกใช้นำมาประกอบการตัดสินใจยุติคนดังกัมพูชารายดังกล่าวในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อรักษากำลังซื้อในตลาดที่มีศักยภาพกว่า หรือด้วยเหตุผลอื่นมาประกอบตาม compulsory ของแบรนด์ หรือไม่? อีกเช่นกัน   อย่างไรก็ตาม เหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนชัดถึงความเกี่ยวพันทั้งในมิติ การเมือง สังคม และการตลาดที่สะท้อนภาพสู่เศรษฐกิจระดับท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ด้วยหากเป็นการปลด VannDa จากการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์จริง ยังเป็นกรณีศึกษาสำคัญของความท้าทายทาง Brand Positioning ในตลาดที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองสูง ทำให้แบรนด์ระดับโลกต้องมีนโยบายชัดเจนในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการขัดแย้งทางอุดมการณ์   และยังเป็นหนึ่งในกรณีศึกษา Brand สำคัญ ด้าน ‘Soft Power’ จากตัวบุคคลอย่าง VannDa ที่ทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมดนตรีของชาติกัมพูชา ที่นำมาขยายผลสู่การเมือง แต่สร้างแรงกระเพื่อมไปต่อแบรนด์ ธุรกิจ และภาพลักษณ์ประเทศได้   Alternate-X สรุปให้      กรณี ‘VannDa’ แรปเปอร์กัมพูชา ถูก Coca-Cola ถอดจากแบรนด์แอมบาสเดอร์หลังเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา กระแส #แบนโค้ก ถูกจุดขึ้นโดยผู้บริโภคไทย แม้ยังไม่ยืนยันผลลัพธ์อย่างชัดเจน แต่สะท้อนถึงแรงกระเพื่อมทางการเมือง สังคม และ Soft Power ของคนดังต่อแบรนด์ระดับโลก การตัดสินใจครั้งนี้ชี้ให้เห็นความท้าทายของ Brand Positioning และการบริหารความเสี่ยงในตลาดที่อ่อนไหวทางการเมือง   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง   แฮชแทก #แบนโค้ก เดือด! พลังคนดัง ‘แวนดา’ จุดชนวนสงครามไซเบอร์ข้ามพรมแดนสู่แบรนด์โลก

August 18, 2025 / 0 Comments
read more

‘ออริจิ้น’ ครึ่งแรกปี68 ทำยอดพรีเซลกว่า 1.4 หมื่นล. แผนQ3เร่งโอนคอนโด-ทำตลาดพร้อมอยู่

BizKet

‘ออริจิ้น’ แผนเติมสภาพคล่องขายหุ้นอินเตอร์คอนฯ กำเงินสดรอบุ๊คกำไรไตรมาส3  ปักหมุด‘ภูเก็ต-เชียงใหม่’ ขยายพอร์ตโรงแรมเมืองท่องเที่ยว หลังครึ่งแรกกวาดพรีเซลกว่า 1.4 หมื่นล.บาท ทำได้ 47% แล้วจากเป้า 3 หมื่นล.บาทในปี 68   พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า บริษัทฯ มียอดขาย (Presale) ครึ่งปีแรก กว่า 14,049 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่วางไว้ราว 3 หมื่นล้านบาท   โดยยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็น   โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ORIGIN VERTICAL ประมาณ 81% จำนวน 11,434 ล้านบาท ยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรภายใต้แบรนด์ BRITANIA ประมาณ 19% จำนวน 2,615 ล้านบาท   สำหรับยอดขายดังกล่าว มาจาก   กลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ราว 57% ยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เปิดขายใหม่ (New Launch) และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) รวมกันราว 43 %   โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม (รวมโครงการ JV) ทั้งสิ้นกว่า 3,610 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น   โครงการที่บริษัทฯพัฒนา (Non-JV) 2,190 ล้านบาท โครงการร่วมทุน (JV) 1,420 ล้านบาท   ส่งผลให้มีกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2568 จำนวน 319 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)   ขณะที่ ในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ  คือ   GRAND BRITANIA กรุงเทพกรีฑา-สุวรรณภูมิ BRITANIA บางแสน   โดยกลุ่มบริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ในการหาช่องทาง/กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้น เช่น   ตลาดต่างชาติเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สอง (Second Home) Big lot สำหรับกลุ่ม Corporate / นักลงทุน กลุ่มนักลงทุน ที่มีความสนใจคอนโดฯเพื่อการลงทุน กลุ่มลูกค้าที่ต้องการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้   นอจากนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ ได้โอนกรรมสิทธิ์บิ๊กล็อต โครงการ ‘Origin Plug & Play E22 Station’ ให้กับ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA กว่า 278 ยูนิต   “นับเป็นความสำเร็จ ที่สะท้อนถึงความไว้วางใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง DELTA และสะท้อนถึงโอกาสของตลาดที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้าใกล้แหล่งงาน ที่ตอบโจทย์ตลาดแบบ B2B”  พีระพงศ์ กล่าว   ขณะเดียวกัน บริษัทฯ สามารถปิดดีลขายพื้นที่รีเทล โซน 10th Avenue แบบเหมาชั้น มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ในโครงการ ‘ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์’ ให้ นายอังเดร คู (Andre Koo) มหาเศรษฐีแห่งไต้หวัน เจ้าของ Chailease Group ธุรกิจลีสซิ่งยักษ์ใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชีย ที่ขยายธุรกิจมายังอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย   ต่อการขายบิ๊กล็อตในครั้งนี้ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งโครงการ ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ โครงการอสังหาฯ ในรูปแบบ Freehold Mixed-Use  มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,000 ล้านบาท ที่พร้อมปั้นโซนรีเทล 10th Avenue ให้เป็นศูนย์รวมร้านอาหารระดับโลกบนทำเลใจกลางทองหล่อ   ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 บริษัทมี Backlog รวมทั้งสิ้นกว่า 43,336 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 5 ปี และมีโครงการคอนโดฯที่เสร็จใหม่และเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ ในช่วงไตรมาส 3/2568 อีก 4 โครงการ คือ   ดิ ออริจิ้น เพลส บางนา ดิ ออริจิ้น บางแค ดิ ออริจิ้น พหล57 เดอะ แฮมป์ตัน สวีท ระยอง   โดยมี Backlog ในส่วนของคอนโดฯ 4 โครงการ ดังกล่าวแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท   พีระพงศ์ กล่าวต่อ สำหรับธุรกิจโรงแรม  ปัจจุบันมีธุรกิจโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง และอีก 3 แห่งจะเปิดใหม่ในปี 2568 นี้ โดย 2 แห่งเป็นการ Re-opening โรงแรมที่เข้าซื้อกิจการ (acquire) เมื่อปี 2566 ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ตและเชียงใหม่ และอีก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ   ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ สามารถยกระดับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน รวมถึงสามารถดำเนินกลยุทธ์ในการขายโรงแรมในราคาที่สอดคล้องกับศักยภาพของทรัพย์สินได้ตามแผนธุรกิจ   ล่าสุดกลุ่มบริษัทฯ ได้ปิดดีล ขายหุ้นโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก สุขุมวิท ทั้งหมดที่ถืออยู่ 51% ให้กับ Ci:z Technologies บริษัทที่ประกอบธุรกิจด้าน Nursing Home การพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพยาบาลและสวัสดิการ และอสังหาริมทรัพย์   รวมทั้งธุรกิจให้คําปรึกษาและธุรกิจเสริมอื่นๆ ในเครือ Ci:z Holdings Co., Ltd. ยักษ์ใหญ่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดรับสุทธิ (Extra Cash) เพิ่มขึ้นกว่า 800 ล้านบาท และสามารถรับรู้กำไรได้ในรอบไตรมาส 3 ปี 2568   โดย กลุ่มบริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับศักยภาพการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การบริหารพอร์ตสินทรัพย์ระยะยาวได้อย่างเหมาะสม ตามแผนธุรกิจของบริษัทร่วมทุน   ส่วนธุรกิจคลังสินค้า (Warehouse) ของกลุ่มบริษัทฯ รวมพื้นที่กว่า 410,744 ตารางเมตร ซึ่ง ณ ไตรมาส 2/2568 มีพื้นที่เปิดดำเนินการแล้วกว่า 311,850 ตารางเมตร มีอัตราการเช่า 95% ตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 1 ล้านตารางเมตร ตามแผนการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบัน  มี 9 โลเคชั่นในทำเลยุทธ์ศาสตร์สำคัญ ได้แก่ ทำเล   รังสิต บางนา กม.22 บางนา กม.19 บางนา กม.23 แหลมฉบัง พานทอง เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)     สำหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจ   1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 170 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 2/2568) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) โซ ออริจิ้น (So Origin) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ดิ ออริจิ้น (The Origin) เคนซิงตัน (Kensington) แฮมป์ตัน (Hampton) ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) บริกซ์ตัน (Brixton) บริทาเนีย (Britania) เป็นต้น รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 254,967 ล้านบาท โดยกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร หรือที่อยู่อาศัยแนวราบ ดำเนินการภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ส่วนกลุ่มโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม ดำเนินการภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL   2.กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก   3.กลุ่มธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์   4.กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร     Alternate-X สรุปให้  ออริจิ้น โชว์ผลงานครึ่งปีแรกกวาดพรีเซลกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปี 3 หมื่นล้านบาท พร้อมแผนปรับพอร์ตสินทรัพย์ ขายหุ้นอินเตอร์คอนติเนนตัล สุขุมวิท ให้ Ci:z Technologies รับเงินสดกว่า 800 ล้านบาท รอรับรู้กำไรไตรมาส 3 ส่วนธุรกิจโรงแรมขยายทำเลภูเก็ตและเชียงใหม่ รวมโรงแรมเปิดดำเนินงานแล้ว 9 แห่ง และจะเพิ่มอีก 3 แห่งในปี 2568 โดยไตรมาส 2 ทำรายได้จากการโอนโครงการกว่า 3,610 ล้านบาท กำไรสุทธิโต 3 เท่า QoQ พร้อม Backlog กว่า 4.3 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้ต่อเนื่อง 5 ปี ธุรกิจคลังสินค้ามีพื้นที่เปิดดำเนินการแล้วกว่า 3.1 แสน ตร.ม. ตั้งเป้าขยายเป็น 1 ล้าน ตร.ม. เดินหน้ากลยุทธ์ Diversify สู่เมกะเทรนด์ระยะยาว  

August 16, 2025 / 0 Comments
read more

ยาสมุนไพรไทยโตแรง! ‘สุภาพโอสถ’ กำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 205% ดัน JSP สู่รายได้พันล้าน

BizKet

JSP เปิดยอดขายแบรนด์สุภาพโอสถ โค้งแรกของปี68 กำไรโต 205.7% ไปต่อครึ่งหลังลุยโออีเอ็ม ดันรายได้ 900 – 1,000 ลบ.ตามเป้า     สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกรรมการ บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) เปิดเผยว่า ในงวดครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทฯมีผลการดำเนินธุรกิจออกมาอย่างโดดเด่น โดยมีรายได้รวมสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 355 ล้านบาท   ขณะเดียวกันบริษัทมีกำไรสุทธิในครึ่งปีแรก ที่ 31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 205.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท   ขณะที่ผลการดำเนินงานเฉพาะไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีรายได้ 263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  96.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้บริษัทจึงประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด 0.0526 บาทต่อหุ้น โดยจะดำเนินการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 ก.ย. 68     สิทธิชัย กล่าวว่า ในปี 2568 ถือเป็นปีที่ JSP เดินตามโรดแมพที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเริ่มมีสัญญาณของการดำเนินงานที่ดีมาตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดย JSP จะยังคงเดินตามโรดแมพระยะ 3- 5 ปีที่วางไว้คือการก้าวสู่ผู้นำธุรกิจด้านสุขภาพครบวงจร ทั้งจากการเติบโตภายในและและการซื้อกิจการที่มีศักยภาพและต่อยอดให้กับธุรกิจหลัก ซึ่งปัจจุบัน JSP ครอบคลุมธุรกิจด้านสุขภาพผ่านบริษัทต่างๆดังนี้   1.บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) โรงงานผลิตยาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรที่ได้มาตรฐาน GMP-Pic/S และดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Own Brand ภายใต้แบรนด์ “สุภาพโอสถ” และดำเนินธุรกิจการรับจ้างผลิต (OEM) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคนและสัตว์ ยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร และเครื่องสำอาง   2.บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด (มหาชน) (GWM) ดำเนินธุรกิจธุรกิจโรงงานผลิตน้ำยาล้างไต (A-B Solution) ดำเนินธุรกิจผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำยาสำหรับผู้ป่วยฟอกไต รวมถึงนำเข้า – ส่งออกเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ ได้แก่ เครื่องฟอกไตเทียม, เข็มต่อสายฟอกเลือด และอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเลือด   อีกทั้งยังมีบริษัทวารี เมดิคอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกภายใต้ GWM ที่ให้บริการด้านการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบน้ำบริสุทธิ์ (RO) และจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องกรองน้ำและติดตั้งระบบน้ำบริสุทธิ์ให้กับศูนย์ฟอกไตของ GWM และลูกค้ารายอื่นๆ นอกจากนี้ยังจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเวชสำอางสำหรับผู้ป่วยฟอกไต   3.บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (CDIP) ประกอบธุรกิจด้านการรับจ้างวิจัยเชิงวิชาการในห้องปฏิบัติการ รับจ้าง ทดสอบและวิเคราะห์ผลทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงจัดงานฝึกอบรมและสัมมนา และส่วนงานให้คำปรึกษาการยื่นขอทุนวิจัยด้านการวิจัยและพัฒนา   โดยธุรกิจของ CDIP ถือเป็นธุรกิจต้นน้ำสำหรับการนำไปต่อยอดด้านการผลิตยา อาหารเสริม รวมถึงเครื่องสำอาง สำหรับคนและสัตว์ ซึ่งมีจุดเด่นคือ ธุรกิจนี้ยังมีผู้เล่นน้อยรายในประเทศไทย จึงถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคตของ JSP   4.บริษัท แคร์ซูติก จำกัด บริษัทที่ให้บริการด้านอินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ ที่มีทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงรับจ้างผลิต (OEM) ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอาง รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคน และสำหรับสัตว์ ที่ครอบคลุมทั้งสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เช่น สุนัข และแมว และสัตว์ในการเลี้ยงสำหรับการทำปศุสัตว์ เช่น หมู ไก่ เป็นต้น เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการกลุ่มขนาดกลางขนาดย่อมและรายย่อย (MSMEs ) แม่ค้าออนไลน์ เน็ตไอดอล รวมถึงบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจและต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์ด้วยตัวเอง ด้วยเงินลงทุนที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเริ่มต้นเพียง 1 แสนบาท ซึ่งกลุ่มลูกค้าของแคร์ซูติกจะแตกต่างจากลูกค้าของ JSP คือเป็นกลุ่มรายย่อย ที่มีเงินทุนจำกัด   5. บริษัท เมดิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Medis) ให้บริการตู้จำหน่ายยาอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง ภายใต้ชื่อ ‘ตู้ยา อุ่นใจ ใกล้คุณ 24 ชั่วโมง’ เพื่อจำหน่ายยาสามัญประจำบ้านและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยมีเป้าหมายที่จะขยายตู้ยาไปยังชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นอีกช่องทางการกระจายสินค้าให้กับ JSP ได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกช่องทางหนึ่ง   สิทธิชัยกล่าวว่า “เราดำเนินธุรกิจตามโรดแมพระยะยาวที่วางไว้ ในช่วง 3 ปีก่อนหลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เราได้นำเงินมาลงทุนในการขยายกิจการทั้งเครื่องจักร และลงทุนในการซื้อกิจการ ซึ่งปัจจุบันเราก้าวเข้าสู่ช่วงของการเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการลงทุนที่สะท้อนทั้งยอดขายสินค้าที่ดีขึ้น และรายได้ของบริษัทลูกที่เติบโตขึ้น”    ทั้งนี้ในปี 2568 เมื่อต้นปี บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 900 – 1,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังคงเป้าหมายเดิมไว้ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะไม่สดใส แต่โครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและคนวัยทำงานที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้นก็เป็นปัจจัยผลักดันให้ธุรกิจของ JSP เติบโตได้ต่อเนื่อง   “ในครึ่งปีหลังจะเน้นการเดินหน้าเพิ่มรายได้จากธุรกิจ OEM ให้ขึ้นมาเทียบเท่ารายได้จากการจำหน่ายสินค้า” สิทธิชัยกล่าว     Alternate-X สรุปให้   JSP โชว์ศักยภาพแบรนด์ สุภาพโอสถ ครึ่งแรกปี 2568 กำไรพุ่งแรงกว่า 205% ทำสถิติสูงสุดใหม่ทั้งรายได้และกำไร โดยบริษัทประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล พร้อมรักษาเป้าหมายรายได้ทั้งปี 900 – 1,000 ล้านบาท แม้เศรษฐกิจชะลอ ปัจจัยบวกมาจากเทรนด์สังคมผู้สูงอายุและคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยครึ่งปีหลัง JSP เตรียมรุกหนักธุรกิจ OEM เพิ่มรายได้อีกแรง ขับเคลื่อนพอร์ตสู่การเติบโตระยะยาว พร้อมเดินหน้าตามโรดแมพสู่การเป็นผู้นำธุรกิจสุขภาพครบวงจร ผ่านการขยายการผลิตและการลงทุนในธุรกิจเสริม  

August 16, 2025 / 0 Comments
read more

GPSC ปรับพอร์ตธุรกิจ เน้นลงทุน-สร้างผลตอบแทน หลังปิดดีลขายหุ้น ‘ESCE’ 33.33%

BizKet

GPSC ปรับพอร์ตลงทุนรับการเติบโตพลังงาน หลังบรรลุข้อตกลงขายหุ้น โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ให้ Veolia คาดปิดดีลสิ้นปี 2568   พรรณพร   ศาสนนันทน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน   บริษัท  โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา บริษัท โกลว์ ไอพีพี 3 จำกัด (GIPP3) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ GPSC ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นที่ถือทั้งหมด 33.33% ในบริษัท อีสเทิร์นซีบอร์ด คลีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (ESCE) ที่ถือบริษัท ชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (CCE)  ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นอันตราย ด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 8.63 เมกะวัตต์ ให้กับผู้ซื้อบริษัท วีโอเลีย เอ็นไวรอนเมนทัล เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่ารวม 354 ล้านบาท และคาดว่าการทำธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568   การบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างพอร์ตการลงทุนในกลุ่ม GPSC ที่ดำเนินการมาต่อเนื่อง และสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว   ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านการบริหารการเงินและสภาพคล่อง พร้อมต่อยอดโอกาสการลงทุนใหม่ และโครงการที่รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด   การดำเนินกลยุทธ์ GPSC มุ่งหวังยกระดับประสิทธิภาพการใช้เงินทุน ลดความเสี่ยงสินทรัพย์ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจและเพิ่มความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น พร้อมรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน         Alternate-X สรุปให้     GPSC ปรับโครงสร้างพอร์ตลงทุนรับอนาคตพลังงานสะอาด ขายหุ้นโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ESCE ให้ Veolia มูลค่า 354 ล้านบาท คาดปิดดีลสิ้นปี 2568 เสริมความยืดหยุ่นด้านการเงินและสภาพคล่อง สอดคล้องทิศทางเติบโตระยะยาว พร้อมต่อยอดโครงการใหม่ มุ่งสร้างผลตอบแทนมั่นคงและพอร์ตลงทุนแข็งแกร่งยั่งยืน

August 16, 2025 / 0 Comments
read more

‘ลำปาง’ เมืองเที่ยวยั่งยืน โปรเจกต์ ‘Village to the World’ จังหวัดนำร่องดึงเอกชนลงทุน ESG

BizKet,  EcoVative,  Peace&Play

‘ลำปาง’ จังหวัดนำร่องการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน ในโครงการ ‘Village to the World’  จาก 3 พันธมิตร ‘ททท.-สวธ.-ไทยแอร์เอเชีย’ เชื่อมวัฒนธรรมสู่โมเดลลงทุนทางสังคมในภูมิภาค   การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) และพันธมิตรภาคเอกชน ไทยแอร์เอเชีย ในโครงการ Village to the World #SustainableAgenda การท่องเที่ยวยั่งยืนต้องเริ่มต้นจาก ‘ความร่วมมือที่จับต้องได้จริง’   โดยนำร่องส่งพนักงานลงพื้นที่จริงในชุมชนลำปางผ่านกิจกรรม ‘Journey D x 4 ส สู้เพื่อโตต่อ’ ซึ่งโครงการฯ นี้ เป็นการวางหมากสำคัญในการเชื่อมโยงกลยุทธ์ ESG ของภาคธุรกิจ เข้ากับ ‘การท่องเที่ยวโดยชุมชน’ ซึ่ง ททท. วางเป้าหมายยกระดับเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนทางสังคม ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ถือหุ้น นักลงทุน และชุมชนอย่างแท้จริง   พร้อมพลิกบทบาทขององค์กรธุรกิจจาก ‘ผู้สนับสนุน’ มาเป็น ‘พันธมิตรร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวก’ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าในพื้นที่ลำปาง   ทั้งนี้ กลุ่มพนักงานไทยแอร์เอเชีย ที่ผ่านการอบรม 4 ส. ‘สนุก-สไตล์-สัมพันธ์- สร้างสรรค์ เป็นทูตวัฒนธรรมองค์กรของไทยแอร์เอเชีย สมัครลงพื้นที่จริงเพื่อร่วมกิจกรรมวัฒนธรรมกับชุมชน อาทิ พิธี ‘ยอคุณแม่น้ำวัง’ ประเพณีโบราณที่ถูกฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ ด้วยการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น   เที่ยวให้เพลินเกิดการเรียนรู้ กัปตันภราดร ขำปรางค์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการการบิน สายการบินไทยแอร์เอเชีย ได้กล่าว ในพิธีเปิดว่า ในฐานะนักบิน เราใส่ใจเรื่องประสิทธิภาพและคาร์บอนฟุตพรินต์เสมอ แต่วันนี้ เราได้เห็น ‘ความยั่งยืนบนแผ่นดิน’ ผ่านมือของชาวลำปางที่ช่วยกันสร้างคุณค่าร่วมใหม่ด้วยวัฒนธรรม   “ผมภูมิใจอย่างยิ่งที่ Allstars จากทุกแผนกมาร่วมกิจกรรมนี้ เราไม่ได้มาเที่ยว แต่เรามาเรียนรู้เพื่อกลับไปทำงานอย่างเข้าใจ ว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่แนวคิดในเอกสาร แต่มันเริ่มต้นจากหัวใจที่เชื่อ และมือที่ลงมือทำ” กัปตันภราดร กล่าว   ด้าน ‘ทอปัด สุบรรณรักษ์’ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สายการบินไทยแอร์เอเชีย เสริมว่า Journey D ไม่ใช่แค่กิจกรรม CSR แต่คือการพา Allstars ไปเข้าใจคำว่า Sustainabilityอย่างลึกซึ้งผ่านการมีส่วนร่วมกับชุมชน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และคุณค่าร่วมที่จับต้องได้   กิจกรรมนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิดวัฒนธรรมองค์กร “4 ส.” ของแอร์เอเชีย ได้แก่ สนุก ท้าทาย กับการเรียนรู้สิ่งใหม่ มีสไตล์ ที่แตกต่างในการทำงานร่วมกันอย่างเคารพความต่าง สัมพันธ์ ที่เชื่อมคนในองค์กรกับชุมชน และ สร้างสรรค์ยั่งยืน ที่นำพาธุรกิจให้เติบโตอย่างมีความหมาย   สำหรับ โครงการ Village to the World ยังวางเป้าหมายเชิงโครงสร้างโดยเปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถลงทุนทางสังคมร่วมกับชุมชนต้นแบบผ่านกิจกรรมที่สามารถวัดผลเชิง ESG ได้จริง พร้อมทั้งสร้างกลไกเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือ สู่การยกระดับ ESG Investment ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม   โดยททท. ตั้งใจให้โครงการนี้เป็น ‘จิ๊กซอว์’ สำคัญที่เชื่อมโยง ชุมชน-ธุรกิจ-ธรรมาภิบาล เข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ และกิจกรรมของไทยแอร์เอเชียที่ลำปางครั้งนี้ ถือเป็นต้นแบบของการนำยุทธศาสตร์ ESG มาสู่การปฏิบัติจริงในระดับองค์กรและพื้นที่     Alternate-X สรุปให้   ลำปางเปิดเกมนำร่อง ‘Village to the World’ เมืองต้นแบบท่องเที่ยวยั่งยืน โดย ททท.-สวธ.-ตลาดหลักทรัพย์ จับมือไทยแอร์เอเชีย ปั้นโมเดล ESG Investment โดยพนักงานลงพื้นที่เรียนรู้วัฒนธรรม-สิ่งแวดล้อม สร้างคุณค่าร่วมกับชุมชน ในกิจกรรม ‘Journey D x 4ส.’ เชื่อม CSR สู่วัฒนธรรมองค์กรอย่างแท้จริง พร้อมวางเป้าหมายยกระดับการลงทุนทางสังคม โปร่งใส-วัดผลได้จริง     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง เที่ยวไทยร่วมตลาดทุน จับคู่เอกชน-ชุมชนท้องถิ่น นำร่อง 5 จังหวัดแหล่งเที่ยวยั่งยืน แอร์เอเชีย ทำดีลกว่า 4 แสนล. สั่ง A321XLR ลำตัวแคบแต่บินไกล บริการรายแรกในกลุ่มโลว์คอสต์ฯ

August 16, 2025 / 0 Comments
read more

ผจญภัย จูราสสิค เวิลด์ฯ มันสนุก..มันว้าว!! ไม่เกินจริง กับ 10 โซนพาย้อนกลับไปโลกล้านปี

Peace&Play,  WeView

หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ‘Jurassic World: The Experience’ จุดหมายปลายทางเที่ยว กับประสบการณ์ท่องเที่ยวในรูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ที่ไม่เหมือนใคร เป็นครั้งแรกในไทย!!   โดย Alternate-X ได้มีโอกาสร่วมสัมผัสประสบการณ์ ‘Jurassic World: The Experience’ ที่พาเราออกไปผจญภัยในโลกเสมือนจริงยุคไดโนเสาร์เมื่อกว่า 300 ล้านปีก่อนได้ภายในช่วงเวลาราว ๆ  30-40 นาที ที่สามารถ wrap-up ทั้งความรู้ และความสนุก (มากกกกก) เอาไว้ได้ครบจนเกินคุ้มราคาค่าตั๋ว ก็ว่าได้   แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จัก ‘Jurassic World: The Experience’ ที่ถูกวางไว้ให้เป็นเดสติเนชั่นท่องเที่ยว ด้วยขนาดพื้นที่ 6,000 ตร.ม.ตร ตั้งอยู่ในโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์   โปรเจกต์นี้ มีมูลค่าราวๆ 1,200 ล้านบาท จากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ธุรกิจความบันเทิงท่องเที่ยวระดับโลก ระหว่างพันธมิตร บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น (AWC) , NEON, และ Universal Live Events & Location Based Entertainment ธุรกิจหนึ่งในเครือ Universal Destinations & Experiences เพื่อสนับสนุนให้ กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและความบันเทิงระดับโลก   โดยความน่าสนใจของโปรเจกต์นี้ ถูกสร้างขึ้นภายใต้แฟรนไชส์ภาพยนตร์ระดับโลก Jurassic มาสู่โลกแห่งความเป็นจริง พร้อมสร้างประสบการณ์เสมือนจริงแบบอิมเมอร์ซีฟ ให้กับทุกคนเข้ามาร่วมร่วมผจญภัยไปบนเกาะอิสลา นูบลาร์ ท่ามกลางไดโนเสาร์แอนิเมทรอนิกส์ที่สมจริง ได้แบบตื่นตาตื่นใจไปหมด   โดยเฉพาะ ‘เจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานง ที่คอยดูแลนักท่องเที่ยว (ผู้เข้าชม) ภายในเกาะฯแห่งนี้ ที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน พร้อมให้ความใส่ใจในความปลอดภัยแทบทุกตาราวนิ้วของพื้นที่ ที่ชวนสร้างความ ‘อิน’ ให้กับนักท่องเที่ยวแบบตื่นตัวแทบตลอดเวลา จนหลงคิดเข้าไปว่าอยู่ในโลกไดโนเสาร์ของจริงกันเลยทีเดียว!!   ซึ่งในส่วนของเจ้าหน้าที่บนเกาะฯ เราให้ เต็มสิบไม่หักเลยสักคะแนน!!      ทันทีที่ คณะนักท่องเที่ยวพร้อมแล้วประตู Jurassic World: The Experience ก็พร้อมเปิดประสบการณ์ให้การต้อนรับ เริ่มกันที่จุดแรก     1.Origins of Wonder (ต้นกำเนิดแห่งความมหัศจรรย์)   โซนนี้ ทุกคนจะได้ทบทวนเรื่องราวการเกิดขึ้นของไดโนเสาร์ใน Jurassic World ผ่านการจัดแสดงก้อนอำพัน (ที่ข้างในมีฟอสซิลด้วย) พร้อมคำบรรยายจากตัวละครในตำนานอย่าง มิสเตอร์ ดีเอ็นเอ   จุดนี้ นักท่องเที่ยว สามารถถ่ายภาพกันก่อนออกเดินทางเพื่อเข้าสู่จุดรอขึ้นเรือเฟอร์รี่   ทันทีที่ นักท่องเที่ยว เข้าไปโถงเรือเฟอร์รี่โดยสาร พร้อมพาทุกคนออกสู่ท้องทะเล ในบรรยากาศท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆพายุ เรียกว่าเป็นจุดแรก ที่ทำถึงก่อนเลยเมื่อผู้โดยสารโดยน้ำสาดกระเด็นใส่ตัวจริงๆ!!  กับฉากวาฬยักษ์ ที่จะกระโจนขึ้นมาจากน้ำอย่างใกล้ชิด จน กัปตัน ต้องประกาศผ่านลำโพงว่าคลื่นน้ำที่ซัดสาดเข้ามาเกิดขึ้นจากวาฬ ไม่ใช่โมซาซอรัส พร้อมแสดงภาพกราฟิกเคลื่อนไหวเปรียบเทียบขนาดระหว่างวาฬยุคปัจจุบันกับ โมซาซอรัส บนหน้าจอด้านหน้าต่างฝั่งทะเล   ก่อนที่ม่านหน้าต่างปิดลง พร้อมเสียงประกาศต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนสู่เกาะ อิสลา นูบลาร์ จากกัปตัน 2.Arrival at Isla Nublar (เดินทางสู่เกาะอิสลา นูบลาร์)   เมื่อผู้โดยสารก้าวเท้าเข้าสู่เกาะอิสลา นูบลาร์ แล้วต่างเดินไปบนเส้นทางที่ขนาบด้วยเสียงดังกึกก้องของสัตว์ยักษ์ที่ไม่อาจมองไม่เห็น พร้อมกับประตูขนาดใหญ่อันเป็นสัญลักษณ์ของ Jurassic World ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า และคบเพลิงสองข้างประตูที่ถูกจุดขึ้น มาพร้อมเสียงทำนองซาวนด์แทร็กของ Jurassic World   3.A Close Encounter with Giants (เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่แห่งโลกล้านปี)   ทันทีที่ประตูเปิดออก เจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานออกมาต้อนรับผู้เข้าชมพร้อมเล่าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับแบรคิโอซอรัส ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเมื่อเจ้าแบรคิโอซอรัสตัวเล็กจามขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ปล่อยละอองฟุ้งกระจายไปในอากาศ   จากนั้นผู้เข้าชมจะถูกเชื้อเชิญสู่หอสังเกตการณ์ เพื่อชมเจ้าหน้าที่ขณะกำลังให้ใบไม้แก่เจ้าแบรคิโอซอรัสเป็นอาหาร     4.The Petting Zoo (สัมผัสไดโนเสาร์รุ่นเยาว์)   เดินทางต่อเพื่อพบกับ แองคิโลซอรัส เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ใกล้รถเข็นที่เต็มไปด้วยผักสีเขียวยื่นอาหารจานโปรดให้กับมันอย่างแผ่วเบา เจ้ายักษ์ใหญ่ดีใจนส่ายหางไปมาอย่างกระตือรือร้น ส่งผลให้ใบไม้ร่วงกราวเมื่อหางของมันปัดไปโดนเข้ากับต้นไม้ในบริเวณอย่างจัง จากนั้นเจ้าหน้าที่ ชวนให้ผู้เข้าชมร่วมดูแลลูกไดโนเสาร์ที่น่ารัก  และสัมผัสความผูกพันอันน่าอัศจรรย์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตยุคโบราณเหล่านี้อย่างใกล้ชิด     5.The Predator Pavilion (ดินแดนนักล่าดึกดำบรรพ์)   ในโซนนี้ นักท่องเที่ยวจะได้พบกับเหล่าแรปเตอร์ ไดโนเสาร์นักล่าที่ถูกจับใส่ที่ครอบปาก พวกมันยังคงส่งเสียงคำราม ทั้งสะบัดและกระแทกที่ครอบปากอย่างไม่สบอารมณ์   โดยผู้เชี่ยวชาญอธิบายเกี่ยวกับดีเอ็นเอของสัตว์หลากหลายชนิดที่ถูกนำมาใช้ในการตัดแต่งพันธุกรรมของแร็ปเตอร์เหล่านี้ พร้อมชวนให้สังเกตรายละเอียดลวดลายเฉพาะตัวอันโดดเด่นและสวยงามของแรปเตอร์แต่ละตัว   ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังค่อยๆ นำแร็ปเตอร์กลับเข้าคอกอย่างระมัดระวัง หนึ่งในพวกมันกลับปรากฎตัวแยกออกมาอย่างโดดเด่น ใช่แล้ว!!เจ้า ‘บลู’ นั่นเอง ที่เป็นโอกาสพิเศษให้เหล่านักท่องเที่ยวจะได้เผชิญหน้ากับเวโลซีแร็ปเตอร์ผู้เฉลียวฉลาดและภักดีสุดหัวใจ เจ้าของสายตาเฉี่ยวคมที่ทั้งน่าหลงใหลและน่าสะพรึงกลัวในขณะเดียวกัน   6.The Observation Deck (หอสังเกตการณ์)   เมื่อเดินทางมาถึงหอสังเกตการณ์ นักท่องเที่ยวจะได้รับชมวิดีโอข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับไดโนเสาร์ เมื่อวิดีโอจบลง อินโดไมนัส เร็กซ์ ปรากฏตัวเพียงชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ พรางตัวหลบซ่อนเข้าไปในแมกไม้ ก่อนจะโผล่ออกมาอีกครั้งพร้อมคำรามลั่นจนทำให้พื้นสั่นสะเทือน     ในโซนนี้ เป็นอีกหนึ่งความประทับใจกับความสมจริง โดยหลังเสียงระเบิดดังขึ้น ส่งผลให้ระบบพลังงานและความปลอดภัยทั่วทั้งอุทยานล้มเหลว และแล้ว อินโดไมนัส เร็กซ์ ก็เริ่มโจมตีหอสังเกตการณ์ และในขณะที่มันเหวี่ยงกรงเล็บอีกครั้ง การปรากฏตัวของเจ้า คาร์โนทอรัส ก็ได้เบนความสนใจของมันออกไป   เมื่อไดโนเสาร์ทั้งสองตัวปะทะกันอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่รีบปิดบานหน้าต่าง แต่สุดท้ายโครงสร้างอาคารก็พังทลายลงเนื่องจากโดนแรงกระแทกจากการต่อสู้ภายนอก เจ้าหน้าที่รีบพาทุกคนหนีออกไปยังทางออกฉุกเฉิน!!   7.A Fight for Survival (ผจญภัยเพื่อเอาชีวิตรอด)   จากเส้นทางหลบหนี ได้พาทุกคนเข้าสู่โกดังเพดานสูงขนาดใหญ่ บนจอมอนิเตอร์ฉายภาพความโกลาหลที่เกิดขึ้นโดยรอบ มีข้อความแจ้งเตือนสีแดงปรากฏทั่วบริเวณ และกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นว่า คาร์โนทอรัส หายออกไปจากกรงกักกัน กล่องสินค้าในโกดังสั่นไหวและร่วงหล่นลงมาในขณะที่มันหันหัวเพื่อเผยคมเขี้ยว พร้อมคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ค่อยๆ กังวานขึ้นอย่างกึกก้อง ผู้เชี่ยวชาญรีบส่งสญญาณให้ทุกคนรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด (อีกแล้ว!!)   8.Lost in the Jungle (หลงในป่าดงดิบ)   จากนั้น เจ้าหน้าที่นำผู้เข้าชมออกจากโกดังเข้าสู่พื้นที่ป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยเสียงของสัตว์ป่าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น เสียงหวีดร้อง “จิ๊บๆ” แหลมสูงชวนขนลุกก็ดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความมืด   เจ้าหน้าที่รีบบอกให้ทุกคนเงียบและอยู่นิ่งๆ ทันที เมื่อ ไดโลโฟซอรัส ปรากฏตัวขึ้น มันเอียงหัวจ้องมองราวกับกำลังประเมินกลุ่มผู้ชมอยู่ จากนั้นเสียงพุ่มไม้ไหวเบาๆ ก็เบี่ยงเบนความสนใจของมัน ก่อนที่ไดโลโฟซอรัสอีกสองตัวจะโผล่ออกมาพร้อมเสียงกรีดร้อง และกางแผงคออันเป็นเอกลักษณ์ของพวกมัน หนึ่งในนั้นพ่นพิษไปยังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ     9.Caged up (กรงปริศนา)   เมื่อพวกเราเดินเข้าสู่โดมสัตว์ปีกยุคดึกดำบรรพ์ เทอราโนดอน ตัวหนึ่งก็ร่อนลงมา กรงเล็บของมันที่จับลูกกรงแน่น จากนั้นเสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะมีเทอราโนดอนอีกตัวหนึ่งปรากฏตัวเกาะอยู่บนคานเหล็กสูง มันสยายปีกออกกว้าง สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมด้วยขนาดใหญ่มหึมา   จากนั้นกลุ่มนักท่องเที่ยวจะพบกับซากรถบรรทุกที่จอดพังอยู่บริเวณแล็ปกลางทุ่ง สไตกิโมล็อก โผล่ออกมา สร้างความดีใจให้กับผู้เข้าชมด้วยความน่ารักของมัน แต่เสียงคำรามของ ทีเร็กซ์ ที่ดังขึ้นใกล้ๆ ก็ทำให้ทุกคนรีบวิ่งหนีเข้าไปหลบภัยในห้องแล็ปวิจัยภาคสนามทันที   10.The Final Escape (การหลบหนีครั้งสุดท้าย)   จากนั้น เจ้าหน้าที่และผู้เข้าชมหลบพายุชั่วคราวภายในห้องวิจัย ทุกคนรู้สึกขนลุกเล็กน้อยเมื่อเห็นไข่ไดโนเสาร์ที่เต้นตุบๆ และหน้าจอที่แสดงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และลำดับพันธุกรรม DNA   เมื่อออกจากห้องวิจัย กลับพบว่าได้กลับมาอยู่ในป่าอีกครั้ง พร้อมเสียงคำรามของ ทีเร็กซ์ ที่ดังอยู่ใกล้ ๆ และเหลือบเห็น ไจโรสเฟียร์ ที่พังอยู่และพยายามเข้าไปตรวจสอบมัน แต่สภาพอากาศทำให้ทุกคนหลงทิศ จากสายฟ้าฟาดลงมาอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นตำแหน่งของกลุ่มนักท่องเที่ยว และทีเร็กซ์ก็พุ่งกระโจนเข้าหาอย่างรวดเร็ว   ในขณะที่เจ้าหน้าที่พยายามกดรหัสที่แป้นควบคุมอย่างลนลาน แต่ในที่สุดก็สามารถเปิดประตูและพาทุกคนเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยได้ทันเวลา   11.Jurassic World: The Experience – Retail Store กลับสู่โลกแห่งการช้อปของที่ระลึก   เมื่อทุกคนปลอดภัยในที่สุด เจ้าหน้าที่กล่าวแสดงความยินดีต่อทักษะการเอาตัวรอดของนักท่องเที่ยว พร้อมประกาศว่าทุกคนได้ผ่านพ้นอันตรายทั้งหลายมาได้ทั้งหมดแล้ว การผจญภัยเสร็จสิ้นลง ณ ร้านค้าสไตล์บังเกอร์หลบภัยซึ่งผู้เข้าชมสามารถเลือกซื้อของที่ระลึก ทั้งเสื้อผ้า ของเล่น หรือของสะสมพิเศษจาก Jurassic World เพื่อเก็บการผจญภัยในเกาะอิสลา นูบลาร์ นี้ไว้ในความทรงจำ   แวะเติมอิ่มที่ Fossil & Flame Restaurant   นอกจากนี้ ภายในบริเวณใกล้เคียงกับ Jurassic World: The Experience ยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์ ห้องอาหารและคาเฟ่ Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant พร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก Jurassic World: The Experience ผสมผสานการเดินทางอันน่าทึ่งเข้ากับเมนูอาหารสุดสร้างสรรค์สำหรับผู้เข้าชมทุกช่วงวัย   ให้เพลิดเพลินแถมสนุกไปกับเมนูอาหารและบรรยากาศที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันจากจักรวาล Jurassic World ที่นำทั้งรสชาติ ความบันเทิง และจินตนาการเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยมีเมนูไฮไลต์ อาทิ   Tree Top Nacho Tower หอคอยนาโช่กรอบท็อปด้วยชีสและซัลซ่า Volcano Extreme, Rack of Bones Mesquite Baby Back Pork Ribs โครงหมูอ่อนย่างซอสเมสกีตสไตล์เท็กซัส     รวมถึงเมนูต่าง ๆ โดยห้องอาหารสามารถรองรับแขกได้สูงสุดถึง 256 ที่นั่ง แบ่งเป็นห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัว 2 ห้อง พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงพื้นที่ดาดฟ้าแบบเปิดโล่ง เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน ในเวลาเปิดให้บริการ 12:00 – 24:00 น. สามารถเข้าไปรับชมข้อมูลเพิ่มเติมเว็บไซต์: http://jurassicworldfossilandflamerestaurant.com/ สำหรับโครงการ   Jurassic World: The Experience   เวลาเปิดให้บริการ 11:00 – 22:00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 21:00 น.) การจำหน่ายบัตร สามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ทาง https://jurassicworldexperience.com/th/ มีบัตรหน้างานจำหน่าย แต่เนื่องจากมีความต้องการเข้าชมเป็นจำนวนมาก ขอแนะนำให้ผู้ที่ประสงค์เข้าชมสำรองบัตรล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ เพื่อสำรองบัตรเข้าชมในช่วงเวลาที่ต้องการ   ราคาบัตร  (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)      วันธรรมดา (ก่อน 16:00 น.) 579 บาท สำหรับเด็ก (อายุ 3-10 ปี) 769 บาท สำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 11 ปีขึ้นไป)   วันธรรมดาหลัง 16:00 น., วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 789 บาท สำหรับเด็ก (อายุ 3–10 ปี) 989 บาท สำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 11 ปีขึ้นไป)   เว็บไซต์      https://jurassicworldexperience.com/th/en อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง เปิดแล้ว 8 สิงหา นี้ จูราสสิค เวิลด์ฯ แม่เหล็กใหม่ เอเชียทีคฯ ดูดเที่ยวระดับโลก AWC เดินเกมทุนยืดหยุ่น ส่งโมเดล ‘AWC Growth Fund’ ลดภาระหนี้-ลงทุนเต็มจำนวน AWC แปลงโฉม ‘ล้ง1919-ทรงวาด’ ทำห้องพักแพงสุดในไทย The Ritz-Calrton คืนละ 3 แสนบาท  

August 16, 2025 / 0 Comments
read more

กรุงศรีฯ วางแผนบาลานซ์ ลดเสี่ยงธุรกิจ-ลีนค่าใช้จ่าย ลูกค้าซื้อประกัน-ลงทุนผ่านบัตรฯพุ่ง

BizKet

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ แผนบาลานซ์เสี่ยง/เติบโตธุรกิจ สะท้อนพฤติกรรมรูดบัตรเครดิต-ขอสินเชื่อ ‘คนไทย’ เริ่มลามกลุ่มลักซูรี-บิวตี แล้ว อธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต และ สินเชื่อบุคคล กล่าวว่ากรุงศรี คอนซูมเมอร์ (KSC) วางแผนปรับสมดุล (Balance) บริหารความเสี่ยงธุรกิจพร้อมลดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยเพื่อสร้างกำไรต่อเนื่อง โดยมุ่งสร้างความกระชับ (lean) ธุรกิจมากขึ้นเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ   แนวทางดังกล่าว เพื่อคงความเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในใจผู้บริโภค (Top of Mind) ด้วยผลิตภัณฑ์บัตรที่เป็นเรือธง (Flagship Product) และรักษาความเป็นผู้นำตลาดด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ดังนี้   Data for Business ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเอไอ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาแคมเปญและปรับกลยุทธ์ทางการตลาด Productivity & Efficiency มุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพเพื่อคงความเป็นผู้นำในธุรกิจ Focus Core Product มุ่งเน้นปรับจุดขายผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค Payment of Choice แคมเปญใหม่เพื่อทำตลาดเชิงรุกปลายปี ใช้ความแข็งแกร่งภายใต้เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา   “KSC อยู่ระหว่างหารือกับพันธมิตรเพิ่มเพื่อนำเสนอรูปแบบใหม่ในการชำระเงินให้กับผู้บริโภค คาดเห็นความชัดเจนพร้อมเปิดตัวในไตรมาสแรกปี 2569” อธิศ กล่าว   สำหรับผลประกอบการ KSC ครึ่งแรกปี 2568  ดังนี้   ยอดบัญชีลูกค้าใหม่ (บัตรเครดิตและสินเชื่อ) 273,700 บัญชี ลดลง 5% ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิต 191,400 ล้านบาท เติบโต 5% ยอดสินเชื่อใหม่ 45,400 ล้านบาท ลดลง 7% ยอดสินเชื่อคงค้าง (บัตรแครดิตและสินเชื่อ) 136,000 ล้านบาท เติบโตลดลง 9%   ทั้งนี้ เปรียบเทียบกับตลาดบัตรเครดิตดังนี้  ภาพรวมตลาดจำนวนบัตรเครดิต (มิถุนายน 2568) อยู่ที่ 6.3 ล้านบัตร จาก 2.6 ล้านบัตร โดย KSC ครองส่วนแบ่ง 24% ของตลาด โดยภาพรวมตลาด (YoY) ติดลบ 0.6% ส่วน KSC เติบโต1.30%   ขณะที่ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิต (มกราคม-มิถุนายน 2568) อยู่ที่ 191,400 ล้านบาท จาก 137,000 ล้านบาท เติบโต 0.8% โดย KSC มีส่วนแบ่งตลาดราว 17%  และเติบโต 1.5%   สำหรับตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล พบว่ายอดสินเชื่อคงค้าง (มิถุนายน 2568) มีมูลค่าราว 55,300 ล้านบาท จาก  469,000 ล้านบาท โดย KSC ครองส่วนแบ่ง 12%  โดยภาพรวมตลาดมีหนี้ที่ไม่ก่อรายได้สัดส่วน 3.7% ส่วน KSC อยู่ที่ 2.3%   ขณะที่ ปริมาณหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (มิถุนายน 2568) ในอุตสาหกรรมฯอยู่ที่ 3.7% โดยกรุงศรีฯมีสัดส่วนราว  2.3%       สอดคล้องข้อมูล จากพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรีคอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ประกอบด้วย   บัตรเครดิต กรุงศรี บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน บัตรเครดิตโลตัส   โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 พบว่า   กลุ่มรายได้สูง (Affluent & Super Affluent) ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก สร้างยอดใช้จ่ายผ่านบัตรกว่า 40% ของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งหมด ในครึ่งปีแรกของปี 2568 ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มรายได้ปานกลาง (Mass) และรายได้สูง (Affluent & Super Affluent) ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชะลอการใช้จ่ายมากขึ้น ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ลดการใช้จ่ายในหมวดฟุ่มเฟือย เช่น สินค้าแฟชั่น, ตกแต่งบ้าน, สุขภาพและความงาม ผู้บริโภคหันมาเลือกผ่อนชำระมากขึ้น โดยเฉพาะใน 3 หมวดหลัก ได้แก่ ช้อปออนไลน์, ประกัน, ตกแต่งยานยนต์   ประกัน-ลงทุน ผ่านบัตรฯพุ่ง   ขณะที่ หมวดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุด 5 อันดับแรก เรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ ประกันภัย ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน สินค้าตกแต่งบ้าน ช้อปออนไลน์   สำหรับ หมวดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุด 5 อันดับแรก (เรียงตามอัตราการเติบโต) ได้แก่   กองทุนรวม แอปเดลิเวอรี โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน ตัวแทนท่องเที่ยว อุปกรณ์กีฬาและฟิตเนส     ‘คนไทย’ ขอรักษาสภาพคล่องยาวๆ     ด้าน อธิป ศิลป์พจีการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด และประธานชมรมสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สำหรับจากข้อมูลเชิงลึกแนวโน้มและพฤติกรรมการใช้สินเชื่อบุคคลของลูกค้ากรุงศรีฯ ในครึ่งแรกปี 2568 พบว่ามี 4 รูปแบบดังนี้   มีพฤติกรรมในการเลือกผ่อนแบบรายเดือนมากขึ้น มีพฤติกรรมในการเลือกระยะเวลาในการผ่อนนานขึ้น มีพฤติกรรมในการเพิ่มยอดชำระมากกว่าจ่ายขั้นต่ำ มีพฤติกรรมการลดความถี่ในการใช้สินเชื่อบุคคล   สอดคล้อง ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลพบว่ามียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 55,300 ล้านบาท (มิถุนายน 2568) จาก 469,000 ล้านบาท เติบโตลดลง -5.0% โดยกรุงศรีฯครองส่วนแบ่งตลาดราว 12%   อธิป กล่าวว่า “จากการเข้ามาของผู้ให้บริการเวอร์ชวล แบงค์กิ้ง 3 รายใหม่ในกลางปี 2569 บริษัทฯ คาดว่าไม่รับผลกระทบจากการเข้ามาของรายใหม่ ด้วยเป็นคนละตลาดและเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในกลุ่มเป้าหมายสินเชื่อที่แตกต่างกัน   ขณะที่ ภาพรวมตลาดสินเชื่อบุคคลพบว่า วงเงินสินเชื่อต่อคนมีจำนวนลดลง  โดยตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตลดลงต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ราว 6-7% มีมูลค่าตลาดราว 60,000-70,000 ล้านบาท     Alternate-X สรุปให้  กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เดินแผนปรับสมดุล ลดความเสี่ยงธุรกิจและลีนค่าใช้จ่ายเพื่อกำไรยั่งยืน ใช้ 4 กลยุทธ์หลัก ดึงข้อมูล-เทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถแข่งขัน รับพฤติกรรมคนไทยชะลอรูดบัตรในหมวดฟุ่มเฟือย แต่หันมาผ่อนชำระและซื้อประกันมากขึ้น ส่วนหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรโตแรง ได้แก่ กองทุนรวม แอปเดลิเวอรี และโซเชียลมีเดีย แผนครึ่งแรกปี 2569 เดินหน้าร่วมพันธมิตรเพิ่มช่องทางชำระเงินรูปแบบใหม่   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลหด รูดน้อย กู้ยากหนักสุดรอบ 26 ปี ซ้ำปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา บัตรฯ เซ็นทรัล เดอะวัน ปรับใหม่หมดโลโก้ถึงผู้บริหาร เป้าผู้ใช้บัตรสิ้นปี68 ทะลุ 1 ล้านราย กำลังซื้อสภาพ(ไม่)คล่อง ทำความต้องการเงินด่วนพุ่ง กรุงศรีฯเปิด 3 หมวดสินค้าคนใช้จ่ายสูง

August 15, 2025 / 0 Comments
read more

บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลหด รูดน้อย กู้ยากหนักสุดรอบ 26 ปี ซ้ำปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา

BizKet

ครึ่งแรกปี68 ตลาดบัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลในไทย หงอยๆจากปัจจัยลบเดิมแถมเติมมาใหม่ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา พาบรรยากาศเหงาสุดรอบ 26 ปี แต่ครึ่งหลังยังลุ้นกำลังซื้อคนไทยจะกลับมาสดใส   ‘อธิศ รุจิรวัฒน์’ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่าสถานการณ์ตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อในครึ่งหลังปี 2568 นี้คาดว่าในภาพรวมตลาดฯ จะฟื้นคืนกลับมาจากสัญญาณบวกพบว่าเริ่มมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นในอัตราคงที่ (Stable) จากข้อมูลลูกค้าที่เริ่มมีอำนาจการจับจ่ายเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ที่ผ่านมา     ขณะที่ จากในครึ่งแรกปี 2568 ที่ผ่านมาภาพรวมตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล มีแนวโน้มหดตัวลง ตามสถานการณ์เศรษฐกิจในไทยและโลก จากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ   ภาระหนี้ครัวเรือนต่อGDP ที่สูง การเมืองในประเทศ การเปลี่ยนแปลงนโยบายระหว่างประเทศ ในจัดเก็บภาษีศุลการกรตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา กระทบการส่งออก สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภค   “สถาบันการเงินยังมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อควบคุมความเสี่ยง ขณะที่ผู้บริโภคหลายกลุ่มเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายจากความกังวลด้านเศรษฐกิจ จากปัจจัยข้างต้นเช่นกัน” อธิศ กล่าวพร้อมเสริมว่า   “ในปีนี้ ยังเห็นสัญญาณกำลังซื้อระดับลักซูรี และกลุ่มบิวตีเริ่มชะลอตัวลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวมเช่นกัน แต่หากมีกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีใหม่อย่างไอโฟนรุ่นใหม่ ซึ่งยังต้องติดตามอีกครั้ง”   พร้อมเสริมว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าปี 2568 ตลาดฯ มีแนวโน้มเติบโตคงที่เทียบกับในปี 2567 ซึ่งมียอดการจับจ่าย (Spending Value )ผ่านบัตรไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท จากพฤติกรรมผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้จ่ายในภาพรวมมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการขอสินเชื่อส่วนบุคคล ด้วยเช่นกัน   จากสถานการณ์นี้ถือเป็นปรากฎการณ์ใหญ่ในรอบ 26 ปี จากการหดตัวในภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งในและโลกที่สะท้อนถึงพฤติกรรมและกำลังซื้อผู้บริโภคซึ่งเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการ แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังมีปัจจัยบวกสนับสนุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะไม่เลวร้ายไปกว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา   โดยผู้ประกอบการ อยู่ระหว่างหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อพิจารณานโยบานกำหนดการชำระขั้นต่ำยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในอัตรา 8% ที่จะครบกำหนดในสิ้นปี 2568 นี้ จากก่อนหน้ากำหนดไว้ที่อัตรา 10%     สินเชื่อบุคคล หดตัวยาว   ด้าน ‘อธิป ศิลป์พจีการ’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด และประธานชมรมสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า  สำหรับภาพรวมตลาดสินเชื่อบุคคลพบว่าวงเงินสินเชื่อต่อคนมีจำนวนลดลงต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และคาดขยายตัวต่อในปีหน้า   ปัจจุบันมีผู้ประกอบการในตลาดทั้งสถาบันการเงิน (Bank) และไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ราว และในอนาคตราวกลางปี 2569 จะมีผู้ให้บริการเวอร์ชวล แบงกิง (Virtual Banking) เข้ามามาให้บริการราว 3 รายใหม่  ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อส่วนบุคคลในตลาดมากขึ้น   “ตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตลดลงต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ราว 6-7% มีมูลค่าตลาดราว 60,000-70,000 ล้านบาท” อธิป กล่าวพร้อมเสริมว่า ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล พบว่ามียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 55,300 ล้านบาท (มิถุนายน 2568) จาก 469,000 ล้านบาท เติบโตลดลง -5.0% ส่วนปริมาณหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (มิถุนายน 2568) ในอุตสาหกรรมฯอยู่ที่ 3.7%     Alternate-X สรุปให้    ครึ่งแรกปี 2568 ตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลไทยซบเซาหนักสุดรอบ 26 ปี จากเศรษฐกิจโลก-ในประเทศผันผวนและปัจจัยการเมืองชายแดน กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ชี้กำลังซื้อเริ่มกระทบกลุ่มลักซูรีและบิวตี้ ขณะผู้บริโภครัดเข็มขัดใช้จ่าย ขณะที่สินเชื่อบุคคลหดตัวต่อเนื่อง 1-2 ปี วงเงินต่อคนลดลง และการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นเมื่อ Virtual Banking เข้าสู่ตลาดปี 2569 ด้าน ธปท.อยู่ระหว่างพิจารณาอัตราชำระขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% กลับสู่ 10% หลังสิ้นปีนี้ และในครึ่งหลังปี 2568 ยังมีโอกาสฟื้นจากสัญญาณบวกบางส่วน แม้ความท้าทายเศรษฐกิจยังสูง     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง   กรุงศรีฯ วางแผนบาลานซ์ ลดเสี่ยงธุรกิจ-ลีนค่าใช้จ่าย ลูกค้าซื้อประกัน-ลงทุนผ่านบัตรฯพุ่ง บัตรฯ เซ็นทรัล เดอะวัน ปรับใหม่หมดโลโก้ถึงผู้บริหาร เป้าผู้ใช้บัตรสิ้นปี68 ทะลุ 1 ล้านราย กำลังซื้อสภาพ(ไม่)คล่อง ทำความต้องการเงินด่วนพุ่ง กรุงศรีฯเปิด 3 หมวดสินค้าคนใช้จ่ายสูง    

August 15, 2025 / 0 Comments
read more

’13 สิงหาคม’ วันถนัดข้างซ้ายสากล สถิติพบสัดส่วน 7-10% รวมอัจฉริยะ-คนดังโลกอยู่ในนี้

Peace&Play

คนถนัดซ้ายถือเป็นคนส่วนน้อยของโลกมาอย่างยาวนาน สร้างความสนใจและข้อสงสัยว่าความถนัดนี้มีความเชื่อมโยงกับความสามารถพิเศษหรือความสำเร็จหรือไม่?   1.วันคนถนัดข้างซ้ายสากล (International Left Handers Day) เป็นวันพิเศษสากล ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันที่ ‘13 สิงหาคม’ เพื่อเฉลิมฉลองความพิเศษและความแตกต่างของคนถนัดซ้าย   2.วันดังกล่าวจัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2519 โดย ‘ดีน อาร์. แคมป์เบลล์’ ผู้ก่อตั้งชมรมคนถนัดซ้าย   3.วันนี้ ก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความท้าทายและประสบการณ์ที่คนถนัดซ้ายต้องเผชิญในโลกที่คนส่วนใหญ่ถนัดขวา   4.วันนี้ ยังสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาที่คนถนัดซ้ายต้องเผชิญ เช่น ความสำคัญของความต้องการพิเศษสำหรับเด็กที่ถนัดซ้าย และโอกาสที่คนถนัดซ้ายจะเป็นโรคจิตเภท และยังเป็นวันหยุดเพื่อการเฉลิมฉลองความพิเศษและความแตกต่างของคนถนัดซ้าย ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของมนุษยชาติที่มีประชากรประมาณ 7-10% ของประชากรโลก   5.ปัจจุบันเป็นโลกมีวันพิเศษนี้มานานร่วม 49 ปีแล้ว โดยสาเหตุที่เลือกวันที่ 13 สิงหาคม มาจากความเชื่อของชาวตะวันตกในอดีตที่ว่า ‘วันศุกร์ที่ 13’ เป็นวันไม่โอเค หรือเรียกง่ายๆว่า เป็นวันอัปมงคล และมือซ้ายก็มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่ไม่ดี   6.การกำหนดให้วันนี้เป็นวันคนถนัดซ้ายสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่าการถนัดซ้ายไม่ใช่สิ่งผิดปกติหรือน่ารังเกียจ แต่เป็นความหลากหลายที่ควรได้รับการยอมรับ . #เหล่าคนดังโลกต่างถนัดข้างซ้าย   สำหรับคนุถนัดข้างซ้าย ปัจจุบันไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติ แถมยังมีความพิเศษอีก ด้วยพบว่ามีบุคคลที่มีชื่อเสียงและนักธุรกิจระดับโลกที่ถนัดซ้าย !!   1.คนดัง บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับตำนานโลก ที่ต่างถนัดข้างซ้าย อาทิ  บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ศิลปินระดับโลกอย่างเลดี้ กาก้า, และนักกีฬาฟุตบอลในตำนานอย่างเปเล่   2.‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ นักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก ก็เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญชาวถนัดซ้าย ด้วย   3.ในวงการธุรกิจและเทคโนโลยี พบว่ามีผู้ก่อตั้งบริษัทระดับโลกหลายคนก็เป็นคนถนัดซ้ายเช่นกัน อาทิ   บิล เกตส์ (Microsoft) สตีฟ จ็อบส์ (Apple) มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Facebook) ผู้นำธุรกิจในอดีตอย่าง จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ และ เฮนรี่ ฟอร์ด     #อัจฉริยะสายถนัดข้างซ้าย   หากดูจากลิสต์คนดังเหล่านี้ ที่ล้วนต่างเป็นอัจฉริยะบันลือโลกที่ถนัดซ้าย แม้ว่าในปัจจุบัน จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการถนัดซ้ายเป็นสาเหตุโดยตรงของความสำเร็จในระดับโลก หรืออาจเป็นเพียงความบังเอิญ   แต่ทว่า มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างคนถนัดซ้ายกับคุณลักษณะบางอย่างที่อาจส่งเสริมความสำเร็จได้ เช่น   ความคิดสร้างสรรค์และการคิดนอกกรอบ ด้วยคนถนัดซ้ายมักถูกมองว่ามีสมองซีกขวาที่ทำงานเด่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์และศิลปะ นวัตกรรม โดยงานวิจัย (The puzzle of left-handedness: Evidence from corporate innovation) ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน Journal of Behavioral and Experimental Finance ระบุว่าผู้บริหารระดับซีอีโอ ที่ถนัดซ้ายมีแนวโน้มที่จะสร้างนวัตกรรมในธุรกิจมากกว่า ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลหลายอย่างพร้อมกัน ในงานวิจัยยังพบว่า คนถนัดซ้ายสามารถอดทนต่อสิ่งเร้าและทำกิจกรรมหลายอย่างพร้อมกันได้ดีกว่า     ดังนั้น ในวันคนถนัดข้างซ้ายสากล 13 สิงหาคมนี้ จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าการถนัดซ้ายไม่ใช่สิ่งผิดปกติหรือน่ารังเกียจ แต่เป็นความหลากหลายที่ควรได้รับการยอมรับต่างหาก   นอกจากนี้ ยังเพื่อสร้างความตระหนักรู้ ให้คนทั่วไปเข้าใจถึงปัญหาและความลำบากที่คนถนัดซ้ายต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน เนื่องจากอุปกรณ์หรือสิ่งของต่างๆ ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาสำหรับคนถนัดขวา   อย่างไรก็ตาม ในบทสรุปโดยรวมจากงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ไม่ว่าถนัดซ้ายหรือถนัดขวาต่างก็มีความสามารถเหมือนกัน ไม่มีใครเก่งกว่าใคร และความฉลาดหรือความสำเร็จขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม สังคม และการศึกษามากกว่า การถนัดซ้ายไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือเหนือมนุษย์ แต่เป็นความหลากหลายทางพันธุกรรมและพัฒนาการที่มีมาอย่างยาวนาน แม้ว่าจะมีคนดังและผู้ประสบความสำเร็จมากมายที่ถนัดซ้าย   แต่ความสำเร็จนั้นไม่ได้มาจากการถนัดมือซ้ายโดยตรง หากแต่เกิดจากความสามารถ ความมุ่งมั่น และโอกาสที่ได้รับ ซึ่งคนถนัดขวาก็มีเช่นกัน ความพิเศษของคนถนัดซ้ายจึงอยู่ที่การเป็นคนส่วนน้อยในสังคมที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และปรับตัวเข้ากับโลกที่ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาสำหรับคนถนัดขวาได้เป็นอย่างดี   Alternate-X สรุปให้   วันคนถนัดซ้ายสากลตรงกับวันที่ 13 สิงหาคม จัดตั้งขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2519 โดย ดีน อาร์. แคมป์เบลล์ เพื่อเฉลิมฉลองความพิเศษและสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาที่คนถนัดซ้ายต้องเผชิญ การเลือกวันที่ 13 สิงหาคม มีที่มาจากความเชื่อเก่าแก่ที่เชื่อมโยงมือซ้ายและเลข 13 กับความโชคร้าย มีคนดังและอัจฉริยะระดับโลกจำนวนมากเป็นคนถนัดซ้าย เช่น บิล เกตส์, สตีฟ จ็อบส์ และ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ งานวิจัยบางชิ้นยังชี้ว่าผู้บริหารระดับสูงที่ถนัดซ้ายมีแนวโน้มที่จะสร้างนวัตกรรมในธุรกิจมากกว่า อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่ความถนัดมือ   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง   Work Life Balance มีมา 139 ปีแล้ว คนประท้วงทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน จุดกำเนิด ‘วันแรงงาน’  

August 12, 2025 / 0 Comments
read more

ถอดคอนเซปต์ ‘Biophilia’ โครงการ ‘Dusit Central Park’ กับสวนลอยฟ้าใหญ่สุดในไทย

EcoVative,  Peace&Play

Dusit Central Park โครงการมิกซ์ยูสมูลค่ากว่า 4.6 หมื่นล้าน โปรเจกต์ร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เจ้าของอสังหาริมทรัพย์โรงแรมในเครือดุสิตธานี และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภายใต้บริษัท วิมานสุริยา จำกัด   ต่อความน่าสนใจโครงการฯ ด้วยถูกวางตำแหน่งให้เป็นมิกซ์ยูสระดับโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Here for Bangkok พร้อมพัฒนา The Residences at Dusit Central Park โครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชูรี่ที่ดีที่สุดใน Super Core CBD มาพร้อมแนวคิดการออกแบบ ‘Biophilia’ สู่ดีไซน์ Roof Park สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   โดยโครงการฯ เริ่มเปิดให้บริการส่วนของโรงแรมและอาคารสำนักงานแล้ว และจะเปิดให้บริการสวนลอยฟ้าและศูนย์การค้าในเดือนกันยายน ปี 2568     ‘ละเอียด โควาวิสารัช’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมานสุริยา จำกัด เล่าถึงแนวคิดการออกแบบ ‘Biophilic Design’ ไว้อย่างลึกซึ้งโดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน   ขณะที่ ‘Biophilic Design’ เป็นแนวคิดการออกแบบสถาปัตยกรรมและพื้นที่ต่าง ๆ ที่เน้นการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น รวมถึงเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายและความสุขในชีวิตประจำวัน   โดยหลักการของ Biophilic Design จะใช้การนำองค์ประกอบของธรรมชาติเข้ามาผสมผสานในงานออกแบบ อาทิ   การใช้แสงธรรมชาติ การใช้พืชและพื้นที่สีเขียว วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ หิน รูปทรงและลวดลายที่เลียนแบบธรรมชาติ การจัดวางพื้นที่ให้มีการไหลเวียนของอากาศที่ดี   ด้วยเป้าหมายหลัก แนวคิดการออกแบบนี้ คือ ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหรือการพักผ่อน     ‘ละเอียด ย้ำว่า พลังขับเคลื่อนในการก่อสร้างโครงการ Dusit Central Park นั้น คือ ปณิธานหลักในการยกระดับพื้นที่เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่สังคมและคนไทย ให้มีพื้นที่สีเขียวที่ทุกคนสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ร่วมกันได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในมิติทางด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ (Ecosystem) พร้อมต่อยอดไปยังระบบนิเวศเมือง (Urban Ecology) เพื่อทำให้กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น   นอกจากนี้ยังได้นำมุมมองด้าน Sustainability Design และ Ecosystem มาเป็นตัวกำหนดแนวทาง โดยเฉพาะพื้นที่ Roof Park ที่ผสานแนวคิด Biophilia ซึ่งแปลว่า กัลยาณมิตรกับธรรมชาติ   ละเอียด กล่าวเสริมว่า “เราได้นำกรณีศึกษาเชิงบวกภายใต้แนวคิด Biophilia ที่มีผลต่อการทำงานอ้างอิงจาก การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด***** พบว่า ผู้ที่อยู่อาศัยภายในอาคารที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ทั้งวัสดุที่มีพื้นผิวตามธรรมชาติ หรือทัศนียภาพของพื้นที่สีเขียว ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถสร้างมิติสัมพันธ์ในการบริหารจัดการ ทั้งการแก้ไขปัญหา การให้เหตุผล และการวางแผนได้เพิ่มขึ้น”   ทั้งนี้ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ช่วยควบคุมอุณหภูมิในพื้นที่โดยให้ความเย็นตามธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในสภาพอากาศร้อนของกรุงเทพฯ โดยนำองค์ประกอบเหล่านี้ ช่วยเสริมประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้ลึกซึ้ง แม้อยู่ใจกลางเมือง”     เชื่อมโยงพลัง ‘ธรรมชาติ-มนุษย์’   สำหรับแนวคิดการออกแบบ Biophilic Design ถือกำเนิดโดย อีริค ฟรอมม์ (Erich Fromm) เป็นผู้ให้แนวคิด Biophillia ขึ้น  และต่อยอดเป็นทฤษฎีไบโอฟิเลีย (Biophilia Hypothesis) โดย เอ็ดเวิร์ด โอ. วิลสัน ในปี ค.ศ. 1984* ในเวลาต่อมา   โดยกล่าวว่า ความผูกพันลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องทางจิตวิทยาเท่านั้น แต่ยังฝังรากลึกอยู่ใน DNA ของเราอีกด้วย การเชื่อมโยงกับธรรมชาติจึงมีความสำคัญต่อสุขภาวะของมนุษย์ และการห่างเหินจากธรรมชาตินำไปสู่ผลกระทบด้านลบทั้งทางจิตใจและอารมณ์” มาเชื่อมโยงสร้างสมดุลระหว่าง “คน – ธรรมชาติ – สิ่งมีชีวิต” เพื่อลด “ภาวะขาดธรรมชาติ” หรือ Nature Deficit Disorder (NDD)** ในสังคมเมือง”     ยูโทเปีย พื้นที่สีเขียว   จาก ข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO)*** ระบุไว้ว่าตามหลักเกณฑ์ของเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ควรมีพื้นที่สีเขียวขั้นต่ำต่อคนคือ 9 ตารางเมตร หรือมาตรฐานในอุดมคติคือควรมีพื้นที่สีเขียวอยู่ที่ 50 ตารางเมตรต่อคน   โดยพื้นที่สีเขียวที่นำมาคำนวณจะต้องเป็นพื้นที่ที่ประชาชนสามารถเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจและสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ   นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอว่าสังคมเมืองระดับย่านควรมีพื้นที่สีเขียวกระจายอยู่ในระยะการเดินเท้าทุก ๆ 300 – 500 เมตร ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่สีเขียวในชุมชนมากขึ้น อย่างโครงการ Nature Ways ประเทศสิงคโปร์**** ที่ได้พัฒนาระบบถนนที่ปลูกต้นไม้และพุ่มไม้เพราะต้องการลดอุณหภูมิในอากาศ เพิ่มแหล่งที่อยู่อาศัยสำหรับสิ่งมีชีวิต และช่วยลดมลพิษทางอากาศ ทำให้สิงคโปร์ติดอันดับ 2 ในดัชนี Green View Index ของ Treepedia ซึ่งใช้ชี้วัดความหนาแน่นของต้นไม้ในเมือง     สวนสีเขียวลอยฟ้า ใหญ่สุดในไทย   สำหรับประเทศไทย ได้นำเสนอ Thailand’s Largest Urban Roof Park สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขนาดพื้นที่สีเขียว 7 ไร่ (11,200 ตร.ม.) ให้กลายเป็นสวนลอยฟ้าสำหรับคนเมือง มอบทัศนียภาพสีเขียวแบบ Extended Park View ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนเนินเขา มุมมองที่เชื่อมต่อกับสวนลุมพินีอย่างกลมกลืน นับเป็นสถานที่แห่งแรกและแห่งเดียวในกรุงเทพฯ   นอกจากนี้ ยังใช้หลักการออกแบบที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับธรรมชาติเข้ากับหลักการของระบบนิเวศ (Ecosystem Principles) ซึ่งเป็นระบบของสิ่งมีชีวิตที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งพืช สิ่งมีชีวิต จุลินทรีย์ ที่ทำงานร่วมกับน้ำ ดิน และอากาศ เพื่อรักษาความสมดุลของโลก รวมถึงคัดสรรพรรณไม้ไทยแท้ 100% ที่ช่วยดักฝุ่นพร้อมดึงดูดแมลงที่มีประโยชน์และสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย รวมถึงการสร้างน้ำตก ทำให้พื้นที่แห่งนี้สามารถเสริมสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้อย่างยั่งยืน ทั้งการปรับปรุงคุณภาพอากาศ ช่วยลดอุณหภูมิในพื้นที่ และบรรเทาปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island Effect) ผ่านการดูดซับและกักเก็บน้ำฝน   พร้อมนำเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนมาใช้งาน อาทิ ระบบ HVAC Optimisation และระบบ Lighting Control ที่ทำงานด้วยมอนิเตอร์ตรวจจับอัตโนมัติ MEP เพื่อให้ปรับไปตามสภาพแวดล้อมภายในอาคารและสภาพแวดล้อมภายนอก ระบบ Solor Roof ระบบ Water Management และ Water Treatment บำบัดน้ำเสียภายในโครงการให้กลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น   6 โซนสายกรีน ฮีลใจ   สำหรับพื้นที่ดังกล่าว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธรรมชาติพร้อมเชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ ให้คนทุกเพศ ทุกวัย สามารถดำเนินชีวิตในเมืองอย่างสมดุล และเข้ามาทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งโซน   Food Passage ร้านอาหารชื่อดังที่เหมาะสำหรับการรับประทานอาหาร โซน Bird Nest จุดที่ทุกคนสามารถเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของเมืองกรุงเทพฯ และสวนลุมฯ โซน D Garden เชื่อมต่อกับ Residents’ Private Garden ของลูกบ้านของโครงการ Dusit Residences โซนน้ำตกทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่กระจายอยู่รอบสวน โซน Amphitheatre พื้นที่อเนกประสงค์สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การแสดงงานศิลปะ ดนตรี งานภาพยนตร์กลางแจ้ง เวิร์คช็อป และมินิ อีเวนต์ ทางเดินไล่ระดับสำหรับชมธรรมชาติ (Natural Trail) ให้ทุกคนสามารถเดินชมธรรมชาติได้   ละเอียด ย้ำว่า “โครงการฯ มุ่งสู่การเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ช่วยยกระดับกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองที่มีคุณภาพ”   นอกจากนี้ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ยังได้จัดกิจกรรมให้ร่วมสนุกในแคมเปญ ‘The Landmark of Thai Pride: Roof Park Naming’ แคมเปญประกวดตั้งชื่อ Roof Park ได้ตั้งแต่วันนี้ – 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ผ่านทาง https://dusitcentralpark.com/roofparknamingcampaign   เพื่อชิงรางวัลรางวัลแพ็คเกจตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักโรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น 3 วัน 2 คืน และรางวัลชมเชย บัตรรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร Pavilion โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ มูลค่า 3,000 บาท จำนวน 5 รางวัล โดยประกาศผลบนช่องทาง https://dusitcentralpark.com/roofparknamingcampaign  โดยผลการตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด   เกี่ยวกับโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park)   โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่าง บริษัทดุสิตธานี จำกัด(มหาชน) และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท ทำเล พัฒนาโครงการบนพื้นที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนพระราม 4 – สีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร รายละเอียดโครงการประกอบด้วย โรงแรม อาคารที่พักอาศัย ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน Roof Park พื้นที่ สีเขียวขนาดใหญ่ 7 ไร่ (11,200 ตารางเมตร) เป็นสวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย     Alternate-X สรุปให้    โครงการ Dusit Central Park มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท พัฒนาโดย ดุสิตธานี และเซ็นทรัลพัฒนา ภายใต้แนวคิด Biophilic Design เชื่อมโยงธรรมชาติกับชีวิตเมือง สร้าง Roof Park สวนลอยฟ้าใหญ่ที่สุดในไทยบนพื้นที่ 7 ไร่ เปิดให้บริการโรงแรมและอาคารสำนักงานแล้ว พร้อมสวนลอยฟ้าและศูนย์การค้าในเดือนกันยายน 2568 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมในเมืองกรุงเทพฯ  

August 12, 2025 / 0 Comments
read more

รับยุค Big Data ซับซ้อนทะลัก!! ‘สิริซอฟต์’ จับมือบิ๊กเทคโลก หนุนองค์กรพลิกสู่ดิจิทัล

BizKet

สิริซอฟต์ ร่วมพันธมิตรบิ๊กเทคโนโลยีโลก ‘หัวเว่ย และ Elastic’ จัดงาน ‘Reimagine the Future of Infra with Open Ecosystem and Full-Stack Observability” หนุนองค์กรไทยสู่โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ ที่ยืดหยุ่นพร้อมรับความท้าทาย   โดยในงานฯ ยังได้จัดเสวนา ‘Rebalancing Action: เมื่อ IT โตไว แต่ธุรกิจต้องรัดเข็มขัด’ โดยผู้บริหารจากองค์กรชั้นนำร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองถึงแนวทางการลงทุนด้านไอทีในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน ต้นทุนสูง และบุคลากรขาดแคลน   เดชพล แหลมวิไล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเติบโต บริษัท สิริซอฟต์ จำกัด (มหาชน) หรือ Sirisoift ผู้ให้บริการด้านที่ปรึกษาและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร กล่าวว่า บริษัทฯ ร่วมกับพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) และ Elastic จัดงานสัมมนา ‘Reimagine the Future of Infra with Open Ecosystem and Full-Stack Observability’ เมื่อเร็วๆ นี้   ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้องค์กรไทยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ครอบคลุมทั้งความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐาน ความคาดหวังของผู้ใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้น และความเสี่ยงจากภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงมากขึ้น   เดชพล กล่าวว่า “ความท้าทายปัจจุบัน พบว่าหลายองค์กรยังเผชิญข้อจำกัดจากระบบไอทีแบบเดิมที่ไม่ยืดหยุ่นและขาดการเชื่อมโยง ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้ทันเวลา”   ขณะที่แนวทางที่ธุรกิจควรมุ่งไปคือการใช้ระบบที่เปิดกว้าง  (Open Ecosystem) ซึ่งถูกยกให้เป็นกุญแจสำคัญในการบาลานซ์ต้นทุนและขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน ที่เชื่อมต่อได้ง่าย และขยายตัวได้อิสระ รองรับงานที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รวมถึงการมองเห็นข้อมูลครบทุกขั้นตอนตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานจนถึงแอปพลิเคชัน เพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ   สำหรับความร่วมมือระหว่าง สิริซอฟต์ หัวเว่ย และ Elastic ในครั้งนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยสร้างระบบไอทีที่ทันสมัย ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นใจ   โดย สิริซอฟต์ พร้อมสนับสนุนการบริการแบบ End-to-End ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ ออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ ไปจนถึงการพัฒนา DevOps และ CI/CD Pipeline ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้องค์กรสามารถพัฒนาระบบได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และพร้อมขยายตัวในอนาคต “การวาง IT Infrastructure ที่ยืดหยุ่น เชื่อมต่อได้ง่าย เสถียร และปลอดภัย เปรียบเสมือนกับการวางโครงสร้างบ้านหลังหนึ่งให้สามารถรองรับการต่อเติมและเทคโนโลยีใหม่ในอนาคต พื้นฐานที่ดีของ IT Infrastructure จะส่งให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วกว่า โดยสิริซอฟต์ พร้อมด้วยพันธมิตร หัวเว่ย และ Elastic สามารถให้คำปรึกษาและวางพื้นฐานให้กับองค์กรเพื่อให้งานเทคโนโลยีสารสนเทศของลูกค้าแข็งแกร่งและยั่งยืน” เดชพล กล่าวปิดท้าย   ด้าน ตัวแทนจากบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า องค์กรกำลังเผชิญกับความท้าทายของข้อมูลจำนวนมหาศาลและระบบไอทีที่ซับซ้อน การมีระบบบูรณาการข้อมูลที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้รวดเร็วจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยเตรียมองค์กรให้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ทันท่วงที   หัวเว่ย ในฐานะผู้นำด้านโซลูชันเทคโนโลยีระดับโลก จึงได้นำเสนอโซลูชัน DCS (DataCenter Virtualization Solutions) ที่ถูกออกแบบให้รองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย ผสานเทคโนโลยีจำลองเสมือนและการจัดการ Container ในศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจร ช่วยให้องค์กรสามารถย้ายระบบหรือข้อมูลได้ต่อเนื่องโดยไม่สะดุด ลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ เสริมความมั่นคง และสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน   ด้าน ราวี ราเชนทรัน รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียน, ฮ่องกง, ไต้หวัน และเกาหลี บริษัท Elastic กล่าวว่า เทคโนโลยี Search AI ที่ผสานในเครื่องมือ Observability ของ Elastic จะช่วยให้องค์กรมองเห็นภาพรวมระบบไอทีอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และแจ้งเตือนปัญหาแบบเรียลไทม์ ทำให้ทีมงานตรวจสอบและแก้ไขได้รวดเร็ว ลดผลกระทบต่อผู้ใช้งาน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนพัฒนาระบบ   โดยระบบนี้ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือติดตาม แต่ยังใช้ AI สรุปข้อมูล ค้นหารูปแบบ และคาดการณ์ความผิดปกติล่วงหน้า เปรียบเสมือนผู้เล่นกองหลังที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งยังช่วยให้องค์กรใช้ข้อมูลได้เต็มศักยภาพ ตอบโจทย์ยุคข้อมูลมหาศาลและซับซ้อน ด้วย Elastic AI Ecosystem ที่รองรับโครงสร้างพื้นฐาน Multi-Cloud และ Hybrid พร้อมส่งเสริมการพัฒนา AI Applications ในระดับองค์กร     An AI-generated cover image by freepik   Alternate-X สรุปให้ สิริซอฟต์ จับมือหัวเว่ย และ Elastic จัดงานใหญ่ ‘Reimagine the Future of Infra’ พลิกโฉมองค์กรไทยสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ โชว์โซลูชัน Open Ecosystem และ Full-Stack Observability รับมือ Big Data และโครงสร้างพื้นฐานซับซ้อน ด้าน หัวเว่ยเปิดตัวโซลูชัน DCS เสริมความยืดหยุ่นและความปลอดภัยของศูนย์ข้อมูล ด้าน Elastic นำ Search AI และ Observability ยกระดับการวิเคราะห์และแก้ปัญหาระบบแบบเรียลไทม์ วางเป้าหมาย ช่วยองค์กรไทยวางโครงสร้าง IT ที่ทันสมัย ยืดหยุ่น พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

August 12, 2025 / 0 Comments
read more

YLG หงายการ์ด ทองแท่งน้ำหนัก 96.5% เปิดราคา 4 พันบาท ดึงสายสะสมลงทุน

BizKet

YLG  สร้างสีสันตลาดทองคำเปิดตัวคอลเลคชั่น ‘การ์ดทองแท่ง 96.5%’ น้ำหนัก 1 กรัม ราคา 4,000 บาท เจาะตลาดของขวัญบอกรักวันแม่ เผยทองเตรียมพุ่งรับเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง   พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่าในช่วงเทศกาลวันแม่ปีนี้ วายแอลจีได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์การ์ดทองแท่ง 96.5% น้ำหนัก 1 กรัม ราคา 4,000 บาท ในคอลเลคชั่นดอกมะลิวันแม่สีฟ้าและสีชมพู   “ในปีนี้ มีความพิเศษกว่าเดิมเพื่อให้มอบเป็นของขวัญที่เต็มไปด้วยความหมายให้แม่ ที่จะเป็นเครื่องเตือนใจความรักที่ลูกมีให้แม่” พวรรณ์ กล่าว   โดยผลิตภัณฑ์การ์ดทองแท่ง คอลเล็กชันดังกล่าว วางจำหน่ายทั้งในช่องทางออฟไลน์ สำนักงานใหญ่ สาขาสาทร (สำนักงานใหญ่) , สาขาดิโอลด์สยามและออนไลน์ ผ่านบัญชีไลน์ Line:@ylgsathon, Line: @ylgtheoldsiam     พวรรณ์ กล่าวต่อว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แคมเปญวันแม่ครั้งนี้ นอกจากเพื่อสร้างสีสันการตลาดแล้ว ยังรองรับบรรยากาศสถานการณ์ความคลื่อนไหวของราคาทองคำมีสัญญาณที่ดี หลังจากที่พักตัวในช่วงก่อนหน้านี้ จากปัจจัยสนับสนุนภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐที่อ่อนแอลงก่อนหน้า อาทิ   การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนก.ค. ที่เพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง มีการปรับลด (Downward Revision) ตัวเลขเดือนมิ.ย. ลงเหลือเพียง 14,000 ตำแหน่ง ดัชนี PMI ภาคการบริการจาก ISM เดือนก.ค. ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.1 ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 51.5 ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สะท้อนความเปราะบาง โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน ส่งผลให้ตลาดกลับมาคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25%   นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่เริ่มแสดงความกังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐ ทั้ง “ลิซา คุก” ผู้ว่าการเฟด ที่กล่าวว่าการปรับลด (Downward Revision) ตัวเลขการจ้างงานสะท้อนถึงช่วงพลิกผันทางเศรษฐกิจ   รวมไปถึง “แมรี ดาลี” ปธ.เฟดซานฟรานซิสโก และ “นีล แคชคารี” ปธ.เฟดมินนิแอโพลิส ที่กล่าวสอดคล้องกันว่า การเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไม่กี่เดือนข้างหน้าอาจเป็นเรื่องที่เหมาะสม   อีกทั้งแบบสำรวจของ Reuters ซึ่งจัดทำในช่วงวันที่ 1 – 5 ส.ค. ที่ผ่านมา บ่งชี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องในอีก 12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของเฟด   โดยมีสาเหตุมาจาก “เจอโรม พาวเวล” ถูกกดดันให้ออกจากตำแหน่งประธานเฟด ในขณะที่ “เอเดรียนา คูเกลอร์” ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการเฟด ซึ่งมีผลวันที่ 8 ส.ค.  นอกจากนี้ ยังมีความวิตกเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของข้อมูลเศรษฐกิจหลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” สั่งปลด “อริกา แมคเอนทาร์เฟอร์” ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS)   ทั้งนี้ แม้ปัจจัยทั้งหมดจะค่อนข้างเอื้อให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอีกครั้ง  อย่างไรก็ตาม ในระยะนั้นยังอาจถูกแรงขายทำกำไรสลับออกมาได้บ้าง จากประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่บรรเทาลง หลังจากการเจรจาระหว่างทูตสหรัฐกับรัสเซีย เพื่อยุติสงครามในยูเครนนั้นมีความคืบหน้าในเชิงบวก  และล่าสุด “โดนัลด์ ทรัมป์” เปิดเผยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะพบปะกับ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ปธน.รัสเซีย และ “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี” ปธน.ยูเครน เร็ว ๆ นี้   พวรรณ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของทองคำในระยะสั้น วายแอลจีคาดว่าทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวต้าน 3,405-3,420 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และกรอบแนวรับ 3,358-3,329 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์  ส่วนราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศเคลื่อนไหวในกรอบ 51,000 – 52,350 บาทต่อบาททองคำ  (ที่ระดับค่าเงินบาท 32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)   ทั้งนี้ นักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการสะสมทอง และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย   สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง   โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน   ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold โทร. 0-2678-9888 #2     Alternate-X สรุปให้     YLG เปิดตัวคอลเล็กชันการ์ดทองแท่ง 96.5% น้ำหนัก 1 กรัม ราคา 4,000 บาท เจาะตลาดของขวัญวันแม่ ออกแบบลายดอกมะลิวันแม่สีฟ้าและสีชมพู วางขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ มองต่อปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอ หนุนคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ดันราคาทองมีแนวโน้มปรับขึ้น ส่วนแนวโน้มทองคำโลกอยู่ในกรอบ 3,405–3,420 ดอลลาร์/ออนซ์ และทองแท่งในประเทศ 51,000–52,350 บาท/บาททองคำ      

August 11, 2025 / 0 Comments
read more

Tavo Pets ร่วมเซ็นทรัลฯ เปิดตัวครั้งแรกในไทย เจาะตลาดสัตว์เลี้ยงทะลุแสนล้านบาท

BizKet,  Peace&Play

‘Tavo Pets’ ร่วมวงตลาดสัตว์เลี้ยงไทยโตแรง เจาะกลุ่มอุปกรณ์เดินทางเพื่อความปลอดภัย รับอินไซต์ผู้ปกครองห่วงใยน้องทุกฝีเท้า   เฮเลน จอห์นสัน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Tavo Pets และ Nuna Baby เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เอ็กซ์คลูซีฟระดับโลก เพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงในการเดินทาง ประเทศเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่า Tavo Pets ร่วมกับห้างเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล  จัดงาน TAVO PETS Thailand’s First Launch “Pets Protection Reimagined” เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย   สำหรับงานฯ ครั้งนี้ จัดขึ้นบนพื้นที่ป๊อปอัพแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ณ Event Arena ชั้น 1 ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 7 ส.ค. –13 ส.ค.68 นี้ พร้อมแสดงสินค้าคอลเล็กชั่นล่าสุด เพื่อรองรับความต้องการในกลุ่มผู้ปกครอง-ผู้ดูแลสัตว์เลี้ยง พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของอุปกรณ์เดินทางสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ผ่านการทดสอบในการชน   นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ “เดินทางปลอดภัย สัตว์เลี้ยงสุขใจ” โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินทางและสุขภาพสัตว์เลี้ยง นำโดย   คุณหมอเน๋ง – ศรันย์ นราประเสริฐกุล นักแสดงชื่อดังและผู้บริหาร Hato Pet Wellness Center หมอบีม – นายสัตวแพทย์ กรธัช สมบุญธรรม จากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ คุณบุ๊ค Book Bok Tor – Pet YouTuber ชื่อดังด้านพฤติกรรมและความปลอดภัยสัตว์เลี้ยง Mama Honda คุณเพชรภรณ์ เชิงวิวัฒน์กิจ รองอันดับ 1 Mrs. Thailand World แขกรับเชิญพิเศษ อาทิ คุณเก๋-ชลลดา สิริสันต์ ผู้ก่อตั้ง The Voice Foundation ร่วมแชร์ประสบการณ์ในการดูแลสัตว์เลี้ยง กลุ่มนักแสดงและเซเลบริตี้ คุณจั๊กจั่น-อคัมย์สิริ สุวรรณศุข, คุณตอง – ภัครมัย โปตระนันท์ และ คุณเบอร์ดี้ ปาวา นาคาศัย   โดยมีไฮไลท์พิเศษการปรากฏตัวของครอบครัว Y (Y Family) นำโดย น้องเยียร์และน้องญาญ่า ไอดอลสี่ขาขวัญใจแห่งโลกโซเชียลที่มีผู้ติดตามหลักแสนคน ร่วมงานการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย   เฮเลน กล่าวว่า การนำแบรนด์ Tavo Pets เข้าสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยความร่วมมือกับห้างเซ็นทรัล เนื่องจากในประเทศไทยมีคอมมูนิตี้ของคนรักสัตว์เลี้ยงที่เติบโตอย่างต่อเนื่องประกอบกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มองสัตว์เลี้ยงเป็นเสมือนหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว   ขณะที่ แนวคิดนี้สอดคล้องกับพันธกิจของเราที่ต้องการมอบความปลอดภัยและความสะดวกสบายระดับโลกให้กับทุกการเดินทางของสัตว์เลี้ยงและเจ้าของที่ต้องการปกป้องให้สุนัขและแมวในทุกการเดินทางทั้งใกล้และไกล   สำหรับ งานเปิดตัวในครั้งนี้ที่ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ตลาดในประเทศไทยเป็นครั้งแรกของแบรนด์ระดับโลก Tavo Pets อย่างเป็นทางการ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับการออกแบบโดยได้คำนึงถึงความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และดีไซน์ที่สวยโดดเด่น โดยมีผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ อาทิ   Maeve™ 3-in-1 Pet Travel System ตะกร้าคาร์ซีทและรถเข็นสำหรับสัตว์เลี้ยง Maeve iso Wind คาร์ซีทสัตว์เลี้ยง มีพัดลมระบายอากาศในตัว ติดตั้งระบบ Isofix Crispin™ กรงเดินทาง สำหรับสัตว์เลี้ยง กันกระแทกรอบด้าน ติดตั้งง่าย ด้วยระบบ Isofix Dupree™ ที่นั่งติดรถยนต์สำหรับสัตว์เลี้ยงขนาดพกพา Roscoe™ รถเข็นสัตว์เลี้ยงสุดพรีเมียม รองรับทุกการเดินทางอย่างมั่นใจและมีสไตล์ Shell™ เบาะนอน เปลไกว สำหรับสุนัขและแมว   จากแนวทางการดำเนินธุรกิจและการเข้ามาทำตลาดร่วมกับพันธมิตรในไทยครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตตลาดสัตว์เลี้ยงในไทย จากการสำรวจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดการณ์มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยในปี 2568 จะมีมูลค่าราว 9.2 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 13.2% จากปีที่ผ่านมา พร้อมคาดหวังมูลค่าตลาดทะลุแสนล้านในปี 2569 จากรูปแบบการเลี้ยงสัตว์ในยุคปัจจุบันที่กำลังเริ่มพัฒนาไปได้ไกลกว่าแค่การเลี้ยงเสมือนส่วนหนึ่งในครอบครัว   Alternate-X สรุปให้    Tavo Pets แบรนด์ผลิตภัณฑ์เดินทางปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยงระดับโลกจากเนเธอร์แลนด์ เปิดตัวครั้งแรกในไทยร่วมกับห้างเซ็นทรัล จัดงาน “Pets Protection Reimagined” ระหว่าง 7–13 ส.ค. 2568 ที่ Event Arena ชั้น 1 เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมโชว์คอลเล็กชันใหม่และเทคโนโลยีความปลอดภัย มีกิจกรรมเสวนาโดยสัตวแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และเซเลบริตี้ พร้อมแขกพิเศษ “Y Family” ไอดอลสัตว์เลี้ยงชื่อดัง ผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ เช่น Maeve™ 3-in-1 Pet Travel System, Maeve iso Wind, Crispin™, Dupree™, Roscoe™, และ Shell™ รองรับการเติบโตตลาดสัตว์เลี้ยงไทยเติบโตแตะ 9.2 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และทะลุแสนล้านบาทในปี 2569

August 11, 2025 / 0 Comments
read more

องค์กรเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ‘ROCTEC’ กำไรพุ่ง63% รับดีมานด์งานโครงสร้าง ‘ไอซีที’ โต

BizKet

‘ROCTEC’ มองธุรกิจไอซีที ปี68 ยังโตแกร่ง จากความต้องการโซลูชันเทคโนโลยียังแรงต่อเนื่อง หลังไตรมาสแรกปี68 รายได้โต 9 % กำไรพุ่ง 63% เทียบปีก่อน   เว่ย แซม แลม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ROCTEC ผู้ให้บริการโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม (ICT) ในองค์กร/ธุรกิจ เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแนวทางการดำเนินธุรกิจมุ่งยกระดับขีดความสามารถในการให้บริการ ผ่านการลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (in-house R&D) ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)   ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์โครงสร้างพื้นฐานเมืองอัจฉริยะ (Smart Cityแม้เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตลาดหลัก ได้แก่ ประเทศไทยและฮ่องกง ซึ่งได้รับผลกระทบในระดับจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ   เว่ย กล่าวต่อถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2568/69 (เมษายน – มิถุนายน 2568) บริษัทฯ มีรายได้รวม 825 ล้านบาท เติบโต 9.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของกลุ่มธุรกิจการให้บริการด้าน ICT ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนรายได้ให้กับบริษัท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 85% ของรายได้รวม   ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากปัจจัย   1. การเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน   2. การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมในต่างประเทศซึ่งมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง   “แนวโน้มธุรกิจในปีงบประมาณ 2568/69 โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มบริการด้าน ICT จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากแรงสนับสนุนจากความต้องการโซลูชันเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” เว่ย กล่าวพร้อมเสริมว่า           จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาสนี้ ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์การมุ่งสู่ธุรกิจการให้บริการไอซีทีแบบครบวงจร ที่สามารถต่อยอดฐานลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนได้อย่างต่อเนื่อง   โดยเฉพาะกลุ่มงานระบบเทคโนโลยีแบบครบวงจร (Integrated Technology Solutions) ที่ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่าย และระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งมีการขยายตัวอย่างชัดเจนในกลุ่มหน่วยงานภาครัฐและสถาบันต่าง ๆ ในฮ่องกง   “เราจะเดินหน้าต่อยอดจุดแข็งด้านเทคโนโลยีและการบริหารโครงการ เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกตลาดที่บริษัทเข้าไปดำเนินธุรกิจ” เว่ย ย้ำ   โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ยังมีพัฒนาการสำคัญ ได้แก่   • การเริ่มต้นรับรู้รายได้จากโครงการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของการรถไฟแห่งประเทศไทย • ความคืบหน้าในการปรับเงื่อนไขของธุรกรรม Hello LED กับ PlanB ซึ่งยังคงมูลค่าธุรกรรมเดิม พร้อมทั้งได้กำหนดเงินมัดจำที่ไม่สามารถเรียกคืนได้   อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสองรายการยังไม่ส่งผลต่อผลประกอบการในเชิงตัวเลขอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสนี้ แต่สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทฯ ในการต่อยอดเครือข่ายพันธมิตร และการสร้างโอกาสทางธุรกิจและทางการเงินในระยะยาวได้อย่างแข็งแกร่ง   ขณะที่ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีรายได้ที่อยู่ระหว่างการส่งมอบและรอการรับรู้แล้วกว่า 67% ของเป้าหมายประจำปีงบประมาณ 2568/69 สะท้อนถึงความมั่นคงของกระแสรายได้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี โดย บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และส่งมอบคุณค่าระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้นในทุกสภาวะเศรษฐกิจ   An AI-generated cover image by ChatGPT   Alternate-X สรุปให้  ROCTEC รายงานไตรมาส 1 ปีงบ 2568/69 กำไรสุทธิ 121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากปีก่อน มีรายได้รวม 825 ล้านบาท โต 9% จากความต้องการโซลูชัน ICT โดยบริษัทฯมุ่งลงทุน R&D และ AI รองรับ Smart City ในไทยและฮ่องกง โดยมีรายได้รอรับรู้แล้วกว่า 67% ของเป้าหมายทั้งปี มุ่งสร้างการเติบโตยั่งยืนและขยายตลาด ICT แบบครบวงจร  

August 11, 2025 / 0 Comments
read more

วิวปังยังไม่พอใหญ่สุดในโลกอีก!! POP MART Landmark Store สาขา ไอคอน สยาม

Peace&Play

หลังจากบริษัท ป๊อป มาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (Pop Mart Thailand)  รับสิทธิบริหาร ‘POP MART ร้านค้าปลีกพิเศษ​ของเล่นสะสมอาร์ตทอยชื่อดังจากประเทศจีน มาทักทายผู้บริโภคชาวไทยในตลาด อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2566   ถึงในตอนนี้เป็นเวลาร่วม 2 ปี ไม่ว่า ‘POP MART’ มีสาขารวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 9 แห่งแล้ว ล่าสุดเปิดสาขาลำดับที่ 10 ที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ไปเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา   สำหรับสาขาใหม่ดังกล่าว ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นร้านสาขา ‘POP MART Global Landmark Store ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยตั้งอยู่บนชั้น 7 ของศูนย์ฯ ICONSIAM ด้วยวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร   โดยสาขาใหม่ POP MART แห่งนี้มีพื้นที่กว้างกว่า 760 ตารางเมตร ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด ‘Global Landmark Store’ แห่งแรกที่ผสมผสานศิลปะวัฒนธรรมไทยเข้ากับความทันสมัยและโลกแห่งจินตนาการไว้อย่างลงตัว ส่องไฮไลต์ สาขา ICONSIAM   ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก   นอกจากนี้ ยังเปิดให้บริการ POP MART CAFÉ แห่งแรกนอกประเทศจีน ที่มาพร้อมกับโซนคาเฟ่ มาเพิ่มประสบการณ์ใหม่ทั้งขนมและเครื่องดื่มให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินไปพร้อมกับเหล่าอาร์ตทอยตัวโปรด ทั้งหลายด้วย   การออกแบบที่สะท้อนความเป็นไทย ด้วยการตกแต่งภายในได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘วัฒนธรรมแห่งสายน้ำ’ (Water Culture), ‘สถาปัตยกรรมไทย’ (Traditional Thai Architecture) ซึ่งเชื่อมโยงกับสายน้ำเจ้าพระยาได้อย่างกลมกลืน   อาร์ต ทอย สุดแรร์ ด้วยสินค้าหลากหลายและหายาก ทั้งสินค้าฮิตและคอลเล็กชันพิเศษ รวมถึงไอเท็มลิมิเต็ดที่ออกแบบมาเพื่อประเทศไทยโดยเฉพาะ เช่น Angry Molly ใส่นวมช้าง และมีตู้กด POP BEAN ดีไซน์ใหม่เป็นแห่งแรก   ต่อการเปิดสาขาใหม่นี้ ยังตอกย้ำถึงความนิยมของอาร์ตทอยในประเทศไทยและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการนักสะสม โดยมีแฟนๆ แห่กันมาต่อคิวตั้งแต่เช้าในวันแรกที่เปิดให้บริการ   จากในวันแรก (8 สิงหาคม) สำหรับลูกค้าทั่วไปมีนักสะสมอาร์ตทอยและประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเข้าคิวรอ เพื่อซื้อสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ Landmark Limited ที่วางจำหน่ายเฉพาะที่นี่   พร้อมสินค้า Thailand Limited ที่มีเฉพาะ POP MART ในประเทศไทย และคาแรคเตอร์อื่น ๆ อีกมากมายกันอย่างล้นหลามตั้งแต่ช่วงเช้า ปัจจุบัน POP MART เปิดให้บริการ 10 สาขาในประเทศไทย ได้แก่   เซ็นทรัลเวิลด์ (Central World) เทอร์มินอล 21 อโศก (Terminal21 Asoke) สยามเซ็นเตอร์ (Siam Center) เซ็นทรัล ลาดพร้าว (Central Ladprao) เซ็นทรัล เวสต์เกต (Central Westgate) แฟชั่นไอส์แลนด์ (Fashion Island) เมกาบางนา (Mega Bangna) เซ็นทรัล เชียงใหม่ (Central Chiang Mai) เซ็นทรัล พัทยา (Central Pattaya) ไอคอนสยาม   โดยบริษัท ป๊อป มาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (Pop Mart Thailand) เป็นผู้ที่นำ Popmart มาเปิดในประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Pop Mart International ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย Art Toys ชั้นนำระดับ POP MART (Pop Mart International Group Limited) เป็นบริษัทผู้ผลิตของเล่นสะสมในรูปแบบ blind box (กล่องสุ่ม) ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดย หวาง หนิง (Wang Ning) ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ถือเป็นแบรนด์ชั้นนำด้านของสะสมระดับโลก ด้วยคาแรกเตอร์อาร์ตทอยยอดนิยม เช่น Labubu, Cry Baby, MOLLY เป็นต้น     Alternate-X สรุปให้    POP MART ประเทศไทย เปิดสาขาใหม่ลำดับที่ 10 ที่ ICONSIAM เมื่อ 8 ส.ค. 2568 พร้อมตำแหน่ง Global Landmark Store ใหญ่ที่สุดในโลก บนพื้นที่กว่า 760 ตร.ม. ผสมผสานศิลปะวัฒนธรรมไทยกับความทันสมัยและโลกแห่งจินตนาการ พร้อม เปิดตัว POP MART Café แห่งแรกนอกจีน เพิ่มประสบการณ์ขนมและเครื่องดื่มคู่กับอาร์ตทอย มีสินค้าหายาก คอลเล็กชันพิเศษ และไอเท็มลิมิเต็ดเฉพาะประเทศไทย เช่น Angry Molly ใส่นวมช้าง โดยเมื่อวันวันร้านสาขาฯ ดังกล่าวมีแฟนคลับและนักสะสมต่อคิวยาวตั้งแต่เช้า เพื่อซื้อสินค้าพิเศษ Landmark Limited และ Thailand Limited            

August 10, 2025 / 0 Comments
read more

‘ไมเนอร์ ฟู้ด’ รุกตลาดโลก ส่งออก 2 แบรนด์สร้างในไทย ขยายแฟรนไชส์ต่างประเทศเต็มกำลัง

BizKet

จากจุดเริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารในเครือไมเนอร์ ฟู้ด ของ ‘วิลเลียม ไฮเน็ค’ หรือ ‘บิล’ นักธุรกิจสัญชาติไทยเชื้อสายอเมริกัน ผู้ก่อตั้งอาณาจักรไมเนอร์ กรุ๊ป ที่มองเห็นโอกาสธุรกิจอาหารครั้งใหญ่ในไทย ด้วยการเปิดตลาดร้านอาหารเครื่องดื่มแบรนด์ต่างประเทศในไทย ครั้งแรกเมื่อปี 2523   ในยุคนั้น ไมเนอร์ ฟู้ด  เป็นผู้รับสิทธิบริหารจัดการแฟรนไชส์ร้านอาหารและของหวานไอศกรีมแบรนด์ดังต่างๆ จากสหรัฐอเมริกา ทั้ง สเวนเซ่นส์ (Swensen’s) แดรี่ควีน (Dairy Queen) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงถึงในตอนนี้ รวมถึงร้านสเต็กสลัด ซิซซ์เล่อร์ (Sizzler) ได้เข้าทำความรู้จักกับผู้บริโภคชาวไทยในปี 2535   นอกจากนี้ ยังมีร้านพิซซ่าแบรนด์ดังที่ประสบความสำเร็จในตลาดสหัฐฯ เช่นกัน ก่อนธุรกิจเกิดจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในปี 2543 จนต้องพลิกบทบาทจากแฟรนไชส์ซี (Franchisee)แบรนด์พิซซ่าที่โด่งดังในยุคนั้น มาสู่บทบาทใหม่ในฐานะผู้พัฒนาและเจ้าของแบรนด์พิซซ่าท้องถิ่น ‘The Pizza Company’ เพื่อทำตลาดแข่งขันกับแบรนด์พิซซ่าระดับโลกดังกล่าว โดยเฉพาะ   ถึงในปัจจุบัน ไมเนอร์ ฟู้ด ดำเนินธุรกิจสู่ปีที่ 45 พร้อมพอร์ตร้านอาหารในเครือไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์เพื่อทำในตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ   และจากนี้ไปอาณาจักรไมเนอร์ฟู้ด ได้เข้าสู่ทศวรรษที่ 5 ของธุรกิจพร้อมยุทธศาสตร์การตลาดในอีก 5 ปีหน้า (2568-2572) ด้วยแผนพาแบรนด์ร้านอาหารสัญชาติไทยที่พัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อส่งออกตลาดในต่างประเทศ   ‘ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)   สู่อาณาจักร ‘ฟู้ด โกล บอล’     ‘ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวทิศทางการดำเนินธุรกิจตลอดช่วงปี 2568-2572  ด้วยกลยุทธ์ ‘Passion for Growth’ มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับโมเดลธุรกิจ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรแฟรนไชส์ในตลาดศักยภาพทั่วโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลงทุนและผลตอบแทน   โดยปัจจุบัน ไมเนอร์ ฟู้ด มีพอร์ตธุรกิจมากกว่า 30 แบรนด์ และร้านค้ากว่า 2,700 สาขาใน 24 ประเทศ โดยเป็นร้าน แฟรนไชส์ จำนวน 1,300 สาขา หรือคิดเป็น 48% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ในอนาคตโดยใช้กลยุทธ์การขยายธุรกิจร้านอาหารผ่าน 3 แกนหลักสำคัญ       แดรี่ควีน สาขาใน C-Store ยอดโต20%     กลยุทธ์ที่1 ขยายแบรนด์แฟรนไชส์ ในไทยให้ครอบคลุมมากขึ้น ด้วยแบรนด์ที่ได้รับความนิยม เช่น   บอนชอน (Bonchon) แดรี่ควีน (Dairy Queen) กาก้า (GAGA) เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั่วประเทศที่เพิ่มขึ้น   สำหรับ แบรนด์ แดรี่ควีน บริษัทฯ พัฒนาร้านฟอร์แมทใหม่ Dairy Queen stand-alone modular store ที่เปิดร่วมกับร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store:C-Store)ที่มีที่จอดรถ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบาย ใกล้กับที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันแดรรี่ควีนมีสาขาทั่วประเทศราว 530-540 แห่ง   “เทรนด์บริโภคที่น่าสนใจพบว่าปัจจุบันลูกค้ามีแนวโน้มการรับประทานอาหารมื้อดึก เลท ไนท์ (Late Night) มากขึ้น ซึ่งหลังเปิดแดรี่ควีน โมดูล่า ร่วมกับพาร์ตเนอร์ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น และ โลตัส พบว่ามียอดขายจากช่วงเวลาดึกขึ้นราว 20% โดยบริษัทฯ วางแผนเปิดสาขาโมเดลนี้เพิ่มเป็น 15 แห่งในปีนี้”   ธันยเชษฐ์ เสริมว่า แดรี่ ควีน โมดูล่า ที่มีอัตราการเติบโตดังกล่าว มาจากปัจจัยการเป็นฟอร์แมตสาขาภายใต้แนวคิด (Concept) ใหม่ ที่คิดขึ้นมาเพื่อลดความเสี่ยงผู้ประกอบการลงทุนแฟรนไชส์ด้านทำเล จากเดิมจะต้องเปิดในพื้นที่ร่วมกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โดยแดรี่ควีน โมดูล่า สโตร์ จะพัฒนาพื้นที่ขายร่วมกับร้านค้าปลีกสะดวกซื้อที่มีพื้นที่จอดรถ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการโมเดลสาขาใหม่   “แดรี่ควีน ฟอร์ตแมตโมเดลใหม่นี้ ยังได้แอพพรูฟและเป็น เบสต์ แพรคทีส จากบริษัทแม่ในสหรัฐฯ เพื่อนำมาใช้เร่งขยายสาขาในไทยด้วย”   สำหรับแบรนด์เดอะพิซซ่า คอมปะนี มีจำนวน 430 สาขาทั่วประเทศ และ สเวนเซ่นส์ มีกว่า 400 สาขาทั่วประเทศ เช่นกัน ซึ่งบริษัทฯวางแนวทางขยายสาขาในรูปแบบแฟล็กชิปสโตร์ ในทำเลที่ดึงดูดเพื่อสร้างให้เป็นแลนด์มาร์ค ในพื้นที่ท้องถิ่นแต่ละแห่งด้วย   “ร้านสเวนเซ่นส์ บีช คอนเซปต์ สโตร์ สาขาบางแสนหลังเปิดให้บริการ 7-8 เดือนที่ผ่านมาได้การตอบรับสูงและสร้างยอดขายติดท็อปไฟว์ของแบรนด์”     แมปตลาดอินโด-อินเดีย คือ อนาคต     สำหรับกลยุทธ์ที่2 การเข้าตลาดยุทธศาสตร์ (Strategic Market) ในต่างประเทศ ต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย บริษัทฯ ใช้แบรนด์ แดรี่ ควีน (Dairy Queen) และ กาก้า (GAGA) เร่งขยายเพิ่มขึ้น   รวมถึง ประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ประเทศเพื่อนบ้าน CLMV และภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้วยแบรนด์หลัก เช่น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company) สเวนเซ่นส์ (Swensen’s) ซิซซ์เล่อร์ (Sizzler) และเดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club)   “ตลาดอินโดนีเซีย มีความน่าสนใจจากกำลังซื้อประชากรที่ยังเป็นวัยแรงงาน ซึ่งไมเนอร์ฯเข้ามาราว 1 ปีก่อนด้วยแบรนด์แดรี่ควีนและกาก้า ซึ่งหลังผู้บริโภคชาวอินโดฯให้การตอบรับเมนูเครื่องดื่มชาไทยที่ได้ความนิยมสูง”   ปัจจุบัน มีสาขาแดรี่ควีน 38 แห่งและ กาก้า 32 สาขา ในอินโดนีเซีย   ธันยเชษฐ์ เสริมว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ยังมีแผนขยายธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร ฮอต เชน (Hot Chain Restauran) แบรนด์ในเครือไมเนอร์ฟู้ด เพื่อเข้าตลาดอินโดนีเซีย และ  อินเดีย ด้วยมองเห็นศักยภาพซึ่งเป็นตลาดทางยุทธศาสตร์ทั้ง2 ประเทศ ที่มีแนวโน้มการบริโภคเติบโตสูงในอนาคต   พร้อมมองหาโอกาสใหม่ระดับภูมิภาคในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง  ด้วยนำแบรนด์ เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) เข้าไปทำตลาด และแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์เทปันยากิ Benihana เป็นต้น พ้อมวางแผนเข้าตลาดในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยแบรนด์ในเครือที่มีศักยภาพ ภายในสิ้นปี 2568 นี้ด้วยเช่นกัน       พาแบรนด์สัญชาติไทยส่งออกแฟรนไชส์     กลยุทธ์ที่3 พัฒนาและขยายแบรนด์ใหม่ ที่ตอบโจทย์เทรนด์อาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านการพัฒนาเอง การร่วมลงทุนกับพันธมิตร รวมถึง การเข้าซื้อแบรนด์ที่มีศักยภาพ  เช่น   การเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ (The STEAK & MORE) ที่ไมเนอร์ ฟู้ด พัฒนาขึ้นมาเองเพื่อมาตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบรับประทานสเต็กรสชาติเข้มข้น ในราคาที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้ง่าย     ปัจจุบัน เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ มี 5 สาขา   ศูนย์การค้าเมกะบางนา ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม9 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล สำโรง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสเกต True Digital Park   “ในปี2568 นี้จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของไมเนอร์ฟู้ด มีความเป็นไปได้ที่พาเฮ้าส์แบรนด์ที่พัฒนาขึ้นมาทั้งเดอะพิซซ่า คอมปะนี และ เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ ส่งออกตลาดร้านอาหารในต่างประเทศในฐานะแฟรนไซซี”       ทั้งนี้ จากแผนกดังกล่าวจะเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อยกระดับแบรนด์ในเครือสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก พร้อมสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน โดยบริษัทฯวางเป้าหมายใน 2572 ไมเนอร์ ฟู้ด มีจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มรวมทั้งสิ้นกว่า 4,500 ร้าน เพิ่มขึ้นราว 1,800 สาขาในปัจจุบันมีจำนวน 2,700 แห่ง และมีสัดส่วนสาขาแฟรนไชส์ 2500 แห่ง เพิ่มขึ้น 1,200 สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่ 1,300 แห่ง หรือคิดเป็น 56% ของพอร์ตธุรกิจทั้งหมด   Alternate-X สรุปให้    ธุรกิจร้านอาหารในกลุ่มไมเนอร์สู่ปีที่ 45  พร้อมวางแผน 5 ปี (2568-2572) ไมเนอร์ ฟู้ด  ด้วยกลยุทธ์ ‘Passion for Growth’ เพื่อขยายอาณาจักรธุรกิจร้านอาหารและส่งออกแฟรนไชส์ แบรนด์สัญชาติไทยที่พัฒนาเองอย่าง The Pizza Company และ The STEAK & MORE สู่ตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเร่งขยายแบรนด์ดังเช่น Dairy Queen และ GAGA ในตลาดอินโดนีเซียและอินเดีย พร้อมเพิ่มสาขาทั่วโลกรวมเป็น 4,500 แห่ง และมีสัดส่วนแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 56% ภายในปี 2572    

August 9, 2025 / 0 Comments
read more

‘ลาซาด้า’ แนะทริกค้าออนไลน์ไทยใช้AI ปลดล็อคตลาดอีคอมเมิร์ซ 4.5 ล้านๆบาท

BizKet

Get Ready With Me!! เตรียมตัวไปกับฉัน ‘ลาซาด้า’ หนุนผู้ขายไทย 61% เปิดใจใช้ AI เจาะช่องว่างตลาดผ่าน ‘Sponsored Max’ เพิ่มคอนเวอร์ชัน ‘ผู้ค้า-คนขาย’   รายงานล่าสุดจาก Momentum Works ร่วมกับลาซาด้า  เผยว่าหากผู้ขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถใช้ศักยภาพของ AI ได้อย่างเต็มที่ จะสามารถปลดล็อกมูลค่าทางเศรษฐกิจในระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซทั่วภูมิภาคได้สูงถึง 4.5 ล้านล้านบาทต่อปี (หรือราว 131 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ภายในปี 2030   ตัวเลขนี้สะท้อนถึงโอกาสมหาศาลในการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ในฐานะผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ลาซาด้า เล็งเห็นศักยภาพดังกล่าวตั้งแต่แรกเริ่ม และได้นำ AI มาเป็นพลังสำคัญที่ช่วยเสริมขีดความสามารถ ให้ผู้ขายไทยแข่งขันและเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง   โอกาสและพฤติกรรมการใช้ AI ของผู้บริโภคและผู้ขายไทย   จากรายงาน Digital 2025  นักช้อปไทยมีการจับจ่ายใช้สอยผ่านช่องทางออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงที่สุดในโลก คิดเป็น 69.2% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 55.8% สะท้อนว่าการช้อปปิงออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคไทย ส่งผลให้พวกเขามีความคาดหวังต่อประสบการณ์การใช้งานแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่สูงยิ่งขึ้นไปด้วย   ผลสำรวจจากลาซาด้า ร่วมกับกันตาร์ (Kantar)  เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นต่อบทบาทของ AI ในอีคอมเมิร์ซ และมองว่า AI ช่วยยกระดับประสบการณ์การช้อปให้ตรงใจและตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น   โดยพบว่า 90% ยินดีซื้อสินค้าที่ระบบ AI แนะนำ 81% ยินดีจ่ายเงิน เพื่อประสบการณ์การช้อปที่ขับเคลื่อนด้วย AI   อย่างไรก็ตาม ในฝั่งผู้ขาย ผลสำรวจ  เผยให้เห็น ‘ช่องว่าง’ ระหว่างการรับรู้และการใช้งาน AI อย่างชัดเจน   ผู้ขายไทยเกือบทุกราย (99%) ตระหนักถึงศักยภาพของ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม 88% ยอมรับว่าพนักงานของตนยังคงยึดติดกับเครื่องมือเดิมที่คุ้นเคย มากกว่าจะเปิดรับการใช้โซลูชัน AI ใหม่ ๆ ปัจจุบัน ผู้ขายไทยเพียง 39% นำ AI มาใช้งานจริงในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหมายความว่าผู้ขายอีกมากกว่าครึ่งยังพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันผ่านเทคโนโลยี AI   นอกจากนี้ รายงานจาก McKinsey  ยังระบุอีกว่า ธุรกิจที่ใช้ AI ในด้านการขายและการตลาดสามารถเพิ่มรายได้มากถึง 15% ในขณะที่ลดต้นทุนการดำเนินงานได้มากถึง 20% ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการเร่งนำ AI มาขับเคลื่อนธุรกิจ แม้จะต้องเผชิญความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านจากระบบที่คุ้นเคย ไปสู่การใช้โซลูชัน AI มาเสริมประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ และการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ     เครื่องมือขาย Sponsored Max     เพื่อเสริมศักยภาพให้ผู้ขายไทยพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในโลกอีคอมเมิร์ซ ลาซาด้าจึงเดินหน้าสนับสนุนให้ผู้ขายใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มที่ ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ Sponsored Max หนึ่งในเครื่องมือโปรโมตสินค้าภายใต้ Lazada Sponsored Solutions ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายให้กับผู้ขายไทยอย่างครบวงจร ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ปรับแต่งการตั้งค่าได้ภายในไม่กี่คลิก เหมาะทั้งผู้ขายมือใหม่และมืออาชีพ โดยทำหน้าที่เสมือน “ผู้ช่วยหลังบ้าน” ที่เข้ามาเสริมกลยุทธ์ทางธุรกิจในหลากหลายด้าน อาทิ   เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายสูงสุด ครอบคลุมทุกช่องทราฟฟิกบนแพลตฟอร์ม เพิ่มโอกาสให้สินค้าได้รับการมองเห็นมากขึ้น พร้อมจับคู่ความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำด้วยอัลกอริธึม AI เพิ่มศักยภาพการขายแบบเต็ม Max ผู้ขายสามารถเลือกตั้งเป้าหมายผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) ได้ตามต้องการ โดยเทคโนโลยี AI ล่าสุดจะเข้ามาช่วยบริหารงบประมาณและปรับแคมเปญให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มยอดขายสูงสุดภายใต้งบที่ตั้งไว้ ควบคุมงบประมาณและผลตอบแทนได้ดียิ่งขึ้น แนะนำการตั้งค่าผลตอบแทนจากค่าโฆษณา ROAS รายวันที่เหมาะสม พร้อมจัดสรรงบการตลาดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด   Sponsored Max ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการลงทุนอย่างต่อเนื่องของลาซาด้าในเทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ขายอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีแบรนด์ชั้นนำและผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากที่ได้ใช้งานเครื่องมือ Sponsored Max และเห็นผลลัพธ์จริง   โดยในช่วงเมกะแคมเปญ ผู้ขายที่ใช้ Sponsored Max มียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 160% เมื่อเทียบกับวันปกติ ลาซาด้ามุ่งมั่นผลักดันผู้ขายไทยใช้ AI เพื่อยกระดับการขายและบริหารร้านค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านโซลูชันที่ตอบโจทย์ความท้าทายทางธุรกิจในปัจจุบัน   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือ Sponsored Max ได้ที่ bit.ly/SponsoredMaxTH   อนึ่ง ลาซาด้า กรุ๊ป เป็นผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ในตลาดประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ผ่านธุรกิจการค้าและเทคโนโลยี ปัจจุบันธุรกิจที่กำลังเติบโตนี้ได้เชื่อมโยงผู้ใช้งานเป็นประจำราว 160 ล้านราย เข้ากับผู้ขายที่ดำเนินธุรกิจอยู่มากกว่า 1 ล้านรายต่อเดือน ผ่านการทำธุรกรรมทางการเงินที่ปลอดภัย ด้วยช่องทางการชำระเงินต่าง ๆ ที่เชื่อถือได้ รวมถึงลาซาด้าวอลเล็ต   อีกทั้งยังรับบริการจัดส่งพัสดุจากเครือข่ายโลจิสติกส์ในประเทศที่กลายเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้   Alternate-X สรุปให้    ลาซาด้าเผยรายงานร่วมกับ Momentum Works ว่าการใช้ AI เต็มศักยภาพในอีคอมเมิร์ซอาเซียนอาจสร้างมูลค่า 4.5 ล้านล้านบาทต่อปี นักช้อปไทยใช้ช่องทางออนไลน์มากที่สุดในโลก ขณะที่ผู้ขายไทยยังใช้ AI เพียง 39% ขณะที่ Sponsored Max คือเครื่องมือโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยเพิ่มยอดขายเฉลี่ย 160% ในช่วงเมกะแคมเปญ โดยฟีเจอร์นี้ออกแบบให้ใช้งานง่าย ปรับกลยุทธ์และบริหารงบโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง ลาซาด้ามุ่งผลักดันผู้ขายไทยใช้ AI เพื่อแข่งขันและเติบโตในตลาดอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว   อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง     เจาะเทรนด์อีคอมเมิร์ซ ‘AI’ ผู้ช่วยหลักธุรกิจอนาคต ‘เอสเอ็มอี’ รุ่นใหม่ต้องรู้ทันแพลตฟอร์ม  

August 8, 2025 / 0 Comments
read more

รู้จักแบรนด์ ‘นาถะ’ สินค้าบุญหลวงพ่ออลงกต พลัง ‘ศรัทธา มาร์เก็ตติง’ ส่งคืนกลับสังคม

BizKet

‘นาถะ’ แบรนด์ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ภายใต้ดำริของหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ด้วยที่มาแบรนด์มาจากท้ายนามของหลวงพ่ออลงกต พระราชวิสุทธิประชานาถ แปลว่า ผู้เป็นที่พึ่ง ซึ่งเป็นเจตนารมณ์อันสูงสุด ของหลวงพ่ออลงกต คือ ‘ผู้เป็นที่พึ่งของประชาชน’   แบรนด์นาถะ (NATHA) เชื่อว่าน่าจะเริ่มเป็นที่คุ้นหูของใครหลายคนมาบ้างหลัง ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ (เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล) ผู้อุทิศตนในฐานะลูกศิษย์พระราชวิสุทธิประชานาถ (หลวงพ่ออลงกต) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี มานานกว่าสิบปี ได้ทำคอนเทนต์แนะนำแบรนด์นาถะ คาเฟ่ (NATHA Cafe) มาก่อนหน้าในระยะหนึ่งแล้ว   สแกนแบรนด์นาถะ   ขณะที่แบรนด์นาถะ เองได้วางตำแหน่งเป็นทั้งผลิตภัณฑ์ของกินของใช้ (Consumer Product) อาทิ ครีมอาบน้ำ ยาสระผม โลชันบำรุงผิว และหมวดบริโภคอย่าง ข้าวสารบรรจุถุง ไปจนถึงเสื้อยืดพิมพ์ลวดลายทั้งอักขระยันต์เตือนสติ และ ภาพลายเส้นหลวงพ่ออลงกต         นอกจากนี้ แบรนด์นาถะยังได้นำสินค้าไอเทมต่างๆ จัดเป็นชุดสำหรับการทำสังฆทานเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้มีจิตศรัทธาที่ประสงค์มีส่วนร่วมทำบุญผ่านผลิตภัณฑ์แบรนด์นาถะ ได้อีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน   ส่วนการทำตลาดสินค้าดังกล่าว ทางทีมงานมูลนิธินาถะจะเป็นฝ่ายดำเนินการนำผลิตภัณฑ์ออกไปวางจำหน่ายในสถานที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะร่วมไปพร้อมกับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อหลวงอลงกตที่ได้รับเชิญทั้งจากหน่วยงานองค์กรเอกชนต่าง ๆ   รวมถึงความตั้งใจส่วนตัวของหลวงพ่ออลงกต ต่อการออกปฏิบัติภาระกิจระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ด้อยโอกาสที่อยู่ในความดูแลของวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิธรรมรักษ์ โดยมีกองทุนอาทรประชานารถเป็นผู้ดูแล ซึ่งหลวงพ่ออลงกตเป็นผู้ก่อตั้ง เพื่อดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ด้วยการจัดหาที่พัก อาหาร การรักษาพยาบาล และปัจจัยอื่นๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ด้วยการระดมทุนนี้มีความสำคัญต่อการสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิฯ และการช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ส่วนหนึ่งในสังคม   สำหรับ สินค้าต่างๆภายใต้แบรนด์นาถะ นั้นได้ดำเนินการเพื่อให้ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมซื้อสินค้าบุญที่มีคุณภาพ โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายถวายให้กับหลวงพ่ออลงกต     ‘คุณธัญพร กรเกษม’ เจ้าหน้าที่มูลนิธินาถะ เล่าเรื่องราวแบรนด์นาถะซึ่งเกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปีก่อน ขณะที่มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมาร่วม2 ปี ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้การทำงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์นาถะสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน   “ที่มาแบรนด์นาถะ มาจากคำท้ายชื่ออย่างเป็นทางการของหลวงพ่ออลงกต คือ พระราชวิสุทธิประชานาถ แล้วนำมาขยายการออกเสียงให้เป็นคำว่านาถะ ในภาษาไทย และใช้ภาษาอังกฤษว่า NATHA” คัณธัญพร เล่าพร้อมเสริมอีกว่า   ขณะที่สินค้านาถะ เองก็ยังมีเรื่องราวที่เกิดจากความตั้งใจของหลวงพ่ออลงกต ที่ต่อยอดมาจากให้การดูแลกลุ่มเยาวชนในจังหวัดลพบุรี ทั้งด้านการศึกษาด้วยก่อตั้งโรงเรียนนาถะศาสตร์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1-6 พร้อมให้ทุนการศึกษาสำหรับเยาวชน ที่มีความสามารถด้านกีฬาฟุตบอล เพื่อเข้ามาสังกัดในสโมสรฟุตบอลใจฟ้า อะคาเดมี จังหวัดลพบุรี ที่อยู่ภายใต้การดูแลของหลวงพ่ออลงกต ด้วย   “สินค้าของกินของใช้แบรนด์นาถะที่นำมาจัดเป็นชุดสังฆทาน ยังเกิดจากแนวคิดของหลวงพ่ออลงกต ที่มองไปไกลถึงความเป็นอยู่ของกลุ่มเยาวชนนักกีฬาฟุตบอลในสังกัดใจฟ้าอะคาเดมี ที่ต้องการใช้สินค้าส่วนตัวทั้งสบู่ ครีมอาบน้ำ ยาสระผม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจในการทำแบรนด์นาถะเพื่อออกมารองรับความต้องการในด้านนี้” ‘คุณธัญพร อธิบายเสริม     ขยายสู่ นาถะ คาเฟ่   พร้อมกล่าวอีกว่า สินค้าแบรนด์นาถะต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจจริงในการทำตลาดทั้งคุณภาพสินค้าด้วยราคาสมเหตุสมผลเฉลี่ยหลักร้อยบาทต่อชิ้น ที่ปัจจุบันยังนำสินค้าวางจำหน่ายในช่องทางร้านกาแฟ ‘นาถะ คาเฟ่’ ที่เปิดให้บริการ 2 สาขา คือ   นาถะคาเฟ่ สาขาประชาชื่น เปิดให้บริการ วันอังคาร – อาทิตย์ เวลา09:00-19:00 น.  (ปิดทุกวันจันทร์ ) นาถะ คาเฟ่ สาขาอาคารเล้าเป้งง้วน 1 เปิดให้บริการทุกวัน 09:00-19:00 น.     คุณธัญพร เสริมอีกว่า นับจากการพัฒนาและนำสินค้าแบรนด์นาถะออกมาไปแนะนำให้กับประชาชนทั่วไปได้รู้จักตลอดช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้การตอบรับดีทุกครั้งที่ทางนาถะ จัดกิจกรรมสนองดำริหลวงพ่ออลงกต ในปัจจุบัน   “ด้วยสิ่งที่หลวงพ่ออลงกตปฏิบัติมาตลอดช่วงที่ผ่านมากว่า 30 ปีและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ชวนให้ทีมงานมูลนิธิฯ ทุกคนได้ตระหนักถึงการทำไปต่อเพื่อสังคมเช่นเดียวกับที่ท่านไม่เคยหยุดในเรื่องนี้เช่นกัน”   ภาพประกอบบางส่วน ขอบคุณเพจเฟซบุ๊คนาถะ (NATHA)   Alternate-X สรุปให้   ‘นาถะ’ แบรนด์สินค้าบุญที่ก่อตั้งภายใต้ดำริหลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ วางตำแหน่งเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่ทุกชิ้นรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเข้าสู่การช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ยากไร้ กับแนวทาง ‘ศรัทธา มาร์เก็ตติง’ ขับเคลื่อนด้วยความตั้งใจให้ทุกการซื้อคือการทำบุญสินค้ามีทั้งครีมอาบน้ำ ยาสระผม ข้าวสาร เสื้อยืด ยันต์ เตรียมเป็นชุดสังฆทานได้ พร้อมจำหน่ายใน ‘นาถะ คาเฟ่’ และกิจกรรมร่วมหลวงพ่อทั่วประเทศ เพื่อส่งต่อพลังแห่งศรัทธา              

August 8, 2025 / 0 Comments
read more

ซันโทรี่ฯไทย ตั้ง ‘ยุทธนา จิตจรุงพร’ นั่งประธานฯการตลาดคุมพอร์ตเครื่องดื่ม

BizKet

ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคฯ ตั้ง ‘ยุทธนา จิตจุงพร’ มือดีการตลาดค้าปลีก- FMCG ระดับโลก วางกลยุทธ์รับ Marketing Transformation พอร์ตเครื่องดื่มทุกกลุ่มในไทย   บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์สินค้าของซันโทรี่และเป๊ปซี่โคในประเทศไทย ประกาศแต่งตั้ง ‘ยุทธนา จิตจรุงพร’ ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารอาวุโสฝ่ายการตลาด (ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด)  มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป   ต่อการเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้ ‘ยุทธนา จิตจรุงพร’ จะเข้ามาบริหารงานด้านการตลาด โดยดูแลทั้งการวางแผนเชิงกลยุทธ์และขับเคลื่อนการดำเนินงานทางการตลาดต่าง ๆ ของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ได้แก่ เป๊ปซี่ มิรินด้า เซเว่นอัพ สติงค์ เกเตอเรด ลิปตัน ทีพลัส บอส คอฟฟี่ และอควาฟิน่า   ขณะเดียวกัน ยังปลดล็อกข้อจำกัดและเพิ่มศักยภาพของแบรนด์ โดยใช้นวัตกรรม มาช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การตลาดที่มีความฉับไว คล่องตัว (Agile Marketing) รวมถึงการถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว   ทั้งนี้ ยุทธนา จะเป็นผู้นำในการดำเนินแคมเปญการตลาดแบบบูรณาการ เพื่อสร้างความผูกพันให้แบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัทฯ เป็นที่รักของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์เครื่องดื่มภายใต้ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ในฐานะแบรนด์ยอดนิยมของคนไทย การแต่งตั้งครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่ม ด้วยผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ภายใต้แบรนด์ที่แข็งแกร่ง พร้อมสร้างคุณค่าให้กับสังคมไทย   มุ่งแผนเปลี่ยนแปลงตลาด   ‘ยุทธนา จิตจรุงพร’ รองประธานบริหารอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การร่วมงานกับ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ค่านิยมองค์กร ‘การเติบโตอย่างยั่งยืน (Growing for Good) ของบริษัทฯ นั้น สะท้อนถึงสิ่งที่ผมเชื่อมั่นและยึดถือในการทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านการกำหนดเป้าหมาย การให้ความสำคัญกับนวัตกรรม และการทำงานในวัฒนธรรมองค์กรที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว   นอกจากนี้ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ยังโดดเด่นด้วยพอร์ตโฟลิโอแบรนด์เครื่องดื่มที่แข็งแกร่ง และขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในยุคที่ผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งความคุ้มค่า ดีต่อสุขภาพ และใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น   “ผมมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการตลาด (Marketing Transformation) ด้วยกลยุทธ์ที่มาจากข้อมูลเชิงลึก ซึ่งมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้เร็ว เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเข้าถึงผู้บริโภคอย่างแท้จริง พร้อมตั้งใจทำงานร่วมกับทีมงานทุกฝ่ายอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันสร้างการเติบโตครั้งใหม่ เสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ รวมถึงส่งมอบผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มรสชาติดีคุณภาพเยี่ยม ควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”  ยุทธนา กล่าว   เกี่ยวกับ ‘ยุทธนา’   ‘ยุทธนา’ มีประสบการณ์การทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคและธุรกิจค้าปลีกในองค์กรระดับโลก มายาวนานกว่า 20 ปี โดยมีความเชี่ยวชาญในด้านการสร้างแบรนด์ การพัฒนานวัตกรรม การขยายหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ และการพลิกโฉมธุรกิจสู่ดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ทั้งนี้ ก่อนที่จะร่วมงานกับซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ‘ยุทธนา’ เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้พลังงาน) ประจำภูมิภาคเอเชีย และตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ในเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เป๊ปซี่โค  โดยประสบความสำเร็จในการนำทีมปรับภาพลักษณ์แบรนด์และพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ในตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว   นอกจากนี้ นายยุทธนา ยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญด้านการตลาดและการพัฒนาธุรกิจในองค์กรชั้นนำหลากหลาย อาทิ เซ็นทรัล กรุ๊ป เทสโก้ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และดานอน อีกด้วย   ด้านการศึกษา   ‘ยุทธนา’ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการตลาด (Master of Science in Marketing) จาก University of Bath สหราชอาณาจักร และ ปริญญาตรี หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจและการตลาด (Bachelor of Science in Business, Marketing) จาก Indiana University Bloomington สหรัฐอเมริกา   ด้วยความเชี่ยวชาญในระดับภูมิภาคและผลงานที่โดดเด่นในการสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์และธุรกิจ ‘ยุทธนา’ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเสริมศักยภาพทางธุรกิจของ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย และตอกย้ำความแข็งแกร่งของบริษัทฯ      ในฐานะผู้นำตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทย   โดยภายใต้การบริหารของเขา ซึ่งให้ความสำคัญกับผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง     พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จะส่งผลให้ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เดินหน้าสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ขององค์กร โดยก้าวสู่การเป็น “บริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง” (The Most Beloved Beverage Company in Thailand with True Gemba Centricity)     Alternate-X สรุปให้ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย แต่งตั้ง ‘ยุทธนา จิตจรุงพร’ เป็นรองประธานบริหารอาวุโสฝ่ายการตลาด มีผล 1 กรกฎาคม 2568 มาดูแลกลยุทธ์และการตลาดครอบคลุมทุกแบรนด์ในพอร์ต เช่น เป๊ปซี่ มิรินด้า เซเว่นอัพ สติงค์ เกเตอเรด ลิปตัน ทีพลัส บอส คอฟฟี่ และอควาฟิน่า พร้อมมุ่งใช้ Agile Marketing และนวัตกรรมเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคอย่างสร้างสรรค์ และขับเคลื่อน Marketing Transformation โดย ‘ยุทธนา’ มีประสบการณ์กว่า 20 ปีใน FMCG และค้าปลีกระดับโลก เคยทำงานกับเป๊ปซี่โคในภูมิภาคเอเชีย และองค์กรชั้นนำหลายแห่ง พร้อมตั้งเป้าสร้างการเติบโต ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่การเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในไทย   บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง   จัดCARBหนักแต่ดื่มศูนย์แคลฯ กลยุทธ์ เป๊ปซี่ x พิซซ่า ฮัท ส่งเมนู เมลทส์รสชาติใหม่เจาะเจนฯZ  

August 8, 2025 / 0 Comments
read more

‘บ้านปู’ รับเศรษฐกิจชะลอตัว ใช้กลยุทธ์หนุนกิจการเพื่อสังคม แชร์ 5 ทางรอดฝ่าความท้าทาย

EcoVative,  Peace&Play

ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจทุกระดับ โครงการ Banpu Champions for Change (BC4C)โดย บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และ สถาบัน ChangeFusion แนะ 5 แนวทางช่วยกิจการเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ไทยให้ “อยู่รอดและเติบโต” ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและเศรษฐกิจไทยต่อไปได้   สุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการสถาบัน ChangeFusion เปิดเผยว่า “SE กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน อาทิ   ต้นทุนที่สูงขึ้น กำลังซื้อที่หดตัว ความท้าทายในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน     โดยเฉพาะโมเดลธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการขายสินค้าและบริการเป็นหลัก  ทั้งนี้ BC4C จึงขอเสนอ 5 แนวทางเชิงกลยุทธ์ ที่จะช่วยให้ SE ไทย ปรับมุมมองธุรกิจ ให้ทันกับบริบทเศรษฐกิจปัจจุบัน มองเห็น ‘โอกาสใหม่’ ซึ่งอาจกลายเป็นจุดตั้งต้นของการเติบโตครั้งใหม่ได้ หากรู้จักพลิกเกมให้เป็น ดังนี้   1.ใช้ ‘จุดแข็งของโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์สังคมและสิ่งแวดล้อม’ เพื่อพลิกวิกฤตเศรษฐกิจ SE หลายรายสามารถฝ่าวิกฤตได้ด้วยโมเดลรายได้และตัวชี้วัดทางสังคมที่ชัดเจน โดยมักจะดึงดูดการลงทุนและสร้างโอกาสในการขยายความร่วมมือ เช่น YoungHappy (BC4C รุ่นที่ 8) ที่มีฐานสมาชิกผู้สูงวัยเป็นจุดแข็ง   และในช่วง COVID-19 สามารถปรับโมเดลกิจกรรมเป็นรูปแบบออนไลน์ พร้อมขายโปรแกรมดูแลสุขภาพทางไกล ช่วยรักษารายได้ ขยายฐานลูกค้า และลดภาวะเหงา-ซึมเศร้าในผู้สูงวัยกว่า 10,000 คนทั่วประเทศ   2.กระจายความเสี่ยง ด้วยการ ‘ไม่พึ่งรายได้ทางเดียว’ รู้จักวางแผนรับมือความไม่แน่นอนด้วยการสร้างรายได้จากหลายช่องทาง เช่น Local Alike (BC4C รุ่นที่ 2) ที่เคยพึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวชุมชนอย่างเดียว แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ก็พลิกไปพัฒนาแบรนด์สินค้าชุมชนแทน จนกลายเป็นอีกโมเดลที่สร้างรายได้ใหม่ให้กับทั้งตนเองและชุมชน   3.ใช้พลังเครือข่าย ‘ชุมชน–พาร์ตเนอร์’ เป็นเครื่องมือรับมือวิกฤต SE มักจะทำงานใกล้ชิดกับชุมชน ซัพพลายเออร์ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น คือแต้มต่อของ SE ในการปรับตัว ทั้งการต่อรองเงื่อนไข การปรับรูปแบบการผลิต หรือแม้แต่ร่วมออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกันในยามเกิดวิกฤต   เช่น Banana Leoi (BC4C รุ่น 10) (เดิมชื่อ Banana Land) ได้พัฒนาการท่องเที่ยวร่วมกับคนในพื้นที่ในช่วงที่การท่องเที่ยวต้องหยุดชะงัก ด้วยการดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มรูปแบบ โดยร่วมกันจัดสรรพื้นที่ปลูกข้าวของหมู่บ้านให้กลายเป็น “ทุ่งนาออนไลน์” เปิดให้ผู้คนในเมืองจับจองพื้นที่ปลูกข้าว พร้อมติดตามการเติบโตผ่านช่องทางดิจิทัล และได้รับผลผลิตข้าวออร์แกนิกส่งถึงบ้าน   โมเดลนี้ไม่เพียงสร้างรายได้ทดแทนจากการท่องเที่ยวที่หายไป แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ชุมชนมีบทบาทหลักทั้งในแง่การออกแบบ การดำเนินการ และการส่งมอบคุณค่า ทำให้การปรับตัวเกิดขึ้นจากฐานรากของความร่วมมืออย่างแท้จริง   รวมถึงต่อยอดธุรกิจจาก ‘กระแสเศรษฐกิจมหภาค’ ด้วยเทรนด์ท่องเที่ยวเมืองรอง และกระแสคนรุ่นใหม่คืนถิ่น ที่ส่งเสริมให้เกิดธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น สินค้าออร์แกนิก ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น รวมถึงเทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Eco-Luxury และ Nature Positive Tourism ที่เน้นสร้างประสบการณ์พิเศษและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ก็ตอบโจทย์ตลาดศักยภาพสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งตลาด Luxury นี้ส่วนมากจะมีกำลังซื้อต่อเนื่องแม้ในยามวิกฤตเศรษฐกิจ   4. พัฒนาต่อเนื่อง “บ่มเพาะ-ต่อยอด” SE ควรหาความรู้ เชื่อมโยงเครือข่าย แม้ในช่วงเจอวิกฤตเพื่อพัฒนาศักยภาพและอัปเดตตัวเองอย่างต่อเนื่อง โครงการ “พลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม” หรือ BC4C ของบ้านปู ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ไม่ได้แค่ช่วยให้ SE ให้อยู่รอด แต่ช่วยให้ SE เติบโตได้แม้เศรษฐกิจจะไม่เอื้อ ผ่านการเปิดพื้นที่พัฒนาและเชื่อมโยงหน่วยงานพันธมิตรที่พร้อมช่วยต่อยอดศักยภาพให้ไปต่อได้”   ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน SE ที่อยู่รอดได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่แค่ที่มีความแข็งแรงทางการเงิน แต่คือธุรกิจที่มีเป้าหมายชัด SE ที่มีแรงขับเคลื่อนจากเป้าหมายเหล่านี้มักพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน ด้วยการผสมผสานรายได้จากหลากหลายช่องทาง ใช้จุดแข็งในท้องถิ่นสร้างนวัตกรรม และเปิดรับโอกาสใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ   ซึ่ง BC4C ในฐานะโครงการบ่มเพาะ SE ไทย ได้พัฒนาทักษะเหล่านี้ตั้งแต่รากฐาน ผ่านกระบวนการคิดแบบผู้ประกอบการ สนับสนุนทุน ทดลองตลาดจริง ให้คำปรึกษาเชิงลึก และเชื่อมต่อ SE เข้ากับระบบนิเวศที่แข็งแรง เพื่อให้ธุรกิจที่เกิดจากความตั้งใจดี กลายเป็นโมเดลธุรกิจที่ไปต่อได้ในโลกความเป็นจริง     ด้าน รัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส – สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “SE ก็เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ เมื่อเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ หนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะทำให้อยู่รอดได้คือธุรกิจต้องมีความยืดหยุ่น (Resilience) พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง หาโอกาสในวิกฤตและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาได้เร็ว อย่างไรก็ตาม บ้านปูเชื่อว่า นอกจากการที่ SE จะพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว หาก SE ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากภาครัฐ และผู้บริโภคที่เข้าใจศักยภาพของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ใช่แค่กลุ่มทางเลือกอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น กลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืนที่จับต้องได้จริงในระยะยาว”     Alternate-X สรุปให้ Banpu Champions for Change (BC4C) แนะ 5 แนวทางช่วยธุรกิจเพื่อสังคม (SE) ไทย อยู่รอด-เติบโตแม้เศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งการใช้จุดแข็งทางสังคม กระจายรายได้ พลังเครือข่าย พัฒนานวัตกรรม และเสริมความยืดหยุ่น ธุรกิจ SE ที่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืนของไทยในอนาคตได้จริง

August 6, 2025 / 0 Comments
read more

เด็กไทยฉลาดจากนมแม่ รพ.PRINC แนะ4 วิธีปั๊มนมสต๊อก แล้วห้ามใช้ไมโครเวฟอุ่นเด็ดขาด!!

Peace&Play

การปั๊มนมสต็อก คือทางเลือกที่คุณแม่ยุคใหม่นิยมใช้ เพื่อให้ลูกน้อยได้รับประโยชน์จากนมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในยามที่คุณแม่ไม่สามารถอยู่ป้อนนมได้ตลอดเวลา   แต่รู้หรือไม่ว่า การจัดการนมแม่แช่แข็งที่ผิดวิธี อาจทำให้คุณค่าทางโภชนาการของนมลดลง หรือร้ายแรงกว่านั้นคือเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้! นี่คือสิ่งที่แม่มือใหม่ทุกคนต้องใส่ใจ ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด!   แพทย์หญิงสุมิตรา อวิรุทธ์นันท์ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านทารกแรกเกิดและปริกำเนิด ประจำโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 2 แนะนำวิธีการจัดการ “นมแม่แช่แข็ง” ที่คุณแม่มือใหม่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพลูกน้อยให้เติบโต แข็งแรงสมวัย ดังนี้     1.‘อุณหภูมิและเวลา’ กุญแจสำคัญในการเก็บรักษานมแม่   การจัดเก็บนมแม่ไม่ใช่แค่การแช่เย็นหรือแช่แข็งเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงอุณหภูมิและระยะเวลาอย่างเคร่งครัด เพราะสารอาหารและภูมิคุ้มกันในนมแม่มีคุณสมบัติที่เปราะบาง การเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้คุณค่าเหล่านี้สูญสลายไปโดยไม่รู้ตัว   อุณหภูมิห้อง (ไม่เกิน 25°C): เก็บได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง กระเป๋าเก็บความเย็นพร้อมเจลเก็บความเย็น: เก็บได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง ตู้เย็นช่องธรรมดา (0-4°C): เก็บได้ไม่เกิน 4 วัน (เหมาะสำหรับนมที่จะใช้ในไม่กี่วันข้างหน้า) ช่องแช่แข็งในตู้เย็นประตูเดียว: เก็บได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ช่องแช่แข็งในตู้เย็น 2 ประตู: เก็บได้ไม่เกิน 3-6 เดือน ตู้แช่แข็งแบบ Deep Freezer (อุณหภูมิคงที่ -18°C หรือต่ำกว่า): เก็บได้ไม่เกิน 6-12 เดือน   ข้อควรจำอย่างยิ่ง: ทุกครั้งที่ปั๊มนม ควร ติดฉลากระบุวันที่ปั๊มนม ไว้ที่ถุงหรือขวดเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าได้นำนมที่เก่าที่สุดออกมาใช้ก่อน (ระบบ First In, First Out – FIFO) เพื่อป้องกันนมหมดอายุและคงคุณค่าสูงสุด   2.‘ละลายผิด…สารอาหารพัง’ ห้ามใช้ไมโครเวฟเด็ดขาด!   หลายคนอาจคิดว่าการละลายนมแม่แช่แข็งก็เหมือนการละลายอาหารทั่วไป แต่สำหรับนมแม่แล้ว เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก! การละลายที่ผิดวิธี ไม่เพียงแต่ทำลายสารอาหารสำคัญ แต่ยังอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตจนเป็นอันตรายต่อลูกได้   วิธีที่ปลอดภัยที่สุด: ย้ายนมจากช่องแช่แข็งมาพักไว้ใน ช่องธรรมดาของตู้เย็น ล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือ 1 คืน วิธีเร่งด่วนที่ปลอดภัย: แช่ถุงหรือขวดนมในภาชนะที่มี น้ำเย็น ก่อน แล้วค่อยๆ เติม น้ำอุ่น ลงไปจนน้ำนมละลาย ข้อห้ามตายตัว!: ห้ามละลายในน้ำร้อนจัด หรือนำเข้าไมโครเวฟเด็ดขาด! ความร้อนสูงและรวดเร็วจะทำลายโปรตีนและสารอาหารสำคัญในนมแม่ และอาจทำให้เกิด “จุดร้อน” ที่เป็นอันตรายต่อปากของลูกน้อยได้ อย่าเขย่าแรงๆ: เมื่อนมละลายแล้ว อาจเห็นการแยกชั้นของไขมันและน้ำนม ให้ค่อยๆ หมุนหรือแกว่งถุง/ขวดนมเบาๆ เพื่อให้นมเข้ากัน ไม่ควรเขย่าแรงๆ เพราะอาจทำให้โครงสร้างไขมันเสียไป‘อุ่นพออุ่น’ ก่อนป้อนลูก   3. เมื่อนมละลายแล้ว   หากลูกน้อยชอบนมที่อุ่นขึ้นอีกนิด ก็ต้องมีเทคนิคการอุ่นที่ถูกต้องเช่นกัน   แช่ในน้ำอุ่น: ใช้วิธีแช่ถุงหรือขวดนมในภาชนะที่มีน้ำอุ่น (ไม่ใช่น้ำร้อนจัด) หรือใช้เครื่องอุ่นนมโดยเฉพาะ ทดสอบอุณหภูมิเสมอ: ก่อนป้อนลูก ให้ หยดนม 2-3 หยดที่หลังมือ เพื่อทดสอบอุณหภูมิ นมควรจะรู้สึกอุ่นๆ ไม่ร้อนจัดเด็ดขาด   4. ข้อควรระวังที่คุณแม่ ‘ต้องไม่ละเลย’   นอกจากการเก็บรักษา ละลาย และอุ่นนมแล้ว ยังมีข้อควรระวังสำคัญอื่นๆ ที่แม่มือใหม่มักจะมองข้าม ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของลูกน้อยได้:   ห้ามแช่แข็งซ้ำ!: เมื่อนมละลายแล้ว ห้ามนำกลับไปแช่แข็งซ้ำเด็ดขาด! ต้องใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงหากเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา หรือภายใน 2-4 ชั่วโมงหากเก็บไว้นอกตู้เย็นที่อุณหภูมิห้อง นมเหลือต้องทิ้ง!: หากลูกดูดนมจากขวดแล้วเหลือ ควรทิ้งทันที ไม่ควรเก็บไว้ให้ลูกกินต่อในมื้อหน้า เพราะอาจมีแบคทีเรียปนเปื้อนจากปากลูกแล้ว เก็บปริมาณน้อยๆ: ควรเก็บนมเป็นปริมาณน้อยๆ ในแต่ละถุง/ขวด (เช่น 60-120 มล.) เพื่อลดการเหลือทิ้ง และง่ายต่อการละลายตามปริมาณที่ลูกกินในแต่ละมื้อ กลิ่นหืนของนมแม่: บางครั้งนมแม่ที่ละลายแล้วอาจมีกลิ่นหืนคล้ายสบู่หรือโลหะ ซึ่งเกิดจากเอนไซม์ไลเปส (Lipase) หากลูกยังกินได้ปกติก็ไม่เป็นอันตราย แต่หากลูกไม่ยอมกิน อาจพิจารณาลดระยะเวลาในการเก็บสต็อก หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ   อย่าลืมว่า นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย การจัดการที่ถูกต้องคือหัวใจสำคัญในการรักษาสารอาหารและภูมิคุ้มกันอันล้ำค่าไว้ให้ลูกของคุณ! คุณแม่มือใหม่ทุกท่านจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกรัก   ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและเคล็ดลับสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กโรงพยาบาล PRINC Group หรือสนใจรับบริการและปรึกษาปัญหาสุขภาพสำหรับคุณแม่และลูกน้อยได้ที่โรงพยาบาลในเครือพริ้นซ์ใกล้บ้าน สายด่วนสุขภาพ โทร 1208       Alternate-X สรุปให้   PRINC แนะ 4 วิธีจัดการน้ำนมแม่อย่างถูกต้อง เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วน ปลอดภัย และเติบโตฉลาดสมวัย ห้ามใช้ไมโครเวฟอุ่นนมเด็ดขาด เพราะอาจทำลายสารอาหารและเสี่ยงเกิดจุดร้อนทำลายเยื่อบุปากลูกน้อย พร้อมเทคนิคเก็บ-ละลาย-อุ่นนมอย่างมือโปร ที่แม่ยุคใหม่ห้ามพลาดเด็ดขาด!

August 6, 2025 / 0 Comments
read more

ทหารไทย ต้องอบอุ่นหัวใจ ‘แม็คกรุ๊ป’ จัดให้เสื้อผ้า ‘แม็คยีนส์’ มอบกำลังใจถึงแนวหน้าปะทะกัมพูชา

Peace&Play

‘แม็คกรุ๊ป’ แบรนด์แฟชั่นไทยที่อยู่ในตลาดมากว่า 40 เป็นอีกหนึ่งแรงใจห้ทหารชายแดนไทย-กัมพูชา มอบเสื้อผ้า ‘แม็คยีนส์’ มูลค่า 1 ล้านบาท   ‘แม็คยีนส์’ แบรนด์แฟชั่นสัญชาติไทยที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 40 ปี ภายใต้ ‘บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)’ หรือ MC ‘แม็ค กรุ๊ป’ ผุ้ผลิตและทำตลาดไอเทมไลฟ์สไตล์การแต่งกายที่เข้าถึงคนทุกกลุ่ม จากจุดเริ่มต้นโดย ‘สมชัย ส่งวัฒนา’ หนึ่งผู้บุกเบิกตลาดกางเกงยีนส์ในประเทศไทย ถึงในปัจจุบัน ‘แม็คยีนส์’ นอกจากมุ่งทำตลาดผลิตภัณฑ์สินค้าแฟชันหลากหลายรายการแล้ว ยังเดินหน้าไปพร้อมกับการเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมกับการตอบแทนสังคมมาโดยตลอด และต่อเนื่อง ทั้งการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ การสนับสนุนโครงการด้านการศึกษา หรือการมอบสิ่งของจำเป็นแก่ผู้ด้อยโอกาส เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้น   ล่าสุด จากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในเวลานี้ ที่แม้ว่าจะยังไม่คลี่คลายมากนัก แต่ยังคงมีเหล่าทหารหาญผู้กล้าหาญของไทยประจำการอยู่แนวหน้าเพื่อพิทักษ์อธิปไตย ต่อเนื่องในตลอดช่วงที่ผ่านมา   ท่ามกลางความท้าทายจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ภูมิประเทศที่ยากลำบาก และภารกิจที่ต้องเฝ้าระวังตลอดเวลา ล้วนเป็นสิ่งที่ทหารไทยต้องเผชิญในทุกวัน ซึ่งอาจทำให้พวกเขาขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มที่เหมาะสมและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน   โดยในครั้งนี้ ‘แม็ค กรุ๊ป’ ตระหนักถึงภารกิจอันเสียสละและความสำคัญของขวัญกำลังใจ ล่าสุดทีมผู้บริหาร MC นำโดย ‘แมทธิว กิจโอธาน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบกำลังใจครั้งสำคัญ   โดยบริจาคผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่จำเป็นของแบรนด์ ‘แม็คยีนส์’ รวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท ให้กับทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ณ แม็ค สตูดิโอ แม็คกรุ๊ป สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา   การบริจาคในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการมอบสิ่งของ แต่ยังเป็นการส่งมอบความห่วงใย กำลังใจ และเป็นตัวแทนจากคนไทยทั้งประเทศ ที่พร้อมยืนหยัดเคียงข้างและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษชายแดนไทยของเราเสมอไป   Alternate-X สรุปให้    “แม็คยีนส์” แบรนด์ยีนส์ไทยกว่า 40 ปี เดินหน้ากิจกรรมเพื่อสังคม มอบเสื้อผ้ามูลค่า 1 ล้านบาท ให้ทหารไทยประจำการชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก การบริจาคครั้งนี้มีขึ้นเพื่อส่งกำลังใจและเป็นตัวแทนความห่วงใยจากคนไทยทั้งประเทศ แม้สถานการณ์ชายแดนจะไม่รุนแรง แต่ทหารยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ.

August 6, 2025 / 0 Comments
read more

PROSPECT REIT จัดงบ 970 ล้านบาท ลงทุนครั้งใหม่ BFTZ 6 เร่งสปีดขยายพอร์ตสู่ 10,000 ล้านบาท

BizKet

‘ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์’ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล” หรือ “PROSPECT REIT” ไปต่อไม่พัก พร้อมย้ำสถานะกองทรัสต์สุดแกร่งที่เติบโตสวนกระแส พร้อมรับทุกแรงต้าน   โดยหลังประสบความสำเร็จจากการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 3 เมื่อไตรมาส 2/2568 ที่ผ่านมา   ล่าสุด ประกาศเดินหน้าลุยลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 4 ทันที ในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 6 (BFTZ 6) ถนนบางนา-ตราด กม.19 โครงการคุณภาพสูงของสปอนเซอร์หลัก บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด มูลค่ารวมไม่เกิน 970 ล้านบาท พื้นที่ให้เช่ากว่า 50,749 ตร.ม. บนทำเลยุทธศาสตร์เดิม   ‘อรอนงค์ ชัยธง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัดผู้จัดการกองทรัสต์ บอกว่า หลังเห็นโมเมนตัมและการขยายตัวของดีมานด์จากผู้เช่าอาคารทั้ง 4 โครงการภายใต้การจัดการที่อัตราการเช่าพุ่งเกือบ 100% อีกทั้งยังมีแรงส่งจากทิศทางการลงทุนที่ส่งผลเชิงบวกต่อภาคอุตสาหกรรม   งานนี้หากผู้ถือหน่วยทรัสต์อนุมัติลงทุนใน BFTZ 6 ตามแผน จะทำให้พอร์ตของ PROSPECT REIT ขยับไปสู่ระดับ 9,500 ล้านบาท เป้าหมายกองทรัสต์ 10,000 ล้าน อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม สมกับเป็น Industrial REIT ชั้นนำ ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น แผนการเติบโตชัดเจน และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหน่วยอย่างต่อเนื่อง    

August 6, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดเช่าอสังหาฯภูเก็ต ขยายตัว พลัสฯโชว์พอร์ต ‘แสนสิริ’ ให้ยีลด์ 6-10% มาพร้อมบริการใหม่  

BizKet

พลัสฯ วางแผนรับตลาดเช่าอสังหาฯ ‘ภูเก็ต’ ขยายตัวแรง เจาะดีมานด์นักลงทุน  รับเมืองเที่ยวปลายทางหรู  เปิดพอร์ตโครงการฯแสนสิริ‘แสนสิริ’ โชว์ให้ยีลด์ 6-10%   สมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหารจัดการโครงการอยู่อาศัยครบวงจรระดับพรีเมียมในเครือแสนสิริ กล่าวว่า บริษัทฯ เข้ามาทำตลาดในจังหวัดภูเก็ตมานานกว่า 20 ปีถึงในปัจจุบัน และพบว่าเป็นตลาดอยู่อาศัยที่มีศักยภาพ ทั้งคนท้องถิ่น กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน (Expat) และ นักเดินทาง/ท่องเที่ยว ที่มีกำลังซื้อสูง ในฐานะ ‘ภูเก็ต’ เมืองท่องเที่ยวปลายทางหรูระดับโลก   “การทำงานของของพลัสฯ ตลอดที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานกว่า 200 คน รวมถึงประสบการณ์กว่า 40 ปีของแสนสิริ มาร่วมบริหารพอร์ตอสังหาฯ ที่มีอยู่ในภูเก็ต พร้อมบริการใหม่ พลัส คอนเชียส พลัส (Plus Concierge) เป็นจุดแข็งเพื่อรองรับในทุกโครงการอสังหาฯของแสนสิริ ในปัจจุบันและในอนาคต” สมสกุล กล่าว   โดย หลังบริษัทฯ เปิดให้บริการ Plus Concierge เพื่อหาผู้เช่า และบริหารจัดการอสังหาฯ ให้กลุ่มนักลงทุน พบว่า กลุ่มผู้เช่ามี 2 ส่วนหลัก  คือ   กลุ่มคนไทยที่ในทำงานภูเก็ต และกลุ่มต่างชาติ โดยเฉพาะดิจิทัล นอแมด (Digital Nomad) ซึ่งนิยมการอยู่อาศัยบริเวณ (Zone)ในเมือง กลุ่มนักท่องเที่ยวระยะยาว (มากกว่า 1-3 เดือนขึ้นไป) นิยมอยู่อาศัยโซนรอบเมือง เช่นเชิงทะเล เป็นต้น   ขณะที่ อัตราผลตอบแทน (Yeild) จากการลงทุนให้อยู่อาศัย หรือการปล่อยเช่าอสังหาฯในภูเก็ต จะมีระดับสูง อัตราเฉลี่ยประมาณ 1 หลัก (Digit) ปลาย ๆ ซึ่งหากเทียบกับอสังหาฯ ที่บริษัทฯ ดำเนินการปล่อยเช่าให้ลูกค้าจะคิดอัตราผลตอบแทนฯต่อปี (Rental Yield) ดังนี้   ดีคอนโด ภูเก็ต (ราคาทรัพย์ประมาณ 2 ล้านบาท) ค่าเช่า 12,000-15,000 บาท/เดือน Yield: 7.2% – 9.0%   เดอะเบส ภูเก็ต (ราคาทรัพย์ 3 ล้านบาทกลาง ๆ) ค่าเช่า 18,000 – 20,000 บาท/เดือน Yield: 6.17% – 6.86%   บ้านสราญสิริ ภูเก็ต (ราคาทรัพย์ 9 ล้านบาท) ค่าเช่า 75,000 – 80,000 บาท/เดือน Yield: 10.0% – 10.67%   สมสกุล กล่วว่า ปัจจุบันตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตมีความร้อนแรง หนึ่งในปัจจัยหนุนให้ในบางโครงการ มีราคาปรับตัวกระโดดสูงขึ้น อาทิ โครงการอสังหาฯ เรสซิเดนซ์ พูลวิลล่า บางแห่งราคา 30 ล้านบาท ทำสัญญา 1 ปี สามารถปล่อยเช่าอัตรา 2.5 แสนบาทต่อเดือน และหากนำมาปล่อยเช่าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว สามารถทำอัตราค่าเช่าได้สูงถึง 8-9 แสนบาทต่อ3 เดือน     Alternate-X สรุปให้   พลัส พร็อพเพอร์ตี้ มองตลาดเช่าอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต มีศักยภาพสูง ตอบรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกสำหรับผู้มีกำลังซื้อสูงใช้ประสบการณ์กว่า 20 ปี พร้อมเสริมบริการใหม่ Plus Concierge เพื่อบริหารจัดการการเช่าให้แก่นักลงทุน เผยผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Rental Yield) น่าสนใจ อยู่ที่ 6-10% ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเภทโครงการและทำเล โดยมีผู้เช่าหลากหลายกลุ่ม ทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ และ Digital Nomad ซึ่งสะท้อนความร้อนแรงและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ต

August 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘แสนสิริ’ โฟกัส ‘ภูเก็ต’ ใน 5 ปีหน้ามีกว่า55 โครงการ รวมที่แปลงใหญ่สร้างอาณาจักรอสังหาฯ

BizKet

แสนสิริ ลงทุน 3.3 หมื่นล. พร้อมจัดงบปีละพันล.บาทซื้อที่ดินใน5 ปี สร้างอาณาจักร แสนสิริ คอมมูนิตี้ รวมไม่ต่ำกว่า 55 โครงการฯ เจาะนักลงทุนรับเมืองเที่ยวปลายทาง ‘อีลีท’ โลก   ภูมิชาย มัธยมภพภิญโญ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่กล่าวว่า บริษัทฯ วางแผน 5 ปี (2568-2573) จะมีโครงการอสังหาฯ ทั้งแนวราบและคอนโด รวมไม่ต่ำกว่า 55 แห่ง โดยเตรียมใช้งบลงทุนกว่า 33,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการอสังหาฯเพิ่ม 29 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 12,000 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 13 โครงการ มูลค่า 21,000 ล้านบาท จากก่อนหน้าแสนสิริอยู่ในตลาดภูเก็ต มา 13  ทำโครงการไม่ต่ำกว่า 26-27 แห่ง   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมใช้งบลงทุนราว 1,000 ล้านบาทต่อปีนับจากนี้ จัดซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯ แต่ละรูปแบบที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการ (Deamand) ในตลาดท้องถิ่น รวมถึงการมองหาที่ดินแปลงใหญ่สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯภายใต้แนวคิด ‘แสนสิริ  คอมมูนิตี้’ ในลักษณะเดียวกับในส่วนกลาง กรุงเทพฯ ที่ทำมาก่อนหน้านี้   “แสนสิริ ดูทุกความเป็นได้ในการพัฒนาโครงการฯที่สวอดคล้องกับดีมานด์จริงในตลาดอสังหาฯภูเก็ต ซึ่งเป็นตลาดที่มีความเซ็กซี่ ทั้งการอยู่อาศัยจริงและการลงทุนรองรับกลุ่มประชากรแฝงและนักท่องเที่ยวระดับอีลีท” ภูมิชาย กล่าวพร้อมเสริมว่า “บริษัทฯ ยังพิจารณาทุกความเป็นไปได้ในการลงทุน ซึ่งร่วมถึงการหาพันธมิตรร่วมทุน หรือ เจวี เพื่อทำโครงการใหม่ๆที่ภูเก็ต เช่นกัน”   โดยบริษัทฯ วางแผนทำโครงการรองรับกลุ่มเป้าหมายนักลงทุน (Investor) เป็นหลัก หลังพบเทรนด์การเติบโตในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ กลุ่มใหม่ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ  คาซัคสถาน, รัสเซีย,ยูเครน, อิสราเอล, อินเดีย และ บังคลาาเทศ จากก่อนหน้าเป็นกลุ่มนักลงทุนรัสเซีย และ จีน   นอกจากนี้ยังมี กลุ่มลูกค้า LGBTQ และกลุ่มหลังเกษียณ (Retirement) ซึ่งมีแนวโน้มทั้งการเดินทางและเข้ามาอยู่อาศัยในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความมั่งคั่ง (Wealth) ขยายตัวเพิ่มขึ้น และมองหาที่อยู่อาศัยแห่งที่สอง (Second Place)d การใช้ชีวิตในอนาคต   “แนวทางดังกล่าว ยังสอดคล้องกับแผนธุรกิจแสนสิริใน 5 ปีหน้า จะบริหารพอร์ตให้มีความยืดหยุ่นตรงกับดีมานด์ในแต่ละโครงการที่พัฒนาขึ้น” ภูมิชาย กล่าวพร้อมเสริมว่า   สำหรับปี 2568 แสนสิริ เปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 3 แห่งในภูเก็ต มูลค่ารวมราว 2,500-3,000 ล้านบาท ได้แก่   เดอะเบสเชิงทะเล ราคาเริ่มต้น 3.65 ล้านบาท/ยูนิต เศรษฐศิริ เกาะแก้ว ราคา 13-20 ล้านบาท/ยูนิต ดีคอนโด กระทู้ ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท/ยูนิต   โดยตั้งเป้ายอดขายในภูเก็ตปีนี้ ประมาณ 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีโครงการแอคทีฟอยู่ 8 โครงการ เหลือประมาณ 200-300 ยูนิตเท่านั้น   จากแผนดังกล่าว ด้วยบริษัทฯ มองเห็นโอกาสการทำตลาดเพื่อรองรับกลุ่มนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่ยังต้องการอสังหาฯ ในจังหวัดภูเก็ตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี จากศักยภาพทางเศรษฐกิจในฐานะเมืองปลายทางท่องเที่ยวหรูระดับโลก และยังเป็นจังหวัดที่มีคาแรกเตอร์โดดเด่นที่สามารถพิกฟื้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวกลับมาได้รวดเร็วในทุกครั้งที่เผชิญวิกฤต โดย6 เดือนแรกของปี2568 ตลาดอสังหาฯ ยังมีความต้องการสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจภูเก็ต จากข้อมูลการอยู่อาศัยในจังหวัดภูเก็ต ยังเชิงสถิติ น่าสนใจ ดังนี้   ประชากรตามสำมโนครัว จำนวนราว 6 แสนคน ประชากรแฝง อยู่อาศัยระยะยาว (Long stay) ระยะเวลา 1 – 6 เดือน จำนวนราว 8 แสนคนต่อปี ประชากรแฝง อยู่อาศัยระยะสั้น (Short Stay) ระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ จำนวยนราว 2-1.5 ล้านคนต่อปี   “นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มแรงงานที่หมุนเวียนเข้าทำงาน หากรวมแล้วคาดมีผู้อยู่อาศัยในภูเก็ตไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน” ภูมิชาย กล่าว   พร้อมเสริมถึงศักยภาพความพร้อมจังหวัดภูเก็ต ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (Infrastructure) ต่างๆ อาทิ   การเดินทางเชื่อมต่อการเดินทาง ได้ทั้งทางบก ทางอากาศ ที่ปัจจุบันในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวมีจำนวนมากกว่า 370 เที่ยวบินต่อวัน และในช่วงโลว์ซีซั่น เฉลี่ยราว 270 เที่ยวบินต่อวัน ท่าเทียบเรือ หรือ Marina ราว 5 แห่ง รองรับการเดินทางเรือยอร์ช มายังภูเก็ตในกลุ่มมหาเศรษฐี ทั่วโลก ความพร้อมบริการทางการเพทย์มาตรฐานสากล ตามนโยบายผลักดันการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย (Medical Hub) ด้วยมีโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง อาทิ บำรุงราษฎร์ เตรียมเข้ามาเปิดให้บริการในปี 2571 จากก่อนหน้า มีโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น โรงเรียนนานาชาติ เพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานต่างชาติ (Expat) โดยเฉพาะกลุ่มสิงคโปร์ และฮ่องกง ที่มองหาสถานศึกษาในจังหวัดภูเก็ตให้กับบุตรหลาน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและต้นทุนอยู่อาศัยต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศของตัวเอง   นอกจากนี้ ภูเก็ต จะยังเป็นเมืองไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวระดับภูมิภาคสำคัญ หลังกลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ ทั้งกลุ่มเซ็นทรัล ที่เข้ามาก่อนหน่านี้ และ กลุ่ทมเดอะมอลล์ และ สยามพิวรรธน์ ต่างมีแผนขยายการลงทุนโครงการค้าปลีกในจังหวัดด้วยเช่นกัน     Alternate-X สรุปให้     แสนสิริ เตรียมลงทุนกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท และซื้อที่ดินปีละ 1 พันล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า (2568-2573) สร้างอาณาจักรแสนสิริ ใน ภูเก็ต รวมกว่า 55 โครงการ ครอบคลุมทั้งแนวราบและคอนโดฯ เจาะกลุ่มนักลงทุนระดับ ‘อีลีท’ ทั่วโลก อาทิ คาซัคสถาน รัสเซีย อิสราเอล รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+ และผู้เกษียณอายุ เพื่อตอบรับศักยภาพของภูเก็ตที่เติบโต และเป็นแหล่งรวมผู้อยู่อาศัยที่หลากหลายถึง 2 ล้านคน  

August 6, 2025 / 0 Comments
read more

ส่องตลาดพระหลังปะทะ ดันราคาเช่าวัตถุมงคล ‘หลวงปู่ศิลา’ การตลาดผ่านแรงศรัทธา ย้ำแบรนด์แกร่ง

BizKet

ส่องตลาดพระ-หลังแนวปะทะชายแดน ‘เครื่องรางหลวงปู่ศิลา รุ่นเหนือดวง’ ราคาเช่าทะลุ 4 หมื่นบาท หลังสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในโลกโซเชียลมีเดียเผยแพร่ภาพทหารนายหนึ่งถูกแรงระเบิดจากฝั่งกัมพูชาแต่กลับรอดชีวิต โดยพบเพียงสะเก็ดระเบิดกระแทกกล่องวัตถุมงคล   จากภาพเหรียญวัตถุมงคลในเหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถูกเผยแพร่ในสื่อโซเชียล มีเดีย พบว่าเป็นเหรียญพหูรมาน เนื้อทองแดง กล่องสีแดง ของพระราชวัชรธรรมโสภณ หรือ หลวงปู่ศิลา สิริจันโท พระเกจิชื่อดังแห่งวัด พระธาตุหมื่นหิน จังหวัดกาฬสินธุ์   ปรากฎการณ์ในครั้งนั้น ส่งผลให้ ‘เหรียญพหูรมาน’ ของหลวงปู่ศิลา โดยเฉพาะกล่องสีแดง ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา   ปัจจุบันเหรียญรุ่นดังกล่าว ในตลาดกลุ่มเช่าบูชาเครื่องรางของขลัง มีการปล่อยเช่าบูชาในระดับราคา 3,200-5,000 บาท และมากสุดในราคาถึง 7,000 บาท   หรือเท่ากับราคาเช่าบูชาเพิ่มขึ้น 1,508% จนถึงประมาณ 3,417% ในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับช่วงประกอบพิธีพุทธาภิเษก ‘เหรียญพหูรมาน’ ในครั้งแรก ๆ โดยทางวัดได้นำวัตถุมงคลดังกล่าวมาให้ประชาชนทั่วไปได้เช่าบูชา ในราคาเริ่มต้น 199 บาท   พลังศรัทธา มหาชน   ขณะที่ เจ้าของธุรกิจแผงปล่อยเช่าบูชาพระเครื่อง ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ระบุ ราคาเช่าบูชาเหรียญพหูรมาน เนื้อทองแดง ของหลวงปู่ศิลาในตลาดขณะนี้ มีประชาชนตามหาจำนวนมาก โดยราคาเช่าบูชาหน้าแผงพระเครื่องอยู่ประมาณ 5,000 บาท     นอกจากนี้ ‘พระเครื่องรุ่นเหนือดวง ของหลวงปู่ศิลา’ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดยมีราคาเช่าบูชาประมาณ 40,000 บาท   ”ช่วงนี้ตลาดพระเครื่องเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้กระแสข่าวสีกากอล์ฟ กระทบแรงศรัทธา ทำตลาดซบเซาไปพอสมควร“   จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น บวกกับคุณค่าทางจิตใจของประชาชนคนไทยในช่วงเวลานี้ ยิ่งตอกย้ำให้ตลาดเช่าบูชาพระเครื่อง รวมถึงเครื่องรางของขลัง lยังสะท้อนถึงพลังแห่ง ‘ศรัทธา มาร์เก็ตติ้ง’ (Faith-based Marketing) ได้เป็นอย่างดี   เจ้าของแผงพระเครื่อง เสริมว่า “เมื่อคนเชื่อมั่นในคุณค่าของบางสิ่ง พวกเขาพร้อมจะจ่ายมากกว่าที่เหตุผลจะอธิบายได้”   ขณะที่ เหรียญพหูรมานไม่ได้เปลี่ยนวัสดุ หรือ มีมีฟังก์ชันอะไรใหม่ แต่ในเวลานี้ได้เปลี่ยน ‘ความหมาย’ ไปแล้วในสายตาคนจำนวนมาก จากวัตถุมงคลธรรมดา แต่กลายเป็น ‘ของที่ช่วยชีวิต’   ทั้งนี้ หากมองในมุมการตลาดและแบรนดิ้ง พบว่าด้วยราคาที่สูงขึ้น ไม่ได้มาจากการปรับตามต้นทุนวัสดุหรือแรงงาน หากแต่มาจากคุณค่าทางจิตใจของพลังแห่งศรัทธา ที่หลั่งไหลเข้ามาต่อวัตถุมงคลชิ้นนี้ ยิ่งตอกย้ำแห่งความแห่งความเชื่อมั่นแบรนด์อย่างไร้ข้อกังขา ที่พาให้ตลาดวัตถุมงคล กลับมาอยู่ในกระแส   Alternate-X สรุปให้   หลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา มีภาพทหารรอดชีวิตเพราะเหรียญพหูรมานของหลวงปู่ศิลาเผยแพร่ในโลกโซเชียล ทำให้ความต้องการเช่าบูชาเหรียญรุ่นนี้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกล่องสีแดงมีราคาสูงสุดถึง 7,000 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 3,000% ภายในสัปดาห์เดียว ปรากฏการณ์นี้สะท้อนพลังศรัทธาที่แปรเปลี่ยนเป็นมูลค่าทางการตลาดอย่างชัดเจน เหรียญไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางกายภาพ แต่เปลี่ยนความหมายในสายตาคนจำนวนมาก

August 4, 2025 / 0 Comments
read more

BrandCase: ชิ้นที่2 หนึ่งบาท ‘วัตสัน’ กลยุทธ์ราคา ‘คุ้มค่าสะใจ’ พาแบรนด์กลับมาครองใจลูกค้าไทย

BizKet

‘วัตสัน’ (Watsons) ร้านค้าปลีกความงามสัญชาติฮ่องกง ที่เข้ามาเปิดตลาดในไทย สาขาแรก อาคารมณียา เซ็นเตอร์ ย่านเพลินจิต เมื่อปี 2539 ท่ามกลางความท้าทายในตลาดค้าปลีกไทยเกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา และพาแบรนด์กลับมาอยู่ในใจผู้บริโภคคนไทยด้วยกลยุทธ์ในตำนานผ่านแคมเปญ ‘ชิ้นที่สอง 1 บาท’   1.จุดเริ่มต้น   ‘วัตสัน’ เข้ามาในไทยเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ถูกจัดให้เป็นร้านค้าปลีกพิเศษ (Specialty Store) ด้วยคอนเซปต์ร้านสุขภาพและความงามแบบครบวงจร ซึ่งโมเดลนี้ประสบความสำเร็จมาแล้วในฮ่องกง และกลายเป็นร้านยอดนิยมโดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยเมื่อมีโอกาสไปเยือนฮ่องกงในยุคนั้น ไม่พลาดที่จะต้องแวะเข้าไปช้อปปิง   2. จุดเด่น   ร้านวัตสัน’ ที่มาพร้อมความทันสมัยกว่าร้านโชห่วยหรือร้านขายยาแบบดั้งเดิม และยังเป็นแบรนด์แรกๆ ที่จัดเรียงสินค้าให้เลือกอย่างเป็นระบบ พร้อมพนักงานให้คำแนะนำเรื่องความงาม กลายเป็นโมเดลใหม่ที่ลูกค้าผู้หญิงชื่นชอบ และสร้างมาตรฐานใหม่ให้ทั้งวงการ   3. จากสาวออฟฟิศ สู่ Gen Z ยุคออนไลน์   ในช่วงเริ่มต้น กลุ่มเป้าหมายหลักของวัตสันคือ ผู้หญิงวัยทำงานในเมือง ที่มองหาทางเลือกด้านความงามที่ทั้ง ‘มีคุณภาพ’ และ ‘จับต้องได้’ ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียพัฒนา วัตสันก็ปรับกลยุทธ์มาสู่กลุ่ม วัยรุ่นและวัยเริ่มทำงาน (Gen Z และ Y) ที่นิยมสินค้าเกาหลี ญี่ปุ่น และการช้อปปิ้งออนไลน์ ทำให้วัตสันพัฒนาช่องทางขาย Omni-channel อย่างต่อเนื่อง   4. การเข้ามาของผู้ท้าชิง   หลังวัตสัน ทำตลาดมาได้สักระยะ ก็ได้พบกับคู่แข่งรายใหม่ในท้องถิ่นเข้ามาท้าทายตลาด โดยเฉพาะการเข้ามาของแบรนด์ อีฟแอนด์บอยในฐานะมัลติแบรนด์ บิวตี สโตร์ ที่มีชื่อเสียงและแข็งแรงในตลาดจังหวัดมหาสารคาม มาก่อนหน้า ก่อนขยายสาขาในกรุงเทพฯ เมื่อราวปี 2555 พร้อมกับเปิดสาขาแรกในย่านสยามสแควร์ ซอย1 ที่สำคัญยังเป็นทำเลที่อยู่ใกล้กับ วัตสัน สาขาสยามสแควร์ ในช่วงนั้น ด้วยเช่นกัน   จากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ได้มีค้าปลีกความงามแบรนด์ท้องถิ่นใหม่อย่าง บิวเทรียม (Beautrium) เข้ามาเติมสีสันในตลาดนี้เพิ่ม รวมถึงในช่องทางออนไลน์ เองก็มีอย่างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ต่างๆ  ทำให้ตลาดค้าปลีกความงามแข่งขันกันรุนแรงขึ้น   จากการการเข้ามาของร้านแบรนด์ใหม่ ในตอนนั้น จะเน้นประสบการณ์ตอบโจทย์ความงามในกระแสที่เกิดขึ้นใหม่ๆ หรือ อินเทรนด์ ด้วยสินค้า Exclusive พิเศษเฉพาะ และบรรยากาศ ‘Instagrammable’ ที่ถูกใจคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้แบรนด์ใหญ่ต้องรีบปรับตัว เพื่อรับมือให้ทันกับพฤติกรรมลูกค้าและตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว   5. กลยุทธ์ตำนาน ชิ้นที่สอง 1 บาท   ต่อการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ที่มาพร้อมกลยุทธ์สร้างประสบการณ์การช้อปในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ ‘วัตสัน’ ต้องเร่งปรับเกมสู้ก่อนจะเพลี่ยงพล้ำไปมากกว่านี้ โดยนำกลยุทธ์ระดับตำนาน ‘ชิ้นที่สอง 1 บาท’ เรียกว่าเป็นอาวุธลับที่เคยสร้างชื่อให้กลับมาอีกครั้ง และยังถือเป็นแคมเปญซึ่งเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์ อีกด้วย   ขณะที่ แคมเปญนี้ฯ ได้ถูกนำมาปรับใช้ให้เข้ากับไทย ด้วยกลยุทธ์ลักษณะนี้ได้ใช้ในวัตสันฮ่องกง และประเทศอื่นๆในภูมิภาค ภายใต้โปรโมชั่นที่เน้นราคา หรือ ข้อเสนอพิเศษ (Special Offer) โดยใช้ภาษาที่สื่อถึงการซื้อชิ้นที่สองในราคาที่ถูกมาก อาทิ  ‘Buy 2nd item for HK$1′ (ซื้อชิ้นที่สองในราคา HK$1),  ‘$1 Deal’ (ดีล 1 ดอลลาร์) และ ‘Hot Deals’ (ดีลร้อนแรง) ที่เข้าใจง่ายแต่ทรงพลัง ด้วยซื้อชิ้นแรกในราคาปกติ รับชิ้นที่สองเพียง 1 บาท ที่สามารถดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้ทุกครั้ง   6. เพราะอะไร ถึงเข้าใจหัวใจนักช้อป   แม้กลยุทธ์ภายใต้แคมเปญ  ‘ชิ้นที่สอง 1 บาท’ หากดูแบบผิวเผินแล้วจะหมือนการลดราคา 50% แบบทั่วไปก็จริง แต่กลับเป็นแคมเปญที่โดนใจผู้บริโภคมากกว่า ด้วยความรู้สึก ‘คุ้มค่าสะใจ’   นอกจากนี้ ยังสร้างความ ตื่นเต้นให้ผู้บริโภคได้ลุ้นจากการหมุนเวียนสินค้าใหม่ๆ ในทุกสัปดาห์ ที่มาสร้างความรู้สึกเซอร์ไพรส์และสนุกสนาน ช่วยให้ลูกค้ากลับมาซ้ำเสมอ อีกทั้งยังสร้าง ‘ความผูกพันทางอารมณ์’ กับลูกค้า ทำให้แคมเปญนี้ไม่ได้แค่ขายของ แต่ยังขาย ‘ประสบการณ์’ ด้วย   7. พาแบรนด์วัตสัน กลับสู่ตลาด   อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความกดดันของการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงในตลาด วัตสันสามารถยืนหนึ่งในใจผู้บริโภคได้อีกครั้ง ด้วยการใช้ ‘กลยุทธ์เก่าในรูปแบบใหม่’ ปรับปรุงแคมเปญให้สดใหม่ มีสินค้าเข้าร่วมกว่า 3,500 รายการ ทั้งไอเทมแบรนด์ดังและลิมิเต็ด พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการขายทั้งหน้าร้านและออนไลน์   จนทำให้ ‘ชิ้นที่สอง 1 บาท’ กลายเป็นแคมเปญในความทรงจำที่คนไทยนึกถึงทันทีเมื่อพูดถึงวัตสัน จนถึงในตอนนี้   Alternate-X สรุปให้    วัตสัน ร้านค้าปลีกความงามจากฮ่องกง เข้าสู่ตลาดไทยปี 2539 ด้วยคอนเซ็ปต์ร้านสุขภาพและความงามทันสมัย สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการ แม้ต้องเผชิญคู่แข่งอย่าง Eveandboy และ Beautrium รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เน้นประสบการณ์และสินค้านำเทรนด์ วัตสันสามารถกลับมายืนหนึ่งในใจผู้บริโภคด้วยกลยุทธ์ในตำนาน ‘ชิ้นที่สอง 1 บาท’ ซึ่งสร้างความคุ้มค่า ความตื่นเต้น และความผูกพันทางอารมณ์กับลูกค้า ทำให้แคมเปญนี้กลายเป็นดีเอ็นเอที่แข็งแกร่งของแบรนด์จนถึงปัจจุบัน

August 3, 2025 / 0 Comments
read more

เช็กด่วน!! ปวดคอเรื้อรัง ไม่ใช่แค่ออฟฟิศซินโดรม ‘หมอนรองกระดูกปลิ้น’ ภัยเงียบทำชา-อ่อนแรง

Peace&Play

โรงพยาบาล S Spine & Joint Hospital ไขชัด ! คอกระแทกแรง เสี่ยงหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นได้จริงหรือไม่?”   ในยุคที่ข้อมูลสุขภาพถูกรับส่งผ่านโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจเคยได้ยินคำเตือนว่า“คอกระแทกแรง ๆ หรือสะบัดคอบ่อย ๆ อาจเสี่ยงทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น”   คำกล่าวนี้สร้างความกังวลให้กับผู้ที่มีอาการปวดคอ รวมถึงคนทำงานออฟฟิศที่มักเคลื่อนไหวคออย่างไม่ระมัดระวัง   หน้าที่หมอนรองกระดูก   นพ. สุทธวีร์ ปังคานนท์ แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อ โรงพยาบาล S Spine & Joint Hospital เผยว่า หมอนรองกระดูกสันหลัง (Intervertebral Disc) เป็นแผ่นเจลเนื้ออ่อนที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละชิ้นทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทก และช่วยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่น   หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น (Disc Herniation) เกิดจากการที่หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม แตก หรือเคลื่อนออกจากตำแหน่ง จนไปกดเบียดเส้นประสาท ส่งผลให้มีอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงบริเวณแขน ขา หรือหลัง   เสี่ยง!! หมอนรองกระดูกปลิ้น   ขณะที่ การหันคอแรง หรือสะบัดคอด้วยความเร็วสูงในบางจังหวะ อาจไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น แต่สำหรับบางคน โดยเฉพาะในผู้ที่มีหมอนรองกระดูกสันหลังเริ่มเสื่อมตามอายุ มีพฤติกรรมที่ใช้คอผิดซ้ำ ๆ หรือมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับกระดูก แรงกระแทกเพียงครั้งเดียว!! อาจกลายเป็นปัจจัยเร่งให้หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นได้ทันที   “คอกระแทกแรง ๆ อาจไม่ทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น “ทันที” ในคนปกติ แต่ในผู้ที่มีความเสื่อมอยู่แล้ว นี่อาจเป็น “ชนวนสุดท้าย” ที่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงขึ้นได้ในทันที” นพ. สุทธวีร์ กล่าว   พร้อมยกเคสที่เคยรักษาพบว่า มีผู้ป่วยอายุน้อยมีภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น จากอุบัติเหตุล้มขณะเล่นสกี ซึ่งถือเป็นกรณีที่พบไม่บ่อยในคนวัยหนุ่มสาว แต่เกิดขึ้นได้จริงจากแรงกระแทกบริเวณ “คอ”   และพฤติกรรมที่ถูกมองข้าม หลังล้ม ผู้ป่วยมีอาการปวดคอ โดยเข้าใจว่าเป็นอาการกล้ามเนื้ออักเสบทั่วไป จึงรับประทานยาและทำกายภาพบำบัดมานานกว่า 1 เดือน แต่อาการไม่หายขาด และกลับมาเป็นซ้ำอีกเรื่อย ๆ   “คนไข้เคยไปพบแพทย์หลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่บอกว่าเป็นแค่ออฟฟิศซินโดรม ทั้งที่อาการค่อนข้างรุนแรง และปวดจนทำงานไม่ได้” นพ. สุทธวีร์ กล่าว   ช่วงแรก ผู้ป่วยมีเพียงอาการปวดคอ บ่า ไหล่ แต่ไม่ร้าว จนกระทั่ง 1–2 สัปดาห์ก่อนพบแพทย์ อาการเริ่ม “ร้าวลงแขนและนิ้ว” ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนของภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นกดทับเส้นประสาท เมื่อตรวจ MRI พบว่า หมอนรองกระดูกสันหลังบริเวณคอปลิ้นออกมาจริง และจุดที่ปลิ้นนั้น สอดคล้องกับตำแหน่งที่เกิดแรงกระแทกในวันเกิดอุบัติเหตุ   เกิน2 สัปดาห์ต้องมาตรวจ   ส่วน สัญญาณอันตรายที่ควรสังเกต: ◦ อาการปวดคอ บ่าไหล่ที่ เป็นต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ ◦ อาการ ไม่ดีขึ้นแม้จะได้รับยาและทำกายภาพบำบัดแล้ว ◦ อาการ ปวดร้าวลงแขน ลงนิ้ว ◦ มีอาการ ชาหรืออ่อนแรง หากมีอาการชาหรืออ่อนแรง ควรรีบมาพบแพทย์   เพราะหากทิ้งไว้นาน เส้นประสาทอาจเสียหายถาวร และไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ หรือกลับมาได้เพียงบางส่วน การฟื้นตัวหลังการรักษาก็จะทำได้ยาก ยกเว้นในกรณีที่ถูกบริเวณไขสันหลังโดยตรง ซึ่งจะทำให้มีอาการเยอะมากและเป็นทั้งตัว   ขณะที่ บริเวณที่พบหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นบ่อยที่สุดบริเวณคอ ช่วงข้อต่อ  C4-C5) และ ข้อ C5-C6 เป็นบริเวณที่พบหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นบ่อยที่สุด เนื่องจากเป็น ข้อต่อที่มีการขยับและเคลื่อนไหวในการก้มเงยมากที่สุด   ปรับพฤติกรรมการใช้คอ   การป้องกันและดูแล  ใช้งานคออย่างถูกวิธี: ปรับท่าทางเมื่อเล่นมือถือไม่ให้ก้มคอมากเกินไป และปรับระดับคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา ◦ หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ: พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยง ◦ ออกกำลังกาย: เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ เพื่อช่วยให้กระดูกคอเสื่อมช้าลง และใช้งานได้นานขึ้น ย้ำแพทย์เฉพาะทาง   สำหรับ โรงพยาบาล S Spine & Joint Hospital มีเครื่องมือวินิจฉัยชั้นนำ เช่น MRI ความละเอียดสูง ที่ช่วยตรวจสอบภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น การกดทับเส้นประสาท และความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกอย่างแม่นยำ ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด ให้บริการรักษาที่หลากหลายครอบคลุมทุกระดับอาการ ตั้งแต่การรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น การใช้ยา กายภาพบำบัด และการฉีดยาระงับปวดเฉพาะจุด ไปจนถึงการผ่าตัดผ่านกล้อง (Minimally Invasive Surgery) ที่ช่วยลดแผล เจ็บน้อย และฟื้นตัวไว Alternate-X สรุปให้   ปวดคอเรื้อรังที่หลายคนเข้าใจผิดว่าคือออฟฟิศซินโดรม แท้จริงอาจเป็น ‘หมอนรองกระดูกปลิ้น’ ภัยเงียบที่ทำให้อาการ ชา และ อ่อนแรง ได้ บทความนี้จะเผยพฤติกรรมเสี่ยง อาการที่ควรสังเกต และสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อป้องกันเส้นประสาทเสียหายถาวร และแนะนำวิธีป้องกันดูแลสุขภาพคอ พร้อมเผยบทบาทของ โรงพยาบาล S Spine & Joint Hospital ในการวินิจฉัยและรักษาด้วยเทคโนโลยีที่แม่นยำ  

August 3, 2025 / 0 Comments
read more

4 ปัจจัยหนุน ‘DELTA’ กวาด ‘บิ๊ก ล็อต’ คอนโดฯออริจิ้น เติมสภาพคล่อง ‘ORI’ ไตรมาส2ปี68

BizKet

บิ๊กออริจิ้น ‘พีระพงศ์’ ORI บอก 4 ปัจจัยหนุนการตัดสินใจซื้อ Origin Plug & Play E22 Station โครงการฯ ติด BTS – ใกล้โรงงาน – วิวสวย – รูปแบบห้องเพดานสูง ตอบโจทย์การอยู่อาศัย   พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ขายห้องชุดบิ๊กล็อตจำนวน 278 ยูนิต ในโครงการ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) ให้กับ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ผู้นำโซลูชันการจัดการพลังงานและความร้อนและผู้นำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของประเทศไปเมื่อช่วงกลางปี 2567   ล่าสุดโครงการได้สร้างเสร็จพร้อมโอนห้องชุดให้กับลูกค้าแล้ว รวมถึงการโอนบิ๊กล็อตให้กับกลุ่ม DELTA ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถบันทึกการรับรู้รายได้ทันทีภายในไตรมาส 2/2568   “แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันอยู่ในช่วงชะลอตามสภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวมลดลง แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในตลาดยังมีอยู่ต่อเนื่อง” พีระพงศ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า “โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าโซนแหล่งงาน และนิคมอุตสาหกรรม ที่ยังเป็นที่ต้องการของกลุ่มองค์กรหรือกลุ่มลูกค้าแบบ B2B ที่ต้องการซื้อห้องชุดเพื่อเป็นที่พักสวัสดิการให้กับผู้บริหารและพนักงานทั้งคนไทยและต่างชาติ”   นอกจากนี้ ยังมี 4 เหตุผลหลัก ที่หนุนการตัดสินใจซื้อ ทำให้สามารถปิดบิ๊กดีลครั้งนี้ มาจาก   ทำเลตอบโจทย์ โดยทำเลที่ตั้งโครงการ ติด BTS สายสีเขียว สถานีสายลวด เพียง 0 เมตร* สามารถเดินทางต่อ เดียวถึง สยามฯ สนับสนุนสวัสดิการพนักงาน โดยเป็นการมอบสวัสดิการ ห้องพักอาศัย ให้กลุ่ม Expat ของ DELTA ที่เข้ามา ประจำการทำงานระยะสั้น – กลางในไทยเพราะโครงการอยู่ใกล้โรงงานที่ขยายในนิคมอุตสาหกรรมบางปู ที่สุดแห่งวิวแม่น้ำ เปิดมุมมองใหม่ของการอยู่อาศัย โดยโครงการตั้งอยู่ในทำเลที่เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและทะเลบางปูที่สวยที่สุดในสมุทรปราการ มอบพื้นที่ใช้สอยที่ได้มากกว่า ด้วยห้องเพดานสูง 4.2 เมตร พร้อมการออกแบบฟังก์ชันใหม่ๆ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของอย่างแท้จริง   พีระพงศ์ กล่าวว่า  “ดีลนี้นับเป็นความสำเร็จอีกครั้งของ ออริจิ้น ที่สะท้อนถึงความไว้วางใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง DELTA และสะท้อนถึงโอกาสของเราต่อตลาดที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้าใกล้แหล่งงาน ที่ตอบโจทย์ตลาดแบบ B2B ได้เป็นอย่างดี การโอนบิ๊กล็อตครั้งนี้ช่วยให้บริษัทได้รับยอดโอนกรรมสิทธิ์เข้ามารวดเร็ว และสามารถบันทึกเป็นรายได้ได้ทันที”   ทั้งนี้  DELTA เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ ออริจิ้น มาอย่างยาวนาน และเป็นพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนสอดคล้องกัน อีกทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีนวัตกรรมขับเคลื่อนพลังงานสีเขียวเพื่อความยั่งยืนในอนาคต และนวัตกรรมอัจฉริยะต่างๆ อย่างครบถ้วน   โดยบริษัทฯ ได้มีการนำนวัตกรรมของ DELTA อาทิ EV Charger, ERV Wall Type, UV Sanitizer, AI LPR, CCTV, Exhaust Fan เข้ามานำร่องใช้ในโครงการของออริจิ้น และยังมุ่งมั่น ผลักดันนวัตกรรมการประหยัดพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนโซลูชั่นอัจฉริยะ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   ทั้งนี้ สอดคล้องกับ 1 ใน 7 KEYS TO SUCCESS  ตามแผนธุรกิจปี 2568 ที่เน้นย้ำถึงการเติบโตแบบยั่งยืน นั่นคือ “ESG & GREEN REVOLUTION” ของ ออริจิ้น ที่ให้ความใส่ใจและทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น และจะทำต่อเนื่องในทุกมิติ รับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายใน 10 ปีข้างหน้า รักษาระดับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการ CG Rating ในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ต่อเนื่อง   สำหรับ โครงการ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) คอนโดมิเนียมระดับ Mid – High End สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และสามารถเลี้ยงสัตว์ใด้ ติด BTS สายสีเขียว สถานีสายลวดเพียง 0 เมตร*   โครงการฯ มีขนาดเนื้อที่กว่า 3 ไร่ จำนวน 1 อาคาร ความสูง 25 ชั้น จำนวน 1,044 ยูนิต กับร้านค้า 1 ยูนิต รูปแบบห้องเพดานสูง 4.2 เมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 22 – 34.5 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท*   พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ล็อบบี้, Co – Working Space, เลานจ์, สวน 3 จุด, สระว่ายน้ำ, บาร์ลอยฟ้า, ห้องสันทนาการ, ฟิตเนส และพื้นที่ส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยง Pet Club และยังมีอาคารที่จอดรถ 1 อาคาร ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ติดตั้งกล้อง CCTV ทั่วโครงการ ควบคุมการเข้าออกด้วย Key Card   พื้นที่โดยรอบโครงการมีสถานที่รองรับการใช้ชีวิต ใกล้แหล่งงานใหญ่อย่าง นิคมอุตสาหกรรมบางปู รวมถึงแหล่งพักผ่อนชายทะเล สถานตากอากาศบางปู รวมทั้งยังมีศูนย์การค้า ไลฟ์สไตล์ สถานพยาบาล และสถานศึกษา   ทั้งนี้ ออริจิ้น ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าแบบ B2B ได้อีกหลายแห่ง ทั้งในย่าน BTS สายสีเขียวฝั่งสมุทรปราการ ซึ่งใกล้แหล่งภาคการผลิตและโลจิสติกส์ และในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ใกล้นิคมอุตสาหกรรม รองรับความต้องการทั้งเพื่อกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรม สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว   สำหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจ   1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 168 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2568) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) เป็นต้น รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 254,967 ล้านบาท โดยกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร หรือที่อยู่อาศัยแนวราบ ดำเนินการภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ส่วนกลุ่มโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม ดำเนินการภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL   2.กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก   3.กลุ่มธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์   4.กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร     Alternate-X สรุปให้      โครงการ Origin Plug & Play E22 Station ติด BTS สายลวด ขายบิ๊กล็อต 278 ยูนิต ให้ DELTA พร้อมโอนสร้างรายได้ทันทีในไตรมาส 2/68 ตอบโจทย์ที่พักพนักงานต่างชาติ ด้วยทำเลติดรถไฟฟ้า ใกล้โรงงาน วิวสวย และห้องเพดานสูง โครงการมีฟังก์ชันรองรับ B2B และคนเลี้ยงสัตว์ได้ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ความร่วมมือระหว่าง ORI และ DELTA สะท้อนทิศทางพัฒนาอสังหาฯ อย่างยั่งยืนตามแนว ESG ออริจิ้นยังเดินหน้าโครงการแนวรถไฟฟ้า – EEC รองรับดีมานด์กลุ่มอุตสาหกรรมและลงทุนระยะยาว        

August 3, 2025 / 0 Comments
read more

แค่ฟอลเยอะไม่พอ อินฟูลฯยุคใหม่ต้อง ‘ปิดการขาย’ได้ แบรนด์ยอมจ่ายดีลละแสน ดันตลาดโต

BizKet

IdeasLabs เปิดอินไซด์3กลุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ไทยกวาดรายได้รวมกว่า 60% แบรนด์ยอมจ่ายเฉลี่ยดีลละ1แสนบ. คาดครึ่งปีหลังตลาด F&B เปย์หนักสุด   ธนดล พิทยานุวัฒน์ กรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไอเดียแล็บ จำกัด (IdeasLabs) ผู้พัฒนา MarTech Ecosystem สัญชาติไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 ตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์ (Influencer Marketing) ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง   จากข้อมูลโดย IdeasLabs พบว่าแคมเปญที่ ‘ปิดดีลสำเร็จ’ (Close Won) ในช่วง 6 เดือนแรก มีจำนวนรวมกว่า 400 แคมเปญ โดยมูลค่าตลาดรวมของแคมเปญเติบโตจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มแบรนด์ที่ใช้ “Publisher Services” ซึ่งเป็นโมเดลการตลาดผ่านผู้มีอิทธิพลทางความคิด (KOL) ที่มีระบบวางกลยุทธ์อย่างเป็นระบบและสามารถวัดผลได้จริง   สำหรับโมเดล Publisher Services ในปีนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ชี้ให้เห็นว่าการจ้าง KOL นอกจากหวังผลการตลาดแล้วยังเป็นการวาง ‘โครงสร้างการตลาดแบบใหม่’ ที่เชื่อมโยงข้อมูล กลยุทธ์ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน   จากข้อมูลยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกเดือนตลอดครึ่งปีแรก 2025 ยิ่งตอกย้ำภาพรวมของโมเดลนี้อย่างชัดเจน โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2024 พบว่า ยอดขายผ่านแคมเปญที่ใช้ Publisher Services และ KOL เติบโตเฉลี่ยเกือบ 46% ซึ่งในบางเดือนมีการเติบโตสูงถึงกว่า 70% ซึ่งถือเป็นอัตราเร่งที่น่าจับตามองในอุตสาหกรรม   ทั้งนี้ แคมเปญที่ปิดดีลได้ครอบคลุมแพคเกจที่มีช่วงราคาหลากหลาย ตั้งแต่ประมาณ 20,000 บาท ไปจนถึง 500,000 บาทต่อแคมเปญ มีค่าเฉลี่ยต่อดีลอยู่ที่ราว 100,000 บาท สะท้อนถึงการที่ Publisher Services และการใช้ KOL สามารถปรับใช้ได้กับทั้งแบรนด์ขนาดใหญ่ที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจน และแบรนด์ขนาดกลางที่เน้นคุ้มค่าและการวัดผลเป็นหลัก   โดยมี 3 กลุ่ม Influencer Marketing ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของลูกค้าและเติบโตอย่างโดดเด่น ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา จนคิดเป็นสัดส่วน 62.48% ของรายได้จาก Publisher Services ทั้งหมดได้แก่   อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) สร้างรายได้ 30.47% ค้าปลีกและไลฟ์สไตล์ (Retail & Lifestyle) สร้างรายได้ 19.84% ความงามและสุขภาพ (Beauty & Wellness) สร้างรายได้ 12.17%   “สำหรับกลยุทธ์ที่สร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจ Influencer Marketing ในยุคนี้จะต้องผสานเทคโนโลยีไปกับเนื้อหาที่วัดผลได้จริง ซึ่งเป็นหัวใจของความสำเร็จ สะท้อนถึงเทรนด์ใหม่ในวงการการตลาดยุคดิจิทัล ที่ไม่ได้วัดจากจำนวนผู้ติดตามหรือยอดวิวเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่พิจารณาจาก ‘ความสามารถในการกระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภค’ อย่างมีประสิทธิภาพ” ธนดล กล่าว     โดยหัวใจของความสำเร็จในการทำ Influencer Marketing ก็คือการเข้าถึง Data + Platform + Planning = แต้มต่อของแบรนด์ในยุค Digital Sales ท่ามกลางตลาดที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 91.2% ของประชากร และบัญชีโซเชียลมีเดียมากถึง 51 ล้านบัญชี   ดังนั้นกลยุทธ์ Influencer Marketing ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและระบบวัดผลจะกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนมากกว่าการสร้างกระแสและจำนวนยอดไลก์   ธนดล กล่าวต่อถึงแนวทางธุรกิจ IdeasLabs มุ่งรักษาอันดับหนึ่งของตลาด F&B และ Retail & Beauty โดยเตรียมจัดแคมเปญกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าในช่วงเทศกาล และปลายปี ที่ถือเป็น High Season สำคัญของหลายธุรกิจ ด้วยการช่วยวางแผนให้องค์กรเริ่มวางกลยุทธ์ Influencer ตั้งแต่ไตรมาส 3   ทั้งนี้ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการบริหารต้นทุน สร้างยอดขาย และแปลง Engagement เป็น Conversion ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับการลงทุนของแบรนด์ในกลุ่ม F&B และ Beauty ในแคมเปญ Influencer Marketing อย่างเข้มข้น ช่วงครึ่งหลังปี 2025 นี้     อย่างไรก็ดีสิ่งที่ชัดเจนจากข้อมูลครึ่งปีแรกคือแบรนด์ที่วางแผนล่วงหน้ามีประสิทธิภาพในการใช้ KOL สูงกว่าชัดเจนระบบที่สามารถวัดผล (เช่น API กับ Line OA หรือระบบ Tracking Conversion) เป็นปัจจัยสำคัญในการขยายผลเครือข่าย Publisher ที่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคไทย สามารถทำหน้าที่ได้มากกว่า media placement   “ในภาพรวม กลุ่ม F&B ยังคงเติบโตสูงสุด ด้วยจำนวนแคมเปญที่ปิดดีลมากกว่า 100 รายการ ความโดดเด่นอยู่ที่การใช้ KOL เพื่อเร่งพฤติกรรม “ซื้อทันที” ทั้งในช่องทางเดลิเวอรีและ walk-in ด้าน Retail & Lifestyle เติบโตจากคอนเทนต์ที่มีความ “สมจริง” และเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภค โดยเฉพาะในหมู่ Gen Z และวัยทำงานรุ่นใหม่ ขณะที่ กลุ่ม Beauty & Wellness ยังคงเน้นรีวิวแบบมีประสบการณ์ตรง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออย่างแท้จริง” นายธนดล กล่าว   Alternate-X สรุปให้    IdeasLabs เผยตลาด Influencer Marketing ไทยครึ่งแรกปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะโมเดล “Publisher Services” ที่เน้นการวัดผลและสร้างยอดขายได้จริง ซึ่งแคมเปญในกลุ่มนี้มียอดขายโตเฉลี่ยเกือบ 46% และแบรนด์ยอมจ่ายค่าเฉลี่ยถึง 100,000 บาทต่อดีล 3 กลุ่มอินฟลูฯ ที่ทำรายได้สูงสุดคือ อาหารและเครื่องดื่ม, ค้าปลีกและไลฟ์สไตล์, และความงามและสุขภาพ สะท้อนเทรนด์ใหม่ที่ไม่ได้วัดแค่ผู้ติดตาม แต่ต้องมี “ความสามารถในการกระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภค” โดยเฉพาะแบรนด์ F&B และ Beauty คาดว่าจะลงทุนหนักขึ้นในครึ่งปีหลัง และกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการ  

August 2, 2025 / 0 Comments
read more

เทศกาลทานาบาตะ ใกล้ฉัน ไม่ต้องบินไกลไปถึง ‘ญี่ปุ่น’ เดอะมอลล์ฯ ยกมาให้ชม ‘กรุงเทพฯ-โคราช’

Peace&Play,  WeView

เดอะมอลล์ฯ จัดเทศกาลทานาบาตะใจกลางห้าง ในงาน ‘THE MALL JAPAN DISCOVERY 2025’ ครั้งแรกในไทย ‘สุดยอดเมนูอาหารฤดูร้อน’ ส่งตรงจากญี่ปุ่น ถึง 3 สิงหาคม 2568 ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ   เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ จัดงาน ‘THE MALL JAPAN DISCOVERY 2025’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตรประเทศญี่ปุ่น และพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่   เจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด   โดยได้จัดให้มีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมได้รับเกียรติจาก คุณคาวามูระ มากิ ผู้อำนวยการสำนักข่าวสารญี่ปุ่น และที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเป็นประธานเปิดงาน   พร้อมด้วย คุณดวงตา พงษ์วิไลย์ ผู้อำนวยการใหญ่การตลาดศูนย์การค้า บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ร่วมพูดคุยและชมโชว์พิเศษจาก ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ที่ เอ็ม แกรนด์ ฮอลล์ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์   บางกะปิ     โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ มนต์เสน่ห์ฤดูร้อนแห่งเซนได เนรมิตบรรยากาศยิ่งใหญ่ ยกแลนด์มาร์กแห่งเมืองเซนไดมาไว้ใจกลางห้าง ประดับประดาไปด้วยโคมทานาบาตะหลากสี หนึ่งในเทศกาลฤดูร้อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์ใส่ชุดยูกาตะนั่งรถลากญี่ปุ่นจินริกิฉะ พิเศษกับ 2 ไฮไลท์  ครั้งแรกกับ MEET & GREET น้อง  “มุสุบิมารุ” มาสคอตข้าวปั้น ทูตแห่งวัฒนธรรมแห่งเมืองเซนได พร้อมลิ้มรสเมนูอาหารฤดูร้อนส่งตรงจากญี่ปุ่นกว่า 100 เมนู อาทิ     SENDAI WAGYU ของดีประจำเมืองเซนได กับเนื้อวากิว A5 ที่หาทานยาก ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ การให้วัวกินต้นข้าวชั้นยอดของญี่ปุ่นและดื่มน้ำบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ที่มีสัดส่วนการผสมที่น้อย ทำให้เนื้อหาทานยากและมีราคาสูง GYUTAN ลิ้นวัวย่าง เมนูต้นตำรับจากเชนได “กิวตัง” หรือ ลิ้นวัวย่าง ถือกำเนิดจากเมืองเซนได ตั้งแต่ปี 1948 ลิ้นวัวความนุ่มและชุ่มฉ่ำ เมื่อกัดก็จะมีน้ำซุปจากชิ้นเนื้อไหลออกมาเพิ่มรสอร่อย คิคุฟุกุ (KIKUFUKU) ครั้งแรกในประเทศไทยกับไดฟูกุถั่วแระ ขนมของฝากสุดฮิตจากเซนได มีความเหนียวนุ่ม สอดไส้ด้วยครีมสดที่ทำจากนมฮอกไกโด ความพิเศษ อยู่ที่รสชาติถั่วแระที่หาทานที่ไหนไม่ได้ ถั่วแระมีรสชาติ หวาน มัน เฉพาะตัวไม่เหมือนถั่วแระจากเมืองอื่น ขนมปังเนยชุนดะ ครั้งแรกในประเทศไทยกับขนมปังไส้ถั่วแระ หอม หวาน มันอร่อยจากถั่วแระ SHIROYAMA เปิดตัวครั้งแรก ในประเทศไทย กับ “น้ำแข็งใสญี่ปุ่น” เจ้าของแชมป์โลกเจลาโต้ น้ำแข็งใสมีความเนียน ละเอียด ท็อปด้วยมูสสูตรเฉพาะของทางร้าน พานาคอตต้า ของหวานสูตรต้นตำรับ ไส้ส้มโชนันโกลด์ รสชาติกลมกล่อมด้วยความหวานอมเปรี้ยวของส้มโชนันโกลด์ โรยหน้าด้วยเวเฟอร์กรอบ (KUKKIA) และน้ำตาลทรายแดง คิโย เคน (KIYO KEN) ซาลาเปาไส้หมู และซาลาเปาไส้หวาน ร้านเก่าแก่กว่า 100 ปี ไส้หมูมีความหอมสไตล์ญี่ปุ่น ไส้หวานจากถั่งแดงและงา ไอจิ มิโซะ โอเด้ง (AICHI MISO ODEN) เมนูโอเด้งสูตรต้นตำรับปรุงด้วยฮัทโจมิโสะ (Hatcho Miso) ความพิเศษของเมนูนี้คือ น้ำซุปมิโสะจะมีสีแดงแตกต่างจากโอเด้งทั่วไป รสชาติจัดจ้าน ลูกพีชขาว (WHITE PEACH) มีความหวานฉ่ำที่สุดในบรรดาพีชทั้งหมด และ องุ่นไซมัสแคท (SHINE MUSCAT) เป็นต้นกำเนิดขององุ่นไซมัสแคท จังหวัดโอกายามา   ภายในงานสนุกสนานกับกิจกรรมอื่นๆ และพบศิลปินให้ความบันเทิง อย่างต่อเนื่อง นำโดย   สามสาว “Pixxie” ในวันเสาร์ที่ 26 ก.ค. 2568 สามหนุ่ม “Slapkiss” ในวันอาทิตย์ที่ 27 ก.ค. 2568 ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ มินิคอนเสิร์ตจาก “เป๊ก ผลิตโชค” ที่เดอะมอลล์ไลฟ์ บางแค ในวันเสาร์ที่ 27 ก.ย. 2568 นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ เพียงกินช้อป ร้านค้า ร้านอาหารญี่ปุ่น ภายในศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ งามวงศ์วาน บางแค ครบทุก 1,000 บาท ลุ้นแพคเกจท่องเที่ยวญี่ปุ่นฟรี รวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 – 1 ตุลาคม 2568   และพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต AEON แลกรับฟรี เมนูไฮไลต์ เมื่อช้อปในศูนย์การค้า ครบ 500 บาท พร้อมสิทธิพิเศษ จากสมาชิกไทยประกันชีวิต PRIVILEGE, ลูกค้าไทยน้ำทิพย์ และสมาชิก M CARD   ร่วมสัมผัสกลิ่นอายทางวัฒนธรรมเทศกาลทานาบาตะ พร้อมอิ่ม อร่อยไปกับรสชาติอาหารชั้นเลิศต้นตำรับแท้จากประเทศญี่ปุ่น ในงาน “THE MALL JAPAN DISCOVERY 2025”   ประเดิมสาขาแรกณ M GRAND HALL ชั้น G เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ในวันที่ 25กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2568 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน วันที่ 14-20 สิงหาคม 2568 เดอะมอลลไลฟ์สโตร์ บางแค วันที่ 25 กันยายน -1 ตุลาคม 256 เดอะมอลล์ โคราช ปิดท้ายวันที่ 7-14 ตุลาคม 2568     Alternate-X สรุปให้     เดอะมอลล์ฯ ยกเทศกาล ทานาบาตะ มาไว้ใจกลางห้าง ในงาน THE MALL JAPAN DISCOVERY 2025 ครั้งแรกในไทยกับเมนูฤดูร้อนกว่า 100 รายการจาก “เซนได” ประเทศญี่ปุ่น พลาดไม่ได้กับมาสคอต “มุสุบิมารุ” และกิจกรรมวัฒนธรรมแบบจัดเต็ม ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ – งามวงศ์วาน – บางแค และโคราช พร้อมร่วมลุ้นทริปเที่ยวญี่ปุ่นฟรี รวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท!

August 2, 2025 / 0 Comments
read more

SECOM ปักหมุดไทย ศูนย์กลาง ‘Security’ อาเซียน เปิดสำนักงานใหญ่ใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ

BizKet

SECOM มั่นใจทำเลยุทธศาสตร์ ‘ไทย’ เปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ อวดนวัตกรรมรักษาความปลอดภัยครบวงจรจากญี่ปุ่น โชว์แห่งแรก ‘Demo House-Demo Café ในพื้นที่เดียวกัน   คิโยชิ โมริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รักษาความปลอดภัย ไทยซีคอม จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในประเทศไทย ทำเลพระราม อาคาร King Bridge ชั้น 11 โดยขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเพื่อรวมศูนย์กลางสำคัญของบริษัทไว้ในที่เดียว พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือภายในองค์กร และยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ลูกค้า   “ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของ SECOM ในภูมิภาคอาเซียน การเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ ด้วยแนวคิด ‘Peace of Mind’ ให้แก่ทุกครอบครัวและทุกองค์กร ผ่านเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ บริการรักษาความปลอดภัยระดับมืออาชีพ และประสบการณ์อันยาวนานกว่า 37 ปี” โมริยะ กล่าว     โดย สำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงานด้วยดีไซน์ทันสมัย พร้อมเปิดให้ลูกค้าเข้าชมได้สัมผัสถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพบริการอย่างใกล้ชิด   สำหรับ ไฮไลต์สำคัญของงาน คือ โชว์รูม Demo House และ Demo Café รวมถึงศูนย์ควบคุม (Control Center) ที่อยู่ภายใต้พื้นที่เดียวกัน ในรูปแบบ “Interactive Security Experience” เพื่อให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์การรักษาความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ครบวงจร  ภายใต้แนวคิด ‘Hybrid Security’ โซลูชันใหม่แห่งการรักษาความปลอดภัยที่ผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะกับความชำนาญของมนุษย์   โดยโซลูชันนี้ ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในสายงานรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะค่าแรงเจ้าหน้าที่ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและระบบการจ่ายค่าล่วงเวลา   ทั้งนี้ SECOM เสนอแนวทางการผสมผสานระหว่างบุคลากรรักษาความปลอดภัยในสถานที่จริง กับบริการเฝ้าระวังแบบมืออาชีพตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ด้วยระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพ ควบคุมต้นทุนและการป้องกันที่ดียิ่งขึ้น   ขณะที่ ระบบนี้ยังคงรักษามูลค่าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เป็นมนุษย์ไว้ และยังขยายขีดความสามารถของพวกเขาผ่านเทคโนโลยีจากศูนย์ควบคุมที่มีบทบาทสำคัญในบริการเฝ้าระวังของ SECOM ซึ่ง ได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจอย่างกว้างขวางพร้อมจึงเป็นเหตุผลสำคัญเพื่อนำเสนอบริการลักษณะนี้ ที่ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเพียงไม่กี่รายในประเทศไทย   ด้าน เอกรัฐ วิภาณุรัตน์ กรรมการบริษัท รักษาความปลอดภัย ไทยซีคอม จำกัด กล่าวว่า บริการ ‘Hybrid Security’  เป็นการบูรณาการกล้อง AI และระบบแจ้งเตือนอัจฉริยะ เข้ากับทีมเฝ้าระวังมืออาชีพตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันพร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อให้มั่นใจถึงระดับความปลอดภัยที่ดีขึ้น พร้อมลดต้นทุนการดำเนินงาน   พร้อมยกตัวอย่างยูสเคส บริการภายใต้แนวคิด ‘Real Protection. Real People.’ ซีคอม ที่ปัจจุบันทำงานร่วมกับ ธนาคารยูโอบี มานานร่วม 6 ปี โดยติดตั้งระบบครอบคลุมกว่า 140 สาขาทั่วประเทศ   ทั้งนี้ SECOM ยังได้เปิดให้กลุ่มธุรกิจและประชาชนที่สนใจเข้าชม “Interactive Security Experience” ณ โชว์รูมสำนักงานใหญ่ เพื่อสัมผัสระบบ AI, แอปพลิเคชัน และบริการหลังการขายอย่างใกล้ชิด พร้อมให้คำปรึกษาฟรีในทุกแง่มุมของการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์กร ร้านค้า และครัวเรือน     Alternate-X สรุปให้ SECOM ญี่ปุ่นเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในประเทศไทย ตอกย้ำไทย ‘ศูนย์กลางสำคัญของอาเซียน’ เปิดโชว์รูม “Demo House – Demo Café” และศูนย์ควบคุมกลางในพื้นที่เดียวกัน ชูจุดเด่น Hybrid Security ผสาน AI กับเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังจริง ลดต้นทุนแรงงาน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัยทั่วประเทศ และเปิดให้ภาคธุรกิจ-ประชาชนเข้าชมระบบจริง

August 2, 2025 / 0 Comments
read more

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ปรับใหญ่โครงสร้างธุรกิจ ใช้ 3 กลยุทธ์นี้ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ

BizKet

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กับกลยุทธ์ 3 ปีจากนี้ไป ‘มุ่งลดหนี้–สร้างยอดขายเพิ่มรายได้-ปรับโครงสร้างธุรกิจ’ สปีดมียอดขายกลับมา หมื่นล้านบาทในปี 2571   ศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลง ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญแรงกดดันจากความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่ถดถอย และการปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในอัตราสูง   โดย บริษัทตระหนักดีถึงสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้เตรียมพร้อมรับมือเดินหน้าฝ่าวิกฤตด้วยแผนกลยุทธ์ใน 3 ปี ภายใต้เป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ   ลดภาระหนี้ สร้างยอดขายเพิ่มรายได้ ปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง   ขณะที่ แนวทางสำคัญของบริษัท คือ การปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดภาระหนี้ลง 50% ภายในปี 2570 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ให้สามารถดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้   โดย บริษัทยังมีแผนการขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ทรัพย์สินหลัก (Non-Core Assets) ภายในระยะ 3 ปี  เริ่มจากปี 2569 มีแผนขายสินทรัพย์มูลค่า 300 ล้านบาท ปี 2570 มูลค่า 2,500 ล้านบาท และปี 2571 มีเป้าหมายขายสินทรัพย์เพิ่มอีกกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนแผนการลดหนี้และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน   ทั้งนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมเตรียมจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้ เพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 15 ชุด ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนระหว่างเดือนสิงหาคม 2568 ถึงมกราคม 2570   โดยบริษัทเสนอขยายระยะเวลาไถ่ถอนทุกชุดออกไป 2 ปี และปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี  เพื่อให้สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมความสามารถในการจัดการชำระคืนหนี้หุ้นกู้   “บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของผู้ถือหุ้นกู้ และยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ทุกท่าน” ศานิต กล่าว   ด้านแผนธุรกิจ บริษัทมุ่งเน้นฟื้นรายได้ผ่านการสร้างยอดขายให้เติบโต โดยตั้งเป้าให้ยอดขายกลับมาสู่ระดับ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2571 กลยุทธ์หลักจะมุ่งไปที่สินค้ากลุ่มบ้านระดับราคาปานกลาง ซึ่งยังคงมีดีมานด์ในตลาด   ขณะเดียวกันจะทยอยลดสัดส่วนสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม  ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมขายรวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น   โครงการแนวราบ 2,500 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3,500 ล้านบาท   โดยจะเร่งระบายสต็อกในโครงการที่สามารถรับรู้รายได้ทันที นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2,220 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีจุดแข็งที่สำคัญ ได้แก่การถือครองทรัพย์สินในทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นทำเลที่มีความต้องการด้านที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องและเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ  ตลอดจนทำเลที่มีการเติบโตและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด อย่างเขาใหญ่ หัวหิน และ เชียงใหม่   บริษัทยังเดินหน้าปรับโครงสร้างทางธุรกิจและโครงสร้างองค์กร เป้าหมายหลักคือลดค่าใช้จ่ายลง 20% ภายในปี 2569 โดยมีแผนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินงานและระบบบริหารจัดการให้มีความกระชับคล่องตัว ยกระดับความสามารถในการทำกำไร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน   ศานิต กล่าวว่า “ที่ผ่านมาบริษัทยังได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรระดับโลก อาทิ Sumitomo Forestry และ Sekisui Chemical จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความร่วมมือระยะยาวในพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทในสายตานักลงทุนต่างชาติ”   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีประสบการณ์ 40 ปีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้สภาวะท้าทาย บริษัทสามารถผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจที่มีผลกระทบในระดับโลกมาแล้วหลายครั้ง และสามารถปรับตัวฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง  ซึ่งแผนระยะ 3 ปีของบริษัทครั้งนี้  ไม่เพียงมุ่งรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการวางรากฐานใหม่เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต Alternate-X สรุปให้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เผยแผนกลยุทธ์ 3 ปี (2568-2571) มุ่งฝ่าวิกฤตอสังหาฯ ด้วย 3 เป้าหมายหลักคือ ลดภาระหนี้ลง 50% ภายในปี 2570 ผ่านการขายสินทรัพย์และปรับโครงสร้างหนี้หุ้นกู้ พร้อม สร้างยอดขายให้กลับมาที่ 10,000 ล้านบาทในปี 2571 โดยเน้นสินค้าบ้านระดับกลางและเร่งระบายสต็อกโครงการ และ ปรับโครงสร้างธุรกิจลดค่าใช้จ่าย 20% ภายในปี 2569 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน บริษัทยังคงเชื่อมั่นในจุดแข็งด้านทำเลที่ดินและพันธมิตรระดับโลก เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงในอนาคต            

July 31, 2025 / 0 Comments
read more

7 วันปะทะไทย-กัมพูชา ยอดส่งพัสดุชายแดนพุ่ง 30 ตัน ปณท. จัดให้ไม่มีลิมิต-ส่งมาได้อีก

BizKet

ไปรษณีย์ไทย เผยเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา 4 จังหวัด คนไทยบริจาคมากถึง 30 ตัน พร้อมปรับแผนจุดรับ/ส่งมาได้อีกไม่มีลิมิต   ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การปะทะแนวชายแดนไทยและกัมพูชา ส่งผลกระทบกับ 4 จังหวัดโดยรอบ ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำกิจการไปรษณีย์ไทยในหลายพื้นที่จุดเสี่ยง ทำให้ต้องปิดให้บริการชั่วคราว   อย่างไรก็ตาม ปณท. ได้ปรับแผนการดำเนินงาน โดยหันมาจัดส่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยใน 4 พื้นที่ดังกล่าวแทน โดยในช่วงไม่ถึง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าผู้บริจาคสิ่งของมาแล้วมากกว่า 30 ตัน เป็นจำนวนสูงที่สุดนับแต่ให้บริการในพื้นที่ดังกล่าว   “ขณะนี้ ไปรษณีย์ไทยยังไม่มีลิมิตเรื่องขนของช่วยประชาชน ตอนนี้คนบริจาคเท่าไรก็รับมาส่งต่อทั้งหมด เพื่อหวังว่าจะช่วยพี่น้องชายแดนได้มากที่สุด“ดร.ดนันท์ กล่าว   สำหรับการขนส่งระหว่างไทย-กัมพูชา ทาง ปณท. ยังดำเนินการส่งของระหว่างประเทศเฉพาะในช่องทางเครื่องบินเท่านั้น   “ที่ผ่านมาปริมาณการส่งพัสดุไปยังปลายทางประเทศกัมพูชาของไปรษณีย์ไทยไม่ได้มีสัดส่วนสูงอยู่แล้ว แต่ยอมรับสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อรายได้บางส่วน”     Alternate-X สรุปให้     เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชากระทบ 4 จังหวัด ไปรษณีย์ไทยเผยยอดบริจาคพุ่งกว่า 30 ตันภายใน 7 วันปรับแผนรับส่งของบรรเทาทุกข์ ไม่มีลิมิต ยินดีรับทุกการบริจาค บางพื้นที่ต้องปิดชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ขณะที่การส่งพัสดุไปกัมพูชาจำกัดเฉพาะช่องทางเครื่องบิน รายได้บางส่วนได้รับผลกระทบแต่ยังเดินหน้าช่วยเหลือเต็มที่

July 31, 2025 / 0 Comments
read more

คนจีนฮิต ‘ของขลังไทย’ ติดท็อป 5 สินค้ายอดนิยม ปณท.เผยปี67 พัสดุไทยไปจีนโต3%

BizKet

ไปรษณีย์ไทย บอกพอร์ต ‘เครื่องรางของขลัง“ พัสดุยอดฮิตส่งจากไทยไปจีน ปี’67 ยอดพัสดุ 6 แสนชิ้น โต3% ร่วมฉลองครบ50ปี สัมพันธ์ไทย-จีน งานแสดงตราไปรษณียากรภาคพื้นเอเชีย 2568   ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) กล่าวว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา การขนส่งพัสดุจากไทยไปจีนเติบโตเฉลี่ยกว่า 3% มียอดส่งออก 60,000 ชิ้น/ปี คิดเป็นมูลค่าการขนส่งราว 50 ล้านบาท   สำหรับสิ่งของที่ได้รับความนิยมในการส่งผ่านไปรษณีย์จากไทยไปปลายทางประเทศจีน 5 อันดับแรก ได้แก่   เอกสาร ของเล่น เสื้อผ้าคอตตอน อาหารเสริม เครื่องรางของขลัง   “สินค้าเครื่องรางของขลัง  อย่าง พระห้อย พระพุทธรูป ตะกรุด และเหรียญพระ เป็นที่นิยมในกลุ่มคนจีน รวมถึงคนชาติอื่น ๆ ทั้งญี่ปุ่น ฮ่องกง ติดลิสต์สินค้าส่งออกยอดฮิตของไปรษณีย์ไทยนานกว่า 10 ปี” ดร.ดนันท์ กล่าวพร้อมเสริมว่า “สินค้าเหล่านี้ จะมีเซียนพระในส่วนภูมิภาค เช่น ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ฯลฯ นำมาฝากขายในที่ทำการไปรษณีย์ไทยบริเวณใกล้เคียง ซึ่งไปรษณีย์ไทยก็ได้สินค้าในช่องทางไทยแลนด์โพสต์มาร์ต”   ขณะที่ สินค้านำเข้าหมวดเครื่องรางของขลัง ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคไทยสายมูเตลูเช่นกัน อาทิ เครื่องรางนำโชคด้านการเงินและความรัก ทั้งจากฮ่องกง และจีน     ปรับแผนรับอีคอมเมิร์ซไทย-จีน     ดร.ดนันท์ กล่าวว่า “ในอดีตการจัดส่งพัสดุระหว่างไทยจีน จะเป็นจดหมาย เงิน และโทรเลข โดยคนไทยเชื้อสายจีนส่งกลับไปให้ครอบครัว พ่อแม่ แต่ปัจจุบันการส่งสินค้ามีสัดส่วนนำหน้าจดหมาย/เอกสารถูกแซง จากปัจจัยอีคอมเมิร์ซของทั้ง 2 ประเทศขยายตัว”   จากแนวโน้มดังกล่าว ปณท. เห็นโอกาสในการส่งสินค้าระหว่างไทย-จีน โดยพัฒนาการขนส่งทางบกจากต้นทางจีน เพื่อให้บริการสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) และกลุ่มธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C) โดยใช้การขนส่งในช่องทางพาณิชย์ เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในการลดต้นทุนค่าขนส่ง สามารถขนส่งได้ในปริมาณมากขึ้นเมื่อเทียบกับการขนส่งทางอากาศ   นอกจากนี้ ยังเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าทั้งต้นทางและปลายทางได้มากขึ้น เช่น มีบริการดำเนินพิธีการภาษีศุลกากรทั้งที่ต้นทางและปลายทาง   ขณะเดียวกัน ปณท. ยังอยู่ระหว่างศึกษาการใช้ประโยชน์จากช่องทางการขนส่งทั้งทางรถและทางราง (Multimodul Transport) ไปปลายทางจีน และพร้อมเป็นจุดกระจายสินค้าเข้าไทย โดยใช้เครือข่ายในประเทศและส่งต่อไปทั่วโลก ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้น   อย่างไรก็ตาม ปี 2568 สถานการณ์การส่งสินค้าจากไทยไปยังจีนและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ยังมีปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยาก ด้วยเศรษฐกิจและกำลังซื้อทั่วโลกชะลอตัว รวมถึงประเด็นภาษีนำเข้าสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้รูปแบบการส่งออกต้องปรับเปลี่ยนเร็วขึ้น       ขณะที่ ในปี 2568 ถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย – จีน โดย ปณท.ได้ร่วมกับสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ จัดงานแสดงตราไปรษณียากรภาคพื้นเอเชีย 2568 “จดหมายแห่งมิตรภาพ – From Bangkok to Beijing” ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์ไทย – จีน ผ่านนิทรรศการแสตมป์ จดหมาย และกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมร่วมสมัย จัดแสดงแสตมป์หายากจากทั่วทั้งเอเชีย ระหว่างวันที่ 8 – 12 สิงหาคม 2568 นี้ ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก   โดยปัจจุบันไปรษณีย์ไทยส่งออกสินค้ามากสุด ใน 5 ประเทศ คือ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย   Alternate-X สรุปให้    ไปรษณีย์ไทย (ปณท.) เผยปี 2567 การส่งพัสดุไปจีนโต 3% โดย “เครื่องรางของขลัง” ยังคงเป็นสินค้าส่งออกยอดนิยมอันดับ 1 มากว่า 10 ปี ในกลุ่ม 5 อันดับแรกที่คนจีนฮิต ปณท. เห็นโอกาสจากตลาดอีคอมเมิร์ซไทย-จีนที่ขยายตัว จึงได้พัฒนาการขนส่งทางบกจากจีนเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการส่งสินค้าทั้ง B2B และ B2C พร้อมศึกษาการขนส่งแบบ Multimodal ทั้งยังร่วมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีนผ่านงานแสดงตราไปรษณียากร แม้เศรษฐกิจโลกผันผวน ปณท. มุ่งมั่นพัฒนาบริการรับมือการเปลี่ยนแปลง  

July 31, 2025 / 0 Comments
read more

ศึกเก่าศึกใหม่ไม่พัก ‘ประเทศไทย’ ไปต่อครึ่งหลังปี68 MI Group บอกจะขายของต้องเข้าใจลูกค้าเก่ง

BizKet

An AI-generated image by ChatGPT MI Group รีวิวประเทศไทยครึ่งแรกปี68 ผ่านมาได้แบบนี้เก่งแล้ว ท่ามกลางผันผวนกระทบกำลังซื้อ มาถึงครึ่งหลังของปีเจอข้อพิพาทเพื่อนบ้านอีก แนะทางรอดแบรนด์สินค้า รับเม็ดเงินสื่อโฆษณา 87,770 ล.บาทโต 1.5% ปีนี้   ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อประเทศไทยในครึ่งแรกของปี 2568 ที่ผ่านมา เผชิญความผันผวนรอบด้าน ทั้ง นโยบายภาษีการค้าโลก ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา การเมืองระดับประเทศ ภัยธรรมชาติ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปแต่ได้กลุ่มใหม่มาทดแทน   ปัจจัยดังกล่าว มีผลต่อการตัดสินใจวางแผนการทำตลาดแบรนด์สินค้า โดยเม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 42,843 ล้านบาท (เติบโต +1.1% หรือ +465 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว   สื่อดิจิทัล-นอกบ้าน มาแรงจัด   โดยเม็ดเงินเติบโตหลักๆมาจาก     1.สื่อดิจิทัล ทั้งรายเดิมและใหม่เข้ามาจำนวนมาก ทำให้เม็ดเงินของสื่อดิจิทัลสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกเม็ดเงินสื่อดิจิทัลอยู่ที่ 17,278 ล้านบาท (เติบโต +9% หรือ +1,354 ล้านบาท)   ขณะที่ MI LEARN LAB สำรวจตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ ประเมินว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท หรืออีกกว่า 30% ของเม็ดเงินที่รายงานโดย มาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) (DAAT)   2. สื่อนอกบ้าน OOH (Out-of-Home Media)มีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัย โดยเม็ดเงินครึ่งปีแรกอยู่ที่ 7,041 ล้านบาท (เติบโต +11% หรือ +715 ล้านบาท) เติบโตหลักๆมาจากสื่อในรูปแบบจอดิจิทัล และ สื่อ Transit – ระบบขนส่งมวลชน BTS และ MRT   “คาดว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ สื่อทรานซิสจะยิ่งเติบโตจากจำนวนผู้โดยสารที่จะพุ่งสูงขึ้นตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ภวัต กล่าวพร้อมเสริมว่า “ใน 6-7 เดือนแรกปี68 ที่ผ่านมา ภาพรวมเศรษฐกิจไม่มีอะไรดี ประเทศไทยรอดมาได้ถือว่าเก่งแล้ว”   โฟกัส ‘นักท่องเที่ยวคุณภาพ’   ภวัต กล่าวต่อว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาและการตลาดในครึ่งหลังปีนี้ จะมีแนวโน้มกลับมาโตอย่างระมัดระวัง จากแบรนด์สินค้ากลับมาใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อชิงยอดขายกำลังซื้อมีอยู่อย่างจำกัด และยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง   ขณะที่ในไตรมาส3-4 ยังสัญญาณบวก จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาด้วยเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว จากครึ่งแรกของปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 16.8 ล้านคน และพบว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ จากข้อมูลดังนี้   นักท่องเที่ยวยูเครน ใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ย 70,000 บาท นักท่องเที่ยวรัสเซีย ใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ย 60,000 บาท นักท่องเที่ยว จีน ใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ย 50,000 บาท นักท่องเที่ยวอินเดีย ใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ย 42,000 บาท   ทั้งนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาติดังกล่าวมีแนวโน้มใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้น ซึ่งการท่องเที่ยวไทยควรมุ่งทำตลาดเจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้นนับจากนี้ จากสถิติประเทศที่เดินทางมาไทยมากสุดตามลำดับ คือ มาเลเซีย, จีน, อินเดีย, รัสเซีย, ยูเครน และ เกาหลี   “แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยจะลด แต่ยังชดเชยได้จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มดังกล่าว” ภวัต กล่าว   ขณะที่ในครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จากประเทศกลุ่มใหม่ๆ อยู่ที่  20.2 ล้านคน (เทียบเท่าระดับก่อนโควิด) สร้างรายได้ 1.46 ล้านล้านบาท จากกลุ่มพรีเมียมและสายไลฟ์สไตล์   โดยตลาดอินเดีย เติบโตทะลุ 1 ล้านคน ตามมาด้วย ยุโรป-ตะวันออกกลางฟื้นตัวแรง จากจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้น, มาตรการรัฐเอื้อวีซ่าส่งเสริมการเดินทาง, เงินบาทอ่อน ปัจจัยหนุนประเทศไทยให้ เป็นปลายทางการเดินทาง ‘คุ้มค่า’     เข้าสู่ยุคผู้ขายล้นตลาด     ภวัต เสริมว่า จากภาพรวมดังกล่าว ในครึ่งหลังปี 2568 นี้ คาดว่าตลาดกำลังซื้อยังซบเซาต่อเนื่อง สวนทางกับความนิยมและการเข้าถึงของแพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย ต่างๆของคนไทย สอดคล้องกับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในช่องทางโซเชียลฯ ที่เติบโตสูงขึ้นต่อเนื่อง   จากแนวโน้มดังกล่าว ผลักดันให้มีผู้ขายเกิดใหม่ (ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ) ในทุกช่องทาง ตั้งแต่แบรนด์ใหญ่ พ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึงอินฟลูเอ็นเซอร์และครีเอเตอร์ ขายตรงผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีจำนวนอินฟลูฯ และครีเอเตอร์ (จริงจังในการหารายได้ผ่านช่องทางต่างๆ) จำนวนแตะ 3 ล้านราย และหากรวมมือสมัครเล่น มีจำนวนแตะ 9 ล้านราย   “แนวโน้มดังกล่าว ผู้ประกอบการ แบรนด์สินค้า ต้องเตรียมพร้อมกลยุทธ์การตลาดที่จำเป็นในยุคที่ใครๆก็ได้ขาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ขายได้” ภวัต กล่าว   แบรนด์ต้องเข้าใจลูกค้าให้เก่ง   พร้อมกล่าวต่อการอยู่รอดของแบรนด์ ‘Brand Survival Guide: อยู่รอดอย่างเข้าใจ ในยุคที่ทุกคนคือผู้ขายในโลกที่ไม่ว่าใครก็สามารถ ‘ขายของ’ ได้ใน 10 นาที เมื่อผู้ซื้อมีทางเลือกมากเกินไป โดยแบรนด์ต้องตอบให้ได้ไม่ใช่แค่ ‘ขายให้ได้’ แต่คือ ‘ขายให้โดนใจ’  ในยุคที่ทุกแพลตฟอร์มคือหน้าร้าน ทั้ง TikTok, Facebook, IG, LINE, หรือแม้แต่ตลาดนัด ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ของไม่พอขาย แต่อยู่ที่ ‘ผู้บริโภคไม่มั่นใจพอจะซื้อ’ และเลือกซื้อน้อยลงกว่าเดิม โดยสินค้ากลายเป็นของทดแทนกันได้ง่าย (Commoditized)   ขณะที่ พฤติกรรมเชิงลึกของผู้บริโภคในปี 2025 นี้ ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อของ…แต่ซื้อ ‘เหตุผล’ เลือกซื้อจาก ‘แบรนด์ที่ตนเชื่อใจ’ มากกว่าแบรนด์ที่ดัง ตัดสินใจจาก ‘ความรู้สึก’ ไม่ใช่แค่ “โปรโมชั่น” และเชื่อครีเอเตอร์ และ คอมมูนิตี้ มากกว่าการโฆษณา ให้ความสนใจแบรนด์ที่มี ‘คุณค่า’ และ ‘จุดยืน’   ขณะที่ การนำกลยุทธ์ ‘อยู่รอด’ ที่ไม่ใช่แค่ ‘ขายเก่ง’ แต่ต้อง ‘เข้าใจเก่ง’ ประกอบด้วย   Positioning ตำแหน่งผลิตภัณฑ์การตลาดที่ชัด ขายให้เฉพาะคนที่ใช่ เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ ‘อิน’ กับแบรนด์ ขายของที่ ‘มีความหมาย’ ไม่ใช่แค่ ‘ขายได้’ Connection สร้างความสัมพันธ์เครือข่ายก่อนนำไปสู่การขาย Conversion ด้วยคอนเทนต์ที่จริงใจ ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ มีบทสนทนา ไม่ใช่แค่ยิงโฆษณา ฟังลูกค้าให้มากเท่าที่พูดกับเขา Micro Wins เริ่มเล็กแต่แน่น เจาะวัฒนธรรมย่อย Subculture, กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Niche) หรือชุมชน (Community) สร้างฐานกลุ่ม (Fan) ก่อนสร้างยอดขาย เพื่อเปลี่ยนลูกค้าเป็น Brand Advocate ผู้ชื่นชอบแบรนด์และพร้อมบอกต่อ ขาย ‘เหตุผล’ ไม่ใช่แค่ ‘สินค้า’ สร้างจุดยืนที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ลูกค้าเชื่อ สร้างการมีความหมาย (Meaning) มากกว่าแค่ฟังก์ชัน (Function)   ภวัต ย้ำว่า “แบรนด์ที่อยู่รอดได้ ไม่ใช่เพราะเสียงดังที่สุด แต่เพราะเข้าใจลึกที่สุด”   นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเป้าหมายที่น่าจับตา คือ  ‘Gen Horizon 45+’  กลุ่มวัยกลางชีวิต 45+ ที่เริ่มมองเส้นขอบฟ้า ไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเปลี่ยน ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 20 ล้านคน++ ขึ้นไป ซึ่งจะเป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ด้วยมีกำลังซื้อสูง เป็นผู้บริโภคที่ไม่ช้ำ ไม่โลเล ไม่ถูกสปอยล์หนัก และยังมีความภักดีให้แบรนด์ที่เข้าใจเขาจริง พร้อมเปิดรับแบรนด์ใหม่ ต้องการการสื่อสารที่เคารพในความคิดและประสบการณ์   พร้อมทิ้งท้ายว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมโฆษณาและสื่อสารตลาดตลอดปีนี้ 2568 จะโตแต่แผ่ว ที่ +1.5% มูลค่ารวมประมาณ 87,077 ล้านบาท (ปรับลดจากคาดการณ์เดิมที่ +2.2%)   ‘แบรนด์’ มอนิเตอร์แรงปะทะไทย-กัมพูชา   ภวัต กล่าวว่า จากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และเริ่มคลี่คลายหลังการเจรจาหยุดยิงไปเมื่อหลังเวลา 24.00 น.วันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดหลังเกิดเหตุการณ์ฯ ซึ่งทางแบรนด์สินค้าได้พักการทำตลาด/กิจกรรมในกัมพูชา ในช่วง 3 วันแรกเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดก่อนวางแผนการทำตลาดในรอบใหม่   ปัจจุบัน มีสินค้าแบรนด์ไทยในการดูแลของบริษัท ฯ 3 หมวดหลัก คือ   กลุ่มสินเค้าเครื่องดื่ม กลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสินค้า ชอปปิง   “การโฮลด์กิจกรรมการตลาดสินค้าจากไทยในกัมพูชา ช่วงดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบเชิงยอดขายมากนัก ด้วยขนาดตลาดกำลังซื้อในกัมพูชายังมีขนาดเล็ก” ภวัต กล่าว   ทั้งนี้ จากข้อมูลการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาทั่ง 6 ด่าน ครอบคลุม จังหวัด ศรีษะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทรบุรี ตราด ปัจจุบันมีมูลค่าราว 500 ล้านบาท แบ่งเป็นการขายจากฝั่งไทยราว 400 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท จากฝั่งกัมพูชา ซึ่งการค้าการขายแบบซื้อมาขายไปบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา คาดจะได้รับผลกระทบมากกว่าในรูปแบบแบรนด์สินค้าที่เข้าไปทำตลาดตรงในกัมพูชา   ด้าน วิชิต คุณคงคาพันธ์ Head of International Business Development กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด (MI GROUP) กล่าวว่าผลสำรวจ MI Bridge กลุ่มธุรกิจดำเนินงานด้านสื่อสารการตลาด และ MI Learn Lab หน่วยงานที่นำเสนอข้อมูลเชิง Marketing Insights ในเครือ MI  พบว่าปัจจุบันมีแรงงานกัมพูชาที่ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการราว 4-5 แสนราย และอยู่นอกระบบรวมกันไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านคน   โดยแรงงานกัมพูชามีวิถีชีวิตการทำงานกระจายอยู่ในอุตสากรรมธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจก่อสร้างมากกว่า 10% และมีการอยู่อาศัยแบบไม่รวมกลุ่ม ขณะที่แรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน เมียนมา เข้ามาอาศัยในประเทศไทยมีจำนวนมากสุดอยู่ที่ 6-7 ล้านราย   Alternate-X สรุปให้   MI Group วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยครึ่งแรกปี 2568 เผชิญความผันผวนแต่ “รอดมาได้เก่งแล้ว” ด้วยเม็ดเงินโฆษณาครึ่งปีแรกโต 1.1% โดยสื่อดิจิทัลและ OOH เติบโตโดดเด่น คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาทั้งปี 2568 อยู่ที่ 87,077 ล้านบาท เติบโต 1.5% แม้ครึ่งหลังเจอข้อพิพาทเพื่อนบ้าน แต่ปัจจัยบวกจากนักท่องเที่ยวคุณภาพยังหนุนตลาด MI Group แนะแบรนด์ปรับกลยุทธ์สู่ ‘Brand Survival Guide’ เน้นเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง สร้างความสัมพันธ์ และขาย “เหตุผล” มากกว่า “สินค้า” ในยุคที่ผู้ขายล้นตลาด โดยชี้ Gen Horizon 45+ เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ  

July 31, 2025 / 0 Comments
read more

#TruthFromThailand บนจอไทม์สแควร์แพงสุดในโลก! แพลนบีขึ้นธงชาติ 1.9 หมื่นจอทั่วไทย

BizKet

อื้ออึงและไวรัลในโซเชียลอย่างหนัก หลัง ‘แพลนบี’ (PLANB) ผู้ผลิตสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH) รายใหญ่ของไทย ใช้ศักยภาพทางธุรกิจขึ้นสัญลักษณ์ธงชาติไทยพร้อมแฮชแท็ก #TruthFromThailand บนอาคาร One Times Square ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดโฆษณาที่โดดเด่นและแพงที่สุดในโลก ไปเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา   ขณะที่ ย่านไทม์สแควร์ นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในทำเลที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดในโลก และยังเป็นทำเลทองสำหรับการโฆษณา ด้วยจำนวน  “eyeballs”   มหาศาลของผู้คนที่ผ่านไปมาที่จะมองป้ายโฆษณาในย่านนี้   โดยบริเวณย่าน Times Square มีจำนวนผู้สัญจรเฉลี่ยประมาณ 330,000 – 450,000 คนต่อวัน  และในช่วงเวลาเร่งด่วนอาจมีผู้คนหนาแน่นถึง 100,000 คนพร้อมกัน และในแต่ละปี จะมีผู้เยี่ยมชม Times Square โดยรวมมากกว่า 50 ล้านคนต่อปี   สรุปคร่าวๆ ได้ว่า ในย่านไทม์สแควร์แห่งนี้ มี ‘อายบอลลส์’ จากจำนวนผู้คนมหาศาลหลายแสนคนต่อวัน และหลายสิบล้านคนต่อปี ที่มีโอกาสเห็นโฆษณาที่แสดงอยู่บนตึกต่างๆ   ดังนั้น ในย่านนี้ โดยเฉพาะตึก ‘วัน ไทม์ สาแควร์’ อาจเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่แสดงโฆษณาที่น่าสนใจและดึงดูดจากหลากหลายแบรนด์สินค้าที่ต้องการเป็น จุดสนใจของคนทั่วโลก   ขณะที่ ‘ราคาโฆษณา’ บนพื้นที่นี้มีปัจจัยซับซ้อนมาก ด้วยไม่มีราคา ‘มาตรฐาน’ ที่เปิดเผยต่อสาธารณะได้ง่ายๆ ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อราคาโฆษณาบน One Times Square อาทิ   ทำเลที่ตั้ง (Location) อาคาร One Times Square ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ Times Square (หรือที่เรียกว่า ‘Bowtie’) เป็นจุดที่ผู้คนสัญจรผ่านไปมามากที่สุดในโลก ทำให้มีมูลค่าการโฆษณาสูงกว่าป้ายอื่นๆ อย่างมหาศาล ประเภทของป้าย (Type) ซึ่งเป็นป้ายดิจิทัล LED ขนาดใหญ่ สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวและข้อความได้หลากหลายตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมีราคาสูงกว่าป้ายภาพนิ่งมาก ขนาดของพื้นที่ (Size) ที่มีหลากหลายส่วนของอาคาร ระยะเวลาและความถี่ (Duration & Frequency) การซื้อโฆษณาบนป้ายระดับนี้ มักจะซื้อเป็นช่วงเวลา เช่น 15-30 วินาที ในแต่ละรอบ (loop) ซึ่งจะวนซ้ำทุกๆ 1-5 นาที ตลอดทั้งวัน หรือซื้อเป็นรายสัปดาห์/รายเดือน แคมเปญที่ใช้ในการสื่อสาร     ขณะที่ ราคาคร่าวๆ สำหรับการซื้อโฆษณาบนป้ายไอคอนระดับโลก อย่าง One Times Square มักจะอยู่ในหลักแสนไปจนถึงหลักล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (ประมาณหลายล้านบาทถึงหลายสิบล้านบาทต่อเดือน) สำหรับหนึ่งสล็อตโฆษณา ขึ้นอยู่กับขนาด ความถี่ และระยะเวลา   สำหรับป้ายบนอาคาร One Times Square โดยเฉพาะ ซึ่งมีรายงานระบุว่าป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของอาคาร สามารถสร้างรายได้โฆษณารวมกันได้ มากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือมีบางรายงานประเมินรายได้ป้ายใหญ่ อยู่ในระดับ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี  แสดงว่าสล็อตโฆษณาแต่ละช่วงเวลามีมูลค่าสูงมาก   หากเป็นแคมเปญพิเศษที่แสดงผลแบบโดดเด่นและต่อเนื่องในหลายส่วนของตึก ดังที่เห็นในภาพ (มีการใช้พื้นที่ธงชาติไทยแนวตั้งและส่วนแฮชแท็ก) ค่าใช้จ่ายย่อมสูงกว่าการซื้อสล็อตโฆษณามาตรฐานมาก อาจอยู่ในระดับ หลักล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับแคมเปญระยะสั้น (เช่น 1-2 สัปดาห์) หรือหลายแสนดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน หากเป็นการเช่าพื้นที่ใหญ่และแสดงผลบ่อยครั้ง   สำหรับการแสดงภาพธงชาติไทยบนอาคาร One Times Square ในครั้งนี้ คาดมีมูลค่าการโฆษณาสูงมาก และยังเป็นการลงทุนที่สำคัญในเชิง Nation Branding เพื่อให้ข้อความไปสู่สายตาผู้คนจำนวนมหาศาลจากทั่วโลกในจุดที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่ง   อย่างไรก็ตาม ต่อการขึ้นสัญลักษณ์ธงชาติไทย บนตึกวัน ไทม์ สแควร์ ของ PLANB ในครั้งนี้ได้ด้วยนั้น ยังมาจากศักยภาพทางธุรกิจของ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด  (มหาชน)  ได้เริ่มขยายธุรกิจสื่อนอกบ้านระดับโลกด้วยการเข้าไปทำโฆษณาในย่าน Times Square นิวยอร์ก เริ่มจากการเข้าเช่าสิทธิ์โฆษณาบน จุดโฆษณาดิจิทัล (billboard) สุดไอคอนิกของโลกอย่าง One/2 Times Square  เพื่อขยายการรับรู้แบรนด์สู่เวทีระดับนานาชาติ และเมื่อในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 นี้  ‘แพลนบี’ ได้จัดวางจอภาพสัญลักษณ์ธาติประเทศไทยบนย่าน Times Square เพื่อสื่อสารภาพลักษณ์และข้อความสำคัญสู่สายตาผู้คนทั่วโลก!!   ขึ้น ธงชาติไทย 1.9 หมื่นจอทั่วไทย   นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน (30 กรกฎาคม) ‘แพลนบี’ ยังได้ใช้พื้นที่บนสื่อโซเชียลเพจเฟซบุ๊ค Plan B Media โพสต์สเตตัสล่าสุด   🇹🇭 ‘ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช และความเสียสละของบรรพบุรุษไทย’ . เชิญชวนคนไทยร่วมสดุดี และรำลึกถึงความกล้าหาญของวีรบุรุษไทยผู้เสียสละชีวิตปกป้องผืนแผ่นดินไทย ทุกเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เวลาเคารพธงชาติ แพลนบีขอแสดงสัญลักษณ์ธงชาติไทย ผ่านสื่อนอกบ้านกว่า 19,775 จอ ทั่วประเทศ         Alternate-X สรุปให้    ‘แพลนบี’ สื่อโฆษณานอกบ้านรายใหญ่ของไทย สร้างกระแสฮือฮาด้วยการแสดงสัญลักษณ์ธงชาติไทยและแฮชแท็ก #TruthFromThailand บนอาคาร One Times Square นิวยอร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่โฆษณาที่แพงที่สุดและมีผู้สัญจรนับแสนคนต่อวัน ตอกย้ำข้อความบอกความจริงให้โลกรู้  และในวันเดียวกัน แพลนบียังได้ใช้ศักยภาพของสื่อในประเทศ แสดงธงชาติไทยผ่านจอโฆษณากว่า 19,775 จอทั่วประเทศ เพื่อเชิญชวนคนไทยยืนตรงเคารพธงชาติทุกเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. ถือเป็นการลงทุนด้าน Nation Branding ครั้งสำคัญที่สื่อสารพลังและเอกภาพของคนไทยทั้งในระดับสากลและภายในประเทศอย่างพร้อมเพรียง      

July 30, 2025 / 0 Comments
read more

แฮชแทก #แบนโค้ก เดือด! พลังคนดัง ‘แวนดา’ จุดชนวนสงครามไซเบอร์ข้ามพรมแดนสู่แบรนด์โลก

BizKet

เริ่มคลี่คลายไปบ้าง หลังข้อตกลงหยุดยิงตลอดแนวปะทะชายแดน ไทย-กัมพูชา เมื่อหลังเวลา 24.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา   แต่ทว่าในโลกออนไลน์ แพลตฟอร์มโซเชียลต่างๆ ยังมีความเคลื่อนไหว จาก ‘Netizen’ พลเรือนชาวเน็ตในโลกไซเบอร์ ของสองประเทศไทย-กัมพูชา ที่พร้อมส่งกองกำลังทั้งไอโอ และ นักรบหนัาจอ มารัวกระสุนตัวอักษรผ่านแป้นคีย์บอร์ด แบบไม่พัก เพื่อปกป้องความจริงและศักดิ์ศรี ของแต่ละฝ่าย!!   นอกจาก พลเรือนชาวเน็ตทั่วไปในสองประเทศ ที่เข้าร่วมสมรภูมิภูมิไซเบอร์ในครั้งนี้ ยังมี ‘คนดัง’ กัมพูชา ‘ วัณณ์ฎา‘ ( ម៉ាន់ វណ្ណដា) ที่คนไทยบางกลุ่มรู้จักเขาในชื่อ ‘VANNDA’  แวนดา แร็ปเปอร์ชื่อดังชาวกัมพูชา จากโชว์ของเขาในมหกรรมพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค 2024 ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อล่าสุด   ในด้านผลงานของแวนดา มีเพลง Sangkran Magic ที่คนไทยบางกลุ่ม (อีกเช่นกัน) รู้จักคุ้นหู และได้ถูกนำมาโคฟเวอร์อย่างกว้างขวางบนแพลตฟอร์มโซเชียล ในช่วงที่ผ่านมาด้วย   นอกจากนี้ ในปี 2566-2567 ’แวนดา‘ ยังได้ร่วมงานกับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มระดับโลก Coke ‘โค้ก’ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Share a Coke’ ของ Coca‑Cola Cambodia ที่แบรนด์เลือกหยิบ แวนดา มาสื่อสารการตลาดระดับท้องถิ่นในประเทศกัมพูชา   จากเส้นเรื่องคร่าวๆ หากมองในเชิงการตลาด ’แวนดา‘ ถือเป็นทั้งแบรนด์บุคคล (Personal Brand)  ที่เข้ากระแสและมีอิทธิพลไม่น้อยในโซเชียลระดับท้องถิ่น ด้วยตัวตนของ แวนดา เองยังสะท้อนถึง อัตลักษณ์ นิสัย จิตใจ ความเป็นชนชาติกัมพูชา (National Brand) ออกมาได้อย่างแจ่มชัดในฐานะ ‘คนดังหนึ่งเดียว’ ของกัมพูชาที่อุตสาหกรรมบันเทิงโลกรู้จักและให้ความยอมรับในฝีมือทางดนตรี   อย่างไรก็ตามจากตำแหน่งของ ‘แวนดา’ ที่เอาแบรนด์ตัวเองลงมาเคลื่อนไหวในโซเชียลอย่างหนักและต่อเนื่อง พร้อมแสดงจุดยืน ‘Call out’ จากมุมมองทึ่เขาได้รับโดยโพสต์ลงสื่อโซเชียล ตลอดช่วงนับจากเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นล่วงถึงการเจรจาข้อยุติการหยุดยิง ไปเมื่อล่าสุด   แน่นอนว่าการกระทำของ แวนดา ยังเป็นการเรียกแขกจากพลเรือนเน็ตชาวไทย ที่มีกองกำลังรถทัวร์จำนวนมหึมา ซึ่งพร้อมนำไปจอดฝั่งตรงข้ามแบบ 24 ชั่วโมง เพื่อตอบโต้ทุกความเคลื่อนไหวไม่พักในโซเชียลของ แวนดา ด้วยเช่นกัน   ล่าสุดจากความ ท็อป ฟอร์ม ไม่แผ่วของแวนดา ที่ยังโพสต์พาดพิงประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Netizen ไทย ออกมาทำสงครามแป้นคีย์บอร์ดครั้งใหญ่ที่มาพร้อมกับติดแฮชแทค #แบนโค้ก รณรงค์การหยุดดื่มโค้กจนกกว่าจะเลิกใช้ พรีเซ็นเตอร์กัมพูชา รายนี้   กระแสที่เกิดขึ้น อาจเรียกได้ว่าเป็นการขยายแนวปะทะจากชายแดนไทย-กัมพูชา มาสู่แนวหน้าการตลาดสินค้าของจริง!! ที่แม้จะยังไม่สามารถชี้วัดได้ว่าจะกระทบตลาดได้จริงมากน้อยแค่ไหน?!?   แต่งานนี้สะท้อนถึงพลังของคนดังหนึ่งเดียวในกัมพูชา ที่อาจไม่ได้ออกมาเรียกร้องเพื่อความสันติแต่กลับลุกลามไปยัง ‘แบรนดิ้ง’ ทั้งตัวตน และ แบรนด์สินค้าที่เกี่ยวข้องไปด้วย   พลังอินฟูลฯ สันติหรือขยายวง?   ต่อเรื่องนี้  ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (President & CEO) ของกลุ่ม MI (Media Intelligence Group) กล่าวว่าจากสถานการณ์ดังกล่าว หากมองในเชิงภาพลักษณ์สินค้าทึ่แม้ว่า ’โค้ก‘ จะเป็นแบรนด์ระดับโลก ที่เลือก ‘แวนดา’ คนดังของประเทศกัมพูชา มาร่วมสื่อสารการตลาดระดับท้องถิ่นเท่านั้น ซึ่งภาพกว้างในขณะนี้ อาจไม่มีผลกระทบกับแบรนด์โดยตรงแต่อย่างใด   “จากความเคลื่อนไหวของแวนดา ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์โค้กอาจช่วยยอดขายในประเทศกัมพูชาช่วงสั้นด้วยซ้ำ แม้จะมีกระแสจากไทยแบนสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่พูดได้ แต่ไม่ได้มีอิมแพคกับตลาดมากนัก” ภวัต กล่าวพร้อมเสริมว่า   ขณะที่แบรนด์โค้ก เองอาจมองกรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการตลาดท้องถิ่น ซึ่งการเลือก ‘แวนดา’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อสร้างการยึดโยงกับคนในประเทศเขาเท่านั้น ส่วนในระดับโกลบอล อาจมองในประเด็นอื่นๆมาประกอบ ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีพิพาทระหว่างสองประเทศ ยังไม่มีการระบุชัดว่าฝ่ายใดผิดหรือถูก ซึ่งตัวแบรนด์ยังให้น้ำหนักความสำคัญในตลาดทั้งสองประเทศ   “แต่ถ้าวันใด หากมีข้อสรุปออกมาแล้วว่าใครคือสีขาว หรือ สีดำ อาจมีผลกระทบตามมา ด้วยระดับโกลบอลแบรนด์ ต่างๆ จะมี กฎเกณฑ์ compulsory ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนในกิจกรรมด้านใดบ้าง” ภวัต กล่าวทิ้งท้าย   Alternate-X สรุปให้    แม้ข้อตกลงหยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชาจะเริ่มคลี่คลาย แต่ในโลกออนไลน์ยังคงเดือดระอุจากสงครามไซเบอร์ระหว่างเน็ตติเซนสองฝั่ง โดยมี “วัณณ์ฎา” (VANNDA) แร็ปเปอร์ชื่อดังชาวกัมพูชาและแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Coke เข้ามาเคลื่อนไหวอย่างหนักผ่านโซเชียลมีเดีย การแสดงจุดยืนของเขาทำให้เน็ตติเซนไทยตอบโต้ด้วยแฮชแท็ก #แบนโค้ก กระตุ้นให้หยุดดื่มโค้กจนกว่าจะเปลี่ยนพรีเซ็นเตอร์ แม้ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าอาจยังไม่กระทบแบรนด์โลกโดยตรง แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงพลังของคนดังที่สามารถขยายความขัดแย้งจากแนวหน้าสู่สมรภูมิการตลาดอย่างคาดไม่ถึง   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง  VannDa แรปเปอร์กัมพูชา ถูก Coca-Cola ถอดจากแบรนด์แอมฯ เมื่อคนดัง ‘Callout’

July 30, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดหม้อหุงข้าว 6.3 ล้านใบในปี 68 โต 3% สวนเศรษฐกิจซึม แต่ ‘ไทย’ นำเข้าสินค้าเกิน 72%

BizKet

ในปี 2568 นี้มีอีกหนึ่งปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าจับตาท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว คือ ‘การเติบโตของตลาดหม้อหุงข้าว’ แต่ทว่าสวนทางกับการผลิตภายในประเทศที่ลดลง   แนวโน้มดังกล่าว นับเป็นสัญญาณสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของไทย   หม้อหุงข้าวจีน ใช้ราคาแข่ง   จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ตลาดหม้อหุงข้าวในประเทศไทยปี 2568 นี้  มีแนวโน้มเติบโตขึ้นประมาณ 3% แม้จะเป็นอัตราที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็นับว่าน่าสนใจเมื่อพิจารณาว่าภาคการผลิตภายในประเทศกลับ ลดลงอย่างต่อเนื่อง   จุดเริ่มต้นของแนวโน้มนี้สามารถโยงกลับไปยังช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากปัจจัยต่างๆ อาทิ   ผู้บริโภคเริ่มหันไปเลือกซื้อหม้อหุงข้าวที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ด้วยเหตุผลหลักคือ ‘ราคา’ หม้อหุงข้าวนำเข้าจากจีนมีราคาต่ำกว่าหม้อหุงข้าวที่ผลิตในไทยเฉลี่ยประมาณ 65% ซึ่งทำให้ยากที่ผู้ผลิตในประเทศจะสามารถแข่งขันได้ในระดับราคา   การผลิตหม้อหุงข้าวในจีนมีปริมาณ เกินความต้องการในประเทศ ทำให้ผู้ผลิตจีนหันมาเน้นการส่งออกมากขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ราคาถูกเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดในประเทศต่างๆ รวมถึงไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีพฤติกรรมผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและราคาจับต้องได้   โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุข้อมูลภาพรวมตลาดหม้อหุงข้าวไทย (เชิงปริมาณ) อยู่ที่ราว 6.3 ล้านใบ ซึ่งในปี 2564 แบ่งสัดส่วนผลิตในประเทศราว 47% และนำเข้าสินค้า 53% และในปี 2567 สัดส่วนการผลิตในประเทศลดลงมาอยู่ที่ 28% และนำเข้า 72%   ขณะที่ราคาสินค้า นำเข้าเฉลี่ย 265 บาทต่อใบ ส่วนสินค้าผลิตในประเทศอยู่ที่ 768 บาทต่อใบ   3 ปัจจัยหนุนนำเข้าหม้อหุงข้าว   สถานการณ์ดังกล่าว กระทบอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยมีผลที่ตามมา คือ สัดส่วนของหม้อหุงข้าวที่จำหน่ายในประเทศจากแหล่งนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันยอดขายหม้อหุงข้าวในประเทศไทยกว่า 57% มาจากสินค้านำเข้า และในจำนวนนี้ 94% เป็นหม้อหุงข้าวจากประเทศจีน, เวียดนาม 3%, ญี่ปุ่น 1% และอื่น ๆ 2%   ขณะที่ สัดส่วนของการนำเข้าหม้อหุงข้าวในแง่ของ ‘จำนวน’ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 72% ของตลาดทั้งหมด ซึ่งหมายความว่ามีเพียงไม่ถึง 1 ใน 3 ของหม้อหุงข้าวในตลาดที่ผลิตในประเทศไทย   การที่หม้อหุงข้าวจากจีนเข้ามาท่วมตลาด ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่เรื่องส่วนแบ่งการตลาดเท่านั้น แต่ยังทำให้ ผู้ผลิตไทยหลายรายเริ่มลดกำลังการผลิตลง บางรายถึงขั้นชะลอการลงทุนหรือถอนตัวออกจากตลาดไปอย่างถาวร เนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนการผลิตและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงได้   การนำเข้าหม้อหุงข้าวจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการปัจจัยหลายด้าน ได้แก่   การผลิตเกินความต้องการภายในประเทศของจีน ทำให้จีนมีสินค้าคงเหลือจำนวนมากพร้อมส่งออกในราคาที่ต่ำเพื่อระบายสินค้า ต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าในไทย ด้วยขนาดของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงในจีน ทำให้สามารถผลิตในต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก การแข่งขันสูงในตลาดผู้บริโภคไทย ร้านค้าและผู้จัดจำหน่ายหันไปหาสินค้านำเข้าที่สามารถขายได้ง่ายและมีกำไรที่ดีกว่า   จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นผลักดันให้ตลาดหม้อหุงข้าวในปีนี้ อาจมีท่าทีเป็นวิกฤตสำหรับผู้ผลิตไทย ซึ่งจำเป็นต้องหาทางออกเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในตลาดในประเทศ ซึ่งยังมีความจำเป็นที่ภาครัฐและเอกชน ต้องร่วมมือสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การลดต้นทุนการผลิตในประเทศ และการวางมาตรการเพื่อรักษาอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศให้ยังคงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว   ด้วย ตลาดหม้อหุงข้าวในไทยอาจจะกลายเป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ ‘การนำเข้าสินค้าเบ็ดเสร็จ’ ที่ครอบงำอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งอาจขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นหากไม่มีการปรับตัวหรือวางแผนเชิงนโยบายอย่างจริงจัง   Alternate-X สรุปให้  แม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ตลาดหม้อหุงข้าวในไทยปี 2568 เติบโตถึง 3% ด้วยยอดขายกว่า 6.3 ล้านใบ สวนทางกับภาคการผลิตในประเทศที่หดตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่การนำเข้าจากจีนครองตลาดสูงถึง 94% ด้วยราคาต่ำกว่าของไทยถึง 65% ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศอย่างรุนแรง การแข่งขันที่รุนแรงทำให้ไทยเหลือผู้ผลิตเพียงส่วนน้อย จำเป็นต้องมีมาตรการเชิงนโยบายเร่งด่วนเพื่อรักษาอุตสาหกรรม

July 29, 2025 / 0 Comments
read more

กลยุทธ์ ‘GWM’ อีวีจีน ฟังเสียงลูกค้าไทยให้มาก มัดใจตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอยู่หมัด

BizKet

GWM ย้ำกลยุทธ์ ‘User-Centric’ นำทีมผู้บริหารระดับสูงจากจีน เดินสายรับฟังเสียงลูกค้าชาวไทย เป้าสร้างความพึงพอใจสู่ประสบการณ์ใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์   ปาร์คเกอร์ ฉี ประธานตลาดต่างประเทศ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ  GWM  (Thailand) กล่าวว่า GWM  พร้อมทีมผู้บริหารระดับสูงจากGWM ประเทศจีน ‘นิโคล วู’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านเทคโนโลยี และ เจมส์ หยาง รองประธาน GWM ตลาดต่างประเทศ ร่วมกิจกรรมเดินสายรับฟังเสียงของลูกค้าและพาร์ทเนอร์ชาวไทย   พร้อมส่งมอบรถยนต์ NEW GWM TANK 300 DIESEL ให้กับลูกค้าคนไทย ระหว่างวันที่ 22 และ 23 กรกฎาคม 2568 ณ โชว์รูม 8 แห่ง ดังนี้   GWM One เทพารักษ์ GWM Iconic รามอินทรา GWM สุวรรณภูมิ ลาดกระบัง GWM 168 กาญจนาภิเษก GWM พรีเมียร์ ศรีนครินทร์ GWM Motormall พระราม 2 GWM อมร รัชดา GWM ปลวกแดงระยอง   ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย และยกระดับความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ใช้ในระยะยาว ภายใต้วิสัยทัศน์ แบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลกในทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)     “GWM ได้ส่งมอบรถยนต์ NEW GWM TANK 300 DIESEL ให้กับลูกค้าด้วยตัวเอง พร้อมมอบคำสัญญาในการดูแลลูกค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในแบรนด์ GWM ให้แก่ลูกค้าชาวไทย ในการส่งมอบประสบการณ์และพร้อมเดินเคียงข้างลูกค้าชาวไทยในระยะยาว ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่ทุกท่านมีต่อ GWM” ปาร์คเกอร์ กล่าว       นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูง GWM ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังลูกค้าบอกเล่าความประทับใจและเหตุผลที่เลือก NEW GWM TANK 300 DIESEL มาเป็นพาหนะคู่ใจ รวมถึงพบปะพาร์ทเนอร์เพื่อพูดคุยถึงการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ปัญหาที่พบเจอ อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขายและบริการหลังการขายให้ดี   พร้อมทั้งนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุง พัฒนาทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด โดย GWM ให้ความสำคัญกับแนวคิด ‘User-Centric’ หรือการนำผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ซึ่งยึดมั่นในหลักการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และความต้องการของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ ๆ รวมถึงยกระดับคุณภาพการบริการหลังการขายให้ครอบคลุม ตรงจุด และสร้างประสบการณ์ความพึงพอใจสูงสุดในทุกขั้นตอนของการเป็นเจ้าของรถยนต์ GWM   แนวทางดังกล่าว ยังสะท้อนผ่านความสำเร็จจากยอดขาย NEW GWM TANK 300 DIESEL ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทยอย่างรวดเร็ว ด้วยจุดเด่นด้าน ดีไซน์สไตล์ Premium Boxy แตกต่าง และแข็งแกร่ง พร้อมสมรรถนะการขับขี่ทั้งออนโรดและออฟโรด เทคโนโลยีอัจฉริยะ และฟีเจอร์ความปลอดภัยระดับพรีเมียม ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานสายลุยและคนเมืองยุคใหม่ ขุมพลังจากเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนใหม่ล่าสุด ที่ให้ทั้งสมรรถนะจัดเต็ม ประหยัดน้ำมัน   พร้อมการขับขี่ที่เงียบ นุ่มนวล และราบรื่น พร้อมรองรับการใช้งานได้อย่างมั่นใจในทุกการเดินทาง อุ่นใจด้วยการรับประกันเครื่องยนต์ดีเซลถึง 1,000,000 กิโลเมตร หรือ 8 ปี       Alternate-X สรุปให้   GWM ย้ำกลยุทธ์ ‘User-Centric’ โดยทีมผู้บริหารระดับสูงจากจีน นำโดย ปาร์คเกอร์ ฉี และ นิโคล วู ได้เดินทางมารับฟังเสียงลูกค้าและพาร์ทเนอร์ชาวไทยโดยตรง พร้อมส่งมอบรถยนต์ NEW GWM TANK 300 DIESEL ด้วยตัวเอง การดำเนินการนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความพึงพอใจ และยกระดับความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว โดย GWM มุ่งมั่นนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขาย ให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์และตอบแทนความไว้วางใจลูกค้าชาวไทย

July 29, 2025 / 0 Comments
read more

แสนสิริไปชายแดน ส่งทีมจิตอาสาพร้อมพันธมิตร-คู่ค้า ลงพื้นที่อุบลฯ ร่วมแรงใจถึงแนวหน้า

Peace&Play

แสนสิริ ทีมจิตอาสาและคู่ค้า ร่วมปฏิบัติการ ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ส่งกำลังใจและความช่วยเหลือพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา   รายงานระบุ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม) แสนสิริ พร้อมด้วยพาร์ตเนอร์ และ ยงสงวนกรุ๊ป ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เดินหน้าภารกิจสำคัญ No One Left Behind (ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง) เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ส่งมอบของใช้จำเป็นให้กับกำลังทหารที่มณฑลทหารบกที่ 22 ประกอบไปด้วยสิ่งของจำเป็นจัดทำเป็นถุงยังชีพจำนวน 1,000 ชุด และเครื่องปั่นไฟมอบให้กับเหล่าทหารกล้าที่มณฑลทหารบกที่ 22 เพื่อกระจายต่อไปยังชายแดนส่วนต่างๆ รวมถึงบริจาคอาหารสด เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ เครื่องปรุง น้ำมันพืช และของใช้จำเป็นอื่นๆ ช่วยเหลือชาวบ้านในศูนย์อพยพ จ.อุบลราชธานี     นอกจากนี้ พนักงานแสนสิริยังได้ร่วมบริจาคโลหิตกับสภากาชาดไทย โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อสำรองโลหิตให้แก่โรงพยาบาลและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ติดตามสถานการณ์และพร้อมเป็นศูนย์กลางช่วยเหลือ   เราขอส่งกำลังใจ ความห่วงใย และขอบคุณทุกท่านที่อยู่ในด่านหน้าสำหรับสปิริตและความเสียสละอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ โดย ‘แสนสิริ’ พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินความช่วยเหลือในระยะถัดไปอย่างใกล้ชิด และพร้อมเป็นศูนย์กลางให้กับลูกบ้านและชุมชนโดยรอบในการรวบรวมสิ่งของต่างๆ เพื่อส่งมอบให้กับทางราชการต่อไป ด้วยทุกความช่วยเหลือ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ล้วนมีค่า แสนสิริและพาร์ตเนอร์ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมบรรเทาผลกระทบและให้กำลังใจแก่ทุกภาคส่วน   ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานและพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนในพื้นที่ปลอดภัย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ความสงบโดยเร็ววัน เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกัน จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยพลังของความสามัคคีและการแบ่งปันอย่างจริงใจ      

July 29, 2025 / 0 Comments
read more

‘ศุภาลัย’ เปิดโซนใหม่ ขายบ้านไม่ถึง 3 ล.บาท รับดีมานด์ ครอบครัวรุ่นใหม่-ขยายตัว

BizKet

ศุภาลัย เปิดทาวน์โฮมแบบใหม่เริ่มต้น 2.79 ล้านบาท “ศุภาลัย เบลล่า ซ.กันตนา-ศาลายา” รับตลาดอสังหาฯ โซนนนทบุรี ยังมีดีมานด์จริงในกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่   ธัญวรัตน์ ปัญญารัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและการขาย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เปิดเผยว่า จากการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค พบว่าตลาดบ้านในระดับราคา 2-5 ล้านบาทยังคงมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลที่สามารถเชื่อมต่อใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวกและมอบคุณภาพชีวิตที่ดี   โดย พื้นที่โซน ซ.กันตนา-ศาลายา ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความพร้อมด้านโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน   ทั้งนี้ เพื่อรองรับดีมานด์ในทำเลดังกล่าว บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการแนวราบใหม่ล่าสุด ‘ศุภาลัย เบลล่า ซ.กันตนา-ศาลายา มีมูลค่าโครงการประมาณ 770 ล้านบาท มาพร้อมแบบบ้านใหม่ทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว มาใช้ในโครงการนี้       โดยโครงการฯ ตั้งบนพื้นที่กว่า 26 ไร่ จำนวน 202 แปลง วางราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท* เป็นโครงการแรกกับการเปิดตัวทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวแบบใหม่ในโซนนนทบุรี ‘ทาวน์โฮม Cloud 120’ ดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชันครบ   หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 120 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ครัวปิดหน้าบ้าน พื้นที่พักผ่อน เชื่อมสวนหลังบ้าน   บ้านแฝด พื้นที่ใช้สอย 141ตารางเมตร ฟังก์ชันครบ เทียบเท่าบ้านเดี่ยว   3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน   บ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 162-190 ตารางเมตร มีให้เลือกถึง 3 แบบ รวมถึงแบบบ้านใหม่ ‘ศุภรสิน’ พื้นที่ใช้สอย 169 ตารางเมตร   4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ     โดดเด่นด้วยห้องนอนใหญ่พร้อมห้องน้ำในตัวและ Walk-in Closet ห้องนอนชั้นล่างที่ปรับเป็นห้องอเนกประสงค์ได้ และรองรับการติดตั้ง EV Charger เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม   โดย บ้านทุกหลังมาพร้อมบ้านอัจฉริยะ Home Automation & Security และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวนพื้นที่รวมกว่า 3 ไร่ สระว่ายน้ำระบบแร่ และฟิตเนส ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และระบบเข้า-ออกอัตโนมัติด้วยระบบอ่านป้ายทะเบียนรถ (LPR)   “โครงการฯ นี้เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มตั้งแต่ครอบครัวเริ่มต้นไปจนถึงครอบครัวขยาย ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ฟังก์ชันยืดหยุ่นตามไลฟ์สไตล์ ‘ศุภาลัย เบลล่า ซ.กันตนา-ศาลายา’ ด้วยแนวคิด ‘Unbox Your Living แกะกล่องความสุขผ่านที่อยู่อาศัย’ สะท้อนการออกแบบที่อยู่อาศัยให้เป็นมากกว่าบ้าน แต่เป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจและความสุขสำหรับทุกสมาชิกในครอบครัว” ธัญวรัตน์ กล่าว   ขณะที่โครงการฯ ยังตั้งบนทำเลเข้า-ออกได้หลากหลายเส้นทาง ทั้งถนนกาญจนาภิเษก ถนนบรมราชชนนี ทางด่วนพิเศษศรีรัช และโครงการทางหลวงพิเศษบางใหญ่-กาญจนบุรี ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง และรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน (โครงการในอนาคต)   นอกจากนี้ยังมี แหล่งช้อปปิ้ง สถานศึกษา และโรงพยาบาล อาทิ เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล เวสต์วิลล์, เซ็นทรัล ศาลายา, อิเกีย บางใหญ่, โรงเรียนราชวินิต นนทบุรี, มหาวิทยาลัยมหิดล และโรงพยาบาลบางใหญ่ พร้อมเตรียมจัดงาน Pre-Sale วันที่ 2-3 สิงหาคมนี้   Alternate-X    ศุภาลัยเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ ‘ศุภาลัย เบลล่า ซ.กันตนา–ศาลายา’ มูลค่า 770 ลบ. รองรับความต้องการกลุ่มบ้านราคา 2–5 ลบ. บนพื้นที่ 26 ไร่ 202 ยูนิต เชื่อมต่อหลายเส้นทางในนนทบุรี จุดเด่นคือดีไซน์บ้านใหม่ ทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ครบฟังก์ชัน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี Home Automation เปิด Pre-Sale 2–3 ส.ค. นี้

July 29, 2025 / 0 Comments
read more

รวมพลัง ‘NATION BRANDING’ เซ็นทรัลเวิลด์-สยามพิวรรธน์ ชูธงชาติไทย ผ่านแลนด์มาร์คโลก

BizKet

‘รักเธอ ประเทศไทย’ เบื้องหลัง 2 ยักษ์ศูนย์การค้าส่งแรงใจแนวหลังสู่ชายแดน ‘เซ็นทรัลเวิลด์-สยามพิวรรธน์’ ย้ำปลายทางท่องเที่ยว’ดาวน์ทาวน์’ระดับโลก หนุน Nation Branding มาเต็ม! ชู ‘ธงชาติไทย’ สู่สายตาโลก ผ่านแลนด์มาร์ก   จากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มปะทุนัดแรกเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ตามรายงานข่าวระบุ​ พบทหารกัมพูชาบรรจุกระสุนจรวด BM-21 ในพื้นที่จังหวัดพระวิหารของกัมพูชา   ขณะที่ฝั่งไทยมีรายงานความเสียหายจากเหตุการณ์รุกล้ำอธิปไตย ที่ขยายความวงมาในพื้นที่พลเรือนของไทย โดยมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในพื้นที่อย่างน้อย 4 จังหวัดอีสานตอนล่างติดชายแดนกัมพูชา ศรีสะเกษ (อ.กันทรลักษ์) สุรินทร์ (อ.กาบเชิง, อ.พนมดงรัก), บุรีรัมย์ (อ.บ้านกรวด) และอุบลราชธานี (อ.น้ำยืน)   ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สร้างความหวั่นไหวในหัวใจคนไทยทั้งประเทศที่พร้อมส่งกำลังใจด้วยความห่วงใยไปยัง ‘ทหารไทย’ พร้อมกับที่ทั้งภาคประชาชนและธุรกิจหลายแห่งร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อมีส่วนร่วมส่งต่อแรงใจจากแนวหลังไปยังแนวหน้า ในครั้งนี้ ที่เริ่มขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา   โดยเฉพาะในย่าน ‘ดาวน์ทาวน์’ ใจกลางเมืองหลวงของไทย อย่างบริเวณ ราชประสงค์ และ ปทุมวัน สองทำเลจุดหมายปลายทางแหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิงระดับโลก ที่มีศูนย์การค้าใหญ่เซ็นทรัลเวิลด์ และ สยามพารากอน เปิดให้บริการรองรับกลุ่มนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือน หลักหลายล้านคนต่อปี รวมไปถึงจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เชียงใหม่ , พัทยา ชลบุรี ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ใช้เป็นที่ตั้งแลนดดิ้งสัญลักษณ์ธงชาติไทย ด้วย     ฉาย ‘ธงชาติไทย’ สู่สายตาโลก     เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (CentralWorld) ภายใต้การบริหารของบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)หรือซีพีเอ็น (CPN) ในกลุ่มเซ็นทรัล ได้ออกมาแสดงจุดยืนเชิงสัญลักษณ์ พร้อมประกาศข้อความผ่านสื่อโซเชียลเฟซบุ๊ค แสดงความเสียใจการสูญเสียของเหล่าผู้กล้าทหารไทย จากเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้น   พร้อมกับใช้พื้นที่ทั้งภายในและภายนอกศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ แสดงสัญลักษณ์ ‘ผืนธงชาติไทย’ ทั้งในรูปแบบจอแอลอีดี (LED) และแบนเนอร์ผืนผ้าสีธงชาติไทย อย่างพร้อมเพรียง และยังมีในสาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัล อื่น ๆ อาทิ เซ็นทรัล เวสต์เกต ,  เซ็นทรัล เชียงใหม่, เซ็นทรัล นครศรีธรรมราช, เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต, เซ็นทรัล พัทยา เป็นต้น   พร้อมส่งสารอย่างเป็นทางการระบุ “เซ็นทรัลพัฒนาขอร่วมส่งพลังใจจากหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ ไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน โดยสะท้อนความตั้งใจผ่านจอภาพทั่วประเทศ รวมถึงจอ The Panoramix ด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ได้เปลี่ยนเป็นธงชาติผืนใหญ่ เพื่อแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยทั้งชาติ และขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งแรงใจให้เราทุกคนก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกันอย่างดีที่สุด”   ต่อกำลังใจที่ฮึกเหิมสะท้อนผ่านย่านการค้าสำตัญของประเทศในครั้งนี้ มีรายงานระบุว่า ผู้บริหารเซ็นทรัลเวิลด์ ได้ติดตามสถานการณ์ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิดเกือบ 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่เกิดเหตุการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา ใพร้อมมอนิเตอร์   โดยทันทีที่รับทราบเหตุการณ์การสูญเสียชีวิตทั้งพลเรือนและทหารไทยเกิดขึ้น และตัดสินใจปรับพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกศูนย์ฯ เพื่อมีส่วนร่วมส่งพลังใจจากคนไกลในพื้นที่แนวหลังในครั้งนี้ อย่างไม่ลังเลในทันที!!     ทั้งนี้ หากขยับออกไปยังพื้นที่ใกล้เคียงกันย่านสยามสแควร์-ปทุมวัน รวมไปถึงทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี พบว่า ‘สยามพิวรรธน์’ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน, สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่, ไอคอนสยาม,  ไอซีเอส และสยามพรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ต่างร่วมส่งพลังใจเชิงสัญลักษณ์ธงชาติไทย อย่างพร้อมเพรียงไปเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน   ร่วมส่งแรงใจถึงแนวหน้า   ขณะที่ สยามพิวรรธน์ ยังได้จัดกิจกรรม แสดงพลังความห่วงใย และร่วมส่งกำลังใจให้แก่พี่น้องชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์พื้นที่ชายแดน พร้อมส่งแรงใจให้กับกองทัพไทยในการปฏิบัติหน้าที่อย่างปลอดภัย ภายใต้โครงการ “สยามรวมใจ ไทยช่วยไทย” จัดประดับธงชาติไทยภายในพื้นที่ศูนย์การค้า แสดงให้เห็นถึงพลังของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของคนไทยคนไทยไม่ทอดทิ้งกันในยามยาก   พร้อมกันนี้ กลุ่มสยามบริษัทสยามพิวรรธน์ได้ร่วมกับองค์กรพันธมิตรภาครัฐและเอกชน พร้อมทั้งเหล่าพนักงานบริษัท ร้านค้าผู้เช่า เปิดพื้นที่ศูนย์กลางรับบริจาคอาหารแห้ง ของใช้จำเป็น อาทิ ข้าวสาร อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน ผ้าห่ม เสื้อผ้า ยากันยุง ฯลฯ โดยผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ จุดรับบริจาค ดังนี้   สยามพารากอน บริเวณพาร์ค พารากอน ชั้น M (ทางเชื่อม BTS) ไอคอนสยาม บริเวณชั้น G (ใกล้ลิฟต์ Lobby D)   นอกจากนี้ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ร่วมกับสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า เปิดจุดรับบริจาคโลหิตเพื่อสำรองโลหิตคงคลัง สำหรับช่วยสนับสนุนโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน สามารถร่วมบริจาคโลหิตได้ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. ณ พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน Alternate-X สรุปให้ จากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา เซ็นทรัลเวิลด์และสยามพิวรรธน์ สองยักษ์ใหญ่รีเทลใจกลางกรุงเทพฯ ได้รวมพลังแสดงจุดยืนเชิงสัญลักษณ์อย่างทันท่วงที โดยเซ็นทรัลเวิลด์เปลี่ยนพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกเป็นธงชาติไทย พร้อมส่งสารแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ด้านสยามพิวรรธน์ประดับธงชาติและจัดโครงการ “สยามรวมใจ ไทยช่วยไทย” เปิดรับบริจาคสิ่งของและโลหิต เพื่อช่วยเหลือทหารและประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ กิจกรรมเหล่านี้ตอกย้ำ Nation Branding ของประเทศไทย และสะท้อนพลังของคนไทยในการส่งกำลังใจจากแนวหลังสู่แนวหน้าอย่างพร้อมเพรียง

July 28, 2025 / 0 Comments
read more

โดนัท ฮีไร่ มิสเตอร์โดนัท ขอลุย!! ซื้อ1 ชิ้น=บริจาค5 บาท ส่งพลังใจไปยังแนวหน้า

BizKet

An AI-generated image by Gemini มิสเตอร์โดนัท วางแคมเปญฮึกเหิม ‘โดนัทฮีโร่’ ปลุกแรงซื้อคนไทยร่วมหนุนแนวหน้าทหารกล้า ซื้อ1 ชิ้นเท่ากับบริจาค5 บาทเริ่มเลยวันนี้ถึง 10 สิงหาคมนี้   เพจเฟซบุ๊ค (Meta Verified) Mister Donut (Thailand) มิสเตอร์โดนัท  เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ได้เผยแพร่โพสข้อความระบุ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งแรงใจให้ทหารไทย ขอมอบเงินบริจาค จำนวน 200,000 บาท แก่ กรมกิจการพลเรือนทหารบก เพื่อสนับสนุนภารกิจและสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ ณ พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา   และขอเชิญทุกท่านร่วมส่งกำลังใจไปยังทหารไทย เพียงซื้อ โดนัทฮีโร่ 1 ชิ้น = ร่วมบริจาค 5 บาทให้กับภารกิจสำคัญครั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม – 10 สิงหาคม 2568ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้… เพราะทุกแรงใจมีความหมาย   กำลังใจจากทุกคน…คือพลังสำคัญของผู้เสียสละ   โดยตลอดเกือบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แคมเปญฯนี้ในโพสแรก จากต้นทางเพจ ได้ถูกแชร์ออกไปมากกว่า 500 ครั้งและในโพสที่2 ที่ปล่อยมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ได้ถูกแชร์ออกไปมากกว่า 2 พันครั้ง ซึ่งได้การตอบรับจากลูกเพจผู้ติดตามเพจมิสเตอร์ โดนัท (ไทยแลนด์) อย่างมาก   เรียกว่า แคมเปญฯ ดังกล่าว สร้างเอนเกจเมนต์ระหว่างลูกเพจในฐานะผู้บริโภคที่สามารถนำไปสู่การ ‘ลงมือทำ’ หรือ Click to Action (CTA) ต่อไปยังการออกไปร่วมภาระกิจส่งแรงใจไปยังทหารรแนวหน้าของไทย ผ่านการซื้อ ‘โดนัทฮีโร่’ ในครั้งนี้   โดยหลังแคมเปญฯ นี้ได้ปล่อยออกมา มีลูกค้ามิสเตอร์โดนัทควบฐานะลูกเพจได้ออมากแนะนำบริการในครั้งนี้ พร้อมระบุ   ทาง brand ควรมีป้ายว่าไม่ร่วมรายการต่างๆ โดนัทฮีโร่ขายแยก ไปที่ชำระเงินแล้ว ต้องออกมา​ไปหยิบโดนัทเพิ่มแล้ว ‘ต่อแถว​ใหม่’ แถมพนักงานจบท้ายการจ่ายเงิน ด้วยการโยนที่คีบลงอ่างเสียงดัง ขอระบาย ขอบคุณที่รับฟัง_mister donut สาขาเซ็นทรัลเวสเกต   ขณะที่ แอดมินเพจ ได้ออกมารับฟังความคิดเห็นและพร้อมนำไปปรับปรุงบริการ   อย่างไรก็ตาม กิจกรรมการตลาดผ่านแคมเปญมีส่วนร่วมกับแนวหน้าหน่วยกล้าทหารของไทยของมิสเตอร์โดนัท ในลักษณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ด้วยเมื่อราวเดือนมิถุนายน 2559  มิสเตอร์โดนัท ได้จัดแคมเปญ ‘Donut Day – Happier Than Ever’ โดยจำหน่ายโดนัทลายทหาร   โดยโดนัททุกชิ้น ได้นำรายได้ส่วนหนึ่งร่วมสมทบ 5 บาท รวมทั้งบริจาคเพิ่มเติม ส่งต่อเป็นของขวัญและกำลังใจให้ทหารใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ขณะที่กิจกรรมในครั้งนั้น สามารถรวมมูลค่ากว่า 2.3 ล้านบาท ส่งมอบผ่าน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)     เส้นทาง มิสเตอร์โดนัท ในไทย   Mister Donut ในไทย มีต้นกำเนิดแบรนด์ มาจากสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งโดย Harry Winokur ในปี 1955 ซึ่งแยกตัวออกจากผู้ร่วมก่อตั้ง Dunkin’ Donuts และขยายแฟรนไชส์อย่างรวดเร็วกว่า 275 สาขาในสหรัฐฯ และแคนาดา   จากนั้นในปี 1970 บริษัท International Multifoods เข้าซื้อธุรกิจ โดยในปี 1983 Duskin สัญชาติญี่ปุ่น ได้ครอบครองสิทธิ์แฟรนไชส์ Mister Donut ทั่วเอเชีย ถือเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจมิสเตอร์โดนัท ในภูมิภาคเอเชีย นับแต่นั้นเป็นต้นมา   ขณะที่ธุรกิจแบรนด์ Mister Donut เริ่มเข้าสู่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2521 จากสองพี่น้องตระกูลจิราธิวัฒน์ ‘สุทธิชัย และ สุทธิเกียรติ’  ภายใต้ บริษัท ไทยแฟรนไชซิ่ง จำกัด (ในยุคนั้น) ได้นำแบรนด์เข้ามาเปิดสาขาแรกที่ สยามสแควร์ พร้อมบริการกาแฟ ที่สร้างความว้าวด้านวัฒนธรรมการบริโภคแห่งยุคสมัยใหม่ให้กับคนไทยรุ่นใหม่ในยุคนั้น ได้เป็นอย่างมาก   กระทั่งกิจการได้เข้ามาอยู่ภายใต้การดำเนินการของกลุ่ม Central Restaurants Group (CRG) ในปี 2003 หรือพ.ศ. 2546  เป็นต้น ซึ่งกิจการได้ถูกบริหารโดย CRG ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้ Central Group หรือ ซีจี (CG) ผู้บริหารธุรกิจเชนร้านอาหารและแฟรนไชส์หลากหลายแบรนด์ ในปัจจุบัน   ปัจจุบัน มิสเตอร์โดนัท เข้ามาอยู่ในไทยร่วม 47 ปี มีจำนวนสาขาในไทยกว่า 470 สาขา (พ.ศ. 2566) ครอบคลุมกว่า 70 จังหวัด  พร้อมครองส่วนแบ่งการตลาดโดนัทสูงถึง 52% ของตลาดโดนัทไทย (มูลค่ารวมกว่า 3,500 ล้านบาท)     Alternate-X สรุปให้ มิสเตอร์ โดนัท เปิดแคมเปญ ‘โดนัทฮีโร่’ ร่วมส่งแรงใจให้ทหารแนวหน้าไทย โดยบริจาค 5 บาทจากการขายโดนัทฮีโร่ 1 ชิ้น ให้กรมกิจการพลเรือนทหารบก ตั้งแต่ 26 ก.ค. – 10 ส.ค. 2568  โดยโพสต์แรกบนเพจเฟซบุ๊ค ได้รับกระแสตอบรับดี ถูกแชร์กว่า 2,500 ครั้ง ซึ่งแคมเปญนี้ยังสร้างการมีส่วนร่วมในรูปแบบ Click to Action จากลูกค้าและแฟนเพจ และไม่ใช่ครั้งแรกที่แบรนด์ทำกิจกรรมเพื่อทหาร ด้วยเคยจัดแคมเปญลายทหารในปี 2559 ร่วมสมทบกว่า 2.3 ล้านบาท ขณะที่มิสเตอร์โดนัทในไทยดำเนินธุรกิจมากว่า 47 ปี ปัจจุบันมีมากกว่า 470 สาขาทั่วประเทศ  

July 27, 2025 / 0 Comments
read more

เปิดแล้ว 8 สิงหา นี้ จูราสสิค เวิลด์ฯ แม่เหล็กใหม่ เอเชียทีคฯ ดูดเที่ยวระดับโลก

BizKet,  Peace&Play

เอเชียทีคฯ เปิดอิมเมอร์ซีฟ จูราสสิค เวิลด์ 8 สิงหาคม นี้ มุ่งสู่เดสทิเนชั่นเที่ยวไทยยั่งยืนระดับโลก หลังโครงการรับรางวัล Mall of the Year – Thailand จากเวที Retail Asia Awards 2025     ‘ไมเคิล ฮาริท’ หัวหน้าคณะกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียล แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC กล่าวว่า เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เตรียมสร้างความตื่นเต้นในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience’ประสบการณ์ความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ครั้งใหญ่และใหม่ที่สุดในโลก ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 โครงการฯ นี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท     ทั้งนี้ เพื่อรองรับกลุ่มครอบครัวและนักท่องเที่ยวทุกวัย เคียงคู่กับ Jurassic World: The Experience Hatch Dome ที่นำเสนอ ‘Better World, Better Future’ ประสบการณ์เรียนรู้ด้านความยั่งยืนของ AWC ผ่านเทคโนโลยี Liminal 4D Experience ผ่านเรื่องราวการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เข้ากับการตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติในปัจจุบัน   นอกจากนี้ AWC ยังได้ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับหลากหลายพันธมิตร ทั้งหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรระดับโลก และเครือโรงแรมชั้นนำต่างๆ เพื่อนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารและการบริการริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านการคัดสรรร้านอาหารคุณภาพเยี่ยมที่หลากหลาย อาทิ   Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant ห้องอาหารธีม Jurassic World แห่งแรกของโลกนอกสวนสนุก ผสานเรื่องราวจากภาพยนตร์เข้ากับประสบการณ์การรับประทานอาหารในรูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ห้องอาหาร ‘เอเชียทีค แอนเชี่ยนท์ ที เฮ้าส์’ ร้านติ่มซำที่บอกเล่าเรื่องราวเชื่อมโยงระหว่างราชอาณาจักรสยามและนานาชาติบนพื้นที่ประวัติศาสตร์ ห้องอาหาร ‘เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์’ ร้านสเต็กเฮาส์และซีฟู้ดกริลล์สุดพิเศษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากประวัติศาสตร์การค้าขายของสยามกับนานาประเทศในช่วงรัชกาลที่ 5 เชื่อมโยงกับ ‘เรือสิริมหรรณพ’ ที่สร้างจากต้นแบบเรือใบสามเสาลำสุดท้ายในราชนาวีไทยที่นำพาความรุ่งเรืองจากโพ้นน้ำตะวันตกมาสู่ผืนดินสยาม ‘โอกุระ ครุซ’ เรือไคเซกิและเทปันยากิสุดหรูลำแรกของโลกโดยโอกุระ ที่มอบประสบการณ์ระดับไฟน์ไดนิ่งหรูหราไม่ซ้ำใคร ผสานประเพณีการทำอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับเรื่องราวแบบร่วมสมัย ซึ่งล้วนแต่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ     ไมเคิล กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด AWC’s Lifestyle Destination เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ AWC มุ่งมั่นสร้างสรรค์โครงการแลนด์มาร์กที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ในพันธกิจ Building Better Future For All หรือ สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน   ทั้งนี้ AWC ยังได้รับรางวัล ‘Mall of the Year – Thailand’ ในงาน Retail Asia Awards จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยนิตยสาร Retail Asia ซึ่ต่อเนื่องมากว่า 20 ปี เพื่อยกย่องความเป็นเลิศขององค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมค้าปลีก ทั้งในด้านนวัตกรรม ประสบการณ์ลูกค้า ความยั่งยืน และการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมและเศรษฐกิจ   สำหรับการรับรางวัล Mall of the Year – Thailand ในครั้งนี้ ยังสะท้อนถึงความสำเร็จของ AWC ในการพัฒนาโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญระดับโลก โดยโครงการนี้ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของ AWC River Journey Project ที่เชื่อมโยงแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวริมสายน้ำเจ้าพระยา ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ประวัติศาสตร์ซึ่งเดิมเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าแห่งแรกของประเทศไทยในยุครัชกาลที่ 5   โดย AWC ได้พลิกโฉมพื้นที่แห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมผสานประสบการณ์และการบริการทันสมัย ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกไลฟ์สไตล์ตามคอนเซปต์ “All Day Everyday Happiness” นำเสนอกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมแม่น้ำ ประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม การช้อปปิ้ง ไปจนถึงความบันเทิงระดับโลก   “รางวัลอันทรงเกียรติในวันนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาโครงการในรูปแบบ AWC’s Lifestyle Destination ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างจุดหมายปลายทางอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านรีเทล-เทนเม้นท์ชั้นนำของประเทศ” ไมเคิล กล่าวพร้อมเสริมว่า   โดย AWC มุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ระดับโลกแก่ผู้มาเยือนผ่านการสร้างสรรค์ 3 ประสบการณ์สำคัญ ได้แก่   การนำเสนอประสบการณ์ระดับโลกภายใต้แนวคิด Festival Village อาทิ Jurassic World: The Experience และประสบการณ์ 4D ด้านความยั่งยืน ‘Better World, Better Future’ การสร้างความโดดเด่นในฐานะจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุด โดยมีไฮไลต์ใหม่ล่าสุดอย่างห้องอาหารภายใต้ธีม Jurassic World แห่งแรกของโลกนอกสวนสนุก การสร้างสรรค์ Lifestyle Market ที่คัดสรรแบรนด์ชั้นนำและร้านค้าท้องถิ่นหลากหลาย ภายใต้พันธกิจ ‘Building Better Future For All’ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน     Alternate-X สรุปให้    เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เปิด ‘Jurassic World: The Experience’ อิมเมอร์ซีฟโชว์ครั้งแรกในไทย 8 ส.ค. 68 นี้ ผสานความบันเทิงกับภารกิจสร้างการเรียนรู้เพื่อโลกที่ยั่งยืน พร้อมเปิดห้องอาหารธีมไดโนเสาร์แห่งแรกของโลกนอกสวนสนุก คว้ารางวัล Mall of the Year – Thailand 2025 จาก Retail Asia ตอกย้ำ AWC ในฐานะผู้นำเดสทิเนชันด้านไลฟ์สไตล์-ท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยสู่เวทีโลก      

July 26, 2025 / 0 Comments
read more

มาอร่อยแสงออกปาก ‘เมกาบางนา’ ดึง 60 สตรีท ฟู้ด ดัง แมปให้กรุงเทพฯตะวันออก มีของอร่อย

Peace&Play

เมกาบางนา ใช้กลยุทธ์ อีเวนต์ มาร์เก็ตติง เสิร์ฟสตรีทฟู้ดอร่อย 60 ร้านดัง ในงาน ‘EAT STREET FOOD FESTIVAL 2025 VOL.2’ สร้างเอนเกจลูกค้า แมปฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออก เดสติเนชันแหล่งช้อป สนุกกิน     วรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา แหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดฝั่งกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก เปิดเผยว่า ศูนย์ฯ ย้ำแนวคิดการทำตลาดผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตให้ทุกๆ วันมีความสุขรองรับกลุ่มผู้เข้ามาใช้บริการในศูนย์ ด้วยแนวคิด YOUR EVERYDAY MEETING PLACE   ล่าสุด จัดงานใหญ่ “EAT STREET FOOD FESTIVAL 2025 VOL.2” เทศกาลรวมร้านอาหารสตรีทฟู้ด ต่อเนื่องครั้งที่2 ระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2568 ณ ชั้น 1 โซนธนาคาร ศูนย์การค้าเมกาบางนา พบกับเมนูอาหารคาวหวานหลากหลายจากกว่า 60 ร้านดัง   โดยในงานฯ นำร้านไฮไลต์พร้อมเมนูเด็ดมาเสิร์ฟแบบจัดเต็มในที่เดียว ทั้ง   LAOLAO TOFU HOUSE เต้าหู้ทอดเกลือเนื้อคัสตาร์ดกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มสูตรพิเศษจากอาม่า อร่อยจนแสงออกปาก BONNANA เค้กกล้วยหอมนุ่มหอมอบสดใหม่ทุกวัน สไตล์โฮมเมด กินง่าย ได้รสกล้วยเต็มคำ เล่งกี้ สามย่าน ฮ่อยจ๊อ-แฮ่กึ๊นแบบโบราณ สูตรเด็ดสามย่าน ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น ซ้ง TAKO TENTACLES ปลาหมึกยักษ์ และจ๊อปูแน่นๆ รสจัดจ้าน E’ZHEN ร้านชา “SMOKING TEA” แห่งแรกในไทย หอมกรุ่นกลิ่นควันอันเป็นเอกลักษณ์ HACHI TAIYAKI ขนมญี่ปุ่นรูปปลา ฮาจิไทยากิ แป้งนุ่ม ไส้แน่น ทั้งถั่วแดง ช็อกโกแลต และครีม GREEN SEASON เมนูออร์แกนิกสุขภาพ ทั้งสลัด น้ำผักผลไม้ ปราศจากสารกันบูด ฮาโร่ย ไก่ทอดหาดใหญ่ ไก่ทอดสูตรหาดใหญ่ หนังกรอบเนื้อฉ่ำ พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด ราชรส ขวัญใจสายเมนูทอด กับทอดมันหลากชนิด ทอดมันปลากราย ทอดมันกุ้ง และฮ่อยจ๊อ อัดแน่นด้วยวัตถุดิบคุณภาพ พร้อมน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่ลงตัว บ้าบิ่นหอมกรุง ขนมบ้าบิ่นมะพร้าวน้ำหอม เนื้อนุ่มหอมกะทิ ต้นตำรับจากกรุงเก่า UNCLE BOB หมี่ไก่ฉีกคลุกน้ำพริกหมูกระจก ตลาดรถไฟ แซ่บซี๊ด อร่อยเกินต้าน HEY CLAIRE ไอศกรีมเจลาโต้ครีมเนื้อนุ่ม สดใหม่ทุกวัน หลากหลายรส HOKIHOKI พลาดไม่ได้! กับเมนูใหม่ Yogurt Hokkaido Cheesecake โดยใช้ชีสแท้ๆ นมแท้ๆ อร่อยแท้ๆ โอ้กะจู๋ อาหารสุขภาพสไตล์ฟาร์ม สดใหม่ วัตถุดิบคัดพิเศษ เน้นผักและโปรตีน BAO PAO ซาลาเปาไส้แน่น แป้งนุ่ม หลากหลายไส้ ถูกใจคนรักซาลาเปา   วรรณวิมล กล่าวว่างานฯ ในครั้งนี้ เพื่อรองรับพร้อมเติมความสุขกลุ่มเป้าหมายแบบครอบครัวที่ศูนย์การค้าเมกาบางนา  ในฐานะจุดหมายปลายทางของคนรักอาหารตัวจริง ด้วยเมนูอร่อยจากร้านสตรีทฟู้ดอร่อยเกินต้าน จาก 60 ร้านดัง ที่มารวมไว้ให้ในที่เดียว       Alternate-X สรุปให้   เมกาบางนา จัดอีเวนต์ EAT STREET FOOD FESTIVAL 2025 VOL.2 รวม 60 ร้านสตรีทฟู้ดดังทั่วกรุงเทพฯ ตะวันออก ชวนมาอร่อยแบบแสงออกปาก เสิร์ฟทุกเมนู ครบทั้งคาวหวาน เครื่องดื่ม และขนม หนึ่งในกลยุทธ์ Event Marketing สร้างเอนเกจกับลูกค้าในพื้นที่ เดินหน้าสู่การเป็น “Everyday Meeting Place” รวมร้านดัง เช่น LAOLAO TOFU HOUSE, HOKIHOKI, โอ้กะจู๋ และอีกมากมาย งานจัดระหว่าง 19 ก.ค. – 3 ส.ค. 2568 ณ ชั้น 1 โซนธนาคาร ศูนย์การค้าเมกาบางนา  

July 26, 2025 / 0 Comments
read more

ถอดรหัสผ่านสี ‘ลูกค้ายุคใหม่’ กล้าตั้งคำถาม-ใช้ชีวิตให้ต่าง ‘สปา-ฮาคูโฮโด’ แนะเทคนิคชนะใจ

BizKet

An AI-generated image by Gemini สปา-ฮาคูโฮโด เจาะอินไซต์ผู้บริโภคแห่งยุค ผ่านการใช้ ‘สี’ ฟลูออเรสเซนส์เป็นสื่อกลาง ฉายภาพลักษณ์และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ‘วิถีคนกล้า’ ตัวตน-ความคิด     จิรภัทร์ กาญจะโนสถ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด จำกัด ครีเอทีฟ เอเยนซี เปิดเผยว่า ผู้บริโภคในตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยปัจจุบันยังมีความหลากหลายมิติ ซึ่งแบรนด์-นักการตลาดต้องปรับตัวให้เท่าทัน ทั้งพันธกิจแบรนด์ จุดยืน และความเชื่อ เพื่อยังเป็นตัวเลือกและเติบโตไปพร้อมกับแต่ละเจเนอเรชั่น   ขณะที่ บริษัทฯ ได้ปรับแนวทางการทำงานให้สอดคล้องกับบริบทในตลาดพร้อม เปิดตัว Human Lab (ฮิวแมน แล็บ) หน่วยงานใหม่เพื่อช่วยวิเคราะห์และวางกลยุทธ์การตลาดเชิงลึกภายใต้แนวคิด ‘Human-Centric Marketing’ การตลาดที่เริ่มต้นจากความเข้าใจมนุษย์ ตามหลักแนวคิดปรัชญา Sei-Katsu-Sha มากกว่าข้อมูลสถิติ แบบผิวเผิน   นอกจากนี้ ยังเปิดตัวผลงานวิจัยล่าสุด ‘Daring Palette’ ช่วยถอดรหัสแนวโน้ม พฤติกรรมผู้บริโภคไทย ในยุคที่ผู้คน ‘กล้า’ มากขึ้น ทั้งกล้าแสดงตัวตน กล้าตั้งคำถาม และ กล้า เลือกวิถีชีวิตที่แตกต่าง   4 สีฟลูออเรสเซนส์สะท้อนตัวตน   ทั้งนี้ ได้ทำการแบ่งเฉดสีความกล้าของผู้คนทั้งสี่เจนเนอเรชันออกเป็น 4 เฉดสีเรืองแสง (Fluorescence) ที่สามารถสื่อถึง ‘ความกล้า’ (Courage / Boldness) และกระตุ้นความรู้สึกให้ ‘โดดเด่น แตกต่าง และกล้าการแสดงออก’ เช่น   สูงวัยรุ่นใหม่   เฉดสีแรกคือสี ‘Experimenting green’ กลุ่ม Baby Boomer อายุ 60+ ปีขึ้นไป (เริ่มแซ่บหลัง 60) หรือที่เรียกว่า THE TIMELESS EXPERIMENTERS ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงวัยยุคใหม่ ที่ไม่ยอมจำกัดชีวิตไว้แค่ตัวเลขอายุ กล้าลอง กล้าเปลี่ยน และพร้อมเติมเต็มความฝันที่เคยหล่นหายไป   เดอะแบกทะลุกรอบ   เฉดสีที่สองคือสี ‘Fearless yellow’ กลุ่ม Gen X อายุ 43-59 ปี (แกร่งทะลุกรอบ) หรือที่เรียกว่า THE DARING LEAPERS ซึ่งเป็นกลุ่มเดอะแบกที่ตัดสินใจ ‘กระโจน’ ออกจากกรอบชีวิตเดิมๆ เพื่อค้นหาอิสระ ความสุข และจุดหมายใหม่ที่เป็นของตัวเอง   เจนฯ นี้ต้องทำเลยทันที   เฉดสีที่สามคือสี “Now red”กลุ่ม Gen Y อายุ 28-42 ปี (เดี๋ยวนี้นิยม) หรือที่เรียกว่า THE ARCHITECT OF NOW ซึ่งเป็นกลุ่ม ที่ออกแบบชีวิตด้วยตนเอง กล้าฉีกกรอบสังคมเพื่อใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเอง ‘เดี๋ยวนี้’ สำคัญที่สุด   นักท้าทายระบบ   เฉดสีสุดท้าย ‘Activist purple’ กลุ่ม Gen Z อายุ 18-27 ปี  (โลกใบใหม่ในมือเรา) หรือที่เรียกว่า THE CHANGE MAKERS ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ไม่เดินตามใคร พร้อมท้าทายระบบ คิดต่าง เพื่อสร้างโลกใหม่ที่ยั่งยืน และเท่าเทียมมากขึ้น       แคร็กพฤติกรรมลึกแต่ละเจนฯ   ด้าน พิมพิศา จุฬา เทิดทูลทวีเดช ผู้อำนวยการวางแผนโซลูชั่นทางธุรกิจ หน่วยงานแพลนท์ (Plant) ภายใต้ บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด จำกัด กล่าวว่า จากงานวิจัยชิ้นนี้ ยังสามารถนำมาต่อยอดความคิดเพื่อเป็นพื้นฐานของการสร้าง solution ทางธุรกิจให้กับลูกค้า โดยนำความเข้าใจเชิงลึกในแต่ละเจนฯ มาก่อให้เกิดผลในการทำการตลาดได้ดียิ่งขึ้น และตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของแบรนด์ได้ด้วยโอกาสทางธุรกิจแต่ละรูปแบบที่แม่นยำ   โดย การนำประเด็นสำคัญในการทำการตลาดของแต่ละเจนฯ เริ่มตั้งแต่ Gen B ที่เป็น Timeless Experimenters ด้วยการทำการตลาดแบบ ‘Greypathy marketing’ ที่มองอายุที่เยอะขึ้นแบบสวนทาง มองเห็นและเข้าใจถึงจิตวิญญาณที่เปลี่ยนไปเป็นอิสระ   ในขณะที่ Gen X Daring Leapers ควรทำการตลาดแบบ ‘Sandwich marketing’ ที่มาเป็น solution provider ให้กับชีวิตที่ต้องแบกรับทั้งสองทางแต่อยากกลับมาโฟกัสตัวเองมากขึ้น   สำหรับ Gen Y  Architect of now ที่เป็นกลุ่มที่ให้ความสุขตัวเองเป็นที่ตั้ง ดังนั้นการทำการตลาดแบบ ‘Indulgence marketing’ จะเข้าไปตอบโจทย์สกุลเงินความสุขที่รู้สึกได้แบบทันทีของ Gen Y ได้ดี   กลุ่มสุดท้าย Gen Z ที่เป็น Change Makers ‘Tribal marketing’ การทำการตลาดแบบชนเผ่า ที่สร้าง community และภาษาเดียวกันเป็นสิ่งจำเป็น   “ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานของการเริ่มต้นความคิดเพื่อพัฒนาโซลูชั่นของธุรกิจให้ตอบโจทย์และตรงใจทั้งนักการตลาดและผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นด้วยกลยุทธ์เฉพาะเจาะจง ที่สอดคล้องกับเฉดความกล้าของแต่ละกลุ่มเจนฯ” พิมพิศา กล่าว         Alternate-X สรุปให้    สปา-ฮาคูโฮโด เผยผู้บริโภคยุคใหม่เปลี่ยนแปลงหลากหลายมิติ แบรนด์และนักการตลาดต้องปรับตัว จึงเปิดตัว Human Lab พร้อมงานวิจัย ‘Daring Palette’ ถอดรหัสความกล้าและพฤติกรรม 4 เฉดสีในแต่ละเจนเนอเรชัน ตั้งแต่ Baby Boomer, Gen X, Gen Y และ Gen Z ชี้คนยุคใหม่กล้าแสดงตัวตน ตั้งคำถาม และเลือกวิถีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน งานวิจัยนี้นำไปสู่การวางกลยุทธ์การตลาดแบบ ‘Human-Centric’ เฉพาะเจาะจงแต่ละกลุ่ม เพื่อให้แบรนด์เข้าถึงและสร้างโซลูชั่นทางธุรกิจที่ตรงใจผู้บริโภคและขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่ผู้คนกล้ามากขึ้น

July 26, 2025 / 0 Comments
read more

ขยับระดับโลก เซ็นทรัลพัฒนาได้ ‘Fazaa Card’ เจาะกำลังซื้ออีลีท ตะวันออกกลาง

BizKet

‘เซ็นทรัลพัฒนา’ หนึ่งเดียวรายแรกกับกลยุทธ์พุ่งเป้าเจาะแรงซื้อไฮเอนด์ ‘UAE’ ผ่าน ‘Fazaa Card’ CRM ระดับชาติ ย้ำปลายทาง โกลบอล อีลีท เดสติเนชั่น   ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) กล่าวว่า เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งกลยุทธ์ร่วมกับพันธมิตรระดับโลกต่อเนื่อง ล่าสุดได้ ‘Fazaa Card’ โครงการซีอาร์เอ็ม (CRM) ระดับชาติที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งเป็นบัตรสมาชิกระดับพรีเมียมที่ก่อตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย UAE และมีสมาชิกกว่า 1.5 ล้านราย   “เซ็นทรัล ถือเป็นศูนย์การค้าแรกและหนึ่งเดียวในเอเชีย ที่สามารถร่วมมือในระดับอีโคซิสเต็ม กับพันธมิตรระดับชาติของ UAE ด้วยสิทธิพิเศษที่ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล วิลเลจ และเซ็นทรัล ภูเก็ต ซึ่งเป็นท็อป ทัวริสต์ เดสติเนชั่น ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว และพร้อมขยายความร่วมมือไปทั่วประเทศในอนาคต” ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   สำหรับกลยุทธ์ ดังกล่าวเพื่อรองรับโอกาสทางเศรษฐกิจท่องเที่ยว จากนักเดินทางกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงและมีศักยภา พสำหรับการท่องเที่ยวไทย   โดยในปี 2568 พบนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้สามารถสร้างเงินสะพัดจากการใช้จ่ายต่อทริปสูงถึง 90,000 – 100,000 บาท ซึ่งความร่วมมือกับ ‘Fazaa Card’ นี้ เป็นก้าวสำคัญที่น่าจับตามองของวงการค้าปลีกไทย ต่อการผลักดันการท่องเที่ยวของประเทศและสะท้อนความสำเร็จของเซ็นทรัลพัฒนา ในการเข้าถึงระบบนิเวศ (Ecosystem) กลุ่มลูกค้าต่างชาติระดับไฮเอนด์ทั่วโลก   ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่เน้นกลุ่มการใช้จ่ายคุณภาพของนักท่องเที่ยว (Quality Shopper) ซึ่งกลุ่มสมาชิกหลักของบัตรนี้ครอบคลุมบุคลากรและข้าราชการระดับสูงของภาครัฐ, นักลงทุน, ผู้ได้รับสิทธิพิเศษจากบัตร Golden Visa และกลุ่มกำลังซื้อสูง       โดยมี 3 กลยุทธ์ ขับเคลื่อนความร่วมมือ ได้แก่   Strategic Alliance with a National-Level CRM: สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Fazaa Card บัตรสมาชิกระดับพรีเมียมจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ทรงพลังด้วยสิทธิพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 7,200 แบรนด์ ครอบคลุม 92 ประเทศทั่วโลก   Curated Experience for High-Spending Tourists: รุกตลาดนักท่องเที่ยวพรีเมียมจากตะวันออกกลางอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการออกแบบสิทธิประโยชน์เฉพาะสำหรับสมาชิก Fazaa Card มอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าครอบคลุมทุกมิติ   โดยได้ปักหมุดนำร่องใน 3 ศูนย์การค้าเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่ครองใจนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ได้แก่   เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัล วิลเลจ เซ็นทรัล ภูเก็ต   “จากข้อมูลพบกว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายสูงสุดเฉลี่ย 104,138 บาท/ทริป และนิยมพักผ่อนระยะยาว 10-12 วัน ซึ่งตอบโจทย์กิจกรรมยอดนิยมของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป”   ขณะที่ กิจกรรมยอดนิยม 3 อันดับแรก คือ ช้อปปิ้ง, ท่องเที่ยวชายทะเล และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ-การแพทย์ โดยจังหวัดที่เป็น Top destination ของกลุ่มนี้ คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี (พัทยา)   Expanding Global Partnerships for Thailand’s Tourism Economy: เดินหน้า ‘เสริมแกร่ง’ ในฐานะ Global Elite Destination สร้าง ‘Ecosystem การท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ’ โดยเชื่อมโยงพันธมิตรชั้นนำของโลกเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อทั้ง WeChat Pay, Alipay, MasterCard, Trip.com, Klook, The Shilla, Lotte Duty Free และ Daimaru   “ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างพันธมิตรระดับโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อไปสู่การขยายกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าไทย พร้อมแยกระดับบทบาทของศูนย์การค้าไทยสู่ Global Destinationเป็น ‘จุดหมายแรกและจุดหมายเดียว’ ที่ต้องมาเยือน และตอกย้ำศักยภาพศูนย์การค้าไทยสู่เวทีโลก” ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าว   โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา เซ็นทรัลเวิลด์ ยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติ 2 รางวัลจากเวที International Business Magazine Awards ณ เมืองดูไบ ได้แก่   รางวัล ‘Mall of The Year APAC 2024’ รางวัล ‘Most Family Friendly Store APAC 2024’       Alternate-X สรุปให้  เซ็นทรัลพัฒนาจับมือ ‘Fazaa Card’ CRM ระดับชาติใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มกำลังซื้อสูงกว่า 1.5 ล้านรายเข้าสู่ศูนย์การค้าชั้นนำอย่างเซ็นทรัลเวิลด์ ภูเก็ต และเซ็นทรัล วิลเลจ ถือเป็นความร่วมมือแรกและหนึ่งเดียวในเอเชียที่ CPN สร้างระบบนิเวศการท่องเที่ยวแบบครบวงจรนี้ เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่ Global Elite Destination ตอกย้ำศักยภาพค้าปลีกไทยในเวทีโลก สอดคล้องนโยบาย ททท. ที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ ซึ่งใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 1 แสนบาท/ทริป

July 25, 2025 / 0 Comments
read more

Media Town 2025 ปิดเมืองสื่อสมบูรณ์แบบ กว่า 2,000 คนสัมผัสพลังคิดสร้างสรรค์คนรุ่นใหม่

PRnounce

จบลงอย่างน่าประทับใจด้วยบรรยากาศสุดคึกคัก เสียงหัวเราะ ความคิดสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจอบอวล พร้อมกระแสตอบรับล้นหลามจาก ทั้งวงการสื่อ นักเรียน นักศึกษา ศิษย์เก่า และประชาชนทั่วไปกว่า 2,000คนที่หลั่งไหลเข้าร่วมตลอดทั้งวัน กับงาน ME [I] DIA 2025 Media Town โดยภาควิชาสื่อและการสื่อสาร วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จัดไป ณ House Samyan สามย่าน มิตรทาวน์     ผศ.ดร. วรรณ์ขวัญ พลจันทร์ ผู้ก่อตั้งภาควิชาสื่อและการสื่อสาร กล่าวถึงงานนี้ว่า ภาควิชาสื่อและการสื่อสาร MUIC ยังคงตอกย้ำบทบาทในฐานะ หลักสูตรนานาชาติด้านสื่อและการสื่อสาร เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจากเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) เป็นหนึ่งในศูนย์กลางผลิต “นักสื่อสารสร้างสรรค์” รุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจแห่งอนาคต   ตลอดระยะเวลา 10 ปีของภาควิชาสื่อและการสื่อสาร งาน ME [I] DIA ถือเป็นก้าวสำคัญใน การแสดงศักยภาพของนักศึกษารุ่นใหม่ที่พร้อมเข้าสู่วงการอย่างเต็มตัว โดย “Media Town” ถูกเนรมิตขึ้นให้กลายเป็น “เมืองแห่งสื่อ” ที่ประกอบด้วย 7 โซนสุดสร้างสรรค์ ทั้งภาพยนตร์สั้น สารคดี พอดแคสต์ แคมเปญโซเชียล มีเดีย และโปรเจกต์อัตลักษณ์ นำเสนอเรื่องราวร่วมสมัยสะท้อนให้เห็นถึงพลังของคนรุ่นใหม่ ที่กำลังจะกลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยในอนาคต เราตั้งใจสร้างพื้นที่ที่ไม่ได้มีแค่ผลงาน แต่มีการสนทนา มีแรงบันดาลใจ และมีการเชื่อมโยงไอเดีย จากศาสตร์ต่างๆ อย่างที่โลกของสื่อยุคใหม่ต้องการ   ก้าวต่อไปของผู้นำด้านสื่อเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์   น.ส. ชัญญามาศ สุนทรศักดิ์สิทธิ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 เจ้าของผลงานสารคดีสั้นเรื่อง Sky กล่าวว่า ดีใจมากที่มีคนในวงการมาเยี่ยมชมผลงานของตัวเอง นี่ไม่ใช่แค่โอกาสในการโชว์งาน แต่คือการได้สนทนา แลกเปลี่ยน และได้รับคำแนะนำจากมืออาชีพจริง ๆ โดยงานของตัวเองที่นำมาโชว์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนาฏศิลป์ไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่จตัวเองเติบโตมากับมันและรักมาก รู้สึกว่าเสียงของศิลปะไทยยังไม่ดังพอในยุคปัจจุบัน จึงอยากใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลับมารู้สึกถึงความงดงามของท่วงท่า สีหน้า และความละเอียดอ่อนของการรำไทย ภูมิใจที่มีคนมองเห็นคุณค่าของงานศิลปะนี้ และเชื่อว่านาฏศิลป์ไม่ใช่แค่ของโบราณ แต่สามารถเป็นแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้คนรุ่นใหม่ได้เช่นกัน   นายปราชญ์ อนมัติราชกิจ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ผู้กำกับ ก.1 หมากสุดท้าย ตัวแทนทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ กล่าวว่า พวกเราดีใจและภูมิใจมากที่ภาพยนตร์สั้นเรื่อง ‘ก.1 หมากสุดท้าย’ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ที่เข้ามาชม ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกฎกติกาและปรัชญาของกีฬาหมากรุกไทย ซึ่งพวกเราเห็นว่ามันได้ให้แง่คิดที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการใช้ชีวิตทั่วไปของเราได้ เราอยากเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มที่ต้องการหาผลประโยชน์จาก เด็กชายผู้มีภาวะออทิสติกซึ่งมีพรสวรรค์ในการเล่นกีฬาหมากรุกไทย ที่การพบกันของทั้งคู่ได้นำไปสู่มิตรภาพและการเดินทางที่ไม่คาดคิด ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงมิตรภาพ ความไว้ใจ และความสัมพันธ์ของเพื่อนที่แม้มีเป้าหมายต่างกัน แต่กลับเติมเต็มซึ่งกันและกัน ความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากแค่เทคนิคการผลิต แต่มาจากการทำงานร่วมกันเป็นทีม ความเข้าใจในตัวละคร และ การใส่ใจในทุกรายละเอียดของฉากเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจในสาระและประเด็นที่พวกเราต้องการสื่อสารผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ เราเชื่อว่าผู้ที่ได้เข้ามาชมนั้นสามารถสัมผัสมันได้ และนั่นคือรางวัลที่มีค่าที่สุดสำหรับเรา   ด้าน ณัชภัส ศรีไชยยานุพันธ์ ผู้บริหารเอเจนซี่ด้านการสื่อสาร และที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์องค์กร กล่าวหลังเยี่ยมชมโซนต่างๆ ภายใน Media Town ว่า รู้สึกประทับใจมากกับพลังของนักศึกษาในงานนี้ งานแต่ละชิ้นไม่ได้แค่ดีในเชิงไอเดีย แต่ยังพร้อมใช้งานได้จริงในอุตสาหกรรม   สำหรับผลงานไฮไลต์ที่ได้รับการตอบรับมากที่สุดในงานนี้ คว้ารางวัล Popular Vote คือ ผลงาน “โอบกอด” ที่ว่าด้วยเรื่องง่าย ๆ อย่าง “การกอด” แต่กลายเป็นพลังมหาศาลที่ผู้ชมรับรู้ได้ เจ้าของผลงานเชื่อว่า “การกอดคือพลังวิเศษของมนุษย์” ที่ช่วยฮีลใจ สื่อความรัก และเติมกำลังใจให้กันได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ผลงานภาพยนตร์เรื่อง          “ก.1 หมากสุดท้าย” ภาพยนตร์สั้นสะเทือนใจเกี่ยวกับนักพนันและเด็กชายออทิสติกผู้มีพรสวรรค์ด้านหมากรุก และ ภาพยนตร์เรื่อง “ของขวัญชิ้นโปรด” นำเสนอเรื่องราวที่หยิบเอาความทรงจำ ความผูกพัน และของบางอย่างที่มากกว่าสิ่งของ มาเล่าอย่างลึกซึ้ง เรียกน้ำตา เสียงปรบมือ และการพูดถึงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งงาน   เกี่ยวกับภาควิชาสื่อและการสื่อสาร – MUIC   ภาควิชาสื่อและการสื่อสาร วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ด้วยหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อรองรับยุคดิจิทัลและโลกที่สื่อข้ามแพลตฟอร์มเชื่อมโยงกันอย่างไร้พรมแดน โดยมุ่งผลิตบัณฑิตที่มีความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการเล่าเรื่อง และจริยธรรม พร้อมเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในทุกบทบาท ไม่ว่าจะเป็นครีเอเตอร์ นักข่าว นักโฆษณา นักสื่อสาร หรือนักผลิตภาพยนตร์            

July 24, 2025 / 0 Comments
read more

ชาบูบุฟเฟต์ แข่งไม่พัก สุกี้ ตี๋น้อย เปิด ‘Tn Lounge’ รอคิวนานไม่ไหว ให้ของกินเล่นฟรี

BizKet

ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงแต่อย่างใด ในสมรภูมิร้านอาหารหม้อไฟที่มีมูลค่าร่วม 2.5 หมื่นล.บาท หลัง MK Group ส่งแบรนด์น้อง(ใหม่) โบนัส สุกี้ มาร่วมชิงแชร์ตลาดสุกี้ บุฟเฟต์ ที่มีพี่ใหญ่ ‘ตี๋น้อย สุกี้’ และพี่รอง ‘ลัคกี้ สุกี้’ รออยู่ก่อนหน้า   ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ค ‘สุกี้ ตี๋น้อย’ ภายใต้บริษัท บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) เปิดตัวบริการใหม่เอี่ยม ทีเอ็น เลานจ์ ‘Tn Lounge’ สาขาแรก สุกี้ตี๋น้อย สาขา ศรีนครินทร์ สมุทรปราการ ให้บริการฟรี เครื่องดื่ม ของทานเล่น   โดยหลังเพจ ได้โพสเปิดให้บริการใหม่ไปไม่ถึงช่วงข้ามวัน พบว่ากลุ่ม FC สุกี้ตี๋น้อย ที่ปัจจุบันมียอดผู้ติดตามเพจร่วม 1.1 ล้านราย ต่างเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางบวกต่อบริการใหม่ของสุกี้ตี๋น้อย ในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก   พร้อมสอบถามถึงเงื่อนไขการเข้ารับบริการ ‘Tn Lounge’ สาขาดังกล่าว ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป ด้วยบางคอมเมนต์ บอกแต่เพียงว่า รอเงื่อนไข จริงจัง เพราะตอนเปิดตัว แจ้ง มา อีกแบบ ต้อง ถือบัตรสมาชิกระดับต่างๆของตี๋น้อย ถึงจะเข้าใช้บริการได้ และยังไม่ได้ระบุว่า 1 บัตรสมาชิก ใช้งานเล้านจ์ได้กี่ท่าน และ เค้าแจ้งไปแล้วว่า ถึงไม่ได้มาทานสุกี้ แต่มีบัตรสมาชิก ก็สามารถใช้บริการเล้าจ์ได้   นอกจากนี้ ยังมีบางคอมเมนต์ ให้ความเห็นไปในแนวโน้มข้อสรุปร่วมกันว่า หากเข้าไปใช้บริการภายใน TN Lounge อาจจะเป็นการตัดกำลังด้วยอิ่มจากของทานเล่น และเครื่องดื่มก่อนได้รับประทานบุฟเฟต์ แน่ๆ   แต่ส่วนใหญ่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเรื่องดี ที่ทำให้ช่วงระหว่างที่รอคิวเข้าไปทานในร้านสุกี้ตี๋น้อย ลูกค้าได้มีประสบการณ์ใหม่ ๆ  พร้อมกับเรียกร้องให้ สุกี้ ตี๋น้อย เข้าไปเปิดให้บริการในทำเลต่าง ๆ ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น!!   สำหรับ ร้านสุกี้ ตี๋น้อย ก่อตั้งขึ้นในปี 2561 โดย ‘เฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช’ ผู้บริหารวัยรุ่นที่เริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่อายุ 25 ปี (ในตอนนั้น) เริ่มต้นเปิดร้านสาขาแรกที่ บางเขน และสาขาที่ 2 ที่ เลียบด่วน รามอินทรา   สุกี้ ตี๋น้อย มาพร้อมจุดเด่น คือ ราคาบุฟเฟต์เพียง 199 บาท และเวลาเปิดปิดตั้งแต่ 12.00-05.00 น. รองรับกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้งนักศึกษา-ทำงาน-สายดึก และครอบครัว   โดยหลังทำธุรกิจมา 4 ปี มียอดขายทะลุ 500–1,200 ล้านบาท ก่อนได้นักลงทุนจาก JMART เข้ามาถือหุ้น 30% ซึ่งประเมินมูลค่ากิจการในปี 2565 ว่าอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาทปัจจุบัน ในปี 2568 สุกี้ ตี๋น้อย เปิดให้บริการมากถึง 80 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ   Cr.ภาพประกอบจากเพจเฟซบุ๊คสุกี้ตี๋น้อย     Alternate-X สรุปให้   ศึกตลาดสุกี้มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาทยังเดือด เมื่อ MK ส่ง ‘โบนัส สุกี้’ ท้าชนพี่ใหญ่อย่าง “สุกี้ ตี๋น้อย” ล่าสุดขอเปิดตัว ‘Tn Lounge’ แห่งแรก สาขาศรีนครินทร์ ให้บริการฟรีของว่าง-เครื่องดื่มให้ผู้รอคิว และมีคอมเมนต์จากเอฟซีให้การตอบรับดี แม้ยังมีข้อสงสัยเรื่องเงื่อนไขการเข้าใช้บริการ โดยเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้ขยาย Lounge ทั่วประเทศ เพิ่มประสบการณ์ระหว่างรอในยุคบุฟเฟต์แข่งขันดุ

July 24, 2025 / 0 Comments
read more

ปีนี้จีนเที่ยวไทยเหลือ 5 ล้านคน ธุรกิจโรงแรมปรับรับ ‘FIT’ มาแรง แต่ไทยต้องปลอดภัยจริงก่อน

BizKet

An AI-generated image by Gemini สมาคมโรงแรมไทย ส่งสัญญาณนักท่องเที่ยวไทย 7 เดือนแรกวูบไม่ถึง 18 ล้านคน ทัวร์จีนหายวับทำยอดเข้าพักหาย 50% แต่ได้กลุ่มคนรุ่นใหม่เที่ยวเองมาแทน เร่งย้ำเชื่อมั่น ’ประเทศไทยปลอดภัย’ กลับมา   เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) เปิดเผยว่า ในปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยประมาณ 5 ล้านคน จากในปี 2567 มีจำนวนเกือบ 7 ล้านคน และช่วงก่อนโควิดปี 2562 มีจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน   ขณะที่ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (1 ม.ค. – 13 ก.ค.) มีนักเดินทางต่างชาติมาไทยจำนวน 17.7 ล้านคน ลดลง 5.62% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)  โดยนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่   มาเลเซีย 45 ล้านคน จีน 43 ล้านคน อินเดีย 26 ล้านคน รัสเซีย 06 ล้านคน เกาหลีใต้ 16 แสนคน     “ในปีนี้ มีเพียงช่วง ม.ค. เดือนเดียวที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยสูงกว่าปีก่อนและลดลงจากปีก่อนในทุกเดือน จากเหจุการณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เกิดกระแสความไม่ปลอดภัยการเดินทางจากการลักพาตัว ซิงซิง นักแสดงชาวจีน จากั้นในเดือนมีนาคม มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมียนมาที่กระทบตึกสูงใน กทม.” เทียนประสิทธิ์ กล่าว     พร้อมเสริมว่า ขณะนี้ ไทยกำลังเผชิญปัญหานักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ชะลอตัวลงอย่างหนัก แม้จะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอย่าง อินเดีย และรัสเซีย เข้ามาค่อนข้างมาก แต่ไม่สามารถทดแทนกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนได้   “แนวโน้มดังกล่าว ทำให้ธุรกิจโรงแรมที่เน้นนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะกลุ่มทัวร์จีน กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก จากอัตราการเข้าพักลดลงกว่า 50% ต่อเดือน ซึ่งเห็นได้ชัดในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต” เทียนประสิทธิ์ กล่าว   ‘FIT’ มาแรงแต่ไทยต้องปลอดภัยจริง   เทียนประสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะที่รูปแบบการเดินทางในปัจจุบันพบว่าการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์เสื่อมความนิยมลง เหลือสัดส่วนเพียง 20% จากในอดีตเคยเป็นพอร์ตฯใหญ่ โดยมีกลุ่มนักเดินทางจีนรุ่นใหม่ หันมาเดินทางแบบเที่ยวเอง (FIT) มากกว่า   โดย นักท่องเที่ยวจีนมีความกังวลด้านความปลอดภัย ซึ่งต้องเร่งให้ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในประเทศไทย พร้อมจัดการให้เป็นรูปธรรม เช่น ดำเนินการกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้น พร้อมเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ รวมถึงการเข้าไปดูแลค่าบริการต่างๆ หากพบว่าไม่เป็นธรรมกับนักท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งหากเร่งทำให้สำเร็จได้ ในปี 2569 นักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มกลับมา   “ไม่ใช่แค่พูดเฉยๆ ว่าประเทศไทยปลอดภัย เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนหายไปติดลบ 34% แล้ว หากไม่นับรวมเดือนมกราคมช่วงก่อนเกิดเหตุลักพาตัวดาราจีน เท่ากับหดตัวสูงถึงลบ50%” เทียนประสิทธิ์ ย้ำ   เติมสภาพคล่องโรงแรมไซส์เล็ก   ทั้งนี้ จากสถานการณ์การท่องเที่ยวชะลอตัวลง ยังส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ประสบความยากลำบากมากขึ้น จากรายได้ลดลงสวนทางรายจ่ายที่ยังเดินหน้าต่อเนื่อง ทั้งค่าแรงงานบุคลากร ค่าไฟ และค่าภาษีที่ดิน ส่งผลให้เกิดภาพธุรกิจโรงแรมขาดสภาพคล่องทางเงินมากขึ้น   โดย สมาคมโรงแรมไทย มีข้อเสนอให้ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาลดภาระทางการเงินหรือยืดหยุ่นนโยบายให้กับธุรกิจโรงแรม ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น (มิ.ย.-ส.ค.) โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็กในต่างจังหวัด เพื่อเพิ่มสภาพคล่องการดำเนินธุรกิจในช่วงนี้ ไปก่อน   Alternate-X สรุปให้   สมาคมโรงแรมไทยเผย 7 เดือนแรกปี 68 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยลดลง โดยเฉพาะจีนที่คาดว่าจะเหลือเพียง 5 ล้านคนในปีนี้ จากปัจจัยความไม่ปลอดภัยและเหตุการณ์ต่างๆ ส่งผลให้โรงแรมที่เน้นกลุ่มทัวร์จีนในกรุงเทพฯ และภูเก็ตประสบปัญหายอดเข้าพักหายกว่า 50% แม้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่จะหันมาเดินทางแบบเที่ยวเอง (FIT) มากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสใหม่ ทว่าไทยต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้เป็นรูปธรรม และจัดการปัญหาการโก่งราคานักท่องเที่ยว ด้านสมาคมฯ เสนอภาครัฐและ ธปท. พิจารณามาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องทางการเงินแก่ผู้ประกอบการโรงแรม โดยเฉพาะขนาดเล็กในต่างจังหวัด เพื่อพยุงธุรกิจในช่วงโลว์ซีซั่น.      

July 23, 2025 / 0 Comments
read more

เตรียมตัวให้พร้อม ธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร-เวลเนสส์ รับเศรษฐกิจท่องเที่ยวQ4 ปี68 มีให้ลุ้น

BizKet

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ฯ จัดระเบียบงานแสดงสินค้า กำหนดพื้นที่ชัดธุรกิจจีน เพิ่มโอกาสชาติอื่นแข่งขัน พร้อมชวนผู้ประกอบการอาหารเครื่องดื่มและภาคบริการฯ รับกำลังซื้อนักท่องเที่ยวไตรมาส4 ปี68 ยังมีหวังฟื้นเศรษกิจไทยโค้งสุดท้าย   สรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการรายใหญ่ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมความพร้อมจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2025 ระหว่างวันที่สำหรับงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 สิงหาคม 2025 ชั้น G ฮอลล์ 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   สำหรับงานฯ ดังกล่าว เป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้า (Exhibition) สำคัญที่จัดขึ้นในไทยของอินฟอร์มาฯ ที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า (Exhibitor) จากทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้เข้าเยี่ยมชมงาน (Visitor) มาอย่างต่อเนื่อง   ขณะที่การจัดงานฯในปีนี้ ยังเปิดโอกาสให้เอ็กซิบิเตอร์ สามารถลงทะเบียนจับคู่ธุรกิจ(Business Matching) ระหว่างกันได้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการธุรกิจล่วงหน้า ด้วยเมื่อถึงวันงานฯจริงแล้วจะสามารถเจรจาธุรกิจได้เลยในทันที ซึ่งบริการนี้ได้ต่อยอดมาจากการจัดงานในปีก่อนและได้การตอบรับดีจากผู้ประกอบการธุรกิจที่สนใจทั้งในและต่างประเทศ คาดในปีนี้ จะมีการจับคู่ธุรกิจในงานฯ ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 600 ราย   สำหรับงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 ในปีนี้ จัดแสดงบนพื้นที่ 22,000 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 พาวิลเลียนจากต่างประเทศ และ 6 ธีมวิลเลจ มีธุรกิจสินค้าเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 3,000 แบรนด์ พร้อมโชว์เคสกิจกรรมต่าง ๆ คาดตลอดการจัดงานจะมีผู้เข้าร่วมชมไม่ต่ำกวว่า 29,000 คนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7-8%   “งาน FHT 2025 ในปีนี้ คาดมีผู้สนใจเข้ามาเยี่ยมชมงานเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แรงหนุนให้มีผู้ประกอบการธุรกิจทั้งรายเดิมและใหม่เข้ามาสู่การทำธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสของทั้งธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารเครื่องดื่ม และ เวลเนส เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยในไตรมาส4 ปีนี้ ที่เข้าสู่ไฮซีซันและยังมีโอกาสฟื้นตัว” สรรชัย กล่าว   สำหรับภาพรวมการจัดงานแสดงสินค้าในไทยปีนี้ มีการจัดกิจกรรม (Event) รวมทั้งงานสัมมนา ในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นบรรยากาศในภาพรวมทั้งจากภาคธุรกิจและกำลังซื้อในภาคประชาชน จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เห็นได้ชัด จากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นนับแต้ต้นปีที่ผ่านมาถึงในขณะนี้ ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าสถานการณ์จะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส4 ปีนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (Hi-Season) ของไทย   ขณะที่แนวทางการดำเนินงานของอินฟอร์มาฯ ในปีนี้ จะเน้นบริการจัดการพื้นที่การแสดงสินค้าในกลุ่มผู้แสดงงานนิทรรศการ (Exhibitor) จากต่างประเทศ อาทิ การกำหนดสัดส่วนพื้นที่ของเอ็กซิบิเตอร์จากจีน ให้มีความเหมาะสมและเน้นคุณภาพมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกันระหว่างเอ็กซิบิเตอร์ จากประเทศอื่นๆ ที่ร่วมแสดงสินค้าในไทย   “จากการที่รัฐบาลจีนสนับสนุนธุรกิจในประเทศขยายการค้าไปยังต่างประเทศในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีหลากหลายธุรกิจเข้ามาร่วมงานแสดงสินค้ากับบริษัทฯ แต่พบว่ามักใช้กลยุทธ์ราคาเป็นหลัก ทำให้เอ็กซิบิเตอร์ต่างประเทศต่างเสียโอกาสทางการแข่งขันด้านคุณภาพ” สรรชัย กล่าว   Alternate-X สรุปให้    อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เตรียมจัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 เพื่อสนับสนุนธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และเวลเนสส์ ในการรับมือและคว้าโอกาสจากเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยที่คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปี 2568 งานนี้จะมีการจับคู่ธุรกิจล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 600 ราย และมีการจัดการพื้นที่แสดงสินค้าให้เอ็กซิบิเตอร์จากจีนมีความเหมาะสมเพื่อสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม ด้านผู้นำอุตสาหกรรมชี้เทรนด์นักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป เน้นคุณภาพและสุขภาพ ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวใช้เทคโนโลยีและสร้างประสบการณ์ พร้อมยกระดับธุรกิจสู่ความยั่งยืน

July 23, 2025 / 0 Comments
read more

ธุรกิจที่พลิกจาก ‘OEM’ สู่รองเท้าสุขภาพแบรนด์ ‘TALON’ มาเพื่อเจาะตลาด 5 พันล.โต 4-10% ทุกปี

BizKet,  EcoVative

TALON แบรนด์รองเท้าเพื่อสุขภาพกับแผนเจาะตลาดลูกค้าทั้ง B2C และ B2B ด้วยกลยุทธ์ที่มาครบทั้งโปรดักส์และงานบริการจากกูรูสุขภาพเท้า ‘Podiatrist’ ที่มี3 คนในไทยเท่านั้น พร้อมพาแบรนด์รองเท้าเพื่อสุขภาพของคนไทยไปตลาดระดับสากล   พรศักดิ์ เตชะสมบูรณากิจ กรรมการบริหารฝ้ายการตลาด บริษัท ฟุต คลีนิค จำกัด ผู้ผลิตรองเท้าเพื่อสุขภาพให้กับแบรนด์ชั้นน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศมากว่า 54 ปี เปิดเผยว่าในปี 2568 นี้ บริษัทวางแผนทำตลาดเชิงรุกธุรกิจรองเท้าเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง ภายใต้แบรนด์ ‘Rebecca Lim’s by Talon’ นำเข้าจากประเทศเกาหลี พร้อมบริการรับสั่งตัดรองเท้าเพื่อสุขภาพตามความต้องการเฉพาะบุคคล (Tailor-made)   สำหรับแนวทางดังกล่าว เป็นการปรับตัวทางธุรกิจของบริษัทฯจากการรับจ้างผลิต(OEM) มาสู่การสร้างแบรนด์ TALON พร้อมทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2562 หรือราว5-6 ปีก่อน โดยเป็นช่วงจังหวะเดียวกับการแพร่ระบาดโควิด-19 เกิดขึ้น ด้วยเห็นโอกาสจากทั้งกระแสการดูแลสุขภาพรอบด้านของผู้คน ซึ่งบริษัทฯ ได้ใช้ความชำนาญและเชี่ยวชาญจากผู้ผลิตรองเท้ามากว่า 5 ทศวรรษให้กับรองเท้าแบรนด์ระดับโลก อาทิ Hush Puppies และ Fila ฯลฯ   “ในจังหวะนั้นมองแล้วว่าโออีเอ็มไม่มีอนาคต จากการแข่งขันด้านกำลังการผลิตด้วยต้นทุนต่อหน่วยสูงกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากทั้งจีน อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ที่ได้เปรียบจากอีโคโนมี ออฟ สเกล ขนาดใหญ่ ทั้งสินค้า, ราคาวัตถุดิบ และเทคโนโลยีการผลิต ทำให้โรงงานรองเท้าไทยต้องปรับตัวและหันมาสร้างแบรนด์เพื่อทำตลาดซึ่งจะเป็นทางรอด” พรศักดิ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   “ธุรกิจรับจ้างผลิตรองเท้าก่อนยุคโควิด เคยสร้างรายได้หลักร้อยล้านบาทต่อปี แต่จากการเข้ามาของผู้ผลิตในต่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า ทำให้บริษัทมีรายได้หายไปกว่า 40-50% เหลือเพียงราว 50 ล้านบาท”   พรศักดิ์ กล่าวว่า ธุรกิจได้พยายามปรับตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยเป็นกิจการ ‘กงสี’ มีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กระทั่งเมื่อได้จังหวะเหมาะสม ทำให้ ‘พรศักดิ์’ ตัดสินใจทำธุรกิจในแบบคนรุ่นใหม่พร้อมสร้างแบรนด์ ‘TALON’ ขึ้นมาทำตลาดรองเท้าต่อเนื่อง   ส่วนที่มาของชื่อแบรนด์ TALON หมายถึงส่วนกลางของฝ่าเท้า และในภาษาอิตาลี ยังหมายถึง ‘กรงเล็บ’ หรือ ‘อุ้งเท้า’’ ของนกเหยี่ยว ซึ่งสะท้อนถึงความหมายของเท้า อีกนัยหนึ่งด้วย   สร้างแบรนด์แล้วต้องไปต่อตลาดที่เก่ง   พรศักดิ์ เสริมต่อถึงแนวทางการทำตลาดรองเท้าเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ Rebecca Lim’s by ‘TALON’ ในไทย จะโฟกัสในกลุ่มรองเท้าเพื่อสุขภาพที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 4-10% ทุกปี จากปัจจุบันตลาดรวมรองเท้าในไทย มีมูลค่าราว 98,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดรองเท้ากีฬาและลำลอง กว่า 16,000 ล้านบาท (รองเท้ากีฬาราว 6,500 ล้านบาท) และที่เหลือเป็นรองเท้าอื่นๆ อาทิ รองแฟชั่น ที่มีสัดส่วนใหญ่สุดราว 60-70% ของตลาด   จากสัดส่วนตลาดรองเท้าสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตดังกล่าว ที่เขามองว่ายังไม่มีผู้เล่นแบรนด์ในประเทศที่เข้ามาเล่นในตลาดกลุ่มนี้จริงจัง ซึ่งจะเป็นโอกาสของ TALON ในการสร้างการรับรู้แบรนด์ในฐานะผู้เชี่ยชาญด้านรองเท้าเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง   โดยทำตลาดใน 2 ช่องทางสำคัญ คือ   ธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C) วางจำหน่ายในศูนย์การค้าและคีออสก์โรงพยาบาล ปัจจุบันมี 10 แห่ง อาทิ ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, สยามทาคาชิมายะ, โรงพยาบาล กรุงเทพฯ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลพระราม9 และศูนย์สุขภาพเท้าฟุต คลินิก พระราม2 เป็นต้น และมีแผนเพิ่มอีก 1-2 สาขาใหม่ คาดในปีนี้จะมีสาขาให้บริการราว 12-13 แห่ง   ธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) โดยบริษัทฯ ร่วมเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพเท้า อย่างรองช้ำ ที่ต้องการตัดรองเท้าสุขภาพเฉพาะบุคคล   “ปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนที่ดูแลผู้ป่วยเบาหวาน จะให้การรักษาผู่ป่วยแบบครอบคลุมไปถึงการดูแลสุขภาพเท้าและต้องการรองเท้าเพื่อสุขภาพหรือที่เรียกว่ารองเท้าเบาหวานเข้ามาเสริมการรักษาผู้ป่วย ซึ่งบริษัทจะเป็นผู้เข้าไปให้บริการเทเลอร์-เมดในจุดนี้ โดยที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ป่วยต่างชาติแถบตะวันออกกลาง ให้การตอบรับรองเท้าเบาหวาน เป็นอย่างมากและไม่เกี่ยงราคา” พรศักดิ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า     นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมให้บริการรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ใหม่ ผ่านการสั่งตัดแผ่นรองเท้าเพื่อสุขภาพเฉพาะบุคคลได้โดยทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงความต้องการของผู้ใช้บริการรองเท้าเพื่อสุขภาพ ได้สะดวกมากขึ้น   ขณะที่สินค้ารองเท้าเพื่อสุขภาพ Rebecca Lim’s  by TALON วางระดับราคาอยู่ที่ 2,290-4,490 บาทต่อคู่ และบริการสั่งตัด (Tailot-made) วางราคาอยู่ที่ 4,490-5,990 บาท     รู้จริงเรื่องสุขภาพเท้า ที่เดียวในไทย     พรศักดิ์ กล่าวต่อถึงจุดเด่นรองเท้าเพื่อสุขภาพ Rebecca Lim’s  By Talon มีความแตกต่างไปจากคู่แข่งในตลาดเดียวกันทั้งแบรนด์ในและต่างประเทศ คือ 1. เทคโนโลยีการผลิตรองเท้าด้วยวัสดุ นาโนไมโครไฟเบอร์​ ให้สัมผัสความนุ่ม เบา ขยายตัวตามอุ้งเท้าของผู้สวมใส่ และ 2. งานบริการ จากผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาด้านสุขภาพเท้าที่เหมาะสมตามความต้องการของลูกค้า ที่มีปัญหาเท้าด้านต่าง    ๆ อาทิ  เท้าแบบ เท้าบวม นิ้วปืน กระดูกไปน ผู้ป่วยเบาหวาน ดุ้งเท้าสูง เป็นต้น   นอกจากนี้ TALON ยังให้บริการคำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเท้าโดยเฉพาะ หรือ ‘Podiatrist’ ซึ่งมีอยู่เพียง 3 ท่านในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อให้คำแนะนำพร้อมแก้ไขในทุกปัญหาสุขภาพเท้า ซึ่งประจำอยู่ที่ Foot Clinic by TALON ศูนย์สุขภาพเท้าแบบครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย พระราม2     “TALON ตอกย้ำความเชี่ยวชาญรองเท้าเพื่อสุขภาพเป็นอย่างมาก พร้อมพัฒนาบุคลากรเฉพาะทาง คือ โพรไดอะทิสต์ มาให้บริการที่ศูนย์สุขภาพเท้าฯ ซึ่งเป็นสายอาชีพที่ได้การยอมรับทางการแพทย์ในประเทศอิตาลี” พรศักดิ์ กล่าว   ทั้งนี้ จากแผนดังกล่าว บริษัทวางเป้าหมายรายได้ในปี 2568 อยู่ที่ 30 ล้านบาท มาจากธุรกิจ B2C สัดส่วน 90% และ B2C 10% และในปี 2569 คาดรายได้เติบโตเท่าตัว ราว 60 ล้านบาท จากในปี 2566-2567 มีรายได้ราว 30-40 ล้านบาท  พร้อมวางเป้าหมายใน3-5 ปีขยายการทำตลาดรองเท้าเพื่อสุขภาพ ในต่างประเทศ อาทิ ดูไบ และ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ   Alternate-X สรุปให้    ฟุต คลีนิค ผู้ผลิตรองเท้าเพื่อสุขภาพกว่า 54 ปี กับแผนรุกตลาดจริงจังในปี 2568 ด้วยแบรนด์ ‘Rebecca Lim’s by Talon’ และบริการสั่งตัดเฉพาะบุคคล หลังปรับตัวจากธุรกิจ OEM ที่รายได้ลดลงอย่างมากจากคู่แข่งต่างประเทศ สู่การสร้างแบรนด์ของตนเอง  โดย ‘TALON’ เล็งเจาะตลาดรองเท้าเพื่อสุขภาพมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ทั้งช่องทาง B2C ในห้างฯ และโรงพยาบาล รวมถึง B2B ร่วมกับ รพ.เอกชนสำหรับผู้ป่วยเฉพาะทาง โชว์จุดเด่นแบรนด์ ด้วยเทคโนโลยีวัสดุ นาโนไมโครไฟเบอร์ และการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเท้า (Podiatrist) เพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาสุขภาพเท้า คาดการณ์รายได้ปี 2568 ที่ 30 ล้านบาท และวางแผนขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น ดูไบและญี่ปุ่น ภายใน 3-5 ปี 

July 23, 2025 / 0 Comments
read more

‘ออฟฟิศเมท’ อยู่มา30ปี เพราะ ‘เข้าใจลูกค้า-ปรับตัวเร็ว’ สู่ทศวรรษที่4 ด้วยแผน ‘EcoConnect’

BizKet

จุดเริ่มต้น ‘ออฟฟิศเมท’ (OfficeMate) เมื่อ30 ปีก่อน หลังมองเห็นโอกาสทางธุรกิจร้านค้าปลีกหมวดสินค้า อุปกรณ์ สำนักงาน แบบครบวงจร ที่มาพร้อมบริการสั่งซื้อบนแคทตาล็อก ซึ่งในช่วงนั้นยังไม่มีผู้เล่นจริงจังในตลาดนี้   โดยเฉพาะการเข้าไปเจาะถึงดีมานด์จริงในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก อย่างเอสเอ็มอีไทย จากเดิมที่ต้องซื้อของกระจัดกระจายหลายร้าน ไม่มีเจ้าไหนรวมทุกอย่างไว้ที่เดียว แต่ ‘ออฟฟิศเมท’ จัดให้ด้วยบริการส่งถึงที่ ด้วยการสั่งซื้อผ่านแคตตาล็อก ให้ลูกค้าสั่งของจากที่ทำงานได้เลย!!   ตลอดช่วงระยะเวลาร่วม 30 ปี ‘ออฟฟิศเมท’ ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์หลากหลายในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในตลาดอุปกรณ์สำนักงาน กระทั่งเมื่อกิจการแข็งแรงเต็มที่ธุรกิจได้เข้าไปอยู่ภายใต้พอร์ตธุรกิจค้าปลีกในเครือเซ็นทรัล (Central Group) อย่างจริงจังเมื่อปี 2555   จาการเปลี่ยนแปลงธุรกิจในครั้งนั้น ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งรอบด้านให้กับออฟฟิศเมท ทั้งระบบเทคโนโลยีที่กลุ่มค้าปลีกเซ็นทรัลมีความแข็งแกร่งด้าน ‘Omnichannel’ มาปรับใช้กับธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว   โดยเริ่มจากยุคแคตตาล็อก-ร้านค้า(ออฟไลน์) ไปสู่อีคอมเมิร์ศและแอปพลิเคชั่น (ออนไลน์) ในปัจจุบัน ในตอนนี้ ‘ออฟฟิศเมท’ เป็นหนึ่งในแบรนด์ไทยกลุ่มแรกๆที่มีระบบสั่งซื้อออนไลน์แบบ B2B ที่ครอบคลุมทุกจังหวัด   กระทั่งในยุคปัจจุบัน ‘ออฟฟิศเมท’  ยังได้ขยายธุรกิจไปไกลมากกว่าอุปกรณ์สำนักงานแต่ยังเพิ่มสินค้ากลุ่มธุรกิจอื่น เช่น ร้านอาหาร โรงงาน โรงแรม คลินิก สถาบันการศึกษา ถึงในตอนนี้กลายเป็น ‘ผู้จัดหาสินค้าเพื่อธุรกิจแบบครบวงจร (Business Supplies One Stop Service)’   ต่อการเดินทางมาตลอดร่วม 30 ปีของ ‘ออฟฟิศเมท’ ที่ทำความเข้าใจลูกค้ามาอย่างต่อเนื่องพร้อมปรับตัวให้เข้ากับบริบทของความต้องการในแต่ละอุตสาหกรรมธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน   ล่าสุดในปีนี้ ‘ออฟฟิศเมท’ ฉลองครบ 30 ปี จัดงานใหญ่ “OFM EcoConnect 2025: Transforming Business with Digital and Sustainability” พร้อมเชื่อมโยงภาคธุรกิจไทย และย้ำพันธกิจหลัก ในฐานะพันธมิตรผู้ประกอบการไทย ให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในโลกธุรกิจยุคใหม่   รวบ KOLs มองธุรกิจยั่งยืน   ด้าน ‘ดร.มลฤดี เลิศอุทัย’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ออฟฟิศเมท (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ภายในงานฯ มีผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรชั้นนำ ลูกค้าธุรกิจ และพันธมิตรกว่า 200 บริษัท เข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านนวัตกรรม และแนวทางการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลัก ESG และดิจิทัล มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการจัดซื้อ เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว     โดยไฮไลต์ของงาน คือ เวทีเสวนาพิเศษ ‘Building a Sustainable Future : ESG Opportunities and Challenges Ahead’ ซึ่งได้รับเกียรติจาก   เคน นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด มาร่วมดำเนินรายการและแลกเปลี่ยนมุมมอง วชิระชัย คูนำวัฒนา Net Zero Accelerator Director บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เสถียร เลี้ยววาริณ Chief Sustainability Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX โดยร่วมถ่ายทอดแนวคิดการนำหลัก ESG มาใช้เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน   ดร.มลฤดี เสริมว่า ออฟฟิศเมท ยังตอกย้ำบทบาท Connector ในการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรที่มีแนวทางรักษ์โลก อาทิ Epson, Double A, SCGP, 3M, Kimberly Clark, Louis Tape, One Green และ One Eco-Friendly ภายใต้โครงการ “ฮักโลก (Hug the Earth)” ของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อส่งต่อทางเลือกที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า ธุรกิจ และองค์กรทั่วประเทศ   สำหรับด้านดิจิทัล ออฟฟิศเมทได้นำเสนอแพลตฟอร์ม OFMBiz ระบบจัดซื้อออนไลน์แบบ B2B ที่ช่วยให้องค์กรบริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส สะดวกรวดเร็ว และคุ้มค่า ลดต้นทุนการจัดซื้อได้สูงสุดถึง 40% พร้อม Smart Dashboard & Reporting ซึ่งตอบโจทย์ในการบริหารและควบคุมงบประมาณการจัดซื้อได้ตรงกับความต้องการขององค์กร ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำ อาทิ ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC), ธุรกิจร้านสะดวกซักอ๊อตเทริ (Otteri), โรงรับจำนำอีซี่มันนี่ (Easy Money), ห้างทองออโรร่า (Aurora) และอีกกว่า 3,000 องค์กรทั่วประเทศ   “การจัดงานในครั้งนี้ ยังสะท้อนการเติบโตของออฟฟิศเมทในรอบ 3 ทศวรรษ พร้อมย้ำจุดยืนแบรนด์ในฐานะ ผู้นำโซลูชันเพื่อธุรกิจไทยด้วยนวัตกรรม สินค้า และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์อนาคตอย่างยั่งยืน”  ดร.มลฤดี กล่าว     Alternate-X สรุปให้   ออฟฟิศเมทฉลองครบรอบ 30 ปี จากจุดเริ่มต้นผู้บุกเบิกร้านค้าปลีกอุปกรณ์สำนักงานครบวงจรที่เข้าใจความต้องการ SME สู่การเป็นผู้จัดหาสินค้าเพื่อธุรกิจแบบครบวงจร ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มเซ็นทรัลตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งเสริมความแข็งแกร่งด้าน Omnichannel และระบบ B2B ออนไลน์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ปัจจุบันออฟฟิศเมทยังขยายตลาดสู่กลุ่มธุรกิจหลากหลาย พร้อมจัดงาน ‘OFM EcoConnect 2025’ ย้ำบทบาทพันธมิตรผู้ขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยนวัตกรรม ESG และดิจิทัล ควบคู่ไปกับการนำเสนอแพลตฟอร์ม OFMBiz ช่วยบริหารจัดการการจัดซื้ออย่างโปร่งใสและคุ้มค่าสำหรับองค์กรกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ

July 22, 2025 / 0 Comments
read more

[PR News] ‘พูลพิพัฒน์’ เปิดคลังสินค้า LCB1 รับอนาคตเศรษฐกิจตะวันออกขยายตัว

PRnounce

‘พูลพิพัฒน์’ ภายใต้กลุ่มพูลผล เปิดตัวคลังสินค้า LCB 1 บนทำเลศักยภาพ เสริมความแข็งแกร่งด้านการกระจายสินค้าไทยสู่อนาคต   บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ภายใต้กลุ่มพูลผล ผู้ดำเนินธุรกิจด้านคลังสินค้าให้เช่า มาตรฐานสากลมากกว่า 60 ปี เปิดตัวคลังสินค้า “พูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1)” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 กรกฏาคม 2568 พร้อมประกาศต้อนรับลูกค้ารายแรก บริษัท บีเรนเบิร์ก (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเชื่อมั่นของลูกค้า บริษัท องค์กรต่างๆ ที่เลือกใช้บริการ   นายปราโมทย์  ทองย่น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัว คลังสินค้าพูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1) ในพื้นที่ครอบคลุมกว่า 33 ไร่ (34,200 ตร.ม.) ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ โดยอยู่ห่างจากท่าเรือแหลมฉบังเพียง 17 กิโลเมตร และใกล้ถนนเส้น 3009 เชื่อมต่อระหว่างระยองและแหลมฉบัง ซึ่งช่วยให้การขนส่งเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยให้ความสำคัญในการออกแบบตามมาตรฐานสากล สามารถรองรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ระดับโลก พร้อมด้วยระบบการรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง       สำหรับแผนในอนาคตของบริษัทฯ มีเป้าหมายมุ่งสู่ Green Warehouse เพื่อสนุบสนุนเศรษฐกิจที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Circular Economy) โดยยึดหลัก ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญที่ทั่วโลกใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินความน่าเชื่อถือขององค์กร คู่ค้า และผู้ให้บริการ โดยแผนดังกล่าวจะสร้างความได้เปรียบให้กับคลังสินค้าของพูลพิพัฒน์   “คลังสินค้า LCB1 ไม่เพียงเป็นคลังสินค้าที่มีมาตรฐาน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ที่มุ่งไปสู่การเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ครบครันและปลอดภัย และถือเป็นความภาคภูมิใจที่เราได้ต้อนรับ บริษัท บีเรนเบิร์ก (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านวิศวกรรมและงานผลิตท่อหุ้มฉนวน พ่นสีเคลือบโลหะ สำหรับส่งออก ในฐานะลูกค้ารายแรก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่มีต่อมาตรฐานคลังสินค้าของพูลพิพัฒน์” นายปราโมทย์ กล่าวทิ้งท้าย ภายในงานเปิดตัวคลังสินค้าพูลพิพัฒน์ เริ่มต้นด้วยพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระพรหม พร้อมตั้งศาลพระชัยมงคลและศาลตายาย โดยมีพระภาวนาวชิระมงคล รองเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมโสภณ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำพระสงฆ์ 9 รูป สวดเจริญพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหารเพล เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่สถานที่และผู้ประกอบการ     เกี่ยวกับพูลพิพัฒน์     บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านคลังสินค้ามากกว่า 60 ปี พร้อมบริการแบบครบวงจร โดยคลังสินค้าตั้งอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีสาขากระจายอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญคลังสินค้าพร้อมให้บริการจำนวน 5 แห่ง ประกอบด้วย 1. คลังสินค้าพระราม 6 จ.กรุงเทพฯ 2. คลังสินค้าสำโรง ถ.ปู่เจ้าสมิงพราย จ.สมุทรปราการ 3. คลังสินค้าบางไทร ถ.บางปะอิน-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา และ 4. คลังสินค้า B38 ถ.บางนา-ตราด กม.38 จ.ฉะเชิงเทรา และคลังสินค้าแหลมฉบัง 1 ถ.สาย 3009 จ.ชลบุรี รวมพื้นที่ 241,952 ตร.ม. นอกจากนี้ ยังมีคลังสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 แห่ง ได้แก่  1. คลังสินค้าแหลมฉบัง 2 ถ.หนองคล้าใหม่ จ.ชลบุรี และ 2. คลังสินค้า B29 ถ.บางนา-ตราด กม.29 จ.สมุทรปราการ โดยคลังสินค้าที่แหลมฉบัง 2 จะเป็น Mini Factory เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีศักยภาพในเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ให้มากขึ้น ขณะที่คลังสินค้า B29 จะมุ่งพัฒนาคลังสินค้าที่เป็น Free Zone (เขตปลอดอากร)และ General zone (พื้นที่คลังทั่วไป) ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 100,000 ตร.ม.   นอกจากนี้ เรายังให้บริการรถขุดไฟฟ้าเพื่อขนถ่ายสินค้าประเภทถั่วเหลืองและกากถั่วเหลือง โดยมุ่งใช้พลังงานไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงน้ำมัน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ ขอแนะนำ บริษัท พูลพิพัฒน์ เอ็นเนอยี่ จำกัด บริษัทย่อยของบริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ (Solar Roof) ณ คลังสินค้าพระราม 6 ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราที่จะพัฒนาโซลูชันพลังงานสะอาด และขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม   หน่วยงาน หรือองค์กรที่สนใจสามารถเข้าศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.poonpipat.com หรือสอบถามเพิ่มเติมที่เบอร์ 081-918-3738, 096-392-5466 Email : warehouse@poonphol.com

July 21, 2025 / 0 Comments
read more

กล้องระดับโลก ‘ไลก้า’ เปิดคอนเซปต์ สโตร์ แห่งแรก วางไทย ‘ฮับ’ ตลาดลักซูรี่อาเซียน

BizKet

บิ๊กคาเมร่า ดึงแบรนด์กล้องไอคอนิกระดับโลก ‘ไลก้า’ เปิด ‘Leica Store Siam Paragon’ คอนเซ็ปต์ใหม่แห่งแรกในไทย รับเทรนด์ตลาดกล้องดิจิทัลฟื้นตัว โต 10-15% ทุกปีแนวโน้มเดียวกับสินค้าลักซูรีขยายตัวในไทย สวนเศรษฐกิจชะลอ เ   ธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากทิศทางการฟื้นตัวของตลาดกล้องดิจิทัลทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละกว่า 10-15%   นอกจากนี้ ตลาดสินค้ากลุ่มลักซูรี แบรนด์ (Luxury Brand) ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้จะอยู่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยปัจจัยหลักมาจาก   ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไป หันมานิยมซื้อสินค้าในระดับลักซูรี่ เพิ่มมากขึ้น ทั้งซื้อเพื่อใช้เองและการเก็บสะสม หรือเพื่อการลงทุน ประเทศไทย ยังเป็นจุดหมายปลายทางของการช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์ลักซุรี ระดับโลก เพื่อให้บริการทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ     จาก ปัจจัยดังกล่าว บิ๊ก คาเมร่า ได้ร่วมมือกับแบรนด์กล้องไอคอนิคระดับโลกอย่าง ไลก้า ซึ่งถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องในฐานะตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตประเทศไทย (BIG Camera Leica Authorized Dealer)   โดยเปิด ‘Leica Store Siam Paragon’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุดแห่งแรกในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้า สยามพารากอน บริเวณ ชั้น 2 ด้วยการออกแบบที่สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์หลักตามมาตรฐานไลก้าทั่วโลก สำหรับ ‘Leica Store Siam Paragon’ ณ ศูนย์การค้า สยามพารากอน ถือเป็นการสะท้อนถึงเทรนด์การเติบโตของตลาดสินค้าลักซุรี่ ในประเทศไทย และยังเป็นการยกระดับประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าปลีกสินค้า พรีเมียมในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่น   “ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับ High-spending และกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experiential Travelers) เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น” ธนสิทธิ์ กล่าว       ด้าน ‘สุนิล คาวล์’ กรรมการผู้จัดการ ไลก้า คาเมร่า เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ‘Leica’ การเปิด Leica Store Siam Paragon แห่งใหม่นี้ คือการสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ที่จะเชื่อมโยงผู้คนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ครอบครัว Leica ด้วยความโดดเด่นของพื้นที่ตั้งอันเป็นแลนด์มาร์กระดับโลก สยามพารากอน ศูนย์การค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแหล่งรวมแบรนด์หรูระดับสากล เป็นจุดหมายปลายทางของนักช้อปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ   โดย Leica Store Siam Paragon แห่งใหม่นี้ เป็นสโตร์ล่าสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีแห่ง Leica ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นบ้านหลังใหม่ พร้อมหลอมรวมตำนานอันทรงคุณค่าของ Leica เข้ากับวัฒนธรรมร่วมสมัยของไทยอย่างลงตัว   ขณะที่ ภายในพื้นที่ถูกออกแบบให้ล้ำสมัย ด้วยแรงบันดาลใจและพลังแห่งศิลปะ มุ่งสร้างสรรค์ประสบการณ์สัมผัสใหม่อันสุดพิเศษเหนือระดับ พร้อมให้สัมผัสผลิตภัณฑ์ Leica ครบทุกกลุ่ม ตั้งแต่   กล้องถ่ายภาพ เครื่องฉายภาพ นาฬิกา ของสะสม อุปกรณ์ส่องทางไกล     ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของช่างภาพ และนักสะสม เป็นจุดตัดบรรจบของตำนานและประสบการณ์สุดพิเศษเหนือระดับสำหรับไลก้าเลิฟเวอร์โดยเฉพาะ     นอกจากนี้ ยังมีของสะสมพิเศษ   LEICA BE@RBRICK ROYAL SELANGOR 400% – จากการ Collaboration กันของ 3 แบรนด์ดังระดับไอคอนิค อันได้แก่ Medicom Toy, Royal Selangor และ Leica สู่ Art Toy แห่งความคิดถึงที่มีแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากกล้อง Prototype ‘UR-Leica’ พร้อมด้วย Gimmick ต่าง ๆ ราคา 75,100 บาท วางจำหน่ายที่ Leica Store Siam Paragon เป็นที่แรกในประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา Fake Leica by Liao Yibai จำนวนจำกัด 12 Unit ทั่วโลก เพื่อร่วมฉลองให้กับบ้านใหม่ Leica Store Siam Paragon อันเป็นหนึ่งในผลงานศิลปะของศิลปินชาวจีนร่วมสมัยที่ทรงพลัง มาจัดแสดง ซึ่งผลงานดังกล่าวได้ถูกนำไปแสดงในไลก้าสโตร์ชั้นนำมาแล้วหลายแห่ง เป็นงานประติมากรรมกล้องไลก้าขนาดใหญ่ผสานแนวคิดทั้งกล้องฟิล์มและกล้องดิจิทัล กลายเป็นผลงานประติมากรรมสะท้อนแนวคิดความจริงและเท็จผสมกัน นิทรรศการภาพถ่าย Nick Ut Journey: From Hell to Hollywood – นิทรรศการภาพถ่าย Nick Ut’ Journey: From Hell to Hollywood โดย Nick Ut ช่างภาพข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ปี 1973 เจ้าของผลงานภาพถ่าย ‘The Terror of War’ หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนาม ‘Napalm Girl’ หนึ่งในภาพข่าวที่ทรงพลังที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 และเป็นภาพที่มีบทบาทสำคัญในการยุติสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดเรื่องราวของ Nick Ut จากความโหดร้ายในสงครามเวียดนาม สู่โลกแห่งแสงสีและความซับซ้อนของฮอลลีวูด   Nick Ut ช่างภาพข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ปี 1973 เจ้าของผลงานภาพถ่าย ‘The Terror of War’   “การเปิด Leica Store Siam Paragon แห่งใหม่นี้ เป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายฐานลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้รักการถ่ายภาพและผู้ที่ชื่นชอบสินค้าลักซูรี สโตร์แห่งนี้จะช่วยต่อยอดบริการหลังการขายและสร้างชุมชน Leica Lovers ในประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” มร. สุนิล กล่าวทิ้งท้าย     Alternate-X สรุปให้ บิ๊ก คาเมร่า เปิด ‘Leica Store Siam Paragon’ คอนเซ็ปต์ใหม่แห่งแรกในไทย รับการฟื้นตัวของตลาดกล้องดิจิทัลและกระแสลักซูรีที่เติบโตต่อเนื่อง พร้อมเป็นแรงส่งประเทศไทยเป็นศูนย์กลางค้าปลีกสินค้าพรีเมียมในอาเซียน ร่วมกับสิงคโปร์และญี่ปุ่น ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่ม High-spending ภายในร้านมีไฮไลต์พิเศษ เช่น LEICA BE@RBRICK ROYAL SELANGOR 400% และงานประติมากรรม “Fake Leica by Liao Yibai” ที่จัดแสดงเป็นที่แรก และนิทรรศการภาพถ่าย ‘Nick Ut Journey: From Hell to Hollywood’ โดยช่างภาพข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมโยงผู้คนเข้าสู่ชุมชน Leica.  

July 20, 2025 / 0 Comments
read more

Midea ยังมั่นใจไทย ฐานผลิตแอร์อาคารในระยอง ตั้งแผนรับภาษีทรัมป์ 36% ส่งออกสหรัฐ

BizKet

Midea ยักษ์อิเล็กทรอนิกส์จีน ย้ำลงทุนกว่า2 พันล.ในไทย ตั้ง MBT เดินสายผลิตใหม่แอร์อาคารพาณิชย์ ไม่หวั่นไทยโดยภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 36% ตั้งรับปรับแผนใหม่ ย้ำไทยยังเป็นตลาดยุทธศาสตร์เจาะอาเซียน   แจ็ปสัน ไจ๋ (Japson Zhai) ผู้อำนวยการ ไมเดีย บิลดิง เทคโนโลยี ประเทศไทย (Midea Building Technologies) หรืแ MBT เปิดเผยว่า ไมเดีย (Midea) ประเทศจีน เป็นผู้ทำตลาดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ระดับโลก ขยายการลงทุนในไทย ใช้งบราว 2,260 ล้านบาท เปิดโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี จังหวัดระยอง บนพื้นที่ 46 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ใช้สอยราว 70,000 ตร.ม.   โดยโรงงานฯ แห่งนี้ ดำเนินการผลิตนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศสำหรับอาคาร ด้วยจุดเด่นประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนการติดตั้ง และมีอายุการใช้งานยาวนาน พร้อมเริ่มสายการผลิตในระยะ (Phase)แรกแล้ว มีจำนวนฝ่ายผลิตแล้วมากกว่า 46 คน และหากดำเนินการแล้วเสร็จครบทุกระยะ คาดมีความต้องการแรงงานไม่ต่ำกว่า 1,000 คน และมีกำลังการผลิต 600,000 ยูนิตต่อปี     สำหรับผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศฯ ที่ผลิตในโรงงานแห่งนี้ ประกอบด้วย   Variable Refrigerant Flow (VRF) ระบบปรับอากาศแบบปรับปริมาณน้ำยาอัตโนมัติที่ออกแบบโดยคำนึงถึงนวัตกรรมการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสำคัญ Midea Magnetic Chiller เครื่องทำความเย็นแบบแรงเหวี่ยงแม่เหล็กประสิทธิภาพสูงซึ่งสามารถทำความเย็นได้รวดเร็วและทั่วถึง ช่วยประหยัดพลังงาน   แจ๊ปสัน กล่าวว่า ในเบื้องต้นบริษัทฯ วางแผนผลิตพร้อมทำตลาดส่งออกสินค้าราว 90% ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา และสัดส่วน 10% เพื่อทำตลาดในประเทศและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)   อย่างไรก็ตาม จากมาตรการภาษีนำเข้า 36% จากไทยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้นโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณมาในขณะนี้ ถือเป็นปัจจัยที่บริษัทฯ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด   “ไมเดีย ประเทศจีน มีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินการของรัฐบาลไทยในการเจรจาการค้าต่อนโยบายภาษีดังกล่าว ว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงระหว่างกันได้” แจ็ปสัน กล่าวพร้อมเสริมว่า     MBT ยังเตรียมผลักดันการทำตลาดและการขายสินค้าในระดับท้องถิ่นมากขึ้น จากศักยภาพโรงงานผลิตแอร์อาคารไมเดียในไทย ยังเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญในการทำตลาดสินค้าในอาเซียน ด้วยเช่นกัน จากความพร้อมรอบด้านของไทยทั้งแรงงาน โครงสร้างพื้นฐานและระบบการขนส่งสินค้า เป็นต้น   สำหรับแนวทางการทำตลาดแอร์อาคาร จะมุ่งการทำตลาดรุปแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) ผ่านตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ท้องถิ่นที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทยให้ได้มากที่สุก พร้อมใช้ 3 จุดเด่นเป็นกลยุทธ์หลักของไมเดีย ดังนี้   ผลักดันทีมไทย ในการทำตลาดผลิตภัณฑ์พร้อมแนะนำนวัตกรรมและสินค้าไมเดีย ด้วยจุดเด่นที่แตกต่างไปจากแบรนด์อื่น การออกแบบ (Design) ผลิตภัณฑ์ โดยทำงานร่วมกันกับนักออกแบบโครงการ/อาคาร เพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่ดีที่สุดและเหมาะสมร่วมกัน การนำระบบไอที (IT System) และนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จจากการทำตลาดในระดับสากลและในจีนของแต่ละโครงการ มาปรับใช้ในตลาดประเทศไทย   แจ็ปสัน เสริมว่า ต่อการเข้ามาในอุตสาหกรรมแอร์อาคารของไมเดียในไทย ด้วยมองเห็นความต้องการระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) ในภาคครัวเรือน เชิงพาณิชย์ และภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งแปรผันตามการขยายตัวของเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา   ขณะที่อุตสาหกรรมระบบ HVAC ทั่วโลก มีแนวโน้มการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ร้อยละ 6.4 ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2574 คิดเป็นมูลค่า 218,320 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 และเติบโตถึง 338,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2574   โดยตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับระบบ HVAC จากปัจจัยขับเคลื่อนต่าง ๆ อาทิ การเติบโตของประชากร สภาพภูมิอากาศ การขยายตัวของเมืองที่เพิ่มขึ้น และภาคการก่อสร้างเชิงพาณิชย์ที่ขยายตัว[1]   สอดคล้องกับ ประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องปรับอากาศที่สำคัญระดับโลก และส่งออกเครื่องปรับอากาศแบบติดผนังมากกว่า 21 ล้านเครื่องในปี 2567 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกถึง 7,044 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปี 2566 ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและเม็กซิโก   “ไมเดีย เชื่อมั่นว่าการเปิดโรงงานผลิตระบบปรับอากาศสำหรับอาคารแห่งนี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจระบบปรับอากาศในเมืองไทยให้เติบโตยิ่งขึ้น ผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน รวมถึงการจ้างงานคนในฟื้นที่จังหวัดระยองและจังหวัดใกล้เคียง” แจ๊ปสัน กล่าวทิ้งท้าย   ปัจจุบัน ประเทศไทยมีโรงงานภายใต้ไมเดียกรุ๊ป จำนวน 8 แห่ง ครอบคลุมการผลิตตั้งแต่เครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้น 4 ล้านเครื่องต่อปี     Alternate-X สรุปให้ Midea ยักษ์อิเล็กทรอนิกส์จีน ลงทุนกว่า 2,260 ล้านบาท เปิดโรงงานแอร์เชิงพาณิชย์ในไทย มั่นใจไทยยังเป็นฐานยุทธศาสตร์สำคัญของอาเซียน แม้เจอภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 36% เร่งปรับแผนตลาด ลดความเสี่ยง ส่งออก 90% เจาะสหรัฐฯ–อาเซียน ดันนวัตกรรมแอร์อาคารประหยัดพลังงาน รองรับดีมานด์ HVAC โตต่อเนื่อง ตั้งเป้าผลิต 6 แสนยูนิตต่อปี สร้างงานกว่า 1,000 อัตรา หนุนเศรษฐกิจระยอง      

July 20, 2025 / 0 Comments
read more

ถอดรหัสแบรนด์ ‘วัตสัน’ อยู่ค้าปลีกไทยมา 29 ปี ขึ้น No.1 แบรนด์บิวตี้ในใจคนไทย  

BizKet

‘นวลพรรณ’ ผู้บริหาร ‘วัตวัน’ ร้านค้าปลีกความงามจากฮ่องกง ที่อยู่ไทยมานาน 29 ปี กับการปรับตัวมาต่อเนื่องท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาดและผู้บริโภคจนพาสู่ แชมป์ “Marketeer No.1 Brand Thailand 2025” สองปีซ้อน   นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย ผุ้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกความงาม ‘วัตสัน (Watsons)  กล่าวหลังรับรางวัลใหญ่จากเวที ‘Marketeer No.1 Brand Thailand 2025’ ในสาขาร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงาม (Beauty Store) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ซึ่งตอกย้ำการเป็นอันดับหนึ่งในตลาดสุขภาพและความงามที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคชาวไทย   จากผลสำรวจฯ ดังกล่าว ยังสะท้อนถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจวัตสัน ตลอด 29 ปีในไทย ต่อการพัฒนาแบรนด์วัตสันให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งได้จากข้อมูลด้านต่าง ๆ จากลูกค้าคนไทย ที่ผลักดันพร้อมโหวตให้วัตสันเป็น ‘แบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่งในใจของทุกคน’     “29 ปีที่ผ่านมา วัตสันให้ความสำคัญกับลูกค้ามาเป็นอันดับแรก พร้อมมุ่งพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าความคาดหวังของลูกค้าอยู่เสมอ (Exceed Customer Expectation)” นวลพรรณ กล่าวพร้อมเสริมว่า     ขณะที่ความสำเร็จ ของแบรนด์วัตสันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาถึงในปัจจุบัน และนำไปสู่ ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทยจากรางวัลฯ ดังกล่าว  ยังมาจาก   พนักงานวัตสันทั้งหลังบ้านและหน้าร้านสาขากว่า 6,000 คน ที่พร้อมให้บริการเหนือระดับ ทั้งในวันนี้และในอนาคต ความเชื่อมั่น การยอมรับ และความไว้วางใจที่ผู้บริโภคชาวไทยมีต่อแบรนด์วัตสัน มาอย่างต่อเนื่อง ตำแหน่งทางการตลาดร้านค้าปลีก ในฐานะผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามที่มุ่งมั่นส่งมอบสินค้าและบริการคุณภาพ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค สินค้าที่ครอบคลุมทุกความต้องการ บริการ CRM โปรแกรมสมาชิก Watsons Club ที่มอบสิทธิพิเศษต่างๆ การมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค โดยส่งมอบประสบการณ์ชอบปิงแบบไร้รอยต่อที่เชื่อมโยง ทั้งหน้าร้านที่ครอบคลุมกว่า 750 สาขาใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ และแพลตฟอร์มวัตสันออนไลน์ อย่างลงตัว   “ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง วัตสันยังคงยืนหยัดเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจสูงสุด พร้อมเดินหน้าเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคในทุกช่องทาง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคทุกช่วงวัยในหลายมิติ และสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้าทุกคนในทุกครั้งที่ชอปปิงที่วัตสัน”   นวลพรรณ​ กล่าวทิ้งท้าย       Alternate-X สรุปให้   วัตสัน ประเทศไทย คว้ารางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2025 เป็นปีที่ 2 ตอกย้ำความนิยมสูงสุดในกลุ่มร้านค้าปลีกความงาม ด้วยกลยุทธ์ลูกค้าเป็นศูนย์กลางตลอด 29 ปีในไทย พร้อมบริการจากทีมงานกว่า 6,000 คน ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ สินค้าครอบคลุมทุกความต้องการ และระบบสมาชิก Watsons Club ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคไทยอย่างแท้จริง

July 20, 2025 / 0 Comments
read more

แสนสิริ ย้ำสูตร JV ไปต่อทุนญี่ปุ่น มิตซุย ฟุโดซังฯ ลุยครึ่งหลังปี68 ทำ2 โครงการฯกว่า 6 พันล.

BizKet

การร่วมทุนพันธมิตรต่างชาติ หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ ‘แสนสิริ’ แมปไว้แต่ต้นปี2568 เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯต่างๆ ล่าสุดไปต่อกับ MFADT ทำ2 โครงการอสังหาฯ 2 ทำเลมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท   จากเมื่อต้นปีที่ผ่านมา  ‘อุทัย  อุทัยแสงสุข’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ บอกหนึ่งในแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568  เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯต่าง ๆ ในรูปแบบการร่วมทุน หรือ เจวี (Joint Venture) มากขึ้นเพื่อใช้เป็นแหล่งทุนในการพัฒนาโครงการต่างๆ ของแสนสิริ   ล่าสุด บริษัทฯ เจวี กับพันธมิตร บริษัท มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ MFADT ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เจวีใน 2 โครงการใหม่ในครึ่งหลังของปี 2568 นี้     โครงการแรก   นาราสิริ บางนา กม.10’ บ้านเดี่ยวระดับลักซูรี่ เอ็กซ์คลูซีฟ วางตำแหน่งเป็นโครงการระดับมาสเตอร์พีซแรกแห่งปี ภายใต้พอร์ตโฟลิโอ Sansiri Luxury Collection ให้ความส่วนตัวแห่งการอยู่อาศัย จำนวน 56 ยูนิต ตั้งอยู่ใน SANSIRI 10 EAST ลักซูรี่ คอมมูนิตี้แห่งใหม่จากแสนสิริ     โครงการถัดไป   บุราสิริ จตุโชติ” โครงการบ้านเดี่ยวบรรยากาศรีสอร์ท ดีไซน์ New England Colonial ราคาเริ่ม 15 – 30 ล้าน ตั้งอยู่ใน Sansiri Chatuchot Community อีกหนึ่งคอมมูนิตี้แห่งใหม่จากแสนสิริ พร้อมเปิดตัวภายในปีนี้   จากทั้งสองโครงการฯ เป็นความร่วมมือทางธุรกิจในการร่วมลงทุนพัฒนาโครงอสังหาฯ ระหว่าง แสนสิริ และ มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) สะท้อนความเชื่อมั่นของพันธมิตรในการทำงานของแสนสิริ ด้วยจุดแข็ง ความแข็งแกร่งของแบรนด์ ศักยภาพและความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักซูรี่   ขณะที่ บริษัท มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของมิตซุย ฟุโดซัง และเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น กลุ่มบริษัทมิตซุย ฟุโดซัง ได้นำความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยควบคู่กับการส่งมอบบริการที่ครอบคลุม เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน   สำหรับ แผนความร่วมมือกับมิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของแสนสิริตามแผนธุรกิจปี 68 ‘Dynamic Growth ปลุกตลาด สร้างความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคีย์ไดร์เวอร์ สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร คือ การขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ เพื่อพัฒนาโครงการ Joint Venture ร่วมกัน   ขณะที่ การผนึกกำลังระหว่าง แสนสิริ และ มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) ยังได้รวมจุดแข็งของผู้นำตลาดในประเทศไทย กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เพื่อสร้างสรรค์โครงการคุณภาพสูง ตอบสนองความต้องการของตลาดระดับบน พร้อมยกระดับมาตรฐานอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล   อนึ่ง กลุ่มบริษัทมิตซุย ฟุโดซัง ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2556 บริษัท มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด (MFADT) เป็นบริษัทในเครือของมิตซุย ฟุโดซัง จำกัด ในประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2560 รับผิดชอบกิจกรรมการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของมิตซุย ฟุโดซังในประเทศไทย   ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทมิตซุย ฟุโดซัง เดินหน้าขยายธุรกิจครอบคลุมทั้งในประเทศไทย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศอื่น ๆ รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน ไต้หวัน อินเดีย และออสเตรเลีย   โดยการพัฒนาและยกระดับธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญและวิสัยทัศน์ระยะยาว ภายใต้แผน INNOVATION 2030 ซึ่งประกาศขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2567   ขณะที่ ในปี 2567 บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อพัฒนาสองโครงการสำคัญ ได้แก่ นาราสิริ บางนา กม.10 และ บุราสิริ จตุโชติ มูลค่ารวมกว่า 6 พันล้านบาท   Alternate-X สรุปให้   แสนสิริเดินหน้ากลยุทธ์ร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติ ล่าสุดจับมือ มิตซุย ฟุโดซัง จากญี่ปุ่น เปิดก่อน 2 โครงการใหม่ ‘นาราสิริ บางนา กม.10’ บ้านหรูระดับลักซูรี่ และ ‘บุราสิริ จตุโชติ’ บ้านบรรยากาศรีสอร์ทสไตล์โคโลเนียล ทั้งสองโครงการรวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวครึ่งหลังปี 2568 สะท้อนความเชื่อมั่นพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น ต่อศักยภาพและความแข็งแกร่งของแบรนด์แสนสิริ เป็นก้าวสำคัญของแสนสิริสู่ การเติบโตแบบ Dynamic Growth และยกระดับอสังหาฯ ไทยสู่เวทีสากล

July 20, 2025 / 0 Comments
read more

‘ทองคำ’ ครึ่งหลังปี68 สองปัจจัยลุ้นทำ New High YLG มองกรอบในไทย 52,100 บาท

BizKet

วายแอลจี มองครึ่งหลังปีนี้ ราคาทองคำหากทำ New All Time High ลุ้นเป้าหมายถัดไปที่ 3,650 ดอลลาร์ พร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงทองคำ ผ่านแอปฯเป๋าตัง YLG Gold Wallet – Get Gold by YLG     พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่าจากการประเมินของ YLG คาดว่าราคาทองคำยังมีโอกาสสร้างจุดสูงสุดใหม่อีกในครึ่งปีหลัง   แม้ว่าล่าสุดราคาจะปรับตัวลดลงแต่มองว่าเป็นการขายทำกำไรระยะสั้น หลังจากที่ครึ่งปีแรกทองคำปรับตัวขึ้นแรงถึง 26% ซึ่งให้ผลตอบแทนสองหลักในทุกสกุลเงินทั่วโลก   โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้นไปในช่วงดังกล่าวมาจาก   ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น   ความไม่แน่นอนต่อระบบการเงินสหรัฐฯ จากการ Sell America ทิ้งดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ ยังเป็นแรงหนุนต่อทองคำ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่สูงขึ้น จะเป็นปัจจัยที่เข้ามาสกัดทิศทางขาขึ้นของทองคำระยะสั้น จากกระแสข่าวเจอโรม พาวเวลล์ อาจถูกปลดจากตําแหน่ง ประธานเฟด   ส่วนแนวโน้มทองคำในครึ่งปีหลัง YLG ยังคงให้น้ำหนักในการแกว่งตัวขึ้น และคงเป้าหมายแรกที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยหากสามารถขึ้นทำระดับสูงสุดครั้งใหม่ได้ มองเป้าหมายถถัดไปที่ 3,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของสภาทองคำโลกที่ล่าสุดได้เปิดเผยมุมมองทิศทางทองคำครึ่งปีหลังว่า จากกรณีพื้นฐาน (Consensus expectations) ทองคำยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้เล็กน้อยอีก 0-5%   หากช่วงที่เหลือของปีนี้ เฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ตามคาดการณ์ ประกอบความผันผวนในตลาดที่ยังคงอยู่  แต่หากเศรษฐกิจไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ ในกรณีที่ดีที่สุด (Bull case) ทองคำจะปรับตัวขึ้นได้อีกถึง 10-15% หากสหรัฐเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะงักงันพร้อมเงินเฟ้อที่รุนแรง (Stagflation)   ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น จนกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้ง   พร้อมมองว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นวงกว้างและต่อเนื่องในหลายพื้นที่นั้น อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันด้วยเวลาอันสั้น  ซึ่งจะยิ่งช่วยผลักดันให้ทองคำมากขึ้นในปีนี้   สำหรับทิศทางการเคลื่อนไหวของทองคำในช่วงนี้มองว่าระยะสั้นแกว่งตัวอยู่ในทิศทาง Sideway เพื่อรอปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาส่งผลต่อราคา โดยมองกรอบแนวรับระยะสั้นที่ 3,320-3,310 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนแนวต้านมองที่ 3,375-3,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์  ส่วนทองคำในประเทศมองระยะสั้นเคลื่อนไหวในกรอบ 50,800-52,100 บาทต่อบาททองคำ   ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่มีเงินลงทุนเริ่มต้นจำกัด YLG ได้เปิดให้บริการ Gold Wallet บนแอปเป๋าตังบริการซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ด้วยราคาเรียลไทม์ ซื้อขายทองต่อครั้งด้วยขั้นต่ำ 0.1 ออนซ์ สูงสุดแบบเต็มเพดาน ได้สูงสุดถึง 700 ออนซ์ หรือ 20 กิโลกรัม   ส่วนนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการสะสมทอง และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย และสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย   สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง   โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold โทร. 0-2678-9888 #2 Alternate-X สรุปให้ YLG ประเมินว่าราคาทองคำยังมีโอกาสสร้างจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งในครึ่งปีหลัง 2568 แม้ล่าสุดราคาจะปรับลง ถือเป็นการขายทำกำไรระยะสั้นหลังครึ่งปีแรกพุ่งถึง 26% ปัจจัยหนุนสำคัญ จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาต่อระบบการเงินสหรัฐฯ พร้อม คงเป้าหมายทองคำในตลาดโลกที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ออนซ์ และอาจถึง 3,650 ดอลลาร์ฯ หากเกิดภาวะ Stagflation หรือความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ส่วนทองคำในประเทศ YLG มองกรอบการเคลื่อนไหวระยะสั้นที่ 50,800-52,100 บาท/บาททองคำ        

July 19, 2025 / 0 Comments
read more

โซเชียลดีท็อกซ์-ศก.ซึม โอกาสของฟีเจอร์โฟน และการกลับมามีบทบาทในตลาดของ ‘โนเกีย’

BizKet

HMD ประเทศไทย ส่งแผนครึ่งหลังปี 68 ทำตลาดมัลติแบรนด์ควบ ‘โนเกีย’ รุ่นใหม่เจาะทุกกลุ่ม พร้อมจัดหนักตลาด ‘ฟีเจอร์ โฟน’ คอลแล็บส์ บาร์บี้-FC บาเซโลนา รับเทรนด์โซเชียล ดีท็อกซ์ มา   ภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD) ผู้รับสิทธิ์ทำตลาดสมาร์ทโฟน HMD และ โนเกีย (Nokia) เปิดเผยว่าบริษัทฯ วางแนวทางธุรกิจในครึ่งหลังปี 2568 ปี ภายใต้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ ด้วยการทำตลาดแบรนด์ HMD  ควบคู่ไปกับการแบรนด์โนเกีย ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์สมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟน เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค   โดย HMD และโนเกีย วางตำแหน่งทางการตลาดเป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์ยุโรปที่มีคุณภาพ ทนทาน ในระดับพรีเมียม เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือของแบรนด์ในตลาด   “ในตลาดฟีเจอร์โฟน นอกจากจะตอบความต้องการกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มองค์กรธุรกิจที่ใช้ฟีเจอร์โฟนแทนโทรศัพท์ในสำนักงานแล้ว เรายังเห็นโอกาสที่ฟีเจอร์โฟนจะตอบโจทย์เทรนด์ Social Detox ที่ลดการพึ่งพาสมาร์ทโฟนอีกด้วย” ภราดร กล่าว   จากแนวทางดังกล่าว บริษัทฯ คาดว่า ในช่วงกรกฏาคม – ธันวาคม 2568 นี้ จะสามารถเติบโตเป็น 20 – 25% จากสินค้าใหม่ที่นำออกสู่ตลาดในครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นการเติบโตอาจเป็นไปได้ในวงที่จำกัด เนื่องจากสภาวเศรษฐกิจที่ยังคงทรงตัว   ขณะที่ HMD จะใช้กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่เน้นกลุ่มสินค้าราคาที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้บริโภค   “ตลาดฟีเจอร์โฟนนั้น HMD มีแผนเปิดตัวโทรศัพท์มือถือปุ่มกดจากแบรนด์ HMD เร็ว ๆ นี้ โดยจะเป็นฟีเจอร์โฟนที่ทันสมัย ทนทาน และพรีเมียม พร้อมฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค” ภราดร กล่าว   นอกจากนี้ HMD ยังวางแนวทางการทำตลาดร่วมกับพันธมิตร (Collaboration Marketing) เช่น บาร์บี้ และ FC บาเซโลนา หลังจากในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดตัว ผลิตภัณฑ์ 2 รุ่น อย่าง HMD Barca 3210 และ HMD Barca Fusion เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด พร้อมตอกย้ำความเป็นแบรนด์ยุโรปที่มีมาตรฐานสากลและเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้บริโภค และได้การตอบรับจากแฟน FC บาเซโลนา อย่างมากในตลาดต่างประเทศ โดย “HMD ยังมีแผนขยายผลจากความสำเร็จนี้ต่อไปในอนาคตอันใกล้ในประเทศไทย ด้วย”   ขณะเดียวกัน บริษัทจะยังมุ่งช่องทางการขาย ผลิตภัณฑ์ HMD และ โนเกีย ให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ ทั้งทางหน้าร้านค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และทางร้านค้าออนไลน์อย่างเป็นทางการของ HMD ประเทศไทย ที่มีอยู่ในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ อาทิ Shopee, Lazada, และ Tiktok Shop   สำหรับด้านบริการหลังการขาย HMD มี HMD Service Center เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ HMD และ โนเกีย ทั่วประเทศ สามารถส่งเครื่องซ่อมผ่านทาง EMS ฟรี ณ ที่ทำการไปรษณีย์กว่า 1,200 สาขา รวมทั้งบริการ Pick Up Service รับเครื่องซ่อมนอกสถานที่ให้ลูกค้าเลือกใช้บริการ เพียงติดต่อ LINE: npk2465 หรือ NPK Call center โทร. 02-005-0195   “จากแนวทางดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าหมายเติบโต 20-25% จากสินค้าใหม่ที่จะเปิดตัวในครึ่งหลังปีนี้” ภราดร กล่าว   ขณะที่ ในครึ่งแรกของปี 2568 HMD มียอดขายเพิ่มขึ้น 15% มาจากความต้องกการของผู้บริโภคทั้งในกลุ่มสมาร์ทโฟน และตลาดฟีเจอร์โฟนในประเทศไทย ที่ยังมองหาอุปกรณ์มือถือคุณภาพที่ทนทาน ใช้งานได้นาน คุ้มค่า คุ้มราคา และตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน และเป็นแนวโน้มต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้   Alternate-X สรุปให้ HMD ประเทศไทย เดินหน้ากลยุทธ์มัลติแบรนด์ จับตลาดทั้ง HMD และ Nokia ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย เร่งเจาะตลาด ‘ฟีเจอร์โฟน’ รับกระแส Social Detox พร้อมจับมือแบรนด์ดังอย่าง Barbie และ FC Barcelona จะพาสู่ยอดขายครึ่งหลังปี 68 โต 20-25% แม้เศรษฐกิจชะลอ ด้วยสินค้าใหม่เข้าถึงง่าย เสริมความแข็งแกร่งด้วยบริการหลังการขายผ่าน EMS และ Pick Up Service หลังครึ่งปีแรกยอดขายโตแล้ว 15% สะท้อนความต้องการมือถือทน-คุ้มค่าของผู้บริโภคไทย

July 18, 2025 / 0 Comments
read more

‘คานิว่า’ แบรนด์อาหารแมว ธุรกิจที่เกิดจากความไม่รู้ของทาส เปิดร้าน ‘เพ็ท ช้อป’ ก่อนพาสู่รายได้พันล.

BizKet

‘Kaniva’ แบรนด์อาหารแมวและสุนัข ที่มีจุดเริ่มต้นจากความไม่รู้ของทาสแมวมือใหม่ ที่อยากทำธุรกิจมาแก้เพนพอยต์ให้กับ ‘Pet Parent’ ทั้งหลายด้วย คุณภาพสินค้าในราคาโอเค ปัจจุบันเข้าสู่ปีที่5 ด้วยยอดขายกว่าพันล.   จารุวัฒน์ เลาหวิศิษฏ์ กรรมการบริหาร บริษัท เพ็ท โพรเทคท์ ฟู้ด จำกัด ผู้ทำตลาดอาหารแมวและสุนัขแบรนด์ Kaniva (คานิว่า) เล่าจุดเริ่มต้นธุรกิจ ที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ในปี 2557   ในตอนนั้น ‘จารุวัฒน์’ ยังเป็นเป็นนักศึกษาชั้นปี 2 และเข้าสู่วงการทาสแมว ในฐานะผู้ปกครอง “น้องเบค่อน” เป็นแมวตัวแรก   โดยช่วงนั้น ‘จารุวัฒน์’ บอกว่า ไม่ทราบอะไรมากนักเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ และทุกครั้งจะต้องไปที่ร้าน เพ็ต ช้อป (Pet Shop)แถวบ้าน เพื่อปรึกษาผู้ขายเกี่ยวกับอาหารแมวที่เหมาะสมกับลูกแมว   ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมา คือ ‘ให้เลือกซื้อแบรนด์ที่แพงที่สุด‘   จากจุดเจ็บ นี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้ ‘จารุวัฒน์’ นำกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริงหรือ? อาหารแมวที่ดี ต้องมีแต่ราคาสูง? และกลายเป็น ‘แพสชั่น’ ที่เร่งไอเดียให้เขาอยากให้คำปรึกษาผู้ปกครองสัตว์เลี้ยงมือใหม่ ในด้านอาหารสัตว์อย่างละเอียด เพื่อให้ Pet Parent รายอื่นไม่ต้องมาเจอปัญหาแบบเดียวกับเขา   ดังนั้น ‘จารุวัฒน์’ และ นิติพงศ์ เลาหวิศิษฏ์ (พี่ชาย) จึงร่วมลงขันใช้เงินราว 2 ล้านบาท เปิดธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงครั้งแรกเป็นร้าน Pet Shop ชื่อ ‘เคเพ็ท’ ซึ่งใช้ระยะเวลาราว 6 ปี และสามารถขยายสาขาได้รวม 5 แห่ง   เมื่อธุรกิจเพ็ต ช้อป ดำเนินการมาถึงจุดหนึ่ง ที่ทั้งสองพี่น้อง มีแพสชั่นอยากทำธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น ด้วยการก่อตั้งบริษัท เพ็ท โพรเทคท์ ฟู้ด จำกัด ขึ้นในปี 2563  เพื่อทำธุรกิจอาหารแมวภายใต้แบรนด์ Kaniva (คานิว่า) ขึ้นมาก่อน ถัดมาอีก 3 ปี บริษัทได้ขยายตลาดอาหารสุนัข หมา และตัดสินใจขายธุรกิจเพ็ต ช้อป เพื่อมุ่งทำธุรกิจอาหารสัตว์ อย่างเดียว     ‘ถูกใจคน รู้ใจแมว’ อินไซต์คานิว่า   จากเพน พอยต์ ในช่วงแรกของการเป็นทาสแมวมือใหม่ ทำให้ ‘จารุวัฒน์’ รู้ความต้องการเชิงลึกของลูกค้าเหล่าทาสเป็นอย่างดี ที่ใช้เป็นจุดตั้งต้นในการพัฒนาสินค้าอาหารแมว คานิว่า ออกสู่ตลาดที่มีคุณภาพดี ในราคาย่อมเยาลงมา เช่น อาหารแมวแบบเม็ด เริ่มต้นขนาดบรรจุ 400 กรัม ในราคาไม่ถึง 100 บาท   ไปพร้อมกับพัฒนาสินค้าจากความต้องการเชิงลึกของเหล่า Pet Parent ด้วยเช่นกัน อาทิ   อาหารแมวแบบเม็ด สูตร Grain-Free ไม่ใช้ธัญพืชอย่างข้าวโพด ข้าว เนื่องจากพบว่า มีกลุ่มแมวแพ้ธัญพืช ทำให้หาอาหารสัตว์ได้ยากและมีราคาสูง อาหารแมวแบบเปียกใส่วิตามินบอล และคอลลาเจนบอล สำหรับ Pet Parent ที่ต้องการบำรุงร่างกาย/ขนน้องแมวโดยเฉพาะ อาหารแมวแบบเปียกซีรีส์ไข่ตุ๋น สำหรับให้แมวได้กินอาหารแบบที่เรากิน แต่ยังคงรักษาสุขภาพ     สร้างแบรนด์จดจำผ่านมิวสิค มาร์เก็ตติง   จารุวัฒน์ กล่าวต่อ ถึงแนวทางการทำตลาด ‘คานิว่า’ ยังได้นำกลยุทธ์ มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง ในเพลงคานิว่าอาหารแมว มาใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นการตัดสินใจถูกกลยุทธ์ ที่กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารการตลาดสำคัญที่สร้างการจดจำแบรนด์คานิว่า ให้ติดหูทั้งกลุ่มเป้าหมายและในวงกว้างได้เป็นอย่างดี แม้ว่าอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับหน้าตาแบรนด์มากนักเท่าใด   ขณะที่ในปี 2568 นี้ คานิว่า ยังให้ความสำคัญการทำตลาดผ่านแคมเปญใหญ่ พร้อมใช้พรีเซ็นเตอร์ศิลปินวง BUS ทั้ง 12 คน เพื่อขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ Generation Z อย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าเป็นกลุ่มมีสัตว์เลี้ยงสูงถึง 30%   “จากการการดำเนินงานทั้งหมดนี้ ทำให้ คานิว่า เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่โตเร็ว ภายใน 5 ปี มีรายได้แตะหลักพันล้านบาท” จารุวัฒน์ กล่าว   ขณะที่ ‘Kaniva’ ถือเป็นแบรนด์น้องใหม่ มีอายุเพียง 5 ปี แต่รายได้กลับโตเร็วเฉลี่ย 292% ต่อปี!   ปี 2563 รายได้ 9 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 7.71 แสนบาท ปี 2564 รายได้ 150 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 442 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6 ล้านบาท ปี 2566 รายได้ 909 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4 ล้านบาท ปี 2567 รายได้ 1,167 ล้านบาท กำไรสุทธิ 84 ล้านบาท   จากการเติบโตของคานิว่า ยัง สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ที่ขยายตัวสูงตามแนวโน้มคนเลี้ยงสัตว์เป็นลูก มากขึ้นเช่นกัน     จากนี้ไป คือ กำไรแล้ว     จารุวัฒน์ กล่าวว่า แผนงานต่อไปของคานิว่า คือ การพาแบรนด์อาหารสัตว์ในไทยไปสู่ตลาดระดับโลก   โดยใน 2565 แบรนด์คานิว่า ได้นำผลิตภัณฑ์ร่วมออกบูธแสดงสินค้าในต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศ อินโดนีเซีย ก่อนขยายสู่ประเทศในอาเซียน และตะวันออกกลาง โดยในปัจจุบัน คานิว่า ทำตลาดต่างประเทศครอบคลุม 18 ประเทศทั่วโลก และในปีนี้วางแผนยายเพิ่มอีก 2 ประเทศ อาทิ จีน จะช่วยหนุนยอดขายให้เติบโต   จารุวัฒน์ ทิ้งท้ายว่า “ปีนี้ คานิว่าวางตั้เป้าเติบโตราว 30% และในอนาคตอยากอยากให้แบรนด์คานิว่าเป็นท็อป ออฟ มายด์ ในอันดับต้นของกลุ่มเพ็ต พาเรนต์ ด้วยในตอนนี้เราโตเกินฝันที่ตั้งไว้ตอนต้น และจากนี้ต่อไปมันคือกำไรแล้ว”     Alternate-X สรุปให้    ‘Kaniva’ แบรนด์อาหารแมวและสุนัข เกิดจากจุดเจ็บของทาสแมวมือใหม่ ที่อยากสร้างทางเลือกที่ดีกว่าให้ Pet Parent ได้คุณภาพในราคาจับต้องได้ โดยเริ่มจากร้าน Pet Shop สู่การก่อตั้งแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงอย่างจริงจังในปี 2563 ด้วยกลยุทธ์เข้าใจอินไซต์ผู้เลี้ยงสัตว์ + มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ จนมีเติบโตเฉลี่ย 292% ต่อปี สร้างรายได้ทะลุพันล้านภายใน 5 ปี พร้อมแผนเดินหน้าสู่ตลาดโลก ตั้งเป้าให้ Kaniva เป็นแบรนด์ในใจของกลุ่ม Pet Parent

July 17, 2025 / 0 Comments
read more

สงครามหม้อไฟ 2.5 หมื่นล. ตลาดนี้เป็นของผู้บริโภค ชอบน้ำซุป-น้ำจิ้ม แบบไหนไปแบรนด์นั้น

BizKet

หลังจาก ‘โบนัส สุกี้’ ร้านอาหารแนวหม้อไฟสไตล์บุฟเฟต์ในเครือ MK เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ในสาขาแรก ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ จังหวัดสระบุรี ซึ่งได้การตอบรับจากสายกิน ในพื้นที่แบบล้นหลาม พร้อมกระแส ‘รีวิว’ ที่เข้าไปใช้บริการจนเต็มหน้าฟีดบนแพล็ตฟอร์มโซเชียลต่างๆ   ภาพประกอบจากเพจเฟซบุ๊ค BONUSSUKI   ขณะเดียวกับที่ในเช้าวันนี้ (17 ก.ค.) ราคาหุ้นกลุ่ม MK ยังเป็นไปในทิศทางบวกเพิ่มขึ้น +1.47% จากเมื่อวาน (16 ก.ค.) ปิดราคาในกระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อยู่ที่ 21.20     ทั้งนี้ หากมองในมุมการแข่งขันในตลาดร้านอาหารแนวหม้อไฟที่มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท และหากแยกออกมาเป็นกลุ่ม ‘สุกี้’ แล้วพบว่าการเข้ามาของโบนัส สุกี้ เป็นตัวเร่งความแรงให้เดือดขึ้นอย่างมากในแบรนด์เดิมที่อยู่ในตลาด สุกี้ บุฟเฟต์ เช่นกัน   ด้วยในวันเดียวกันนั้นเอง แบรนด์ร้านสุกี้ บุฟเฟต์ ทั้ง ตี๋น้อย (Teenoi) และ ลัคกี้ (Lucky) ต่างส่งโปรโมชันแรงออกมารับแบรนด์น้องใหม่ ‘โบนัส สุกี้’ เพื่อสร้างการจดจำทั้งการชิงพื้นที่สื่อ ไปพร้อมการย้ำแบรนด์ให้อยู่ในคนรุ่นใหม่ สายกิน สายบุฟเฟต์ ให้ต้องนึกถึงเพื่อเลือกใช้บริการเป็นอันดับแรกๆ   ภาพประกอบจากเพจ เฟซบุ๊ค สุกี้ตี๋น้อย   มาดูกันว่า ในช่วงที่ผ่านมาแต่ละแบรนด์ สุกี้ บุฟเฟต์ จัดโปรแรงมาเรียกแขกอะไรกันออกมาบ้าง นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ เริ่มเลยกันที่!!   #สุกี้ตี๋น้อย (Suki Teenoi)   โปรโมชั่น ลด 50% เหลือ 117 บาท Net (รวมเครื่องดื่มรีฟิลฟรี): สำหรับการเปิดโต๊ะในช่วงเวลา 00.01 – 05.00 น. โปรสำหรับลูกค้าทรู: แลก TruePoint รับส่วนลด 30 บาท (เงื่อนไขอาจมีการเปลี่ยนแปลง) ระยะเวลาโปรโมชั่น (เฉพาะโปร 50%): วันที่ 17-18 กรกฎาคม 2568 (คืนวันพุธเข้าเช้าวันพฤหัสบดี และคืนวันพฤหัสบดีเข้าเช้าวันศุกร์) ที่ 10 สาขาที่ร่วมรายการ   ขณะที่ โปรโมชั่นหลัก 219 บาท (ไม่รวมน้ำและ VAT) หรือ 276 บาท Net ยังคงมีอยู่ตามปกติ นอกจากนี้ยังมีโปรฯย่อยๆ อื่นที่จัดกิจกรรมก่อนหน้าและทยอยสิ้นสุดในแต่ละช่วง   #ลัคกี้ สุกี้ (Lucky Suki)   โปรโมชั่น   เครื่องดื่มรีฟิลฟรี: ในช่วงเวลา 10.30 – 17.00 น. (ทำให้ราคาบุฟเฟต์รวมน้ำเป็น 234 บาท) และ 17.00 – 24.00 น. (ราคา 276 บาท) ลุ้นจับฉลากไข่ทองคำ: 1 โต๊ะต่อ 1 สิทธิ์ ลุ้นกินฟรีทั้งโต๊ะ, ส่วนลด 50% ทั้งโต๊ะ, หรือลุ้นสิทธิ์ครั้งต่อไป โปรโมชั่นกุ้ง: กุ้งแก้ว/กุ้งก้ามกราม/หมึกกระดอง เพิ่ม 19 บาท/ท่าน หรือ +39 บาท/ท่าน สำหรับบางเมนู   ระยะเวลาโปรโมชั่น เครื่องดื่มรีฟิลฟรีสำหรับช่วงเวลาต่างๆ และโปรกุ้งแก้ว/กุ้งก้ามกรามตั้งแต่ตอนนี้ถึง 1 มกราคม 2569   นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นส่วนลดลูกค้าทรู 20 บาท ซึ่งต้องแลก TruePoint และเงื่อนไขขึ้นอยู่กับ TrueID     ล่าสุด ยังมีโปรโมชั่น ลัคกี้ สุกี้ เสิร์ฟ ‘เป็ดย่างโชคดี’ ไม่อั้น ฟรีทุกสาขา! เป็นเมนูที่รวมอยู่ในราคาบุฟเฟต์ปกติ 219 บาท (ไม่รวมน้ำและ VAT) แต่ถ้ารวมแล้วราคาอยุ่ที่ 276 บาท (Net) แน่นอนว่า เป็ดย่างจะเสิร์ฟมาพร้อมกวางตุ้งและขิงดอง (ส่วนเมนูหมี่หยกอาจต้องสั่งแยก)   ระยะเวลาโปรโมชั่นนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 – 27 กรกฎาคม 2568   ถึงจะมาใหม่ก็ต้องเรียกแขก   #Bonus Suki   โปรโมชั่น โปร 1 ฟรี 1 (รับโบนัสทานฟรี 1 ท่าน มูลค่า 219 บาท)   ระยะเวลาโปรโมชั่น ตั้งแต่วันที่ 16 – 20 กรกฎาคม 2568 (จำกัด 100 สิทธิ์/วัน แบ่งเป็น 2 รอบต่อวัน รอบแรก 11:00 น. 50 สิทธิ์, รอบสอง 20:00 น. 50 สิทธิ์) เฉพาะสาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ สระบุรี   สำหรับ ราคาบุฟเฟต์ปกติ 219 บาท (ไม่รวมเครื่องดื่มรีฟิล 39 บาท และ VAT 7% เน็ต 276 บาท) มีเมนูให้เลือกกว่า 60 เมนู เปิดตั้งแต่เที่ยงวันยันตีห้า (11.00 – 05.00 น.)   แบรนด์ตัวแม่ ก็เล่นด้วย!!   #MK สุกี้ (เฉพาะโปรโมชั่นบุฟเฟต์)   โปรโมชั่น ‘MK คุ้มคุ้ม อิ่มไม่อั้น 299 บาท’ (ราคาสุทธิ) รับประทานตลอดทั้งวัน   ระยะเวลาโปรโมชั่น 1 กรกฎาคม 2568 – 31 กรกฎาคม 2568   สำหรับเด็กส่วนสูงไม่เกิน 110 ซม. ทานฟรี, ส่วนสูง 110-130 ซม. คิด 149 บาทสุทธิ ระยะเวลาในการรับประทาน 90 นาที   คนเราต้องกินเท่าไหร่? ถึงจะอิ่ม   อย่างไรก็ตาม จากโปรแรงยกแผงในตลาด ‘สุกี้ บุฟเฟต์’ ที่ในตอนนี้แต่ละแบรนด์ต่างจัดแคมเปญการตลาดออกมาเรียกลูกค้าสายกิน ที่ชื่นชอบความคุ้มค่า จากการกินไม่อั้น ด้วยแนวคิด ‘บุฟเฟต์’ ที่แม้ว่าจะถุกกำหนดระยะเวลาการกินไว้ก็ตาม   แต่หากมองตามหลักการ มีคำถามน่าสนใจว่า? โดยปกติแล้วคนทั่วไปจะรับประทานอาหารแล้วอิ่มในปริมาณเท่าใด หรือ คิดเป็นกี่กิโลกรัมต่อคนต่อมื้อ   จากข้อมูลพบว่า โดยเฉลี่ย คนทั่วไปจะรู้สึก ‘อิ่ม’ จากปริมาณอาหารดังนี้   โดยน้ำหนักอาหารรวม ของ ผู้หญิงทั่วไป: 0.5 – 0.8 กิโลกรัม ส่วนผู้ชายทั่วไป: 0.8 – 1.2 กิโลกรัม   หากเป็นสายแข็ง (กินเยอะจริงๆ) อาจแตะ 1.5 – 2.0 กก. (ก็เป็นไปได้)   นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบที่มีผลต่อความอิ่ม อีกด้วย เช่น อาหารที่มีน้ำหนักมาก อย่าง ข้าว, เส้น, น้ำซุป ยิ่วกินมากก็ยิ่งเร่งความเร็วในการอิ่มไวขึ้น เพราะ ‘ปริมาตร’ เยอะ   ส่วน กลุ่มไขมัน/โปรตีนสูง เช่น หมูสามชั้น, ชีส, เนื้อย่าง จะช่วยให้อิ่มนาน เพราะย่อยช้า   ขณะที่ กลุ่มไฟเบอร์สูง อย่าง ผัก, สาหร่าย ช่วยทำให้อิ่มเร็วเช่นกัน แต่ก็มีแคลอรีต่ำ   แต่ละแบรนด์ มีรายได้เท่าไหร่ ?   ด้วยมูลค่าของตลาดสุกี้ ในปัจจุบันคาดอยู่ที่ 2.3-2.5 หมื่นล้านบาท และหากแบ่งออกเป็นกลุ่ม สุกี้ บุฟเฟต์ ในตลาดแมสซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงและขยายการเติบโตได้อีก ที่ในตอนนี้รวมแล้วมีผู้เล่นหลัก 3 แบรนด์ คือ ตี๋น้อย, ลัคกี้ และ น้องใหม่ โบนัส สุกี้   ขณะที่ ประชาชาติธุรกิจ ระบุข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2567 พบว่า   ลัคกี้ สุกี้ มีรายได้รวม 1,015 ล้านบาท เติบโต 148.16% จากปี 2566 มีรายได้ 409 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134% สุกี้ตี๋น้อย หรือ บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป มีรายได้รวม 7,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% มีกำไรสุทธิ 1,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.8% ‘เอ็มเค สุกี้’ ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดกลาง-บน ก่อนแตกแบรนด์ลูก (โบนัส สุกี้) ในปี 2567 มีรายได้ 15,418 ล้านบาท ลดลง 7.5% และกำไรสุทธิ 1,442 ล้านบาท ลดลง 14.3% และมียอดขายร้านเดิมลดลง 10% เช่นกัน   แน่นอนว่า จากตัวเลขผลประกอบการที่เพลี่ยงพล้ำเมื่อเทียบกับสองแบรนด์ ตี๋น้อย และ ลัคกี้ น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ เอ็มเค สุกี้ ตัดสินใจได้ไม่ยากว่าหากไม่สามารถต้านทาน (กระแสแมส บุฟเฟต์) ได้ ก็จงเข้าร่วมไปเลยแล้วกัน   และจากการเข้ามาของแบรนด์ โบนัส สุกี้ ในเครือเอ็มเค ที่เปิดตลาดมาในครึ่งหลังของปี 2568 ยังทำให้ในเดือนกรกฎาคม นี้เป็นของผู้บริโภคสายกินให้เลือก #บุฟเฟต์ใกล้ฉัน ได้อย่างถูกจริต ได้มากที่สุด   ด้วยมาถึงในจุดนี้ ตลาดหม้อไฟแนวสุกี้ที่แต่ละแบรนด์ต่างร่วมวงแข่งขันในตลาดแมส ด้วยการ ‘กำหนดราคา’ มาทำตลาดในอัตราที่ใกล้เคียงกัน พร้อมกับจัดโปรแรงเพื่อเรียกความสนใจลูกค้าโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้มาใช้บริการ   และเมื่อทั้งราคากับการทำโปรฯที่คล้ายคลึงกันแบบนี้ อาจทำให้มีตัวแปรใหม่ในการตัดสินใจเดินเข้าร้านเกิดขึ้น ด้วยอาจต้องไปวัดพลังกันที่รสชาติ ของน้ำซุป และ น้ำจิ้ม ว่าค่ายไหนจะเด็ดสุดในใจผู้บริโภค ให้เลือกใช้เงินได้คุ้มค่ากับค่าบุฟเฟต์ ให้ได้มากที่สุด   เรียกว่า ศึกมหาสงคราม ‘สุกี้’ ในครั้งนี้ ตลาดได้กลายเป็นของผู้บริโภค ไปแล้วอย่างแท้จริงแล้ว   Alternate-X สรุปให้    การแข่งขันในตลาด สุกี้บุฟเฟต์ ดุเดือดหลัง “โบนัส สุกี้” จากเครือ MK เปิดตัว พร้อมโปร 1 แถม 1 ที่สาขาแรกในสระบุรี ทำให้แบรนด์เดิมอย่าง ตี๋น้อย และ ลัคกี้ สุกี้ ไม่ยอมแพ้ ส่งโปรแรงรับมือ พร้อมย้ำแบรนด์ในใจสายกิน เจาะตลาดมูลค่า 2.3-2.5 หมื่นล้านบาทนี้ จนกลายเป็นสมรภูมิราคา-โปรโมชั่น ที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์ ขณะเดียวกัน หุ้น MK ขยับบวก +1.47% หลังเปิดตัวแบรนด์ใหม่  เรียกได้ว่าในเดือนกรกฎาคม 2568 จึงกลายเป็น ‘เดือนทอง’ ของสายบุฟเฟต์ ที่โปรแน่น จัดหนักทุกแบรนด์

July 17, 2025 / 0 Comments
read more

ผมร่วง-ผมบาง!! ปัญหาใหญ่สุขภาพวัยทำงาน ยิ่งเครียดสะสม ผมยิ่งร่วงหนักมาก

Peace&Play

แพทย์ รพ.วิมุต เผยสาเหตุหลัก ‘ยิ่งเครียดยิ่งผมร่วง’  ในวัยทำงานอายุ 25-45 ปี นำไปสู่ภาวะผมบาง พาเสียความมั่นใจบุคลิกภาพ แต่ไม่ห่วงปัจจุบันมีวิธีรักษาได้ไม่ยาก   เชื่อว่าหลายคนคงเคยรู้สึกว่าทำไมผมร่วงเยอะจัง แค่หวีเบา ๆ หรือสระผมก็หลุดติดมือมาเป็นกำ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องแบกรับทั้งภาระหน้าที่และความเครียดสะสมในแต่ละวัน   เพราะจริง ๆ แล้ว ความเครียดเป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เส้นผมหลุดร่วงเร็วกว่าปกติและนำไปสู่ “ภาวะผมร่วง” ที่จะมีอาการผมร่วงอย่างต่อเนื่อง และหากปล่อยไว้นานเกินไป รากผมอาจเสียหายถาวรและไม่สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ ส่งผลให้ผมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดจนเป็น “ภาวะผมบาง”   ดังนั้นถ้าไม่อยากผมบางจนเสียความมั่นใจ วันนี้ พญ.กรผกา ขันติโกสุม แพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนัง ศูนย์ผิวหนังและความงาม รพ.วิมุต จะมาเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงมากผิดปกติและแชร์เทคนิคดูแลสุขภาพเส้นผมให้แข็งแรงขึ้น   พญ.กรผกา ขันติโกสุม แพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนัง ศูนย์ผิวหนังและความงาม รพ.วิมุต   ปัญหาใหญ่วัยทำงาน ยิ่งเครียด ผมยิ่งร่วง   หนึ่งในสาเหตุของปัญหาผมร่วงที่พบได้บ่อยและหลายคนมักมองข้าม คือ ความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนวัยทำงานอายุระหว่าง 25-45 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ชีวิตเต็มไปด้วยแรงกดดันจากงานและหน้าที่รับผิดชอบ ส่งผลให้เกิดภาวะเครียดสะสม ในบางรายที่มีภาวะเครียดเรื้อรังหรือมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย อาจมีพฤติกรรมดึงผมตัวเองแบบไม่รู้ตัว หรือที่เราเรียกว่าโรคดึงผมตัวเอง (Trichotillomania) ซึ่งอาจทำให้ผมบางเร็วขึ้น   พญ.กรผกา ขันติโกสุม บอกว่า “นอกจากความเครียดยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ผมร่วงได้ เช่น ภาวะผมบางจากพันธุกรรม (Androgenetic Alopecia) เกิดจากความไวของรากผมต่อฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ผู้หญิงหลังคลอด วัยหมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิดและยารักษาสิว   ส่วนอาหารการกินก็เกี่ยว ถ้ามีการอดอาหาร ขาดธาตุเหล็ก วิตามิน D วิตามิน B12 หรือโปรตีน ก็อาจทำให้ผมอ่อนแอและหลุดร่วงง่าย ในบางคนอาจมีพฤติกรรมทำร้ายเส้นผม   เช่น นอนในขณะหัวชื้น หวีผมขณะผมเปียก มัดผมตึงเกินไป ใช้สารเคมี ไดร์หรือหนีบผมด้วยความร้อนสูงเป็นประจำ และยังมีโรคบางชนิดที่ทำให้ผมร่วงอย่างโรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata) และผื่นเซ็บเดิร์ม   รวมทั้งผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางประเภท เช่น ยาเคมีบำบัดหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นเดียวกับมลพิษทางอากาศ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเส้นผมเช่นกัน”     เช็กด่วน! ผมร่วงแบบนี้พบแพทย์ทันที   หลายคนที่กังวลเรื่องผมร่วงมักสงสัยว่าผมร่วงเยอะแค่ไหนถึงต้องไปหาหมอ เพราะปกติเส้นผมก็ร่วงอยู่ทุกวัน โดยทั่วไปผมของเราจะร่วงประมาณ 100 เส้นต่อวัน หรือมากถึง 200 เส้นในวันที่สระผม แต่ถ้ามีอาการผมร่วงอย่างชัดเจน เช่น ผมติดหวีหรือหมอนเป็นจำนวนมาก หรือหล่นบนพื้นห้องน้ำมากผิดปกติ ก็ถือเป็นสัญญาณแรกที่ไม่ควรมองข้าม   พญ.กรผกา ขันติโกสุม อธิบายว่า “เบื้องต้นสามารถเช็กความเสี่ยงได้ด้วยการใช้นิ้วมือสางผมเบา ๆ หากมีผมหลุดมากกว่า 2 เส้นหลายครั้ง ก็ควรเข้าไปรับคำปรึกษาจากแพทย์แต่เนิ่น ๆ   ส่วนในกรณีที่มีอาการรุนแรง เช่น ผมร่วงเป็นหย่อม คลำเจอจุดหัวล้าน มีอาการคัน แสบ หนังศีรษะแดง มีสะเก็ดหรือหนองร่วมด้วย ผมร่วงรวดเร็วภายใน 2–4 สัปดาห์ มีบริเวณหัวล้านขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด หรือประจำเดือนขาด ก็แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อรักษาทันที”   แนวทางการรักษาผมร่วง-บาง ในปัจจุบัน   ในปัจจุบัน การรักษาปัญหาผมร่วงและผมบางได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก มีทั้งการรักษาด้วยยาและเทคโนโลยีใหม่ที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เบื้องต้นแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยา เช่น Minoxidil ซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณรากผม ใช้ได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง   ส่วนอีกตัวคือ Finasteride ซึ่งเป็นยาลดระดับฮอร์โมน DHT ที่นิยมใช้ในผู้ชายเพื่อป้องกันผมร่วงจากพันธุกรรม หรืออาจรักษาด้วยวิธีการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) และการฉายแสงสีแดง (Low-level laser therapy) เพื่อกระตุ้นให้รากผมกลับมาแข็งแรงขึ้น   ขณะที่ “การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมก็มีส่วนช่วยบ้าง แต่ต้องเลือกสินค้าที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและสารประกอบสำคัญ เช่น แชมพูที่มี Ketoconazole ช่วยลดอาการอักเสบและต้าน DHT หรือผลิตภัณฑ์ที่มีปาล์มเลื่อย (Saw Palmetto), ไบโอติน, วิตามิน B และวิตามิน E ซึ่งช่วยบำรุงผมให้แข็งแรง   “อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ช่วยดูแลผมที่ยังมีอยู่เท่านั้น หากมีปัญหาผมร่วงรุนแรงหรือผมบางก็แนะนำให้ไปรักษากับแพทย์อย่างจริงจัง” พญ.กรผกา ขันติโกสุม อธิบาย   เทคโนโลยีปลูกผมที่ช่วยรักษาผมถาวร   หากเส้นผมบางลงจนเห็นได้ชัดและรากผมเสียหายถาวร แพทย์อาจแนะนำให้ปลูกผม โดยเทคโนโลยีที่นิยมในปัจจุบันคือ FUE (Follicular Unit Extraction)  ซึ่งใช้เครื่องมือขนาดเล็กย้ายรากผมจากท้ายทอยไปยังจุดที่มีปัญหา วิธีนี้แผลเล็ก ฟื้นตัวไว และดูเป็นธรรมชาติ ส่วน FUT (Follicular Unit Transplantation) แม้ได้รากผมจำนวนมากในครั้งเดียว แต่มีแผลใหญ่และพักฟื้นนานกว่า ปัจจุบันยังมีงานวิจัยด้านสเต็มเซลล์และ 3D Hair Bioprinting ที่หากสำเร็จอาจช่วยสร้างรากผมใหม่ขึ้นมาได้   “เข้าใจว่าวัยทำงานที่ยังต้องเจอผู้คนมาก ๆ อาจรู้สึกอายและไม่มั่นใจจากภาวะผมร่วงและผมบาง แต่คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับเส้นผมเพียงอย่างเดียว และภาวะนี้ก็สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ โดยต้องเข้าใจอาการที่เกิดขึ้นและเริ่มปรับไลฟ์สไตล์ พักผ่อนให้พอ ออกกำลังกาย เน้นกินอาหารที่ช่วยบำรุงเส้นผม เช่น กล้วย ฝรั่ง ไข่แดง และอะโวคาโด รวมถึงผ่อนคลายลดความเครียดให้มาก ๆ ถ้าเกิดเริ่มมีอาการผมร่วงผิดปกติ ให้รีบมาปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะอาจเป็นสัญญาณภาวะผมร่วง ผมบาง และโรคอื่น ๆ จะได้ช่วยกันหาแนวทางรักษาที่เหมาะสมให้เรากลับมามั่นใจในตัวเองได้อีกครั้ง” พญ.กรผกา ขันติโกสุม กล่าวทิ้งท้าย   Alternate-X สรุปให้    ผมร่วง-ผมบาง ปัญหาสุขภาพใหญ่ในวัยทำงาน “ยิ่งเครียด ยิ่งผมร่วง” แพทย์ รพ.วิมุต บอกเป็นปัจจัยหลักของภาวะผมบาง แนะสังเกตสัญญาณผิดปกติ เช่น ผมหลุดมาก, หัวล้านเฉียบพลัน มีทางรักษาทั้งยา, เทคโนโลยี PRP, เลเซอร์ และการปลูกผม แนะเริ่มต้นดูแลสุขภาพผมวันนี้ เพื่อคืนความมั่นใจจากภายใน    

July 16, 2025 / 0 Comments
read more

หลังแผ่นดินไหวครึ่งหลังปี68 ‘เอพี’ ดัน ‘ชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ’ ประธานบริหารคุม C-Level ทั้งแผง

BizKet

AP ปรับโครงสร้างบริหาร แต่งตั้ง ‘ชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ’ นั่งเก้าอี้ ‘President’ ดึง ‘พิเชษฐ วิภวศุภกร’ ควบตำแหน่ง ซีอีโอ คู่ ‘อนุพงษ์ อัศวโภคิน’ รับอสังหาฯ ครึ่งหลังปี2568 หลังผ่านแผ่นดินไหว   เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 บริษัทเอพี (ไทยแลนด์) จํากัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รายใหญ่ ทำหนังสือไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุเรื่อง การแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ประธานฝ่ายบริหาร พร้อมนำส่งประวัติการทํางานและการศึกษาของ นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ   ด้วยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จํากัด (มหาชน) ครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ได้มีมติสําคัญเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างการบริหารงาน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง ดังนี้   อนุมัติแต่งตั้ง นายพิเชษฐ วิภวศุภกร ซึ่งปัจจุบันดํารงตําแหน่งกรรมการผู้จัดการ (Managing Director) ให้ดํารงตําแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer) เพื่อบริหารงานของบริษัทควบคู่กับนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ซึ่งดํารงตําแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer) ร่วมกัน อนุมัติแต่งตั้ง นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ ให้ดํารงตําแหน่ง ประธานฝ่ายบริหาร (President)   ทั้งนี้ การแต่งตั้งดังกล่าวให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป   บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า การปรับโครงสร้างการบริหารงานในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและคล่องตัว ในการดําเนินงานที่ต่อเนื่อง เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป   สำหรับประวัติการทํางานและการศึกษา   รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ  เกิดวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2517 (อายุ 51 ปี)   มีประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 25 ปี   โดยได้รับการมอบหมายให้ดูแลหลายหน่วยงาน ได้แก่   ผู้บริหารสูงสุดในสายงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยวที่ดูแลทั้งก่อสร้าง ขาย โอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบบ้านให้ลูกค้า ผู้บริหารฝ่ายงานที่มีหน้าที่ในการจัดการข้อร้องเรียนและ Call Center, ผู้บริหารสายงานการให้บริการหลังการขาย ผู้บริหารบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จํากัด (SSM) ที่ให้บริการด้านการบริหารนิติบุคคล   ประวัติการดํารงตําแหน่งอื่น ๆ ปี 2023: แต่งตั้งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหาร (Executive Committee) ปี 2022: แต่งตั้งเป็นกรรมการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (2024) จํากัด ปี 2017: แต่งตั้งเป็นกรรมการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (2017) จํากัด ปี 2017: แต่งตั้งเป็นกรรมการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (2018) จํากัด ปี 2017: แต่งตั้งเป็นกรรมการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด ปี 2017: แต่งตั้งเป็นกรรมการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (กรุงเทพ) จํากัด   ประวัติการศึกษา   ปริญญาโท: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ ปริญญาตรี: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (โยธา)  Alternate-X สรุปให้       AP (ไทยแลนด์) ปรับโครงสร้างบริหาร แต่งตั้ง ‘รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ’ ขึ้นนั่งเก้าอี้ President ควบคู่กับการแต่งตั้ง ‘พิเชษฐ วิภวศุภกร’ เป็น CEO คนใหม่ร่วมกับ ‘อนุพงษ์ อัศวโภคิน’ มีผลตั้งแต่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป สะท้อนความพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพในยุคเปลี่ยนผ่าน  

July 16, 2025 / 0 Comments
read more

ไรเดอร์ อินชัวรันส์ฯ จะพลิกโฉมใหม่ประกันภัย วิจัยละเอียดพฤติกรรมยุคดิจิทัล

BizKet

ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ มุ่งสู่ปีที่ 20 ประกันภัยยุคดิจิทัล ‘อินชัวร์เทค’ ให้ทุนวิจัย ม.กรุงเทพธนบุรี ล้วงลึกข้อมูลคนรุ่นใหม่หาปัจจัยเชื่อมั่นผลิตภัณฑ์   ดร.ปานวัฒน์ กูรมาภิรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมก้าวสู่ปีที่ 20 พร้อมสร้างองค์ความรู้ในแวดวงประกันภัยยุคใหม่ โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มอบทุนสนับสนุนงานวิจัยมูลค่า 200,000 บาท ภายใต้หัวข้อ “ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อ ความไว้วางใจ ความพึงพอใจ และการเลือกใช้บริการของบริษัทนายหน้าประกันภัยเอกชนในยุคดิจิทัล       โครงการฯ มีระยะเวลาวิจัยประมาณ 1 ปี คาดว่างานวิจัยจะสามารถนำไปต่อยอดเชิงธุรกิจและเป็นฐานข้อมูลสำคัญในวงการประกันภัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารงานนายหน้าประกันภัยให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล   โดยเฉพาะกระแส ‘อินชัวร์เทค (InsurTech)’ ที่เข้ามามีบทบาทในการซื้อขายประกันภัยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งแม้จะช่วยเพิ่มความสะดวกและลดต้นทุน แต่บริษัทเชื่อว่า ‘เจ้าหน้าที่’ ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจและดูแลบริการหลังการขายให้กับลูกค้า   “อินชัวร์เทค ไม่ควรเป็นเพียงระบบที่ลดคนทำงาน แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงบริการที่ครบวงจร รวดเร็ว และมีคุณภาพ” ดร.ปานวัฒน์กล่าว   ดร.ปานวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานวิจัยนี้จะสะท้อนมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อการซื้อประกันผ่านนายหน้าทั้งในด้านความพึงพอใจ ความเชื่อมั่น และความคาดหวังต่อบริการในยุคดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบบริการและพัฒนาระบบ InsurTech ของตนเองได้อย่างตรงจุด ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการวางระบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและนำมาใช้จริงในปี 2569   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสารสนเทศ ISO/IEC 27001 และดำเนินการตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินงาน InsurTech ที่โปร่งใสและปลอดภัย พร้อมกันนี้ บริษัทยังวางเป้าหมายในปี 2572 ในการจัดทำแผน IPO (Initial Public Offering) เพื่อระดมทุนพัฒนาระบบ InsurTech อย่างสมบูรณ์   ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ปรักทยานนท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กล่าวว่า งานวิจัยครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการระหว่างภาคธุรกิจและสถาบันการศึกษาอย่างแท้จริง โดยจะศึกษาความไว้วางใจ ความพึงพอใจ และพฤติกรรมผู้บริโภคในการเลือกใช้บริการนายหน้าประกันภัย ซึ่งสามารถนำผลลัพธ์ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารธุรกิจจริงได้ ทั้งยังถือเป็นแนวทางในการส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระบบนายหน้าประกันภัย และสามารถใช้เป็นเอกสารอ้างอิงทางวิชาการในอนาคต   “นี่ไม่ใช่แค่งานวิจัยทางวิชาการ แต่เป็นการพัฒนาฐานข้อมูลที่สามารถใช้ได้ทั้งในแวดวงธุรกิจประกันภัย นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป” ผศ.ดร.สุชาติ กล่าว   Alternate-X    ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ก้าวสู่ปีที่ 20 มุ่งหน้าสู่ยุคประกันภัยดิจิทัล (InsurTech) มอบทุนวิจัย 200,000 บาท ให้มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ศึกษาปัจจัยความเชื่อมั่นและความพึงพอใจของคนรุ่นใหม่ต่อการใช้บริการนายหน้าประกันภัยดิจิทัล เพื่อนำมาพัฒนาบริการและระบบ InsurTech ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค มุ่งเน้นการสร้าง InsurTech ที่ครบวงจรและปลอดภัย โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและใช้งานจริงในปี 2569 พร้อมวางแผน IPO ในปี 2572

July 16, 2025 / 0 Comments
read more

[PR NEWS] CITIZEN ขนตัวท็อปกว่า 80 รุ่น จัดโปรฯเด็ดในงาน Siam Paragon Watch & Jewelry Expo 2025

PRnounce

CITIZEN ยกทัพนาฬิกาตัวท็อป โชว์ในงาน Siam Paragon Watch & Jewelry Expo 2025 รับส่วนลดสูงสุด 20% และสิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.– 3 ส.ค. ณ Fashion Hall ชั้น 1 สยามพารากอน CITIZEN (ซิติเซน) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำระดับโลก สัญชาติญี่ปุ่นที่รังสรรค์นาฬิกาอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เรียบหรู สุดคลาสสิก และมีความแม่นยำสูง ด้วยฝีมือสุดประณีตและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกยาวนานกว่า 100 ปี ได้ยกทัพนาฬิกาตัวท็อปของแบรนด์ พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษมาไว้ในงาน Siam Paragon Watch & Jewelry Expo 2025 ภายใต้คอนเซปต์ “The Pinnacle of Timepiece” โดยมี CITIZEN TSUYOSA 37 mm นาฬิกาที่สุดแห่งความคลาสสิกเหนือกาลเวลา ที่มีขนาดกระทัดรัด ด้วยตัวเรือน 37 มม. มาพร้อมกับสีสันอันโดดเด่นด้วยสีชมพู Pastel Pink   สีเขียว Dark Green รวมถึงสียอดฮิตอย่างสีฟ้า Ice Blue ในราคา 16,600 บาท และ CITIZEN Series 8 880 GMT คอลเลกชัน Series 8 รุ่นท็อปของแบรนด์ นาฬิกาทรงสปอร์ตดีไซน์หรู สายสเตนเลสสตีล ที่เข้ากับตัวเรือนสีทอง พร้อมกลไกอัตโนมัติฟังก์ชัน GMT ที่เต็มไปด้วยความประณีตทั้งงานประกอบและงานขัด ในราคา 75,500 บาท   นอกจากนี้ภายในงานยังมีนาฬิกาดีไซน์หรูจาก CITIZEN ที่ยกทัพมาให้เลือกมากกว่า 80 รุ่น พร้อมกับโปรโมชันสุดพิเศษรับส่วนลดทันที 15% จากราคาป้าย และรับส่วนลดแบบ On top อีก 3 – 5%   นอกจากนี้ยังรับเอกสิทธิ์ส่วนลดอื่น ๆ จากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ ได้ที่บูธ CITIZEN วันที่ 15 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2568 ในงาน Siam Paragon Watch & Jewelry Expo 2025 ณ ชั้น 1 Fashion Hall ศูนย์การค้า สยามพารากอน  

July 16, 2025 / 0 Comments
read more

โมเดลใหม่ ‘บิ๊กซี’ สู่ ‘Retail Delivery Hub’ มุ่งอีคอมเมิร์ซ-ออนไลน์ อนาคต

BizKet

บิ๊กซี ทรานส์ฟอร์มองค์กรดิจิทัล ใช้ GIS และ AI พาสู่โมเดล ‘Retail Delivery Hub’ ลดต้นทุนขนส่ง กว่า 12 ล้านบาทต่อปี พร้อมเติมความพอใจให้ลูกค้าขึ้น 50%   สุรชัย หิรัญนิธิชัย รองประธานกรรมการบริหารคนที่ 1 ฝ่ายดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่า บิ๊กซี ร่วมกับ บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Location Intelligence โดยทำงานร่วมกับ บริษัท จีไอเอส จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ในการใช้ ArcGIS Business Analyst   ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาโมเดล “Retail Delivery Hub” ออกแบบและบริหารพื้นที่ให้บริการ E-commerce ของสาขา Big C Hypermarket อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อวิเคราะห์คำสั่งซื้อและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการจัดส่งสินค้า   โดยใช้ข้อมูล คำสั่งซื้อที่มีอยู่ร่วมกับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับขั้นตอนปฏิบัติงานด้านการจำหน่าย ตลอดจนการจัดเตรียมและการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการสั่งซื้อสินค้าผ่าน Big C Plus Application และ Call Chat Shop จากสาขาที่ให้บริการ รวมถึงสาขาใกล้เคียง ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนการขนส่งได้มากกว่า 12 ล้านบาทต่อปี   นออจากนี้ ยังเพิ่มระดับคะแนนความพึงพอใจของลูกค้าที่ใช้บริการกับบิ๊กซี ได้สูงขึ้น กว่า 50% ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย   ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย: โดยเฉพาะการจัดสรรพื้นที่บริการที่ไม่ซ้ำซ้อน ช่วยลดระยะทางเฉลี่ยในการขนส่งจากจุดคัดส่งสินค้า ส่งผลให้ประหยัดค่าเช่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าแรง และเวลาได้อย่างชัดเจน บริหารทรัพยากรอย่างแม่นยำ: การคำนวนระยะทางอย่างแม่นยำจากหลัก Trade Zone ถูกวางตามศักยภาพของแต่ละสาขา โดยแพลตฟอร์มระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ArcGIS สามารถแสดงผลข้อมูลเป็น Heatmap ระบุจุดหนาแน่นคำสั่งซื้อ พร้อมจัดโซนให้เหมาะกับความสามารถในการรองรับของแต่ละฮับที่กระจายจัดส่งสินค้า ช่วยให้วางแผนและดำเนินงานได้ดียิ่งขึ้น ส่งเสริมความยืดหยุ่น รองรับการปรับแผนการดำเนินงาน: โซลูชันส์ของเทคโนโลยีดังกล่าวถูกออกแบบให้สามารถ Re – Optimize ได้ตลอดเวลา (Real Time) ตามปริมาณคำสั่งซื้อ หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงประชากร รองรับการปรับเปลี่ยนแผนงาน ตลอดจนส่งเสริมการวางแผนขยายฐานลูกค้าในอนาคตได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ   “การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีครั้งนี้ เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกแห่งอนาคต ด้วยการนำศักยภาพเทคโนโลยี GIS วิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับเอไอ มาขับเคลื่อนการบริหารจัดการด้านการขนส่งและการบริการลูกค้าอย่างแม่นยำ ซึ่งหลังการเปิดตัวและพัฒนาแอปพลิเคชันดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์เติบโตต่อเนื่อง มากกว่า 25% ต่อปี” สุรชัย กล่าว   ทั้งนี้ บิ๊กซี ยังตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กรที่ทันสมัยและยึดหลัก ‘ข้อมูลจริง’ ในการวางกลยุทธ์ อันนำไปสู่การคว้ารางวัล AIBP ASEAN Enterprise Innovation Award สะท้อนความสำเร็จของการนำเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม     ด้าน แพร พันธุมวนิช ประธานบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของการประยุกต์ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ร่วมกับ AI และเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการลดต้นทุนขนส่ง การวางแผน Trade Zone และการยกระดับคุณภาพบริการ ด้วยซอฟต์แวร์ ArcGIS ที่ผสานกับเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างไร้รอยต่อ และเชื่อมั่นว่าความสำเร็จในครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการต่อยอดนวัตกรรมร่วมกันในระยะยาว   Alternate-X สรุปให้    ‘บิ๊กซี’ เดินหน้าทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ค้าปลีกแห่งอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยี GIS และ AI พัฒนาโมเดล ‘Retail Delivery Hub’ ด้วยกลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการบริหารจัดการพื้นที่และกระบวนการจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้ลดต้นทุนการขนส่งได้มากกว่า 12 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มคะแนนความพึงพอใจของลูกค้าสูงขึ้นกว่า 50% นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารทรัพยากร และยอดขายออนไลน์เติบโตต่อเนื่องมากกว่า 25% ต่อปี ย้ำภาพลักษณ์องค์กรที่ทันสมัยและยึดหลักข้อมูลจริงในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จ      

July 16, 2025 / 0 Comments
read more

จะดึงเจนใหม่กลับมาซ้ำ ต้องสร้างประสบการณ์ให้ว้าว ‘ชาบูชิ’ โฉมใหม่นำร่อง ‘ซีคอนฯ ศรีนครินทร์’

BizKet,  WeView

‘ชาบูชิ นำร่องสาขาโฉมใหม่ ‘ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์’ ร้านต้นแบบ หนึ่งในกลยุทธ์การตลาดสร้างประสบการณ์ พร้อมไฮไลท์โชว์ครัวเปิด ‘Sushi-Master Station’ เติมความว้าว! เจาะสายกินนิวเจนฯ   ศสัย ตังเดชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นแบรนด์ชาบูชิ (Shabushi) กล่าวว่าหลังประกาศรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบกว่า 20 ปี พร้อมเปิดตัวพรีเซนเตอร์ ‘สกาย’ วงศ์รวี นทีธร และ ‘นานิ’ หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ ผ่านแคมเปญ “ALL YOU CAN กรี๊ด” เพื่อขยายการรับรู้และสร้างการเชื่อมโยงกับกลุ่มยังเจนฯ   ล่าสุด ‘ชาบูชิ’ (Shabushi) สานต่อกลยุทธ์การยกระดับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวร้านดีไซน์ใหม่อย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ (ชั้น G) ซึ่งเป็นสาขานำร่อง เพื่อมอบประสบการณ์ความสุข ครอบคลุมทั้งรสชาติ บริการ และบรรยากาศ   “ตอกย้ำความเป็นเดสติเนชันยอดนิยมของคนรักชาบู – ชาบู และซูชิอย่างแท้จริง” ศสัย กล่าวพร้อมเสริมว่า   การปรับโฉมและเปิดตัวร้านดีไซน์ใหม่ ‘ชาบูชิ – ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ชั้น G ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับแบรนด์ให้ทันสมัยและเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์ที่มากกว่าแค่ความอร่อย   “เราต้องการให้ทุกองค์ประกอบของร้านใหม่นี้ ตั้งแต่ดีไซน์ เมนู/อาหาร ทั้งชาบู – ชาบู และซูชิ ไปจนถึงบรรยากาศ เป็นการถ่ายทอดแนวคิด ‘รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด’ อย่างแท้จริง เพื่อให้ชาบูชิ เป็นจุดหมายปลายทางที่ผู้บริโภครู้สึกดีและอยากกลับมาอีก” ศสัย กล่าว   ขณะที่ ‘ชาบูชิ – ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ (ชั้น G)’ ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “GOOD TASTE GREAT TIME NEVER END” หรือ “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” ซึ่งเป็นคีย์คอนเซ็ปต์ของแบรนด์ เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าทุกด้าน เพื่อเชื่อมโยงกับอารมณ์ ความสัมพันธ์ และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มยังเจนฯ ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ร่วมมากกว่าการรับประทานเพื่อความอิ่มเพียงอย่างเดียว     พร้อมให้บริการบุฟเฟต์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่สอดคล้องกลุ่มลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ ได้แก่   Regular Buffet” (สุขอิ่ม) 399 บาท+/ท่าน Premium Buffet” (สุขคุ้ม) 499 บาท+/ท่าน Platinum Buffet” (สุขล้น) 599 บาท+/ท่าน   นอกจากนี้ ยังมีเมนูพิเศษพร้อมยกระดับวัตถุดิบจากตลาดแมสสู่ตลาดพรีเมียมแมส โดยหนึ่งในไฮไลต์ที่สร้างความแตกต่าง คือ การนำเสนอ “Sushi-Master Station” ซึ่งมาในรูปแบบครัวเปิด   โดย ลูกค้าจะใกล้ชิดกับทุกขั้นตอนการปรุงแต่งซูชิ ตั้งแต่การตระเตรียมวัตถุดิบคุณภาพ ไปจนถึงขั้นตอนการปรุงแต่งอย่างประณีต…คำต่อคำ ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความมั่นใจในความสดใหม่และคุณภาพแล้ว ยังช่วยเพิ่มมิติของประสบการณ์ (visual experience) ที่สามารถถ่ายรูป แชร์ และบอกต่อได้อย่างน่าประทับใจ   ทั้งนี้ เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคโซเชียลที่นิยมสร้างคอนเทนต์ระหว่างการรับประทานอาหาร อีกทั้งยังสะท้อนจุดแข็งเฉพาะตัว ในฐานะร้านชาบู – ชาบู ที่มีซูชิคุณภาพเยี่ยม ด้วยการยกระดับประสบการณ์ซูชิให้หลากหลายและมีความสร้างสรรค์ รวมแล้วกว่า 30 รายการ เพื่อตอบโจทย์ทั้งคอซูชิจริงจัง และนักกินสายแชร์   ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนขยายการปรับปรุงร้านดีไซน์ใหม่ ชาบูชิ ในสาขาหลักทั่วประเทศ โดยจะให้ความสำคัญกับสาขาที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าชั้นนำขนาดใหญ่ ซึ่งมีฐานลูกค้าหลากหลาย เพื่อสร้างภาพจำแบรนด์ใหม่ให้ชัดเจนในระดับประเทศ เพื่อตอกย้ำบทบาท ‘ชาบูชิ’ ในฐานะแบรนด์/ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่มีความเคลื่อนไหว เข้าใจเทรนด์ และพร้อมเปลี่ยนแปลงไปกับผู้บริโภค   “ในโลกที่ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบรนด์ที่อยู่ได้อย่างยั่งยืนคือแบรนด์ที่กล้าก้าวไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง ‘ชาบูชิ – ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ชั้น G’ จึงไม่ใช่แค่การปรับรูปลักษณ์ภายนอก แต่คือการออกแบบประสบการณ์ใหม่จากภายใน เพื่อให้ ‘ชาบูชิ’ เป็นจุดหมายปลายทางของความสุขในยุคใหม่ ที่ผู้บริโภครู้สึกถึงคุณค่า และอยากกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า” ศสัยฯ กล่าว     REVIEW โฉมใหม่ ‘ชาบูชิ’   โดย ‘ชาบูชิ – ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ชั้น G ยังมีการอัปเกรดคุณภาพและความหลากหลายของสเตชั่นอาหาร อาทิ   สเตชั่นซอส มีพื้นที่ให้ลูกค้าได้เลือกผสมสูตรซอสในแบบเฉพาะตัว สเตชั่นอาหารรับประทานเล่น ที่วางอาหารไว้ในตู้อุ่นอาหาร” (warming cabinet) เพื่อคงความสดใหม่พร้อมเสิร์ฟ สเตชั่นของหวาน ที่มีการเพิ่มเมนูใหม่อย่าง คากิโกริ (น้ำแข็งไสสไตล์ญี่ปุ่น) พร้อมท็อปปิ้งหลากหลายให้เลือกเติมตามใจชอบ   นอกจากนี้ ยังมีเมนูเครื่องดื่มแบบสลัชชี่รสผลไม้ที่หมุนเวียนไปตามฤดูกาล เพื่อเพิ่มสีสันและประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในแต่ละช่วงเวลา   สำหรับ บรรยากาศและการตกแต่ง “ชาบูชิ – ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ (ชั้น G)” เลือกใช้โทนสีขาว เสริมด้วยการจัดแสงสว่าง เพื่อสร้างความรู้สึกสะอาด โปร่งโล่ง และผ่อนคลาย ผนังร้านตกแต่งด้วยเส้นสายและลวดลายกราฟิกแบบญี่ปุ่นร่วมสมัยผสมกับไฟนีออนเฟล็กซ์ ให้อารมณ์สนุก สดใส และทันสมัย สอดคล้องกับบุคลิกใหม่ของแบรนด์ที่ต้องการสื่อถึงความสดใส มีชีวิตชีวา และพร้อมสร้างแรงบันดาลใจในทุกโมเมนต์ของการใช้เวลาในร้าน     ศสัย กล่าวว่า “การเปิดตัวร้านดีไซน์ใหม่ “ชาบูชิ – ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ (ชั้น G)” ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงหมุดหมายของการรีเฟรชแบรนด์ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่ยุคใหม่ของแบรนด์ ด้วยเป้าหมาย ‘ท็อป ออฟ มายด์’ แบรนด์อันดับแรกในใจผู้บริโภค เมื่อนึกถึงร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ชาบู – ชาบู และซูชิ ที่ให้มากกว่าความอร่อย แต่คือรสชาติแห่งความสุขที่ไม่มีวันสิ้นสุด”   Alternate-X สรุปให้    ‘ชาบูชิ’ เปิดตัวร้านดีไซน์ใหม่ ซีคอนฯ ศรีนครินทร์ ชูไฮไลต์ “Sushi-Master Station” ครัวเปิดโชว์ซูชิคำต่อคำ ยกระดับประสบการณ์ร้านบุฟเฟต์สไตล์ญี่ปุ่นให้ทันสมัย ออกแบบร้านด้วยแนวคิด “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” ตอบโจทย์สายกินนิวเจนฯ ทั้งเรื่องรสชาติ ความสนุก และความแชร์ได้

July 16, 2025 / 0 Comments
read more

[PR NEWS] ‘AI พลิกเกมต้านโกง’ ไทยเดินหน้าออกแบบระบบ ป้องกันคอร์รัปชันตั้งแต่ต้นทาง

PRnounce

เวทีเสวนา “Corruption Disruptors” รวมพลังนักวิชาการ ข้าราชการ และผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ถอดบทเรียนการใช้ AI ต่อต้านคอร์รัปชัน พร้อมชูแนวคิด “Integrity by Design” สร้างระบบไม่เอื้อต่อการโกง เสนอเปิดข้อมูลภาครัฐอย่างเป็นระบบเพื่อขับเคลื่อนความโปร่งใสอย่างยั่งยืน   AI จุดเปลี่ยนสังคมไทย สู่สังคมไร้คอร์รัปชัน   เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 เวทีเสวนา “Corruption Disruptors: Empowering AI to Fight Corruption” เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และการต่อต้านคอร์รัปชันทั้งในและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือป้องกันและตรวจจับการทุจริตอย่างเป็นระบบ   จากเวทีโลกสู่ประเทศไทย: AI กับบทบาทต้านโกง   หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือปาฐกถาโดย Ms. Elodie Beth Seo ผู้จัดการอาวุโสจาก OECD ซึ่งกล่าวว่า AI แม้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาระบบ แต่ก็สามารถถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น การฟอกเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งปัจจุบันกว่า 23% ของธุรกรรมที่เกี่ยวข้องเป็นธุรกรรมผิดกฎหมาย เธอชี้ว่า หลายประเทศได้นำ AI มาช่วยเสริมการทำงานภาครัฐ เช่น   เกาหลีใต้ ใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ (KONEPS) บราซิล พัฒนาแพลตฟอร์ม LabContus เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์ ตรวจจับพฤติกรรมต้องสงสัย ฮ่องกง เปิดหลักสูตรอบรมเจ้าหน้าที่รัฐให้ใช้ AI ต้านโกง อินโดนีเซีย ใช้ระบบ One Data Indonesia ร่วมมือเปิดเผยและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ   ประเทศไทยกับก้าวต่อไป   OECD เริ่มกระบวนการร่วมมือกับประเทศไทยแล้ว โดยจับมือกับ World Justice Project และยกตัวอย่างความก้าวหน้าของไทย เช่น แพลตฟอร์ม ACT AI ที่เชื่อมโยงข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐกับข้อมูลนิติบุคคล และรายชื่อผู้มีอิทธิพลทางการเมือง (PEPs) เพื่อคัดกรองความเสี่ยงการทุจริต   อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดที่ต้องพัฒนาเพิ่ม เช่น   เสริมความโปร่งใสในกระบวนการทำงาน ผลักดันการเปิดข้อมูล (Open Data) พัฒนากฎหมายการลงโทษสินบน ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานตรวจสอบ ส่งเสริมความร่วมมือภายในและระหว่างประเทศ   รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ KRAC   มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญไทยและอาเซียน   ช่วงเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลาย ได้แก่   ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ KRAC คุณพันธ์ศักดิ์ เสตเสถียร Risk Partner, PwC Thailand ตัวแทนจาก KPK อินโดนีเซีย และ OECD   ดร.มานะ เน้นว่า ACT AI เป็นจุดเริ่มต้นของระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ แต่จะทำงานได้ต้องมีฐานข้อมูลที่ดี เปิดเผย และบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วน ACT AI เข้ามาช่วยตรวจสอบวิเคราะห์ความถูกต้องของกรณีการทุจริตคอรัปชั่น แม้หลายคนจะพูดว่าระบบ AI เข้ามาช่วยทำให้โจรทำงานง่ายขึ้น สิ่งที่ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องทำ คือ การใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด   ด้านคุณพันธ์ศักดิ์ ชี้ว่า Data Governance หรือการกำกับดูแลข้อมูล คือหัวใจของการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องเปิดเผย อัพเดต และเข้าถึงได้ทุกคน โดยต้องมีกฎกติกาการใช้ข้อมูล ที่มีธรรมาภิบาลมีความโปร่งใส ข้อมูลต้องมีความสอดคล้องซึ่งกันและกัน และต้องมีหลายมิติ   อย่างไรก็ตาม ข้อมูลไม่มีใครเป็นเจ้าของ ข้อมูลคือ ทรัพยากรของชาติ (National Resources) มันคือ Open Data ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และ Data Governance ต้องถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้ เพื่อการป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น   รศ.ดร.ต่อภัสสร์ เสริมว่า หากต้องการให้ AI ทำงานได้จริง ต้องทำให้ข้อมูลจากทุกหน่วยงานเชื่อมโยงกันได้ มาตรฐานเดียวกัน และเข้าถึงง่าย นอกจากนี้ ยังต้องเป็นข้อมูลที่มีความเป็นมาตรฐาน โดยการบูรณาการการทำงานของแต่ละหน่วยงานเข้าด้วยกัน   Ms.LAMINI จากอินโดนีเซีย ยกตัวอย่าง “One Data Indonesia” ที่ช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถแชร์ข้อมูลเพื่อป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง เรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือการระบุทรัพย์สินที่ผิดปกติ   ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) Integrity by Design คือคำตอบ   ช่วงท้ายเวที ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เน้นว่า การ “จับคนโกง” อย่างเดียวไม่พอ ต้อง ออกแบบระบบไม่ให้โกงได้ตั้งแต่ต้นทาง หรือที่เรียกว่า “Integrity by Design”   เขายกตัวอย่างความสำเร็จของนโยบาย Open Government สมัยประธานาธิบดีโอบามา ที่เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย โดยเสนอให้ไทยนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ เช่น การปลดล็อกข้อมูลภาครัฐในรูปแบบที่วิเคราะห์ได้   บทส่งท้าย: ความหวังเริ่มที่พลังของคนเล็กๆ   แม้การเปลี่ยนแปลงระดับนโยบายอาจใช้เวลา แต่ผู้ร่วมเสวนาทุกคนเห็นตรงกันว่า “พลังของภาคประชาชน” คือจุดเริ่มต้นสำคัญ หากรวมพลังกับกลไกที่ถูกต้อง เช่น ตัวชี้วัดของ OECD ก็สามารถเปลี่ยนระบบให้ใสสะอาดขึ้นได้   “เราต้องเลิกทำแบบเดิม และเริ่มสร้างระบบที่โกงไม่ได้ตั้งแต่แรก” คือสาระสำคัญของเวทีนี้    

July 16, 2025 / 0 Comments
read more

มหาเศรษฐีตระกูล ‘Koo’ ปิดดีล 500 ล.บาท ซื้อยกฟลอร์โซนค้าปลีก ‘ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์’

BizKet

ออริจิ้น เรียกมั่นใจแบรนด์-อสังหาฯไทย ปิดดีลขายบิ๊กล็อตให้ ‘อังเดร คู’ ทายาทมหาเศรษฐีไต้หวัน โซนค้าปลีก ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท   พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถปิดดีลขายพื้นที่รีเทล โซน 10th Avenue แบบเหมาชั้น มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ในโครงการ Mixed-Use ‘ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์’ (Origin Thonglor World) ให้กับ นายอังเดร คู (Andre Koo) ทายาทตระกูล ‘Koo’ มหาเศรษฐีแห่งไต้หวัน เจ้าของ Chailease Group ธุรกิจลีสซิ่งยักษ์ใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชีย ที่ขยายธุรกิจมายังอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย   สำหรับการขายบิ๊กล็อตในครั้งนี้ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งโครงการ Mixed-Use ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ พร้อมพัฒนาโซนรีเทล 10th  Avenue ให้เป็นศูนย์รวมร้านอาหารระดับโลก   “ดีลนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้าระดับมหาเศรษฐีอย่าง นายอังเดร คู ที่มีธุรกิจมากมายทั้งในไต้หวันและอีกหลายประเทศ ต่อ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่พัฒนาโครงการอสังหาฯ ในรูปแบบ Freehold Mixed-Use และยังสะท้อนถึงตลาดคอนโดฯไทย ยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค”  พีระพงศ์ กล่าว พร้อมกับระบุว่า โมเดล   ขณะที่การขายแบบบิ๊กล็อต ถือ เป็นโมเดลที่ช่วยสร้างทั้งยอดขาย และยอดโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บริษัทได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือ ในการขายคอนโดมิเนียมสู่ตลาดไต้หวัน   สำหรับ โครงการ “ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์” (Origin Thonglor World) เป็นโครงการ แฟลกชิป ขนาดใหญ่ของกลุ่มออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 14,000 ล้านบาท บนที่ดินขนาดใหญ่กว่า 6 ไร่ บนทองหล่อซอย 10 ทำเลที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางในกรุงเทพฯ ทั้ง อโศก – พร้อมพงษ์ – ทองหล่อ – เอกมัย ครบถ้วนด้วยรถไฟฟ้า 2 สาย (สายสีเขียว-สีเทาในอนาคต)   โดยโครงการพัฒนาภายใต้แนวคิด “BEYOND YOUR LIVING” นิยามใหม่ของการใช้ชีวิต ใจกลางทองหล่อ ในรูปแบบ Freehold Mixed-Use ที่มีมากกว่าที่อยู่อาศัย โดยเป็นการนําทั้ง Residential และ Commercial มารวมกันในโครงการเดียว มีจำนวนทั้งหมด 795 ยูนิต   วางแนวคิดการออกแบบและดีไซน์ Private & Luxury Living คอนโดมิเนียม ที่เน้นความเป็นส่วนตัวพร้อมกับความสะดวกสบายของชีวิตที่สมบูรณ์ทุกแบบ Tailor Your Dream ทุกพื้นที่ที่ออกแบบ กับ 3 Collections ที่อยู่อาศัย Origin Courtyard Origin Prestige Origin Glass House วาง ราคาเริ่มต้น 14.6 ล้านบาท*   นอกจากนี้ ยังมีบริการระดับโรงแรมในรูปแบบ Branded Residence และ Hotel Serviced Residence รวมถึง Executive Office ที่ทำงานและพื้นที่รองรับธุรกิจสมัยใหม่ Lifestyle Retail ศูนย์รวมไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตทั้งร้านอาหารชั้นนำอย่าง Fine Dining Restaurant พร้อมบรรยากาศสุดพิเศษ และ Healthcare Center Mediplex เทรนด์ใหม่ที่รวมด้านสุขภาพ และความงามครบวงจรท่ามกลางบรรยากาศของธรรมชาติขนาดใหญ่ 4 ไร่ ของ Thonglor Central Park และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน     สำหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจ   กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 168 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2568) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) เป็นต้น   รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 254,967 ล้านบาท โดยกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร หรือที่อยู่อาศัยแนวราบ ดำเนินการภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ส่วนกลุ่มโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม ดำเนินการภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL   2.กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก   3.กลุ่มธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์   และ 4.กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร   Alternate-X  สรุปให้ ทายาทตระกูลมหาเศรษฐีไต้หวัน ‘อังเดร คู’ ปิดดีลมูลค่า 500 ล้านบาท ซื้อยกฟลอร์โซนรีเทล “ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์” เสริมพอร์ตอสังหาฯในไทย สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพโครงการ Mixed-Use ระดับแฟลกชิป ดีลนี้ช่วยสร้างยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ให้ ORI ได้ทันที พร้อมปูทางสู่การขยายตลาดคอนโดฯไทยสู่กลุ่มลูกค้าในไต้หวัน      

July 15, 2025 / 0 Comments
read more

YETI เสริมดวง ออกคอลฯใหม่เฉพาะไทย Element72 x หมอช้าง ดึงสายมูเจนใหม่ให้ปังทุกจิบ

BizKet

Element72 x หมอช้าง ออกคอลเล็กชันเสริมปัง ‘YETI Sip Your Sign’ ทำตลาดแบบเอ็กซคลูซีฟ เจาะสายมู เจนฯใหม่ อยากเท่แบบปังๆ ไปพร้อมกันสร้างกำลังใจ-สีสันช่วงเศรษฐกิจซึม   ชาร์ลส ปิณฑานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิลีเม้นท์ 72 จำกัด ผู้ทำตลาดสินค้าเออร์เบิน ไลฟ์สไตล์ (Urban Lifestyle) รายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ รับสิทธิ์บริหารแบรนด์เยติ (YETI) สินค้าไลฟ์สไตล์ ดริงค์ แวร์ หนึ่งใน 28 แบรนด์ นำเข้าจากต่างประเทศสำคัญ โดยทำตลาดในประเทศไทยมานานกว่า 5 ปี   ล่าสุด บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์การกาตลาดผ่านความร่วมมือ (Collaboration Marketing) กับ ‘หมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา’ กูรูด้านพยากรณ์ชื่อดังของประเทศไทย ทำแคมเปญพิเศษ ‘YETI Sip Your Sign’  เพื่อตอกย้ำตำแหน่งหนึ่งในท็อป ออฟ มายด์ แบรนด์สินค้าระดับโลกของผู้บริโภคสายกิจกรรมกลางแจ้งและไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมในไทยอย่างต่อเนื่อง   สำหรับ แคมเปญฯ ดังกล่าวได้พัฒนาคอลเลกชันใหม่ล่าสุดเป็นครั้งแรกในการเลเซอร์ราศีประจำตัว พร้อมเลขมงคลเสริมดวงลงบนแก้ว YETI ให้ทุกการดื่มน้ำ เพื่อเสริมสุขภาพ และเสริมพลังชีวิต การงาน การเงิน และเสน่ห์ตามแบบฉบับสายมูเจนเนอเรชั่นใหม่   ชาร์ลส์ กล่าวว่า สินค้าฯคอลเล็กชันดังกล่าว ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในงาน Thailand Coffee Fest 2025 ณ บูธของ YETI (V05) Hall 5-8 Impact Exhibition Center เมืองทองธานี เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 10 – 13 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา และได้การตอบรับจากผู้สนใจ   โดยงานฯ  ยังได้พบกับ ‘หมอช้าง ทศพร ศรีตุลา’ มาเผยเคล็ดลับเลขมงคล สำหรับทั้ง 12 ราศี พร้อมพูดคุยถึงเบื้องหลังของแคมเปญสุดพิเศษนี้ พร้อมร่วมเป็นเจ้าของแก้ว YETI รุ่นพิเศษที่เลเซอร์ “ราศีและเลขมงคลเสริมดวง”   “เป็นการร่วมงานกันครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง YETI แบรนด์ Drinkware อันดับ 1 ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ กับหมอดูแถวหน้าของประเทศไทย เพื่อคนรักการดื่มที่อยากเสริมดวงดังให้ปังไปพร้อมกัน” ชาร์ลส กล่าวทิ้งท้าย   สำหรับสินค้าแก้วเยติ ‘YETI Sip Your Sign Collection’  ปัจจุบันวางราคาเริ่มต้น 1,350 บาทขึ้นไป โดยลูกค้าสามารถนำแก้วเยติมรุ่นที่สนใจรับบริการสลักเลเซอร์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ที่ YETI Flagship Store ชั้น 2 โซน Parade @ One Bangkok และ ร้าน Element 72 ทุกสาขา หมดเขต 31 สิงหาคม 2568 นี้       Alternate-X สรุปให้     Element72 ผู้นำเข้าแบรนด์ YETI ในไทย จับมือ ‘หมอช้าง’ เปิดตัวคอลเลกชันพิเศษ “YETI Sip Your Sign” เจาะกลุ่มสายมูเจนฯ ใหม่คอลฯ นี้เป็นครั้งแรกของการเลเซอร์สลัก ‘ราศีและเลขมงคล’  ลงบนแก้วเยติ เสริมพลังชีวิต-การเงิน-เสน่ห์ในทุกจิบ เปิดตัวในงาน Thailand Coffee Fest 2025 ได้รับกระแสตอบรับดีวางจำหน่ายเฉพาะที่ YETI Flagship Store และ Element72 ทุกสาขา โปรโมชันสลักฟรีถึง 31 ส.ค. 2568 ราคาเริ่มต้น 1,350 บาท    

July 15, 2025 / 0 Comments
read more

ICS หนุน SIRIRAJ H เร่งไทยขึ้นฮับเที่ยวสุขภาพ บริการฮิตคลินิกเลเซอร์-ความงาม ขึ้น No.1

BizKet,  Peace&Play

ไอซีเอสฯ ร่วม SIRIRAJ H SOLUTIONS เปิด 2 คลินิกใหม่ ทันตกรรม-Sleep @SIRIRAJ H SOLUTIONS เพิ่มผู้ใช้บริการรายใหม่ 20% ฉลองสู่ปีที่ 2 มีผู้ใช้บริการกว่า 4.8 หมื่นราย   ไพรัช วิเศษศิริลักษณ์ ผู้บริหารสายงานบริการลูกค้า บริษัท ไอซีเอส จำกัด ผู้ให้บริการ ‘ไอซีเอส ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์’ เปิดเผยว่าจากความร่วมมือระหว่างไอซีเอสฯ และ ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต SIRIRAJ H SOLUTIONS ซึ่งขึ้นสู่ปีที่ 3 ในปี2568 นี้ได้วางแผนขยายบริการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น  โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ได้เปิดคลินิกใหม่ 2 คลินิกบริการ คือ     1.คลินิกทันตกรรม ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับบริการต่างๆ ทั้ง การตรวจสุขภาพฟัน การขูดหินปูน การถอนฟัน การผ่าฟันคุด รวมถึงการรักษาโรคเหงือก   “นับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มียอดผู้รับบริการมากกว่า 500 รายแล้ว” ไพรัช กล่าว     2.คลินิก Sleep @SIRIRAJ H SOLUTIONS ให้บริการรองรับผู้มีปัญหาด้านการนอนกรน ซึ่งส่งผลต่อภาวะสุขภาพ สามารถรับบริการขอคำปรึกษาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนได้   นอกจากนี้ ยังมีบริการ Sleep Test @Home รับเครื่องตรวจการนอนหลับไปทดสอบการนอนที่บ้าน โดยที่ผู้รับบริการไม่ต้องนอนโรงพยาบาล   ทั้งนี้ จากการเปิดบริการ 2 คลินิกใหม่ คาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้รับบริการรายใหม่มากขึ้น 20% โดยมีแผนรองรับผู้ใช้บริการประมาณ 500-1,000 รายต่อวัน   นอกจากนี้ยังมีแผนการขยายฐานผู้รับบริการในปี 2569 ไปยังผู้รับบริการแบบองค์กรภาครัฐและเอกชนด้วยการเพิ่มบริการตรวจสุขภาพและบริการฉีดวัคซีนนอกสถานที่โดย Mobile Checkup เพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละองค์กรและสถานประกอบการ   “SIRIRAJ H SOLUTIONS มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเทรนด์ ‘Wellness Tourism’ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ตอบรับกับวิถีชีวิตยุคใหม่ ให้เดินหน้าเติบโตอย่างมีศักยภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ไอซีเอส ในการสร้างคอมมูนิตี้ที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างสมดุล มีคุณภาพ และมีความสุขในทุกวัน” ไพรัช กล่าว     พร้อมกันนี้ ยังได้จัดงานยิ่งใหญ่ “ปีที่ 2 แห่งแรงบันดาลใจของการใส่ใจสุขภาพในทุกวินาที : The 2nd Year of Health Inspirations in Every Second” ฉลองโอกาสครบรอบ 2 ปี การเปิดศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต SIRIRAJ H SOLUTIONS ณ ไอซีเอส ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์   โดยหลังจากเปิดให้บริการตลอด 2 ปี ศูนย์ฯ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับการใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จนเทรนด์การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตกลายเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้คนยุคใหม่   “SIRIRAJ H SOLUTIONS คือ ภาพของความร่วมมือระหว่างภาคการแพทย์ระดับแนวหน้ากับภาคธุรกิจและชุมชนที่ร่วมกันคิด ร่วมกันสร้าง และผลักดันนวัตกรรมสุขภาพให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Co-creation ของ ICS ที่เชื่อว่าทุกภาคส่วนสามารถร่วมกันขับเคลื่อนสังคมคุณภาพได้” ไพรัช กล่าวทิ้งท้าย   คลินิกเลเซอร์ฯ-ความงาม มาแรง   ด้าน ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานตลอด 2 ปีที่ผ่านมาของศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต SIRIRAJ H SOLUTIONS เปิดให้บริการ 19 คลินิก ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย และเข้าถึงง่ายในการดูแลสุขภาพครบวงจร พร้อมให้การดูแลด้านการฉีดวัคซีนตามช่วงอายุ นับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2567 มีจำนวนผู้รับบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งรายบุคคล ตลอดจนในรูปแบบองค์กรภาครัฐและเอกชน รวม 2 ปี มีผู้รับบริการไปแล้วกว่า 48,000 ราย   โดยคลินิกที่มีผู้รับบริการมากที่สุด 5 ลำดับ ได้แก่   คลินิกเลเซอร์ผิวหนังและความงาม ศูนย์ตรวจสุขภาพ คลินิกอายุรศาสตร์ ศูนย์ถันยรักษ์ คลินิกสุขภาพหญิง   “บริการดังกล่าว เป็นความสำเร็จอีกขั้นของการให้บริการด้านการแพทย์โดยทีมแพทย์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในการให้บริการทางการแพทย์ภายนอกโรงพยาบาลศิริราช” ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ กล่าว   จากสถิติในปีที่ผ่านมา มีผู้มารับบริการที่ SIRIRAJ H SOLUTIONS ดังนี้   วันจันทร์-วันศุกร์ เฉลี่ย 250-300 รายต่อวัน วันเสาร์-วันอาทิตย์ เฉลี่ย 400-500 รายต่อวัน   โดยส่วนใหญ่เป็นชาวไทย 90% ชาวต่างชาติ 10% และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย 5-10% ต่อเดือน ตามกระแสความต้องการของผู้ใส่ใจสุขภาพที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น   นอกจากนี้ เพื่อร่วมฉลองให้กับความสำเร็จในปีที่ 2 ก้าวสู่ปีที่ 3 ของ SIRIRAJ H SOLUTIONS ไอซีเอส ยังมอบโปรโมชั่นพิเศษเอ็กคลูซีฟ “The 2nd Anniversary Healthy Verse 2Gether” ให้สมาชิก ONESIAM ที่ซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพหรือหัตถการความงาม และนวดไทยแบบราชสำนัก กับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ครบ 5,000 บาทขึ้นไป แลกรับ SIAM GIFT CARD มูลค่า 1,000  บาท ได้ทันที จำนวน 100 สิทธิ์ตลอดรายการ รวมมูลค่า 100,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 7 – 31 กรกฎาคม 2568 ติดตามเงื่อนไขการรับรางวัลได้ที่เฟสบุ๊ก ICS SIRIRAJ H SOLUTIONS   โดยเปิดให้บริการแก่ผู้ที่รักสุขภาพทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. ณ ชั้น 5  ICS Lifestyle Complex สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-414-1144 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Website : https://sirirajhsolutions.com/ หรือ Facebook : SIRIRAJ H SOLUTIONS       Alternate-X สรุปให้ SIRIRAJ H SOLUTIONS ก้าวสู่ปีที่ 3 เปิด 2 คลินิกใหม่ ‘ทันตกรรม’ และ ‘Sleep’ เจาะกลุ่มผู้มีปัญหาด้านการนอนและดูแลช่องปากครบวงจร ดันยอดผู้ใช้บริการใหม่เพิ่ม 20% ภายในครึ่งปีแรก โดยในปี 2568 มีผู้ใช้บริการสะสมกว่า 48,000 ราย ขณะที่ ‘คลินิกเลเซอร์ผิวหนังและความงาม’ รับความนิยมใช้บริการอันดับ 1 สะท้อนพฤติกรรมคนยุคใหม่ใส่ใจสุขภาพ พร้อมเดินหน้าเป้าหมายสู่ Wellness Tourism อย่างเต็มรูปแบบ

July 14, 2025 / 0 Comments
read more

[PR NEWS]  “ห้างเซ็นทรัล” ย้ำแกร่งแห่งผู้นำรีเทลออมนิแชแนล มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งไร้รอยต่อ

PRnounce

ห้างเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำรีเทลออมนิแชแนล ด้วยการเชื่อมโลกออฟไลน์และออนไลน์ให้เป็นหนึ่งเดียว   เปิดตัวแคมเปญไฮไลต์กลางปี “CENTRAL SHOP UNLOCKED” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ช้อปทุกที่ โปรดีทุกช่องทาง” ระหว่างวันที่ 10 – 31 กรกฎาคม 2568 เพราะเข้าใจอินไซต์นิสัยและพฤติกรรมของนักช้อปยุคใหม่อย่างแท้จริง   ห้างเซ็นทรัลจึงไม่หยุดพัฒนากลยุทธ์เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ตอบโจทย์อย่างรอบด้าน โดยเชื่อมต่อโปรโมชั่นและดีลพิเศษแบบไร้รอยต่อในทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าลูกค้าจะมาช้อปที่ห้างเซ็นทรัลทั้ง 29 สาขาทั่วประเทศ, เว็บไซต์ www.central.co.th, Central App แอปพลิเคชันบนมือถือที่เป็นประตูสู่การช้อปปิ้งที่รวบรวมแบรนด์พรีเมียมแบรนด์ใหม่ และแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟในที่เดียว, Central Chat & Shop ผู้ช่วยช้อปส่วนตัวบริการช้อปปิ้งผ่านไลน์ (Line)   เพียงแอดมาที่ @Centralofficial ก็สามารถแจ้งสินค้า หรือส่งภาพไอเทมที่ต้องการมาให้เช็คสินค้าได้ทันที ทักแชตและช้อปได้จากทุกที่ สะดวกสบายกว่าที่เคย พร้อมบริการจัดส่งถึงบ้าน หรือส่งด่วนภายในวัน ผ่าน Grab Express และบริการห่อของขวัญเซอร์ไพรส์ให้กันได้ทุกโอกาส ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยการช้อปผ่านแชตแบบไร้รอยต่อ เพราะมีสินค้าครบครันและโปรโมชั่นเดียวกับที่ห้างเซ็นทรัล   รวมถึงการช้อปผ่านไลฟ์ (Live) เปิดประสบการณ์  ช้อปที่ได้ทั้งความสนุกและความบันเทิง นำเสนอสินค้าเรียลไทม์ผ่านการไลฟ์ สื่อสารโต้ตอบอย่างรวดเร็วระหว่างการไลฟ์สด พร้อมมีโปรโมชั่นและดีลสุดพิเศษเฉพาะช่วงไลฟ์เท่านั้น ที่คัดสรรมาแล้วจากแบรนด์แท้การันตีจากห้างเซ็นทรัล พร้อมระบบชำระเงินที่ง่าย รวดเร็ว ปลอดภัย ทั้งใน Central TikTok Shop เฟซบุ๊กเพจและอินบ็อกซ์ของ Facebook page: Central Department Store, Central TikTok Shop หรือโซเชียลคอมเมิร์ซช่องห้างฯ   แคมเปญ “CENTRAL SHOP UNLOCKED” นี้ช่วย “ปลดล็อก” ทุกข้อจำกัดของการช้อปของทุกท่าน อาทิ เรื่องเวลา การเดินทาง หรือข้อจำกัดใดๆ ด้วยบริการที่สะดวก รวดเร็ว เสมือนมีผู้ช่วยช้อปที่เข้าใจลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าคุณจะช้อปหน้าร้าน หรือคลิกผ่านมือถือ ห้างเซ็นทรัลพร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้ชีวิตคุณสะดวกขึ้น ไม่ว่าจะต้องการหาของขวัญสำหรับเทศกาลต่างๆ บริการช่วยช้อปสินค้าใหม่ สินค้ายอดฮิตจากแบรนด์ชั้นนำ หลากหลายหมวดหมู่ พร้อมบริการห่อของขวัญและส่งสินค้าไวทันใจ มีดีลสุดคุ้มครบครันในแคมเปญเดียวซึ่งเชื่อมสิทธิพิเศษให้ช้อปสนุกไม่มีสะดุด ตอบโจทย์ทุก Customer journey ได้อย่างสมบูรณ์แบบ   ไฮไลต์แคมเปญ “Central Shop Unlocked” ช้อปทุกที่ โปรดีทุกช่องทาง อาทิ   รับสิทธิประโยชน์จากห้างเซ็นทรัล, Central App สินค้าปกติลดสูงสุด 50% รับคูปองส่วนลด และเครดิตเงินคืนจากบัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน รวมสูงสุด 7,700 บาท เมื่อช้อปครบตามเงื่อนไข พิเศษ! เฉพาะบนเซ็นทรัลแอป (Central App) ส่วนลดเพิ่มสูงสุด 14% (จำนวนจำกัด) เมื่อช้อปปิ้งผ่านหลากหลายช่องทาง รับ The 1 point X4 เท่า! (เมื่อช้อปที่ห้างเซ็นทรัล, Central App, Central Chat & Shop และช้อปทางไลฟ์ (Live)) แลกคะแนนเดอะวันเพียง 1,400 คะแนน (ปกติ 1,600 คะแนน) ใช้เป็นส่วนลดแทนเงินสด 200 บาท รับคูปองส่วนลด 200 บาท ที่ Central App สำหรับใช้เป็นส่วนลด เมื่อช้อปครบตามเงื่อนไข ผ่านช่องทาง Central Chat & Shop ที่ Line หรือ Facebook Inbox ของห้างเซ็นทรัล รับบัตรของขวัญ Central 1,000 บาท เมื่อจ่ายผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ด (ช้อปตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป ต่อเซลส์สลิป จำกัด 300 สิทธิ์) และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย   เล่นสนุกรับส่วนลดฟินๆ   ร่วมสนุกเล่นฟิลเตอร์ใน Central TikTok shop รับคูปองส่วนลด ไปช้อปต่อทันที รับคูปองส่วนลด 200 บาท เมื่อเล่น Shop Unlocked Game ตามเงื่อนไข ห้ามพลาด! กับกิจกรรม On ground activity ให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกไปกับ   “Unlock Your Prize” เกมหมุนวงล้อลุ้นรับของขวัญจากแบรนด์ชั้นนำ ที่ห้างเซ็นทรัล 7 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัล ชิดลม, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลพระราม 2, เซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่, เซ็นทรัลขอนแก่น, เซ็นทรัล เฟสติวัลหาดใหญ่ และเซ็นทรัลอุดรธานี วันที่ 10 ก.ค. 68 – 31 ก.ค. 68   ปลดล็อคทุกข้อจำกัดในการช้อปปิ้ง ในแคมเปญ “CENTRAL SHOP UNLOCKED” ช้อปทุกที่ โปรดีทุกช่องทาง สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับ ที่ห้างเซ็นทรัลทุกสาขา, Central App, Central Chat & Shop ช้อปทางไลฟ์ (Live) โซเชียลคอมเมิร์ซ และทุกแพลตฟอร์มช้อปปิ้งของห้างเซ็นทรัล    

July 14, 2025 / 0 Comments
read more

[PR NEWS] กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ รุกกลยุทธ์ Convergence of Choices 

PRnounce

‘กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์’ นายหน้าประกันภัย ภายใต้บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำการเป็นแบรนด์ ที่ปรึกษาด้านประกันภัยที่เข้าใจผู้ใช้รถ เดินเกมยกระดับอินชัวร์เทค ผ่านกลยุทธ์ ‘Convergence of Choices’ มุ่งส่งมอบประสบการณ์การซื้อประกันภัยที่ผสานการเชื่อมต่อช่องทางออฟไลน์–ออนไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยเทคโนโลยี “คานะ (KANA)” ผู้ช่วยออนไลน์ด้านประกันภัย พันธมิตรประกันภัยชั้นนำหลากหลาย และนายหน้า หรือพนักงานเสื้อเหลืองที่ทำหน้าที่นายหน้าของกรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ กว่า 2,000 คนทั่วประเทศ คานะ คือ ผู้ช่วยออนไลน์ที่ทำให้การเลือกซื้อประกัน   สะดวก ทุกเวลา 24 ชั่วโมง แม่นยำ ตรงความต้องการ   เปรียบเทียบนำเสนอประกันภัยที่เหมาะสมกับงบประมาณ และความต้องการแบบเฉพาะบุคคล Personalized Offer ชูจุดแข็ง “จริงจัง-จริงใจ-ถูกใจ” ในการให้คำปรึกษาและบริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในฐานะโบรคเกอร์มืออาชีพที่พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง   นางสาวชญาน์ธิป พันธุ์มณี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความสำเร็จของช่องทางออนไลน์ภายใต้กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของเราในการตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะบริการ Chat Commerce ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2021และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการมากถึง 1.5 ล้านราย อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงต้องการความมั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งมาจากการพูดคุยกับพนักงานตัวจริง   โดยเฉพาะ ‘พนักงานเสื้อเหลือง’ ของกรุงศรี ออโต้ ในแต่ละสาขาทั่วประเทศ ที่สามารถให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวและเข้าใจบริบทของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ได้อย่างลึกซึ้ง มากไปกว่านั้น พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันยังสะท้อนถึงแนวโน้มการใช้บริการผ่านช่องทางที่หลากหลาย โดยลูกค้าส่วนใหญ่มีการผสมผสานการใช้งานทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในกระบวนการเลือกซื้อประกันภัย   ด้วยเหตุนี้ กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ จึงได้เดินหน้ากลยุทธ์ “Convergence of Choices” เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดี มีประสิทธิภาพ และไร้รอยต่อให้กับผู้บริโภค ในการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย อย่าง ‘คานะ’ เพื่อช่วยเหลือและลดความยุ่งยากในการเลือกซื้อประกันภัย โดยจะเข้ามาให้คำปรึกษาลูกค้าผ่านแชท อำนวยความสะดวกตั้งแต่การเปรียบเทียบราคา แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้า รวมถึงยังเดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ในการช่วยให้ผู้บริโภคสามารถได้รับประกันภัยที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดกับการใช้งาน   กลยุทธ์ Convergence of Choices ผสานคนและเทคโนโลยี ย้ำจุดแข็ง “จริงจัง-จริงใจ-ถูกใจ” จริงจัง: เทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อเข้าใจลูกค้า: กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ มุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อให้ลูกค้าได้รับคำแนะนำที่ “เหมาะสมที่สุด” ไม่ใช่แค่ “เร็วที่สุด” ผ่านผู้ช่วย “คานะ” ที่ทำหน้าที่มากกว่าการตอบคำถามทั่วไป แต่สามารถซักถามข้อมูลเชิงลึก ผ่านเทคโนโลยี และแนะนำแผนประกันที่ตรงกับความต้องการ ความคุ้มค่า และงบประมาณของแต่ละคนอย่างแท้จริง จริงใจ: พันธมิตรบริษัทประกันภัยชั้นนำที่คัดสรรเพื่อให้ลูกค้ามีสิทธิ์เลือก ไม่ถูกจำกัด: ด้วยเครือข่ายพันธมิตร ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัย กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถ ‘เปรียบเทียบประกันจริงจัง ได้ดีลปังแบบออโต้’ ไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงบางตัวเลือก โดยระบุงบประมาณที่ต้องการ และลูกค้าสามารถเลือกเงื่อนไขความคุ้มครองได้ จากนั้นระบบจะแสดงผลเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลากหลายบริษัท ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด ถูกใจ: ช่องทางบริการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์: กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการของลูกค้า โดยพัฒนาระบบบริการ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เชื่อมโยงออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็น LINE Official Account @krungsriautobroker เว็บไซต์krungsriautobroker.com แอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ หรือการพูดคุยโดยตรงกับพนักงานเสื้อเหลือง ที่ผ่านการอบรมและมีใบอนุญาตกว่า 2,000 คนทั่วประเทศ ลูกค้าสามารถเริ่มต้นสอบถามข้อมูล ตัดสินใจ และเลือกซื้อประกันภัยได้ทุกเวลาที่สะดวกถูกใจ ผ่านช่องทางทั้งดิจิทัลที่ใช้งานได้ทุกเวลา หรือการรับคำแนะนำแบบตัวต่อตัวจากผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ที่สาขากรุงศรี ออโต้ใกล้บ้าน หรือ โทร. 0 2740 7400   กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ มีแผนงานการพัฒนาช่องทางการซื้อประกันภัยรถยนต์แบบออนไลน์ และชำระเงินแบบเบ็ดเสร็จ โดยลูกค้าได้รับกรมธรรม์ผ่านอีเมล เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ลูกค้าจะสามารถดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยตนเอง ตั้งแต่การเลือกผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการชำระเงิน โดยกลยุทธ์ ‘Convergence of Choices’ มุ่งตอบโจทย์การเชื่อมบริการ ออนไลน์ และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อมอบบริการที่ตรงใจลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบแบบครบวงจร” นางสาวชญาน์ธิป กล่าวปิดท้าย   กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ พร้อมให้คุณเข้าถึงความคุ้มครองที่ใช่ด้วยโปรแกรมชำระเงินแบบผ่อนชำระ แม้ไม่มีบัตรเครดิต ด้วยการผ่อนเงินสด 0%* ไม่เสียดอกเบี้ย สำหรับประกันภัยรถยนต์และบิ๊ก ไบค์ โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน และครอบคลุมประกันภัยรถภาคสมัครใจทุกประเภท พร้อมได้รับความคุ้มครองทันทีตั้งแต่งวดแรกที่เริ่มชำระ   ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ และบิ๊ก ไบค์ ของ กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ ได้ที่ เว็บไซต์ www.krungsriautobroker.com, LINE Official Account @krungsriautobroker หรือ แอป โก บาย กรุงศรี ออโต้      

July 14, 2025 / 0 Comments
read more

ลูกฉันต้องกินอิ่ม!! แม้กำลังซื้อทาสจะรัดเข็มขัดตัวเอง แต่ไม่ยอมลดค่าใช้จ่ายสัตว์เลี้ยง

BizKet

‘คานิว่า’ ทำแผนปีนี้ขยายตลาดอาหารแมว กลุ่มเจนฯ Z-Alpha ผ่านกลุ่มศิลปิน ‘BUS’ พรีเซ็นเตอร์ รับภาพรวมตลาด 4.7 หมื่นล้านบาทโต 10% ทุกปี   จารุวัฒน์ เลาหวิศิษฐ์ กรรมการบริหาร บริษัท เพ็ท โพรเทคท์ ฟู้ด จำกัด ผู้ทำตลาดอาหารแมวและสุนัข แบรนด์ Kaniva (คานิว่า)  เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดสัตว์เลี้ยงมีมูลค่าราว 47,000 ล้านบาท เติบโตปี 7-10% ต่อปี   จากปัจจัย กระแสคนไทยมีลูกน้อยลง และเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้คนต้องการสิ่งเยียวยาจิตใจ นั่นคือ ‘สัตว์เลี้ยง’  ส่งผลให้ ผู้บริโภคไทย เปลี่ยนตัวเองเป็น พ่อหมาแม่แมว หรือ ‘Pet Parent’ เลี้ยงสัตว์เป็นลูก/คนในครอบครัว มากขึ้น   สอดคล้องข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุจำนวนสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของในไทย ในปี 2567 มีอยู่ราว 5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6% แบ่งเป็น   สุนัข 45 ล้านตัว มีอัตราเติบโตปีละ 19% แมว 94 ล้านตัว มีอัตราเติบโตปีละ 28%   สำหรับ ตลาดอาหารสัตว์มีมูลค่าราว  10,000 ล้านบาท เติบโตจากจำนวนผู้เลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้น และ Pet Parent ใส่ใจสุขภาพหมาแมวมากขึ้น โดยเลือกอาหารสัตว์ที่มีคุณประโยชน์สูงขึ้น   ต่างจากช่วงโควิดที่ตลาดสัตว์เลี้ยงเคยเติบโตถึง 15% และบางหมวดหมู่ อาทิ อุปกรณ์สัตว์เลี้ยงอย่าง เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ โต 20-30%   ขณะที่ กลุ่มอาหารแมว มีแนวโน้มเติบโตมากกว่าอาหารหมา เนื่องจาก แมวเป็นสัตว์ที่ผู้เลี้ยงมักจะให้รับประทานอาหารเม็ด หรือ อาหารเปียก ไม่ค่อยได้กินอาหารคนเท่ากับกลุ่มสุนัข หนึ่งปัจจัยให้กลุ่มผู้เลี้ยงแมวมีแนวโน้มซื้ออาหารสัตว์มากกว่า   “ผู้เลี้ยงแมวมักซื้ออาหารแมวในปริมาณไม่มาก ด้วยพฤติกรรมของแมวมักมีนิสัยเลือกกิน และบางครั้งเบื่อง่าย จึงอาจต้องเปลี่ยนแบรนด์สลับกันไป ต่างจากสุนัขที่มีลอยัลตี้ในแบรนด์สูง มักไม่ค่อยเปลี่ยนอาหารมากนัก” จารุวัฒน์ กล่าว   จารุวัฒน์ กล่าวว่า ความท้าทายในปี 2568 คือ กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัวลง ทำให้กระทบตลาดอาหารสัตว์ โดยผู้บริโภคบางส่วนลดค่าใช้จ่ายสัตว์เลี้ยงบางส่วน อาทิ Pet Parent กลุ่มสุนัข ปัจจุบันปรับเกรดอาหารหมาเฉลี่ยอยู่ที่ 800 บาท/เดือน หรือลดลงราว 20% จากเดิม 1,000 บาทต่อเดือน   “Pet Parent กลุ่มแมวมีการลดลงเช่นกัน แต่น้อยกว่ากลุ่มน้องหมา ด้วยแมวมีอินไซด์ค่อนข้างเลือกกินอาหาร ทำให้ทาสแมวบางส่วนยอมอดข้าว หรือลดค่าใช้จ่ายในส่วนค่าอาหารตนเองมากกว่าลดค่าใช้จ่ายอาหารแมว” จารุวัฒน์ กล่าว   อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจหลังไตรมาส 2 และไตรมาส3 ในปี 2568 ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า จะมีจำนวนการเลี้ยงสัตว์เพิ่ม แต่ในกลุ่มคนเลี้ยงเดิม คาดลดค่าใช้จ่ายลง เช่น อาจเลือกอาหารสัตว์ที่มีโปรโมชั่น ซื้อ 1 แถม 1 ทำให้จากที่คนกลุ่มนี้ต้องซื้ออาหารทุกเดือน ก็อาจจะซื้อเดือนเว้นเดือนแทน     จารุวัฒน์ กล่าว่า สำหรับแนวทางการทำตลาด Kaniva ในปี 2568 จะขยายกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ Gen Z และ Gen Alpha ด้วยพบว่าผู้บริโภคเจนฯ Z กว่า 1 ใน 3 หรือมากกว่า 30% เป็นกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ เป็นสัดส่วนสูงมากเมื่อเทียบกับ Gen X และ Baby Boomer ด้วยจำนวนที่สูงขนาดนี้ ตลาดอาหารสัตว์จะไม่ใช่แค่ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) แต่จะเปรียบเสมือนสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) ทั่วไป   ขณะที่ Gen Alpha แม้จะยังเด็ก และขณะนี้ยังไม่ใช่กลุ่มขับเคลื่อนตลาดหลัก แต่การสร้างความผูกพันกับแบรนด์ตั้งแต่ยังเด็ก จะช่วยให้ในอนาคตเมื่อพวกเขาเลี้ยงสัตว์ จะนึกถึงแบรนด์ Kaniva ก่อนแบรนด์อื่นนั่นเอง   จากแนวโน้มดังกล่าว คานิว่า จัดกิจกรรมการตลาดผ่านแคมเปญ Petstival ใจกลางสยาม ควบคู่กับการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ คือ ‘ศิลปินวง BUS’ ทั้ง 12 คน พร้อมแต่งตั้ง ‘เจษ – เจษฎ์พิพัฒน์ ติละพรพัฒน์’ ในฐานะเฟรนด์ ออฟ คานิว่า ‘Friend of Kaniva’ เพื่อเชื่อมโยงแบรนด์กับผู้บริโภคนิว เจน เนอเรชั่น   “แคมเปญฯ นี้เพื่อวางรากฐานแบรนด์ให้เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคในกลุ่มเจนฯ Z และ Alpha ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมบริโภคชัดเจนและพลังซื้อเติบโตต่อเนื่อง  โดยใช้การ สื่อสารผ่านศิลปินที่มีอิทธิพลสูงในโซเชียลมีเดีย” จารุวัฒน์ กล่าวพร้อมเสริมว่า “คานิว่า จะสื่อสารการตลาดพร้อมใช้สื่อนอกบ้าน (Out of Home) มากกว่า 100 จุดทั่วกรุงเทพฯ ทั้ง BTS, MRT, LED และ Billboard เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์ (Top-of-Mind) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”     นอกจากนี้ ในปี 2568 คานิว่า ยังวางแผนทำตลาดต่างประเทศเพิ่มอีก 2 ประเทศ อาทิ จีน จากปัจจุบันมีสินค้าจำหน่ายอยู่ 18 ประเทศทั้งในอาเซียน และตะวันออกกลาง พร้อมขยายตลาดในประเทศโซนยุโรปเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าในอีกหน่า 2 ปี พอร์ตธุรกิจคานิว่าจะมีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นสัดส่วน 20% จากเดิม 10%   ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้ขยายคลังสินค้า (Warehouse) เพิ่มอีกมากกว่า 10,000 ตร.ม. จากปัจจุบันมีอยู่ 45,000 ตร.ม. และใกล้เต็มอัตราการผลิต (capacity) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด หลังจากเจรจาการค้าในประเทศใหม่ได้สำเร็จ   พร้อมวางแผนทยอยเปืดตัวสินค้าใหม่เข้าตลาดต่อเนื่อง อาทิ อาหารเปียกแมวซีรีส์ไข่ตุ๋น, วิตามินบอล และคอลลาเจนบอล เพื่อรองรับความต้องการผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น จากปัจจุบัน Kaniva มีสินค้ากว่า 100 รายการ (SKU) และนับรวมบริษัทย่อยจะมี เฮ้าส์แบรนด์สินค้าอีก 10 แบรนด์ รวม 1,000 SKU     ทั้งนี้ จากแผนดังกล่าวทั้งหมด ในปี 2568 บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตธุรกิจ 30% จากปีก่อน (YoY) มีรายได้อยู่ที่ 1,167 ล้านบาท   โดยคานิว่า อยู่ในตลาดมาราว 5 ปี มีผลประกอบการเติบโตทุกปี โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 292% ดังนี้ ปี 2563 รายได้ 90 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 71 แสนบาท   ปี 2564 รายได้ 150 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2 ล้านบาท   ปี 2565 รายได้ 442 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6 ล้านบาท   ปี 2566 รายได้ 909 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4 ล้านบาท   ปี 2567 รายได้ 1,167 ล้านบาท กำไรสุทธิ 84 ล้านบาท     Alternate-X  สรุปให้ ตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง! มูลค่า 47,000 ล้านบาทโตเฉลี่ย 7-10% ต่อปี รับกระแส “ทาสรักลูก” ยอมรัดเข็มขัดตัวเองแต่ไม่ลดคุณภาพอาหารสัตว์ ‘คานิว่า’  ชี้ตลาดแมวแรงแซงหมา คนเลี้ยงแมวเลือกเปย์อาหารพรีเมียมต่อเนื่อง โดยเทรนด์ Gen Z – Gen Alpha เลี้ยงสัตว์มากขึ้น ดันอาหารสัตว์จาก Niche สู่ Mass Product คานิว่าเร่งปั้นแบรนด์ในใจผู้บริโภคนิวเจนฯ พร้อมขยายตลาดต่างประเทศสู่ 20% พร้อมเป้ารายได้ปี 2568 ทะลุ 1,167 ล้านบาท พร้อมแตกไลน์สินค้าใหม่-ขยายคลังรับดีมานด์

July 14, 2025 / 0 Comments
read more

นิยามใหม่ ตลาดกาแฟ ไม่ใช่สินค้าโภคภัณฑ์อีกต่อไป ‘BONCAFE’ บอกคือ ‘ลักซูรี่ โปรดักส์’ แห่งยุค

BizKet,  Peace&Play

BONCAFE มองตลาดกาแฟไทยเข้าสู่ยุค ‘สเปเชียลตี้ คอฟฟี่’  คนรุ่นใหม่ยอมจ่ายให้ความหรูที่ดื่มได้ สะท้อนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ผ่านการดื่มกาแฟ แรงหนุนตลาดกาแฟคั่วบด 5.5 พันล้านบาทในไทย โตแรงได้ต่อ By Doungjai Chittmongkol       อุษาพรรณ อินทีวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าการดำเนินธุรกิจ บอนกาแฟ ภาพรวมในปี 2568  มุ่งให้ความสำคัญในการออกกิจกรรมจัดแสดง(Roadshow) ผลิตภัณฑ์ต่างๆของบอนกาแฟ ไปยังในตลาดศักยภาพ โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภายใต้ ปัตตานี, ยะลา, และนราธิวาส ให้การตอบรับบอนกาแฟ เป็นอย่างดี   สำหรับตลาดภาคใต้ถือเป็นตลาดสำคัญของบอนกาแฟ ในปัจจุบัน จากการเข้าไปจัดหา (Supply) โซลูชันผลิตภัณฑ์กาแฟแบบครบวงจรในกลุ่มลูกค้าธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) โรงแรมที่พัก , ร้านอาหาร เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวสูงในภูมิภาคนี้   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ พร้อมขยายโรดโชว์ ไปยังพื้นที่อื่นๆ อย่างในภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ซึ่งเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีแนวโน้มการบริโภคเครื่องดื่มกาแฟขยายตัวสูง   “ตลาดร้านกาแฟในไทยยังมีโอกาสจากอัตราการบริโภคยังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งการออกอีเวนต์จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่พาบอนกาแฟ ซึ่งเป็นโกลบอลแบรนด์เพื่อเข้าไปทำความรู้จักลูกค้าใหม่ๆ ในตลาดท้องถิ่นประเทศไทยมากขึ้น”  อุษาพรรณ กล่าว     ลงทุนเอไอ ทำตลาดกาแฟ   ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนการทำตลาดในรูปแบบไฮบริดชาแนล เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ผ่านการจัดกิจกรรม/ออกบูธเพื่อแนะนำโซลูชั่นผลิตภัณฑ์บอนกาแฟ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้นและการซื้อซ้ำในช่องทางออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์บอนกาแฟ และแพล็ตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซ ชั้นนำในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มรายได้เป็น 15% ในปีนี้จากก่อนหน้ามียอดขายออนไลน์อยู่ที่ 10%   “แนวทางดังกล่าว เพื่อรองรับผู้บริโภคคนไทยกลุ่มวัยทำงานในปัจจุบัน ที่มักหาซื้อเครื่องทำกาแฟจากช่องทางออนไลน์ และต้องการรับเซอร์วิสการติดตั้งแบบครบวงจรในจุดเดียว ซึ่งแต่ละปีมีบอนกาแฟไทย มียอดขายเครื่องเฉลี่ย 800-1,000 เครื่อง” อุษาพรรณ กล่าวพร้อมเสริมว่า     ล่าสุด บอนกาแฟ ประเทศไทย ได้ร่วมงานแสดงสินค้าอีกครั้งในงาน Thailand Coffee Fest 2025 โดยนำนวัตกรรมใหม่ และผลิตภัณฑ์กาแฟออร์แกนิก และกาแฟที่ได้รับเครื่องหมายรับรอง Rainforest Alliance Certified และนมทางเลือกใหม่สำหรับบาริสต้าโดยเฉพาะ เพื่อตอบโจทย์ครบทุกเรื่อง บด ปั่น ชง ไปช่วงระหว่างวันที่ 10-13 ก.ค. ที่ผ่านมา ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 7 เมืองทองธานี และได้การตอบรับจากกลุ่มผู้สนใจ เป็นอย่างดี   พร้อมกันนี้ บอนกาแฟฯ ยังได้แนะนำผลิตภัณฑ์สายสุขภาพ คือ นมทางเลือกใหม่ The Alternative Dairy Co. จากออสเตรเลีย มี 3 รสชาติได้แก่ นมโอ๊ต, นมอัลมอนด์ และ นมถั่วเหลือง ซึ่งได้รับการพัฒนามาจากบาริสต้าเพื่อบาริสต้าโดยเฉพาะ เหมาะกับการผสมเครื่องดื่มทั้งเมนูร้อน และเย็น รวมถึงการเทลาเต้อาร์ต ด้วยฟองนมคงตัวได้นาน รวมถึงการรับประทานเปล่า ๆ เช่นกัน     ส่องตลาดกาแฟโลก   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 3 ระยะ (Phrase)ในการเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างระบบ ERP และเอไอ เพื่อใช้ร่วมการวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้านในการทำธุรกิจ     สำหรับ รายได้หลักจากทำตลาดช่องทางบีทูบี 80% อาทิ กลุ่ม โรงแรม, ร้านอาหาร, ร้านคาเฟ่ เป็นต้น โดยสินค้าเครื่องชงกาแฟกลุ่มบีทูบี จะมีหลากหลายราคาเริ่มต้น 3 หมื่นบาทขึ้นไปและสูงสุดในราคาหลักล้านบาท และ กลุ่มบีทูซี 20%  ส่วนเครื่องชงกาแฟในกลุ่มบีทูซี ซึ่งมักนำไปใช้ภายในบ้าน (Homeuse) จะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักพันบาทไปจนถึงหลักแสนบาทต่อเครื่องขึ้นไป   ปัจจุบัน บอนกาแฟ มีสัดส่วนรายได้หลัก 50 % มาจากกลุ่มสินค้าวัตถุดิบกาแฟ, กลุ่มอุปกรณ์/เครื่องชงกาแฟ 25% และ กลุ่มสินค้าสำหรับผู้บริโภค 15% และอื่นๆ 10%   พร้อมวางเป้าหมายใน 3 ปีหน้ามีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มบีทูบี 60% และ กลุ่มบีทูซี 40% โดยในอีก 5 ปีหน้าจะมีรายได้ราว 2,000 ล้านบาท โดยปีที่ผ่านมา บริษัทฯ รายได้ 765 ล้านบาท เติบโต 7% เทียบกับปีก่อน ซึ่งบอนกาแฟ ประเทศไทย เป็นหนึ่งในตลาดสำคัญยักษ์ธุรกิจกาแฟอิตาลี ‘BONCAFE’ ที่สร้างยอดขายได้สูงกว่า 50% เทียบกับประเทศอื่น     3 ปัจจัยหนุนตลาดกาแฟไทยยังไหว     อุษาพรรณ กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในปัจจุบัน แต่ภาพรวมธุรกิจกาแฟในไทยได้รับผลกระทบไม่มากนัก ด้วยยังมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ จากปัจจัยหลัก การดื่มกาแฟกลายเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์การบริโภค ที่สะท้อนการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน   ขณะที่ตลาดกาแฟของไทยในภาพรวมคาดมีมูลค่าราว 3.5 หมื่นล้านบาท แต่หากแบ่งเป็นตลาดกาแฟคั่วบด (Bean Ground Coffee) มีมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่า 5.5 พันล้านบาท และขยายการเติบโตสูงถึง 15%   โดยธุรกิจบอนกาแฟ เติบโตในทิศทางเดียวกับภาพรวมตลาด คือ   อัตราการบริโภคกาแฟ (Consumption) กระแส (Trend) ความนิยมดื่มกาแฟอย่างต่อเนื่อง ด้านสุขภาพ มักดื่มในตอนเช้าเพื่อควบคุมบางอย่างในร่างกาย   “คนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ยราว 1-2 แก้วต่อวัน ซึ่งยังต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ที่มีศักยภาพมีการบริโภคกาแฟมากกว่า 3 แก้วต่อวัน” อุษาพรรณ กล่าว     กาแฟโลกโดนทรัมป์เล่นด้วย   ขณะที่ตลาดกาแฟระดับโลก ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบเมล็ดกาแฟที่มีแนวโน้มลดลง และอาจส่งผลการซัพพลายนั้น ซึ่งบอนกาแฟ ประเทศไทย ยังสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบเมล็ดกาแฟได้เป็นอย่างดี ด้วยเป็นแบรนด์กลุ่มธุรกิจระดับโลก มีแหล่งปลูกเมล็ดกาแฟเพื่อทำตลาดขนาดใหญ่อยู่ที่ประเทศบราซิลและเวียดนาม รวมถึงการจัดซื้อเมล็ดกาแฟในประเทศไทยตามกลไกของราคา ทำให้การทำธุรกิจในไทยไม่ได้รับผลกระทบด้านวัตถุดิบ แต่อย่างใด   อย่างไรก็ตาม จากปัญหาโลกร้อนซึ่งกระทบผลผลิตเมล็ดกาแฟโลกน้อยลงทำให้มีราคาผันผวน รวมถึงจากนโยบายกำแพงภาษีการค้าโลกของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกาแฟด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบและสินค้าอื่นๆที่เกี่ยวข้องในภาพรวม อาทิ เมล็ดกาแฟ ผงมัจฉะจากไต้หวัน และญี่ปุ่น เป็นต้น รวมถึงอุปกรณ์สินค้า บางรายการ ฯลฯ   อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีราคากลางของกาแฟโดยเฉพาะไม่ได้อิงราคาโลก ด้วยเป็นส่วนนึ่งของนโยบายรัฐบาลไทยเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมผลผลิตการเกษตรชาวไร่กาแฟไทย ซึ่งปัจจุบันเมล็ดกาแฟ อาทิ สายพันธุ์โรบัสต้า มีราคาอยู่ที่ 180 บาทต่อกิโลกรัม   “ประเทศต้นทางสินค้ารายการดังกล่าว ต้องเร่งนำส่งของเหล่านี้ไปยังสหรัฐฯ เป็นอันดับแรกก่อนมีการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าใหม่จากสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ทำให้ตลาดกาแฟในไทยขาดแคลนสินค้าดังกล่าวชั่วคราว คาดจะกลับมาคลี่คลายราว 2-3 เดือน” อุษาพรรณ กล่าว     ร้านกาแฟรายย่อยยังไหวไหม?   อุษาพรรณ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดกาแฟ หรือ คาเฟ่ (Cafe) ในกลุ่มผู้ประกอบการายย่อยในไทย ยังเติบโตและมีความน่าสนใจ จากกลุ่มนักลงทุนที่สนใจเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งเป็นไปตามวัฎจักรของตลาดร้านกาแฟ หรือ คาเฟ่ ที่จะมีทั้งการเปิดใหม่ร้านและการปิดร้านเดิมในตลอด 10 ปีที่ผ่านมา   “จากเดิม เมจิก นัมเบอร์ จากการขายกาแฟต่อวันอยู่ที่ 100 แก้วต่อวันต่อร้าน แต่ตอนนี้สถานการณ์ตลาดเปลี่ยนไปจำนวนการขายต่อแก้วก็อาจลดลง แต่สามารถไปเพิ่มรายได้จากยอดขายอื่นได้” อุษาพรรณ กล่าวพร้อมเสริมว่า   ขณะที่บอนกาแฟ มี 3 โมเดลธุรกิจร้านกาแฟ คือ สำหรับไซส์เอส ใช้งบลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาทขึ้นไป, ไซส์เอ็ม ใช้งบลงทุนเริ่มต้ร 90,000-100,000 บาทขึ้นไป และไซส์แอล ใช้งบลงทุนตั้งแต่หลักแสนบาทขึ้นไป เพื่อรองรับนักลงทุนหรือผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยที่สนใจประกอบธุรกิจร้านกาแฟ คาดใช้ระยะเวลาคืนทุน 1-2 ปี โดยขึ้นอยู่กับศักยภาพทำเล   แนวโน้มทั้งราคาวัตถุดิบและเทรนด์การบริโภคกาแฟที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ยังทำให้ กาแฟจะไม่ได้เป็น Commodity สินค้าดภคภัณฑ์อีกต่อไป แต่จะเป็นสินค้าหรูหรา เป็นลักซูรี โปรดักส์ ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ผ่านการดื่มกาแฟ   ขณะเดียวกันความนิยมการบริโภคกาแฟในกลุ่มคนไทยที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและยังเป็นยุคของตลาดกาแฟพิเศษ หรือ Specialty  Coffee ที่กลุ่มนักดื่มกาแฟรุ่นใหม่ให้ความสนใจมากขึ้น ที่จะเริ่มเข้าถึงง่ายขึ้นทั้งเมล็ดกาแฟ และเครื่องทำกาแฟสำหรับโฮมยูส จากเดิมสเปเชียลตี คอฟฟี เป็นตลาดที่ได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่ม (Niche Market ) เท่านั้นด้วยเป็นตลาดกาแฟมีราคาสูง  ซึ่งต่อจากยุคกาแฟกึ่งสำเร็จรูป (Instant Coffee) กาแฟ ดริป (Drip Coffee) ในปัจจุบัน   Alternate-X สรุปให้   BONCAFÉ ชี้ตลาดกาแฟไทยกำลังเข้าสู่ยุค ‘สเปเชียลตี้ คอฟฟี่’  คนรุ่นใหม่ยอมจ่ายเพื่อความหรูในแก้วกาแฟ ดันตลาดคั่วบดโต 5.5 พันล้าน เดินหน้าทำตลาดแบบไฮบริด-โรดโชว์เจาะใต้-อีสาน-ตะวันตก ลงทุนเทคโนโลยี AI+ERP หนุน B2B+ออนไลน์โตพร้อมวางเป้ารายได้แตะ 2,000 ล้านบาทใน 5 ปี    

July 14, 2025 / 0 Comments
read more

เมื่อน้ำเปล่าขวดลิตร มีผลต่อใจเรียกลูกค้าเข้าปั๊ม ‘บางจาก’ ฉีกแนวแจก ‘น้ำแร่’ ลายสะสม

BizKet,  WeView

สงครามโปรโมชั่นแจกน้ำดื่มในปั๊มน้ำมัน เริ่มทวีความแรงด้วยตอนนี้แจกแค่น้ำเปล่าบรรจุขวด 1 ลิตรธรรมดาไปแล้ว ล่าสุด ‘บางจาก’ เปิดเกมใหม่ขอแจกน้ำแร่ธรรมชาติ ไปเลย   แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า สถานีน้ำมัน(ปั๊ม)แบรนด์ใด จะเป็นเจ้าแรกที่ใช้กลยุทธ์การตลาดส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์น้ำมันในปั๊ม ด้วยการแจกน้ำดื่มบรรจุขวดให้กับลูกค้า ที่เข้ามาเติมน้ำมันตามเงื่อนไขราคาที่กำหนดไว้ ที่ต่อมากลยุทธ์นี้ได้ขยายวงกว้างออกไปในปั๊มน้ำมันแบรนด์ต่างๆ ในเวลาไล่เรี่ยกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา   โดยช่วงต้นๆของโปรฯดังกล่าว ในสถานีน้ำมันเครือปตท และบางจาก ได้เริ่มแจกน้ำดื่มฟรีให้กับลูกค้าที่เติมน้ำมันในปริมาณที่กำหนด เริ่มจากขนาดเล็ก (เช่น 500 มล.) ก่อนจะขยายเป็น 1 ลิตร ในเวลาต่อมา   ถึงในตอนนี้สถานีน้ำมันหลายแบรนด์ ได้เริ่มปรับราคาการเติมน้ำมันขั้นต่ำตั้งแต่ 500 บาทพร้อมรับทันทีน้ำดื่มไซส์ลิตร  1 ขวดจากเดิม ใช้ราคาเริ่มต้น 900 บาท แต่หากปัจจุบันเติมน้ำมัน 1,000 บาทรับน้ำดื่ม 2 ขวดทันที   ด้วยกลยุทธ์การตลาดโปรโมชั่นฯ ดังกล่าว เรียกว่าเป็นหนึ่งในหมัดฮุกเพื่อดึงลูกค้าเข้าปั๊ม ผ่านผลิตภัณฑ์น้ำดื่มธรรมดาๆ แต่ว่าเป็นของที่ ‘ทุกคนต้องกิน’ แถมไม่หมดอายุเร็ว แจกแล้วได้ใช้แน่นอน   อีกทั้งยังสร้างความรู้สึกคุ้มค่าเงินที่จ่ายค่าน้ำมันออกไปแต่ได้ของน้ำของแถมกลับมาทันทีในสมการ ‘เติมเท่าเดิม แต่ได้ของเพิ่ม’ นอกจากนี้ยังสามารถพกพา หรือ ทิ้งติดรถไว้ในรถ ได้ทั้งขวดบรรจุ 600 มล.–1.5 ลิตร ให้ไปดื่มเองหรือเอาไว้แจกเพื่อนได้อีกด้วย   ที่สำคัญ น้ำดื่มบรรจุขวดของแต่ละปั๊ม ยังกระตุ้นการจดจำแบรนด์ ด้วยมักเป็นขวดน้ำดื่มที่พิมพ์โลโก้แบรนด์ปั๊ม ซึ่งยัง Tie-in แบรนด์สถานีบริการน้ำมัน ไปพร้อมกันด้วยเมื่อทุกครั้งลูกค้าหยิบน้ำขึ้นดื่ม ก็เท่ากับ ‘เห็นแบรนด์’ ตลอดเวลา   ล่าสุด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  จัดสมนาคุณสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ เมื่อเติมน้ำมันกลุ่มไฮพรีเมียม ได้แก่ บางจากไฮพรีเมียม 97 หรือ บางจากไฮพรีเมียมดีเซล S ครบทุก 1,200 บาท รับฟรี น้ำแร่ธรรมชาติ 100% บรรจุกระป๋องลิมิเต็ดคอลเลกชัน จำนวน 1 กระป๋อง มูลค่า 25 บาท มีทั้งหมด 4 ลวดลายน่าสะสม ตั้งแต่ 15 กรกฎาคม 2568 ถึง 15 ตุลาคม 2568 ณ สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศที่ร่วมรายการ พิเศษ! รับเพิ่ม ส่วนลดลิตรละ 3 บาท ทุกวันจันทร์จนถึงวันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bangchakmarketplace.com   ขณะที่ น้ำแร่ธรรมชาติบรรจุกระป๋อง ลิมิเต็ดคอลเลกชัน เป็นน้ำแร่ธรรมชาติ 100%  จากแหล่งน้ำที่ดีที่สุดในจังหวัดระนอง ผ่านกระบวนการผลิตที่สะอาด ปราศจากกำมะถัน มีปริมาณแร่ธาตุที่เหมาะสมต่อร่างกาย  บรรจุกระป๋องลวดลายสวยงาม มี 4 ลายให้เลือกสะสม ได้แก่   Performance Power Protection Pureness   ทั้งนี้ เพื่อสื่อถึงประสิทธิภาพน้ำมันบางจากไฮพรีเมียม และยังใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้ 100% เป็นผลดีต่อสภาพแวดล้อม      

July 11, 2025 / 0 Comments
read more

บัตรฯ เซ็นทรัล เดอะวัน ปรับใหม่หมดโลโก้ถึงผู้บริหาร เป้าผู้ใช้บัตรสิ้นปี68 ทะลุ 1 ล้านราย

BizKet

บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ของกลุ่มเซ็นทรัล  โดยบริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ภายใต้กลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เป็นผู้ให้บริการบัตรฯ ล่าสุดได้รับการต่อสัญญาบริหารบัตรฯ ต่อเนื่องไปอีก 8 ปี และเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เริ่มความร่วมมือครั้งแรกในปี 2541   ต่อการรับสิทธิบริหารบัตรฯ เซ็นทรัล เดอะวัน รอบใหม่ โดยเริ่มในปี 2568- 2575 ยังมาพร้อมกับ การยกเครื่องใหม่หมด นับตั้งแต่โลโก้ ไปจนถึงแนวคิดผลิตภัณฑ์ ที่มาพร้อมการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชิ้นใหม่ ที่สำคัญยังเปลี่ยนตัวผู้บริหารใหม่ อีกด้วย   ‘อธิศ รุจิรวัฒน์’ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ย้อนจุดเริ่มต้นในปี 2541 จากความร่วมมือระหว่างสองกลุ่มบริษัทได้ร่วมกันขยายธุรกิจให้เติบโต จากบัตรเซ็นทรัล คาร์ด มีผู้ถือบัตรเพียง 15,000 ใบ จากนั้นได้พัฒนาสู่บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวันที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้ถือบัตรกว่า  900,000 ใบ   นอกจากนี้ บัตรฯ ดังกล่าวยังมีจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญนับจากสถานการณ์โควิด-19 เมื่อราว 5 ปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์มีการเติบโตอย่างสูงสุด ‘Super Growth’ และต่อเนื่องถึงในปัจจุบัน จากในปี 2567 ที่ผ่านมามียอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ นี้ราว 1.25 แสนล้านบาท เลยทีเดียว   “บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน เป็นมากกว่าบัตรเครดิตร่วม ด้วยส่วนแบ่งตลาดในปัจจุบันสูงถึง 5.5% ของตลาดบัตรเครดิต และยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่เติบโต 3 เท่า เทียบกับพ.ศ. 2560” อธิศ กล่าวพร้อมเสริมว่า   ล่าสุดในโอกาสต่อสัญญารับสิทธิ์บริการบัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน ครั้งที่ 4 ยังได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่พร้อมเปิดตัวโฉมใหม่ บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระ ที่ไม่ใช่เป็นแค่บัตรเครดิตแต่เป็น ‘เปย์เมนต์ โซลูชั่น’  มาตอบไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้ตรงใจยิ่งขึ้น และสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับพันธมิตรหลัก   “เป็นการรีแวมป์ครั้งใหญ่บัตรฯเซ็นทรัล เดอะวัน ที่มีอายุ 27 ปีในปัจจุบัน ทั้งโลโก้หน้าบัตรให้ทันสมัย สดใส ไปจนถึงการเปลี่ยนตัวเอ็มดี ใหม่เพื่อดูแลผลิตภัณฑ์นี้ด้วยเช่นกัน”  อธิศ กล่าวพร้อมเสริมว่า “การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ เพื่อให้สอดรับความต้องการของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ และเทคโนโลยีทางการเงินต่างๆที่เปลี่ยนไป ในรูปแบบต่างๆ ทั้งพลาสติก การ์ด, ครอสส์ เปย์, คิว อาร์ โค้ด หรือ โมบายล์ เปย์เมนต์ ซึ่งบัตรฯ เซ็นทรัล เดอะวัน จะยังตอบโจทย์ได้ทุกไลฟ์สไตล์   เพิ่มพอต์ดึงผู้ใช้บัตรฯรุ่นใหม่   ด้าน ‘ชีวิน ปราชญานุพร’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า ปรับภาพลักษณ์ใหม่ของ บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ในครั้งนี้ เน้นดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่โดดเด่น ทันสมัย สะท้อนไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ยิ่งขึ้น พร้อมมุ่งสร้างการรับรู้จุดยืนของแบรนด์ ในฐานะผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ในทุกมิติของชีวิต   โดยนำจุดแข็งจากพันธมิตรหลัก Central Group และ  The 1 ซึ่งเป็น Loyalty Platform มาพัฒนาฟีเจอร์ใหม่  ‘T1 Dynamic Points พอยท์แบบใหม่ที่ให้มากกว่า’ มอบคะแนนเดอะวันมากกว่าที่เคยทุกวันที่ 15 ของเดือน บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน นับเป็นบัตรเครดิตใบแรกในประเทศไทยที่ให้คะแนนได้ในลักษณะนี้   ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ได้ออกแบบให้คะแนนพิเศษในแต่ละหมวดสินค้าหรือแบรนด์ที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงนั้นๆ เพื่อตอบโจทย์และสร้างประสบการณ์การใช้จ่ายที่ดียิ่งขึ้นเพื่อสมาชิกบัตร   นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์หลักเช่นเดิม เช่น คะแนน The 1 สูงสุด 4 เท่า, ส่วนลดสูงสุด 10% ทั้งกลุ่มธุรกิจในเครือเซ็นทรัล พร้อมเพิ่มสิทธิพิเศษที่โรงแรมในเครือ Centara และ SALA   ขณะเดียวกัน บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ได้ออกแคมเปญสื่อสารแบรนด์และโฆษณาชุดใหม่ Everything has a Point – มีพอยท์ใช้อะไรก็มีเหตุผล ถ่ายทอดเรื่องราวของบัตรโฉมใหม่ ที่ให้คุณใช้ชีวิตครบทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าใช้จ่ายอะไรก็มีเหตุผล เพราะได้พอยท์ที่คุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ โดยสามารถติดตามได้ทางช่องทาง www.facebook.com/CentralThe1CreditCard     ชีวิน กล่าวว่า “บริษัท คาดว่าภาพลักษณ์แบรนด์และสิทธิประโยชน์ที่โดดเด่นของบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน โฉมใหม่ ช่วยเพิ่มยอดใช้จ่ายผ่านบัตร ให้สมาชิกใช้บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ในฐานะบัตรเครดิตหลักที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง”   โดยนอกจากกลุ่มลูกค้าเดิม ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มวัยทำงานที่มีรายได้สูงแล้ว บริษัทยังตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าให้หลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ   กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาบัตรเครดิตที่ให้สิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในครบครัน กลุ่มที่เริ่มมีเครดิตและกำลังมองหาบัตรแรกในชีวิต   โดยตั้งเป้าภายในปี 2568 จะมียอดสมัครบัตรใหม่ 100,000 บัญชี สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทในปีนี้ นับว่าเติบโตเป็นที่น่าพอใจ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน 62,400 ล้านบาทหรือเติบโต 5%  เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ร้านค้าในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ปนับว่าเติบโตได้ดี โดยหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรที่มียอดเติบโตสูงสุด 3 อันดับแรกในช่วงครึ่งปีแรก ในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป ได้แก่   เซ็นทรัลออนไลน์ ร้านอาหารในเครือ CRG, ไทวัสดุ   สำหรับหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรอื่นๆนอกเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่เติบโตสูงสุด ได้แก่   การเงินการลงทุน แพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ ประกันภัย ทั้งนี้   โดยภายในปี 2568 บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตร 137,000 ล้านบาทเติบโต 10% เทียบกับปีที่ผ่านมา   Alternate-X สรุปให้    บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ปรับโฉมใหม่ครบทุกมิติ ทั้งโลโก้ ดีไซน์บัตร แนวคิดผลิตภัณฑ์ และเปลี่ยนตัวผู้บริหาร พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายปี 2568 มียอดผู้ถือบัตรกว่า 1 ล้านราย จากยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่โตต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็นมากกว่าบัตรเครดิต แต่คือ “โซลูชั่นการใช้จ่าย” ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ “T1 Dynamic Points” ที่มอบคะแนนสูงกว่าทุกวันที่ 15 ของเดือน และแคมเปญโฆษณาสะท้อนจุดยืนแบรนด์โฉมใหม่  

July 11, 2025 / 0 Comments
read more

ครึ่งหลังปี68 ‘แสนสิริ’ บริหารพอร์ตอสังหาฯพร้อมอยู่-สร้างใหม่ เจาะนักลงทุนกรุงเทพฯ-ภูเก็ต

BizKet

แสนสิริ ยังแกร่งผ่านครึ่งแรกปี 68 กวาดยอดขาย 2.6 หมื่นล.บาท สร้างปรากฎการณ์ Sold Out 13 โครงการกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ไปต่อไตรมาส3 เติมของใหม่อีก 5 โครงการ คอนโด4-แนวราบ1 หลัง ท่ามกลางภาวะตลาดท้าทาย   วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่าในไตรมาส3 ปี 2568 บริษัทฯ วางกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนยอดขายต่อเนื่อง โดยมุ่งการบริหารจัดการโครงการพร้อมอยู่ และการเปิดโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพ ที่มีความต้องการซื้ออย่างชัดเจนจากกลุ่มซื้ออยู่เองและซื้อเพื่อลงทุนทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูเก็ต   นอกจากนี้ แสนสิริ ยังนำร่องทำอินเวสต์เมนต์ โปรเจกต์ (Investment Project) ให้กับลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนในแนวราบ เช่น ณรินสิริ กรุงเทพกรีฑา ที่มีการปล่อยเช่ากันที่ระดับราคา 400,000 – 500,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นผลตอบแทนที่สูงมากถึง 9% ต่อปี ปัจจุบันมีผู้สนใจติดต่อเช่าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง   ขณะเดียวกัน ยังได้พัฒนาโมเดล Sansiri Community ในทำเลใหม่ๆ และให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายที่ดูแลอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อช่วยผลักดันให้แสนสิริรักษาการเติบโตและครองความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาฯ ได้อย่างต่อเนื่อง   โดยครึ่งหลังปี 2568 แสนสิริ วางแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าท้ายตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม ทั้งภาวะเศรษฐกิจในประเทศ สถานการณ์ทางการเมือง ปัญหาความขัดแย้งจากภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน   อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ผ่อนคลายมาตรการ LTV ให้กู้ได้เต็ม 100% ในทุกระดับราคา และ ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง จะเป็นแรงกระตุ้นกำลังซื้อจากกลุ่มลูกค้าซื้ออยู่อาศัยเองและนักลงทุน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัวได้   สำหรับในไตรมาส 3 แสนสิริ เตรียมเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 15,300 ล้านบาท เป็นโครงการ คอนโดมีเนียม 4 แห่ง และ แนวราบ 1 แห่ง ประกอบด้วย   วาลเลส เฮาส์ เซลฟ์ บาย แสนสิริ ไวด์เด็น บาย แสนสิริ เดอะ เบส เออร์เบิน พระราม 9 สราญสิริ จตุโชติ       โดยมีแผนเปิดไฮไลต์โครงการพร้อมโอนและเปิดใหม่ ประกอบด้วย   โครงการพร้อมโอน: เดอะ มูฟ สุขุมวิท 107, ดีคอนโด เซนส์ (บางแสน), โฟล บาย แสนสิริ, เดอะ เบส, เออร์เบิน พระราม 9 (เปิดใหม่และพร้อมโอน),  โครงการเปิดใหม่: วาลเลส เฮาส์ ราคาเริ่ม 4.69 ล้านบาท คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เฮาส์ ในทำเล T77 คอมมิวนิตี้ เป็น Pets Welcome คอนโดมิเนียมโครงการแรกของ HAUS ในกรุงเทพฯ   นอกจากนี้ ยังเตรียมพรีเซลปลายเดือนสิงหาคมนี้ อาทิ   ไวด์เด็น บาย แสนสิริ ราคาเริ่ม 9 ล้านบาท คอนโดมิเนียมใหม่ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง แสนสิริ และ บริษัท โตคิว ดีเวลลอปเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้แห่งแรกในทำเลนางลิ้นจี่ สราญสิริ จตุโชติ ราคาเริ่ม 99 ล้านบาท บ้านเดี่ยวดีไซน์Urban Farmhouse อยู่ในจตุโชติคอมมิวนิตี้ของแสนสิริ เชื่อมต่อการเดินทางหลากหลายเส้นทาง ใกล้ทางด่วนจตุโชติ เพียง 5 นาที   ขณะเดียวกัน ยังมีแบคล็อก (Backlog) หรือยอดขายรอโอนกว่า 20,000 ล้านบาท เป็นยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ 50% พร้อมโครงการจ่อ Sold Out กว่า 10 โครงการ ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญสำหรับรายได้ในครึ่งปีหลัง   วิชาญ กล่าวว่า แนวทางดังกล่าวยังตอกย้ำความแข็งแกร่งผลดำเนินการในครึ่งแรกของปี 2568 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2568) แสนสิริ ทำยอดขายได้ 26,000 ล้านบาท (ราว 50% จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 53,000 ล้านบาท) ทะลุเป้าครึ่งปีตามแผนการดำเนินงาน สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแสนสิริ   นอกจากนี้ ยังสร้างปรากฏการณ์ Sold Out ได้การตอบรับดีเยี่ยมในทุกเซกเมนต์ทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียม รวม 13 โครงการ มูลค่ากว่า 15,500 ล้านบาท โดยยังคงรักษาระดับการเติบโตของยอดขายได้อย่างแข็งแกร่ง   โดยไฮไลต์ความสำเร็จ ได้แก่   พีทีวาย เรสซิเดนซ์ สาย 1 คอนโดมิเนียมริมหาดพัทยา ด้วยยอดขายสูงถึง 3,300 ล้านบาท เดมี พระราม 9 – เหม่งจ๋าย ซึ่งปิดการขายทันที 18 ยูนิต ก่อนวันพรีเซลล์ล่วงหน้า 1 สัปดาห์ สร้างยอดขายกว่า 500 ล้านบาท   นอกจากนี้ยังมีธุรกิจใหม่คือ ‘ต้นแบบ Crafted by Sansiri’ (บริการรับสร้างบ้านครบวงจร) ที่ทำรายได้ทะลุเป้ากว่าร้อยล้านบาท และเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) กันยายนนี้   “ที่สำคัญคือความแข็งแกร่งทางการเงินที่สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนส่งผลให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด Oversubscribe ไปมากกว่า 50%” วิชาญ กล่าว   ล่าสุด แสนสิริ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 2025 Fortune Southeast Asia 500 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นการจัดอันดับบริษัทที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมากที่สุด 500 แห่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   โดยนิตยสารฟอร์จูน (Fortune) สื่อธุรกิจชั้นนำระดับโลก การจัดอันดับนี้พิจารณาจากบริษัทที่มีรายได้สูงสุดในปี 2567 โดยแสนสิริเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยของไทย, อันดับที่ 41 ของประเทศไทย และอันดับที่ 251 จาก 500 บริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้     Alternate-X      แสนสิริ เดินหน้ากลยุทธ์ครึ่งปีหลัง 2568 ด้วยการเปิด 5 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 15,300 ล้านบาท พร้อมเจาะตลาดซื้ออยู่เอง-ลงทุนในทำเลศักยภาพทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูเก็ต เร่งขับเคลื่อนยอดขายผ่านโครงการแนวราบเพื่อการลงทุน ที่สร้างผลตอบแทนสูงถึง 9% ต่อปี โชว์แบคล็อกกว่า 20,000 ล้านบาท พร้อมโครงการจ่อ Sold Out หนุนรายได้ครึ่งปีหลัง หลังครึ่งปีแรกทำยอดขายแล้วกว่า 26,000 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของเป้าทั้งปี สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาด ล่าสุดติดอันดับ Fortune Southeast Asia 500 ต่อเนื่องปีที่ 2 ตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำอสังหาฯ ไทย  

July 10, 2025 / 0 Comments
read more

‘พฤกษา’ ปรับจุดขายใหม่ ส่ง ‘อินโน พรีคาสท์’ เจาะกลุ่มนัน-เรสซิเดนซ์ มองอสังหาฯ ฟื้นอีกที2 ปีหน้า

BizKet

‘อินโน พรีคาสท’ ในเครือพฤกษา จับสัญญาณตลาดอสังหาฯ ซึมยาว 2 ปี คาดฟื้นปี 2570 ส่ง ‘พรีคาสท์’ เจาะกลุ่มนัน-เรสซิเดนซ์รับดีมานด์อุตฯโรงงาน-ท้องถิ่น ต้องการชิ้นส่วนวัสดุส่วนประกอบสำเร็จรูป เร่งงานเสร็จเร็ว-บริหารแรงงานขาดแคลน   ‘ทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด ในเครือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแผนขยายการรับงานในโครงการอสังหาริมทรัพย์กลุ่มไม่ใช่ที่อยู่อาศัย (Non-Residences) เพิ่มขึ้น   โดยวางแผน 2-3 ปีข้างหน้า จะปรับสัดส่วนการรับงานโครงการฯกลุ่มนี้อยู่ที่ 30% ของรายได้ จากเดิม 20% ส่วนกลุ่ม Residences จะเหลือสัดส่วน 70% จากเดิม 80%   ทั้งนี้ บริษัทฯ เริ่มรับลูกค้าธุรกิจพรีคาสท์ ในกลุ่มโรงงานและเฮ้าส์ หลังเห็นโอกาสในตลาดโดยเฉพาะในทำเลเขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (EEC) พร้อมเข้าไปเจรจาขายผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนพรีคาสท์สำเร็จรูปให้ผู้รับเหมาทั้งในท้องถิ่น และผู้รับเหมาชาวจีนที่รับงานก่อสร้างโรงงานในจังหวัด ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา โดยราคาผลิตภัณฑ์พรีคาสท์ อยู่ที่ 5,000 บาท/ตารางเมตรพื้นที่ใช้สอย   “ค่าก่อสร้างแบบพรีคาสท์แทบไม่ต่างจากค่าก่อสร้างแบบปกติ ห่างกันไม่ถึง 5% แต่จุดเด่นคือ ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 2 สัปดาห์ และไม่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันภาคก่อสร้างมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานค่อนข้างมาก” ทรงศักดิ์ กล่าว พร้อมเสริมว่า   สำหรับแนวทางดังกล่าว ยังเป็นการปรับตัวรับสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ที่อยู่อาศัย คาดชะลอตัวจากนี้ 2 ปี (พ.ศ. 2568 – 2569) จากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวดี และประเมินว่าตลาดจะเริ่มฟื้นขึ้นมาภายในปี 2570   “แนวโน้มดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอการสต๊อกสินค้า จากเดิมจะพัฒนาบ้านรองรับความต้องการล่วงหน้า 5 ปี ก็เหลือสต๊อกล่วงหน้าเพียง 2 ปี เพราะซัพพลายในตลาดยังมีอยู่ จึงต้องเร่งระบายสินค้าเดิมก่อน” ทรงศักดิ์ กล่าว   ขณะที่ บริษัทฯ มีแบคล็อก (Backlog) อยู่ในมือราว 4,000 ล้านบาท คาดทยอยรับรู้รายได้ใน 3-5 ปี ซึ่งเป็นสัญญาจ้างผลิตพรีคาสท์สำหรับบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ โดยเริ่มเห็นแนวโน้มจากลูกค้าขอเลื่อนการผลิตและส่งมอบสินค้าออกไป ซึ่งบริษัทฯ มีความเข้าใจในสถานการณ์นี้และไม่ได้เร่งรัดลูกค้าแต่อย่างใด   “ช่วงก่อนหน้านี้ ธุรกิจพรีคาสท์มีฐานลูกค้าหลักในกลุ่มที่อยู่อาศัยราว 80% แต่จากสัญญาณดังกล่าว บริษัทฯได้หันไปขยายการรับงานคอนกรีตสำเร็จรูป ป้อนในกลุ่มธุรกิจนัน-เรสซืเดนซ์ ที่มีสัดส่วน 20% อาทิ ผนังและคานสำหรับกลุ่มโรงงาน, รั้วคอนกรีต, บ่อบำบัดสำเร็จรูป, เขื่อน เป็นต้น” ทรงศักดิ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมขยายทำพรีคาสท์สำหรับสระว่ายน้ำภายในปี 2568 เพิ่มเติมจากการทำผนัง เสา และคานสำเร็จรูป ซึ่งเป็นจุดแข็งทำให้ ‘อินโนพรีคาสท์’ เหนือกว่าคู่แข่ง ที่อาจทำได้แค่ผนังสำเร็จรูปเท่านั้น   โดยบริษัทฯ มีศักยภาพการผลิตอยู่ที่ 5 ล้านตารางเมตรต่อปี คิดเป็นการสร้างบ้าน 1,500 หลังต่อเดือน ปัจจุบันมีการใช้งานจากอัตราการผลิต (capacity) อยู่ที่ 40%   ทรงศักดิ์ กล่าวว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัว บริษัทฯ คาดว่า ปี 2568 จะทำรายได้ไม่ถึง 2,000 ล้านบาท จากปี 2567 มีรายได้ 2,000 ล้านบาท และปี 2566 มีรายได้ราว 2,200 ล้านบาท     Alternate-X สรุปให้ อินโน พรีคาสท์ ปรับแผนรุกตลาด Non-Residences รับมืออสังหาฯ ที่อยู่อาศัยชะลอตัว 2 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าขยายสัดส่วนรายได้กลุ่มนัน-เรสซิเดนซ์ เป็น 30% ภายใน 2-3 ปี จากเดิม 20% เจาะตลาด EEC ขายพรีคาสท์ให้โรงงาน-ผู้รับเหมาจีน ชูจุดเด่นก่อสร้างเร็ว ใช้แรงงานน้อย คาดปี 2568 ประเมินรายได้ลดเหลือไม่ถึง 2,000 ล้านบาท จากการชะลอสั่งผลิตของลูกค้า เตรียมขยายสินค้าใหม่ เช่น พรีคาสท์สำหรับสระว่ายน้ำ เสริมความสามารถแข่งขันในอนาคต

July 10, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดฟิลเลอร์ โตแรง ปี68 ทั่วโลกแตะ 1.7 แสนล.บาท เทรนด์คนรุ่นใหม่ขอสวยไวไม่ผ่าตัด

Peace&Play

‘Ke MEDICAL’ จากเกาหลีบุกความงามไทย รับเทรนด์คนรุ่นใหม่ขอผิวยกกระชับสวยไวแบบไม่ผ่าตัด หนุน ‘HA filler ฟิลเลอร์’ โตแรง ปี68 แตะ 1.7 แสนล.บาท   ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่ตลาดความงามยังเป็นเซ็กเตอร์ที่มีแนวโน้มขยายตัว จากปัจจัยหลักผู้บริโภคยอมจ่ายเพื่อสร้างความสุขด้วยการดูแลตัวเองให้ดูดี   สอดคล้องกระแสการดูแลผิวหน้า ผ่านการทำหัตถการยกกระชับผิวหน้าพร้อมเติมเต็มผิวให้อิ่มฟู ดูชุ่มชื้น แบบไม่ต้องผ่าตัด ที่ขยายความต้องการมากขึ้น เช่นกัน โดยเฉพาะการนำ Hya filler สารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบหลักเป็นกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิต HA น้อยลง ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและสูญเสียความยืดหยุ่น   ดังนั้น HA filler จึงถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู และปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน และกลายเป็นอีกหนึ่งบริการด้านหัตการผิวพรรณ์ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในธุรกิจคลินิกผิวพรรณ รวมถึงในไทย   ขณะที่ ข้อมูลจากเว็บไซต์ GlobeNewswire วิเคราะห์ตลาด Hyaluronic Filler หรือ ‘HA Filler’ ในปี 2568 คาดมูลค่าการเติบโตอยู่ที่ 5,270 ล้านดอลลาร์ หรือราว 171,459 ล้านบาท และอีก 7 ปีหน้าหรือในปี 2575 จะขยายตัวเพิ่มสู่ 9,050 ล้านดอลลาร์ หรือราว 294,441 ล้านบาท   พร้อมกับมีผู้เล่นเข้ามาแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้นอีกมากมายผ่านการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ให้กับผู้บริโภคที่อยากปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัด ทำให้ ‘HA Filler’ กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของตลาดความงามในยุคปัจจุบัน   แนวโน้มดังกล่าว ยังเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัท เคย์ เมดิคอล จำกัด (Ke MEDICAL) ผู้จัดจำหน่ายนวัตกรรมด้านความงามและการแพทย์ มองเห็นโอกาสพร้อมเปิดตัว Xspurt (เอ็กซ์สเปิร์ท) ด้วยนวัตกรรมช่วยเสริมจุดเด่นใบหน้าให้แลดูเป็นธรรมชาติ มาทำตลาดในประเทศไทย     ด้าน ปณิธิ กอบกุลสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคย์ เมดิคอล จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว Ke MEDICAL เพื่อทำตลาดเชิงรุกธุรกิจความงามเต็มตัว ในคอนเซปต์ ‘เพราะทุกความงามต้องมาพร้อมกับความปลอดภัย’ ด้วยมาตรฐานและผ่านการรับรองตามหลักมาตรฐานระดับสากลและในประเทศไทย วางกลุ่มเป้าหมายหลักการทำตลาดรูปแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) และคลินิกชั้นนำทั่วประเทศ   สำหรับผลิตภัณฑ์ ‘Xspurt’  มีส่วนประกอบหลักอย่าง Hyaluronic Acid (HA) ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ยาวนาน ผลิตจาก HA บริสุทธิ์และมีความยืดหยุ่น โดยมีการกรองสาร BDDE (Butanediol Diglycidyl Ether) ซึ่งเป็นสารเชื่อมโมเลกุลไฮยาลูโรนิค แอซิด (HA) ให้อยู่ในปริมาณที่ต่ำซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองในบางราย  รวมทั้งยังมีความแข็งแรงและยืดอายุของ HA ให้คงประสิทธิภาพไว้ได้นานยิ่งขึ้น (ขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้า และพฤติกรรมของแต่ละบุคคล)   โดยบริษัทฯ ทำตลาด Xspurt  3 รุ่น ได้แก่   Xspurt Breeze: เหมาะสำหรับผิวที่มีริ้วรอยตื้น เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก หน้าผาก Xspurt Climax: เหมาะสำหรับผิวที่มีริ้วรอยลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ร่องหน้าผาก ซึ่งจะต้องลงลึกไปถึงชั้นของผิว และ Xspurt Finale: เหมาะสำหรับการเติมเต็มในบางจุดของใบหน้า เช่น คาง แนวกรอบหน้า ลงลึกไปถึงใต้ชั้นผิวหนัง   ปณิธิ กล่าวว่าในปีแรกของการทำตลาด บริษัทวางเป้าหมาย Ke MEDICAL อยู่ที่ 100 ล้านบาทในสิ้นปี 2568 พร้อมวางแผนนำเข้าผลิตภัณฑ์ประเภทกลุ่มของหัตถการ และกลุ่มโปรแกรมยกกระชับ เพิ่มในอนาคต         Alternate-X สรุปให้ ตลาด Hyaluronic Acid Filler หรือ HA Filler ทั่วโลกปี 258  คาดแตะ 171,45ล้านบาท และจะพุ่งถึง 294,441 ล้านบาทในปี 2575  จากดีมานด์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่หนุนตลาดฟิลเลอร์เติบโตสูงต่อเนื่อง โดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นโอกาสของ Ke MEDICAL เปิดตัว Xspurt ฟิลเลอร์ใหม่เจาะตลาดคลินิกไทย ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล แบ่งออกเป็น 3 รุ่น ครอบคลุมทุกปัญหาผิว ตั้งแต่ริ้วรอยตื้นลึกถึงการปรับรูปหน้า พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีแรก 100 ล้านบาท พร้อมเตรียมขยายไลน์สินค้าหัตถการเสริมความงามในอนาคต          

July 10, 2025 / 0 Comments
read more

เปิดสถิติครึ่งแรกปี68 ราคาทองในไทยพุ่ง 25% ย้อนหลัง 20 ปีให้ยีลด์เฉลี่ย 9% ต่อปี

BizKet

YLG มอง 5 ปัจจัยหนุนแรงราคาทองคำทั้งปี มีลุ้นเป้าสูงสุด 3,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ รับจังหวะลงทุนผ่าน Gold Wallet บนแอปฯเป๋าตังสะสมทองคำ เริ่มต้น 100 บาท   พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 25% ถือว่าปรับตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างแรงและเร็วเมื่อเทียบกับปี 2567 ที่ทั้งปีราคาปรับขึ้นไปที่ 27%   โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจาก   ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน   สงครามการค้า หลังการรับตำแหน่งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งแม้ว่า โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะส่งสัญญาณขยายเวลาการเจรจากับประเทศคู่ค้า หลังกล่าวว่าภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม   อย่างไรก็ดีล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ โพสผ่าน Truth Social ขู่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตรา 10% ต่อประเทศใดก็ตามที่ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับกลุ่ม BRICS ซึ่งเขาระบุว่าเป็น ‘นโยบายต่อต้านอเมริกา’   ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงคุกรุ่นในตะวันออกกลาง   อย่างไรก็ดียังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง คือ   การเข้ามาซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก ในลักษณะการซื้อทุกราคาโดยไม่ขายออกมา   แรงซื้อจากกองทุน ETF ทองคำที่เข้ามาลงทุนในทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้นยิ่งทำให้ราคาทองทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง     ทั้งนี้มองสาเหตุที่ทองคำยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ และไม่สามารถพิมพ์เพิ่มขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งแตกต่างจากเงินตราของประเทศต่างๆ ทองคำจึงสามารถป้องกันอัตราเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงิน   ขณะเดียวกัน สถิติย้อนหลัง 20 ปีพบว่าทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.36% ต่อปี ไม่เพียงเท่านี้ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ในช่วงเกิดความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 10%  และทองคำมีความพิเศษคือมีสภาพคล่องสูงสามารถซื้อขายเปลี่ยนเป็นเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงทำให้ทองคำได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย   สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของทองคำในระยะยาวปีนี้ YLG มองว่าทองคำยังมีโอกาสขึ้นไปแตะ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และหากสถานการณ์ความกังวลต่าง ๆ ยังไม่คลี่คลายก็มีโอกาสที่จะไปได้ถึง 3,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์   ขณะที่ราคาทองคำในประเทศนั้น มีโอกาสขึ้นไปแตะ 53,800 บาทต่อบาททองคำ และแนวต้านถัดไปที่ 56,200 บาทต่อบาททองคำ (โดยคาดการณ์ที่ค่าเงินบาทระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)   ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่มีเงินลงทุนเริ่มต้นจำกัด YLG ได้เปิดให้บริการ Gold Wallet บริการซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ด้วยราคาเรียลไทม์ ซื้อขายทองต่อครั้งด้วยขั้นต่ำ 0.1 ออนซ์ สูงสุดแบบเต็มเพดาน ได้สูงสุดถึง 700 ออนซ์ หรือ 20 กิโลกรัม   ลงทุนแบบสะสม   ส่วนนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้น แนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการสะสมทอง และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย   สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง   โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold โทร. 0-2678-9888 #2   Alternate-X สรุปให้  YLG คาดราคาทองคำปี 2568 อาจแตะสูงสุด 3,650 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ จาก 5 ปัจจัยหนุน เช่น ภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน ความขัดแย้งทางการเมือง และแรงซื้อจากธนาคารกลาง ชูทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย-ป้องกันเงินเฟ้อ พร้อมลงทุนสะสมได้แม้เริ่มต้นเพียง 100 บาท  ผ่านแอป Get Gold by YLG ซื้อ-ขายทองคำแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์นักลงทุนรุ่นใหม่ พร้อมส่งเสริมการลงทุนแบบ DCA เพื่อสร้างวินัยสะสมทองในระยะยาว ส่วนแนวโน้มทองในประเทศอาจแตะ 56,200 บาท หากค่าเงินบาทอยู่ระดับ 32.45 บาท/ดอลลาร์

July 9, 2025 / 0 Comments
read more

ยูโอบี เปิดผลสำรวจธุรกิจไทยเตรียมขยายตลาดภูมิภาค รับผลกระทบภาษีทรัมป์  

BizKet

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เผยรายงาน UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนแนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจไทยท่ามกลางความท้าทายจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานโลก   การสำรวจจัดเก็บข้อมูลเมื่อมกราคม 2568 และสัมภาษณ์เพิ่มเติมในเดือนเมษายน 2568 พบว่า แม้ภาคธุรกิจไทยจะดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง แต่ยังแสดงศักยภาพในการปรับตัว ผ่านการขยายโอกาสในภูมิภาคอาเซียน เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน   โดยผลสำรวจพบว่า ภายหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา มากกว่าร้อยละ 90 ของภาคธุรกิจคาดว่าจะเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันร้อยละ 68 คาดว่าจะปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเร็วยิ่งขึ้น และร้อยละ 60 มองว่าความยั่งยืนมีความสำคัญ โดยมีมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยเร่งสำคัญ   วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO &  Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนถึงความสามารถของภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวต่อความท้าทายระดับโลก   ด้วยการมองหาโอกาสใหม่ในระดับภูมิภาค การประยุกต์ใช้เครื่องมือดิจิทัล และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ล้วนเป็นแนวทางที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในภาคธุรกิจในระยะยาว อย่างมั่นคง   โดย ธนาคารยูโอบีพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจไทยอย่างเต็มที่ ด้วยโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ ความเชี่ยวชาญในตลาดภายในประเทศ และเครือข่ายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน”   ภาษีสหรัฐฯ ฉุดความเชื่อมั่น จุดประกายธุรกิจเร่งปรับตัว   ผลสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจากร้อยละ 58 ในปี 2024 เหลือร้อยละ 52 ภายหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กแสดงความกังวลมากที่สุด ปัจจัยหลักที่สร้างแรงกดดันคือ ต้นทุนการดำเนินงานและเงินเฟ้อ โดยร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น และร้อยละ 57 คาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คืออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการให้บริการ   ภาคธุรกิจไทยได้ริเริ่มมาตรการสำคัญเพื่อรับมือสถานการณ์ ดังนี้   ลดต้นทุน: ธุรกิจ 3 ใน 5 โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง (ร้อยละ 67) ได้ดำเนินการมาตรการลดต้นทุน เพิ่มรายได้: ธุรกิจจำนวนมากมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่และแสวงหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ต้องการการสนับสนุน: ธุรกิจให้ความสำคัญกับความช่วยหลือทางการเงิน (ร้อยละ 92) การสนับสนุนด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน (ร้อยละ 65) และการให้คำปรึกษาหรือฝึกอบรม (ร้อยละ 50) เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัว   ความกดดันในห่วงโซ่อุปทาน ผลักดันให้ธุรกิจไทยมุ่งเน้นตลาดภูมิภาค   ร้อยละ 90 ของธุรกิจไทยมุ่งเน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกากลับส่งผลให้ภาวะหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทวีความรุนแรงขึ้น ร้อยละ 80 ของธุรกิจคาดว่าจะเผชิญความท้าทายเพิ่มเติมจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง แนวทางสำคัญที่ธุรกิจจะใช้ในการรับมือ ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูล: ธุรกิจ 4 ใน 10 ราย นำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2024 แซงหน้ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง การค้าภายในภูมิภาคอาเซียน: ธุรกิจเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้การค้าภายในภูมิภาคเติบโต ความต้องการสนับสนุน: ธุรกิจมองหามาตรการจูงใจทางภาษี การเข้าถึงเทคโนโลยี และการฝึกอบรมแรงงาน   การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลเร่งเสริมความสามารถในการปรับตัว   การปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจ โดนร้อยละ 40 ของธุรกิจได้นำเครื่องมือดิจิทัลมาผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ และร้อยละ 68 คาดว่าจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหลังการยระกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง   ทั้งนี้ ธุรกิจไทยมองว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ อาทิ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายการเข้าถึงลูกค้า และการเข้าสู่ตลาดที่รวดเร็วขึ้น   อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้นทุน และความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูล ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ และกระตุ้นความต้องการด้านการฝึกอบรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะอุตสาหกรรม   ธุรกิจไทยเร่งเดินหน้าสู่ความยั่งยืน แม้ต้องเผชิญความท้าทาย   โดยมากกว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจจะตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน แต่มีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่ได้นำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง   อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 60 คาดว่าจะเร่งดำเนินมาตรการเพื่อความยั่งยืน อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนที่สูง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มากกว่าร้อยละ 30 อยู่ระหว่างการพิจารณานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ พร้อมทั้งแสวงหาข้อมูลและคำปรึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางดังกล่าว   ธุรกิจไทยเร่งขยายสู่ต่างประเทศ โดยเน้นภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก   ธุรกิจไทยเกือบร้อยละ 90 มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมากกว่าร้อยละ 50 คาดว่าจะเร่งดำเนินการหลังมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม   รองลงมาคือจีนและภูมิภาคเอเชียเหนือ ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตของรายได้และกำไร แม้ยังเผชิญความ ท้าทายด้านจำนวนลูกค้าและความเข้าใจตลาดที่จำกัดในแต่ละประเทศก็ตาม ภาคธุรกิจจึงต้องการข้อมูลเชิงลึก การสนับสนุนทางการเงิน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายตลาดข้ามพรมแดน   แรงงานยังคงเป็นปัญหาหลักที่ธุรกิจต้องเผชิญ   ครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทยยังคงเผชิญปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้และความคาดหวังของบุคลากรรุ่นใหม่   ผลการสำรวจยังชี้ว่า ธุรกิจเกือบร้อยละ 40 จึงประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ แนวทางรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่ การเพิ่มค่าตอบแทน การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และการสลับบทบาทหน้าที่ภายในองค์กร   อ่านรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ที่ https://www.uobgroup.com/asean-insights/articles/uob-business-outlook-study-2025-thailand.page   Alternate-X สรุปให้  ยูโอบี เผยรายงานธุรกิจไทยเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและต้นทุนการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจยังแสดงศักยภาพในการปรับตัว ผ่านการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการขยายตลาดอาเซียน ขณะที่การใช้เทคโนโลยี วิเคราะห์ข้อมูล และแนวทางความยั่งยืนถูกเร่งให้เกิดขึ้นเร็วขึ้น โดยธุรกิจต้องการการสนับสนุนด้านการเงิน ห่วงโซ่อุปทาน และข้อมูลเชิงลึกเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงแรงงานยังคงเป็นความท้าทายหลัก โดยเฉพาะการรักษาคนเก่งท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี      

July 8, 2025 / 0 Comments
read more

‘เอ้ก ดิจิทัล’ ดึงอินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ในอุตฯค้าปลีก เปลี่ยนใจซื้อให้ไวด้วย AI

BizKet

เอ้ก ดิจิทัล เข้าถึงอินไซต์ข้อมูลผู้บริโภคค้าปลีกจากแม็คโคร-โลตัส ตีโจทย์ให้แบรนด์-นักการตลาด เปลี่ยนจากแค่ดูสู่ ‘Click to Action’ ตัดสินใจซื้อทันทีผ่าน RMNs   ชัชพล องนิธิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ Media Convergence บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด ผู้ให้บริการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เทคโนโลยี และโซลูชันด้านข้อมูล เปิดเผยว่าสื่อโฆษณาการตลาดดิจิทัลผ่านเครือข่ายสื่อธุรกิจค้าปลีก Retail Media Network (RMNs) เพื่อให้แบรนด์สินค้าสื่อสารกับลูกค้าที่กำลังจะซื้อ ณ จุดขาย โดยเฉพาะการปรับใช้ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มีส่วนร่วมให้ข้อมูลเชิงลึกแบรนด์ต่างๆในตลาดเดียวกัน มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น   ทั้งนี้ เพื่อรองรับกระแสพฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่กลุ่ม มิลเลนเนียล เจนเนอเรชั่น (Y Generation) และ ซี เจนเนอเรชัน (Z Generation) ที่มีความแตกต่างไปจากคนยุคก่อนหน้า ครอบคลุม 3 ด้านหลัก คือ   Wiser Wallet การใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด จากปัจจัย 72% กังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า นำไปสู่ความระมัดระวังในการซื้อของ ลูกค้ามีการเปรียบเทียบมากขึ้น ทั้งคุณภาพ ราคา และปริมาณ โดยมองหาสินค้าราคาดีมีคุณภาพที่ยอมรับได้ ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ไว้วางใจในคุณค่า และเป็นมืออาชีพ   Experience Seekers ผู้แสวงหาประสบการณ์   68% ของคนมิลเลนเนียล และเจนฯ ซี เต็มใจเพื่อจ่ายมากขึ้นสำหรับความตื่นเต้นและการดื่มด่ำประสบการณ์ 72% ของลูกค้าเรียกดูร้านค้าและเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาในการทดสอบ ทดลอง สัมผัส และรู้สึกถึงผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ใหม่ ๆ และต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับแบรนด์เพื่อมีอิทธิพล กับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และสร้างวัฒนธรรมร่วม ด้วยกัน   Fluid Customers ความลื่นไหลของลูกค้า   50% ของลูกค้าทั่วโลก มีการข้ามชาแนลและพฤติกรรมของตัวเองในรูปแบบเดิม ๆ ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยผสมกันทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ลูกค้าเป็นแบบ Multi-Persona มีความหลากหลายลักษณะในการเป็นผู้ซื้อหนึ่งคนโดยขึ้นอยู่ในแต่ละโอกาส ความสะดวกสบายตลอด 24 ชั่วโมงเป็นสิ่งที่ ผู้บริโภคคาดหวังจากแบรนด์ จากพฤติกรรมการสลับช่องทางเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน อย่างรวดเร็ว   จากพฤติกรรมเหล่านี้ ทำให้อุตสาหกรรมค้าปลีก และนักการตลาดต้องปรับตัวเพื่อดึงข้อมูลเชิงลึกลูกค้ากลุ่มนี้มาใช้ร่วมกับกลยุทธ์สื่อสารการตลาดและนำข้อมูลขนาดใหญ่ ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้แม่นยำ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในแต่ละช่องทาง และในแต่ละโมเมนต์ได้ในทันที   ” ผู้บริโภคไวเซอร์ วอลเล็ต กลุ่มมิลเลนเนียลและเจนฯซี มีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งวันนี้เราอาจจะประหยัดให้กับบางเรื่อง แต่ก็ยอมสิ้นเปลืองและพร้อมจ่ายให้กับประสบการณ์บางเรื่องในทันที เช่นกัน”  ชัชพล กล่าว       ชัชพล กล่าวว่า แบรนด์ในยุคปัจจุบัน นอกจากสร้างการรับรู้แล้วยังต้องให้ผู้บริโภค ‘ลงมือทำ’ บางสิ่งกับแบรนด์ เช่น การคลิก, ตัดสินใจซื้อ, ซื้อซ้ำ หรือแชร์ต่อ   ขณะที่ เอ้ก ดิจิทัล ได้นำรีเทลมีเดียเน็ตเวิร์ก (RMNs) แบบ Omnichannel โดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้แบบเรียลไทม์ สามารถเปลี่ยน ‘ผู้เห็นโฆษณา’ ณ จุดขาย ให้กลายเป็น ‘ผู้ซื้อ’ ได้ในอัตราส่วน 8 ต่อ 1 เมื่อเทียบกับอัตรา 66 ต่อ 1 ของโฆษณาที่ไม่ได้ใช้ RMNs พร้อมจุดแข็งที่แตกต่างประกอบด้วย   การผสานดาต้าเชิงลึก 720 องศาที่ใหญ่ที่สุดในไทย MediaFusion แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย EGG AI Agent (Agentic AI) เครือข่ายสื่อ ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ทั้งรีเทลมีเดียเน็ตเวิร์กจากโลตัสและแม็คโคร ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนทั่วประเทศ, สื่อโซเชียลมีเดียแบบเฉพาะบุคคลที่ปรับการทำงานระหว่างทางได้ตลอด, สื่อ KOLs ที่สร้างคอนเทนต์ได้ตรงใจจากข้อมูลเชิงลึก, สื่อป้ายดิจิทัลนอกบ้านอัจฉริยะที่สามารถปรับโฆษณาได้ตามสถานการณ์ของแบรนด์ในแต่ละวัน และสื่อ On-Ground Activation   โดยนำมาพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘Everyday Touchpoint Attention to Conversion’ เพื่อเปลี่ยนพื้นที่โฆษณาให้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคในทุกช่วงเวลา พร้อมทำให้ทุกทัชพอยท์ที่ผู้บริโภคเห็นโฆษณากลายเป็นจุดสร้าง ‘ความสนใจ’ และนำไปสู่ ‘การลงมือทำ’ ที่สร้างโอกาสทางธุรกิจที่มีมูลค่าให้กับแบรนด์และนักโฆษณา”       ชัชพล กล่าว บริษัทฯ ใช้  3 กลยุทธ์ภายใต้แนวคิด “Everyday Touchpoint Attention to Conversion” ขับเคลื่อนธุรกิจ Media Convergence ประกอบด้วย   Measurable Touchpoints Expansion ขยายเครือข่ายสื่อโฆษณาจากโลตัสไปยังแม็คโคร สู่การเป็นผู้ให้บริการรีเทลมีเดีย เน็ตเวิร์ก ใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้าถึงประชากรไทยกว่า 70% ครอบคลุมทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมพัฒนาเครื่องมือโฆษณาอัจฉริยะที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีล้ำสมัย อาทิ AR, AI และระบบ Robotic เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการประสบการณ์เฉพาะบุคคล ปรับแต่งได้แบบเรียลไทม์ (Real-Time Optimization) และวัดผลได้จริง   Autonomous Media Intelligence ใช้ MediaFusion ระบบปฏิบัติการครบวงจร ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเชิงลึก 720 องศาและ EGG AI Agent ในการวางกลยุทธ์สื่อสารได้รวดเร็วขึ้น 5 เท่า, สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ และตรงใจ, สื่อสารแม่นยำผ่านช่องทางที่เหมาะสมที่สุด เข้าถึงถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา และปรับแต่งให้เฉพาะบุคคล   Phygital Full-Funnel Impact ยกระดับบทบาทของรีเทลมีเดีย สู่เครื่องมือการเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ในวงกว้างแบบมีความหมาย ‘Power of Attention’ เปลี่ยนการรับรู้ให้กลายเป็นความสนใจ นำไปสู่การสร้างอิมแพคให้เกิด Conversion และ Loyalty ระยะยาว   ชัชพล กล่าวว่า บริการรีเทลมีเดียเน็ตเวิร์ก ของบริษัทฯ รองรับทุกอุตสาหกรรมธุรกิจทั้ง FMCG ที่มีสินค้าจำหน่ายในโลตัสและแม็คโคร และธุรกิจอื่น ๆ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ การเงิน ประกัน สุขภาพ และความงาม ซึ่งยังจะเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สื่อได้มากกว่า 61% ลดงบที่สูญเปล่า ซึ่งพลัง ‘Attention’ ของRMNs ที่ถูกวางไว้อย่างแม่นยำจะสามารถสร้างอิมแพคให้กับแบรนด์เปลี่ยน ความสนใจที่นำไปสู่การลงมือทำ และวัดผลได้จริง   สอดคล้องผลสำรวจของ Nielsen (ผู้วิจัยธุรกิจการตลาดระดับโลก) ยังระบุบทบาทของ RMNs มีแนวโน้มพบว่า นักการตลาดทั่วโลกกว่า 65% โดยเฉพาะทวีปเอเชียกว่า 68% มองว่า RMNs กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนทางการตลาดและธุรกิจจากนี้ไป     Alternate-X  เอ้ก ดิจิทัล ดึงข้อมูลลึกจากโลตัส-แม็คโคร ปั้น Retail Media Network (RMN) สุดทรงพลังในไทย ใช้แพลตฟอร์ม MediaFusion ขับเคลื่อนด้วย AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค 720 องศาแบบเรียลไทม์ ตอบโจทย์เจนวาย-เจนซี ที่มีพฤติกรรมซื้อแบบเปลี่ยนเร็ว หลากหลาย และต้องการประสบการณ์ ด้วยกลยุทธ์ “Everyday Touchpoint Attention to Conversion” เปลี่ยนทุกจุดพบสื่อเป็นจุดเร่ง ‘การลงมือทำ’ เข้าถึงลูกค้าทั่วไทยกว่า 70% วัดผลได้จริง ลดงบสูญเปล่า สร้างอิมแพคการตลาดแบบ Omnichannel  

July 8, 2025 / 0 Comments
read more

‘Carrot and Stick Marketing’ ในจดหมายทรัมป์ ขู่ภาษีไทย 36% บีบลดขาดดุล ให้เดดไลน์ 1 ส.ค.นี้

BizKet

หลัง มิสเตอร์เพรสซิเดนต์ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงรัฐบาลไทย โดยประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะเดินหน้ามาตรการภาษีใหม่สูงถึง 36% หากไทยยังไม่ปรับโครงสร้างทางการค้าตามข้อเรียกร้อง BY Jittrapon Ponlawat   หากสแกนข้อความในจดหมายฉบับนี้ พบภาษาที่ใช้ในเนื้อหาสะท้อนกลยุทธ์ ‘ไม้แข็งและไม้นวม’ (Carrot and Stick) อย่างชัดเจน ตอกย้ำบทบาทสหรัฐในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ   สิ่งที่น่าสนใจคือ Mood & Tone ของจดหมายฉบับนี้ไม่ได้หว่านล้อมด้วยถ้อยคำอ่อนโยนเหมือนจดหมายทางการทั่วไป หากแต่เปิดหัวด้วยภาษาทางการที่แข็งกร้าวและเผชิญหน้าเต็มพิกัด   คำว่า ‘must’ ในประโยค ‘We must move away from these long-term Trade Deficits’ ชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯ ไม่เปิดทางเลือกอื่นนอกจากไทยต้องทำตาม แม้จะยังไม่มีรายละเอียดว่า “ต้องทำอย่างไร” แต่ถ้อยคำนี้เพียงพอจะส่งแรงกดดันถึงผู้กำหนดนโยบายไทยโดยตรง   ชูภัยคุกคามมั่นคง-สร้างเหตุผลใช้มาตรการรุนแรง   เมื่ออ่านลึกลงไป ประโยคอย่าง ‘This Deficit is a major threat to our Economy and, indeed, our National Security!’ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ฝั่งสหรัฐฯ ต้องการยกระดับปัญหาขาดดุลการค้าไทย-สหรัฐฯ ให้เป็นเรื่องที่กระทบความมั่นคงแห่งชาติ   นี่คือกลยุทธ์ทางการทูตที่หลายฝ่ายเรียกว่า ‘ทำให้ปัญหาดูใหญ่ เพื่อสร้างเหตุผลในการใช้ไม้แข็ง’ เพราะหากโยงเข้ากับความมั่นคง การใช้มาตรการภาษีที่รุนแรงย่อมถูกอ้างได้ว่าจำเป็น   ใจกลางจดหมายยังโฟกัสไปที่การชี้นิ้วว่าไทย คือ ตัวการสำคัญที่ทำให้สหรัฐต้องเผชิญภาวะขาดดุลเรื้อรัง โดยเฉพาะประโยค ‘caused by Thailand’s Tariff and Non-Tariff Policies’ ซึ่งตีความได้ชัดว่าไทยจะถูกคาดหวังให้ ‘รื้อ’ อุปสรรคทางการค้าเดิมที่เคยใช้ปกป้องตลาดในประเทศ   ขู่แรง…แต่แฝงชวนลงทุน   สัญญาณอีกด้านที่นักวิเคราะห์มองว่าน่าสนใจคือ กลยุทธ์ ‘ไม้แข็ง-ไม้นวม’ (Carrot and Stick) ที่ปรากฏในประโยคต่อเนื่อง ฝั่งหนึ่งขู่จะบวกภาษีเพิ่มทันที หากไทยตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีของตน   “If you decide to raise your Tariffs, then, whatever the number… will be added onto the 36% that we charge.”   อีกฝั่งหนึ่งก็ชวนให้ไทยเปิดตลาดและลงทุนในสหรัฐด้วยประโยคที่หว่านล้อมกว่าเดิม “We invite you to participate in the extraordinary Economy of the United States”   แต่ก็ยังไม่ทิ้งเงื่อนไขกดดันว่า หากความสัมพันธ์ไม่ดีขึ้น อัตราภาษีอาจ ‘เพิ่มหรือลด’ ได้ตลอดเวลา “Tariffs may be modified, upward or downward, depending on our relationship.”   อีกประเด็นที่ถูกตีความว่าเป็นการสร้างแรงบีบ คือ การกำหนดวันตายตัว 1 สิงหาคม 2025 ซึ่งให้เวลาไทยเพียงไม่กี่สัปดาห์ในการหาทางออกทางการทูตหรือยอมปรับมาตรการตามที่สหรัฐต้องการ   คำว่า “unsustainable Trade Deficits” และ “major threat” ปรากฏซ้ำๆ ยิ่งตอกย้ำภาพว่าปัญหานี้ต้องถูกจัดการทันที ไม่เช่นนั้นไทยอาจเจอบทลงโทษทางภาษีจริงตามที่ขู่ไว้   ประโยคปิดท้ายตีสองหน้า   คำลงท้าย “You will never be disappointed with The United States of America” อาจฟังดูเป็นมิตร แต่ก็เปิดให้ตีความได้สองทาง หากยอมเดินตามเกมสหรัฐก็พร้อมเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจเต็มที่ แต่หากเพิกเฉย สหรัฐก็พร้อม “ทำให้ผิดหวัง” ด้วยมาตรการเข้มข้นกว่าเดิม   สัญญาณจากจดหมายครั้งนี้ยังลดทอนความเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียม โดยระบุชัดว่าความสัมพันธ์การค้าระหว่างไทย-สหรัฐ “far from Reciprocal” สหรัฐจึงเห็นว่าตนต้องยกระดับมาตรการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ   สถานการณ์นี้สะท้อนว่ารัฐบาลไทยอาจต้องเตรียมกลยุทธ์ตอบโต้อย่างรอบคอบ เพราะหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทันเส้นตาย สิงหาคมนี้ อัตราภาษี 36% ที่แข็งกร้าว อาจกลายเป็นมาตรการจริงที่กระทบการค้าไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้       จูงใจด้วยแครอทแต่กดดันผ่านไม้เรียว   จากบริบทในจดหมายของทรัมป์ ถึงรัฐบาลไทยในครั้งนี้ หากมองในมุการตลาดยังสะท้อนถึงการนำกลยุทธ์ Carrot and Stick Marketing (การตลาดแครอทและไม้เรียว) ซึ่งเป็นการตลาดเชิงจิตวิทยา ที่ใช้แรงจูงใจล่อใจ ‘แครอท’ และแรงกดดัน สร้างแรงจูงใจเชิงลบด้วยไม้เรียวมาบีบคั้นควบคู่กัน เพื่อเร่งการตัดสินใจหรือเปลี่ยนพฤติกรรมเป้าหมาย ในพร้อมกัน   กลยุทธ์นี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ต้องการจากกลุ่มเป้าหมายเปรียบเสมือนการจูงใจให้ลา เดินโดยการใช้แครอทล่อ และใช้ไม้เรียวเพื่อให้ลาเดินต่อไปหากไม่ยอมเดินตามนั่นเอง!!   ใช้กลยุทธ์นี้ กับใคร   ขณะทื่ Carrot and Stick Marketing/Strategy มักเป็นกลยุทธ์ที่นำไปใช้กับคู่ค้า (Channel Partners), ตัวแทนจำหน่าย / Distributor และ ลูกค้าธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) รวมถึงลูกค้าทั่วไปในบางสถานการณ์   โดย ตัวอย่างการใช้งานในโลกธุรกิจ อาทิ   1. แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค และ ร้านค้าปลีก   Carrot: ถ้าร้านค้าช่วยผลักสินค้าใหม่ → จะได้รับ Display Fee, ส่วนลด, งบส่งเสริมการขาย   Stick: ถ้าไม่ขายตามเป้า → จะไม่ได้รับโปรโมชันรอบถัดไป หรือไม่ได้สิทธิเข้าร่วมแคมเปญใหญ่   2. บริษัท XXX → ลูกค้าองค์กร   Carrot: ถ้าต่อสัญญาเร็ว → จะได้รับส่วนลดพิเศษ, Feature ฟรี   Stick: ถ้าไม่ต่อ → ราคาจะกลับเป็นราคาปกติ, บริการหลังการขายจะลดระดับลง   3. การส่งเสริมการเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกค้า   Carrot: สมัครภายใน 7 วัน รับของแถม   Stick: ถ้ารอเกินโปรโมชั่น จะเสียสิทธิ์ทั้งหมด (จำกัดเวลา = กดดัน)     และด้วยเนื้อหาในจดหมายนี้ของ ‘ทรัมป์’ ที่ส่งตรงถึงรัฐบาลไทย พร้อมกับวางตำแหน่งให้ ’ไทย’ รับบทบาทเป็นหนึ่งในลูกค้าของสหรัฐฯ ที่ในเวลานี้จะต้องเลือกพร้อมเร่งตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ!!   Alternate-X สรุปให้   จดหมายจากโดนัลด์ ทรัมป์ถึงรัฐบาลไทย สะท้อนกลยุทธ์ ‘Carrot and Stick Marketing’ ที่ใช้แรงกดดันคู่กับแรงจูงใจในการโน้มน้าวเชิงการค้า สหรัฐขู่ว่าจะขึ้นภาษีไทยสูงถึง 36% หากไม่ปรับโครงสร้างการค้า พร้อมยื่นข้อเสนอให้นักลงทุนไทยเข้าร่วมเศรษฐกิจอเมริกัน โดยข้อความในจดหมายเต็มไปด้วยถ้อยคำแข็งกร้าวและบีบบังคับอย่างเป็นระบบ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการตลาดจิตวิทยาที่แม่นยำ ใช้ได้ทั้งในบริบทการทูตและธุรกิจ B2B

July 8, 2025 / 0 Comments
read more

ชวนเป็นหัวแถวอาเซียน ในงาน ASEAN SHOP 2025 เจาะผู้บริโภคภูมิภาคนี้ ‘กิน-ใช้’ อะไร?

BizKet,  WeView

ภาครัฐ-เอกชน จัดงาน ASEAN SHOP 2025 รับตลาดการบริโภค ‘ค้าปลีก’ ในภูมิภาคนี้ขยายตัวสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกแซงหน้า ยุโรปแล้ว ส่วนไทยมีขนาดตลาดประชากรเบอร์สองต่อจากอินโดฯ   ผกายเนติ์ เล่งอี้ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกภูมิภาคอาเซียนแนวโน้มเติบโตสูงด้วยมีประชากรราว 650 ล้านคน และขึ้นเป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและอินเดีย และนำหน้าสหภาพยุโรป   ขณะที่ เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีชนชั้นกลางและมีกำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ตลาดค้าปลีกขยายตัวอย่างรวดเร็ว และประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน รองจากอินโดนีเซียอันดับหนึ่ง โดยไทยมีตลาดค้าปลีกที่เติบโตเต็มที่และมีความหลากหลายทั้งตลาดแบบดั้งเดิมและศูนย์การค้าสมัยใหม่   โดยธุรกิจค้าปลีกของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ ทั้งการสร้างงาน การขับเคลื่อนการบริโภค และเป็นช่องทางหลักในการกระจายสินค้าไทยสู่ผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยี ระบบอัตโนมัติ และมอบประสบการณ์ผู้ซื้อที่ทันสมัย จึงเป็นแนวทางสำคัญในการเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก   ด้าน หวัง เจ้าหยุน ประธานบริหาร บริษัท กวางตง แกรนเดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าว เป็นโอกาสจัดงาน ASEAN SHOP 2025 หรือ มหกรรมธุรกิจร้านค้าอาเซียน เป็นงานแสดงสินค้าที่เกิดจากการรวมตัวของสองงานสำคัญ ได้แก่ VEND ASEAN และ FNB ASEAN นำผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายสินค้าและบริการ รวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อธุรกิจค้าปลีกกว่า 300 ราย จาก20 ประเทศ อาทิ ไทย จีน บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น   โดยร่วมจัดแสดงบนพื้นที่เดียวกันกว่า 10,000 ตร.ม. งานนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมค้าปลีกและบริการตนเองในภูมิภาคอาเซียน โดยมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 2-4 กันยายน 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี   สำหรับ งาน ASEAN SHOP 2025 จัดขึ้นโดย บริษัท กวางตง แกรนเดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป และ บริษัท คอมพาส เอ็กซิบิชั่น จำกัด ภายใต้ความร่วมมือและการสนับสนุนของภาครัฐ-เอกชน ระหว่างประเทศไทยและจีน อาทิ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย สหพันธ์การค้าชาวไทย-จีน สมาคมธุรกิจอัจฉริยะแห่งสมาพันธ์พาณิชย์แห่งประเทศจีน สมาคมอุตสาหกรรมตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติแห่งเอเชียแปซิฟิก สมาคมโฆษณาเพื่อการพาณิชย์แห่งประเทศจีน เป็นต้น   โดยงาน ASEAN SHOP 2025 พันธมิตรกับทุกภาคส่วนในการผลักดันระบบนิเวศของ Future Food ให้เติบโตควบคู่ไปกับ Retail Tech และผู้ประกอบการค้าปลีกไทย ถือเป็นเวทีสำคัญระดับภูมิภาค ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการค้าปลีก รวมถึงผู้ประกอบการ SME ไทย ได้แสดงศักยภาพ นวัตกรรม และเชื่อมต่อกับตลาดอาเซียนในมิติที่กว้างขึ้น สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยได้เข้าถึงช่องทางการค้า เทคโนโลยี และเครือข่ายพันธมิตรใหม่ๆ ผ่านงานแสดงสินค้าเช่นนี้ คือหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของ SME ไทยในระยะยาว   รวม 2 อุตสาหกรรมมาแรง   ด้าน เจคอป คง ผู้จัดการทั่วไปและผู้จัดการโครงการ บริษัท คอมพาส เอ็กซิบิชั่น จำกัด กล่าวว่า การจัดงาน ASEAN SHOP 2025 งานในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การรวมสองอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่   อุตสาหกรรมตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและระบบบริการตนเอง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มารวมกันภายใต้แพลตฟอร์มเดียว   ทั้งนี้ เพื่อสร้างเครือข่ายเชิงพาณิชย์แบบครบวงจรที่เชื่อมต่อห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั้งหมด โดยออกแบบพื้นที่จัดแสดงสินค้าไว้ทั้งหมด 6 โซนหลัก ได้แก่   โซนเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและระบบบริการตนเอง โซนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โซนระบบการชำระเงินและแคชเชียร์ โซนอุปกรณ์ตกแต่งร้านค้าและระบบจัดแสดงสินค้า โซนอุปกรณ์รักษาความสดและระบบทำความเย็น โซนร้านสะดวกซื้อแบรนด์ชั้นนำ   นอกจากนี้ ในงานยังมีการจัดเวทีสัมมนาระดับนานาชาติ ควบคู่กันเพื่อให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แบ่งเป็น 3 เวทีหลัก ได้แก่   ASEAN Retail Leadership Summit International Vending Industry Forum Global Operator Development Forum   โดยจะเชิญผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีก เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก มาร่วมแบ่งปันความรู้ และอภิปรายหัวข้อสำคัญ เช่น การออกแบบระบบค้าปลีกไร้พนักงาน กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดท้องถิ่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ฯลฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างมีวิสัยทัศน์และยั่งยืน โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน และสามารถสร้างมูลค่าการเจรจาซื้อขายในงานได้ราว 100 ล้านบาท   โยงธุรกิจเชิงเศรษฐกิจท่องเที่ยว   ดร.ดวงเด็ด ย้วยความดี ผู้อำนวยการ ฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (TCEB) กล่าวสนับสนุนการจัดงาน ASEAN SHOP 2025 โดย ทีเส็บ ในฐานะเป็นหน่วยงานภาครัฐภายใต้การกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี มีพันธกิจหลักเพื่อดึงงานแสดงสินค้านานาชาติให้มาจัดในประเทศไทย พร้อมทั้งร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐภาคเอกชน ในการสนับสนุนและพัฒนาการจัดงานให้ประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืน ด้วยการอำนวยความสะดวกแก่นักเดินทางต่างชาติที่จะเข้ามาร่วมงาน และการประชาสัมพันธ์ครอบคลุมไปถึงการส่งเสริมให้หน่วยงานภายในประเทศจัดงานและเข้าร่วมงานอย่างต่อเนื่อง   โดย งานแสดงสินค้ายังคงเป็นเวทีสำคัญให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย นักลงทุนมาพบปะกัน ก่อให้เกิดการเจรจาธุรกิจ การซื้อ การขายภายในงาน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในพื้นที่เข้าถึงช่องทางการประชาสัมพันธ์สินค้า ผลิตภัณฑ์และบริการ ไปสู่ตลาดโลก เนื่องจากผู้ซื้อและผู้ขายมาจากทั่วโลก ไม่ได้มีเฉพาะจากในประเทศเท่านั้น   ฉะนั้นงานแสดงสินค้าจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับธุรกิจค้าปลีกไทย การได้มีงานแสดงสินค้าในเวทีระดับนานาชาติอย่าง ASEAN SHOP 2025 ถือเป็นโอกาสในการแสดงนวัตกรรมสินค้า เทคโนโลยีร้านค้า และแนวคิดใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้แบรนด์ไทยได้ พบกับนักลงทุน คู่ค้า และพันธมิตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในเศรษฐกิจอาเซียน   ย้อนหลัง 5 ปีเหลือแฟรนไชส์คุณภาพ   ด้าน กวิน นิทัศนจารุกุล รองนายกสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ กล่าวปิดท้ายถึงแนวโน้มธุรกิจแฟรนไชส์ไทย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ “มีคุณภาพ” มากกว่าปริมาณ มีการพัฒนาแบรนด์อย่างเป็นระบบ ใส่ใจในมาตรฐาน และพร้อมขยายสู่ตลาดต่างประเทศ   โดยเฉพาะในอาเซียนที่มีความใกล้เคียงกัน ทั้งด้านพฤติกรรมผู้บริโภคและโครงสร้างการค้า แฟรนไชส์กลุ่มร้านสะดวกซื้อ อาหาร เครื่องดื่ม และบริการรายย่อย กลายเป็น “จุดเริ่มต้นของผู้ประกอบการรายใหม่” ในหลายประเทศ และสะท้อนโอกาสที่ไทยสามารถเป็น ผู้ส่งออกโมเดลธุรกิจไปยังตลาดเพื่อนบ้านได้   อีกทั้งตลาด B2B ในกลุ่มค้าปลีกอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV และอินโดนีเซีย ซึ่งมีความต้องการโมเดลธุรกิจที่สามารถ “นำไปใช้ได้ทันที” พร้อมโซลูชันเทคโนโลยี ระบบจัดการร้านค้า และช่องทางจัดจำหน่ายที่ครบวงจร แฟรนไชส์ไทยสามารถสร้างความได้เปรียบด้วยจุดแข็งเรื่องความยืดหยุ่น ต้นทุนการลงทุนที่เหมาะสม และการให้ความร่วมมือแบบพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ตลาดเกิดใหม่อย่างแท้จริง   พร้อมเชื่อมั่นว่างาน ASEAN SHOP จะกลายเป็น “แพลตฟอร์ม B2B แบบครบวงจร” ที่ไม่เพียงเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับเทคโนโลยี แต่ยังเป็นโอกาสเชื่อมเครือข่ายเชิงกลยุทธ์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะแฟรนไชส์ไทยที่ต้องการขยายสู่ตลาดอาเซียน       Alternate-X สรุปให้   งาน ASEAN SHOP 2025 เตรียมจัดใหญ่ 2–4 ก.ย. 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองฯ รวม 2 อุตสาหกรรมค้าปลีก-อาหาร/เครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับอาเซียนขึ้นแท่นตลาดค้าปลีกขยายตัวเร็วเป็นอันดับ 3 ของโลก แซงยุโรป โดยไทยมีศักยภาพรองจากอินโดนีเซีย ในงานฯนี้ รวมกว่า 300 บริษัทจาก 20 ประเทศ พร้อมแสดงนวัตกรรม Future Food และ Retail Tech จัดสัมมนานานาชาติ 3 เวที พร้อมดึงแบรนด์-แฟรนไชส์ไทยเชื่อมเครือข่าย B2B กับผู้ซื้อจากทั่วโลก โดยภาครัฐ-เอกชนไทย-จีนผนึกกำลังผลักดันเวทีนี้เป็นกลยุทธ์ยกระดับ SME ไทยสู่ตลาดอาเซียน    

July 7, 2025 / 0 Comments
read more

[PR NEWS] เมกาบางนา ส่งฟีเจอร์ใหม่ บนแอปฯ ให้สมัครสมาชิก เมกา สไมล์ รีวอร์ดส สะดวกยิ่งขึ้น

PRnounce

ศูนย์การค้าเมกาบางนา แหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตให้ทุกๆ วันมีความสุขมากยิ่งขึ้น ด้วยแนวคิด YOUR EVERYDAY MEETING PLACE สานต่อพันธกิจในการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า   ด้วยการพัฒนาและยกระดับโปรแกรมสมาชิก เมกา สไมล์ รีวอร์ดส (MEGA SMILE REWARDS) ผ่านฟีเจอร์ใหม่ SELF-VERIFICATION ช่วยให้ลูกค้าสามารถสมัครและยืนยันตัวตนเป็นสมาชิกได้สะดวกยิ่งขึ้น (SEAMLESS) ภายในแอปพลิเคชันเมกาบางนา   ลดขั้นตอนการเดินทางไปยืนยันตัวตนที่จุดให้บริการ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดครึ่งปีหลัง 2568 ตั้งเป้าขยายฐานสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส เพิ่มอีก 15%   คุณวรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา เปิดเผยว่า “เมกาบางนาได้พัฒนาระบบยืนยันตัวตนสมาชิก (SELF-VERIFICATION) เพื่อมอบประสบการณ์การสมัครสมาชิกที่สะดวกสบายไร้รอยต่ออย่างแท้จริง โดยผสานระบบ THAID สำหรับการยืนยันตัวตนแบบดิจิทัล ทำให้ลูกค้าสามารถสมัครสมาชิก กรอกข้อมูล และยืนยันตัวตนได้เองบนแอปพลิเคชันเมกาบางนาได้ในไม่กี่นาที ซึ่งรวดเร็วและลดขั้นตอนจากเดิมที่ต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต ณ เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของศูนย์ฯ ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับลูกค้าทุกคน   ดังนั้น ฟีเจอร์ SELF-VERIFICATION จะมอบความสะดวกให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมรับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรมได้ทันที ทั้งคะแนนสะสม ของรางวัล คูปองแทนเงินสด และข้อเสนอสุดพิเศษจากร้านค้าชั้นนำภายในศูนย์ฯ”   “เราเชื่อว่าความสะดวกสบายในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของเมกา สไมล์ รีวอร์ดส คือ หัวใจของการเป็น YOUR EVERYDAY MEETING PLACE ของเมกาบางนา ดังนั้น ฟีเจอร์ SELF-VERIFICATION จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคดิจิทัล ที่ต้องการความรวดเร็ว ปลอดภัย และเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางหรือรอคิว ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่ม CONVERSION และ ENGAGEMENT อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังคงมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลให้กับลูกค้าอย่างเคร่งครัด” คุณวรรณวิมล กล่าวย้ำ   ปัจจุบันโปรแกรมสมาชิก เมกา สไมล์ รีวอร์ดส มี 3 กลุ่ม ได้แก่ MEGA SMILE REWARDS, MEGA SMILE REWARDS PLUS และ MEGA SMILE REWARDS PRIME โดยในปี 2568 เมกาบางนาตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสมาชิก 15% ผ่านการขับเคลื่อนด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้   MEMBER’S BENEFITS สร้างแรงจูงใจผ่านสิทธิประโยชน์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ของรางวัล Limited Edition สำหรับสมาชิกใหม่ คูปองส่วนลดพิเศษหรือของรางวัลจากร้านค้ายอดนิยมหลากหลายกลุ่ม รวมไปถึงสิทธิพิเศษเฉพาะในกิจกรรมต่างๆ ของศูนย์ฯ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจสมัครสมาชิกได้ทันที ตอกย้ำจุดแข็งของโปรแกรมที่ให้มากกว่าแค่การสะสมคะแนน แต่ยังมอบความคุ้มค่าในทุกการใช้จ่ายของลูกค้า ที่เมกาบางนา ทั้งในรูปแบบสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้ และประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย IN-MALL ACQUISITION ACTIVITY เดินหน้าจัดบูทกิจกรรมเมกา สไมล์ รีวอร์ดส อย่างต่อเนื่องทุกเดือน โดยผสานแนวคิด “CUSTOMER EXPERIENCE DESIGN” เข้ากับกิจกรรมภายใต้ธีมที่สอดคล้องกับ SIGNATURE EVENTS ตลอดทั้งปี อาทิ เทศกาลตรุษจีน วาเลนไทน์ สงกรานต์ และเทศกาลงานศิลปะ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ และมอบเซอร์ไพรส์ให้กับลูกค้าในทุกครั้งที่มาใช้บริการ TENANT REWARD ALLIANCE เสริมความแข็งแกร่งของโปรแกรมด้วยการผนึกกำลังกับพันธมิตรร้านค้าชั้นนำในศูนย์ฯ ทั้งร้านค้าเปิดใหม่ และร้านค้าแบรนด์ดังที่เป็น MAGNET ด้วยการมอบสิทธิพิเศษ ของรางวัล หรือส่วนลดเฉพาะสำหรับลูกค้าที่สมัครเมกา สไมล์ รีวอร์ดส เพื่อกระตุ้นการสมัครสมาชิกในทันที ทั้งยังเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ในทุกกลุ่มร้านค้าได้อย่างครอบคลุม   ทั้งนี้ จากอินไซต์ของสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มสมาชิกฯ เป็นเพศหญิงถึง 65% และอยู่ในช่วงอายุ 25–44 ปี คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 58% ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจน ชื่นชอบการใช้จ่ายกับสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องร้านอาหาร แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ซึ่งสอดคล้องกับหมวดหมู่การใช้จ่ายสูงสุดของสมาชิก ได้แก่ DINING, FASHION และ LIFESTYLE   จากอินไซต์ดังกล่าว เมกาบางนาได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสิทธิประโยชน์ของเมกา สไมล์ รีวอร์ดส อย่างตรงจุด โดยออกแบบแคมเปญและรางวัลที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นของรางวัล LIMITED EDITION สำหรับสายแฟชั่น คูปองร้านอาหารจากร้านดังภายในศูนย์ฯ หรือสิทธิพิเศษด้าน WELLNESS & BEAUTY ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงยุคใหม่ เป็นต้น   การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้เมกาบางนาสามารถพัฒนาโปรแกรม เมกา สไมล์ รีวอร์ดส ได้อย่างแม่นยำ ทั้งในด้านสิทธิประโยชน์ การสื่อสาร การสร้าง ENGAGEMENT และการคัดสรรพันธมิตรทางธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเปิดตัวฟีเจอร์ SELF-VERIFICATION ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างสะดวกสบายไร้รอยต่อ ช่วยให้การเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของโปรแกรมเป็นเรื่องง่าย และรวดเร็วมากขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเมกาบางนาในการเป็น “YOUR EVERYDAY MEETING PLACE” ที่เข้าใจ รู้ใจ และมอบความสุขลูกค้าในทุกๆ วัน” คุณวรรณวิมล กล่าวสรุป    

July 7, 2025 / 0 Comments
read more

คริปโทฯ สดใส หลังสหรัฐฯ คลายกฎลงทุน Bitget ลุ้น ETH แตะ 3,000 ดอลลาร์ฯ

BizKet

Bitget คาดตลาดคริปโทกลับมาแววาวหน้าจอเทรด รับ ก.ล.ต.สหรัฐฯออกกฎเอื้อลงทุนง่ายขึ้น มองโอกาสเหรียญทางเลือก คงมุมมองเป้า Ethereum แตะ 3,000 ดอลลาร์ในไตรมาส 3 นี้   เกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าไตรมาส 3/2568 มีโอกาสที่เงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันจะเริ่มมีการไหลเข้ามาลงทุนในเหรียญทางเลือก (Altcoin) มากขึ้น   โดยเฉพาะ Ethereum ที่มีกองทุน Spot ETH ETF ให้นักลงทุนสถาบันสามารถลงทุนได้ โดยแรงผลักดันหลักมาจากความชัดเจนของกฎระเบียบสินทรัพย์ดิจิทัลของ ก.ล.ต.สหรัฐ ฯ ที่มีความชัดเจนมากขึ้นทำให้ภาคเอกชนเข้ามามีธุรกรรมเกี่ยวกับบล็อกเชนมากขึ้น   อย่างล่าสุดบริษัท Circle ได้ยื่นขอใบอนุญาตเป็น ธนาคารทรัสต์ระดับประเทศ (National Trust Bank Charter) กับสำนักงานควบคุมธนาคาร (OCC) หลังจากการเข้าตลาดหุ้นในเดือนมิถุนายน 2568 ทำให้เหรียญ USDC จะได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้นในมุมมองของนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากเป็นไปตามมาตรฐานของธนาคารแบบดั้งเดิม   “การขอใบอนุญาตนี้ยังช่วยเสริมความโปร่งใส โดยเฉพาะเมื่อกฎหมาย GENIUS Act กำหนดให้ต้องเปิดเผยข้อมูลสำรองรายเดือนซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสถาบันที่ต้องการเชื่อมโยงการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับระบบ DeFi เข้ามาใช้บริการ ซึ่ง Ethereum มีสัดส่วนการตลาดกว่า 50% ของการใช้งานบล็อกเชนเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการใช้งานดังกล่าว” เกรซี่ เฉิน กล่าว   ขณะเดียวกันบริษัท Upexi ที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq ตัดสินใจแปลงหุ้นบริษัทเป็นโทเค็น ที่ผ่านการรับรองจาก ก.ล.ต. สหรัฐ ฯ บนเครือข่ายบล็อกเชน Solana รวมถึงเข้าลงทุนโทเค็น SOL ผ่านงบการเงินของบริษัทกว่า 105 ล้านดอลลาร์สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชนของบริษัทเอกชนซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงที่เหลือของปีนี้     ลุ้นขาขึ้นเหรียญทางเลือก   ด้าน ไรอัน ลี (Ryan Lee ) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ Bitget Research  กล่าวว่าราคา Ethereum มีโอกาสแตะระดับ3,000 ดอลลาร์ ได้ในไตรมาสามนี้โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากกระแสเงินไหลเข้าสุทธิใน ETF Spot Ethereum เกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผลตอบแทนระหว่าง Ethereum เทียบกับBitcoin ปรับตัวขึ้น 30% ในเดือนที่ผ่านมาเป็นการบ่งบอกถึงการสับเปลี่ยนเม็ดเงินลงทุนของสถาบันจากBitcoin มายัง Ethereum ที่ค่อนข้างชัดเจน   “จับตาสัดส่วนตลาดของ Bitcoin เทียบกับเหรียญทางเลือกอื่น (Bitcoin Dominance) หากลดลงต่ำกว่าระดับ 50% และการใช้งานบล็อกเชนมีการขยายตัว เราอาจได้เห็นเม็ดเงินลงทุนไหลไปยังเหรียญทางเลือกมากขึ้น“ นายไรอัน ลี กล่าว Alternate-X สรุปให้ Bitget คาดตลาดคริปโทกลับมาแวววาว รับแรงหนุนจากกฎระเบียบสหรัฐฯ เอื้อลงทุนชัดเจนขึ้น มองเป้า Ethereum มีแนวโน้มแตะ 3,000 ดอลลาร์ในไตรมาส 3 นี้ จากกระแสเงินไหลเข้าสุทธิใน Spot ETF โดยนักลงทุนสถาบันเริ่มเข้ามาลงทุนในเหรียญทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะ ETH และ SOL Circle ยื่นขอใบอนุญาตเป็นธนาคารทรัสต์ ชูความโปร่งใสของ USDC เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมกับ DeFi ด้าน นักวิเคราะห์ชี้หาก Bitcoin Dominance ต่ำกว่า 50% จะเปิดโอกาส Altcoin ขาขึ้นรอบใหม่

July 7, 2025 / 0 Comments
read more

‘กระทิง’ ไปต่อดีป เทคฯ เข้าลงทุน AI ไมโครไบโอม เจาะตลาดดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน

BizKet,  EcoVative

‘กระทิง พูนพล’ ประธานยักษ์กองทุนเทคฯสตาร์ทอัพไทย เข้าลงทุนใน ‘Jona’ ผู้พัฒนา AI วิเคราะห์ข้อมูลไมโครไบโอม สู่ตลาดการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ในอนาคต รับุมูลค่าตลาดเอไอดูแลสุขภาพโลกพุ่ง 613.81 พันล้านดอลลาร์ฯ ปี 2577   กระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures เปิดเผยว่า ล่าสุดนำกองทุน Disrupt Health Impact Fund เข้าลงทุนใน ‘Jona’ บริษัทสัญชาติอเมริกัน ผู้พัฒนา AI อ่านผลตรวจไมโครไบโอม หรือ จุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกกว่าชุดตรวจทั่วไป พร้อมต่อยอดแนวคิดความสมดุลของไมโครไบโอมมีความเชื่อมโยงกับสุขภาพส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์   โดย AI จะช่วยบ่งบอกความเสี่ยง และเสนอแนะวิธีการดูแลสุขภาพและแนวทางการปรับพฤติกรรม ผ่านการประมวลผลงานวิจัยกว่า 200,000 ฉบับ และมีการอัพเดทงานวิจัย ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอยู่เสมอ พร้อมหวังผลักดันให้ไมโครไบโอม เข้ามามีบทบาทยิ่งขึ้นในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการเฟ้นหาแนวทางการรักษารูปแบบใหม่ ๆ   “ไมโครไบโอม หรือ จุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์ เป็นศาสตร์ที่มีมานาน และกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากเริ่มมีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือที่สนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างไมโครไบโอมกับสุขภาพด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ไม่ได้จำกัดแค่สุขภาพลำไส้ หรือกลุ่มบริการเวลเนส แต่มีการเชื่อมโยงไปถึงระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการย่อยอาหาร ผิวหนัง สมอง ไปจนถึงสุขภาพจิต ทำให้เกิดวิธีการดูแลสุขภาพรูปแบบใหม่ ๆ ที่นำมาใช้ประกอบการรักษาได้” กระทิง กล่าว   ขณะที่ บริษัทเวชภัณฑ์ยาระดับโลกเริ่มมีการคิดค้นพัฒนาในด้านนี้ รวมถึงการที่ US FDA ได้มีการอนุมัติให้นำการปรับสมดุลไมโครไบโอมมาใช้ในการรักษาโรคบางโรคก็ได้แล้ว เป็นโอกาสของตลาดไมโครไบโอมมีแนวโน้มจะขยายตัวจากการนำมาใช้ทั้งในเชิงเวลเนสและเชิงการแพทย์มากขึ้นในอนาคต   จากข้อมูลการวิจัยตลาด Precedence Research ระบุมูลค่าตลาด AI ในด้านการดูแลสุขภาพทั่วโลกจะพุ่งแตะ 613.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2577 เพิ่มขึ้นจาก 36.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 โดยเติบโตเฉลี่ย 36.83% ต่อปี หรืออัตราการเติบโตแบบตัวเลขสองหลัก ตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2577     ดึงงานวิจัยกว่า 2 แสนเล่มทั่วโลก   ด้าน ณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวเสริมว่า Jona ได้พัฒนานวัตกรรมโดยใช้ AI เข้ามาปลดล็อกข้อจำกัดการอ่านผลตรวจไมโครไบโอม ซึ่งมีความซับซ้อนเพราะลำไส้มนุษย์มีเชื้อจุลินทรีย์ที่หลากหลายกว่าหนึ่งแสนล้านประเภท และยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน อีกทั้งยังมีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิธีการอ่านผลควรต้องมีการอัพเดทอยู่เสมอ   โดย Jona ให้บริการชุดตรวจที่ใช้ได้ด้วยตนเองและผ่านคลินิก โดยเป็นชุดตรวจที่ตรวจลึกกว่าแค่แบคทีเรีย แต่ครอบคลุมไปถึงจุลินทรีย์ประเภทอื่นด้วย จึงได้ข้อมูลเชิงลึกกว่าชุดตรวจทั่วไป   นอกจากนี้ Jona ยังมีแพลตฟอร์มที่ช่วยประมวลผลข้อมูลและเสนอแนะวิธีการดูแลสุขภาพและแนวทางการปรับพฤติกรรม ด้วยเทคโนโลยี AI ที่สามารถดึงข้อมูลจากงานวิจัยทางการแพทย์กว่า 200,000 เล่มทั่วโลก ทำให้แพทย์อ่านผลตรวจได้แม่นยำยิ่งขึ้น และมีที่มาที่ไปของข้อมูลประกอบ จำแนกตามระดับความน่าเชื่อถือของงานวิจัย ทำให้เกิดการนำไปใช้ได้จริงยิ่งขึ้น และด้วยนวัตกรรม ‘โมเดลจำลองดิจิทัลของไมโครไบโอม’ หรือ ‘Microbiome Digital Twin’ Jona จึงสามารถจำลองผลกระทบที่การปรับเปลี่ยนด้านอาหาร ไลฟ์สไตล์ อาหารเสริม และยารักษาโรคเฉพาะเจาะจงจะมีต่อสุขภาพของผู้ใช้บริการ   โดยข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดจะเชื่อมโยงย้อนกลับไปยังงานวิจัยต้นฉบับ การลงทุนครั้งนี้คาดหวังว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไมโครไบโอมจะสร้างแรงขับเคลื่อนให้วงการสุขภาพ เป็นส่วนช่วยในการต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในอุตสาหกรรม และเป็นเครื่องมือในการช่วยปรับพฤติกรรมในด้านการพัฒนาโมเดล LLM ทาง Jona ได้สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น   โดยมีคณะที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Advisory Board – SAB) ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ทั้งด้าน AI แพทย์ นักโภชนาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการยืดอายุ ที่มาร่วมให้คำแนะนำการพัฒนาผลิตภัณฑ์และทบทวนผลลัพธ์จาก AI ช่วยให้โซลูชันของบริษัทอยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และตอบสนองความต้องการทางคลินิกได้อย่างแท้จริง     ดร. ลีโอ เกรดี้ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร Jona กล่าวว่า บริษัทยินดีที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุน Disrupt Impact Fund เพื่อบรรลุเป้าหมายการขยายตลาด เร่งเติบโต 10 เท่า จุดแข็งของ Jona คือการเป็น AI เฉพาะทาง โมเดล AI ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเจาะจงในด้านไมโครไบโอมในลำไส้ ทำให้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของจุลินทรีย์และผลลัพธ์ด้านสุขภาพได้ดีกว่า หวังขยายผลไปทั่วโลกในอนาคต และส่งเสริมให้การตรวจไมโครไบโอมเข้าถึงได้และสร้างคุณประโยชน์ทางการแพทย์     ทั้งนี้ กองทุน Disrupt Health Impact Fund มีนโยบายลงทุนระยะแรกประมาณ 17 – 25 ล้านบาทต่อบริษัท โดยวางแผนลงทุนใน 15 บริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศภายใน 3 -5 ปีข้างหน้า ภายใต้กลยุทธ์การลงทุน 5 ด้านหลัก ได้แก่   การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เวชศาสตร์ป้องกันโรค ผู้สูงวัย การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โรงพยาบาลอัจฉริยะ   พร้อมมุ่งเน้นนวัตกรรมระดับโลกที่ออกสู่ตลาดแล้วหรืออยู่ระหว่างการวิจัยในคนเพื่อขอรับรองจาก FDA ปัจจุบันกองทุนมีนักลงทุน 7 ราย ซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลที่สนใจธุรกิจ Health & Wellness และยังคงเปิดรับพันธมิตรที่สนใจร่วมลงทุน พร้อมมองหาบริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง   Alternate-X สรุปให้ ‘กระทิง พูนผล’ นำกองทุน Disrupt Health Impact Fund เข้าลงทุนใน ‘Jona’ สตาร์ทอัพอเมริกัน ผู้พัฒนา AI วิเคราะห์ไมโครไบโอมเพื่อดูแลสุขภาพเชิงป้องกั เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยกว่า 200,000 ฉบับทั่วโลก เชื่อมโยงจุลินทรีย์กับสุขภาพองค์รวม โดย Jona พัฒนา Microbiome Digital Twin จำลองผลต่อสุขภาพจากการปรับอาหาร-ไลฟ์สไตล์ ขณะที่ Disrupt Health เน้นลงทุน DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศ รับตลาด AI ด้านสุขภาพทั่วโลกคาดแตะ 613 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2577  

July 7, 2025 / 0 Comments
read more

88 ปี ยาดมโป๊ยเซียน สร้างภาพจำเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ผ่านแคมเปญ CSR ลดเมาแล้วขับ

Peace&Play

‘ยาดม โป๊ยเซียน’ ก่อตั้งในปี 2479 โดยตระกูลลาภบุญทรัพย์ เริ่มต้นจากร้านขายยาสมุนไพรเล็กๆ เน้นขายยาแผนโบราณ ในย่านเยาวราช ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ยาดมอันดับ 1 ของไทย และมีอายุ 88 ปี แล้ว   ด้วยอายุของโป๊ยเซียน ที่อยู่มายาวนานและเป็นแบรนด์ที่รู้จักเป็นอย่างดีในกลุ่มคนไทยมาหลายเจนเนอเรชัน และยังมีชื่อเสียงในหมู่นักเดินทางชาวต่างชาตื ที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์ไทย โดยเฉพาะหมวดยาดม ในฐานะไอเทมช่วยบูสต์ อัพ พลังด้วยสรรพคุณ รักษาอาการวิงเวียน ศีรษะ หวัด คัดจมูกและอาการเมารถ · ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด   สำหรับ ‘ยาดมโป๊ยเซียน’  ผลิตและทำตลาดสินค้าภายใต้บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด และเข้าสู่ยุคการบริหารกิจการในรุ่น 4 ‘ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์’  ที่มารับช่วงบริหารธุรกิจ ด้วยความตั้งใจอยากทำให้โป๊ยเซียน เข้าถึงทุกคนได้ พร้อมๆ กับสืบทอดธรรมนูญที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นอย่าง ‘การซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค’   ด้วยหลักคิดของผู้บริหารรุ่นใหม่ยาดมโป๊ยเซียน ที่แม้ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่มีอายุเฉียด 9 ทศวรรษ แต่เมื่อต้องการให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มคนนิวเจนฯ ก็จำเป็นจะต้องเอาแบรนด์ เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมให้คนรุ่นใหม่เห็นเพื่อสร้างภาพจดจำสินค้าในใจผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง   ท่ามกลางสงครามยาดมด่วน ที่มีหลากหลายแบรนด์และเซ็กเมนต์ในเวลานี้ ด้วยมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาทต่อปี และยังคงมีการเติบโตในตัวเลข 10 – 15% อย่างต่อเนื่อง (ข้อมูลจากบริษัทวิจัยการตลาดชื่อดัง Nielsen) และยังพบว่า ประชากรราว 70 ล้านคน ใช้ยาดมอย่างน้อย 10% และใน 1 เดือนใช้อย่างน้อย 2 หลอด   ขณะที่หนึ่งในแนวทางการนำแบรนด์ยาดมโป๊ยเซียนให้เข้าไปอยู่ในใจคนรุ่นใหม่นั้น ล่าสุดได้จัดกิจกรรมเพื่อมีส่วนร่วมในสังคม (CSR) ในโครงการใหญ่ ‘88 ปี โป๊ยเซียน 8 ทิศ 8 ภาษา’ พร้อมต่อยอดกิจกรรมภายใต้โครงการ ‘Save สมอง Save สุขภาพ ปลอดภัยยกกำลัง 3’ จัดกิจกรรมรณรงค์ ‘ขับขี่ปลอดภัย’ มุ่งสร้างวินัยจราจร และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะพฤติกรรมการเมาแล้วขับในกลุ่มเยาวชน เริ่มนำร่องโครงการฯ ในโรงเรียน   โดยแคมเปญฯ ยังได้ร่วมกับพันธมิตร สถานีวิทยุ จส.100, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.), และ แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุ จราจรระดับจังหวัด (สอจร.) 8 แห่งทั่วกรุงเทพฯ   ดร.ณัฐ ลาภบุญทรัพย์ กรรมการและที่ปรึกษา บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ยาดมตราโป๊ยเซียน พิมเสนน้ำตราโป๊ยเซียน และยาดมพีเป๊กซ์ กล่าวว่าแคมเปญฯ นี้เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความปลอดภัย บนท้องถนน ให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาเน้นการให้ความรู้และสร้างประสบการณ์ตรงผ่านกิจกรรม ที่น่าสนใจต่างๆ   ทั้งการทดสอบความพร้อมในการขับขี่ เพื่อวัดปฏิกิริยาตอบสนองก่อนการเดินทาง และกิจกรรมสำคัญอย่าง ‘การจำลองขับขี่ด้วยแว่นเมา’ ให้นักเรียนได้สัมผัสถึงอันตรายของการขับขี่ ขณะมึนเมา ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุ หลักของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน   “โป๊ยเซียนมุ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของการสร้างสรรค์สังคมที่ปลอดภัย การที่เราได้ร่วมกับพันธมิตรจัดกิจกรรมขับขี่ปลอดภัยในโรงเรียน ถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต โดยเฉพาะ การปลูกฝังความตระหนักรู้เรื่องอันตรายของการเมาแล้วขับ และการส่งเสริมวินัยจราจรให้กับเยาวชน ซึ่งจะเป็น กำลังสำคัญในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างยั่งยืน” ดร.ณัฐ กล่าว     สำหรับโครงการ “88 ปี โป๊ยเซียน 8 ทิศ 8 ภาษา” มีกำหนดจัดกิจกรรมต่างๆ ต่อเนื่องไปจนถึงเดือน กุมภาพันธ์ 2569 โดยระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2568 จะเป็นการลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ โครงการ และกิจกรรมรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย” ในสถานศึกษานำร่อง  8 โรงเรียน ได้แก่ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 โรงเรียนบางกะปิ (480 คน) โรงเรียนวัดราชบพิธ (850 คน) วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 โรงเรียนพรตพิทยพยัต (550 คน) และโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางเขน (420 คน) วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) (640 คน)   ส่วนกำหนดการจัดกิจกรรมในโรงเรียนอีก 3 แห่งจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบในโอกาสต่อไป   นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว โครงการฯ ยังจัดให้มีกิจกรรมพิเศษ คือ กิจกรรม ‘ประกวด คลิปวิดีโอสั้น 8 ภาษา’ ได้แก่ ภาษาไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และภาษาสเปน ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท เพื่อให้นักเรียนได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ และทักษะทางภาษาผ่านคลิปวิดีโอสั้น ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินท่องเที่ยวในประเทศไทย และการใช้รถใช้ถนน อย่างปลอดภัย     Alternate-X สรุปให้    ‘ยาดมโป๊ยเซียน’ แบรนด์ไทยอายุกว่า 88 ปี เริ่มต้นจากร้านยาสมุนไพรในเยาวราช สู่ผู้นำตลาดยาดมไทยที่มีมูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาทต่อปี ด้วยการบริหารรุ่นที่ 4 โดย ‘ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์’ โป๊ยเซียนเดินหน้าต่อยอดแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านกิจกรรม CSR ขับขี่ปลอดภัย และโครงการ “88 ปี โป๊ยเซียน 8 ทิศ 8 ภาษา” พร้อมรณรงค์ลดอุบัติเหตุในกลุ่มเยาวชนอย่างยั่งยืน  

July 7, 2025 / 0 Comments
read more

รู้จักแบรนด์ ‘นาถะ’ สินค้าบุญหลวงพ่ออลงกต พลัง ‘ศรัทธา มาร์เก็ตติง’ ส่งคืนกลับสังคม

BizKet,  Peace&Play

‘นาถะ’ แบรนด์ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ภายใต้ดำริของหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ด้วยที่มาแบรนด์มาจากท้ายนามของหลวงพ่ออลงกต พระราชวิสุทธิประชานาถ แปลว่า ผู้เป็นที่พึ่ง ซึ่งเป็นเจตนารมณ์อันสูงสุด ของหลวงพ่ออลงกต คือ ‘ผู้เป็นที่พึ่งของประชาชน’   แบรนด์นาถะ (NATHA) เชื่อว่าน่าจะเริ่มเป็นที่คุ้นหูของใครหลายคนมาบ้างหลัง ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ (เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล) ผู้อุทิศตนในฐานะลูกศิษย์พระราชวิสุทธิประชานาถ (หลวงพ่ออลงกต) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี มานานกว่าสิบปี ได้ทำคอนเทนต์แนะนำแบรนด์นาถะ คาเฟ่ (NATHA Cafe) มาก่อนหน้าในระยะหนึ่งแล้ว   สแกนแบรนด์นาถะ   ขณะที่แบรนด์นาถะ เองได้วางตำแหน่งเป็นทั้งผลิตภัณฑ์ของกินของใช้ (Consumer Product) อาทิ ครีมอาบน้ำ ยาสระผม โลชันบำรุงผิว และหมวดบริโภคอย่าง ข้าวสารบรรจุถุง ไปจนถึงเสื้อยืดพิมพ์ลวดลายทั้งอักขระยันต์เตือนสติ และ ภาพลายเส้นหลวงพ่ออลงกต         นอกจากนี้ แบรนด์นาถะยังได้นำสินค้าไอเทมต่างๆ จัดเป็นชุดสำหรับการทำสังฆทานเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้มีจิตศรัทธาที่ประสงค์มีส่วนร่วมทำบุญผ่านผลิตภัณฑ์แบรนด์นาถะ ได้อีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน   ส่วนการทำตลาดสินค้าดังกล่าว ทางทีมงานมูลนิธินาถะจะเป็นฝ่ายดำเนินการนำผลิตภัณฑ์ออกไปวางจำหน่ายในสถานที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะร่วมไปพร้อมกับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อหลวงอลงกตที่ได้รับเชิญทั้งจากหน่วยงานองค์กรเอกชนต่าง ๆ   รวมถึงความตั้งใจส่วนตัวของหลวงพ่ออลงกต ต่อการออกปฏิบัติภาระกิจระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ด้อยโอกาสที่อยู่ในความดูแลของวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิธรรมรักษ์ โดยมีกองทุนอาทรประชานารถเป็นผู้ดูแล ซึ่งหลวงพ่ออลงกตเป็นผู้ก่อตั้ง เพื่อดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ด้วยการจัดหาที่พัก อาหาร การรักษาพยาบาล และปัจจัยอื่นๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ด้วยการระดมทุนนี้มีความสำคัญต่อการสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิฯ และการช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ส่วนหนึ่งในสังคม   สำหรับ สินค้าต่างๆภายใต้แบรนด์นาถะ นั้นได้ดำเนินการเพื่อให้ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมซื้อสินค้าบุญที่มีคุณภาพ โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายถวายให้กับหลวงพ่ออลงกต     ‘คุณธัญพร กรเกษม’ เจ้าหน้าที่มูลนิธินาถะ เล่าเรื่องราวแบรนด์นาถะซึ่งเกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปีก่อน ขณะที่มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมาร่วม2 ปี ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้การทำงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์นาถะสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน   “ที่มาแบรนด์นาถะ มาจากคำท้ายชื่ออย่างเป็นทางการของหลวงพ่ออลงกต คือ พระราชวิสุทธิประชานาถ แล้วนำมาขยายการออกเสียงให้เป็นคำว่านาถะ ในภาษาไทย และใช้ภาษาอังกฤษว่า NATHA” คัณธัญพร เล่าพร้อมเสริมอีกว่า   ขณะที่สินค้านาถะ เองก็ยังมีเรื่องราวที่เกิดจากความตั้งใจของหลวงพ่ออลงกต ที่ต่อยอดมาจากให้การดูแลกลุ่มเยาวชนในจังหวัดลพบุรี ทั้งด้านการศึกษาด้วยก่อตั้งโรงเรียนนาถะศาสตร์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1-6 พร้อมให้ทุนการศึกษาสำหรับเยาวชน ที่มีความสามารถด้านกีฬาฟุตบอล เพื่อเข้ามาสังกัดในสโมสรฟุตบอลใจฟ้า อะคาเดมี จังหวัดลพบุรี ที่อยู่ภายใต้การดูแลของหลวงพ่ออลงกต ด้วย   “สินค้าของกินของใช้แบรนด์นาถะที่นำมาจัดเป็นชุดสังฆทาน ยังเกิดจากแนวคิดของหลวงพ่ออลงกต ที่มองไปไกลถึงความเป็นอยู่ของกลุ่มเยาวชนนักกีฬาฟุตบอลในสังกัดใจฟ้าอะคาเดมี ที่ต้องการใช้สินค้าส่วนตัวทั้งสบู่ ครีมอาบน้ำ ยาสระผม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจในการทำแบรนด์นาถะเพื่อออกมารองรับความต้องการในด้านนี้” ‘คุณธัญพร อธิบายเสริม     ขยายสู่ นาถะ คาเฟ่   พร้อมกล่าวอีกว่า สินค้าแบรนด์นาถะต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจจริงในการทำตลาดทั้งคุณภาพสินค้าด้วยราคาสมเหตุสมผลเฉลี่ยหลักร้อยบาทต่อชิ้น ที่ปัจจุบันยังนำสินค้าวางจำหน่ายในช่องทางร้านกาแฟ ‘นาถะ คาเฟ่’ ที่เปิดให้บริการ 2 สาขา คือ   นาถะคาเฟ่ สาขาประชาชื่น เปิดให้บริการ วันอังคาร – อาทิตย์ เวลา09:00-19:00 น.  (ปิดทุกวันจันทร์ ) นาถะ คาเฟ่ สาขาอาคารเล้าเป้งง้วน 1 เปิดให้บริการทุกวัน 09:00-19:00 น.     คุณธัญพร เสริมอีกว่า นับจากการพัฒนาและนำสินค้าแบรนด์นาถะออกมาไปแนะนำให้กับประชาชนทั่วไปได้รู้จักตลอดช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้การตอบรับดีทุกครั้งที่ทางนาถะ จัดกิจกรรมสนองดำริหลวงพ่ออลงกต ในปัจจุบัน   “ด้วยสิ่งที่หลวงพ่ออลงกตปฏิบัติมาตลอดช่วงที่ผ่านมากว่า 30 ปีและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ชวนให้ทีมงานมูลนิธิฯ ทุกคนได้ตระหนักถึงการทำไปต่อเพื่อสังคมเช่นเดียวกับที่ท่านไม่เคยหยุดในเรื่องนี้เช่นกัน”   ภาพประกอบบางส่วน ขอบคุณเพจเฟซบุ๊คนาถะ (NATHA)   Alternate-X สรุปให้   ‘นาถะ’ แบรนด์สินค้าบุญที่ก่อตั้งภายใต้ดำริหลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ วางตำแหน่งเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่ทุกชิ้นรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเข้าสู่การช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ยากไร้ กับแนวทาง ‘ศรัทธา มาร์เก็ตติง’ ขับเคลื่อนด้วยความตั้งใจให้ทุกการซื้อคือการทำบุญสินค้ามีทั้งครีมอาบน้ำ ยาสระผม ข้าวสาร เสื้อยืด ยันต์ เตรียมเป็นชุดสังฆทานได้ พร้อมจำหน่ายใน ‘นาถะ คาเฟ่’ และกิจกรรมร่วมหลวงพ่อทั่วประเทศ เพื่อส่งต่อพลังแห่งศรัทธา              

July 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘วุฒิพล’ ท็อปซีอีโอ 2025 บนเส้นทางอสังหาฯ 10 ปี สู่หัวแถวผู้บริหาร ‘ดาวรุ่ง’

BizKet

‘วุฒิพล ถาวรธวัช’ ซีอีโอกลุ่มบริษัท UHG กับรางวัล ‘THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2025’ ในฐานะผู้บริหารดาวรุ่งคนรุ่นใหม่ ที่ใช้เวลาราว 10 ปีสร้างอาณาจักรธุรกิจอสังหาฯ กว่า 2 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน   ในงานมอบรางวัล ‘Thailand Top CEO of the Year 2025’ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องบอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ โดยนิตยสาร Business+ ร่วมกับ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้แนวคิด ‘Navigate through the uncertainty’ พร้อมประกาศผลรางวัลให้กับผู้บริหารมืออาชีพในแวดวงอุตสาหกรรมธุรกิจต่างๆ   โดยรางวัล แบ่งประเภท CEO สูงสุด (Top CEOs by Industry) มอบให้ผู้บริหารสูงสุดในแต่ละอุตสาหกรรมหลัก เช่น เกษตร, ขนส่ง, ธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, อาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ จำนวน 10 รางวัล และรางวัล Rising Star ‘ดาวรุ่ง’ ซึ่งมอบให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีผลงานโดดเด่นและแนวคิดสร้างสรรค์ จำนวน 5 รางวัล   สำหรับรางวัล ผู้บริหาร Rising Star ในปีนี้มีชื่อของ ‘วุฒิพล ถาวรธวัช’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG เจ้าของและผู้พัฒนาโรงแรมแบรนด์ ‘เดอะ ควอเตอร์’ และอาคารสำนักงานแบรนด์ ‘ฮิลส์’ ติดอยู่ในหัวแถวของขบวนซีอีโอดาวรุ่ง ที่มีผลงานการบริหารน่าจับตา   ด้วยจุดเริ่มต้นงานบริหาร ‘วุฒิพล’ มาจากธุรกิจโรงแรมของครอบครัวที่มี 1 แห่งอยู่ในมือ (โรงแรมเอเวอร์ กรีน เพลส) เมื่อสิบปีก่อนขยายสู่อาณาจักรธุรกิจฮอสพิทาลิตี้ อสังหาริมท่รัพย์มิกซ์ยูส โรงแรมแบรนด์เดอะควอเตอร์ (The Quater) และอาคารสำนักงานฮิลส์ (HILLS) รวมกว่า 20 แห่ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะบทพิสูจน์ฝีมือการบริหารกิจการในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา   จากผลงานดังกล่าว และรางวัลฯ ที่ได้รับยังสะท้อนถึงการนำวิธีคิดแบบมืออาชีพ มาผสมผสานวิสัยทัศน์แบบคนรุ่นใหม่ สู่การขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่ม UHG ให้เติบโตในโลกของการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์อย่างมีจุดยืน   อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้าสู่เส้นทางซีอีโอ อาณาจักร UHG  ‘วุฒิพล’ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานกับองค์กรระดับอินเตอร์ และแบรนด์ชั้นนำของโลก เพื่อเรียนรู้ระบบ บริการ และมาตรฐานการจัดการระดับสากล จากนั้นจึงกลับมารับช่วงต่อและพัฒนาเครือโรงแรม UHG อย่างเต็มตัว   “ผมไม่ได้ถูกผลักให้ทำโรงแรม แต่ผมเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้เอง” วุฒิพลเคยกล่าวไว้ ในบทสัมภาษณ์ผ่านสื่อก่อนหน้านี้   แม้จะบริหารธุรกิจของครอบครัว แต่เขาเลือกจะเข้ามาสานต่อด้วยความสมัครใจ พร้อมแนวคิดใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวยุคดิจิทัล เขามองว่า โรงแรมไม่ใช่แค่ ‘ที่พัก’ แต่คือ ‘ประสบการณ์’ และ ‘ความรู้สึก’ ที่แขกควรได้รับตั้งแต่เข้ามาจนออกจากที่พัก   “ธุรกิจโรงแรมยุคใหม่ต้องตอบสนองมากกว่าที่พัก คือการเข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้คน”   ปัจจุบันพอร์ตธุรกิจในเครือ UHG มีอาคารสำนักงานหลากหลายระดับ เช่น   UHG Hotels & Resorts (กลุ่มโรงแรมขนาดกลาง-ใหญ่ เน้นบริการคุณภาพ) ภายใต้ชื่อแบรนด์ The Quarter UHG Boutique (ที่พักแนวไลฟ์สไตล์สำหรับนักเดินทางรุ่นใหม่) UHG Residences (ระยะยาว/กลุ่ม Expat และนักธุรกิจ) UHG Offices ภายใต้ชื่อแบรนด์ Hills   นอกจากนี้ เขาเขาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี เช่น ระบบ Self Check-in, AI Concierge รวมถึงแนวคิด Sustainability ในการบริหารโรงแรม ตั้งแต่การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จนถึงแนวทางจัดการของเสีย รวมถึงวางแผนขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค และพัฒนาแบรนด์ของกลุ่ม UHG ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ โดยไม่ทิ้งความเป็นไทยและหัวใจของงานบริการที่เน้น “อบอุ่นแบบมืออาชีพ”   Alternate-X สรุปให้   ‘วุฒิพล ถาวรธวัช’ ซีอีโอ UHG คว้ารางวัล ‘Thailand Top CEO of the Year 2025’ ประเภท Rising Star ใช้เวลาเพียง 10 ปี สร้างอาณาจักรอสังหาฯโรงแรมและอาคารสำนักงาน มูลค่ากว่า 2หมื่นล้านบาท พร้อมบริหารธุรกิจด้วยแนวคิดใหม่ผสานประสบการณ์ระดับสากล สร้างจุดยืนชัดในตลาดฮอสพิทาลิตี้ เน้นกลยุทธ์ “โรงแรมคือประสบการณ์” เสริมด้วยเทคโนโลยีและแนวคิดยั่งยืน เตรียมขยายแบรนด์ UHG สู่ระดับภูมิภาค พร้อมยกระดับความเป็นมืออาชีพแบบไทยในตลาดโลก  

July 6, 2025 / 0 Comments
read more

[PR NEWS] โคโคเลิฟ ชวนทุกคนดื่มน้ำมะพร้าว 100%

PRnounce

“โคโคเลิฟ” ตอกย้ำการเป็นแบรนด์เพื่อสุขภาพตัวจริง จัดแคมเปญชวนคนไทยดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100 % เพื่อสุขภาพที่ดี #2   เพื่อตอกย้ำการเป็นแบรนด์น้ำมะพร้าวแท้ 100% เพื่อสุขภาพตัวจริง บริษัท ยูนิคอร์น คอนซูมเมอร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100% แบรนด์ Cocolove (โคโคเลิฟ) ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่สารกันเสีย นำโดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.อัจฉรา จันทร์ฉาย ประธานกิตติมศักดิ์ ร่วมกับ ดร.ณราทิพย์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการบริหาร  คุณเบ็ญจรัตน์ พ่อค้า กรรมการบริหาร, คุณอาชวิน โรจนชัยชนินทร กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยทีมผู้บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด (TOPS) นำโดย  คุณณิศรา ชัยตันติพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค, คุณพลอยชนก ผลถาวรกุลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อสินค้าขนม และ เครื่องดื่ม และ คุณวิราศินีย์ จันทมาลา ผู้อำนวยการเขต   เดินหน้าจัดงาน Love yourself , Drink for your health ชวนคนไทยดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100 % โคโคเลิฟ เพื่อสุขภาพที่ดี #2 แท็คทีมพรีเซ็นเตอร์สาวสวยสุดเฮลท์ตี้ เบลล่า-ราณี แคมเปน พร้อมด้วยนักแสดงหนุ่มฮอต เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ แขกรับเชิญสุดพิเศษ ร่วมมอบความสุขแบบจัดเต็มสำหรับแฟนๆ โคโคเลิฟโดยเฉพาะ โดยมี ดีเจนุ้ย-ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร  รับหน้าที่พิธีกร ณ ลาน Mega FoodWalk ชั้น G หน้า TOPS สาขา Megabangna   สำหรับงาน Love yourself , Drink for your health ชวนคนไทยดื่มนํามะพร้าวแท้ 100 % โคโคเลิฟ เพื่อสุขภาพที่ดี #2  เป็นกิจกรรมการตลาดที่ต้องการสร้างกระแสผ่าน #hastag #LoveYourSelfDrinkForYourHealth เพื่อรณรงค์ให้คนไทยหันมารักตัวเอง รักในการดูแลตัวเอง และรักสุขภาพตัวเอง เชิญชวนให้คนไทยหันมาดื่มนํ้ามะพร้าวแท้ 100 % “เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง”   เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า การดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100 % มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายและดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เช่น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน, เสริมสร้างกระดูกและฟัน, ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ, ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานและปกป้องเซลล์ตับ, ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนสุภาพสตรี, บำรุงผิวพรรณ, สร้างสมดุลระดับน้ำตาล, ส่งเสริมกระบวนการย่อยอาหาร, ช่วยลดอาการปวดเมื่อมีรอบประจำเดือน, เหมาะกับผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ช่วยบำรุงความชื้นให้ร่างกาย, ช่วยลดอาการอักเสบ, เสริมสร้างภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายต้านทานการติดเชื้อ   ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในขณะที่ร่างกายกำลังฟื้นตัว, ช่วยในการย่อยอาหารอย่างอ่อนโยนและไม่ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักเกินไป และยังดีต่อผู้สูงอายุ ช่วยบำรุงความชื้นให้ร่างกาย, ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร, เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน, ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด, ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ และ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยเมื่อมีภาวะอักเสบ   โดยน้ำมะพร้าวแท้ 100% แบรนด์ Cocolove (โคโคเลิฟ) ได้มุ่งมั่นคัดสรรน้ำมะพร้าวจากสวนมะพร้าวที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ได้มะพร้าวน้ำหอมคุณภาพดี โดยการทำพันธสัญญาผูกพัน หรือ Contact Farming กับสวนมะพร้าวในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกมะพร้าวที่ดีที่สุด ภายใต้ขั้นตอนการผลิตแบบ UHT และการบรรจุภัณท์ในระบบสูญญากาศแบบปิด หรือ Aseptic ผลิตโดยโรงงานชั้นนำของประเทศด้านการผลิตน้ำมะพร้าวที่ขึ้นชื่อไปทั่วโลก ด้วยมาตรฐาน GMP, HACCP, HALAL, Hosher เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถดื่มได้อย่างมั่นใจ ไม่เติมน้ำตาล สารเติมแต่ง ไม่เจือสี หรือ วัตถุกันเสียใดๆ ผู้บริโภคจึงได้รับประทานน้ำมะพร้าวที่มีกลิ่นหอม กลมกล่อม อร่อย สดชื่น ปราศจากไขมัน โคเลสเตอรอล และเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและแมกนีเซียม เหมาะสำหรับการดื่มในทุกๆ วัน   กิจกรรม Love yourself , Drink for your health ชวนคนไทยดื่มนํามะพร้าวแท้ 100 % โคโคเลิฟ เพื่อสุขภาพที่ดี #2 ในครั้งนี้ ได้เนรมิตลาน Mega FoodWalk ชั้น G หน้า TOPS สาขา Megabangna ให้เป็นอีเว้นท์เพื่อคนรักสุขภาพและยังได้อัพเลเวลความฟินแฮปปี้เพิ่ม 100% ไปกับกิจกรรม Lucky Fan แชะถ่ายรูป Exclusive ใกล้ชิด พรีเซ็นเตอร์สาวโคโคเลิฟ  เบลล่า-ราณี แคมเปน และนักแสดงหนุ่มฮอต เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ แขกรับเชิญสุดพิเศษ ที่มาร่วมมอบความสุขแบบจัดเต็มสำหรับแฟนๆ โคโคเลิฟโดยเฉพาะ พร้อมครีเอทเมนูเครื่องดื่มสุขภาพแสนอร่อยจากน้ำมะพร้าวโคโคเลิฟให้ชมกันสดๆ โดยมี ดีเจนุ้ย-ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร  รับหน้าที่พิธีกรสร้างเสียงหัวเราะตลาดทั้งงาน   คุณอาชวิน โรจนชัยชนินทร กรรมการผู้จัดการ เผยว่า “กิจกรรมวันนี้ผ่านไปด้วยดี มีการตอบรับที่ดีมากจากทุกฝ่ายและผู้บริโภค หลังจากนี้ไปช่วงปลายปีเราจะมีแคมเปญใหญ่ เป็นการตอกย้ำถึงประโยชน์ของน้ำมะพร้าวกับแคมเปญ Love yourself , Drink for your health ที่อยากจะเชิญชวนคนไทยมาดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อสุขภาพกันเยอะๆแล้วยิ่งเราอยู่ในสภาวะหลังจากโควิดมาคนก็เจ็บป่วยกันเยอะ ถือว่าแคมเปญนี้ที่เรามุ่งเน้นเรื่องสุขภาพอย่างแท้จริง ซึ่ง โคโคเลิฟ เราเป็นน้ำมะพร้าวแท้ 100% ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่สารใดๆ รสชาติน้ำมะพร้าวแท้100% มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคครับ”   ด้าน คุณเบ็ญจรัตน์ พ่อค้า กรรมการบริหาร กล่าวว่า “ทาง โคโคเลิฟ ขอบคุณคุณเบลล่า ที่ให้เกียรติเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์แบรนด์ของเรามา 3 ปีซ้อน คุณเบลล่าช่วยเพิ่มการรับรู้เข้าถึงผู้บริโภคถึงคุณประโยชน์ในการดื่มน้ำมะพร้าวแท้เพื่อสุขภาพที่ดี ทางเราก็อยากจะให้คุณเบลล่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์โคโคเลิฟต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ”   Love yourself , Drink for your health ชวนคนไทยดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100 % โคโคเลิฟ เพื่อสุขภาพที่ดี #2  เป็นกิจกรรมการตลาดที่ต้องการสร้างกระแสผ่าน #LoveYourSelfDrinkForYourHealth เพื่อรณรงค์ให้คนไทยดูแลตัวเอง และรักสุขภาพ   ดื่มนํ้ามะพร้าวแท้ 100 % “เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง”  พบกับผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100% แบรนด์ Cocolove (โคโคเลิฟ) ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่สารกันเสีย และโปรโมชั่นสุดพิเศษ ได้ที่ TOPS, TOPS DAILY, Big C, Lotus’s, Foodland, Villa Market, Thaifoods Fresh Market, Gourmet Market, Watsons, Max Mart, Jiffy, Lawson 108 ร้านค้าปลีก-ค้าส่งชั้นนำทั่วประเทศ หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ FB/IG/Tiktok : Cocolove_thailand           …

July 5, 2025 / 0 Comments
read more

แอร์เอเชีย ทำดีลกว่า 4 แสนล. สั่ง A321XLR ลำตัวแคบแต่บินไกล บริการรายแรกในกลุ่มโลว์คอสต์ฯ

BizKet

แอร์เอเชีย  พลิกโฉมเดินทางทั่วโลก ใช้เครื่องบินลำตัวแคบเป็นรายแรกของโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ ลงทุนกว่า 4 แสนล้านบาททำดีลแอร์บัส A321XLR จำนวน 70 ลำ โทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Capital A และที่ปรึกษาและผู้บริหารกลุ่มแอร์เอเชีย กล่าวว่า แอร์เอเชีย เบอร์ฮัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย Capital A Berhad ได้ลงนามในข้อตกลงครั้งสำคัญกับแอร์บัส มูลค่า 12.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็นเงินไทยราว 4.47 แสนล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยน 36 บาทต่อดออลาร์สหรัฐ) สำหรับเครื่องบิน A321XLR จำนวน 50 ลำ พร้อมสิทธิ์ในการซื้อเครื่องบิน A321XLR เพิ่มเติมอีก 20 ลำ   พร้อมลงนามข้อตกลงในครั้งนี้ที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา พร้อมด้วย ‘คริสเตียน เชเรอร์ ‘ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแอร์บัส ฝ่ายเครื่องบินพาณิชย์ โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดาโต๊ะ เสรี อันวาร์ อิบราฮิม เป็นสักขีพยาน ซึ่งจากข้อตกลงนี้ ยังทำให้แอร์เอเชีย ก้าวสู่การเป็นสายการบินราคาประหยัดที่ให้บริการแบบเครือข่ายด้วยอากาศยานแบบลำตัวแคบสายแรกของโลก โดยมีกลยุทธ์แบบหลายศูนย์ปฎิบัติการการบิน (Multi-Hub) โดยมีกำหนดส่งมอบตั้งแต่ปี 2571 ถึง 2575   “เราเป็นผู้บุกเบิกการเดินทางราคาประหยัดในเอเชีย และตอนนี้กำลังยกระดับไปอีกขั้น แอร์เอเชียอยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นสายการบินเครือข่ายราคาประหยัดแห่งแรกของโลก” โทนี่ กล่าวพร้อมเสริมว่า “ข้อตกลงครั้งนี้ ยังเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์นอกอาเซียน และทำให้การบินเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน ที่ได้มอบโอกาสให้ผู้คนในอาเซียนได้เดินทางทั่วเอเชีย เราต้องการให้โลกได้เห็นอาเซียน และอาเซียนได้เห็นโลก”   ขณะที่ เครื่องบินแบบ A321XLR และ A321LR จะมีส่วนสำคัญทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริงได้ และเป็นความภาคภูมิใจต่อการเป็นผู้นำในการทำให้โลกเล็กลง” “เรารอแทบไม่ไหวที่จะระบายท้องฟ้าด้วยฝูงบินสีแดงให้กว้างไกลขึ้น” โทนี่ กล่าว   ด้าน ‘คริสเตียน เชเรอร์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครื่องบินพาณิชย์ของแอร์บัส กล่าวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยืนยันข้อตกลงนี้ ในขณะที่กลุ่มแอร์เอเชียกำลังเริ่มก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง หลังกลับมาสู่เส้นทางการเติบโต ซึ่งเราขอชื่นชมและสนับสนุน สายการบินกำลังเสริมประสิทธิภาพฝูงบินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยุทธศาสตร์นี้จะทำให้สายการบินสามารถขยายเครือข่ายทั่วโลกได้ด้วย เครื่องบิน A321XLR พร้อมเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้แอร์เอเชียสามารถเปิดเที่ยวบินตรงเชื่อมโยงทั้งเมืองหลักและเมืองรองได้ครอบคลุมทั่วโลก”   5 ปีหน้าขนส่งฯสะสม 1.5 พันล.คน   สำหรับเครื่องบินแบบ A321XLR รุ่นใหม่นี้จะให้บริการร่วมกับฝูงบินแอร์บัสทั้งหมดของแอร์เอเชียในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินตระกูล A320 และ A330 เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายการบินและการเชื่อมโยงที่ไม่มีใครเทียบได้โดยครอบคลุมทั้งเอเชียและอื่นๆ ในขณะที่ยังคงรักษารูปแบบราคาประหยัดผ่านการให้บริการในเส้นทางที่พร้อมด้วยด้วยศักยภาพและโอกาส การบูรณาการจัดการฝูงบินให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ตลอดจนเสริมประสิทธิภาพฝูงบิน   โดยกลุ่มแอร์เอเชียตั้งเป้าหมายที่จะขนส่งผู้โดยสาร 150 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 โดยจะมียอดรวมสะสม 1.5 พันล้านคนนับตั้งแต่ก่อตั้ง   นอกจากนี้ ฝูงบินใหม่ดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญในการเติบโต ด้วยกลยุทธ์เครื่องบินหลากหลายประเภทของแอร์เอเชีย ดังนี้   ช่วยให้สายการบินสามารถเลือกปริมาณที่นั่งให้สอดคล้องความต้องการ ลดการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง สนับสนุนรูปแบบการเติบโตที่ยั่งยืนและคุ้มค่าในสภาพแวดล้อมการแข่งขันระดับโลก   โดยเครื่องบิน A321XLR ยังประหยัดเชื้อเพลิงได้สูงสุดถึง 20% ต่อที่นั่ง เมื่อเทียบกับเครื่องบินแอร์บัส A321neo ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการปล่อยมลพิษและประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างมาก   Alternate-X สรุปให้  แอร์เอเชียลงทุนกว่า 4.47 แสนล้านบาท สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส A321XLR จำนวน 70 ลำ ก้าวสู่สายการบินโลว์คอสต์รายแรกของโลกที่ใช้เครื่องลำตัวแคบบินไกล เปิดเส้นทางทั่วโลก เดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่สายการบินเครือข่ายราคาประหยัด ด้วยกลยุทธ์ Multi-Hub ด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่นี้ประหยัดเชื้อเพลิง 20% ต่อที่นั่ง และช่วยลดการปล่อยมลพิษ ตั้งเป้าขนส่งผู้โดยสารสะสม 1.5 พันล้านคนภายในปี 2573 ขยายบทบาทระดับโลก

July 5, 2025 / 0 Comments
read more

‘จ่ายทีเดียว กินได้ 5 ‘ซิซซ์เล่อร์’ จัดให้เมนูสลัดบาร์ กลยุทธ์เพิ่มความถี่ดันยอดโต 3 เท่าตัว

BizKet

ซิซซ์เล่อร์ ใช้กลยุทธ์ราคา ซับสคริปชั่น โมเดล ‘สลัดบาร์’ ประหยัดกว่าจ่ายรายครั้ง แม่เหล็กเพิ่มความถี่ดึงลูกค้าเข้าร้านได้ 3 เท่าตัว ตอบโจทย์เทรนด์รักตัวเองให้มากต้องดูแลสุขภาพ   ‘อนิรุทร์ เดวิด คอลลินส์’ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็มเอฟ คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรองต์ จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านสเต๊กซิซซ์เล่อร์ (Sizzler) เปิดเผยว่า เทรนด์ใหญ่ผู้บริโภคให้ความสำคัญด้านความเป็นอยู่เพื่อสุขภาพ (Healthy living) ทั้งการออกกำลังกาย รวมถึงการรับประทานอาหาร มีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องหลังการแพร่ระบาดโควิด-19   ทั้งนี้ ซิซซ์เล่อร์ ได้นำเทรนด์ดังกล่าวมามาปรับใช้ร่วมการทำตลาดเมนู ‘สลัดบาร์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของร้านเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดสุขภาพมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกระแสดังกล่าวในกลุ่มผู้บริโภคยุคปัจจุบัน   ขณะเดียวกัน ยังได้ปรับปรุง (revamp) สลัดบาร์ พร้อมเพิ่มวัตถุดิบเน้นซูเปอร์ฟู้ด อาทิ บัควีท ควินัว ผักเคล โดยนำมาพัฒนาในคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น ไตรมาส 1 เป็นช่วงหลังกลับจากเที่ยวปีใหม่ จะเน้นวัตถุดิบเสริมภูมิคุ้มกัน (Immunity) ส่วนไตรมาส 2 ช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาล จะมุ่งการบำรุงร่างกาย ด้วยวัตถุดิบ Energy Booster เป็นต้น   โดยให้บริการควบคู่กับเมนูสลัดบาร์แบบดี.ไอ.วาย (D.I.Y.) เพื่อให้ลูกค้าเลือกจับคู่เมนูสลัดได้ด้วยตัวเอง พร้อมลดเมนูสลัดมิกซ์ (Mixed Salad) ซึ่งมาจากการรับฟังการตอบรับ(Feedback)ผู้บริโภค ที่มีความต้องการหลากหลายมากขึ้น   อนิรุทร์ กล่าวว่า ซิซซ์เล่อร์ ยังนำร่องให้บริการภายใต้โมเดลซับสคริปชั่นในเมนูสลัด (Salad subscription) ระบบสมัครสมาชิกสำหรับทานสลัด 5 ครั้ง ในราคา 700 บาท ให้ความประหยัด 30% เทียบกับการกินสลัดบาร์แบบรายครั้ง มีราคาอยู่ที่ 199 บาท/ครั้ง และจากการทำตลาดเชิงรุกเมนูสลัดบาร์ ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 พบว่ามีฐานสมาชิกซิซซ์เล่อร์ ขยายตัว 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   “หลังทำระบบสลัดซับสคริปชั่น สามารถเพิ่มความถี่การมารับประทานซิซซ์เล่อร์ได้มากกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว และกลับมาซื้อโปรแกรมซ้ำในปริมาณเยอะกว่าเดิมด้วย”  อนิรุทร์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ ซิซซ์เล่อร์ ยังอยู่ระหว่างศึกษาการนำระบบซับสคริปชั่นใช้ร่วมกับ เมนูอื่น ๆ เช่น เมนูอาหารกลางวัน เพื่อเข้าถึงกลุ่มพนักงานออฟฟิศในฐานะแบรนด์สเต๊กระดับพรีเมียม ราคาเข้าถึงง่าย (Affortdable)     อนิรุทร์ กล่าวว่า “สัดส่วนยอดขายหลักกว่า 50% ของซิซซ์เล่อร์ มาจากเมนู ‘สเต๊ก’ แต่ผู้เข้ามารับประทานอาหารในร้าน 100% จะรับประทานสลัดบาร์ด้วยแน่นอน” พร้อมเสริมว่า  “สลัดบาร์ซิซซ์เล่อร์ เป็นตำนานมา 30 ปี ไม่มีใครล้มได้ ส่วนคู่แข่งในตลาดสเต๊กก็ไม่สามารถทำสลัดอย่างเราได้ หรือถ้ามีอาจต้องเสียเงินจ่ายเพิ่ม“ ปัจจุบันซิซซ์เล่อร์ มีสาขารวม 64 สาขา และมีแผนเปิดเพิ่ม 1 สาขาในปีนี้ ส่วนตลาดต่างประเทศ มีสาขาในญี่ปุ่น 10 แห่ง และเวียดนาม 1 แห่ง พร้อมวางแผนขยายตลาดประเทศใหม่ ๆ 1 แห่ง ภายในปี 2568 โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ซิซซ์เล่อร์ มีค้าเข้ามาใช้บริการราว 9.6 ล้านคน เติบโต 24% (yoy) มีฐานสมาชิก (Member) ราว 9.9 แสนราย คาดในกลางเดือน ก.ค. นี้ จะทะลุ 1 ล้านราย     Alternate-X สรุปให้  ซิซซ์เล่อร์เปิดโมเดล ‘Salad Subscription’ สมัครสมาชิกสลัดบาร์ 5 ครั้ง ราคา 700 บาท ประหยัดกว่าจ่ายรายครั้งถึง 30% กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มความถี่ในการเข้าร้านถึง 3 เท่า ตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพที่มาแรง พร้อมปรับสลัดบาร์ใหม่ เพิ่มวัตถุดิบซูเปอร์ฟู้ด และเปิดให้ลูกค้า D.I.Y. เมนูตามชอบ ฐานสมาชิกเติบโต 46% ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 ซิซซ์เล่อร์วางแผนขยายโมเดลซับสคริปชันไปยังเมนูอื่น เช่น มื้อกลางวัน เจาะกลุ่มพนักงานออฟฟิศ      

July 5, 2025 / 0 Comments
read more

‘โอโยชิ อีทโตะ’ แบรนด์ส่งอออกเชิงกลยุทธ์โออิชิ เจาะ 3 เทรนด์อาหารโลกมาแรง

BizKet

โออิชิ ส่ง 2 สินค้าใหม่อาหารไทยฟิวชั่นญี่ปุ่นแบรนด์ ‘โอโยชิ อีทโตะ’  โฟกัสส่งออกตลาดอาเซียน-ยุโรป รับการแข่งขันตลาดอาหารโลกยุคใหม่ ไม่ได้วัดแค่รสชาติเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจบริบทผู้บริโภค ด้วย   ศสัย ตังเดชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารในเครือโออิชิ กล่าวว่าบริษัทฯ มุ่งทำตลาดส่งออกอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทานแบรนด์ ‘โอโยชิ อีทโตะ’ (OYOSHI EATO) เชิงรุกในต่างประเทศ   ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งแสวงหาประสบการณ์รสชาติใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น แตกต่าง และมีเรื่องราว ในยุคที่อาหารไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของรสชาติ แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ และตัวตนของผู้บริโภคทั่วโลก   “การส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปฯ ของโออิชิ ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการกระจายสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศเท่านั้น แต่คือการส่งต่อเรื่องราวและวัฒนธรรมอาหารไทยในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย โดยผ่านมุมมองของอาหารญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่นิยมในระดับโลก” ศสัย กล่าวพร้อมเสริมว่า “จากการผสมผสานเอกลักษณ์ของสองวัฒนธรรมนี้ จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ไทยในระดับสากลได้อย่างยั่งยืน”   ล่าสุด โออิชิ ได้เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ ‘โอโยชิ อีทโตะ’ คือ     โอโยชิ อีทโตะ เกี๊ยวซ่า ‘สยาม เอสเซนส์’ (OYOSHI EATO GYOZA Siam Essence) นวัตกรรมเกี๊ยวซ่าสไตล์ญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดเสน่ห์รสชาติไทย ผ่าน 5 ไส้เมนูยอดนิยม ได้แก่ แกงแดง แกงเขียวหวาน ต้มยำกุ้ง ต้มข่าไก่ และไก่สะเต๊ะ เพื่อตอบโจทย์กลุ่ม ‘Adventurous Foodies’ ที่มองหาประสบการณ์ใหม่จากวัตถุดิบและรสชาติที่มีเอกลักษณ์   โอโยชิ อีทโตะ “มินิ พัฟเฟลตส์” (OYOSHI EATO Mini Pufflets) ขนมแป้งทอดกรอบไส้หวาน ขนาดพอดีคำ มาพร้อม 4 รสชาติ ได้แก่ ช็อกโกบานาน่า แอปเปิ้ล สับปะรด และเผือกมะพร้าว เพื่อเจาะกลุ่ม ‘Premium Snacking’ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดยุโรป โดยเน้นความสะดวก อร่อย และคุณภาพสูงในทุกมื้อว่าง     โดยทั้งสองผลิตภัณฑ์ใหม่ ยังสะท้อนแนวคิดการออกแบบสินค้าให้มีความแตกต่าง มีนวัตกรรมในรสชาติ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคสากล และ สอดคล้องกับเทรนด์การบริโภคสำคัญ ได้แก่   Convenience-Driven (ผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกในการบริโภค) Health-Conscious (ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและโภชนาการ) Experience-Seeking (ผู้ที่แสวงหาประสบการณ์รสชาติใหม่จากทั่วโลก) ได้อย่างครอบคลุม   ศสัย กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าว ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์โออิชิ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าสำหรับส่งออกที่มีความพร้อมทั้งด้านมาตรฐานการผลิตระดับสากล เช่น GMP, HACCP, และ BRC ควบคู่การวิจัยเชิงพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดเป้าหมาย   ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถปรับแต่งรสชาติ บรรจุภัณฑ์ และช่องทางจัดจำหน่ายได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนและยุโรป ซึ่ง โออิชิ ได้เริ่มวางรากฐานและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ และสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงเตรียมขยายสู่ตลาดใหม่ในลำดับถัดไป   “การแข่งขันในตลาดอาหารโลกยุคใหม่ ไม่ได้วัดกันแค่รสชาติเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงความเข้าใจในบริบทของผู้บริโภค และความสามารถในการนำเสนอสินค้าให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ผู้บริโภคอยากจดจำ ซึ่งทั้งหมดนี้คือแนวทางที่เรากำลังขับเคลื่อน เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับแบรนด์ไทยในเวทีโลก” ศสัยฯ กล่าวปิดท้าย   Alternate-X สรุปให้    โออิชิ ส่ง 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่แบรนด์ ‘โอโยชิ อีทโตะ’ ได้แก่ เกี๊ยวซ่า ‘สยาม เอสเซนส์’ และขนมมินิ ‘พัฟเฟลตส์’ นำรสชาติไทย-ญี่ปุ่น เจาะตลาดอาเซียนและยุโรป ชูจุดขายเรื่องนวัตกรรมรสชาติ สะท้อนวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ตอบโจทย์ 3 เทรนด์ผู้บริโภค: สะดวก สุขภาพ และประสบการณ์ ใช้กลยุทธ์ส่งออกแบบเข้าใจบริบทท้องถิ่น พร้อมมาตรฐานการผลิตระดับสากล เดินหน้าผลักดันแบรนด์ไทยขึ้นแท่นผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารในตลาดโลก  

July 4, 2025 / 0 Comments
read more

‘ออม-สุชาร์’ นักแสดงสาว รับบทใหม่ในวงการบิวตี้ ส่งแบรนด์ ‘Fleen Beauty’ เจาะสวยคลีน

BizKet

รู้จัก ‘Fleen Beauty’ กับที่มาแนวคิดของ ‘ออม-สุชาร์’ นักแสดงสาวที่ผันตัวมาเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ ‘Fleen Beauty’ ผลิตภัณฑ์ความงามวีแกน ที่มองเห็นโอกาสในตลาดเครื่องสำอางเจาะคนรุ่นใหม่ พาไปไกลในระดับโลก   ตลาดความสวยความงาม โดยเฉพาะเซกเมนต์เครื่องสำอางยังเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยแนวโน้มในปี 2568 -2569 ตลาดเครื่องสำอางอาจขยายตัวราว 12-13%   ด้วยอัตราการเติบโตนี้ ถือเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 เพราะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ มีการแข่งขันสูง รวมถึงจำนวนคู่แข่งหน้าใหม่ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และหนึ่งในนั้น มี ‘Fleen Beauty’ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามที่กำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้งานจริง   อยากแก้เพนพอยต์   สำหรับแบรนด์ ‘Fleen Beauty’ ดำเนินการภายใต้บริษัท อินโนฟีน่า จำกัด ซึ่งก่อตั้งและบริหารงานโดย ‘ออม-สุชาร์ มานะยิ่ง’ นักแสดงชื่อดังที่คลุกคลีในวงการบันเทิงมานาน 19 ปี ที่ขอพลิกบทบาทใหม่พร้อมสวมหมวกผู้บริหารธุรกิจเครื่องสำอางแบรนด์ดังกล่าว   ออม-สุชาร์ เล่าจุดเริ่มต้นธุรกิจเกิดจาก ‘แพสชั่น’ ที่มีต่อเครื่องสำอาง พร้อมต่อยอดกับ ‘เพนพอยต์’ (Painpoint) ของตัวเธอเองที่เป็นสาวผิวแห้งและอยากได้เครื่องสำอางมาช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น และเหมาะกับสภาพผิวของตนเอง   “ด้วยความเป็นคนรักสวยรักงาม และหากมีโอกาสไปต่างประเทศจะแวะซื้อเครื่องสำอางกลับมาด้วยเสมอ แม้กระทั่งการแต่งหน้าในกองถ่ายละคร ก็มักเข้าไปมีส่วนออกแบบลุคของตัวเองด้วย” ออม เล่าพร้อมเสริมรายละเอียดต่อ “ปัญหาที่พบเจอระหว่างแต่งหน้าอยู่บ่อยครั้งในฐานะผู้ใช้งานจริง คือยังไม่สามารถหาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิว-สีผิว เนื่องจากเป็นคนผิวแห้งมากโดยเฉพาะบริเวณใต้ตา ด้วยนอกจากสีที่ถูกต้อง และเข้ากับผิวคนเอเชียขณะเดียวกันยังต้องให้ความชุ่มชื้นที่พอเหมาะ”   จากมุมมองของผู้ใช้งานจริงนี่เอง ที่เป็นแรงผลักให้ ‘ออม-สุชาร์’ ขยับสู่สถานะของผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง ‘Fleen Beauty’ ในเวลาต่อมา   พอร์ตความงาม Fleen Beauty   ปัจจุบัน ‘Fleen Beauty’ มีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่   Fleen Beauty Energize Tone Up Serum ราคา 1,190 บาท Fleen Beauty Youth Up Aqua Covering Pact Cushion SPF50 PA+++ ราคา 1,190 บาท Fleen Beauty Soft Velvet Fluffy Cheek ราคา 690 บาท   ล่าสุด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่รายการที่ 4 คือ  Fleen Beauty Skin Caring Corrector ราคา 720 บาท และรายการ 5 Fleen Beauty Hya Plumping Concealer ราคา 720 บาท       แบรนด์เครื่องสำอางเฟรนด์ลี   ‘สุชาร์’ บอกว่า บริษัทฯ จดทะเบียนราวเดือนพฤษภาคม 2566 พร้อมทำตลาดในช่วงที่ผ่านมาแบรนด์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยตำแหน่งทางการตลาด ‘Fleen Beauty’ วางไว้ภายใต้คอนเซปต์  แบรนด์เครื่องสำอางที่เฟรนด์ลี่ เป็นมิตรกับผู้หญิงทุกคน ทุกวัย เข้าถึงง่าย โดย Fleen มีที่มาจากคำว่า ‘Feel’ และ ‘Clean’   โดยผลิตภัณฑ์จึงเหมาะสำหรับคนผิวแพ้ง่าย ไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพหรือแต่งหน้าเก่งก็ใช้งานได้ ด้วยไม่ต้องมีขั้นตอนเยอะ   ขณะที่ จุดเด่นของ Fleen Beauty คือ เครื่องสำอางเมคอัพกึ่งสกินแคร์ ซึ่งเป็นเทรนด์ ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์การแต่งหน้าของผู้หญิงที่ต้องใช้ชีวิตนอกบ้านเฉลี่ยนาน 12-14 ชั่วโมงไปพร้อมดับเครื่องสำอางที่อยู่บนใบหน้าเรา   จากความเข้าใจเชิงลึกดังกล่าวนี่เอง ที่เป็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มาพร้อมการบำรุงไปในตัวได้พร้อมกัน ซึ่ง ‘Fleen Beauty’ ได้ออกมาตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ดังกล่าวในปัจจุบัน พร้อมนำคอนเซปต์นี้เข้าไปในสินค้าทั้ง5 ผลิตภัณฑ์ เหมาะกับผู้มีผิวแพ้ง่าย รวมไปถึงคุณแม่ให้นมบุตร ที่สำคัญยังเป็นวีแกนด้วย เพื่อตอกย้ำความเฟรนด์ลีกับทุกคน   ในส่วนช่องทางขาย Fleen Beauty วางตลาดทั้งออฟไลน์ในร้านค้าปลีกพิเศษความงาม EVEANDBOY Shop 19 สาขาทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ TikTok Shop: Fleen Beauty   ขยายกลุ่มนิว เจนฯ   สุชาร์ บอกว่าการทำตลาดสินค้า Fleen Beauty ในช่วงที่ผ่านมา ได้การตอบรับดีมีการกลับมาซื้อซ้ำมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ ‘Fleen Beauty Energize Tone Up Serum’ ซึ่งขายไปแล้วมากถึง 100,000 ชิ้น และ ‘Fleen Beauty Skin Caring Corrector’ ขายได้มากกว่า 50,000 ชิ้น, Youth Up Aqua Covering Pact กว่า 40,000 ชิ้น ,Soft Velvet Fluffy Cheek 40,000 ชิ้น และ Hya Plumping Concealer ราว 20,000 ชิ้น   จากความสำเร็จเบืองต้น ทำให้ปีนี้ ‘Fleen Beauty’ จะมุ่งทำตลาดเชิงรุก พร้อมทำคอนเทนต์เชิงสร้างสรรค์ รวมถึงการสร้าง ‘Community Building’ กลุ่มผู้ใช้งานจริงของ ‘Fleen Beauty’ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการใช้สินค้า   “ในช่วงเริ่มต้นแบรนด์มีกลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่เป็นฐานแฟนคลับของ ‘สุชาร์’ แต่หลังจากนี้จะเริ่มทำการตลาดด้วยการเจาะกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Alpha รวมถึงการออกสินค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่ใช้เวลาในการพัฒนาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งหลังจากนี้แบรนด์วางแผนขยายไลน์อัปสินค้า เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้ได้ครบถ้วน”  สุชาร์ ย้ำ   พร้อมเสริมว่า เนื่องจากแบรนด์เกิดและเติบโตจากการสื่อสารบนโลกออนไลน์ ปีนี้จะยังคงมุ่งเน้นทำ Digital Marketing ต่อไป ขณะเดียวกันก็ควบคู่ไปกับการตลาดผ่านช่องทางออฟไลน์ด้วย   สุชาร์ กล่าวต่อถึงแนวทางการทำตลาด Fleen Beauty ในอนาคต วางเป้าหมายขยายสู่ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) และในอีก 5 ปีข้างหน้า อยากเห็น ‘Fleen Beauty’ ก้าวสู่แบรนด์ระดับโลก ในฐานะแบรนด์ของคนไทยที่ต่างชาติเลือกหยิบซื้อกลับไปประเทศบ้านเกิดเมื่อได้มีโอกาสมาเยือนเมืองไทย   “เรามีมุมมองเล็กๆ อยากสร้างแบรนด์ของคนไทย แล้วให้ต่างชาติที่มาเที่ยวไทยเลือกหยิบซื้อกลับไป อย่างเวลาเราไปเกาหลีหรือญี่ปุ่น เราจะรู้สึกอยากซื้ออันนั้นอันนี้กลับมาเต็มไปหมด อาจจะด้วยประสบการณ์การทำงานของเราที่ได้มีโอกาสไปหลายประเทศ เห็นการแต่งหน้าหลายสไตล์ รวมถึงคนที่ติดตามเราก็มีชาวต่างชาติอยู่บ้าง จุดนี้น่าจะช่วยให้เขามองเห็นแบรนด์เราได้ด้วย” สุชาร์ กล่าวปิดท้าย     Alternate-X สรุปให้     ‘Fleen Beauty’ แบรนด์เครื่องสำอางวีแกนโดยนักแสดงสาว ‘ออม-สุชาร์’ เจาะตลาดเมคอัพผสานสกินแคร์ ตอบโจทย์ผู้หญิงผิวแพ้ง่ายทุกวัย ด้วยแรงบันดาลใจจากเพนพอยต์ส่วนตัว สู่ผลิตภัณฑ์ที่เน้นความชุ่มชื้น สีผิวเหมาะกับคนเอเชีย และใช้งานง่าย ย้ำความเฟรนด์ลี่ พร้อมสร้างคอมมูนิตี้ผู้ใช้จริง รุกเจาะกลุ่ม Gen Z ด้วยยอดขายเซรั่มพุ่งกว่า 1 แสนชิ้น ย้ำคุณภาพและการซื้อซ้ำ ตั้งเป้า 5 ปี ขยายตลาดสู่ SEA และก้าวสู่แบรนด์ระดับโลกของคนไทย  

July 3, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดลักซูรีเบ่งบาน เมื่อพฤติกรรมนักเดินทางเปลี่ยน’ไทย’ติดลิสต์ปลายทางหรูเอเชีย

EcoVative,  Peace&Play

The Luxury Group by Marriott International  เปิดรายงาน ‘The Intentional Traveler’ เผยพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงใน 7 ตลาดทั่วเอเชียแปซิฟิก   โอริออล มอนทัล รองประธานฝ่ายลักชัวรี่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า จากผลการศึกษาล่าสุดโดย ลักชัวรี กรุ๊ป โดย แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล (The Luxury Group by Marriott International) เผยข้อมูลกลุ่มนักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูง (HNW) ในภูมิภาคนี้กำลังปรับมุมมองที่มีต่อวิธีการเดินทาง สถานที่ และเหตุผลในการเดินทางใหม่   โดยให้ความสำคัญกับสุขภาวะ ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ คุณค่าทางอารมณ์ความรู้สึก และการออกแบบที่มีเป้าหมาย มากกว่าเรื่องปริมาณหรือความหรูหราเกินจำเป็น   รายงานฉบับใหม่นี้ ได้สำรวจความคิดเห็นของนักเดินทางผู้มีฐานะมั่งคั่งจำนวน 1,750 คนจาก 7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่   ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ประเทศไทย   โดยเผยให้เห็นมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวแบบลักซูรี ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง การวางแผนการเดินทางอย่างแม่นยำมากขึ้น และความคาดหวังที่สูงขึ้นจากทั้งแบรนด์และประสบการณ์ที่ได้รับ   “นักเดินทางสายลักซูรีในปัจจุบันมีความตั้งใจและจุดมุ่งหมายชัดเจนมากกว่าที่เคย” โอริออล กล่าวพร้อมเสริมว่า “พวกเขาแสวงหาการเดินทางที่สอดคล้องกับค่านิยมของตนเอง ส่งเสริมสุขภาวะ และตอบโจทย์นิยามการใช้ชีวิตของตนแบบลึกซึ้ง”   จากแนวโน้มดังกล่าว แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล มองเห็นโอกาสสำคัญในการปรับโฉมบริการระดับลักซูรี ไปสู่สิ่งที่ทรงพลังและพิถีพิถันมากขึ้นไปอีก เพื่อเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกนักเดินทางกลุ่มนี้ให้ได้มากยิ่งขึ้น   ขณะที่ การสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวมเป็นหัวใจหลักของการเดินทางสุขภาวะ (Wellbeing) ได้กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยวแบบลักชัวรี โดยในปี 2568 นักเดินทางถึง 90% ระบุว่า “ประสบการณ์ด้านการดูแลส่งเสริมสุขภาพ” เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจจองที่พัก เพิ่มขึ้นจาก 80% ในปีที่ผ่านมา   ทั้งนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวสายลักซูรี กำลังเปิดรับประสบการณ์ด้านสุขภาวะแบบองค์รวมที่มากกว่าโปรแกรมสปาแบบดั้งเดิม ตั้งแต่การบำบัดด้วยธรรมชาติ (forest immersion) โปรแกรมโภชนาการ การบำบัดด้วยเสียง (sound healing) ไปจนถึงโปรแกรมที่ช่วยเรื่องการนอนหลับ (sleep therapy)   ขณะที่ เอเชียยังคงเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งสำหรับการเดินทางเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ (wellness journey) 67% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกเดินทางมายังเอเชีย และในจำนวนนี้มีถึง 26% มีแผนจะเดินทางเพื่อเข้าร่วมโปรแกรมดูแลสุขภาพหรือสปารีทรีตโดยเฉพาะ ใช้จ่ายมากขึ้น คาดหวังมากขึ้น   นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสายลักชัวรีในปัจจุบันวางแผนการเดินทางด้วยความมั่นใจและความพิถีพิถัน โดย 72% มีแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ในปีต่อไป แนวโน้มการเติบโตนี้นำโดยนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลีย (85%) อินโดนีเซีย (81%) และสิงคโปร์ (80%) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างชัดเจนในการลงทุนเพื่อประสบการณ์ที่เหนือระดับ ในบรรดาประเภทการเดินทางทั้งหมด   สำหรับการเดินทางเป็นครอบครัวโดดเด่นที่สุดในแง่ของความเต็มใจที่จะใช้จ่าย โดย 47% ของนักเดินทางผู้มีกำลังซื้อสูงยินดีที่จะทุ่มงบประมาณมากที่สุดเมื่อต้องเดินทางร่วมกับสมาชิกในครอบครัว     แบรนด์หรูมั่นใจกว่าที่พักอิสระ   นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นในแบรนด์เพิ่มสูงขึ้น โดยแบรนด์โรงแรมหรูที่เป็นที่รู้จักได้รับความนิยมมากกว่าวิลล่าหรือที่พักอิสระ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในแง่ของมาตรฐานที่ไว้วางใจได้ ประสบการณ์ที่ได้รับการคัดสรร   ขณะที่ 93% ของนักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูงในภูมิภาคนี้ระบุว่าพวกเขาชื่นชอบการกลับไปยังจุดหมายปลายทางที่เคยประทับใจมาแล้ว ขณะที่ 89% กล่าวว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะกลับไปยังสถานที่ที่มีความผูกพันทางใจมากเป็นพิเศษ   โดย การเดินทางเหล่านี้ไม่ใช่แค่ “การกลับไปซ้ำ” แต่เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมาย นั่นคือ เพื่อสัมผัสจุดหมายปลายทางในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่น หรือย้อนรำลึกช่วงเวลาพิเศษร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง   3 ตลาดเกิดใหม่มาแรง   ในขณะเดียวกัน แม้ว่านักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูงจำนวนมากยังคงนิยมจุดหมายปลายทางที่คุ้นเคย แต่ตลาดใหม่ที่เดินทางสะดวกในระดับภูมิภาคก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บังกลาเทศ (26%) นิวซีแลนด์ (24%) กัมพูชา (23%)   ทั้งสามประเทศนี้ กำลังกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในปี 2568 โดยขยับขึ้นมาติดใน 10 อันดับจุดหมายปลายทางที่มีการวางแผนเดินทางมากที่สุด ควบคู่ไปกับจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และจีนแผ่นดินใหญ่     เดินทางที่มีจุดมุ่งหมายขยายตัว   นอกจากนี้ นักเดินทางสายลักซูรี ในปัจจุบันจองทริปน้อยลงแต่เน้นความลึกซึ้งและความรอบคอบมากขึ้น โดยระยะเวลาพักผ่อนเฉลี่ยสำหรับทริปสั้นเพิ่มขึ้นจาก 3 คืนเป็น 4 คืน และแผนการเดินทางถูกวางไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน   โดยมักวางแผนล่วงหน้าหลายเดือน สำหรับทริปที่ยาวนานขึ้น มักจองล่วงหน้า 2-3 เดือน ขณะที่ทริปสั้นจองล่วงหน้า 1-2 เดือน นักเดินทางถึง 93% คาดหวังประสบการณ์เดินทางที่ปรับแต่งให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะบุคคล และ 62% วางแผนรายละเอียดทุกขั้นตอนล่วงหน้า   ขณะที่ การได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติกลายเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง แม้ว่าการลิ้มรสอาหารจะยังคงเป็นแรงจูงใจอันดับต้น ๆ ของการเดินทาง แต่ประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติกำลังกลายเป็นเสาหลักใหม่ของการท่องเที่ยวแบบลักซูรี   ทั้งนี้ การพักผ่อนในชนบท กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น   28% ของนักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูงวางแผนจะไปพักผ่อนในพื้นที่ชนบท เพิ่มขึ้นจาก 19% ในปีที่ผ่านมา 30% กำลังจองทริปซาฟารีดูสัตว์ป่า 92% ระบุว่าการได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเป็นปัจจัยสำคัญในการเดินทาง   โดยสะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวแนวเอาท์ดอร์แบบใกล้ชิดและมีส่วนร่วมแบบแท้จริง นอกจากนี้ นักเดินทางกลุ่มนี้ยังเป็นนักวางแผนตัวยง โดยส่วนใหญ่จองทริปยาวล่วงหน้า 2 ถึง 6 เดือน และบางส่วนจองล่วงหน้านานถึง 9 ถึง 12 เดือน      แล้วเราจะไปกับใครบ้าง?   ขณะที่ นักท่องเที่ยวผู้มีความมั่งคั่งสูงกำลังมอบนิยามใหม่ให้กับการเดินทางเป็นกลุ่ม จะเห็นได้จากรูปแบบใหม่ๆ ที่ก่อตัวขึ้นมา   พ่อแม่ผู้เปิดเส้นทางแห่งการเรียนรู้ (Guardian Trailsetters) จากเดิมที่เป็นกลุ่มเฉพาะ การท่องเที่ยวของผู้ปกครองที่เดินทางกับลูกเพียงลำพังมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 24% ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี เมื่อเดินทางในฐานะผู้ปกครองเดี่ยว   กลุ่มนี้มักเลือกแผนการท่องเที่ยวที่เน้นประสบการณ์ที่เติมเต็มและมีคุณค่าให้กับลูก ๆ เช่น กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนา (41%) ทริปเพื่อการเรียนรู้ (38%) ตามด้วยซาฟารีหรือกิจกรรมผจญภัยสุดขั้ว (35% เท่ากันทั้งสองประเภท)   นักสำรวจผู้มีเป้าหมาย (Impact Explorers) นักเดินทาง Gen Z กำลังมุ่งความสนใจไปยังจุดหมายปลายทางอย่างออสเตรเลีย ศรีลังกา และไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความชื่นชอบในธรรมชาติ วัฒนธรรม และการผจญภัย แตกต่างจากภาพจำของนักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนทั่วไป คนรุ่นนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยการได้รับประสบการณ์จริงและมีจุดมุ่งหมาย   47% ให้ความสำคัญกับการใกล้ชิดธรรมชาติ 45% ต้องการได้เจอสัตว์ป่าอย่างใกล้ชิด 43% สนใจวันหยุดที่ได้ใช้เวลาไปกับการเล่นกีฬา 31% กำลังวางแผนเดินทางคนเดียว เพราะเป็นทางเลือกที่ให้อิสระเป็นตัวของตัวเองและเอื้อให้เกิดการค้นพบตัวเอง   อย่างไรก็ตาม การเดินทางเป็นกลุ่มเล็กที่มีสมาชิกไม่เกินห้าคนยังคงเป็นรูปแบบที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุดในการสำรวจโลก   นักเดินทางผู้แสวงหาโอกาสทางธุรกิจ (Venture Travelist) กลุ่ม Venture Travelist ซึ่งได้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในรายงาน New Luxe Landscapes ปี 2567 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568   โดยปัจจุบัน 86% ของนักเดินทางผู้มีความมั่งคั่งสูงระบุว่าพวกเขามักมองหาโอกาสทางธุรกิจหรือการลงทุนระหว่างการเดินทาง เพิ่มขึ้นจาก 69% ในปีที่ผ่านมา     ‘Bleisure’ เติบโตในไทย   สำหรับประเทศไทย นักเดินทางชาวไทยมีแผนจะเดินทางเพื่อพักผ่อนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค (5 ทริปในประเทศ และ 3 ทริปต่างประเทศ เทียบกับค่าเฉลี่ย 6 ทริปในประเทศ และ 4 ทริปต่างประเทศ)   ขณะที่การเดินทางประเภท “bleisure” (การเดินทางที่ผสมผสานระหว่างการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อน) กำลังได้รับความนิยมอย่างในประเทศไทย   90% เป็นการเดินทางต่างประเทศ 95% เป็นการเดินทางภายในประเทศ   ทั้งนี้การเดินทางแบบครอบครัวใหญ่ในประเทศไทยขยายตัวต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วน 40% ซึ่งมากกว่าตลาดเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ   โดยรูปแบบวันหยุดที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและบันเทิง 36% การพักผ่อนในชนบท 32% การลาพักระยะยาว (sabbatical) 32%   รวมไปถึงรูปแบบที่โดดเด่นอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาค เช่น การท่องเที่ยวในเมืองระยะสั้นและการพักผ่อนวันหยุดริมชายหาด   ปลายทางนอกกระแสมาแรง   แม้การท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง จุดหมายปลายทางต่างประเทศที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง, จีน โดยบังกลาเทศและบรูไนกำลังขึ้นสู่ท็อป 5 ของจุดหมายปลายทางในแผนการเดินทางในปีหน้า   โดยสะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นใน ‘สถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนไปหรือไม่ได้อยู่ในเส้นทางท่องเที่ยวหลัก’ (off-the-beaten-path) ยังคงติดอันดับจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากนักท่องเที่ยวชาวไทยผู้มีความมั่งคั่งสูง   ขณะที่ นักท่องเที่ยวชาวไทยสายลักซูรี คาดหวังประสบการณ์ที่ได้รับการออกแบบเฉพาะ   97% ต้องการให้ทุกรายละเอียดของทริปถูกปรับให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของตนเอง 60% ชื่นชอบโรงแรมลักชัวรีขนาดใหญ่มากกว่า 41% สนุกกับการวางแผนทริปด้วยตนเอง และต่างคาดหวังประสบการณ์ที่ออกแบบมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ การรับประทานอาหารถือเป็นความสำคัญอันดับต้น 60% มองว่าไฟน์ไดนิ่งคือคืนในอุดมคติ 39% ยินดีจ่ายให้กับร้านอาหารระดับมิชลิน รีวิวดี ๆ 57% รางวัลและประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟ (อย่างละ 51%) คือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากที่สุด   สุขภาพควบคู่ความยั่งยืน   สิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ของนักท่องเที่ยวชาวไทย คือ สุขภาพและความยั่งยืน   98% คาดหวังจะได้สัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารที่หลากหลาย 97% สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพแบบครบวงจร 97% แนวทางการดำเนินงานที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในโรงแรมระดับลักชักรี 96% สระว่ายน้ำและโปรแกรมช่วยให้นอนหลับสบาย ซึ่งถือเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีคุณค่ามากที่สุด 62% มีแนวโน้มจะจองบริการสปาในทริปของตน   อ่าน รายงานฉบับเต็ม   สำหรับผลสรุปข้างต้นมาจากรายงานการวิจัยโดย ลักชัวรี กรุ๊ปโดย แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล จัดทำระหว่างวันที่ 14 มีนาคม ถึง 17 เมษายน 2568 กับกลุ่มนักเดินทางประเทศนานาชาติที่เดินทางบ่อย และเน้นการเดินทางเพื่อพักผ่อนเป็นหลัก การศึกษานี้มุ่งเน้นกลุ่มประชากรที่มั่งคั่งสูง 10% ในประเทศออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศไทย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามในแต่ละตลาดจำนวน 250 คน     Alternate-X สรุปให้ แมริออทฯ เผยรายงาน ‘The Intentional Traveler’ ชี้เทรนด์การท่องเที่ยวลักซูรียุคใหม่ในเอเชียแปซิฟิก โดยไทยติดโผ 1 ใน 7 จุดหมายปลายทางหรูที่นักเดินทางมีกำลังซื้อสูงนิยม โดยนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับสุขภาวะ ความยั่งยืน และประสบการณ์เฉพาะบุคคล แม้จะเดินทางน้อยลงแต่ใช้จ่ายมากขึ้น พร้อมวางแผนอย่างละเอียดล่วงหน้า อินไซต์ด้านสุขภาพ อาหาร และธรรมชาติกลายเป็นหัวใจหลักของการท่องเที่ยวลักซูรี

July 2, 2025 / 0 Comments
read more

เที่ยวไทยร่วมตลาดทุน จับคู่เอกชน-ชุมชนท้องถิ่น นำร่อง 5 จังหวัดแหล่งเที่ยวยั่งยืน

BizKet,  EcoVative,  Peace&Play

ททท. ร่วมตลาดหลักทรัพย์ ทำโครงการ Village to the World #SustainableAgenda นำร่องก่อน 5 จังหวัดชุมชนท่องเที่ยวไทย กลยุทธ์ภาคธุรกิจไทยใช้วัดผล ESG   ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบในโครงการ ‘Village to the World’  ภายใต้แนวคิด “ESG Partnership for Impact” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ภาคการท่องเที่ยวและภาคตลาดทุนมาร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างอย่างจริงจัง เพื่อสร้างกลไกการลงทุนที่มีผลตอบแทนทั้งในเชิงธุรกิจและเชิงสังคม   โดย เชื่อมั่นว่าการท่องเที่ยวชุมชนที่สร้างความหมายผ่านการพักผ่อนและทำกิจกรรมอันทรงคุณค่าร่วมกัน จะยกระดับจากกิจกรรม CSR กลายเป็นพลังขับเคลื่อนความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ช่วยกระจายรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต และเชื่อมโยงภาคธุรกิจกับสังคมไทยอย่างมีคุณภาพ   “เรากำลังยกระดับชุมชน จากปลายทางของนักท่องเที่ยว สู่เวทีของ ESG ที่มีชีวิต ซึ่งเป็นพื้นที่จริงที่ภาคธุรกิจสามารถลงมือทำ สร้างผลลัพธ์ และเติบโตไปพร้อมกับผู้คนในท้องถิ่น ซึ่งชุมชนไม่ใช่แค่แหล่งท่องเที่ยว แต่คือจุดเริ่มต้นของโอกาสใหม่ ที่ธุรกิจ วัฒนธรรม และความยั่งยืนเดินไปด้วยกันได้จริง” ฐาปนีย์ กล่าว     ด้าน ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร ตัวแทนผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “โครงการนี้ถือเป็น ‘ก้าวแรก’ ของการเชื่อมโยงภาคตลาดทุนเข้ากับการพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง และยังเป็นความร่วมมือรูปธรรม ระหว่างภาคท่องเที่ยว ตลาดทุน และชุมชน ภายใต้เป้าหมายสำคัญในการเปลี่ยนบทบาทของชุมชนจาก ‘ผู้ให้บริการ’ สู่ ‘พาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์’ ของภาคธุรกิจ โดยนำกรอบ ESG มาใช้พัฒนาโมเดลความร่วมมือแบบ Win–Win ที่สร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง   โดยโครงการฯ จะเป็นศูนย์กลางในประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น โดยจับคู่ “บริษัทจดทะเบียน – ชุมชน” อย่างมีเป้าหมายภายใต้กรอบ ESG เพื่อร่วมพัฒนาและขับเคลื่อนพื้นที่นำร่องใน 5 จังหวัด ดังนี้   กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ร่วมพัฒนาชุมชน ท่ามะโอ และ ปงสนุก จ.ลำปาง เพื่อออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวโดยชุมชน พร้อมส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลวัฒนธรรมตามแนวทาง UNESCO Culture | 2030 Indicators บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) และ โรงแรม MELIÁ Hotels & Resorts Pattayaร่วมกับ วิสาหกิจชุมชนเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ รักษ์ทะเลเสน่ห์บ้านอำเภอ จ.ชลบุรี โดยเน้นการพัฒนาการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมเชิงสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ร่วมพัฒนาชุมชน แม่สูนน้อย และ ดอยเวียง จ.เชียงใหม่ เสริมสร้างทักษะดิจิทัลเพื่อการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว และความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) โดย Yournique พัฒนาชุมชนป่าแลวหลวง จ.น่าน ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ต้นน้ำ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) จับมือกับชุมชนท่องเที่ยว บ้านมุงเหนือ จ.พิษณุโลก มุ่งพัฒนาแนวทางการยกระดับผลิตภัณฑ์เกษตร บริการท่องเที่ยว และมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว   สำหรับโครงการฯนี้ เป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้แก่ภาคเอกชน สะท้อนศักยภาพประเทศไทยด้านตลาดการท่องเที่ยวยั่งยืนโดยชุมชนที่รอการลงทุนทางสังคมจากบริษัทต่างๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนร่วมกันตลอดห่วงโซ่คุณค่า และตอบสนองความต้องการของนักลงทุนระดับสากลที่มุ่งเน้นการลงทุนอย่างรับผิดชอบ   โดยบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกับชุมชนสามารถนำผลการดำเนินงานที่วัดผลได้จริงจากการสร้างผลกระทบทางบวกไปเปิดเผยเป็นผลการดำเนินการของการขับเคลื่อนความยั่งยืนที่สอดคล้องกับประเด็นสาระสำคัญของแต่ละบริษัทฯ     นอกจากการจับมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาชุมชนในระดับพื้นที่แล้ว โครงการฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรด้านการตลาดและแพลตฟอร์มท่องเที่ยวชั้นนำ ที่พร้อมร่วมกันผลักดันให้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืนและเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้อย่างเป็นรูปธรรมระหว่างเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 นี้ ได้แก่   Eventpass จัดอินฟลูเอนเซอร์ลงพื้นที่ทั้ง 7 ชุมชนกว่า 10 ราย และเตรียมกิจกรรมพร้อมของรางวัลมามายให้ร่วมสนุกผ่าน Facebook Fanpage แพลตฟอร์ม Gother ร่วมจัดโปรโมชั่นพิเศษ “เที่ยวสนุก ลดจริง” สำหรับทุกการเดินทางใน 5 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง, พิษณุโลก, น่าน, เชียงใหม่ และชลบุรี รับส่วนลดเที่ยวบินและรถเช่า สูงสุด 10% รับส่วนลดโรงแรม ที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยว สูงสุด 15% AirAsia เตรียมออกตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษสำหรับเส้นทางไปยัง พิษณุโลก, น่าน, เชียงใหม่ และลำปาง เพื่อชวนทุกคนบินลัดฟ้าไปสัมผัสเสน่ห์ของชุมชนได้อย่าง “สบายใจ ราคาจับต้องได้” ช่องทางการจองแพ็กเกจท่องเที่ยวชุมชน ไม่ว่าจะเป็น Local Alike, Yournique, SiamRise, Friday Trip และ Guide Guru ทุกการจองผ่านแพลตฟอร์ม/ช่องทางเหล่านี้ รับส่วนลดทันที สูงสุด 20%     Alternate-X สรุปให้ ททท. ร่วมมือเชิงกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโครงการ ‘Village to the World’ นำ ESG ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวยั่งยืน จับคู่บริษัทจดทะเบียนกับชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบใน 5 จังหวัด เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับตลาดทุนเพื่อสร้างผลลัพธ์เชิงธุรกิจและสังคม พัฒนาโมเดลความร่วมมือแบบ Win–Win ที่วัดผลได้จริง ดึงพันธมิตรแพลตฟอร์ม-สายการบิน หนุนชุมชนเข้าถึงนักท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม    

July 2, 2025 / 0 Comments
read more

วัตสัน ยกระดับสิทธิประโยชน์สุดคุ้มในรอบปี เอาใจสมาชิกวัตสัน คลับ ผ่าน ‘Club of More’

PRnounce

วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย เดินหน้ายกระดับประสบการณ์การชอปปิงที่ ‘มากกว่า’ สำหรับสมาชิกวัตสัน คลับอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “Club of More” ชูจุดเด่น “เป็นสมาชิกวัตสัน คลับ มีแต่ได้กับได้!” สะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ที่เข้าใจทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ทั้งความคุ้มค่า สะดวก ครบครัน และความสนุกที่สามารถเข้าถึงได้ทุกวัน ผ่านทั้งหน้าร้านและวัตสันออนไลน์   จากผลสำรวจจากสมาชิกวัตสันคลับกว่า 4,000 คน* ทั่วประเทศไทย พบว่าลูกค้าในยุคปัจจุบันมองหาประสบการณ์การชอปปิงที่คุ้มค่า และตอบโจทย์ชีวิตในทุกด้าน ทั้งส่วนลด คะแนนสะสม และสิทธิประโยชน์พิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟต่าง ๆ ดังนั้นสมาชิกวัตสัน คลับ ภายใต้แนวคิด “Club of More” จึงถูกออกแบบมา เพื่อส่งเสริมประสบการณ์เชิงบวกที่นอกเหนือสินค้าและบริการ ด้วย 3 สิทธิหลัก   More Savings ชอปคุ้มยิ่งกว่าเฉพาะสมาชิกลด 50% ด้วยสินค้าที่ครอบคุลมสุขภาพ และความงามกว่า 1,500 รายการ และ Everyday Club Price ชอปได้ทุกวันการันตีที่มาเมื่อไหร่ก็ราคาเดิมทุกวันกว่า 100 รายการ More Exclusive สิทธิประโยชน์และดีลส่วนลดหลากหลายจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำกว่า 20 แบรนด์ ครอบคลุมสินค้าทั้งหมวดสุขภาพ ความงามและไลฟ์สไตล์ เพียงแลกคะแนนผ่าน Club Reward เริ่มต้นที่ 10 คะแนน ก็สามารถรับดีลส่วนลดได้เลย พร้อมทั้งเอาใจสายท่องเที่ยว Asian One Pass เที่ยวอยู่ก็ชอปได้ เมื่อเดินทางและแสดงบัตรสมาชิกวัตสัน คลับ ผ่านแอพวัตสัน เพื่อสะสมคะแนน และใช้สิทธิประโยชน์อื่น ๆ ใช้ได้กับร้านวัตสันทั่วเอเชีย (ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ไตหวัน, อินโดนีเซีย, จีน, ฮ่องกง, ตุรกี และฟิลิปปินส์) More Experience มอบประสบการณ์ที่มากกว่าการชอปปิง ด้วยกิจกรรมเวิร์กชอปสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบเฉพาะสำหรับสมาชิกวัตสัน คลับ เท่านั้น   อิศราวดี มีป้อม Customer Controller วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “วัตสันมุ่งพัฒนา การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้เป็นมากกว่า Loyalty Program โดยออกแบบแต่ละสิทธิประโยชน์บนพื้นฐานของความเข้าใจลูกค้า ทั้งความคุ้มค่า การใช้งานสะดวก หรือความพิเศษที่สมาชิกจะได้รับ พร้อมยกระดับประสบการณ์การชอปปิงที่มากกว่า เพื่อให้มั่นใจว่าสมาชิกทุกคนจะได้รับการบริการหรือสินค้าที่ตรงใจมากที่สุด ซึ่งเราเชื่อว่าวัตสัน คลับ จะช่วยให้ทุกการชอปปิงของสมาชิกกับวัตสันเต็มไปด้วยคุณค่าและรอยยิ้มอย่างแท้จริง”   วัตสัน ยังคงเดินหน้ามอบความพิเศษที่มากกว่าผ่าน Watsons Club – Club of More ให้สมาชิกเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มค่าได้แล้วตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 68  ไปจนถึง 23 กรกฎาคม 2568 นี้! ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศและวัตสันออนไลน์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store  

July 2, 2025 / 0 Comments
read more

‘กระทิงแดง’ สู่ยุคใหม่ เลือก ‘แบมแบม-โจอี้ ภูวศิษฐ์’ พรีเซ็นเตอร์คู่เข้าถึงกลุ่ม นิว เจนฯ   

BizKet

‘กระทิงแดง’ แบรนด์เครื่องดื่มให้พลังงานที่มีอายุร่วม 48 ปีไม่ขอแก่แต่จะไปหากลุ่มคนรุ่นใหม่หลังได้ ‘แบมแบม–กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ และ ‘โจอี้–ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ’ 2 ร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์คู่ เครื่องมือสื่อสารแบรนด์   วรวุฒิ พงศ์ชินภัค ประธานผู้บริหารสายงานขายและการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP รายใหญ่ระดับสากล เปิดเผยว่า บริษัทวางกลยุทธ์การทำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้พลังงาน ‘กระทิงแดง’ ในปี 2568 ในแคมเปญ ‘กระทิงแดง เป้าหมายถึงไว พลังใจไม่มีท้อ’ ด้วยแนวคิด ‘Recharge’ เติมพลังกายเพิ่มพลังใจที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน   พร้อมกันนี้ ‘กระทิงแดง’ ยังร่วมงานกับพรีเซนเตอร์คู่ใหม่ ‘แบมแบม–กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ ศิลปินเคป๊อประดับโลก และ ‘โจอี้–ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ’ ศิลปินขวัญใจมหาชน พร้อมเปิดตัวหนังโฆษณาตัวใหม่พร้อมเพลงพิเศษ ‘วัดใจ’ มาสร้างแรงบันดาลใจในทุกเส้นทางความฝัน และเติมพลังใจทุกก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้ทุกคนไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้   “กระทิงแดงยังปรับภาพลักษณ์ให้แบรนด์ทันสมัยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย  จากรุ่นสู่รุ่น และสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคทั่วประเทศ พร้อมทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น”  วรวุฒิ กล่าวพร้อมเสริมว่า   สำหรับ แคมเปญฯ นี้ยังเป็นกลยุทธ์หลักเพื่อขับเคลื่อนแบรนด์กระทิงแดงสู่ยุคใหม่ ผ่านสองศิลปินต่างแนวดนตรีอย่างแบมแบมและโจอี้ ซึ่งทั้งคู่ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังใจที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ จะเป็นตัวแทนของ ‘กระทิงคู่’ ที่สะท้อนจิตวิญญาณและความเชื่อมั่นในพลังของตนเอง ซึ่งเป็นหัวใจของแบรนด์กระทิงแดงมาตลอด พร้อมแผนทำนกิจกรรมการตลาดเพื่อเพิ่มพลังใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง   “เราตั้งเป้าหมายที่จะขยายฐานผู้บริโภคสู่กลุ่มเจเนอเรชันใหม่ โดยเฉพาะช่วงอายุ 18-35 ปี และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้เติบโต” วรวุฒิ ย้ำ   พร้อมเสริมว่า การเลือกพรีเซนเตอร์ ‘แบมแบม กันต์พิมุกต์’ ศิลปินเคป๊อปสัญชาติไทยที่สร้างชื่อเสียงและปรากฏการณ์ระดับโลก และ ‘โจอี้ ภูวศิษฐ์’ ศิลปินเจ้าของเพลงฮิตระดับ 500 ล้านวิว มาเป็นตัวแทนของความเป็นไทยที่เข้าถึงง่าย   นอกจากนี้ ยังเป็นการผสานพลังในสองขั้วดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มาร่วมยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์กระทิงแดงให้มีความเป็นสากล แต่ยังช่วยเข้าถึงฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ของศิลปินทั้งสองได้อย่างกว้างขวาง เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของกระทิงแดงเพื่อขับเคลื่อนแบรนด์สู่ยุคใหม่   วรวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ ‘Recharge’ ยังตอบโจทย์ความต้องการเชิงลึก ลูกค้าด้วยแนวคิด Customer-First การนำเสนอแนวคิดใหม่จากมุมมองของลูกค้าเป็นอันดับแรกในปัจจุบัน ที่ผบว่าผู้บริโภคไม่ได้มองหาเพียงแค่เครื่องดื่มให้พลังงานที่กระตุ้นทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการเติมเต็มพลังใจ   โดยกระทิงแดงนำมาถ่ายทอดผ่านเรื่องราวความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคของพรีเซนเตอร์ทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้ที่มี Brand Love ต่อกระทิงแดงมาโดยตลอด และได้กระทิงแดงช่วยปลุกพลังให้พร้อมสู้ทุกอุปสรรคจนกลายเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ ภายใต้สโลแกนหลักงแบรนด์ ‘เป้าหมายถึงไว พลังใจไม่มีท้อ’   นอกจากนี้ กระทิงแดงยังปรับโฉมใหม่ผลิตภัณฑ์โฉมใหม่พร้อมฉลากดีไซน์ใหม่ทันสมัย และเน้นจุดเด่นสำคัญ คือ ‘ได้ปริมาณทอรีนที่เพิ่มขึ้น’ ใน 4 สูตร   กระทิงแดง คลาสสิค สูตรใหม่ เครื่องดื่มให้พลังงานผสมวิตามินบี 12 สูง และวิตามินบี 6 ได้ปริมาณทอรีน 1,000 มก. กระทิงแดง เอ็กซ์ตร้า เอบีซี (ฝาแดง): เครื่องดื่มให้พลังงานผสมวิตามินเอสูง มีวิตามินซีและวิตามินบี 12 สูง มีปริมาณทอรีน 800 มก. กระทิงแดง เอ็กซ์ตร้า ซิงค์ (ฝาดำ): เครื่องดื่มให้พลังงานผสมซิงค์สูง มีวิตามินบี 12 สูง มีทอรีน 800 มก. ทีโอเปล็กซ์ – แอล : เครื่องดื่มให้พลังงานรุ่นแรกของกระทิงแดง มีวิตามินบี 6 มีทอรีน 850 มก.   สำหรับปีนี้ บริษัทวางเป้าหมายยอดขายของกระทิงแดงจะเติบโตที่ 5% ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน           เติมพลังเส้นทางเคป๊อป   แบมแบม กันต์พิมุกต์ กล่าวว่า การร่วมงานกับแบรนด์กระทิงแดง ด้วยเป็นเครื่องดื่มที่ผมดื่มอยู่แล้ว และมักจะนึกถึงเวลาที่ต้องการเติมพลัง ไม่ว่าจะก่อนขึ้นเวทีหรือตอนโฟกัสกับงานและยังเป็นการทำงารร่วมกันป็นครั้งที่สอง จากก่อนหน้าร่วมกับ ‘เรดบูล ประเทศไทย’ ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา   “กระทิงแดงไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นแบรนด์ที่ส่งต่อพลังใจให้คนกล้าสู้เพื่อความฝัน ผมเองก็เชื่อเสมอว่า ถ้าเรามีเป้าหมาย เราต้องลุยให้สุด และไม่ท้อแม้จะเจอความยากแค่ไหน หวังว่าแคมเปญนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ทุกคนกล้าเดินตามฝันของตัวเองนะครับ”     เบื้องหลังเวทีความสำเร็จ   โจอี้ ภูวศิษฐ์ เผยว่า กระทิงแดงเป็นแบรนด์ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่ก่อนประกวด ในช่วงเวลาต้องการเติมพลังจากการซ้อมดนตรีหรือขึ้นเวทีแสดง ซึ่งมักจะเลือกดื่มกระทิงแดง และการได้มาร่วมแคมเปญครั้งนี้กับแบมแบมเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก เพราะเราทั้งคู่ต่างมีเส้นทางชีวิตที่ต้องฝ่าฟันกันมาเหมือนกัน และเข้าใจดีว่าความสำเร็จไม่มีทางลัด มันต้องใช้พลังใจล้วน ๆ   “เพลงวัดใจ ที่เราร่วมกันทำ ไม่ได้เป็นแค่เพลง แต่เป็นข้อความที่อยากส่งให้กับทุกคนที่กำลังลังเลหรือท้อแท้ว่า ถ้าเรากล้าพอที่จะวัดใจ เราก็จะถึงเป้าหมายได้แน่นอนครับ”   ติดตามกิจกรรมและแคมเปญเพิ่มพลังใจจากกระทิงแดง และสามารถฟังและชมภาพยนตร์โฆษณา และมิวสิกวิดีโอเพลง “วัดใจ” ได้ทางโซเชียลมีเดียของกระทิงแดง ที่ Facebook: Kratingdaeng และ YouTube: Kratingdaeng Thailand     Alternate-X สรุปให้ กระทิงแดง’ เดินหน้าปรับภาพลักษณ์แบรนด์อายุ 48 ปีให้ทันสมัย ดึง ‘แบมแบม–โจอี้ ภูวศิษฐ์’ ร่วมพรีเซ็นเตอร์คู่ สื่อสารแคมเปญ ‘Recharge พลังใจไม่มีท้อ’ ชูจุดยืนใหม่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ 18–35 ปี ด้วยพลังใจควบคู่พลังกาย เสริมแคมเปญด้วยเพลง–โฆษณาใหม่ใช้สื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายนิวเจนฯ ตั้งเป้าเติบโต 5% ปีนี้ พร้อมขยายฐานแฟนทั่วประเทศผ่านกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง

July 2, 2025 / 0 Comments
read more

แสนสิริ ปลุกแรงซื้อQ3 ปรับกลยุทธ์ตลาดตรงจังหวะ จัดโปรแรงทุกกลุ่ม 110 โครงการฯ

BizKet

แสนสิริ ปรับกลยุทธ์แรงจัดโปรคลุมทุกเซ็กเมนต์คอนโด-บ้าน-ทาวน์โฮมตั้งแต่ 7แสน-40 ล้าน ดึงแรงซื้อที่ยังมีจากมาตรการรัฐปลดล็อก LTV-ลดค่าโอน-ค่าจดจำนอง 0.01%   บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กับแนวทางการทำตลาดโปรดักส์ที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยในไตรมาส3 ปีนี้ บริษัทปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้โปรโมชันแรง ‘ได้ทุกอย่าง ! สูงสุด 36 เดือน* ฟรี! กิน – อยู่ – ผ่อน พร้อมส่วนลดสูงสุด 5 ลบ.*   ทั้งนี้ แสนสิริ นำโครงการพร้อมอยู่ ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮมรวม 110 โครงการ บนทำเลศักยภาพทั้งกรุงเทพ และต่างจังหวัด ด้วยข้อเสนอพิเศษเริ่ม 7 แสน – 40 ล้านบาท   โดยแบ่งเป็นกลุ่มบ้านและทาวน์โฮม 73 โครงการ ในส่วนและคอนโดมิเนียม 37 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการได้พัฒนาคุณภาพโปรดักส์และบริการภายใต้ 4 แกนสำคัญที่มุ่งการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคนหรือ Every day…Life is good ทุกวัน ชีวิตดี ทั้งด้าน ไทม์เลสดีไซน์, คุณภาพและบริการอย่างไม่มีวันสิ้นสุด คอมมูนิตี้การอยู่อาศัยที่ดี และมุ่งสร้างความยั่งยืน   สำหรับแคมเปญฯ ได้ทุกอย่าง ! สูงสุด 36 เดือน* ฟรี! กิน – อยู่ – ผ่อน และยังเป็นโปรโมชันแรงที่สุดของแสนสิริในรอบปี ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินของผู้ซื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าที่สุด       ลดหนักบ้านเดี่ยว   ขณะที่ ไฮไลต์พิเศษกลุ่มแนวราบ บ้านและทาวน์โฮมพร้อมอยู่ ส่วนลดสูงสุด 5 ล้าน* ฟรี! กิน – อยู่ – ผ่อน อาทิ   เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ – สาย 1 (Setthasiri Ratchapruek Sai-1) บ้านเดี่ยวดีไซน์ Berlin ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ บนทำเลราชพฤกษ์ตอนต้น ใกล้ CBD เข้าเมืองสะดวก และส่วนกลางครบ พร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ รับส่วนลดสูงสุด 5 ล้านบาท* ผ่อนให้สูงสุด 36 เดือน* ราคาเริ่มต้น 25 – 45 ล้านบาท* เศรษฐสิริ เสรีไทย (Setthasiri Serithai) บ้านเดี่ยวดีไซน์ Modern Classic สง่างามเหนือกาลเวลาบนทำเลชั้นนำ ใกล้แฟชั่น ไอส์แลนด์ และรถไฟฟ้าสีชมพู รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท* ผ่อนให้สูงสุด 36 เดือน* ราคาเริ่มต้น 13.9 – 25 ล้านบาท* สราญสิริ ศรีนครินทร์ – แพรกษา (Saransiri Srinakarin – Phraeksa) บ้านเดี่ยวพรีเมียมสไตล์ Modern Farmhouse โดดเด่นในทำเลใกล้รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว แพรกษา เพียง 2.3 กม. รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท* ผ่อนให้สูงสุด 36 เดือน* ราคาเริ่มต้น 7.99 – 12 ล้านบาท* อณาสิริ ปิ่นเกล้า – กาญจนา ฯ (Anasiri Pinklao – Kanchana) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด บนทำเลบางใหญ่สไตล์ Modern Barn House ใกล้ทางคู่ขนานบรมราชชนนี รถไฟฟ้า และทางด่วนศรีรัช* รับส่วนลดสูงสุด 5 แสนบาท* ผ่อนให้สูงสุด 12 เดือน* ราคาเริ่มต้น 5.29 -10 ล้านบาท* สิริ เพลส วงแหวน – ลำลูกกา (Siri Place Wongwaen – Lamlukka) ทาวน์โฮมดีไซน์ญี่ปุ่น บนทำเลวงแหวน-ลำลูกกา ครบทุกศักยภาพเพื่อการเดินทาง รับส่วนลดสูงสุด 5 แสนบาท* ผ่อนให้สูงสุด 12 เดือน* ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท*     ปลุกแรงซื้อคอนโด   กลุ่ม คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ และกำลังก่อสร้างส่วนลดสูงสุด 4 ล้าน* พร้อมอยู่ฟรี – หยุดผ่อน อาทิ   เดอะ ไลน์ ไวบ์ (THE LINE Vibe) คอนโดมิเนียมตรงข้ามเซ็นทรัลลาดพร้าว ใกล้ BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว เพียง 300 เมตร อยู่ฟรีสูงสุด 1 ปี* ฟรีโอนและส่วนกลาง 1 ปี * ราคาเริ่มต้น 3.89 ล้าน* เอ็กซ์ที พญาไท (XT Phayathai) คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ใจกลางเมือง 650 เมตรจาก BTS สถานีพญาไท เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี* ฟรีโอนและส่วนกลาง 1 ปี* ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้าน* เนีย บาย แสนสิริ (NIA by Sansiri) คอนโดมิเนียมบนทำเลสุขุมวิท 71 ที่อยู่ใกล้ทั้งทางด่วน รถไฟฟ้า สถานที่สำคัญ และย่านไลฟ์สไตล์ชั้นนำมากมาย อยู่ฟรีสูงสุด 2 ปี* แต่งครบ ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี* ราคาเริ่มต้น 3.49 ล้าน* แคนวาส เชิงทะเล (CANVAS Cherngtalay) คอนโดตากอากาศ รีสอร์ทสไตล์ ใกล้ Boat Avenue Park & Playground ที่อยู่ห่างแค่ถนนกั้น รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หยุดผ่อนสูงสุด 6 เดือน* แต่งครบ ดูแลปล่อยเช่าฟรี 1 ปี* ราคาเริ่มต้น 8.9 ล้าน* เวย์ อมตะ (Vay Amata) คอนโดมิเนียมแต่งครบพร้อมอยู่ ติดนิคมอมตะ ชลบุรี พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ฟรีสูงสุด 1 ปี* ฟรีเฟอร์ฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า และค่าส่วนกลาง 3 ปี* ราคาเริ่มต้น 999,000 บาท*   สำหรับแคมเปญการตลาด “ได้ทุกอย่าง !” สูงสุด 36 เดือน* ฟรี! กิน-อยู่-ผ่อน เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค. – 31 ส.ค 2568 และคาดว่าจะได้การตอบรับอย่างดีในช่วงจังหวะที่เหมาะสมจากแรงจูงใจผู้ต้องการที่อยู่อาศัย ภายใต้มาตรการรัฐบาลกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการปลดล็อก LTV, การลดค่าโอน-ค่าจดจำนองเหลือเพียง 0.01% (จากเดิม 2%) รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับที่เข้าถึงได้   โดยแคมเปญฯ สำหรับลูกค้าที่จองและทำสัญญา ภายในวันที่ 1 ก.ค. 2568 – 31 ส.ค 2568 และโอนกรรมสิทธิ์ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาจะซื้อจะขาย เฉพาะโครงการ/ยูนิตที่ร่วมรายการ) Alternate-X   แสนสิริเปิดแคมเปญใหญ่ “ได้ทุกอย่าง!” จัดโปรแรงครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ที่อยู่อาศัย ดึง 110 โครงการพร้อมอยู่ทั่วประเทศ ทั้งบ้าน คอนโด ทาวน์โฮม ราคาเริ่ม 7 แสน – 40 ล้าน ฟรี! กิน-อยู่-ผ่อน สูงสุด 36 เดือน พร้อมส่วนลดสูงสุด 5 ล้านบาท กระตุ้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง รับอานิสงส์มาตรการรัฐ ลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% ปรับกลยุทธ์ตรงจังหวะ ดันแบรนด์เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มโอกาสปิดการขาย

July 2, 2025 / 0 Comments
read more

ไทยบนแผนที่การเงินโลก เจ้าภาพ IMF-WBG 2026 บทบาทในเศรษฐกิจอาเซียน

BizKet

จากเหรียญพดด้วงสู่เวทีการเงินโลก ถอดรหัสความสำคัญ  IMF-WBG Annual Meetings 2026 และประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ   ในปี 2569 ที่จะมาถึง สายตาของประชาคมโลกจะจับจ้องมายังประเทศไทยอีกครั้ง เมื่อประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group – WBG) หรือที่รู้จักกันในชื่อ IMF-WBG Annual Meetings 2026 ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองในรอบ 35 ปีที่ไทยได้รับความไว้วางใจให้เป็นศูนย์กลางของการหารือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับโลก หลังจากเคยเป็นเจ้าภาพมาแล้วในปี พ.ศ. 2534 การกลับมาครั้งนี้จึงนับเป็นการตอกย้ำศักยภาพ ความพร้อม และบทบาทสำคัญของประเทศไทยบนเวทีโลก   IMF และ WBG คืออะไร ทำไมการประชุมนี้จึงมีความสำคัญ   ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ มาทำความรู้จักกับสององค์กรยักษ์ใหญ่ระดับโลกนี้กันก่อน เริ่มจาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2537 มีภารกิจหลักในการส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงินของโลก สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านการให้คำปรึกษาทางการเงิน การสนับสนุนด้านนโยบาย และการฝึกอบรม   ขณะที่ กลุ่มธนาคารโลก (WBG) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกัน มีพันธกิจหลักในการลดความยากจนและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยให้การสนับสนุนทางการเงิน โครงการพัฒนา และแบ่งปันองค์ความรู้ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน หรือสิ่งแวดล้อม   การประชุมประจำปีของทั้งสององค์กรนี้ จึงเป็นเวทีสำคัญที่ผู้นำด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการพัฒนาจากกว่า 191 ประเทศทั่วโลก จะมารวมตัวกันเพื่อหารือประเด็นสำคัญและเร่งด่วนของเศรษฐกิจโลก ตั้งแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการเงิน ไปจนถึงการลดความยากจนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน   ทำไมต้องเป็นประเทศไทย?   การที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพ IMF-WBG Annual Meetings 2026 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 18 ตุลาคม พ.ศ. 2569 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศ:   ศักยภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน: ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความมั่นคงทางการเงินและนโยบายที่เปิดกว้างต่อการลงทุน ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน: ระบบการเดินทางคมนาคมที่ทันสมัย โรงแรมที่พักระดับมาตรฐาน และที่สำคัญคือ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประชุมที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสำคัญอย่าง APEC 2022 มาแล้ว ประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ: การเคยเป็นเจ้าภาพในปี 2534 แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และความสามารถในการจัดการประชุมระดับนานาชาติขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น   โอกาสทองของคนไทยทุกภาคส่วน   การเป็นเจ้าภาพ IMF-WBG Annual Meetings 2026 ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งเชิดหน้าชูตาให้กับประเทศ แต่คือ “โอกาสทอง” ที่จะสร้างผลเชิงบวกในหลากหลายมิติ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น   ยกระดับภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น: การเป็นเจ้าภาพงานระดับโลกเช่นนี้ เป็นการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการพัฒนา ตอกย้ำความพร้อมและความสามารถในการเป็นศูนย์กลางการประชุมและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น: คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 15,000 – 18,000 คน จาก 191 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจะก่อให้เกิดการใช้จ่ายทั้งในภาคการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และธุรกิจบริการอื่น ๆ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและสร้างความร่วมมือ: เวทีนี้เปิดโอกาสให้ประเทศไทยได้พบปะกับนักลงทุน ผู้กำหนดนโยบาย และผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก นำไปสู่การเจรจาทางการค้า การลงทุน และการสร้างความร่วมมือใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว เผยแพร่ Soft Power ไทยสู่สายตาโลก: นี่คือโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้นำเสนอเอกลักษณ์และความงดงามของวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะการแสดง อาหารไทยขึ้นชื่ออย่างแกงมัสมั่น (ที่ CNN Travel ยกให้เป็นอันดับ 1 ของโลก) ผ้าไทยอันวิจิตร และศิลปวัฒนธรรมไทยซึ่งจะเป็นการนำเสนอ Soft Power ที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนไทยมากขึ้นในอนาคต   โลโก้การประชุม สัญญะแห่งความเป็นไทยบนเวทีโลก   หนึ่งในความภาคภูมิใจของการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้คือ โลโก้การประชุม IMF-WBG Annual Meetings 2026 ที่ออกแบบโดยคนไทย โดยนำลวดลายไทยอันเป็นเอกลักษณ์ที่ปรากฏบน เหรียญพดด้วง มาลดทอนรายละเอียดให้มีความทันสมัยและจดจำง่าย   โลโก้นี้ผสมผสานสัญลักษณ์สำคัญอย่าง ลายประจำยาม ซึ่งเป็นลวดลายมงคลที่พบในงานศิลปะไทย สื่อถึงการปกป้องคุ้มครองและความงดงามทางวัฒนธรรม ลายพระแสงจักร อันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและความมั่นคง เชื่อมโยงกับตราประจำแผ่นดินไทยและเหรียญโบราณ สะท้อนบทบาทของไทยในฐานะเจ้าภาพระดับโลก และการออกแบบตัวอักษร “THAILAND” ที่นำ ICON ลายไทยมาตกแต่งตัวอักษร “I” อย่างมีเอกลักษณ์ แสดงถึงความทันสมัยและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย พร้อมสื่อถึงการเปิดรับความร่วมมือระดับนานาชาติ   การออกแบบที่ผสานความดั้งเดิมเข้ากับความร่วมสมัยนี้ เป็นการประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรมอันแข็งแกร่งของไทย ควบคู่ไปกับการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง   เบื้องหลังงานกราฟิก: สานสัมพันธ์ สื่อวัฒนธรรมไทย   งานกราฟิกที่ใช้ในการจัดงานครั้งนี้ ถือกำเนิดจากแนวคิดหลัก 4 ประการ ได้แก่ งานเฉลิมฉลอง (festive), ความน่าเชื่อถือ (reliable), ความสัมพันธ์ (relationship) และ วัฒนธรรม (cultural) เมื่อนำแนวคิดเหล่านี้มาผสมผสานและตีความให้เข้ากับเอกลักษณ์ความเป็นไทย จนได้แรงบันดาลใจจาก “การจักสาน” ซึ่งนอกจากจะสะท้อนถึงภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยอันงดงามแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ของการถักทอ ความร่วมมือร่วมใจ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการประชุมในครั้งนี้   นอกจากนี้ยังมีการใช้สีสันจากเงินตราที่สะท้อนบทบาทสำคัญของประเทศ สำหรับชุดสีที่เรานำมาใช้นั้น ได้แรงบันดาลใจโดยตรงจากสีของธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ไทย เพื่อให้เกิดความหลากหลายและสื่อความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สีเขียว จากธนบัตรชนิดราคา 20 บาท สีฟ้าและสีน้ำเงิน จากธนบัตรชนิดราคา 50 บาท สีชมพูม่วง จากธนบัตรชนิดราคา 100 บาท และ 500 บาท สีส้มเหลือง จากธนบัตรชนิดราคา 1000 บาท และสุดท้ายคือ สีขาวเงิน จากเหรียญกษาปณ์ไทย   การเลือกใช้ชุดสีนี้ยังเป็นการสื่อถึงความรับผิดชอบอันสำคัญของทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลเศรษฐกิจการเงินของประเทศ และทั้งสององค์กรยังเป็นเจ้าภาพหลักในการประชุม Annual Meetings ในปี 2569 ที่ประเทศไทยอีกด้วย ร่วมความภาคภูมิใจ   การเป็นเจ้าภาพ IMF-WBG Annual Meetings 2026 คือ หมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำสถานะและบทบาทของประเทศไทยบนเวทีโลก เพื่อการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การลงทุน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการเผยแพร่วัฒนธรรมอันงดงามของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ มาร่วมนับถอยหลังและภาคภูมิใจไปพร้อมกัน กับการที่ประเทศไทยจะได้ยกระดับบทบาทและศักยภาพบนเวทีโลก สร้างผลกระทบเชิงบวกแก่คนไทยทุกภาคส่วน และเปิดประตูสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืนในอนาคต     Alternate-X ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพการประชุมใหญ่ IMF-WBG Annual Meetings 2026 เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 35 ปี นับเป็นเวทีสำคัญที่ผู้นำเศรษฐกิจทั่วโลกกว่า 191 ประเทศจะมาหารือประเด็นเศรษฐกิจ-การพัฒนา พร้อมสร้างโอกาสให้ไทยแสดงศักยภาพทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และดึงดูดเม็ดเงินลงทุน งานฯ คาดมีผู้เข้าร่วมกว่า 15,000-18,000 คน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนหลายพันล้านบาท พร้อมเผยแพร่ Soft Power ไทยสู่เวทีโลก ผ่านงานออกแบบ วัฒนธรรม และเอกลักษณ์ไทย  

July 1, 2025 / 0 Comments
read more

AWC เดินเกมทุนยืดหยุ่น ส่งโมเดล ‘AWC Growth Fund’ ลดภาระหนี้-ลงทุนเต็มจำนวน

BizKet

AWC รับสินเชื่อ Green Loan มูลค่า 7,904 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย สร้างแบรนด์อัลตราลักซูรีระดับโลก ‘Plaza Athénée’ โยง2 มหานครของโลก ‘นิวยอร์คถึงกรุงเทพฯ สู่เดสติเนชั่นท่องเที่ยวยั่งยืน   วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ด้วยวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนร่วมกันของ AWC และ ธนาคารกรุงไทย ได้ลงนามในสัญญาสินเชื่อระยะยาวประเภท Green Loan มูลค่า 7,904 ล้านบาท (เทียบเท่า 208 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก   สำหรับความร่วมมือด้านสินเชื่อ Green Loan ครั้งนี้ จะใช้ในการพัฒนาโครงการแฟลกชิปอัลตร้าลักชูรีแบรนด์ระดับโลก ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ (Hotel Plaza Athénée Nobu New York) ณ มหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพและศักยภาพสูง   ทั้งนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตการลงทุนควบคู่กับ ‘เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก’ พร้อมมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับอัลตร้าลักซูรีของแบรนด์ Plaza Athénée ที่จะเชื่อมสองมหานครจากนิวยอร์กสู่กรุงเทพฯ  พร้อมโยงความพิเศษและศักยภาพของการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยสู่เวทีโลก   โดยโครงการ “โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก” พัฒนาในอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่าศตวรรษ ใจกลางย่าน Upper East Side หนึ่งในทำเลศักยภาพสูงสุดของมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม ความหรูหรา และไลฟ์สไตล์ระดับโลก ซึ่งได้ลงทุนบนทำเลพิเศษที่เป็นทรัพย์สิน Freehold  เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวที่ยั่งยืนด้วยมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากล  พร้อมอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมเข้ากับนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม   วัลลภา กล่าวว่า “การลงทุนและพัฒนาโครงการนี้อยู่ภายใต้โมเดล AWC Growth Fund ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนของ AWC ที่ช่วยให้สามารถพัฒนาโครงการได้โดยไม่ต้องลงทุนเต็มจำนวนในระยะเริ่มต้น และไม่เกิดภาระหนี้สินจากการพัฒนาต่อ นับเป็นความยืดหยุ่นในการเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดในช่วงเวลาที่เหมาะสม”   สำหรับ การเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยให้สามารถรับรู้รายได้ทันที สร้างกระแสเงินสดเป็นบวก และเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการเงิน พร้อมรักษาวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท สะท้อนด้วยโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม   ด้านสุรธันว์ คงทน ประธานผู้บริหารสายงาน Wholesale Banking ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยได้สนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ให้กับบริษัทในกลุ่ม AWC เพื่อลงทุนบูรณะ ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในนครนิวยอร์ก   โดยกำหนดตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน เป็นกรอบในการพัฒนาโครงการให้เป็นโรงแรมสีเขียว (Green Building) ตามมาตรฐาน Leadership in Energy and Environmental Design (LEED ) หรือมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากลอื่นๆ   ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผสานความหรูหราเข้ากับหลัก ESG ได้อย่างกลมกลืนและเป็นรูปธรรม   สำหรับ ความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมถึงบทบาทของธนาคารกรุงไทยในฐานะพันธมิตรทางการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financial Partner) ที่พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่การเติบโตอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน   สำหรับ โครงการ ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ เป็นความร่วมมือระหว่าง AWC และ Nobu Hospitality ที่นำจุดแข็งของแบรนด์โรงแรมระดับตำนาน Plaza Athénée เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านการบริการระดับลักชูรีของ Nobu เพื่อพัฒนา Lifestyle Destination ที่มีเอกลักษณ์และมาตรฐานระดับโลก   โดยโรงแรมตั้งอยู่ในอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่า 100 ปี ซึ่งเป็นทรัพย์สิน Freehold ในย่าน Upper East Side ของแมนฮัตตัน ใกล้ Central Park และแหล่งช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์ และมีแผนยื่นขอการรับรองมาตรฐาน LEED หรือมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากลอื่นๆ เพื่อยืนยันถึงคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม และจะพัฒนาไปพร้อมกับ ‘เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก’ เพื่อเชื่อมประสบการณ์อัลตร้าลักชัวรีจากนิวยอร์กสู่กรุงเทพฯ ได้อย่างลงตัว พร้อมเปิดบริการในปีหน้า       Alternate-X สรุปให้  AWC จับมือกรุงไทย คว้า Green Loan มูลค่า 7,904 ล้านบาท ผลักดันโครงการ “Hotel Plaza Athénée Nobu New York” โรงแรมแฟลกชิปอัลตร้าลักชูรี ตั้งเป้าเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในนิวยอร์ก พัฒนาแบบ Freehold ผสานดีไซน์อนุรักษ์สถาปัตยกรรมและมาตรฐานอาคารสีเขียว ดำเนินโครงการผ่านโมเดล AWC Growth Fund ลดภาระหนี้ สร้างความยืดหยุ่นทางการเงิน พร้อมเชื่อมประสบการณ์สู่กรุงเทพฯ  เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก  

July 1, 2025 / 0 Comments
read more

จีน Butterfly Effect ไม่ได้กระทบแค่ท่องเที่ยว ลามยอดอสังหาฯ หายไปด้วย

BizKet

ความหวังจากกำลังซื้อชาวจีนที่ไทยหวังว่าจะกลับมาสร้างความคึกคักอีกครั้ง หลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด อาจจะกำลังเหือดหายไปที่ไม่ใช่แค่ตลาดท่องเที่ยว แต่ยังรวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่นักลงทุนจีนหันไปมองญี่ปุ่นและเวียดนามแทน ซึ่งกำลังเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจของชาวมังกร ในเวลานี้   ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เผยตัวเลขยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ไตรมาสแรกปี2568 มีจำนวน 65,276 หน่วย ลดลง 10.5% และมีมูลค่า 181,545 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)   ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย กำลังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง จากกำลังซื้อในประเทศหดตัวลง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ หลายรายต่างมองหากำลังซื้อใหม่จากตลาดต่างชาติ ที่จะเป็นประตูทางออกบานสำคัญเพื่อเอาตัวให้รอดจากจากสถานกการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย จากกำลังซื้อในประเทศไทยที่ไม่สดใส ประกอบกับบรรยากาศอึมครึมทั้งเศรษฐกิจและเสถียรภาพของรัฐบาลในเวลานี้   ขณะที่ในช่วงก่อนหน้า ‘กลุ่มนักลงทุนจีน’ ถือเป็นลูกค้าหลัก ที่เคยมียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในตลาดชาวต่างชาติมาร่วมหลายปี จากความสนใจลงทุนอสังหาในไทย เพื่อปล่อยเช่าในช่วงจังหวะเดียวกับที่ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนที่สดใสและเติบโตสุดในช่วง 5-6 ก่อนหน้า   โดยในปี 2562 (ก่อนแพร่ระบาดโควิด-19) ประเทศไทยมีนักเดินทางจากจีนราว 11 ล้านคน ไทยได้รับนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 11 ล้านคนก่อนโควิด โดยหลังสถานการณ์แพร่ระบาดคลี่คลายในปี 2568 ที่ผ่านมา ไทยให้การต้อนรับนักเดินทางจากจีนอยู่ที่ 6.73 ล้านคน เท่านั้น!! เรียกว่าหายไปถึง 38.8%   ยอดโอนปีนี้ไม่ต่างจากปีก่อน   ต่อเรื่องนี้ ‘สุรเชษฐ กองชีพ’ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยจากกลุ่มนักลงทุนชาวจีน ลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทย   โดยช่วง 1 มกราคม – 11 พฤษภาคม 2568 (อ้างอิง ททท.) พบว่า คนจีนเข้าไทยเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มชาวต่างชาติ มีจำนวน 1.77 ล้านคน แต่ลดลง 30.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)   ทั้งนี้ หากพิจารณายอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนจีน ในรอบ 8 ปี ที่ผ่านมา มีข้อมูลดังนี้   ปี 2561 จำนวน 7,916 หน่วย ปี 2562 จำนวน 7,626 หน่วย ปี 2563 จำนวน 5,254 หน่วย ปี 2564 จำนวน 4,867 หน่วย ปี 2565 จำนวน 5,707 หน่วย ปี 2566 จำนวน 6,614 หน่วย ปี 2567 จำนวน 5,670 หน่วย ไตรมาส 1 ปี 2568 จำนวน 1,481 หน่วย   ขณะที่ การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของคนจีนในขณะนี้ลดลงนับจากหลังแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นต้นมา และไม่เคยกลับไปเทียบเท่าช่วงปี 2561 – 2562 อีกเลย   “ดูแล้วในปี 2568 ก็คงมีการโอนกรรมสิทธิ์ของคนจีนที่ไม่มากอาจจะไม่แตกต่างจากปี 2567 มากนัก” สุรเชษฐ กล่าว   รถอีวีจีนหงอยดึงตลาดดาวน์ตาม   ด้าน สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า ในตอนนี้ตลาดจีนค่อนข้างเงียบตามกระแสตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เริ่มชะลอตัวลงซึ่งต่างไปจากปีก่อน ๆ   นอกจากนี้ ยังมาจากตลาดท่องเที่ยวที่ลดลง จากความกังวลด้านความปลอดภัยหลังกรณีลักพาตัวดาราจีนชายซึ่งเป็นข่าวดังมากที่ประเทศจีน ถึงความไม่มั่นใจต่อความปลอดภัยการเดินทางมายังไทย   “อาจต้องใช้เวลาฟื้นความเชื่อมั่น 2-3 ปีจึงจะดีขึ้น” สงกรานต์ กล่าว   จากแนวโน้มยังส่งผลมายังตลาดอสังหาฯ ไทยในขณะนี้ ที่เริ่มมีความน่าสนใจลดลง จากก่อนหน้าเป็นตลาดที่เคยอยู่อันดับต้น ๆ ของคนจีน แต่ในตอนนี้อยู่อันดับ 6-8   “คนจีนหันไปซื้อที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่น เวียดนาม และมาเลเซียแทน” สงกรานต์ ย้ำ   สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเรียกได้ว่าเป็นทฤษฎีความโกหลาหล ‘Butterfly Effect’ แค่เพียงผีเสื้อขยับปีกก็อาจส่งผลกระทบไปในวงกว้างได้ เช่นเดียวกับกลุ่มชาวจีน ที่เคยเป็นกำลังซื้อใหญ่ในตลาดท่องเที่ยว ที่ขยายไปยังภาคธุรกิจอื่นๆที่รวมถึงในอสังหาฯ ด้วยเช่นกัน   Alternate-X สรุปให้  ตลาดอสังหาฯ ไทยเผชิญแรงกดดัน หลังนักลงทุนจีนหดตัวต่อเนื่อง โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย Q1/68 ลดลง 10.5% สะท้อนกำลังซื้อไม่ฟื้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าจีนไม่กลับมาเหมือนก่อนโควิด หันลงทุนญี่ปุ่น-เวียดนามแทน ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยลดลง 30.7% ในช่วงต้นปี และมีแนวโน้มว่าไทยอาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี กว่าจะฟื้นแรงดึงดูดจากจีน

July 1, 2025 / 0 Comments
read more

แผน ‘ศิริราช’ 6 ปีหน้าใช้2 หมื่นล. มีเครือข่าย 5 รพ. รับอนาคตสังคมสูงวัย-ผู้ป่วย NCDs พุ่ง 5 เท่า

BizKet,  Peace&Play

‘ศิริราช’ เร่งขยายโครงสร้างพื้นฐานบริการทางการแพทย์ คลุม5โรงพยาบาลในเครือข่าย รับอนาคตอนาคตไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย-ผูัป่วย NCDs พุ่ง   ศ.นพ.อภิชาติ  อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า โรงพยาบาลศิริราช ในฐานะสถาบันการแพทย์ของแผ่นดิน’ ดำเนินการภายใต้พันธกิจ 4 ด้าน ประกอบด้วย   ให้การเรียนการสอนเพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ การให้บริการทางการแพทย์ที่เป็นเลิศ-ดูแลผู้ป่วยทุกฐานะอย่างเสมอภาคเท่าเทียม สร้างองค์ความรู้ใหม่ผ่านกระบวนการทำวิจัยและสร้างนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการรักษาผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง   พร้อมเตรียมแผนงานบริการทางการแพทย์ในอนาคตให้สอดคล้องกับพันธกิจ และการเข้าสู่สังคมสูงวัยของคนไทยจะเพิ่มขึ้นสูงในระยะอันใกล้ และคาดว่าการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง และโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ฯลฯ จะขยายตัวสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 4-5 เท่าตัวตามสัดส่วนผู้สูงวัย   จากแนวโน้มดังกล่าว กลุ่มโรงพยาลศิริราช วางแรวทางรับมือครอบคลุมโดยเฉพาะการขยายอาคารพร้อมเทคโนโลยีอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆในแต่ละโรงพยาบาลเครือข่าย   โดยเตรียมแผน 3 โครงการขนาดใหญ่ ดังนี้   โครงการ อาคารสถานีรถไฟศิริราช (RWS03) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาร่วมกันระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และอย่ระหว่างก่อสสร้าง มูลค่าโครงการฯราว 4,000 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 15 ชั้น วางเป้าหมายหลักให้บริการดูแลผู้สูงอายุ คาดเปืดให้บริการราว พ.ศ. 2570 โครงการ สถาบันโครงการสถาบันการแพทย์ศิริราช ระดับนานาชาติ บนทำเลบางโพ มีขนาดโครงการ 13 ไร่ มีมูลค่าโครงการกว่า 16,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างขอใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) วางระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จระหว่างปีพ.ศ.2566-2574 โครงการอาคารผู้ป่วยใน (IPD) หลังใหม่ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ที่โรงพยาบาลได้ของบประมาณแผ่นดิน 1,000 ล้านบาท และได้รับอนุมัติงบฯสัดสวน 60% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างพร้อมจัดกาอุปกรณ์บริการทางการแพทย์ต่างๆ ซึ่งยังต้องใช้งบประมาณจากการระดมทุนอีกจำนวนหนึ่ง   ทั้งนี้ จากแผนงานดังกล่าวจะทำให้โรงพยาบาลศิริราชมีเครือข่ายโรงพยาบาลในกลุ่มให้บริการ5 แห่ง ประกอบด้วย   โรงพยาบาลศิริราช (เขตบางกอกน้อย) โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (วางตำแหน่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน) (เขตบางกอกน้อย) ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (อำเภอพุทธมณฑล,นครปฐม) ศิริราช เอช โซลูชั่น ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต (SIRIRAJ H SOLUTIONS) อาคารไอซีเอส ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์ (เขตคลองสาน) สถาบันโครงการสถาบันการแพทย์ศิริราช ระดับนานาชาติ   อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ แม้ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีผลประกอบการและกำไรต่อปีราว 1,300 ล้านบาทก็ตาม แต่ต้องนำรายได้ดังกล่าวมาจัดสรรสัดส่วน 50%ทั้งด้านต้นทุนการดำเนินกิจการและนำไปสนับสนุนให้กับมูลนิธิในเครือโรงพยาบาล เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางที่ขาดทุนทรัพย์การรักษาพยาบาล   ศ.นพ.อภิชาติ  กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวโรงพยาบาลยังวางแผนนำเทคโนโลยีทางการแพทย์เครื่องฉายรังสีด้วยอนุภาคโปรตอน เพื่อรองรับการให้บริการในอนาคต คาดใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท   จากปัจจุบันโรงพยาบาลมีผู้ป่วยเข้าบริการราว 16,000-17,000 คนต่อวัน, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ราว 4,000 คนต่อวัน และ 3.    ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกฯ ราว 1,200 คนต่อวัน และ 4.   ศิริราช เอช โซลูชั่น มากกว่า 200 คนต่อวัน   โดยมีคนไข้เข้ารับการรักษา(Admit) ราว 12,000 คน และบุคลากรในเคครือข่ายให้บริการทั้งหมดประมาณ 22,264 คน     Alternate-X สรุปให้   ศิริราชเดินหน้าขยายโครงสร้างพื้นฐานบริการทางการแพทย์ 3 โครงการใหญ่ เตรียมรับสังคมสูงวัยและผู้ป่วย NCDs ที่จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในอนาคต วางเป้าครอบคลุมบริการผ่านเครือข่าย 5 โรงพยาบาล พร้อมรองรับผู้ป่วยกว่า 20,000 คนต่อวัน ชูศูนย์บางโพเป็นสถาบันการแพทย์ระดับนานาชาติ และพัฒนาอาคารใหม่-เทคโนโลยีล้ำสมัย มุ่งสร้างความเสมอภาคด้านสาธารณสุข ทั้งในเชิงคุณภาพและการเข้าถึงของผู้ป่วยทุกกลุ่ม

June 30, 2025 / 0 Comments
read more

เที่ยวไทยครึ่งหลังปี68 2 ปัจจัยบวกใหม่หนุนตลาดคึก สหรัฐฯจัดไทยปลอดภัยเทียบญี่ปุ่น

BizKet

VRANDA มองตลาดท่องเที่ยวส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังไทยพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 หวังปัจจัยบวก ‘เที่ยวคนละครึ่ง’ แรงส่งครึ่งปีหลัง 68 กลับมา คึกคัก   ภวัฒก์ องค์วาสิฏฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA ผู้ให้บริการธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจไลฟ์สไตล์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ประเทศไทยได้รับแรงกดดันจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา และตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนชะลอการเดินทางเข้าไทย   อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2568 ตลาดท่องเที่ยวได้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว พิจารณาจากยอดจองเข้าพักของโรงแรมในเครือวีรันดาฯ ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม SO Bangkok ที่มีรายได้จากห้องพักเพิ่มขึ้นจากที่ชะลอตัวในช่วงหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว   นอกจากนี้ โรงแรมวีรันดา ไฮ รีสอร์ท เชียงใหม่ และ ร็อคกี้ บูทิก รีสอร์ต – วีรันดา คอลเลกชัน สมุย มียอดจองห้องพักสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  (YoY) เช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของรายได้ วีรันดา รีสอร์ทฯ ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/2568   “ในครึ่งปีหลังยังได้รับปัจจัยบวกทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ โดยคาดการณ์ว่าตลาดท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มพ้นจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 2” ภวัฒก์ กล่าว ปัจจัยใหม่หนุนตลาด   โดยปัจจัยสำคัญภายนอกประเทศที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ได้แก่   สหรัฐอเมริกา (U.S. State Department) ได้ปรับระดับคำแนะนำการเดินทาง (Travel Advisory) ฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 โดยจัดให้ประเทศไทยอยู่ในระดับ Level 1 – Exercise Normal Precautions ซึ่งเป็นระดับที่ดีที่สุด   โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาประเทศไทยได้อย่างมั่นใจโดยมีระดับเรื่องความปลอดภัยเทียบเท่าประเทศชั้นนำอย่างญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และสิงคโปร์ สะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่ดีทางด้านความมั่นคงและความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และบริการอื่นๆ   ปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ การส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” รูปแบบใหม่ ซึ่งมีระยะเวลาใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ 4 ก.ค. – 31 ต.ค. 2568 ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนไทยอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลังนี้   รับขยายฟรีวีซ่า 93 ประเทศ   ภวัฒก์ กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมของ VRANDA มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยสูงที่สุด ประมาณ 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ประกอบกับระดับราคาห้องพักของ VRANDA จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากส่วนลดค่าที่พักสูงสุด 50% ไม่เกิน 3,000 บาท   นอกจากนั้น รัฐบาลยังอนุมัติการขยายเวลาให้นักท่องเที่ยวใน 93 ประเทศสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า (Visa Exemption) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในการเดินทางเข้าไทย   โดย VRANDA ได้เริ่มวางกลยุทธ์มุ่งเน้นลูกค้าจากประเทศยุโรปและตะวันออกกลางซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวของไทย ตอบรับนโยบายมุ่งเน้นตลาดท่องเที่ยวคุณภาพ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เห็นสัญญาณการจองเดินทางล่วงหน้าที่เติบโตดีต่อเนื่องในปีนี้   อนึ่ง นักวิเคราะห์หลายสำนักได้เริ่มปรับประมาณการณ์ผลประกอบการใน Q3 และ Q4 ของปี 2568 ของกลุ่มท่องเที่ยวและบริการขึ้น หลังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ จากยอดจองและปัจจัยบวกใหม่ โดย VRANDA ถูกมองว่ามีศักยภาพในการเติบโตได้   ขณะที่ UOB Kay Hian มีมุมมองต่อ VRANDA เชิงบวกจากแนวโน้มการเติบโตของ RevPAR และจำนวนห้องพัก ประกอบกับรายได้จากกิจการพัฒนอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี จึงประเมินมูลค่าเหมาะสมของ VRANDA ที่ 10 บาทต่อหุ้น ประเมินจาก P/E Ratio 20 เท่าจากประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2025 ของธุรกิจโรงแรม และ P/E Ratio 7 เท่าจากประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2025 ของธุรกิจอื่นๆ Alternate-X สรุปให้ VRANDA มองตลาดท่องเที่ยวไทยพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/2568 หลังยอดจองโรงแรมในเครือเริ่มฟื้นชัดทั้งกรุงเทพฯ เชียงใหม่ สมุย ส่วนแรงหนุนหลักจากโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” และฟรีวีซ่า 93 ประเทศ และการที่สหรัฐจัดไทยอยู่ในกลุ่มประเทศปลอดภัย เทียบชั้นญี่ปุ่น-สิงคโปร์ แรงส่งแนวโน้มไตรมาส 3–4 สดใส ปีนี้  

June 29, 2025 / 0 Comments
read more

‘ไอคอนสยาม’ ฉลอง 50ปี ไทย-จีน ครั้งแรก!!อาร์ตทอยดาวรุ่ง ‘Leo Huang’ มาไทย

Peace&Play

ไอคอนสยาม ชวนพันธมิตรฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ฯไทย-จีน จัด 3 งานใหญ่ สัมผัสประสบการณ์หาชมยาก สุดยอดศิลปวัฒนธรรมจีน พบงานโมเดิร์นอาร์ต ดึงศิลปินอาร์ตทอยดาวรุ่ง ‘Leo Huang’ มาไทยครั้งแรก   สุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล  กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าไอคอนสยาม เปิดเผยว่า ‘ไอคอนสยาม’ ย้ำตำแหน่งจุดหมายปลายทางแห่งประสบการณ์ระดับโลก พร้อมมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งความร่วมมือทางศิลปะและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระดับนานาชาติ   โดยปี 2568 นี้ในโอกาสวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ไอคอนสยาม ได้จัดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมทั้งไทยและจีนต่างๆ ตลอดทั้งปี พร้อมไฮไลต์การนำ 3 สุดยอดศิลปะและวัฒนธรรมของจีนมานำเสนอ ผ่าน 3 งานใหญ่ เพื่อสร้างความประทับใจและเชื่อมสัมพันธ์ไทยและจีนให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น   งานแรก มหกรรมศิลปะโคมไฟ   สำหรับงานแรก ไฮไลต์สำคัญ คือ “มหกรรมการแสดงศิลปะโคมไฟจีนจากยู่หยวน ชุด จิตวิญญาณแห่งภูผาและมหาสมุทร และเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์การทูตไทย-จีน (Spirit of Mountains and Seas · Yuyuan Lantern Festival and 2025 China-Thailand Culture Month)   โดยไอคอนสยาม ร่วมกับ บริษัทเซี่ยงไฮ้ ยู่หยวน ทัวริสต์มาร์ท กรุ๊ป (Shanghai Yuyuan Tourist Mart Group Co., Ltd.) ผู้จัดเทศกาลโคมไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และ บริษัท อินเตอร์สเต็ปส์ จำกัด (Intersteps Co., Ltd.) นำเทศกาลโคมไฟชื่อดังจากเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของจีน มาจัดแสดงในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G ไอคอนสยาม ระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน ถึง 15 สิงหาคม 2568   นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรม ตลาดสินค้าท้องถิ่น สัปดาห์วัฒนธรรมในธีมต่างๆ รวมถึงนิทรรศการศิลปะและแสงสี ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างศิลปะ วัฒนธรรม และอาหาร รวมทั้งธุรกิจของทั้งสองประเทศ     พบ ‘Leo Huang’ อาร์ตทอยดาวรุ่ง   ทั้งนี้ เพื่อเติมสีสันให้กับโอกาสพิเศษ ครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์การทูตไทย-จีน ไอคอนสยาม ร่วมกับ อินเตอร์สเต็ปส์ นำ YIMU ART สตูดิโอชั้นนำจากประเทศจีนที่มีชื่อเสียงด้านประติมากรรมเป่าลมขนาดใหญ่ และนำคาแรกเตอร์อาร์ตทอยสุดฮิตของศิลปิน Leo Huang ซึ่งโด่งดังจากงาน Design Shanghai หนึ่งในงานออกแบบและสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่ไอคอนสยาม   เพื่อสร้างความตื่นตาให้ทุกคนได้ร่วมสนุกในการถ่ายภาพกับคาแรกเตอร์ซิกเนเจอร์ยอดฮิตอย่าง “Seven” แพนด้าสีน้ำตาล, “HIPPO GO” ฮิปโปสีชมพู และ “HELLO! Bear” หมียักษ์สีน้ำเงินสุดน่ารัก   สำหรับ ‘Leo Huang’ เป็นศิลปินดังเจ้าของ IP ที่สร้างสรรค์ผลงานจากแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ นำเอกลักษณ์จากเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกมาออกแบบเป็นคาแรกเตอร์หลากหลาย เพื่อเชื่อมโยงผู้คน ธรรมชาติ และเมือง เข้าด้วยกันผ่านงานศิลป์   โดยครั้งนี้เขาจะนำผลงานศิลปะมาเชื่อมสัมพันธ์ เฉลิมฉลองให้กับมิตรภาพไทย-จีน ผ่านนิทรรศการ “Yimu Exhibition” ซึ่งจะจัดแสดง 2 ชุดผลงาน หลักของ Leo Huang ในโซนที่โดดเด่นสะดุดตาภายในไอคอนสยาม   ชุดแรกคือ “Guardians of the Loong: มหาสมบัติแห่งเขาฉินหลิ่ง” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสมบัติธรรมชาติ 4 ชนิดของเขาฉินหลิ่ง ทั้งทาคินสีเหลือง, นกกระเรียนแดง, ลิงทอง และแพนด้า โดยคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นคือ “Seven” แพนด้าสีน้ำตาลที่มีอยู่เพียงตัวเดียวในโลก ซึ่งมาในแนวคิด “ปรัชญาพุงกลมของ Seven” แสดงท่าทางขี้เล่นของแพนด้าหลังจากกินอิ่ม ด้วยการเหยียดขา ลูบพุงกลม ๆ อย่างผ่อนคลาย พร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะทำให้หลายคนตกหลุมรัก   ชุดที่สองคือ “HIPPO GO!” คาแรกเตอร์ฮิปโปสีชมพู ที่เปี่ยมด้วยความอบอุ่นและพลังเยียวยาใจ ให้ความรู้สึกเหมือนเจ้าฮิปโปยักษ์กำลังปีนขึ้นจากสระน้ำด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา และเปี่ยมด้วยความหวัง สื่อถึงจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง   นอกจากนี้ยังมี “HELLO! Bear” หมีสีน้ำเงินสูง 6 เมตร หนึ่งในผลงานไอคอนิกของ Leo Huang และร้านจำหน่ายของที่ระลึกจากคาแรกเตอร์ซิกเนเจอร์ของ YIMU ART ให้แฟน ๆ ได้เลือกช็อป โดยทุกชิ้นจะทำหน้าที่เป็น “ทูตมิตรภาพ” สื่อให้เห็นถึงความกลมเกลียวข้ามเชื้อชาติของไทยและจีน พร้อมมอบประสบการณ์ศิลปะสุดสร้างสรรค์ให้ทุกคนได้สัมผัส ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคม 2568 ณ วอล์คเวย์ ชั้น M ไอคอนสยาม     ชม งิ้วแต้จิ๋วอันดับ 1   อีกหนึ่งงานที่พลาดไม่ได้ ซึ่งไอคอนสยามได้ร่วมมือกับสมาคมเครือข่ายธุรกิจไทย-จีน และ ผู้สนับสนุนภาคเอกชนอีกหลายราย นำการแสดง “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี Shantou Teochew Chinese Opera Show”   โดย “คณะอุปรากรจีนกึงตังเตียเกี๊ยะอี่อิ๊กท้วง” คณะงิ้วแต้จิ๋วชื่อดังอันดับ 1 จากเมืองซัวเถา ประเทศจีน ที่มีรางวัลระดับประเทศการันตีมากมายและเปิดแสดงมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก กลับมาสร้างความประทับใจในประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับวาระครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน   ในครั้งนี้ “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี” จะเปิดการแสดง 7 วัน นำเสนอการแสดงอุปรากรจีน 16 เรื่องยอดนิยม พร้อมบทบรรยายสองภาษาไทยและจีน เพื่อร่วมส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีน ผ่านวัฒนธรรมความบันเทิงอันทรงคุณค่าของจีน ระหว่างวันที่ 10-16 กรกฎาคม 2568 ณ ทรูไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม   สำหรับบัตรเข้าชมการแสดง ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารการรับบัตรได้จาก Facebook: ICONSIAM และพันธมิตรเจ้าภาพร่วมจัดแสดง   Alternate-X สรุปให้ ไอคอนสยามจัด 3 งานใหญ่ ฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เปิดตัวงานศิลปะโคมไฟจีนยิ่งใหญ่ครั้งแรกในไทยจากเทศกาลยู่หยวน ประเทศจีน พร้อมต้อนรับศิลปินอาร์ตทอยชื่อดัง ‘Leo Huang’ และคาแรกเตอร์ “Seven”, “HIPPO GO!”, “HELLO! Bear” มาจัดแสดงนิทรรศการสร้างสรรค์และร้านของที่ระลึกสื่อมิตรภาพไทย-จีน ปิดท้ายด้วยงิ้วแต้จิ๋วอันดับ 1 จากซัวเถา ส่งต่อคุณค่าศิลปวัฒนธรรมจีนให้คนไทยสัมผัส        

June 28, 2025 / 0 Comments
read more

‘ราชบุรี’ อนาคตเมืองเศรษฐกิจใหม่ ลลิลฯส่ง2 โครงการเจาะอสังหาฯ แนวราบขยายตัวตามดีมานด์

BizKet

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เข้าตลาดอสังหาฯ จังหวัดราชบุรี รับศักยภาพเมืองเติบโตระดับภูมิภาค ทำ 2 โครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์โฮมรวมมูลค่ากว่า พันล.รับดีมานด์อยู่อาศัยแนวราบขยายตัว   ชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี’ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน จังหวัด ไม่ใช่แค่จังหวัดหัวเมืองรอง แต่คือทำเลแห่งโอกาสที่กำลังเติบโตอย่างมั่นคง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ เกษตรกรรม พลังงาน และการท่องเที่ยว   นอกจากนี้ จ.ราชบุรี ยังเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความโดดเด่นด้านการคมนาคม การเชื่อมต่อจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเพียง 1.5–2 ชั่วโมง ผ่านมอเตอร์เวย์สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว และถนนเพชรเกษม   ขณะเดียวกันยังเป็นศูนย์กลางด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ รวมถึงการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม โรงงานผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ และโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ ทำให้ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยในจังหวัดมีแนวโน้มเพิ่มสูง   จากแนวโน้มดังกล่าว ยังผลักดันให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบ้านแนวราบ ซึ่งบริษัทฯ มองเห็นโอกาสขยายตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดราชบุรี โดยเปิดตัว 2 โครงการระดับคุณภาพ ได้แก่     บ้านลลิล เดอะ เพรสทีจ ราชบุรี ภายใต้แนวคิด ‘Beyond Luxury of Living’ จำนวน 129 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 24 ไร่ ราคาเริ่มต้นที่ 4-8 ล้านบาท ลลิลทาวน์ ไลโอ ราชบุรี ภายใต้แนวคิด ‘Happiness of Living’ จำนวน 279 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 25 ไร่ ราคาเริ่มต้นที่ 79 ล้านบาท   โดยทั้งสองโครงการตั้งอยู่บนถนนราชบุรี-ผาปก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อสู่ศูนย์กลางราชการ โรงพยาบาล สถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า และนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างอุทยานหินเขางู   “แนวทางการพัฒนาโครงการใน จ.ราชบุรีของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งเน้นการสร้างชุมชนที่มีคุณภาพชีวิต โดยออกแบบฟังก์ชันบ้านให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่ อาทิ พื้นที่ Extra Function รองรับวิถีชีวิตแบบ Work from Home ปรับเป็นห้องเรียน หรือพื้นที่ดูแลผู้สูงวัย ซึ่งล้วนสะท้อนเจตนารมณ์ของเราในการสร้างบ้านที่ดูแลชีวิตของผู้อยู่อาศัยในทุกช่วงวัย” ชูรัชฏ์ กล่าวเสริม   นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเชิงลึก พบว่า จ.ราชบุรี มีแนวโน้มเติบโตจาก 3 กลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่   พนักงานบริษัทเอกชนและภาครัฐในพื้นที่ เจ้าของธุรกิจท้องถิ่น กลุ่มข้าราชการ ทหาร   โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมองหาบ้านหลังแรก หรือผู้สูงวัยและกลุ่ม Work from Home ที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีในราคาที่สามารถจับต้องได้   ชูรัชฏ์ กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัท มองว่า จ.ราชบุรี ไม่ใช่เพียงแค่เมืองพักอาศัย แต่คือเมืองที่พร้อมสำหรับอนาคต การลงทุนของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในวันนี้ คือ การวางรากฐานให้กับชุมชนที่เติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจและโครงสร้างเมืองในระยะยาว   ขณะที่โครงการของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ใน จ.ราชบุรี เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะท้อนความตั้งใจของแบรนด์ในการยกระดับคุณภาพชีวิต สู่เป้าหมายการสร้างชุมชนที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค Alternate-X สรุปให้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกตลาดอสังหาฯ จังหวัดราชบุรี เปิด 2 โครงการใหม่รองรับดีมานด์แนวราบที่เพิ่มขึ้น ชูราชบุรีเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ที่เติบโตทั้งอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐาน โดยโครงการประกอบด้วยบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีและทาวน์โฮมเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ เน้นออกแบบรองรับครอบครัวยุคใหม่ มีฟังก์ชันเพื่อ Work from Home และดูแลผู้สูงวัย เพื่อสร้างชุมชนคุณภาพชีวิตดี พร้อมเติบโตไปกับเศรษฐกิจภูมิภาคในระยะยาว  

June 28, 2025 / 0 Comments
read more

กินผลสดเชยแล้ว!! คนจีนฮิตทุเรียนแนวใหม่ เอาไปทำอาหารคาว-หวาน-เครื่องดื่ม

BizKet

แพลททินัม ฟรุ๊ต มองอนาคตทุเรียนไทยเจาะตลาดจีนคนรุ่นใหม่ เทรนด์บริโภคใช้ทำเมนูคาว-หวาน ชี้โอกาสสินค้าพรีเมียม มีความปลอดภัยและคุณภาพ ตัวกำหนดอนาคต   ณธกฤษ เอี่ยมสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลททินัม ฟรุ๊ต จำกัด (มหาชน) หรือ PTF ผู้ส่งออกผักและผลไม้สดเกรดพรีเมียม เปิดเผยภาพรวมการส่งออกทุเรียนไทยในงาน Asia Fruit Logistica Bangkok Meet Up เวทีรวมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผักและผลไม้สดจากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยระบุว่า ปริมาณการส่งออกทุเรียนสดจากไทยไปจีนในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ลดลงประมาณ 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตร การลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลัก 2 ประการ ได้แก่   สภาพภูมิอากาศที่ทำให้ฤดูกาลเก็บเกี่ยวล่าช้าไปประมาณ 20 วัน มาตรการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดขึ้นจากสำนักงานศุลกากรจีน (GACC) ทั้งการตรวจสารตกค้าง, เอกสาร GAP และการขึ้นทะเบียน DOA ของโรงคัดบรรจุ ซึ่งส่งผลให้ขั้นตอนการส่งออกต้องใช้เวลามากขึ้น และผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้น   “ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเฉพาะทุเรียนไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งออกทุเรียนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม” ณธกฤษกล่าว     ต้องปลอดภัย-มีคุณภาพ   ขณะที่ อนาคตของทุเรียนไทยจะไม่ใช่เรื่องของการเร่งปริมาณการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเน้นที่ “ความปลอดภัยและคุณภาพ” เป็นหัวใจสำคัญ หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ พร้อมกับทำตลาดให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคพรีเมียมมากขึ้น ก็จะช่วยรักษาความนิยมของทุเรียนไทยในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน   สำหรับคาดการณ์ปริมาณส่งออกทุเรียนไทยทั้งปีนี้ ประเมินว่าน่าจะกลับมาใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เพราะดีมานด์ของตลาดปลายทางในจีนยังมีอยู่มาก โดยช่วงที่ผ่านมาเกิดจากข้อจำกัดของมาตรการจึงทำให้ปริมาณการรับซื้อทุเรียนหน้าโรงงานชะลอตัว  ซึ่งวันนี้เริ่มคลี่คลายมากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ การควบคุมความชื้นและหนอนเจาะแมลง เนื่องจากปีนี้ประเมินว่าจะมีฝนชุกมากกว่าปกติ     จีนฮิตกินทุเรียนแนวใหม่   ปัจจุบัน ทุเรียนยังเป็นผลไม้ยอดนิยมของผู้บริโภคชาวจีน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่วัย 24-35 ปี ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและยอมจ่ายเพื่อสินค้าที่มีคุณภาพ   จากความนิยมตรงนี้กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมของวงการอาหารในจีนที่ไม่ได้จำกัดแค่บริโภคเนื้อทุเรียนสด แต่นำไปพัฒนาเมนูอาหารคาว-หวานรวมทั้งเครื่องดื่ม ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ผสมทุเรียนเกิดขึ้นในเมืองต่างๆ ของจีนแพร่หลายมากขึ้น   “ดีมานด์ตรงนี้เชื่อว่ายังเติบโตได้อีกมาก เพราะยังมีหลายพื้นที่ หลายมณฑลของจีนที่ทุเรียนยังเข้าไปไม่ถึง นี่จึงเป็นโอกาสของทุเรียนไทยที่ยังเปิดกว้างอยู่”   ณธกฤษ กล่าว   โดยปัจจุบันตลาดทุเรียนสดในจีนนำเข้าจากประเทศไทยมากที่สุด ตามมาด้วยเวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์     ณธกฤษ กล่าวว่า ในส่วนแนวโน้มตลาดโลก ขณะนี้โลกกำลังก้าวสู่ยุคผลัดใบที่เศรษฐกิจจะแบ่งเป็น 3 ขั้วหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน และกลุ่มประเทศอื่นๆ ที่เริ่มรวมตัวเป็นภูมิภาคการค้า เช่น EU, EFTA และ BRICS โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าในปี 2593 ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจะอยู่ในเอเชีย ได้แก่ จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ดังนั้น ไทยต้องเตรียมความพร้อมในการเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ๆ เหล่านี้   ย้ำพรีเมียมส่งออก   ณธกฤษ กล่าวว่า สำหรับ แพลททินัม ฟรุ๊ต ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว ด้วยบริษัทฯให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้ความรู้เกษตรกรเรื่องการดูแลผลผลิต การสุ่มตรวจดินและน้ำจากสวนที่จะรับซื้อโดยส่งตรวจในห้องแล็บที่ได้มาตรฐาน ISO17025 และได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน   จากนั้นเมื่อผลผลิตเข้ามาโรงงาน จะมีการตรวจสอบสารตกค้าง แมลง เชื้อรา โดยใช้เกณฑ์ Global GAP ที่เข้มข้นที่สุดก่อนเข้าสู่ขั้นตอนคัดบรรจุ เพื่อรับประกันความปลอดภัยจากสาร BY2 และแคดเมียม 100% ก่อนส่งออกไปถึงมือผู้บริโภค   “การแข่งขันที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องราคาและปริมาณเท่านั้น แต่ต้องแข่งกันที่คุณภาพและความปลอดภัยด้วย” ณธกฤษ ย้ำ   Alternate-X สรุปให้ แพลททินัม ฟรุ๊ต เผยโอกาสของทุเรียนไทยในตลาดจีนยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมบริโภคทุเรียนในรูปแบบเมนูคาว-หวานและเครื่องดื่ม พร้อมเน้นย้ำว่า “คุณภาพและความปลอดภัย” จะเป็นตัวกำหนดอนาคตมากกว่าปริมาณการผลิต ด้านมาตรการจากจีนที่เข้มงวดส่งผลต่อการส่งออก แต่ถือเป็นแรงผลักให้ผู้ประกอบการยกระดับมาตรฐาน ส่วน PTF เดินหน้ารักษามาตรฐาน Global GAP และใช้ระบบตรวจสอบคุณภาพในทุกขั้นตอน หวังยึดหัวหาดตลาดพรีเมียมในจีน        

June 28, 2025 / 0 Comments
read more

‘มิกซ์ ยูส’ แห่งอนาคต โครงการ บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค โชว์ไฮไลท์รับแผ่นดินไหวระดับสูงสุด

BizKet

บีทีเอส กรุ๊ปฯ ผุดมิกส์ยูส ‘บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค’ ทำเลวิภาวดี-พหลโยธิน โชว์อนาคตอยู่อาศัยคนเมืองอนาคต ผ่านความล้ำ-นวัตกรรมอัจฉริยะ   กวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมือง เปิดเผยว่า บริษัทฯ เปิดตัว บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค (BTS Visionary Park) โครงการมิกซ์ยูสศูนย์กลางการทำงานและใช้ชีวิต ผสานทั้งพื้นที่สำนักงาน พื้นที่ค้าปลีกหลากหลายรูปแบบ และพื้นที่เพื่อการพักผ่อน เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่อย่างครบวงจร   “บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค เป็นโครงการเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์คอมมูนิตี้ที่มีสีสันและตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง โดยนำนวัตกรรมการออกแบบที่ล้ำสมัย การจัดสรรพื้นที่สีเขียว และการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อให้เป็นชุมชนที่มีความยั่งยืนในตัวเอง และมีส่วนช่วยในการสร้างผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้คนทั้งในวันนี้และในอนาคต” กวิน กล่าว     ขณะที่ โครงสร้างอาคารของ บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ยังได้รับการประเมินและรับรองด้านความปลอดภัยและความพร้อมในการรับมือกับแผ่นดินไหวในระดับสูงสุด โดยผลจากการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งดำเนินการโดยปาล์มเมอร์ แอนด์ เทอร์เนอร์ (ประเทศไทย) (Palmer & Turner (Thailand) Ltd.) และโปรไฟร์ อินสเปคเตอร์ (Profire Inspector) ยืนยันว่าการออกแบบอาคารมีความแข็งแกร่งและสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับผู้ใช้งานทุกคน   สำหรับ บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 11-0-40.7 ไร่ (17,763 ตร.ม.) ประกอบด้วยอาคารสูง 36 ชั้น มีพื้นที่อาคารรวมประมาณ 167,641 ตร.ม. ซึ่งรวมถึงพื้นที่ให้เช่าสุทธิขนาด 80,197 ตร.ม. โดยแบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมียม 72,730 ตร.ม. และพื้นที่รีเทล 7,467 ตร.ม.     นอกจากนี้ โครงการฯ ดังกล่าวยังตอบโจทย์แนวโน้มความต้องการพื้นที่ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างครบวงจรมีเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน  รองรับภูมิทัศน์การขยายตัวของเมืองในกรุงเทพฯ ที่กำลังเปลี่ยนแปลง พร้อมออกแบบชัดเจนด้วย 4 องค์ประกอบหลัก เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนเมือง ประกอบด้วย   Office & Co-Working Spaces: ออกแบบเพื่อคนทำงานในยุคดิจิทัล ด้วยพื้นที่สำนักงานอันล้ำสมัยและปรับแต่งตามความต้องการได้ เพื่อความสะดวกสบาย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การออกแบบแบบไร้เสากลางช่วยเพิ่มการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพดานสูง 3 เมตรให้บรรยากาศที่กว้างขวางและสบายตา พร้อมด้วยโซลูชันระบบอัจฉริยะต่าง ๆ     Retail & Dining: แหล่งรวมร้านค้าและร้านอาหารระดับพรีเมียม โดยมีเมนูอาหารและเครื่องดื่มกว่า 200 รายการ ตอบสนองทุกความต้องการและทุกโอกาส และโซนรีเทล ประกอบด้วยร้านค้าป็อปอัพ Experience Zones ต่าง ๆ   รวมถึง Turtle X ร้านที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่มีไลฟ์สไตล์ในเมืองที่ใช้ชีวิตรีบเร่ง  มุ่งเน้นการให้บริการสินค้าที่รวดเร็วและมีคุณภาพสูง จุดเด่นคืออาหารพร้อมทานที่ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์ เทอร์เทิล สินค้าคุณภาพสูงที่มั่นใจได้จากการ คัดสรรจากผู้ผลิตระดับพรีเมี่ยม รวมถึงสินค้าสดใหม่จากแหล่งผลิตในประเทศไทย   Green & Smart Spaces โดยโครงการได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED Gold จากการจัดสรรพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ตลอดแนวตั้งของอาคาร ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีและไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ใช้อาคาร     นอกจากนั้น อาคารยังได้รับการรับรองมาตรฐาน WiredScore Gold รับประกันการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและ 5G ที่เสถียร รองรับการสตรีม การประชุมออนไลน์ และการทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น   Innovation Hub: บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ยังวางให้เป็นศูนย์กลางสำหรับการจัดนิทรรศการ กิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มีสีสันและชีวิตชีวา เป็นพื้นที่ซึ่งทุกคนสามารถมาทำงาน พักผ่อน และพบปะสังสรรค์ได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิ ลู่วิ่งกลางแจ้ง ฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่ทันสมัย และออดิทอเรียม โดยเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้   สำหรัย บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางวิภาวดี-พหลโยธินที่เดินทางได้สะดวกสบาย ติดระบบขนส่งมวลชนหลัก รองรับการเชื่อมต่อการเดินทางแบบ Multi-modal ที่เหนือชั้น ใกล้กับสถานีกลางบางซื่อ รถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้า MRT รถไฟ SRT และโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   นอกจากนี้ ยังเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกและแห่งเดียวในพื้นที่ที่มีทางเดิน Skywalk เชื่อมต่อจากรถไฟฟ้า BTS เข้าสู่อาคารโดยตรง เพื่อการเดินทางที่ราบรื่น ครอบคลุม สะดวกสบาย และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน   ขณะเดียวกัน ยังสามารถเข้าถึงทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษเฉลิมมหานคร สามารถเดินทางไปยัง สถานที่หลักในกรุงเทพมหานคร สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ รวมถึงท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง เป็นจุดเชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองและออกไปยังชานเมืองได้อย่างง่ายดาย เพื่อการเดินทางที่รวดเร็วและไม่มีสะดุดสำหรับนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โครงการบีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ยังรองรับรถยนต์ได้ถึง 1,521 คัน รวมไปถึงยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมระบบตรวจจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ระบบระบายอากาศเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศ และมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 102 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดสำหรับอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   ทั้งนี้ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่ง โดยตัวอาคารได้รับการรับรองจากกรมโยธาธิการและผังเมือง และกรุงเทพมหานคร ยืนยันว่าโครงการได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยและมีความพร้อมสำหรับการใช้งานปกติ  และยังมีการประเมินภายในจากเจ้าหน้าที่ของโครงการเอง เพื่อตอกย้ำถึงความทุ่มเทของ บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค ในการส่งมอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานอาคารทุกคน     Alternate-X สรุปให้   บีทีเอส กรุ๊ป เปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส “บีทีเอส วิชันนารี ปาร์ค” บนทำเลศักยภาพ วิภาวดี–พหลโยธิน พื้นที่รวมกว่า 167,000 ตร.ม. แบ่งเป็นออฟฟิศพรีเมียม 72,000 ตร.ม. และรีเทลกว่า 7,000 ตร.ม.โดดเด่นด้วยนวัตกรรม Smart & Green Design รับรอง LEED Gold และ WiredScore Gold โดยอาคารรองรับแผ่นดินไหวระดับสูงสุด พร้อม Skywalk เชื่อม BTS และ EV Charger มากถึง 102 จุด เตรียมเปิดบริการเต็มรูปแบบ พฤศจิกายน 2568  

June 26, 2025 / 0 Comments
read more

‘เครือสหพัฒน์’ เข้าสู่ยุค AI แล้ว ร่วมพันธมิตร AWS เสริมแกร่งเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านองค์กรดิจิทัล

BizKet

อี-คอมเมอร์ซ ดิจิทัลฯ ธุรกิจในเครือสหพัฒน์ ร่วมมือเชิงกลยุทธ์ AWS  ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก เปลี่ยนผ่านธุรกิจในเครือสหพัฒน์สู่ยุคดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี AI   เครือสหพัฒน์ โดย บริษัท อี-คอมเมอร์ซ ดิจิทัล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (EDTH) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด (AWS) ผู้นำด้านบริการคลาวด์ที่ครอบคลุมและได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก   ทั้งนี้ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจในเครือสหพัฒน์สู่ยุคดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยจาก AWS เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (machine learning)   โดย EDTH มีพันธกิจในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และกระบวนทัศน์ ในธุรกิจดิจิทัลและ AI พัฒนาศักยภาพ ให้ระบบนิเวศธุรกิจ และบริษัทในเครือสหพัฒน์ ก้าวสู่ธุรกิจ E-commerce อย่างยั่งยืน รวมถึงพัฒนาโมเดลธุรกิจ และเครือข่าย ที่สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่   ด้าน บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับ AWS ในครั้งนี้จะเป็นตัวเร่งสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของเครือสหพัฒน์ให้สามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า คู่ค้า และผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด   “ในยุคที่ความสามารถทางดิจิทัล อีคอมเมิร์ซกลายเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจ” บุณยสิทธิ์ กล่าว   สำหรับ การลงนามความร่วมมือครั้งสำคัญนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของแผนปฏิบัติการระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2568-2570) ที่ครอบคลุมการใช้บริการ AWS cloud และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศในเครือสหพัฒน์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น   นอกจากนี้ ยังรวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI, Machine Learning, Data Analytics และ Cloud Solutions ของ AWS เพื่อเพิ่มศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูล พัฒนากระบวนการทางธุรกิจ และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ในเครือสหพัฒน์ ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ เครือสหพัฒน์จะเริ่มต้นด้วยการย้ายระบบบางส่วนขึ้นสู่ AWS Asia Pacific (Thailand) Region   จากนั้นจะขยายการใช้งานให้ครอบคลุมการย้ายระบบสำคัญต่าง ๆ เช่น ระบบ E-Commerce, CRM (Customer Relationship Management) และระบบคลังสินค้า   พร้อมกันนี้ AWS จะสนับสนุนการวางแผนและการใช้งานเทคโนโลยี AI ของเครือสหพัฒน์อย่างเป็นระบบ โดยเน้นการนำไปใช้งานในหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ในเครือสหพัฒน์ เช่น การตลาด การผลิต และการบริการลูกค้า   นอกจากนี้ เครือสหพัฒน์จะพัฒนา AI ขั้นสูงสำหรับการคาดการณ์และวางแผนเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนขยายการใช้งานเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยังธุรกิจอื่น ๆ ในเครือสหพัฒน์ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค   ด้าน วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ‘AWS’ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพของธุรกิจไทย โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี AI และแมชชีนเลิร์นนิ่ง และ Cloud มาประยุกต์ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน       Alternate-X สรุปให้ เครือสหพัฒน์ โดยบริษัท EDTH จับมือ AWS ยกระดับเทคโนโลยี ดันองค์กรสู่ดิจิทัล-AI ความร่วมมือครั้งนี้มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน IT และสร้างระบบ AI เชิงกลยุทธ์  เริ่มย้ายระบบขึ้น AWS Thailand Region พร้อมใช้ Machine Learning, Data Analytics โดย AWS หนุนวางแผนและใช้งาน AI ครอบคลุมธุรกิจหลักในเครือ เช่น CRM, อีคอมเมิร์ซ ถือเป็นแผนระยะ 3 ปี เพื่อเพิ่มศักยภาพแข่งขันและต่อยอดสู่ธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน

June 26, 2025 / 0 Comments
read more

ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นยังไง ‘คนไทย’ ก็ยังชอบมิวสิค เฟสฯ ปี68 จัดคอนฯไทย/ต่างประเทศกว่าพันงาน

Zcreat

GMM Music บอกเลยปีนี้เซ็กเมนต์เทศกาลดนตรีไทยแข่งขันสูงมีผู้เล่นใหม่เข้าตลาดเพียบ หนุนกลุ่มธุรกิจโชว์บิซโตพุ่ง ไตรมาสแรกปี 68 ทำกำไรกว่า 46% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน พร้อมแผนเปิด 2 ค่ายเพลงระดับอินเตอร์ใหม่   ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2568 บริษัทฯ มุ่งบริหารธุรกิจเชิงรุกในกลุ่มธุรกิจโชว์บิซ  ทั้งในรูปแบบเทศกาลดนตรี  (Music Festival) ในหลากหลายพื้นที่ รวมถึงจัดคอนเสิร์ตของศิลปินในสังกัด   นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีทของศิลปินเกาหลี เช่น Le Sserafim Tour ‘Easy Crazy Hot’ in Bangkok, 2025 Han So Hee 1st Fanmeeting World Tour [Xohee Loved Ones,] in Bangkok และคอนเสิร์ตจากศิลปินนานาชาติ ต่างๆที่จะเกิดขึ้นอีกจำนวนมาก   “โดยปกติบริษัทฯ ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า 1 -2 ปีสำหรับธุรกิจนี้ภายใต้ปัจจัยต่าง ๆ รอบด้าน ทั้งเทรนด์ของผู้ชม การวางตำแหน่งแบรนด์ ตลอดจนการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร ซัพพลายเออร์ และการพัฒนาคุณภาพทีมงาน”   ภาวิต กล่าว   แผนงานดังกล่าว ยังสอดคล้องกับอุตสาหกรรมดนตรีและบันเทิงในไทยปี 2568 มีการขยายตัว และคาดว่าภาวะการแข่งขันในธุรกิจโชว์บิซจะแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น โดยประเทศไทยจะมีการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินไทยและต่างประเทศมากกว่า 1,000 งานในปีนี้ ทั้งจากผู้เล่นรายเดิมและมีผู้เล่นใหม่ ๆ รวมตัวกันเข้ามา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม   ขณะที่ บริษัทได้เตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขัน ด้วยกลยุทธ์เชิงรุกทั้งระยะสั้น กลาง และยาว พร้อมใช้ความได้เปรียบด้านโครงสร้างบริษัท ประสบการณ์ของทีมงาน และองค์ความรู้ในธุรกิจที่มีมาอย่างยาวนาน รวมถึงการมี Big Data ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเพลงทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายมิติมาช่วยประกอบการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ   ภาวิต กล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจดิจิทัลมิวสิค จะร่วมมือกับพันธมิตรในเชิงลึกเพื่อสรรหาแนวทางและโมเดลธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงใช้ยุทธศาสตร์เฉพาะทางในการบริหาร Back Catalog และ New Release อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง   ขณะที่ธุรกิจการผลิตคอนเทนต์ บริษัทฯได้วางวางกลยุทธ์ 3 ปีล่วงหน้าพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ 14 ค่ายเพลงในสังกัด และเตรียมแผนจัดตั้งค่ายเพลงระดับสากลจำนวน 2 ค่ายร่วมกับ Tencent Music Entertainment (TME) และ Warner Music Asia ซึ่งพร้อมจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้   โดยวางเป้าหมายขยายสเกลของพอร์ตโฟลิโอเพลงโดยรวมของบริษัทด้วยผลงานเพลงใหม่ ๆ ทั้งเชิงคุณภาพ และปริมาณ ไม่น้อยกว่า 500 เพลง และ 3,000 Playlists  ภายในปี 68 นี้   ภาวิต กล่าวว่า ในปี 2568 GMM Music จะยังสามารถเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจได้ ไปพร้อมสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมเพลงไทย ตลอดทั้งระบบนิเวศอุตสาหกรรมดนตรีที่ยั่งยืนและครอบคลุม ตั้งแต่การพัฒนาศิลปินรุ่นใหม่ การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่หลากหลาย การใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเพลงไทยสู่ New Music Economy ด้วยการเป็น Music Pure Play ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ   สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 ของ GMM Music ยังเติบโตสวนทางกับสภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่ผันผวน มีรายได้รวม 1,073.18  ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 155.39  ล้านบาท เติบโตขึ้น 46.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า   โดยผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจ 4 เสาหลักในไตรมาส 1 ปี 68 ประกอบด้วย   กลุ่มธุรกิจดิจิทัลมิวสิค (Digital Streaming) มีรายได้ 30 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากธุรกิจ Digital Subscription จาก Platform Streaming ต่าง ๆ แม้รายได้จากการโฆษณาใน Video Streaming และ Audio Streaming Platform (Ad Revenue) จะลดลงเล็กน้อยตามภาวะการใช้เงินในตลาดที่หดตัว แต่ไม่ส่งผลกระทบกับภาพรวมของกลุ่มธุรกิจ โดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ คือ การเติบโตของรายได้ประจำ (Recurring Revenue) จากการบริหารจัดการลิขสิทธิ์เพลง (Music IP) อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง New Release หรือเพลงใหม่ และ Music Back Catalog หรือคลังเพลงฮิตจำนวนมหาศาลที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย   กลุ่มธุรกิจบริหารลิขสิทธิ์ (Right Management) มีรายได้กว่า 42 ล้านบาท เป็นผลจากการวางกลยุทธ์ล่วงหน้า และการวางแผนงานระยะยาวร่วมกับพาร์ทเนอร์สาขาต่าง ๆ และการเติบโตของการจัดงานคอนเสิร์ตและ Music Festival ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง   กลุ่มธุรกิจบริหารศิลปิน (Artist Management) ยังคงมีรายได้จากงาน Sponsorship เพิ่มขึ้นกว่า 108% ขณะที่ส่วนของงานจ้างศิลปิน (Live Show) มีอัตราการจ้างงานอยู่ในมาตรฐานเดิม ในขณะที่ส่วนของงาน Presenter และ Tailormade มีผลประกอบการลดลงเล็กน้อย เนื่องด้วยความผันผวนของเม็ดเงินการโฆษณาในแต่ละไตรมาส   กลุ่มธุรกิจโชว์บิซ (คอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรี) ทำรายได้สูงสุดที่ 68 ล้านบาท สร้างปรากฏการณ์เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 107.45% และจำนวนคนดูกว่า 220,000 คน ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหรือกว่า 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า   โดยเป็นผลจากความสำเร็จอย่างล้นหลามของ Music Festival ระดับประเทศในช่วงไตรมาส 1 นี้ อาทิ เทศกาลดนตรี Rock Mountain, เฉียงเหนือเฟส, พุ่งใต้เฟส, นั่งเล มิวสิคเฟสติวัล และเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้นใหม่อย่าง FAAD Festival รวมถึงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่อย่าง Cocktail Ever Live ที่ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากแฟนเพลง   “ นอกจาก 4 เสาธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GMM Music ยังสามารถรักษาการเติบโตได้ดี คือธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานอย่าง BLKGEM สถาบันศิลปะบันเทิงที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง GMM Music และ Harlem Shake ซึ่งบริหารโดยครูเจด้า – อภิสราฐ์ เพชรเรืองรอง สามารถสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 83% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา” ภาวิตเสริม   พร้อมกล่าวถึง ด้านการผลิตคอนเทนต์ GMM Music มียอดการรับชมวิดีโอและฟังเพลงเติบโตกว่า 26% เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยส่วนของการรับชมวิดีโอ มีการเติบโตถึง 22% ด้วยยอดรับชม (วิว) จาก 4,472 ล้าน เป็น 5,492 ล้าน โดยส่วนของ Back Catalog เติบโต 13%   ขณะที่ผลงานใหม่ (New Release) เติบโต 25%  และส่วนของเพลงประเภท Audio เติบโต 49% ด้วยยอดรับฟัง (สตรีมมิ่ง) จาก 629 ล้าน เป็น 939 ล้าน โดยส่วนของ Back Catalog เติบโต 10% และผลงานใหม่ (New Release) เติบโต 24% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   ขณะที่ ในปี 2567 GMM Music สร้างปรากฏการณ์ด้วยการสร้างรายได้รวมกว่า 4,056 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) เฉลี่ยอยู่ที่ 15% ต่อปี และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8.03% เมื่อเทียบกับงวดสิ้นปี 2566 โดยบริษัท ฯ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 10.73% รักษาระดับใกล้เคียงกันกับปีที่ผ่าน ๆ มา โดยมีอัตราเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) เฉลี่ย 19.53% ต่อปี   “แม้สภาพเศรษฐกิจไทยจะเกิดความผันผวนอย่างหนัก หลายธุรกิจในอุตสาหกรรมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ถูกดิสรัปต์ และ เกิดภาวะชะลอตัวทางรายได้ แต่ธุรกิจเพลงยังคงเป็นเซ็กเตอร์ในอุตสาหกรรมเอนเตอร์เทนเมนต์ที่แข็งแกร่ง เติบโตผ่านพ้นกระแสดิสรัปชั่น ด้วยความมั่นคง และปรับตัวเข้าสู่โกรทธ์ สเตจ ได้เป็นอย่างดี” ภาวิต  กล่าวทิ้งท้าย     Alternate-X สรุปให้    ในปี 2568 ไทยยังจัด Music Festival และคอนเสิร์ตไทย–ต่างประเทศกว่า 1,000 งาน แม้เศรษฐกิจผันผวน สอดคล้องอุตสาหกรรมดนตรีไทยยังเติบโตเห็นได้จากผลดำเนินงน GMM Music ไตรมาสแรกกำไรพุ่ง 46% พร้อมเตรียมเปิด 2 ค่ายเพลงระดับอินเตอร์กับ Tencent Music และ Warner Music Asia ขณะที่ธุรกิจ กลุ่มโชว์บิซ (คอนเสิร์ต & เทศกาลดนตรี) โตแรง 107% มีผู้ชมกว่า 220,000 คน ขับเคลื่อนโดยเทศกาลดนตรีระดับชาติ ส่วนธุรกิจดิจิทัลมิวสิค รายได้เติบโตจาก Subscription และ Back Catalog พร้อมวางกลยุทธ์บริหารลิขสิทธิ์เพลงอย่างยาว โดย GMM Music ยังมุ่งสร้าง New Music Economy ด้วย Big Data, คอนเทนต์คุณภาพ และพันธมิตรระดับโลก

June 26, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดรับสร้างบ้านยังโต สวนทางเศรษฐกิจ-ซบอสังหาฯ ‘แลนดี้ โฮม’ แก้เกมเจาะดีมานด์ทำเลศักยภาพ

BizKet

‘แลนดี้ โฮม’ เผยยอดสั่งสร้างบ้านโตสวนกระแสเศรษฐกิจ เปิด 2 สาขาใหม่พร้อมกัน ‘บางนา’ และ ‘นครปฐม’ ย้ำสร้างบ้านคุณภาพ กลยุทธ์สร้างเชื่อมั่นให้ลูกค้าบอกต่อ   พรรัตน์ มณีรัตนะพร  ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รับสร้างบ้าน แลนดี้โฮม เปิดเผยว่า บริษัทวางแนวทางการดำเนินธุรกิจเชิงรุกเพื่อรองรับความต้องการอยู่อาศัยผู้บริโภคในทำเลศักยภาพ สวนทางภาวะเศรษฐชะลอตัว   โดยใน 6 เดือนแรกของปีนี้ที่ผ่านมา บริษัทฯ ใช้งบลงทุนรวมกว่า 90 ล้านบาท เปิดตัว ‘แลนดี้ โฮม’  2 แห่ง คือ สาขานครปฐม ไปเมื่อเดือนมิถุนายน และ สาขาบางนา หนึ่งในทำเลยุทธศาสตร์เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่ง (High Net Worth) ตามเทรนด์ดีมานด์สร้างบ้านหรูโซนบางนาที่โตแรงต่อเนื่อง   “แลนดี้ โฮม จะใช้ชูกลยุทธ์สร้างบ้านสวย คุณภาพดี บริการดี จนลูกค้าอยากบอกต่อ พร้อมชูไฮไลท์ นวัตกรรม CAPPlus ระบบเติม Fresh Air ป้องกันฝุ่น PM 2.5 ปลอดไวรัส  ตั้งเป้ายอดขายรวม 2 สาขาใหม่ แตะ 500 ล้านบาท ภายในปี 2568   นี้” พรรัตน์ กล่าวพร้อมเสริมว่า     สำหรับแนวทางดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวแลนดี้ โฮม เพื่อเข้าหากลุ่มลูกค้าศักยภาพในทำเลอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีแนวโน้มเติบโต แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะยังเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้าและต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น   พรรัตน์ กล่าววว่า สำหรับสาขาบางนา เพื่อให้บริการลูกค้าสร้างบ้านหรู โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ในเขตตะวันออก ได้แก่ เขตบางนา,เขตประเวศ,เขตสวนหลวง,เขตพระโขนง, เขตลาดกระบัง จังหวัดสมุทรปราการ ได้แก่ อ.เมืองสมุทรปราการ, อ.บางพลี อ.บางบ่อ   รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงอย่างจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้แก่ อ.บางปะกง อ.บ้านโพธิ์ และจังหวัด ชลบุรี ฝั่งตะวันตกได้แก่ ศรีราชา,บางละมุง เป็นต้น   ทั้งนี้ จากข้อมูลของแลนดี้ โฮม พบว่าลูกค้าโซนพื้นที่บางนา มีความต้องการปลูกสร้างบ้านในระดับราคา 8-30ล้านบาท เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งปีแรกของปี 2568 ลูกค้าโซนดังกล่าวเน้นปลูกสร้างบ้านด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 500-1,000  ตร.ม. รองรับครอบครัวขยาย หรือครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มีผู้สูงอายุอยู่ร่วมกัน โดยสไตล์บ้านที่ลูกค้าชื่นชอบ เป็นบ้านสไตล์ Modern Luxury,  Modern Classic และ European Mansion   นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัทแลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับ ‘แลนดี้ โฮม สาขาบางนา’  ออกแบบมาภายใต้แนวคิด ‘Modern Gallery Experience’ ในรูปแบบ Art Gallery แสดงโมเดลแบบบ้านหลากไสตล์ และยังเป็นพื้นที่สำหรับพบปะและปรึกษากับสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบบ้านไว้ในที่เดียว   โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ Communitiy Mall  “For You Park” ติดถนนใหญ่ บางนา-ตราด ก่อนถึง Central Bangna 1.5 กิโลเมตร ด้วยขนาดพื้นที่ Showroom กว่า 150  ตารางเมตร   นอกจากนี้ แลนดี้ แกรนด์  ธุรกิจผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและสร้างบ้านหรูแบบครบวงจร ได้เปิดตัวแบบบ้านใหม่ “CHOSON” บ้านหรูชั้นเดียว สไตล์รีสอร์ท เหมาะสำหรับสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศ ตอบโจทย์ครอบครัวขนาดใหญ่ และไลฟ์สไตล์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่า โดยแบบบ้านใหม่นี้ถูกนำมาจัดแสดงไว้ที่ สาขาบางนาเป็นครั้งแรก เพื่อให้ลูกค้าในพื้นที่สามารถสัมผัสโมเดลจำลอง พร้อมรับคำปรึกษาแบบ One-on-One กับดีไซเนอร์เฉพาะทางได้ทันที   ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2568  ‘แลนดี้ โฮม’ มียอดขายรวมทั่วประเทศกว่า 1,200 ล้านบาท จากเป้ารวมทั้งปีที่วางไว้ 2,700 ล้านบาท แม้ตลาดรวมจะมีการชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ   Alternate-X สรุปให้    แม้เศรษฐกิจชะลอตัวและตลาดอสังหาฯ โดยรวม แต่ตลาดรับสร้างบ้านยังเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มบ้านหรู เป็นโอกาสของ ‘แลนดี้ โฮม’ บุกทำเลบางนา รับดีมานด์ย่านนี้ยังขยายตัวต่อเนื่อง สร้างบ้านราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8-30 ล้านบาท เน้นฟังก์ชันเฉพาะ พร้อมปรับกลยุทธ์เน้นทำเลศักยภาพ-บริการออกแบบตามไลฟ์สไตล์          

June 26, 2025 / 0 Comments
read more

ไม่ต้องห่วงจีนหาย!! ครึ่งหลังปี68 ไทยยังมีโอกาส เจาะตลาด ‘CIS’ นทท.รัสเซียมาแรง

BizKet

Yango Ads มองเศรษกิจเอเชียผันผวน ทำนักเดินทางปรับทริปพักสั้นลง-ลดไซส์กลุ่มเดินทาง ตลาดจีนหาย 30% แต่ไทยยังมีโอกาสอยู่   เนฮะ ดาวาร์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำประเทศไทยของ Yango Ad ผู้ให้บริการเทคโนโลยีโฆษณาระดับโลก กล่าวว่า ในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2568 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมายังประเทศไทยประมาณ 1.65 ล้านคน ลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว   ขณะเดียวกัน จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในเอเชีย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ดังนี้   นักท่องเที่ยวเลือกที่พักแรมในระยะเวลาที่สั้นลง ลดขนาดกลุ่มเดินทาง พิจารณาจุดหมายปลายทางที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่ามากขึ้น เช่น เวียดนามและมาเลเซีย   อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ดังกล่าวยังพบเบื้องหลังตัวเลขที่น่าสนใจ โดยข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ระบุตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 25 พฤษภาคม 2568 รัสเซียติดอันดับหนึ่งในสามของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยมากที่สุด ด้วยจำนวน 947,352 คน ตามหลังเพียงจีนและมาเลเซียเท่านั้น   “ภูมิทัศน์การท่องเที่ยวของไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง โดยไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 9.55 ล้านคนในไตรมาสแรกของปีนี้ สร้างรายได้ 4.71 แสนล้านบาท แต่รายได้กลับเติบโตเล็กน้อยเพียง 2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้” เนฮะ กล่าวพร้อมเสริมว่า   “ในภาคการท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเคยเป็นตลาดหลักที่ใหญ่ที่สุดของไทย มีสัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด”   จากสถานการณ์ดังกล่าว ยังพบว่านักการตลาดหลายรายยังมุ่งเน้นไปที่ตลาดดั้งเดิม ขณะที่การเติบโตของการท่องเที่ยวยังถูกขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยนักเดินทางจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) และยุโรปตะวันออก ซึ่งรวมถึง รัสเซีย คาซัคสถาน และจอร์เจีย   ทบทวนตลาดท่องเที่ยวไทย   โดย ข้อมูลใหม่จาก Yango Ads ประกอบกับข้อมูลเชิงลึกจากหน่วยงานการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมในเอเชีย ยังชี้ชัดว่าถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะต้องทบทวนกลยุทธ์การตลาดในประเทศไทยใหม่ทั้งหมด ว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้คือใคร และทำไมจึงควรให้ความสำคัญ   เนฮะ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากรัสเซีย คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน และประเทศในกลุ่มเครือรัฐเอกราช (CIS) ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเล็ก ๆ ที่ควรได้รับการมองข้ามอีกต่อไป   “นักเดินทางกลุ่มนี้มีความต้องการด้านการท่องเที่ยวสูง และยังเป็นกลุ่มที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นหลัก เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล และวางแผนการเดินทางอย่างมีเป้าหมาย พวกเขาใช้จ่ายมากขึ้น พักนานขึ้น และท่องเที่ยวในสถานที่ที่ไกลกว่าที่เคย”   จากข้อมูลดังกล่าว ถือเป็นโอกาสใหม่สำหรับนักการตลาดในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เคยถูกมองข้าม แต่กลับมีศักยภาพอย่างมหาศาลในปัจจุบัน และ จากรายงานอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวปี 2568 ของ Yango Ads ระบุ   40% ของนักท่องเที่ยวจากตลาดเหล่านี้ใช้จ่ายสูงถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทริป ส่วนใหญ่นิยมที่พักระดับ 4-5 ดาว ระยะเวลาการพักผ่อนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8-14 วัน 47% วางแผนการเดินทางล่วงหน้า 2-3 เดือน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างโอกาสทางการขาย และวางแผนการเปลี่ยนลูกค้าให้เป็นยอดจอง   เนฮะ กล่าวว่า ด้วยแรงหนุนจากชนชั้นกลางที่มีฐานะดีขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ เส้นทางการบินที่ขยายตัว และความต้องการในการท่องเที่ยวระยะไกลที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดพักผ่อนระดับพรีเมียมที่เน้นประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ   ทั้งนี้ นักการตลาดในธุรกิจท่องเที่ยวที่ต้องการขยายธุรกิจในปี 2568 ไม่ควรมองข้ามกระแสที่กำลังเติบโตในตลาดเกิดใหม่ เพราะได้เห็นแล้วว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้พร้อมที่จะใช้จ่ายมากขึ้น พักอยู่นานขึ้น และกลับมาเพื่อสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและการพักผ่อนที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม   “เพื่อรองรับสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และต้องรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์” เนฮะ กล่าว     อย่างไรก็ตามในกลุ่มนักการตลาดยังคงมีความเข้าใจในกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้จำกัด รวมถึงวิธีที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนี้ได้อย่างแม่นยำ โดย อันดับแรก พฤติกรรมการเสพเนื้อหาดิจิทัลของนักเดินทางจากกลุ่ม CIS นั้น แตกต่างไปจากกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก อาทิ   พฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์มโซเชียล Telegram และเครือข่ายการแสดงผลของโฆษณา (Ad Display Networks) ที่ไม่ใช่ระบบโฆษณาแบบตะวันตกที่ใช้กันแพร่หลาย แคมเปญ ที่สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาให้เข้ากับแพลตฟอร์มที่กลุ่มนี้ชื่นชอบ   จากแนวโน้มดังกล่าว Yango Ads ได้นำข้อได้เปรียบให้บริการเพื่อเข้าถึงแพลตฟอร์มสำคัญที่กลุ่มเป้าหมายนี้ใช้ได้อย่างตรงจุด ด้วยการใช้ระบบนิเวศของ Yango เอง และการผนึกกำลังกับพันธมิตร AdTech ชั้นนำ ซึ่งรวมถึงเครือข่ายโฆษณาขนาดใหญ่ในยุโรปตะวันออก   นอกจากนี้ ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายทีเฉพาะเจาะจงตามพื้นที่ พฤติกรรม และข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากฐานข้อมูลเว็บไซต์กว่า 50,000 แห่ง และแอปพลิเคชันกว่า 20,000 รายการในเครือข่าย   โดยช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงนักท่องเที่ยวที่มีความต้องการสูงเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำในทุกช่วงของการวางแผนการเดินทาง ทั้งช่วงระหว่างการค้นหาข้อมูลวีซ่าไทย ข้อเสนอสุดคุ้มของโรงแรม หรือชายหาดที่ดีที่สุดในประเทศไทย   ขณะที่ Yango Adsจะเข้ามาสนับสนุนนักการตลาดในภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทยด้วยโซลูชั่นต่างๆ ให้ตรงกับแรงจูงใจใหม่ๆ เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างตำแหน่งที่แข็งแกร่งเพื่อคว้าทั้งรายได้และส่วนแบ่งทางการตลาด ในโลกของการตลาดการท่องเที่ยวปัจจุบัน “ความเกี่ยวข้อง” สำคัญกว่า “การเข้าถึง” และนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะจองแล้ว   Alternate-X ครึ่งแรกของปี 2568 นักท่องเที่ยวจีนหายไป 30% แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากกลุ่ม CIS โดยเฉพาะรัสเซีย คาซัคสถาน และจอร์เจีย มีบทบาทสำคัญ เข้ามาแทน ซึ่งกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง เที่ยวยาว และชอบประสบการณ์แบบพรีเมียม โดย Yango Ads เผยนักเดินทางกลุ่มนี้ใช้โซเชียลแบบเฉพาะ (เช่น Telegram) และแพลตฟอร์มโฆษณาเฉพาะทาง และเป็นโอกาสของธุรกิจท่องเที่ยวไทยควรปรับกลยุทธ์ เน้นแพลตฟอร์ม-ข้อความให้ตรงกับพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมาย รองรับการฟื้นตลาดจากนักท่องเที่ยวใหม่ที่มีคุณภาพและศักยภาพใช้จ่ายสูง      

June 25, 2025 / 0 Comments
read more

ศิริราชกาญจนาฯรับอนาคตสังคมสูงวัย-ป่วย NCDsพุ่ง ดึงพลังคอนฯพี่เบิร์ด ระดมทุนสร้างตึกIPD

BizKet

‘ศิริราช’ ใช้พลัง ‘มิวสิค มาร์เก็ตติง’ ผ่านคอนเสิร์ต ‘BIRD FANFEST 20XX’ รอบการกุศล เครื่องมือระดมทุนสร้างอาคารหอผู้ป่วยในศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก   ศ.นพ.อภิชาติ  อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะ ‘สถาบันการแพทย์ของแผ่นดิน’ ดำเนินการภายใต้พันธกิจ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.ให้การเรียนการสอนเพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ, 2.การให้บริการทางการแพทย์ที่เป็นเลิศ-ดูแลผู้ป่วยทุกฐานะอย่างเสมอภาคเท่าเทียม 3.สร้างองค์ความรู้ใหม่ผ่านกระบวนการทำวิจัยและสร้างนวัตกรรม และ 4. เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการรักษาผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง   ปัจจุบันมีเครือข่ายให้บริการทางการแพทย์ 5 แห่งประกอบด้วย   โรงพยาบาลศิริราช:โรงพยาบาลหลักของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: วางตำแหน่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก: มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ศูนย์บริการสุขภาพผู้สูงอายุศิริราช-สมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร คลินิก ICS หรือ SIRIRAJ H SOLUTIONS ตั้งอยู่ชั้น 5 ICS Lifestyle Complex ตรงข้ามศูนย์การค้าไอคอนสบาม   สำหรับศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 ถือเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างโอกาสเข้าถึงการรักษาให้ประชาชนในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพมหานครและ 8 จังหวัดใกล้เคียง คือ สุพรรณบุรี นครปฐม, ราชบุรี, เพชรบุรี, สมุทรสาคร, สมทุรสงคราม, ประจวบคิรีขันธ์ และ กาญจนบุรี ให้ผู้ป่วยได้รับบริการการรักษามาตรฐานเดียวกันกับโรงพยาบาลศิริราช   โดยขณะนี้ศิริราช-กาญนา อยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน (IPD) หลังใหม่ และของบประมาณแผ่นดินราว 1,000 ล้านบาท และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสัดส่วน 60% ซึ่งยังมีความต้องการงบประมาณสนับสนุนอีกราว 200-300 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้2 ส่วนหลัก คือ   ขยายเตียงผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 200 เตียงจากปัจจุบันให้บริการราว 200 เตียง รวมเป็น 400 เตียง งานบริการในด้านอื่นๆให้ครอบคลุมการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยทุติยภูมิ (Secondary Care) ในโรคที่ซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สูงขึ้น เช่น มะเร็ง, โรคหัวใจ, เทคโนโลยีส่องกล้องทางเดินอาหาร เป็นต้น “งานบริการทางการแพทย์ดังกล่าวของศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ยังเพื่อแบ่งเบางานสาธารณสุขจังหวัดเขต5 รวมถึงดูแลผู้ป่วยเคสส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศิริราชที่ปัจจุบันมีจำนวนคนไข้จากทั่วประเทศเข้ามาใช้บริการหนาแน่นในทุกวัน” ศ.นพ.อภิชาติ กล่าวพร้อมเสริมว่า “ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก จำเป็นต้องขยายโครงสร้างพื้นฐานทั้งอาคาร/อุปกรณ์งานบริการทางการแพทย์เพื่อรองรับผู้ป่วยจำนวนดังกล่าว และจะมีแนวโน้มขยายตัวสูงในอนาคต จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประชากรไทยจะเพิ่มขึ้น 4-5 เท่าตัวในอนาคต และตามมาด้วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตามมาอีกเช่นกัน”   สำหรับอาคารหอผู้ป่วยในหลังใหม่ จะมีความสูงขนาด5 ชั้น สามารถรองรับผู้ป่วยนอก (OPD) โดยวางแผนก่อสร้างแล้วเสร็จภายในช่วงปี 2570-2572   พลังแห่งคอนพี่เบิร์ด ระดมทุนสร้างตึกใหม่   ด้าน รศ.นพ.ธีระ กลลดาเรืองไกร ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าในอนาคตจะมีผู้ป่วยในเขตกรุงเทพมหานคร รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงเข้ามารับบริการอีกเป็นจำนวนมาก   โดยในปี 2567 รองรับผู้ป่วยนอกได้เฉลี่ยปีละประมาณ 670,000 ราย ส่วนในปี 2568 มีจำนวนผู้มาใช้บริการอาจจะถึง 718,800 ราย และผู้ป่วยนอกจะเพิ่มเป็น 756,000 ราย ในปี 2569   “ปัจจุบันโรงพยาบาลมีเตียงเพียง 200 เตียง และอาคารหอผู้ป่วยในหนึ่งหลัง ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับจำนวนผู้ป่วยอีกต่อไป จึงมีความจำเป็นต้องสร้างอาคารหอผู้ป่วยในเพิ่ม บนพื้นที่จอดรถทางทิศตะวันตกต่อเนื่องกับพื้นที่ของอาคารปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับผู้ป่วยในจากเดิม 200 เตียง เป็น 400 เตียง”  รศ.นพ.ธีระ กล่าว   ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในเบื้องต้น ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ได้ร่วมกับพันธมิตร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ในกิจกรรมคอนเสิร์ต ‘BIRD FANFEST 20XX’ รอบการกุศล : ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในรอบการแสดง 20.00 น. ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2568 นี้ เพื่อนำรายได้จากการจำหน่ายบัตรรอบดังกล่าว เพื่อระดมทุนสร้างอาคารหอผู้ป่วยใน ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก   “ศูนย์การแพทย์ฯ ยังต้องใช้งบประมาณอีกราว 270 ล้านบาท เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และจากคอนเสิร์ตฯ ครั้งนี้ คาดจะได้การตอบรับดีจากประชาชนคนไทยและได้รับทุนสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท” รศ.นพ.ธีระ กล่าว     เชื่อมความสนุกมาครบทุกเจนฯ   โดยคอนเสิร์ต ‘BIRD FANFEST 20XX’ ครั้งนี้ ยังมีความพิเศษด้วยเป็นการรวมกันของ 3 ไอดอลนักร้องหนุ่มซูเปอร์ฮอท จากทุกเจเนอเรชั่น บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล หนุ่ม GEN Z โตมากับเพลงพี่เบิร์ด , โจอี้ ภูวศิษฐ์ หนุ่ม GEN Y โตมาม่วนกับพี่เบิร์ด และ ก้อง สหรัถ หนุ่ม GEN X โตมาด้วยกันกับพี่เบิร์ด มาร่วมสร้างความสนุกสนานและความประทับใจระดับซูเปอร์ FANFEST ให้กับแฟนๆ ในครั้งนี้   ผู้สนใจซื้อบัตรคอนเสิร์ตรอบการกุศลเพื่อนำรายได้สมทบทุนสร้างอาคารหอผู้ป่วยใน ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก บัตรราคา 10,000 / 9,500 / 9,000 / 8,500 / 7,000 / 6,000 / 4,500 / 3,500 และ 3,000 บาท (สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ตามกรมสรรพากรกำหนด)   สอบถามข้อมูลจองบัตรคอนเสิร์ตได้ที่งานสื่อสารองค์กร โทร.063-195-4174,  064-931-7415 หรือ LINE OA : @sigj.event ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป และนอกจากนี้ บัตรรอบการกุศล บัตรราคา 3,500 / 3,000 บาท (สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ตามกรมสรรพากรกำหนด) จะมีจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. ทาง COUNTER SERVICE ALL TICKET ในร้าน 7-ELEVEN ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่ www.allticket.com   สำหรับการแสดงรอบบุคคลทั่วไปในวันเสาร์ที่ 22 และวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 เปิดจำหน่ายบัตรพร้อมกัน ในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. ทาง COUNTER SERVICE ALL TICKET ในร้าน 7-ELEVEN ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่ www.allticket.com   Alternate-X สรุปให้  ศิริราชใช้พลัง “คอนเสิร์ตพี่เบิร์ด” พร้อมจัดรอบพิเศษการกุศล “BIRD FANFEST 20XX” วันที่ 21 พ.ย. 2568 พร้อมรวม 3 ไอดอลจาก 3 เจเนอเรชัน ร่วมขึ้นเวทีเพื่อภารกิจแห่งน้ำใจ ระดมทุนสร้างอาคารผู้ป่วยใน (IPD) ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก เพื่อรองรับผู้ป่วยเพิ่มเป็น 400 เตียง คาดระดมทุนได้ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท   

June 24, 2025 / 0 Comments
read more

ไปลองกันไหม?!? KAYAKI ปิ้งย่างแนวใหม่ ‘เนื้อปลา’ พรีเมียมเจ้าแรกในไทย

Peace&Play

3 ทายาทตระกูล ‘กอบกุลสุวรรณ’ ไปต่อไม่พักธุรกิจใหม่ร้านอาหารญี่ปุ่น KAYAKI มาพร้อมแนวคิด ‘YAKIZAKANA’ แลนดิงสาขาแรกในไทย โครงการ Yard 49   ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศยังมีแนวโน้มขยายการเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องข้อมูล องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ ‘เจโทร’ กรุงเทพฯ ระบุจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยมีทั้งหมด 5,916 ร้าน เพิ่มขึ้น 165 ร้าน มีอัตราเพิ่มขึ้น 2.9% เทียบกับปีก่อนหน้า   แน่นอนว่า ตัวเลขการเติบโตแบบนี้ ยังสะท้อนดีมานด์ผู้บริโภคในตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยเป็นอย่างดี และเป็นโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความพร้อมเข้ามาเล่นในเซ็กเมนต์นี้     เช่นเดียวกับ ‘เบ๊นซ์-ปณิธาน, โบ๊ท-ปณิธิ และ คุณเพลน-ปวิตรา 3 พี่น้องทายาทอาณาจักรธุรกิจตระกูลกอบกุลสุวรรณ ที่ดำเนินกิจการหลากหลายอุตสาหกรรมทั้ง ทั้งธุรกิจโรงแรม, ธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องจักรอุตสาหกรรม, บริษัท ไทยสากล กรุ๊ป จำกัด, ธุรกิจร้านอาหาร Kay’s Boutique Breakfast ร้านอาหารเช้าที่มีชื่อเสียงจากเมนูอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ   KANORI Hand roll bar ร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทแฮนด์โรลที่เปิดเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย   ล่าสุด ‘สามพี่น้อง กอบกุลสุวรรณ’ ออกมาย้ำความเป็นเจ้าแรกในไทยอีกครั้ง เปิดตัวร้านอาหารญี่ปุ่นแนวปิ้งย่าง KAYAKI  มาพร้อมกับแนวคิด YAKIZAKANA มาเอาใจสายปิ้งย่างระดับพรีเมียมแบบฉบับญี่ปุ่น   พร้อมเล่าที่มาของร้าน เกิดจากความชื่นชอบของรับประทานอาหารญี่ปุ่นของครอบครัวที่เมื่อหาเวลาตรงกันได้เมื่อไหร่ก็จะรวมตัวบินไปพักผ่อนญี่ปุ่น เพื่อตระเวนชิมเมนูเด็ดประจำท้องถิ่น   และในทุกครั้งที่มีโอกาสไปพักผ่อนในญี่ปุ่น ก็มักได้ทั้งไอเดียและแรงบันดาลในการทำธุรกิจในเครือ บริษัท ไทยสากลฯ ซึ่งล่าสุดได้ร้าน “KAYAKI”  เปิดให้บริการเป็นแห่งแรกในไทย ในคอนเซปต์ YAKIZAKANA (YAKI= ย่าง, ZAKANA=ปลา)  เพื่อให้ทุกคนร่วมเปิดประสบการณ์ปิ้งย่างเนื้อปลาระดับพรีเมียมแบบญี่ปุ่น   มาพร้อมจุดเด่นวัตถุดิบเกรดซาชิมิส่งตรงจากญี่ปุ่น ย่างแบบพิเศษ เสิร์ฟคู่กับข้าวซูชิร้อน ๆ และน้ำจิ้มสูตรเฉพาะที่มาช่วยชูรสปลาแต่ละชนิดให้อร่อยแบบเต็มคำ!ได้กันที่ โครงการ Yard 49 บนทำเลซอยสุขุมวิท 49 ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน นี้ บนทำเลซอยสุขุมวิท 49 โครงการ Yard 49   Alternate-X สรุปให้    ‘KAYAKI’ ร้านปิ้งย่างญี่ปุ่นแนวใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในไทยที่ Yard 49 สุขุมวิท 49 โดย 3 ทายาทตระกูล ‘กอบกุลสุวรรณ’ ชูคอนเซปต์ YAKIZAKANA ปิ้งย่าง “เนื้อปลา” พรีเมียม เสิร์ฟวัตถุดิบเกรดซาชิมินำเข้าจากญี่ปุ่น เสิร์ฟคู่ข้าวซูชิและน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ ตอบรับดีมานด์ตลาดอาหารญี่ปุ่นในไทยที่ยังเติบโตต่อเนื่อง พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ให้สายกินแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ

June 24, 2025 / 0 Comments
read more

มอนิเตอร์ใกล้ชิด ‘บิ๊กซี’ 20 สาขาในกัมพูชา มี ‘คนไทย’ หนึ่งเดียวคุมเขมร 150 คน

Zcreat

ในงานแถลงข่าวเปิดตัวสาขาใหม่ ‘บิ๊กซี แอท ฟีนิกซ์’ (Big C at Phenix) อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา   ‘คุณโอ๊ะ’ ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เล่าถึงธุรกิจห้างซูเปอร์เซ็นเตอร์ ‘บิ๊กซี’ ในกัมพูชา ที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 20 สาขา โดย 19 สาขาเป็นมินิ บิ๊กซี และอีกหนึ่งสาขาเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตตั้งอยู่ที่เมืองปอยเปต   และจากสถานการณ์ความตึงหน้าใส่กันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ตลอดช่วงที่ผ่านมา  ‘คุณโอ๊ะ’ บอกว่าทางสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย ต่างเฝ้าติดตามทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด   ด้วย ณ ปัจจุบันนี้ บิ๊กซี สาขากัมพูชาในภาพรวมยังดำเนินการไปตามปกติ จะมีปัญหาอยู่บ้างก็เรื่องไฟฟ้าดับในประเทศ แต่ก็แก้ไขได้ด้วยสาขาบิ๊กซี มีเครื่องปั่นไฟไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก   แต่ คุณโอ๊ะ ก็ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะต้องชะลอแผนขยายสาขาใหม่ในกัมพูชาออกไปก่อนจากสถานการณ์ดังกกล่าว ที่ปัจจุบันวางทำเลในเมืองปอยเปตซึ่งเป็นเมืองที่มีความครบหลายด้านทั้งแหล่งท่องเที่ยว และความบันเทิง ซึ่งหากดูแล้วว่ายังไม่พร้อมก็จะมีการ รีโลเคท หรือปรับย้ายไปยังทำเลอื่นในอนาคต   ส่วนพนักงานบิ๊กซีในกัมพูชานั้น ‘คุณโอ๊ะ’ ย้ำว่ายิ่งต้องใส่ใจอย่างใกล้ชิด ที่ในตอนนี้มีพนักงานคนไทยเพียงหนึ่งเดียวที่รับตำแหน่ง ‘Head’ ดูแลสาขาทั้งหมดและพนักงานชาวกัมพูชาที่ทำงานร่วมกับบิ๊กซีที่มีถึง 150 คนเลยทีเดียว  

June 23, 2025 / 0 Comments
read more

แผน ‘บิ๊กซี’ ครึ่งหลังปี68 บาลานซ์กำลังซื้อค้าปลีก เปิด 4 สาขาใหม่-โฟกัสสาขาท่องเที่ยว

BizKet

นายหญิงบิ๊กซีฯ ปรับแผนดึงกำลังซื้อนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มทดแทนยอดจับจ่ายในประเทศชะลอจากเศรษฐกิจหงอย แต่ปีนี้ยังไหวเปิดอีก 7 สาขาใหม่   ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่าในปี 2568 บริษัทฯ วางแผนขยายสาขาบิ๊กซี จำนวน 7 สาขาใหม่ โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเปิดแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ บิ๊กซี สาขาสวนนงนุช จังหวัดชลบุรี , บิ๊กซี สาขาหัวหินมาร์เช่ ในโครงการศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์   ล่าสุดสาขาใหม่ ‘บิ๊กซี แอท ฟีนิกซ์’ (Big C at Phenix) ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา  พร้อมวางแผนทยอยเปิดอีก 4 สาขาใหม่ ได้แก่   1.บิ๊กซี สาขาเพชรไพบูลย์ จังหวัดเพชรบุรี 2.บิ๊กซี สาขา จตุจักร กรุงเทพฯ เป็นโครงการขนาด 2 คูหาตั้งอยู่ในโครงการตลาดนัดสวนจตุจักร 3.บิ๊กซี สาขาบางนาเพลส 4. บิ๊กซี สาขาเยาวราช โดยจะเปิดตัวพร้อมกับโครงการ ‘เวิ้งนครเกษม เยาวราช’ ภายใต้การพัฒนาของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทในเครือกลุ่มทีซีซี เช่นกันกับบิ๊กซี   นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนทยอยปรับโฉมใหม่ บิ๊กซี สาขาท่องเที่ยว (Tourist Mall) จำนวน 10 สาขาใหม่ในทำเลต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ สาขาหัวหมาก, สาขารัชดาภิเษก, สาขาหาดกมลา จังหวัดภูเก็ต, สาขาเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เป็นต้น   จากปัจจุบันมี บิ๊กซีสาขาท่องเที่ยวรวมกว่า 60 แห่งทั่วประเทศ และมีสาขาทั้งหมดในปัจจุบัน 205 แห่ง   “แต่ละสาขาจะใช้งบลงทุนในการปรับปรุงที่แตกต่างกันทั้งคอนเซปต์หรือไซส์ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ราว 220 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งจำนวน7 สาขาใหม่ในปีนี้ถือว่ามากกว่าในปีที่ผ่านมาเปิดราว 3-4 สาขาใหม่” ฐาปนีย์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   สำหรับแผนขยายสาขาเพิ่มพร้อมปรับโฉมใหม่ในสาขาท่องเที่ยวของบิ๊กซี ส่วนหนึ่งยังเป็นแผนการบริหารกำลังซื้อและการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นี้ เพื่อให้มีความสมดุลกับกำลังซื้อของในประเทศไทย ที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย นับจากต้นปีที่ผ่านมา เช่นกัน   ขณะที่ นักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มคนจีนที่มีจำนวนลดลง และเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าหายไปราว 10-20% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนซึ่งเป็นเทศกาลสงกรานต์ซึ่งมักมีความคึกคัก   อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา เริ่มมีบรรยากาศการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวในกลุ่มซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม และเมียนมา) รวมถึงกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ที่เริ่มกลับคืนมา (YoY) แล้วเช่นกัน   ฐาปนีย์ กล่าวเสริมถึง‘บิ๊กซี แอท ฟีนิกซ์’ (Big C at Phenix) เป็นฟอร์แมทไฮเปอร์มาร์เก็ต ขนาดพื้นที่ 2,500 ตารางเมตร ตั้งอยู่บริเวณชั้น G ของ โครงการฟีนิกซ์ ซึ่งป็นโกลบอล ฟู้ด ฮับ  มีจุดแข็งทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ บริเวณประตูน้ำ ด้วยเป็นย่านทั้งที่พักอาศัย โรงแรม และคอนโดมิเนียม มีแหล่งท่องเที่ยวและการคมนาคมสะดวกใกล้รถไฟฟ้า BTS และ Airport Rail Link   โดยสาขาฯ ดังกล่าวยังเหมือนยก บิ๊กซี สาขาราชดำริ ซึ่งเป็นสาขายอดนิยมอันดับ 1 ของลูกค้าต่างชาติ มาไว้ที่โครงการฟีนิกซ์ เพื่อรองรับความต้องการการช้อปปิ้งของกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว   ทั้งนี้ จากแผนดังกล่าวในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะผลักดันให้ธุรกิจมีอัตราการเติบโตหนึ่งหลัก (Single Digit)   Alternate-X สรุปให้   บิ๊กซี’ ปรับแผนสู้เศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 2568 ทั้งปีเปิด 7 สาขาใหม่ เน้นทำเลท่องเที่ยวทั้งในกรุงเทพฯ–ภูเก็ต–พัทยา โฟกัสนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลุ่ม CLMV-ตะวันออกกลาง หลังจีนชะลอ ทยอยรีโนเวต 10 สาขาท่องเที่ยว ใช้งบเฉลี่ย 220 ล้านบาท/สาขา ตั้งเป้าโตเลขหลักเดียว (Single Digit) ทั้งปี  

June 23, 2025 / 0 Comments
read more

ย้อนเส้นทาง 8 ปี คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ฯ สู่รางวัล CSR องค์กรไทยในเวทีโลก

EcoVative

คิง เพาเวอร์ องค์กรธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว ‘ดิวตี้ฟรี’ รายใหญ่ของไทย ที่ดำเนินกิจการร่วม 36 ปี แม้ว่าในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาข้อตกลงใหม่กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด  หรือ AOT เพื่อจัดการภาระค่าเช่าและแบ่งรายได้ร่วมกันเพื่อให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวต่อเนื่อง   อย่างไรก็ตาม หากตัดภาพไปยังการนำองค์กรเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อสังคม หรือ ซีเอสอาร์ (CSR) ซึ่ง  ‘คิงเพาวเวอร์’ ได้ให้ความสำคัญด้านนี้มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการกิจกรรมเพื่อสังคม ‘คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย’ ด้วยแนวคิดหลัก ‘เชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย’   พร้อมหาจุดเชื่อมพลังของคนไทย ด้วยการส่งเสริมและพัฒนาความสามารถในด้านต่างๆ ที่สุดท้ายยังนำไปสู่การขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน ที่ได้ดำเนินโครงการฯ มาตลอด 7 ปีและเข้าสู่ปีที่ 8 ในปัจจุบัน   จากการดำเนินโครงการกิจกรรมเพื่อสังคม ‘คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย’ ดังกล่าว ในปี 2568 นี้ คิงเพาเวอร์ ยังได้รับรางวัลทรงเกียรติระดับโลก ‘3G Championship Award in CSR 2025’ ต่อเนื่องปีที่ 4 จากงาน GLOBAL GOOD GOVERNANCE (3G) AWARDS 2025 ณ ประเทศบรูไน อีกครั้ง   โดยรางวัลฯ ดังกล่าว ยังเป็นการยืนยัน ความเป็นเลิศในการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาล ความยั่งยืน ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคม สอดคล้องกับเป้าหมายโครงการฯ ที่วางไว้   ทั้งนี้ หากย้อนความสำเร็จโครงการฯ ดังกล่าวที่ ‘คิง เพาเวอร์’ ได้รับรางวัลนี้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องและการดำเนินงานที่แท้จริงด้าน CSR ที่เป็นส่วนหนึ่งของ DNA องค์กรที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท   โดยโครงการฯ นี้ มุ่งส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของคนไทยอย่างครอบคลุมผ่าน 3 ด้านหลัก ได้แก่     แรร์ไอเทม ‘ลูกฟุตบอลคิงเพาเวอร์’   ด้านกีฬา : โครงการล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย ส่งมอบลูกฟุตบอลคุณภาพมาตรฐานจำนวน 1 ล้านลูกให้กับเยาวชนไทย สำหรับฝึกพัฒนาทักษะกีฬา และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์   ปัจจุบันได้แจกไปแล้ว980,000 ลูก และอาจเรียกได้ว่าเป็นลูกฟุตบอลหายาก ซึ่งเป็นที่ต้องการในสนามฟุตบอลในพื้นที่ชุมชนห่างไกลอีกด้วย   โครงการ 100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย จัดสร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียมมตาฐานสากลขนาด 7 คนเล่น ส่งมอบให้กับโรงเรียนและชุมชนจำนวน 100 แห่งครอบคลุมทุกภูมิภาค ปัจจุบันได้ส่งมอบไปแล้วจำนวน 97 แห่ง   ดึงพลังคนรุ่นใหม่ ผ่านดนตรี   ด้านดนตรี : โครงการประกวดแข่งขันดนตรีสากลคุณภาพระดับประเทศ The Power Band สนับสนุนเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่รักในเสียงดนตรีได้มีเวทีให้การแสดงศักยภาพและเปิดโอกาสให้นักดนตรี มีพื้นที่ในการแสดงพลังแห่งความเป็นไปได้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ สานฝันสู่การเป็นศิลปินอาชีพ ปัจจุบันกำลังจัดการประกวดแข่งขันดนตรี THE POWER BAND 2025 SEASON 5 การประกวดวงดนตรีสากลประจำปี 2568 ภายใต้คอนเซปต์ “MUSIC CREATES MORE POSSIBILITIES พลังดนตรี เป็นไปได้ ไม่สิ้นสุด” โดย คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ร่วมกับวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดลและร่วมกับพันธมิตรค่ายเพลงชั้นนำของไทย ได้แก่ Muzik Move, Smallroom, LOVEiS Entertainment, What The Duck, Warner Music Thailand, และ XOXO Entertainment. นอกจากนี้ ยังมี Singha Corporation, T-POP STAGE, The Guitar Mag, และ Yamaha Music Thailand เป็นพันธมิตรอีกด้วย   ปัจจุบันมีผู้สนใจเช้าร่วมประกวดทั้ง 5 Seson รวมมากกว่า 5000 คน ปัจจุบันนักดนตรีที่เข้าประกวดสามารถก้าวไปสู่การเป็นศิลปิน จำนวน 2 วง ได้แก่วง PINGPING PANPAN (ปิ๊งปิ๊ง-ปันปัน) และ KRYPTONYTE       พาสินค้าชุมชนสู่สากล   ด้านชุมชน: สนับสนุนภูมิปัญญาของคนไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก โดยร่วมกับชุมชนต่างๆ ครอบคลุมทุกภูมิภาคประเทศไทย ผลิตคอลเลกชันของที่ระลึกสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ เพื่อนำไปจำหน่ายที่ประเทศอังกฤษ สร้างการรับรู้ถึงวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทย ปัจจุบันได้ร่วมกับชุมชนต่างๆ ผลิตสินค้ามาแล้วจำนวน 7 คอลเลคชัน   นอกจากนี้ในยามที่เกิดภัยพิบัติต่างๆ กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ยังได้จัดส่งกระเป๋ายังชีพไปส่งมอบให้กับผู้ประสบภัยฯ ไปแล้วกว่า 7000 ครอบครัว   จากโครงการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการมานั้น แสดงให้เห็นถึงปรัชญาการดำเนินงานที่ทำให้ คิง เพาเวอร์ พร้อมลงทุนเพื่ออนาคตของสังคมไทยให้เป็นที่ยอมรับระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ ‘CSR’ ด้วยสุดท้ายยังส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนไปด้วยกัน       Alternate-X สรุปให้ คิง เพาเวอร์ เดินหน้ากิจกรรม CSR ผ่านโครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ต่อเนื่อง 8 ปี ส่งมอบลูกฟุตบอลกว่า 980,000 ลูก สร้างสนามฟุตบอล 97 แห่งทั่วไทย พร้อมจัดเวทีประกวดดนตรี The Power Band ผลักดันเยาวชนสู่การเป็นศิลปินมืออาชีพ และยังสนับสนุนสินค้าชุมชนไทยสู่ตลาดต่างประเทศผ่านของที่ระลึกสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่นำไปสู่การได้รับรางวัล CSR ระดับโลก 4 ปีซ้อน ตอกย้ำความยั่งยืนและธรรมาภิบาลองค์กรไทย  

June 22, 2025 / 0 Comments
read more

ทำได้จริง ‘ห้องเรียนสีเขียว’ เปลี่ยนขยะพิษเป็นสื่อเรียนรู้ จากโครงการเก่าแลกใหม่’เพาเวอร์บาย’

EcoVative

เรียกว่าทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่3 แล้วสำหรับโครงการ ‘เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ ของเพาเวอร์บาย กับมิสชันนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ สู่โฉมใหม่ ‘ห้องเรียนสีเขียว’ เพิ่มโอกาสการศึกษาอย่างยั่งยืน   พัชราภรณ์ วรยิ่งยง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า ‘เพาเวอร์บาย’ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่าเนื่องในเดือนแห่งสิ่งแวดล้อมโลก มิถุนายน ของทุกปี ‘เพาเวอร์บาย’ ได้มีส่วนร่วมต่อยอดโครงการ ‘เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ เป็นปีที่ 3 ภายใต้แนวคิด Circular Economy ด้วยการเปลี่ยนขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้กลายเป็นสื่อการเรียนรู้   โดยโครงการฯ ในปีนี้ ได้ส่งมอบให้แก่มูลนิธิพระดาบส และโรงเรียนพระดาบส เพื่อใช้ในการพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในพันธกิจองค์กรต่อการดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระยะยาว   “เพาเวอร์บายมุ่งยกระดับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกด้าน ทั้ง สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) พร้อมร่วมมือจากทุกภาคส่วน ถือเป็นหัวใจการขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตอย่างสมดุล” พัชราภรณ์ วรยิ่งยง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด   สำหรับโครงการ ‘เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างเพาเวอร์บาย และแบรนด์พันธมิตร เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมง่ายๆ ผ่านการบริจาคเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า พร้อมรับสิทธิพิเศษในการซื้อสินค้าใหม่   โดยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่หันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการบริโภคอย่างมีจิตสำนึก โดยเพาเวอร์บายมุ่งเน้นให้โครงการเกิดคุณค่าใน 2 แกนหลัก ได้แก่   สิ่งแวดล้อม – ส่งเสริมการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้อง ลดปริมาณของเสียที่ยากต่อการย่อยสลาย พร้อมนำเข้าสู่กระบวนการใช้ซ้ำ (Reuse) หรือรีไซเคิล (Recycle) อย่างมีประสิทธิภาพ   สังคมและการศึกษา – เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่ผ่านการคัดแยกจะถูกส่งต่อให้มูลนิธิพระดาบส นำไปใช้เป็นอุปกรณ์การเรียนรู้ในการฝึกอบรมด้านช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เปิดโอกาสให้เยาวชน และผู้เรียนได้พัฒนาทักษะที่สามารถต่อยอดสู่อาชีพในอนาคตอย่างมั่นคง   “จากเจตนารมณ์ การเป็นพลังเล็กๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ ทำให้เพาเวอร์บายยังคงเดินหน้าสื่อสาร สร้างความตระหนักรู้ และขยายผลโครงการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพื่อให้โครงการนี้เป็นต้นแบบของการเชื่อมโยงระหว่าง เทคโนโลยี คน และสิ่งแวดล้อม เพื่อโลกและชีวิตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืนต่อไป” พัชราภรณ์ กล่าว       Alternate-X สรุปให้ เพาเวอร์บายเดินหน้าโครงการ “เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ปีที่ 3 เปลี่ยนขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสื่อการเรียนรู้ใน “ห้องเรียนสีเขียว” สนับสนุนโรงเรียนพระดาบส พัฒนาทักษะอาชีพเยาวชน พร้อมตอบโจทย์แนวคิด Circular Economy ลดของเสีย สร้างประโยชน์ ร่วมยกระดับ ESG ด้วยความร่วมมือภาคธุรกิจและผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

June 21, 2025 / 0 Comments
read more

เจาะเทรนด์อีคอมเมิร์ซ ‘AI’ ผู้ช่วยหลักธุรกิจอนาคต ‘เอสเอ็มอี’ รุ่นใหม่ต้องรู้ทันแพลตฟอร์ม

BizKet

สถานการณ์ ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ในปี 2568 คาดมีมูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท เติบโต 7% จากในปี 2566 อยู่ที่ราว 1 ล้านล้านบาท เติบโต 9% จากปีก่อนหน้า   จากตัวเลขอัตราการเติบโตดังกล่าว สะท้อนแนวโน้มการขยายตัวของตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ที่ยอมเปย์ให้กับช่องทางการซื้อขายใกล้ตัวที่อยู่บนฝ่ามือ เพียงแค่เลื่อนปัดผ่านจอแก็ดเจ็ตต่างๆ ก็สามารถสร้างธุรกรรมออนไลน์ให้เสร็จสิ้นได้เพียงช่วงไม่กี่นาที เท่านั้น   จากความง่ายและสะดวกพร้อมกับสินค้าหลากหลายบนโลกออนไลน์ กลายเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ตลาดอีคอมเมิร์ซ ส่อแววแข่งขันกันอย่างสนุกสนานผสมความดุเดือดทั้งจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไปจนถึงเจ้าของสินค้า แบรนด์ พ่อค้า/แม่ค้า ออนไลน์ เช่นกัน  เพื่อรองรับตลาดอีคอมเมิร์ซในปอีก 5 ปีข้างหน้า หรือราวปี 2573 จะมีมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้านบาท   แนวโน้มดังกล่าว ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระดับโลก ร่วมกับลาซาด้า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลก จัดสัมมนา ‘Future Trends in E-commerce: Driving Growth with AI on E-commerce’ รวมพลังผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการดิจิทัลโซลูชันสำหรับธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซและบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต   สยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวถึง เทคโนโลยี โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางด้าน AI จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน   “ความร่วมมือกับลาซาด้าในครั้งนี้เป็นการเชื่อมต่อนวัตกรรมด้านอีคอมเมิร์ซกับโซลูชันทางการเงินของธนาคาร เพื่อสนับสนุตบลานผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตและแข่งขันได้อย่างทันท่วงที” สยุมรัตน์ กล่าว   สำหรับไฮไลต์สำคัญของงาน คือ   การแบ่งปันความรู้ด้านกลยุทธ์การใช้ AI ในการทำตลาดดิจิทัล เจาะลึกเทรนด์การค้าบนโลกออนไลน์ และเทคนิคการเพิ่มยอดขายบนแพลตฟอร์มลาซาด้า   โดยในงานนี้ ลาซาด้า  ยังได้แนะนำฟีเจอร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ขายเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขาย ปรับปรุงการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น   พร้อมกันนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินและเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี อย่างมีประสิทธิภาพ จากพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันที่ช่วยเอสเอ็มอีบริหารจัดการธุรกิจ ได้แก่ PEAK โซลูชันระบบจัดการบัญชี และ ZORT ระบบจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้า   นอกจากนี้ ยังมีการแชร์เคล็ดลับความสำเร็จจากแบรนด์ไทยชั้นนำอย่าง AIMER แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น และ INGU Skin แบรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่นด้วยสารสกัดจากธรรมชาติคุณภาพสูง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการในการสร้างธุรกิจให้เติบโตในโลกออนไลน์   งานสัมมนาครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจของธนาคารยูโอบี และลาซาด้า ในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้มีความรู้ เครื่องมือ และโซลูชันทางการเงินที่จำเป็นต่อการเติบโตบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว     Alternate-X สรุปให้  ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2568 คาดแตะ 1.07 ล้านล้านบาท โต 7% จากปีก่อน โดยแนวโน้มการเติบโตสอดคล้องพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมช้อปผ่านมือถือ ด้านยูโอบีจับมือลาซาด้าจัดสัมมนา “Future Trends in E-commerce” ชูบทบาท AI ขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมแนะนำฟีเจอร์ AI ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพผู้ขายและประสบการณ์ลูกค้า ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยด้วยโซลูชันการเงิน-ดิจิทัล พร้อมแรงบันดาลใจจากแบรนด์ไทยดัง

June 21, 2025 / 0 Comments
read more

ชวนเที่ยวฝั่งกรุงธนบุรีใต้ เดอะมอลล์ฯบางแค จัดของดี 7เขตมัดรวมไว้หนุนเศรษฐกิจชุมชน

Peace&Play

เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค ศูนย์การค้าที่เติบโตมาพร้อมกับชาวฝั่งธนบุรี มาแล้วหลายเจนฯ จนรู้จักทั้ง 7 เขตมีของดี OTOP พร้อมมัดรวมไว้ในงาน ‘มหกรรมของดีกลุ่มเขตกรุงธนใต้ ครั้งที่ 18’ ที่ไม่ควรพลาด!!   เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร จับมือ 7 เขตกลุ่มกรุงธนใต้ จัดงาน ‘มหกรรมของดีกลุ่มเขตกรุงธนใต้ ครั้งที่ 18’ พร้อมอัตลักษณ์ชุมชนและของดีสินค้าหัตถศิลป์ OTOP ระดับ 5 ดาว รวมกว่า 58 ร้านค้า ที่ขึ้นชื่อทั้ง 7 เขตกลุ่มกรุงธนใต้   นอกจากนี้ ยังได้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของศิลปวัฒนธรรมวิถีชุมชนเมืองเก่า สู่แรงบันดาลใจสร้างสรรค์ สินค้า ศิลปะ และหัตถกรรมท้องถิ่น ตอกย้ำอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละเขตผ่านนิทรรศการ “บางกอกครีเอชั่น”     รวมถึงร่วมสัมผัสเสน่ห์ของดี 7 เขตกรุงธนใต้ ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวจากอดีตสู่ปัจจุบัน อัตลักษณ์ชุมชนสู่สินค้าของดี ของเด่น ของกลุ่มเขตกรุงธนใต้ อาทิ   เขตบางขุนเทียน : หรือ ย่านมอญบางกระดี่ ชาวมอญดำเนินวิถีชีวิตด้วยการถือศีล ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ทุกวันพระชาวมอญจะ ‘ทำบุญตักบาตร ถือศีล กินแกงรวม’ นำเสนอผลงานหัตถกรรมผ่านเครื่องเงินแท้ คุณภาพมาตรฐาน สลักลวดลายงดงาม   เขตราษฎร์บูรณะ : ชุมชนตลาดเสือรอดวัดสารอด โดยวัดเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านนำของดีภายในชุมชนมาแลกเปลี่ยนจับจ่ายใช้สอย ในทุกๆวันสำคัญและเทศกาล ของดีย่านราษฎร์บูรณะจึงเป็นงานประติมากรรม ‘พระพิฆเนศ’ และ ‘พญานาค’ เพิ่มความเชื่อเรื่องการเริ่มต้นทำธุรกิจ ให้ประสบผลสำเร็จ   เขตทุ่งครุ : วิถีพหุวัฒนธรรม ชีวิตริมคลองย่าน ‘บางมด’  ที่ยังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ผูกพันกับวิถีชีวิตทางน้ำ มีสวนมะพร้าวและสวนส้มบางมดอันโด่งดังกว่า 100 ปี โดดเด่นเรื่องเครื่องรางปลามังกร เสริมความเป็นสิริมงคล มอบโชคลาภและเงินทอง   เขตบางแค: วิถีชีวิตตลาดน้ำเก่าแก่กว่า 60 ปี  ศูนย์รวมตลาดสดแหล่งขายส่งวัตถุดิบ  อาหารอร่อยหลากหลาย รวบรวมของที่ระลึกจากงานประดิษฐ์ งานฝีมือต่างๆของคนในชุมชน   เขตภาษีเจริญ : อีกหนึ่งย่านชุมชนเก่าแก่ริมคลอง โดดเด่นด้วยบ้านไม้ชายคลองของ “ป้าศรี แม่ค้าเรือแร่-ขายของ ประจำคลอง” ศูนย์รวมชุมชนที่มีมาเนินนานกว่า 60 ปี จนกลายเป็นวิถีชีวิต ของชาวภาษีเจริญและเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมของชุมชน ผลิตสินค้าแฮนด์เมด สินค้าส่งออก ที่มีสีสันสวยงาม   เขตบางบอน : หลวงพ่อเกสร วัดบางบอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชุมชนอายุกว่า 100 ปี สินค้าในชุมชน ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผาของ บ้านโอ่งแดง จากภูมิปัญญาชาวบ้าน   เขตหนองแขม : วิถีชุมชนคนออร์แกนิค สู่ศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตร สร้างรายได้เสริมและพัฒนาช่วยเหลือชุมชนด้วยการปลูกผักออร์แกนิค การชงกาแฟ และการเพาะเห็ดนางฟ้า เป็นต้นพร้อมสืบสานความเป็นไทย กับเครื่องดนตรีไทย ที่ทำมาจากไม้มะริด ไม้ป่าเศรษฐกิจของไทย ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว   โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ยังจัดให้มีกิจกรรมเชียร์ การประกวด Cover Dance ชิงเงินรางวัล รวมกว่า 30,000 บาท และวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 เวลา 13.00 น. รับชมชมการประกวดร้องเพลงลูกกรุง ชิงเงินรางวัล 15,000 บาท   สำหรับสายชิลล์มองหาแหล่งเที่ยวฮีลใจย่านฝั่งกรุงธนบุรีใต้ ที่รวม 7 เขตไว้ใน ในงาน ‘มหกรรมของดีกลุ่มเขตกรุงธนใต้ ครั้งที่ 18’ ได้ตั้งแต่วันนี้ – 25  มิถุนายน 2568 ที่ เอ็ม แกรนด์ ฮอลล์ และ เอ็มแฟชั่น ฮอลล์ ชั้น จี เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค   Alternate-X สรุปให้ งาน ‘มหกรรมของดีกลุ่มเขตกรุงธนใต้ ครั้งที่ 18’ ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค รวมสินค้าท้องถิ่น OTOP จาก 7 เขตดังของฝั่งธนฯ ใต้ มีไฮไลต์นิทรรศการ ‘บางกอกครีเอชั่น’ ถ่ายทอดอัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมของแต่ละเขต พร้อมพบกับของดีของเด่น เช่น เครื่องเงินบางกระดี่ ประติมากรรมราษฎร์บูรณะ ส้มบางมด และโอ่งแดงบางบอน มีกิจกรรมการประกวด Cover Dance และร้องเพลงลูกกรุง ลุ้นเงินรางวัล จัดถึง 25 มิ.ย. 2568 ที่ M Grand Hall และ M Fashion Hall ชั้น G เดอะมอลล์ บางแค

June 21, 2025 / 0 Comments
read more

‘ฮุนเซน’ รับบทอินฟลูฯท่านหนึ่งแค่ปล่อยภาพห้องพัก ปลุกตลาดเครื่องนอนกว่า 6พันล.บาทไทย

BizKet

กลายเป็นไวรัลหนักมากในช่วงข้ามคืน หลัง ‘ฮุน เซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กเคยพา ‘แพทองธาร ชินวัตร’‘ นายกฯ ไทยชมห้องพักของ ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ อดีตนายกฯไทยในบ้านพักฮุนเซน เมื่อเดือน เม.ย. 68 ทำเอาชาวโซเชียลต่างพูดถึงชุดเครื่องนอนสีชมพู และบรรยากาศห้องพัก ในครั้งนี้   โดย หลังจากภาพชุดดังกล่าวถูกเผยแพร่ตลอดช่วงวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมาถึงในตอนนี้ นอกจากจุดประเด็นให้คอการเมืองเดือดพร้อมถกเถียงกันในวงกว้างถึงสายสัมพันธ์ระดับผู้นำของสองประเทศนี้ ว่ามีความซีมลึกกันในระดับไหน?     และหากตัดภาพมาอีกมุมหนึ่งในโลกโซเชียล ที่ ‘ความไวเป็นของปีศาจ’ ยังพบว่าชาวเน็ตโดยเฉพาะเหล่าคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ หลากหลายช่องต่างๆบนแพลตฟอร์ม โซเชียล มีเดีย ต่างหยิบภาพการพาทัวร์ชมห้องนอนที่มาพร้อมความสะดุดตาชุดเครื่องที่นอนสีชมพูแสนหวาน   กระทั่งนำไปสู่การสืบค้นเพื่อตามหาสินค้าชุดเครื่องนอนสีชมพู ในบ้าน ‘ฮุน เซน’ จนเจอสินค้าที่มีลักษณะรายละเอียดกับชุดที่นอนในภาพไวรัลชิ้นนั้น และพบว่าสินค้านี้มีขายบนแอปฯ ชั้นนำในราคาราวๆ 1,015 บาท   ที่สำคัญ ‘ผู้ขาย’ ยังเข้าไปจัดโปรโมชั่นผ่อนสบายให้ ‘เดือนละ 203 บาท นาน 5 เดือน’ อีกด้วย ตามที่สื่อหลายสำนักในได้นำเสนอในเวลานี้   สำหรับชุดเครื่องนอนที่มีลักษณะคล้ายคลึงมากที่สุดกับภาพชุดห้องพักที่ฮุนเซฯปล่อยออกมา ในตอนนี้มีแบรนด์ STEVENS ชุดเครื่องนอนดีไซน์ LABELLA รุ่น COTTON FRESH SATEEN  มาพร้อมผ้าปูที่นอนรัดมุม 4 มุม ใช้ผ้าหน้ากว้าง ไม่มีรอยต่อ   โดยในชุด 6 ฟุต มีผ้านวม, ปลอกหมอนหนุน 2 ใบ, ปลอกหมอนข้าง 2 ใบ, ผ้าปูที่นอน 1 ผืน และ ผ้านวม 100×90 นิ้ว 1 ผืน  และ ในชุด 5 ฟุต มีผ้านวม,ปลอกหมอนหนุน 2 ใบ, ปลอกหมอนข้าง 2 ใบ, ผ้าปูที่นอน 1 ผืน / ผ้านวม 86×90 นิ้ว 1 ผืน     ตลาดที่นอนขยายตามอสังหาฯ   จากกระแสไวรัล ในครั้งนี้ น่าจะปลุกให้ตลาดเครื่องนอนในไทย กลับมามีสีสัน(ชมพู) สดใสขึ้นมาได้ในช่วงสั้นตอนนี้ จากปัจจุบันตลาดที่นอนในประเทศไทยมีการเติบโตประมาณ 5-7% ต่อปี   ขณะที่ การเติบโตนี้ส่วนหนึ่งมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัว โดย 70-80% ของการซื้อที่นอนเป็นการซื้อสำหรับบ้านใหม่ และ 20-30% เป็นการซื้อเพื่อเปลี่ยนที่นอนเดิม   สำหรับตลาดที่นอนในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีมูลค่าประมาณ 5,863 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ย 4.3% ต่อปี ระหว่างปี 2566-2570   ปี 2563 มูลค่าตลาดที่นอนและเครื่องนอนอยู่ที่ 5,253 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีมูลค่า 5,165 ล้านบาท ปี 2564: ตลาดเติบโตขึ้นเป็น 5,321 ล้านบาท ปี 2565: มูลค่าตลาดลดลงเล็กน้อยเหลือ 5,310 ล้านบาท ปี 2566: ตลาดเติบโตขึ้นเป็น 5,863 ล้านบาท ปี 2567 มูลค่าตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 6,096 ล้านบาท   สอดคล้อง การวิจัยตลาดของ SPER คาดว่าตลาดที่นอนในประเทศไทยจะมีมูลค่าถึง 81.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2575 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 8.14%   นอกจากนี้ ตลาดที่นอนยังเป็นส่วนหนึ่งของ ‘Sleep Economy’ ซึ่งเป็นตลาดที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับทั้งหมด และมีมูลค่าสูงถึง 512.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลกเลยทีเดียว   Alternate-X สรุปให้    ภาพชุดเครื่องนอนสีชมพูในบ้านพักฮุน เซน ที่อดีตนายกฯ กัมพูชาโพสต์กลายเป็นไวรัลหนักในโซเชียล ชาวเน็ตตามหาที่นอนรุ่นเดียวกันในแอปฯ ชั้นนำ พบราคา 1,015 บาทพร้อมโปรผ่อนชำระ ตลาดที่นอนไทยเติบโต 5-7% ต่อปี ขับเคลื่อนโดยอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าปี 2566 อยู่ที่ 5,863 ล้านบาท คาดโตเฉลี่ย 4.3% ถึงปี 2570 และตลาด Sleep Economy โลกมีมูลค่ากว่า 512.8 พันล้านดอลลาร์

June 21, 2025 / 0 Comments
read more

[PR News] ‘เอ็ม ดิสทริค’ มหกรรมเซลล์ ระดับชาติ ปักหมุดกรุงเทพฯ ปลายทางช้อปกลางปี

PRnounce

เอ็ม ดิสทริค จับมือพันธมิตรธุรกิจชวนช้อปสุดคุ้ม รับกลางปี ในแคมเปญ BANGKOK NO.1 SHOPPING FESTIVAL 2025   เอ็ม ดิสทริค (เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์) จับมือบัตรเครดิตยูโอบี บัตรเครดิต Bangkok Bank M Visa, Royal Caribbean Cruise และ C-space รวมกับ 5 ศูนย์การค้าระดับแนวหน้าของเมืองไทย จัดมหกรรมเซลล์ระดับชาติใหญ่ที่สุดกลางปี BANGKOK NO.1 SHOPPING FESTIVAL 2025 ปักหมุดเป็นดิสทิเนชั่นช้อปปิ้งสำคัญใจกลางกรุงเทพมหานคร ดึงดูดนักช้อปและนักท่องเที่ยวชาวไทยจากทั่วโลก มอบประสบการณ์ช้อปสุดเอกซ์คลูซีพ พร้อมนำ 4 ศิลปินวัยรุ่นสุดฮอตจากซีรีย์ Gel Boys ร่วมโปรโมทแคมเปญ โดยแคมเปญจัดขึ้น ตั้งแต่วันนี้ – 28 กรกฎาคม 2568 ที่ เอ็ม ดิสทริค   สำหรับแคมเปญ Bangkok No.1 Shopping Festival  2025 ในส่วนของเอ็ม ดิสทริค พร้อมสร้างความต่อเนื่องในการกระตุ้นเศรษฐกิจกลางปี โดยเอ็ม ดิสทริค ทั้ง 3 ศูนย์การค้า ได้แก่ เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และ เอ็มสเฟียร์ โดยจับมือบัตรเครดิตยูโอบี,  บัตรเครดิต Bangkok Bank M Visa, Royal Caribbean Cruise และ C-space มอบความพิเศษตลอด 2 เดือน โดยเมื่อช้อปปิ้งร้านค้าชั้นนำในศูนย์การค้า ลูกค้าบัตรเครดิตบัตรเครดิต UOB  รับคืนสูงสุด14,600 บาท ในวันที่ 30 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568  และบัตรเครดิต Bangkok bank M Visa รับคืนสูงสุด 15,000 บาทในวันที่ 1-28 กรกฎาคม 2568  และมอบความคุ้มค่าทุกการช้อปปิ้งสำหรับสมาชิก M Card ช้อปในศูนย์การค้าทุกๆวันอาทิตย์ครบ 6,000 บาท สามารถนำคะแนน M Point 6,000 คะแนน แลกรับคูปองเงินสด 1,500 บาท  และเมื่อรับประทานอาหารใน EM DINING ทั้ง 3 ศูนย์การค้าใช้บัตรเครดิต Bangkok bank M Visa      รับคูปองแทนเงินสดสูงสุด 1,600 บาท พร้อมรับส่วนลดสูงสุด 50 % จากกว่า 30 ร้านอาหารชั้นนำ และรับ PERSONALIZE CASE MOBILE เคสมือถือหนึ่งเดียวตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน มูลค่า 590 บาท เมื่อช้อปปิ้ง/ทานอาหารครบ 3,000 บาท   นอกจากนี้สำหรับสุดยอดนักช้อปที่มียอดใช้จ่ายสูงสุด ตลอดแคมเปญรับแพ็จเก็จท่องเที่ยวเรือสำราญระดับโลก Royal Caribbean Cruise 1 รางวัล  และร่วมฉลอง Pride Month รวมสนับสนุนความเท่าเทียม และหลากหลาย ด้วยโปรโมชั่นพิเศษ ทุกๆวันศุกร์, เสาร์, อาทิตย์ตลอดเดือนมิถุนายนช้อปปิ้งในศูนย์การค้า 25,000 บาท รับคูปองแทนเงินสดมูลค่า 4,000 บาท และเฉพาะวันที่ 6-8 มิถุนายน 2568 ช้อปสินค้าแฟชั่นครบ 30,000 บาท รับคุปองเงินสดสูงสุด 7,000 บาท สำหรับการช้อปปิ้งผ่านบัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16%   ช้อปสุดคุ้มกับแคมเปญ BANGKOK NO.1 SHOPPING FESTIVAL 2025 ที่เอ็ม ดิสทริค ตั้งแต่วันนี้ – 28 กรกฎาคม 2568 ที่ ศูนย์การค้า เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์      

June 20, 2025 / 0 Comments
read more

REVIEW : JUMBO SEAFOOD ไม่ต้องบินไกลไปสาขาต่างประเทศ พบ 7เมนูพรีเมียมเสิร์ฟ ‘ไอคอนสยาม’  

WeView

เริ่มเลย!! ไอคอนสยาม ศูนย์การค้าริมน้ำเจ้าพระยาที่ว่าว้าวแล้วยังมีเรื่องชวนว้าวเพิ่ม เมื่อร่วมกับ ‘จัมโบ้ ซีฟู้ด’ ร้านอาหารทะเลชื่อดังจากสิงคโปร์ จัด 7 เมนูใหม่-ไฮไลท์ของในแต่ละสาขาทั่วโลก มาเสิร์ฟให้ที่สาขานี้เท่านั้น   จัมโบ้ ซีฟู้ด (JUMBO SEAFOOD) ร้านอาหารทะเลเก่าแก่ชื่อดัง จากประเทศสิงคโปร์ ที่ปัจจุบันมีอายุร่วมเกือบ 40 ปี และมีสาขาทั่วโลกว่า 30 แห่ง และได้มาเปิดสาขาให้บริการในไทยเมื่อ 8 ปีก่อน แห่งแรกที่ศูนย์การค้า ไอคอนสยาม และยังเป็นสาขาเรือธง ก่อนขยายอีกหนึ่งแห่งที่ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ในเวลาต่อมา   ล่าสุด จัมโบ้ ซีฟู้ด นำเมนูเด็ดประจำสาขาร้านในทั่วโลก ‘7 เมนู’ มาให้ชาวไทยและเหล่าสายกินมาร่วมประสบการณ์แห่งความอร่อยระดับพรีเมียม ณ ร้าน JUMBO Seafood ชั้น G โซน Veranda ไอคอนสยาม เท่านั้น ตั้งแต่ 20 มิถุนายนนี้ เป็นต้นไป   สำหรับความเลอค่าทางด้านรสชาติของเมนูร้าน จัมโบ้ ซีฟู้ด นั้นต้องยกให้ในเรื่องของวัตถุดิบ ที่เน้นความสดใหม่ พร้อมใช้เทคนิคการปรุงอย่างประณีตด้วยสูตรลับตามแบบฉบับอาหารสิงคโปร์สไตล์จีน เพื่อให้ความเลิศรสในแต่ละเมนูที่ถุกเสิร์ฟมาในจานใหญ่ให้อร่อยอย่างเต็มอิ่ม   โดยเมนูต้อนรับประจำฤดูกาลใหม่นี้ มีเมนูไฮไลต์ ที่ alternate-X ขออนุญาตผู้อ่านให้ดาวตามรสนิยมส่วนตัวด้านอาหารของเรา ดังนี้     ‘ซี่โครงหมูมองโกเลีย’ กับคำแรกที่ได้สัมผัสบอกเลยว่าฟินมาก กับรสชาติที่เข้ากันแบบสุดๆของซี่โครงหมูรสเข้มข้น ผัดกับซอสมองโกเลียสูตรพิเศษ เคลือบไข่เค็ม  พร้อมโรยอัลมอนด์และหอมใบ Curry Leaves   เชื่อว่าน่าจะถูกใจสายคริสปี ที่ชอบเคี้ยวอะไรกรุบๆกรอบๆ จากเนื้ออัลมอนด์และความเค็มแบบนัวๆของไข่เค็ม ให้ความละมุนตุ้นมาก   จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️     ‘เส้นใหญ่กรอบทะเลหยก’ เห็นแล้วใจฟูกับความเส้นใหญ่กรอบๆฟูๆ ที่มาพร้อมน้ำซุปหอยเป่าฮื้อเข้มข้น และซีฟู้ดจัดเต็ม ทั้งกุ้ง ปลาหมึก และหอยเชลล์   เรียกว่าเกินกว่าที่คิดทั้งในรสชาติและเนื้อสัมผัสตั้งแต่คำแรกของเส้นใหญ่กรอบฟูที่เข้ากันได้ดีแบบสุดๆกับความเข้มข้นของซุปหอยเป่าฮื้อ   จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️     ‘ข้าวผัดหอยเป่าฮื้อ’ บอกเลยว่า คือ ข้าวผัดระดับพรีเมียมที่ปรุงรสด้วยซอสหอยเป่าฮื้อ มาพร้อมไก่ กุ้ง และหอยเป่าฮื้อนุ่มละมุน (อีกแล้ว)   สายคาร์บน่าจะถูกใจสิ่งนี้ ด้วยเม็ดข้าวถูกผัดเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเนื้อสัตว์ที่ใส่มา และทอปปิ้งด้วยหอยเป๋าฮื้อ เติมความพรีเมียม ให้รสชาติหนักแน่นและความเข้มข้นของซอสปรุงรส   จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️   โดยทั้ง ‘สามเมนู’ ข้างต้นดังกล่าวเป็นเมนูเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ JUMBO Seafood ประเทศไทยเท่านั้น   ถัดมาเป็นเมนูอาหาร ‘จัมโบ้ ซีฟู้ด’ ที่ได้รับความนิยมในสาขาแต่ละประเทศ พร้อมนำมาเสิร์ฟให้กับลูกค้าคนไทยในฤดูกาลนี้ เช่นกัน เริ่มกันที่     ‘เนื้อวากิวออสเตรเลียผัดซอสน้ำผึ้งพริกไทยดำ’ เมนูพิเศษจาก JUMBO Seafood ประเทศจีน เป็นเนื้อวากิวหั่นเต๋าผัดซอส รสหวาน เผ็ดร้อน เสริมความอร่อยด้วยถั่วลันเตาหวาน   เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งจานโปรดของเหล่า ‘มีท เลิฟเวอร์’ กับอาหารสไตล์สิงคโปร์-จีน ด้วยวัตุถิบและการปรุงรสระดับพรีเมียมทั้งตัวเนื้อออสเตรเลีย ที่ถูกผัดมาแบบอ่อนนุ่มละมุน หอมกลิ่นน้ำผื้งอ่อนๆ ที่ถูกตัดรสชาติด้วยความเผ็ดร้อนนิดๆ ของพริกไทยดำ ที่สุดของความลงตัว!!   จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️   2 เมนูจาก จัมโบ้ ซีฟู้ด ประเทศไต้หวัน     ‘คอหมูย่างซอสพริกเต้าซี่สูตรพิเศษ’ ที่นำคอหมูนุ่มชุ่มฉ่ำผัดเข้ากับซอสเผ็ดเต้าซี่ เห็ดหอมสด และแตงกวาญี่ปุ่น เสิร์ฟให้ลิ้มรสบนกระทะร้อน เรียกว่ากลมกล่อมที่สุดของรสชาติที่ลงตัวของเมนูจานนี้   จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️     ‘ไก่สามรส’  อีกเมนูไต้หวันชื่อดัง ที่นำไก่ หน่อไม้จีน และใบโหระพา มาปรุงรสชาติด้วยซีอิ้ว เหล้าจีน และน้ำมันงา อย่างละหนึ่งถ้วย เสิร์ฟในหม้อดินให้ได้ความอร่อยยิ่งขึ้น, เสริมทัพความอร่อยด้วย เมนูจาก JUMBO Seafood ประเทศสิงคโปร์ จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️     ‘เส้นหมี่กรอบหอยตลับซอสปู’ เป็นเส้นหมี่ทอดกรอบเสิร์ฟพร้อมซุปข้นจากปูและหอยตลับ รสเข้ม หอมละมุน   จานนี้เราให้ ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️     นอกจากนี้ จัมโบ้ ซีฟู้ด สาขาไอคอนสยาม ยังมี 10 เมนูติ่มซำแสนอร่อย มาทั้ง จัมโบ้ทังเปา, ฮะเก๋าปลาทอง, เกี๊ยวหูฉลามจักรพรรดิ, ฝั่นโก๋ไส้กุ้งและเห็ดทรัฟเฟิล ฯลฯ  พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ สั่งติ่มซำครบ 5 เข่งขึ้นไป รับส่วนลดทันที 50% ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เฉพาะเวลา 11:00 – 16:00 น.   จัมโบ้ ซีฟู้ด สาขาไอคอนสยาม พร้อมเชิญทุกคนมาสัมผัสประสบการณ์อาหารสิงคโปร์จีนระดับพรีเมียม และเมนูเอ็กซคลูซีฟประจำฤดูกาล รวมถึงเมนูพิเศษ จากสาขาในจีนและไต้หวัน ให้รับประทานได้ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2568 นี้เป็นต้นไป ณ Jumbo Seafood ไอคอนสยาม   ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: JUMBO Seafood Bangkok และ Facebook: ICONSIAM      

June 20, 2025 / 0 Comments
read more

สายบิตคอยน์ ลุ้นQ3 จับตา Altcoin เหรียญทางเลือก แรงหนุนตลาดคริปโทฯ 1.2 แสนดอลลาร์

BizKet

Bitget  ประเมินไตรมาส 3 ราคาบิตคอยน์อยู่ในกรอบ102,000-110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และยังคงเป้าหมาย 120,000 ดอลลาร์ หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเพิ่มเติมหลังอิสราเองถล่มอิหร่าน   ไรอัน ลี (Ryan Lee ) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ Bitget Research  ภายใต้ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก กล่าวถึง ประเด็นที่น่าจับตาของตลาดคริปโทเคอเรนซี (Cryptocurrency) หลังจากนี้ คือการอนุมัติกองทุน ETF ของเหรียญ Altcoin ต่างๆ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จากการประเมินของBloomberg โดยเฉพาะเหรียญมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่อย่าง Solana และ XRP ซึ่งจะทำให้ตลาดคริปโทในภาพรวมมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น   ด้าน เกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) กล่าวว่าขณะที่การปรับตัวลงล่าสุดของบิตคอยน์ มาจากการลดความเสี่ยงซึ่งเกิดจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังอิสราเอลโจมตีทางอากาศใส่อิหร่าน ไปเมื่อกลางเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิม เช่น ทองคำและพันธบัตร สร้างความระมัดระวังในระยะสั้นในตลาดคริปโท   อย่างไรก็ตาม แม้ราคาจะลดลงแต่กระแสเงินลงทุนไหลเข้ากองทุน Bitcoin ETF ยังคงแข็งแกร่ง แสดงถึงความเชื่อมั่นของสถาบันที่ยังคงอยู่ เป็นสัญญาณว่าภาพรวมเชิงโครงสร้างของตลาดคริปโทยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงและมองว่าจะมีโอกาสฟื้นตัวกลับได้หลังจากนี้    “หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเพิ่มเติม คาดว่าราคาบิตคอยน์จะเคลื่อนไหวในกรอบราคา102,000-110,000 ดอลลาร์สหรัฐ และยังไม่ปรับเป้าหมายราคา 120,000 ดอลลาร์ ในไตรมาสที่สามนี้” เกรซี่ เฉิน กล่าว   ขณะที่ ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่น่าจับตาคือ บริษัท Circle ผู้ผลิตเหรียญ Stablecoin อย่าง USDC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กซึ่งราคาหุ้นพุ่งขึ้นเกือบ 170% ในวันแรก แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ Stablecoin ภายใต้การกำกับดูแลอย่างชัดเจน ด้วยการสนับสนุนจากสถาบันการเงินรายใหญ่ และแรงส่งจากกฎหมายสนับสนุนต่างๆ เช่น GENIUS Act และ Digital Commodity Exchange Act เหตุการณ์นี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยกระดับ Stablecoin จากเครื่องมือเฉพาะกลุ่ม สู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของระบบการเงิน   โดยการ IPO ครั้งนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า Stablecoin กำลังได้รับการยอมรับอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดึงดูดความสนใจจากสถาบัน และเสริมบทบาทในด้านการชำระเงินทั่วโลกและใน DeFi และจะเป็นแรงหนุนต่อตลาดคริปโทในระยะยาว   ในฐานะบริษัทจดทะเบียน Circle จะต้องถูกจับตามองมากขึ้น และนักวิเคราะห์ตลาดควรเฝ้าดูการนำ Stablecoin ไปใช้ที่แพร่หลายขึ้นในกลุ่มธนาคาร ฟินเทค และการออกกฎหมาย หากประสบความสำเร็จ Circle อาจกลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการผสานคริปโทเข้ากับระบบการเงินกระแสหลักในยุคต่อไป อย่างไรก็ตามความท้าทายที่สำคัญคือการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย และการปรับตัวต่อกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ     Alternate-X สรุปให้ Bitget คาดราคาบิตคอยน์ Q3 อยู่ที่ 102,000–110,000 ดอลลาร์ หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเพิ่มเติม ขณะที่ การอนุมัติ ETF ของ Altcoin เช่น Solana และ XRP อาจเริ่มในเดือนกรกฎาคม หนุนตลาดคริปโทคึกคัก แม้มีแรงขายจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แต่เงินลงทุนใน Bitcoin ETF ยังแข็งแกร่ง บวกกับ Circle ผู้ผลิต USDC จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สะท้อนความเชื่อมั่นใน Stablecoin ที่กำลังกลายเป็นโครงสร้างหลักในระบบการเงินโลก พร้อมเผชิญความท้าทายด้านกฎระเบียบ    

June 20, 2025 / 0 Comments
read more

เข้าใจหัวอกคนรีบ!! ‘คาร์ฟอร์แคช’ ให้เงินไวใน 1 ชม. แผนเจาะตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ

BizKet

กรุงศรีออโต้ ดึงอินไซต์ผู้ใช้รถทั่วไทยปรับสู่แผนตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ คาร์ฟอร์แคช รับเงินไวใน 1 ชั่วโมง พร้อมปรับดอกเบี้ยลง 3%   พรเทพ ถิรสุนทรากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการตลาด ธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ กรุงศรี ออโต้ เปิดเผยว่า คาร์ฟอร์แคล ในฐานะผู้นำตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ ส่งบริการใหม่ ‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ รับเงินไวสุด ใน 1 ชั่วโมง*’ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ ‘ความไว’ ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นทุนสำรองใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพ   “บริการฯนี้ หวังสร้างประสบการณ์ใหม่ในการใช้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถกับ คาร์ฟอร์แคช ที่มั่นคงและวางใจได้ พร้อมตอบอินไซต์ผู้บริโภคยุคนี้ด้วย” พรเทพ กล่าวพร้อมเสริมว่า   กรุงศรี ออโต้ มุ่งศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้รถในปัจจุบันเพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ทำให้ช่วยเติมสภาพคล่อง ด้วยผลิตภัณฑ์ คาร์ฟอร์แคช พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ 4 ปัจจัยหลักในการตัดสินใจขอสินเชื่อ ได้แก่   วงเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการ อัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่า ความสะดวกในการสมัคร ความรวดเร็วในการอนุมัติและได้รับเงิน   พร้อมกันนี้ ยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกของ คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ เริ่มต้นที่ 12% ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเพื่อให้ลูกค้าสามารถลดภาระด้วยการรวมหนี้มาไว้ที่เดียวที่คาร์ฟอร์แคช ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ทันที เพิ่มโอกาสในการบริหารการเงินเท่าที่จำเป็นหรือเก็บออมเพื่อเป้าหมายอื่น”   “เรามองว่าในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวและค่าครองชีพยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การกู้ยืมจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการ ‘เข้าถึงเงินเร็ว’ เท่านั้น แต่คือการ ‘เข้าถึงแหล่งเงินทุนคุ้มค่า’   สำหรับแคมเปญนี้ คาร์ฟอร์แคช ยังตอบโจทย์ทั้งเรื่องความไว และ ‘วิธีคิดของคนที่อยากรักษาสมดุลทางการเงินระหว่างวันนี้กับอนาคต’ โดยตั้งเป้าบริการใหม่นี้ช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 50,000 ราย ภายในสิ้นปี 2568 และช่วยผลักดันพอร์ตสินเชื่อ คาร์ฟอร์แคช ให้แข็งแกร่ง พร้อมครองตำแหน่งผู้นำตลาดนี้ต่อไป     นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบริการใหม่ ‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ รับเงินไวสุดใน 1 ชั่วโมง*’ จากคาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ ให้เกิดขึ้นในวงกว้าง คาร์ฟอร์แคช ได้เตรียมภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ‘ไม่ต้องฝืน’ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนในช่วงเวลาวิกฤตที่จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อคนที่รัก โดยมี คาร์ฟอร์แคช อยู่เคียงข้างในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการวางกลยุทธ์ด้านการสื่อสารแบบครบวงจรทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่สอดรับพฤติกรรมของกลุ่มเจ้าของรถและกลุ่มคนทำงานทั่วประเทศอีกด้วย     Alternate-X กรุงศรี ออโต้ เปิดตัวบริการใหม่ ‘คาร์ฟอร์แคช พร้อมใช้ รับเงินไวสุดใน 1 ชั่วโมง’ ตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้รถยุคใหม่ เน้นความเร็วและความคุ้มค่า พร้อมปรับลดดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 12% พร้อมบริการรวมหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน โดยชู 4 ปัจจัยหลัก: วงเงินตรงจุด, ดอกเบี้ยคุ้ม, สมัครง่าย, อนุมัติไว ตั้งเป้าขยายลูกค้าเพิ่มอีก 50,000 รายในปี 2568 ด้วยการสื่อสารครบวงจร

June 20, 2025 / 0 Comments
read more

จัมโบ้ ซีฟู้ดฯ ร่วมวงบุฟเฟต์พรีเมียม เป็นครั้งแรก เปิดราคา 999/หัว ขยายฐานกลุ่มใหม่

BizKet,  WeView

จัมโบ้ ซีฟู้ด ร้านอาหารชื่อดังจากสิงคโปร์ หลังเปิดให้บริการไทยสู่ปีที่ 8 เปิดไลน์ฟู้ดบุฟเฟต์ 2 สาขา หวังเข้าถึงได้เอนเกจเมนต์กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่   ร้านอาหารจัมโบ้ ซีฟู้ด แบงคอก (JUMBO SEAFOOD) จากประเทศสิงคโปร์ เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยขึ้นสู่ปีที่ 8 ภายใต้การบริหารของบริษัท ซี เจ ซีฟู้ด จำกัด ปัจจุบันเปิดให้บริการสาขาแรกศูนย์การค้าไอคอนสยาม และสาขา 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยแต่ละสาขาได้การตอบรับดีทั้งในกลุ่มลูกค้าคนไทยในประเทศ และ นักท่องเที่ยวต่างชาติ คิดเป็นสัดส่วน 50% เท่ากัน   โดยในปีนี้ จัมโบ้ ซีฟู้ด แบงคอก วางแนวทางการทำธุรกิจส่วนหนึ่ง ผ่านกลยุทธ์การทำตลาดผ่านบริการบุฟเฟต์ (Buffet) เป็นครั้งแรก เพื่อรองรับความนิยมและพฤติกรรมการรับประทานอาหารในกลุ่มคนไทยรุ่นใหม่ในปัจจุบัน พร้อมสร้างความผูกพัน (Engagement)ในฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม   ขณะที่ เดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ จัมโบ้ ซีฟู้ด เปิดให้บริการบุฟเฟต์ สาขาแรกที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม และได้การตอบรับดีทั้งจากกลุ่มลูกค้าคนไทยในพื้นที่ และ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมให้บริการบุฟเฟต์ ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ไปเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา   ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถจองรับบริการบุฟเฟต์ไดในช่องทางแอปพลิเคชัน Hungry Hub โดยวางค่าบริการต่อหัว 3 อัตรา ราคา 999 บาท, 1,499 บาท และ 1,999 บาท สำหรับสาขาศูนย์การค้าไอคอนสยาม และ ราคา 1,149 บาท, 1,599 บาท และ 1,999 บาท ในศูนย์การค้าสยามพารากอน จำกัดเวลารับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง   “หลังจากเปิดให้บริการบุฟเฟต์จัมโบ ซีฟู้ด ได้การตอบรับดีในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์การรับประทานอาหารพรีเมียมที่เข้าถึงได้ ด้วยจุดเด่นเสิร์ฟอลาคาร์ทปรุงจานต่อจาน ซึ่งการเปิดให้บริการล่าสุดที่ศูนย์ฯ สยามพารากอน เพื่อขยายโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆในย่านซีบีดีเพิ่มขึ้น”   นอจากนี้ ล่าสุด ‘จัมโบ้ ซีฟู้ด’ สาขาแฟล็กชิป สโตร์ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ร่วมต้อนรับฤดูกาลใหม่พร้อมมอบประสบการณ์มื้อพิเศษ ด้วย 7 เมนูใหม่ไฮไลท์ ซี่โครงหมูมองโกเลีย, ข้าวผัดหอยเป่าฮื้อ พร้อมไก่กุ้ง และหอยเป่าฮื้อนุ่มละมุน และ เส้นใหญ่กรอบทะเลหยก ทั้งสามเมนูเฉพาะที่ จัมโบ้ ซีฟู้ด ประเทศไทยเท่านั้น ถัดมาเป็น เนื้อวากิวออส้ตรเลียผัดซอสน้ำผึ้งพริกไทยดำ, เมนูคอหมูย่างซอสพริกเต้าซี่สูตรพิเศษ, ไก่สามรส และปิดท้ายด้วย เส้นหมี่กรอบหอยตลับซอสปู   สำหรับ จัมโบ้ ซีฟู้ด (Jumbo Seafood) เป็นร้านอาหารทะเลระดับตำนานกว่า 30 ปี ของสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1987 มี 5 สาขาในสิงคโปร์ และขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆ อาทิ จีน, ไต้หวัน,ไทย และทั่วโลก มากกว่า 30 สาขา   มาลิดา ชินสุภัคกุล ผู้บริหาร/หุ้นส่วนร้านอาหาร จัมโบ้ ซีฟู้ด (Jumbo Seafood) กรุงเทพ     Alternate-X สรุปให้ จัมโบ้ ซีฟู้ด ร้านอาหารจากสิงคโปร์ เปิดบริการในไทยสู่ปีที่ 8 พร้อมแผนขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นด้วย บริการบุฟเฟต์ใน 2 สาขา ไอคอนสยาม และสยามพารากอน จับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบประสบการณ์อาหารพรีเมียม ใช้ราคาเริ่มต้นบุฟเฟต์ตั้งแต่ 999 ถึง 1,999 บาท แล้วแต่ละในสาขา ให้เปิดจองผ่านแอป Hungry Hub รองรับทั้งไทยและนักท่องเที่ยว

June 20, 2025 / 0 Comments
read more

แผนอสังหาฯ ‘ชาญอิสสระ’ ครึ่งหลังปี68 เศรษฐกิจสุดท้าทาย มุ่งสภาพคล่อง-คุมงบฯ โฟกัสบ้านหรู

BizKet

ชาญอิสสระ มองตลาดอสังหาฯไทยระดับซูเปอร์ลักซู ยังมีแรงซื้อในอีก 1-2 ปี รับดีมานด์เศรษฐีไทย-ต่างชาติเกินครึ่งซื้อเงินสด ยังเป็นโอกาสทำตลาดของผู้พัฒนา พร้อมปรับแผนรัดกุมการเงินรับครึ่งหลังปี68 หนักกว่า 6 เดือนแรกปีนี้   สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ช่วงครึ่งหลังปี 2568 คาดว่าจะหนักกว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากปัจจัยลบเดิมภาพรวมเศรษฐกิจโลกกระทบในประเทศ   ทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามตัวแทนสองประเทศมหาอำนาจ นโยบายทรัมป์ด้านภาษีการค้า ฯลฯ ขณะที่ในประเทศมีเครื่องจักรเศรษฐกิจหลักเหลือเพียงภาคการท่องเที่ยว ที่เริ่มอ่อนแรงจากความไม่มั่นใจของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีน ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าในระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในเวลานี้ ไม่ส่งผลดีต่อภาคการส่งออก เป็นต้น และปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูงกระทบกำลังซื้ออสังหาฯ ในบางกลุ่ม   “แนวโน้มดังกล่าวจะยังคงอยู่ ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องเร่งปรับตัวลดค่าใช้จ่าย โดยบริษัทฯ จะหันมาเลือกทำโครงการที่มีโอกาส และโฟกัสสภาพคล่องทางการเงินอย่างเข้มงวด” สงกรานต์ กล่าว   พร้อมเสริมว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯ ที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบในเกือบทุกกลุ่มราคา (Segment) แต่ในโครงการระดับหรูหรา ‘ซูเปอร์ลักซูรี’ ราคาตั้งแต่ 80-100 ล้านบาทต่อยูนิต ขึ้นไป ได้รับผลกระทบน้อยสุด ด้วยเป็นตลาดที่ยังมีความต้องการจากกลุ่มกำลังซื้อสูง   “ผู้เล่นหลายรายเห็นโอกาสนี้เช่นกัน ทำให้ต่างเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดในเซ็กเมนต์นี้ ซึ่งคาดว่าโปรดักส์กลุ่มระดับราคานี้จะยังไปต่อได้อีก 1-2 ปีจากนี้” สงกรานต์ กล่าว   ขณะที่ ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ ตลาดอสังหาฯ ที่อยู่อาศัยกลุ่มซูเปอร์ลักซูรีเติบโต มาจากกำลังซื้อในกลุ่ม ผู้ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เช่น เจ้าของโรงงานขนาดใหญ่ ทั้งคนไทยและต่างชาติ เช่น ชาวญี่ปุ่น และชาวจีน (ซื้อในแบบสิทธิการเช่า 30 ปี หรือ Leasehold) โดยกลุ่มนี้มีความสนใจซื้อบ้านราคา 100 ล้านบาท อาทิ โครงการบ้านอิสสระ บางนา ราคา 130-150 ล้านบาท   โดยกำลังซื้อส่วนใหญ่ในตลาดกลุ่มนี้ จะมีพฤติกรรมใช้เงินสดในการซื้อบ้านคิดเป็นสัดส่วนราว 50-60%   “ไม่ใช่เฉพาะโครงการในพื้นที่กรุงเทพเท่านั้น แต่ยังเห็นการซื้อบ้านหรูด้วยเงินสดในพื้นที่ต่างจังหวัด อาทิ หัวหิน ส่วนกลุ่มที่กู้เงินซื้อบ้านช่วงนี้ค่อนข้างลำบาก” สงกรานต์ เสริม   พร้อมกล่าวว่า ภายในปลายปี 2568 นี้ บริษัทฯเตรียมแผนเปิดตัวบ้านระดับลักซูรีอีก 1 โครงการ ในย่านกรุงเทพกรีฑา บนพื้นที่ 40 ไร่ ราคา 80-150 ล้านบาทต่อยูนิต โดยวางแผนพัฒนาโครงการแบ่งออกเป็น 2 ระยะ (Phase) นอกเหนือจากโครงการบ้านอิสสระบางนา บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซูรี่ ระดับราคาเริ่มต้น 50-150 ล้านบาท ที่ได้พัฒนาแล้วในปัจจุบัน   สงกรานต์ กล่าวว่า แนวทางดังกล่าว ส่วนหนึ่งยังเพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจไทย ปี 2568 มีการประเมินอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) คาดว่าต่ำ 2% ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องหลายอุตสาหกรรม ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก ก่อสร้าง   ขณะที่ประเทศไทยในขณะนี้ มีความน่าสนใจด้านการลงทุนก็น้อยกว่าประเทศคู่แข่ง อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย ซึ่งมีทั้งจำนวนแรงงาน และค่าแรงถูกกว่า   สงกรานต์ กล่าวว่า “ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างสตอรี่ใหม่ๆให้น่าสนใจ ดังอดีตที่เคยมีอีสเทิร์นซีบอร์ด เมื่อ 30 ปีก่อน ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้ย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย”   ขณะที่ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายที่เด่นชัดนัก ซึ่งอาจต้องใช้แผนระยะยาวที่น่าสนใจ เช่น โครงการคอคอดกระ เพื่อชิงความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์ ที่อาจดึงดูดให้การค้าทางเรือย้ายจากสิงคโปร์มาไทย หรือการเพิ่มสิทธิการเช่าที่ดิน จาก 30 ปี เป็น 50 ปี เพื่อสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจ   “ตอนนี้ไทยหลังชนฝาแล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจจะเดินหน้าไปทางซ้ายหรือขวา เราไม่มีทางรู้ว่าทางไหนจะประสบความสำเร็จมากน้อย แต่ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ” สงกรานต์ กล่าวทิ้งท้าย   Alternate-X สรุปให้  ตลาดอสังหาฯ ซูเปอร์ลักซูรียังไปต่อได้อีก 1-2 ปี ด้วยแรงซื้อจากเศรษฐีไทย-ต่างชาติที่ใช้เงินสดซื้อกว่า 50-60% ‘ชาญอิสสระ’ เตรียมเปิดโครงการใหม่ 80–150 ล้านบาท บนถนนกรุงเทพกรีฑา ขณะที่ ภาวะเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 68 คาดว่าจะหนักขึ้น ผู้ประกอบการต้องรัดเข็มขัดเข้ม แต่ตลาดลักซูรียังเป็นโอกาสท่ามกลางปัจจัยลบ เช่น ศก.โลกชะลอ หนี้ครัวเรือนสูง พร้อมเสนอรัฐสร้างสตอรี่ใหม่ เช่น คอคอดกระ-สิทธิการเช่าที่ดิน 50 ปี ดึงการลงทุน 

June 19, 2025 / 0 Comments
read more

สัมผัส ‘เทสต์’ เกินคำว่าหรู โครงการบ้านอิสสระ บางนา ไฮไลท์บ้านเดี่ยว ดีไซน์สะท้อนตัวตน

WeView

ชมภาพโครงการบ้านอิสสระ บางนา ‘A Sanctuary of Garage Living : A place where freedom drives กับแนวคิดบ้านซีรีย์ใหม่ ดึงความหลงไหลในสิ่งที่ชอบมาตกแต่งไว้ด้วยกัน   บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ กับแนวคิด “การนำสิ่งที่รักมาอยู่รวมกัน” คือ นิยามการตกแต่งบ้านซีรีย์ใหม่ A Sanctuary of Garage Living : A place where freedom drives ของโครงการบ้านอิสสระ บางนา (Baan Issara Bangna) บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซูรี่ ที่ดีไซน์พื้นที่ตอบโจทย์ไลฟสไตล์คนรักบ้าน รักรถซูเปอร์คาร์ และ การพักผ่อนไปพร้อมๆกัน   งานออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ต้องการ Freedom of Space ในการ Customize ดีไซน์สะท้อนเอกลักษณ์ตัวตนของผู้อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด Modern Living Art ผลงาน Interior Design โดย บริษัท สตูดิโอ เคมิสทริ จำกัด (STUDIO CHEMISTRI) และ Architecture Garage Design จาก บริษัท บราวน์เฮาส์ จำกัด (BROWNHOUSE) 2 สถาปนิกชื่อดัง   Super Garage House   จุดเด่นของงานดีไซน์บ้านหลังนี้คือการนำ Supercar Garage House เข้ามาเป็นไฮไลท์สะท้อนความเป็นตัวตนของเจ้าของบ้าน ที่มีความหลงใหลในรถ Supercar ประกอบกับไลฟ์สไตล์ส่วนตัวที่รักความสนุกสนาน ชอบทำกิจกรรมงานอดิเรก สังสรรค์ปาร์ตี้ ภายในครอบครัว และกับเพื่อนฝูงที่แวะมาเยี่ยมเยียน   พร้อมได้รับความสุขจากการชื่นชมรถที่รักจากมุมของ Garage House ผสมผสานความสนุกสนานด้วย Space ฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริง เชื่อมต่อ Living Area และ Pantry Area เข้าไว้ด้วยกันอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นจุดศูนย์รวมของมุมนั่งเล่น มุมพบปะสังสรรค์ มีความโปร่งโล่งสบาย มี Open Space ขนาดใหญ่ที่เหมาะสมกับการรองรับการจัดปาร์ตี้ และรับประทานอาหารร่วมกัน     ในส่วนของ Garage House หลังนี้ได้นำแบบบ้าน CALLA บนที่ดิน 157 ตารางวา สูง 2 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 490 ตารางเมตร มาออกแบบให้ตอบสนองฟังก์ชั่นการใช้งานของผู้อยู่อาศัยที่นอกจากจะเป็นกลุ่มคนรักรถ Supercar BROWNHOUSE ยังได้จับ Key Point ในเรื่องของพื้นที่การใช้งานให้ดูโล่ง โปร่งสบาย สามารถรองรับการเก็บรถภายในบริเวณ Garage House ได้ถึง 4 คัน   นอกจากนี้บริเวณรอบบ้านยังมีพื้นที่รองรับการจอดรถรวมกันได้ถึง 6 คัน ภายในมีการสร้าง Space พื้นที่จอดรถ และพื้นที่สันทนาการออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้ไม่รบกวนการพักผ่อนของสมาชิกในบ้านท่านอื่นๆ     โดยพื้นที่จอดรถ BROWNHOUSE มีการเลือกใช้กระจกคุณภาพสูงเป็น Partition กั้นที่ทำให้สามารถมองเห็นรถ Supercar ได้จากทุกมุมของ Garage มีการปูระดับพื้นทางลาดเข้าออกถูกต้องตามมาตรฐานความสูงใต้ท้องรถ Supercar   อีกทั้งยังมีการเลือกใช้พื้นเป็นวัสดุที่เป็นมิตรและถนอมล้อรถ Supercar ป้องกันแรงต้านการหมุนของล้อรถรองรับการกดทับจากน้ำหนักตัวรถและสะดวกในการทำความสะอาดจากคราบน้ำมัน ฝ้าเพดานมีการใช้แสงไฟ LED ที่มีคุณภาพมาตฐานให้ความสวยงามเวลาสะท้อนลงบนสีรถสปอร์ตมีการติดตั้งกระจกนิรภัยเพื่อลดการสั่นสะเทือนจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ขุมพลังเทอร์โบ   นอกจากนี้ การาจเฮ้าส์ยังติดแอร์ระบายอากาศรักษาอุณหภูมิภายในเพื่อให้รถยนต์ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีทั้งตัวรถและเครื่องยนต์   ทั้งนี้นอกจากการออกแบบสัดส่วนที่ลงตัวของ Garage House ให้เป็นพื้นที่จอดรถ Supercar แล้ว การออกแบบยังมองไปถึงไลฟ์สไตล์เจ้าของบ้านที่ต้องการให้พื้นที่แห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่จอดรถ แต่ยังดีไซน์ให้เป็นเสมือนโชว์รูมจัดแสดง และสะสมรถ หรือพื้นที่ทำกิจกรรมงานอดิเรกที่ชอบได้มีมุมพักผ่อนหย่อนใจได้จากทุกมุมของบ้าน ที่เชื่อมต่อกันเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตอบรับกับทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของสมาชิกทุกคนในบ้าน   ทำให้ทุกพื้นที่เป็นมากกว่าบ้าน   ในส่วนของงานอินทีเรียดีไซน์ มีการตกแต่งออกมา ภายใต้แนวคิด Modern Living Art ผลงานโดย บริษัท สตูดิโอ เคมิสทริ จำกัด (STUDIO CHEMISTRI) ที่มีการออกแบบตกแต่งพื้นที่การใช้สอยภายในบ้านให้สะดวกสบาย ถ่ายทอดความเป็นตัวตนของผู้อยู่อาศัยออกมาได้เด่นชัดจากการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นที่ส่วนที่ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยภายในบ้านทุกคนได้ใช้ Space บ้านอย่างคุ้มค่า และมีความเป็นส่วนตัวไม่กระทบต่อกิจกรรมของสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ     โดยบริเวณชั้น 1 มีการออกแบบ Foyer ให้มีความต่อเนื่อง Living Garage และ Foyer ยังเป็นจุดเชื่อมของบ้านจาก Main Living & Dining Room กับ Family Dining ที่มาพร้อมกับ Euro Kitchen และต่อไปยังครัวไทย ที่เชื่อมโยงถึงกัน แบ่งเป็นโซนพักผ่อน   โซนจัดเลี้ยงปาร์ตี้ในกลุ่มญาติสนิทรวมไปถึงเพื่อนฝูงที่แวะเวียนมาได้สัมผัสกับบ้านที่เป็นนอกเหนือจากที่อยู่อาศัยแห่งนี้ ได้สัมผัสถึงบรรยากาศของบ้านที่นอกจากจะมีความอบอุ่นแล้ว ยังให้อารมณ์ความรู้สึกตื่นเต้น คึกคัก มีความทันสมัย เรียบง่าย และโก้หรู มีการใช้วัสดุ ผสมผสาน หลากหลาย อบอุ่นด้วยการนำพื้นทางเดินที่เป็น Walnut Veneer สลับกับ White Marble ที่คัดลายเป็นพิเศษ แบบ Natural Glam ตัดกับเส้นลายที่คม เฉียบ ของ Black Chrome Metal   อีกทั้งในโซนต่างๆ ยังผสมผสานการใช้หนังในการตกแต่งที่สะท้อนถึง Craftsmanship ของ Art Brand ต่างๆ   นอกจากการตกแต่งที่มีความสวยงามของเส้นสายความเคลื่อนไหว การเลือกใช้สีต่างๆ เข้ามาประกอบในการตกแต่ง อาทิ ยังมีการนำสี Autumn Yellow ที่อยู่ภายใน Family Dining Room สอดแทรกสี Deep Cobalt Blue และ Lagoon Green เข้าไปในห้องนอน เพื่อสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้ดูมีความน่าตื่นเต้น คึกคัก ในแต่ละพื้นที่การใช้งานของบ้าน นอกจากนี้ยังมีห้อง Shoes Room ที่สามารถรองรับการเก็บรองเท้าได้มากกว่า 100 คู่ ของสมาชิกภายในบ้านอีกด้วย   ในส่วนของ Bedroom สำหรับบ้านหลังนี้ประกอบไปด้วย 3 ห้องนอน ที่มาพร้อมกับ Walk in Closet และ Bathroom โดยในส่วนของ Master Bedroom มีการเพิ่มฟังก์ชั่นห้อง Living Area ไว้ในห้องนอน พร้อมกับ Mini Bar ที่ต่อเนื่องกับ Walk in Closet โดยมี Rocket Garden อยู่ระหว่าง Master Bathroom และ Walk in Closet เพื่อเป็นการสร้าง Green Areaให้กับเฉพาะในห้อง Master นี้     รายละเอียดโครงการ สำหรับโครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซูรี่ ตั้งอยู่บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.8 บนที่ดินประมาณ 24 ไร่ พื้นที่ดินขนาด 100 – 238 ตารางวา มีจำนวนเพียง 43 หลัง มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 380-800 ตารางเมตร พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮาส์ ฟิตเนส Amphitheater สระว่ายน้ำระบบเกลือ ระบบไฟฟ้าใต้ดิน โอบล้อมด้วยความเขียวขจีของสวน ราคาเริ่มต้น 49.9 – 179 ล้านบาท Alternate-X สรุปให้    บ้านอิสสระ บางนา เปิดตัวซีรีส์ใหม่ “A Sanctuary of Garage Living” โดดเด่นด้วยรสนิยมหรูหรา พร้อมแนวคิด Super Garage House ที่จอดรถหรูได้ถึง 4 คัน ด้วยดีไซน์เป็นโชว์รูมภายในบ้าน ตกแต่งภายในแนว Modern Living Art โดย STUDIO CHEMISTRI และ BROWNHOUSE ให้พื้นที่ใช้สอยสูงสุดถึง 800 ตร.ม. รองรับกิจกรรมส่วนตัวและการสังสรรค์อย่างลงตัว โครงการซูเปอร์ลักซูรี ตั้งอยู่บางนา-ตราด กม.8 มีเพียง 43 ยูนิต ราคาเริ่ม 49.9–179 ล้านบาท  

June 18, 2025 / 0 Comments
read more

หรูหราแต่ว่าขี้เล่น เมื่อ ‘MCM’ คอลแล็บส์ ‘หมีเนย’ กลยุทธ์การตลาดลิมิเต็ดทำมัมหมีใจละลาย

Peace&Play

‘หมีเนย’ คอลแล็บส์ ‘MCM’ แบรนด์ นิว สคูล ลักซูรี่ ระดับโลก ทำคอลเล็กชั่นสินค้าร่วมกันครั้งแรก อีกหนึ่งกลยุทธ์ ครอส มาร์เก็ตติ้ง ระหว่างคาแรกเตอร์จากไทยกับแบรนด์ระดับโลก   บริษัท พีพี แกลม จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าแบรนด์แฟชั่นระดับโลก อาทิ ลองฌองป์ (Longchamp) ทอรี่ เบิร์ช (Tory Burch) เมซง คิทสึเนะ (Maison Kitsuné) ฯลฯ ออกมาย้ำจุดแข็งการทำตลาดสินค้าแฟชันไลฟ์สไตล์รุ่นพิเศษ (Limited Collection) อีกครั้ง   โดยเตรียมจัดงาน Thailand Limited Edition พบกับคอลเลกชั่นพิเศษความร่วมมือระหว่างแบรนด์แฟชั่นระดับโลก MCM นิว สคูล ลักซูรี จากเยอรมันนี ร่วมกับคาแรกเตอร์น่ารักของไทย Butterbear ที่จะมาหลอมรวมระหว่างดีไซน์หรูสไตล์เยอรมัน เข้ากับคาแรกเตอร์อันอบอุ่นและเข้าถึงได้ของน้องเนย มาถ่ายทอดสู่ไอเทมที่สะท้อนความหรูหราและความขี้เล่นของหมีเนยในชื่อ MCM x ButterBear สนุกสนาน (Playful Luxury) ได้อย่างลงตัว   สำหรับงานฯ จัดขึ้นวันที่ 3 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ที่ MCM Pop-Up Store ชั้น M โซนธารา ฮอลล์  ไอคอนสยาม โดยในงานยังมี น้องเนย (ButterBear), เบ็คกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง และแจ๊คกี้-จักริน กังวานเกียรติชัย มาร่วมถ่ายทอดสไตล์อันโดดเด่นผ่านคอลเลกชั่น MCM x ButterBear   หมีเนย 2 ขวบเต็มแล้ว   สำหรับคาแรกเตอร์ ‘หมีเนย’ (Butterbear) เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2566 ณ ร้าน Butterbear  ซึ่งเป็นร้านขนมหวานในเครือ Coffee Beans by Dao มาพร้อมกับความน่ารักสดใสของ ‘มาสคอต’ ประจำร้านอย่าง ‘น้องหมีเนย’ (Butterbear) ที่ต่อมาความน่ารักของมาสคอตตัวนี้ได้กลายเป็นไวรัลอย่างมากในโลกออนไลน์ ทำให้มีแฟนคลับทั้งชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มชาวจีน   กระทั่งถึงในวันนี้ การปรากฎตัวแต่ละครั้งรวมถึงการร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ ที่พาให้ ‘น้องหมีเนย’ น่าจะสร้างรายได้จากค่าตัวได้มากกว่าธุรกิจเดิมที่แจ้งเกิดให้กับเจ้าตัวอย่างร้าน Butterbear ที่ขายโปรดักส์เบเกอรี่อย่างขนมปังเนย, คุกกี้, โดนัท และเมนูอื่นๆ ที่กิจการเริ่มต้นจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนจะมีหน้าร้านที่ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ (Emsphere) ในปัจจุบัน   MCM ความหรูหราแนวใหม่ สำหรับแบรนด์ MCM มีชื่อเต็มว่า ‘Modern Creation München’ ในปี 2568 นี้มีอายุ 49 ปี ด้วยแบรนด์ถือกำเนิดในปี 2519 โดย Michael Cromer ที่เมืองมิวนิก ในช่วงยุคทองของเยอรมนี   โดย MCM เป็นที่รู้จักจากกระเป๋าหนังสีคอนยัคพิมพ์ลาย Visetos โมโนแกรม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ MCM ด้วยหลักปรัชญา ‘ความเลิศหรูที่ชาญฉลาด’ (Smart Luxury) มุ่งเน้นที่นวัตกรรมและความยั่งยืน   ขณะเดียวกัน การเข้ามาของแบรนด์ MCM ยังมาพร้อมภายใต้คำนิยาม ‘New school luxury fashion MCM’  หมายถึง ‘แฟชั่นหรูหราสไตล์ MCM แนวใหม่ โดยนำเสนอสไตล์ที่ทันสมัยและเข้ากับยุคสมัยใหม่มากขึ้น โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความหรูหราและคุณภาพของ MCM ไว้   ต่อความร่วมมือระหว่างคาแรกเตอร์น้องเนย และ MCM ในครั้งนี้ จึงเป็นที่น่าสนใจอย่างมากในด้านกลยุทธ์ทางการตลาดที่เรียกร้องความสนใจทั้งเหล่าแฟชันนิสตาโดยเฉพาะด้อมมัมหมีเนย ได้เป็นอย่างดี       Alternate-X สรุปให้ ‘หมีเนย’ คาแรกเตอร์ไทยชื่อดัง จับมือแบรนด์หรู MCM จากเยอรมัน เปิดตัวคอลเล็กชั่นพิเศษ MCM x ButterBear ผสานดีไซน์หรูแนวใหม่กับความขี้เล่นน่ารัก สะท้อนแนวคิด ‘Playful Luxury’ เตรียมจัดงานเปิดตัว 3 ก.ค. ที่ ICONSIAM โดยมีอินฟลูเอนเซอร์ดังร่วมงาน ‘หมีเนย’ เติบโตจากร้านขนมสู่มาสคอตระดับอินเตอร์ด้วยพลังโซเชียล ถือเป็นตัวอย่างการตลาดคาแรกเตอร์ไทยที่เจาะตลาดลักซูรี่ได้อย่างสร้างสรรค์

June 18, 2025 / 0 Comments
read more

คนไทยมี 66 ล้านคน สถิติปีก่อนมีผู้บริจาคโลหิตกว่า 2% ห่วงอนาคตเจนฯ Z ความต้องการเลือดสูง

Peace&Play

3 องค์กรชวนเจนฯZ บริจาคโลหิตทุก 3 เดือนเพื่ออนาคต หลังพบสถิติบริจาคเลือดในปี’67 อยู่ที่ 1.63 ล้านคน พร้อมใช้แคมเปญฯโปรเจกต์ ‘Blood Connect-เลือดเชื่อมชีวิต ให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ’ ผ่านกลยุทธ์การตลาดทัชใจคนรุ่นใหม่ให้มีส่วนร่วม   รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงประสบศรี อึ้งถาวร ประธานคณะกรรมการจัดหาและส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์และสถิติการบริจาคโลหิตในไทย ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติในปี 2566 และปี 2567 มีประชากรที่บริจาคโลหิตเพียง 1.63 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 2.47% ของประชากรประเทศไทย 66 ล้านคน “ผู้บริจาคเลือดในปี 2566 มีจำนวน 2,818,774 ยูนิต คิดเป็น 3.7% หรือประชากร 1,000 คน จะมีผู้บริจาคโลหิตเพียง 37 คนเท่านั้น”   ขณะที่สถิติความถี่ในการบริจาคโลหิตเมื่อปี 2567 พบว่า ผู้บริจาคโลหิตปีละ 4 ครั้ง มีเพียง 4.5% ส่วนผู้บริจาคโลหิตปีละ 1 ครั้ง มีมากถึง 67% หากมีผู้บริจาคโลหิตประจำทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้งเพิ่มมากขึ้น จะทำให้มีโลหิตเพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอตลอดปี   รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงประสบศรี กล่าวว่า ขณะที่ปัจจุบันกลุ่มเยาวชน Gen Z  นับเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่สามารถบริจาคโลหิตได้อย่างยั่งยืนต่อไป     ในอนาคต สอดคล้องกับพฤติกรรมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ที่ชื่นชอบและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของสังคม   ทั้งนี้ หากเริ่มต้นเป็นผู้บริจาคโลหิตตั้งแต่อายุ 17 ปีบริบูรณ์ จะมีช่วงระยะเวลาบริจาคโลหิตได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่จากสถิติการบริจาคโลหิตที่น่าสนใจของกลุ่มเยาวชน ที่มีอายุระหว่าง 17-20 ปี ระหว่างปี 2566 – 2567  คิดเป็นสัดส่วน 10% จากผู้บริจาคโลหิตในทุกช่วงอายุ   โดยในปี 2566 มีเยาวชนบริจาคโลหิต จำนวน 167,478 คน จากผู้บริจาคโลหิต 1.63 ล้านคน ขณะที่ปี 2567 มีเยาวชนบริจาคโลหิต จำนวน 162,170 คน จากผู้บริจาคโลหิต 1.65 ล้านคน   ด้าน ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานอนุกรรมการรณรงค์เพิ่มผู้บริจาคโลหิต ในคณะกรรมการจัดหา และส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทย ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่าจากสถิติดังกล่าว ได้นำไปสู่การทำโครงการในรูปแบบ Public Service Advertising Campaign ภายใต้แคมเปญ #BLOODCONNECT ภายใต้แนวคิด “We Are All Connected – เลือดเชื่อมชีวิต… ให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ”   โดยแคมเปญฯ ร่วมกับ 3 ภาคีหลักในสังคมไทย ได้แก่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย, สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT)  และ สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT)  พร้อมเครือข่ายจากภาครัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจ รวมถึงแบรนด์ระดับประเทศและระดับโลกขององค์กรกว่า 900 แห่ง ร่วมเป็นกระบอกเสียงแห่งการให้ ผ่านการรณรงค์ทุกสื่อทั้งออฟไลน์และออนไลน์   ทั้งนี้ เพื่อสร้างการับรู้และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้บริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้ประเทศไทยมีปริมาณโลหิตสำรองเพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับการบริจาคโลหิตให้เป็น ‘วาระแห่งชาติ’ ในที่สุด   ด้าน ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) เปิดเผยว่า สมาคมการตลาดฯ มอบหมายให้ โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ ผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์ดิ้งและทีมงาน เป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดแนวคิดเชิงกลยุทธ์ และออกแบบโครงสร้างแคมเปญ โดยเน้นทำความเข้าใจอินไซต์ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาความหมายจากการมีส่วนร่วม   “เป้าหมายแคมเปญฯนี้ คือการสร้างพฤติกรรมบริจาคโลหิตให้กลายเป็นวัฒนธรรมแห่งการให้ที่ยั่งยืน เป็นการทำการตลาดเชิงรุกที่ตั้งเป้าเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติของทั้งสังคม ให้ส่งต่อได้จากรุ่นสู่รุ่นเป็นพลังที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคมได้อย่างแท้จริง”   ด้าน รติ พันธุ์ทวี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT) เปิดเผยว่า แคมเปญฯ วางแนวคิดให้มีประสิทธิภาพสร้างการรับรู้และสร้างแนวร่วม มากำหนดแผนสร้างคุณค่าของการสื่อสารให้สมกับเป็นแคมเปญ ‘เพื่อสังคม’ พร้อมได้ ‘สุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์’ นักคิดสร้างสรรค์ระดับท้อปของประเทศ ซึ่งรับรางวัลต่างๆ ในเวทีโลก และทีมงานมาร่วมสร้างสรรค์งานนี้ เพื่อตอบโจทย์ อินไซต์เจนฯ Z อย่างตรงจุด  เพื่อวางสู่รากฐานของ ‘ทัศนคติและวัฒนธรรม’ แห่ง’การให้’ ไปพร้อมกัน     สำหรับกิจกรรมภายใต้แคมเปญ Blood Connect เลือดเชื่อมชีวิต ให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ บริจาคทั่วประเทศได้ที่   ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) ได้แก่ สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์สาขาบางแค สาขาบางกะปิ สาขางามวงศ์วาน สาขาท่าพระ ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม และบ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง) ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติ 8 แห่ง ในกรุงเทพฯ ได้แก่ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า, สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์ พระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลตำรวจ, คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช, โรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลสิรินธร โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติทั่วประเทศ   การให้โลหิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ในการมอบโอกาส มอบความสุข มอบอนาคตให้ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องการ และได้กำหนดชีวิตตัวเองต่อไป การบริจาคโลหิต 1 ครั้ง สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้มากกว่า 3 ชีวิต หลายคนอาจจะมีภูมิหลังและเรื่องราวที่แตกต่างกัน แต่ใต้ผิวหนังของทุกคนนั้น มีโลหิตไหลเวียนอยู่ ภายในร่างกาย การบริจาคโลหิตสามารถ “เชื่อมโยง” ทุกชีวิตในรูปแบบที่สวยงามและให้ชีวิตได้ไปต่อ     Alternate-X สรุปให้ ปี 2567 มีคนไทยบริจาคโลหิตเพียง 2.47% หรือราว 1.63 ล้านคน จากประชากร 66 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่มีสัดส่วนบริจาคเพียง 10% ของผู้บริจาคทั้งหมด สภากาชาดไทย ร่วม 3 องค์กรหลัก เปิดแคมเปญ “Blood Connect – เลือดเชื่อมชีวิต” หวังสร้างวัฒนธรรมบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน ให้เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง พร้อมใช้กลยุทธ์การตลาด-ครีเอทีฟ ทัชใจคนรุ่นใหม่ เชื่อมโยง ‘เลือด’ กับ ‘คุณค่า’ ในสังคม  

June 18, 2025 / 0 Comments
read more

ธุรกิจสนามบินไทย 8 หมื่นล. ปี’68เจอความท้าทายครั้งใหญ่ นักเดินทางต่างชาติลดกระทบรายได้

BizKet

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ธุรกิจสนามบินปี68 ยังมีสัญญาณบวกโต 0.2% มูลค่ากว่า 8 หมื่นล. แต่อนาคตเจอหลายปัจจัยท้าทายทั้งเศรษฐกิจโลก-ภูมิรัฐศาสตร์ กระทบการเดินทางทำรายได้จากสัมปทานลดลง   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยผลวิเคราะห์ แนวโน้มธุรกิจสนามบินในไทยในปี 2568 คาดว่าภาพรวมของธุรกิจสนามบินในไทยจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 80,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.2% จากปี 2567 เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมธุรกิจสนามบินมีความท้าทายสูง   ทั้งนี้ รายได้ของธุรกิจสนามบิน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ   รายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) อาทิ ค่าบริการผู้โดยสารขาออกเส้นทางระหว่างประเทศและภายในประเทศ (Passenger Service Charge: PSC) และค่าบริการสนามบิน รายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non- Aeronautical Revenue) อาทิ ค่าเช่าพื้นที่ รายได้จากสัมปทาน และค่าบริการอื่นๆ เช่น ค่าสาธารณูปโภคค่าบริการเคาน์เตอร์เช็คอินและบริการภายในสนามบิน เป็นต้น   โดยสัดส่วนโครงสร้างรายได้ขึ้นอยู่กับขนาดของสนามบิน กรณีสนามบินขนาดเล็ก รายได้ส่วนใหญ่ หรือมากกว่า 80% มาจากรายได้เกี่ยวกับกิจการการบินและ หากเป็นสนามบินขนาดใหญ่ รายได้ของทั้ง 2 กลุ่มจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน   ในปี 2568 ปัจจัยแวดล้อมธุรกิจสนามบินมีความท้าทายสูง ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของรายได้ของธุรกิจสนามบินในไทยที่ชะลอตัว สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อรายได้ของธุรกิจสนามบิน ได้แก่   1.รายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) มองว่า รายได้ในกลุ่มนี้น่าจะยังสะท้อนภาพบวกได้เล็กน้อย โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก   ปริมาณผู้โดยสารที่ใช้สนามบิน (รวมชาวไทยและต่างชาติที่เดินทางในประเทศและระหว่างประเทศ) คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 145.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.4% แต่ชะลอจากปี 2567 ที่โต 15%   การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารที่ใช้สนามบินในไทยได้รับปัจจัยบวกจากการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศของชาวไทย การเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ และในปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานระดับนานาชาติหลายรายการอย่างการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์-อาเซียนเกมส์และการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025   อย่างไรก็ดี การชะลอลงของจำนวนผู้โดยสารมีสาเหตุสำคัญมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2568 ที่คาดว่าจะลดลง 2.8% จากปีที่ผ่านมา  โดยการปรับลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติส่งผลโดยตรงต่อรายได้จากค่าบริการผู้โดยสารขาออกเส้นทางระหว่างประเทศ   ปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศยังมีทิศทางเพิ่มขึ้น จากการเปิดเผยตารางเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินที่มีกำหนดการล่วงหน้าไปถึงเดือนกันยายน 2568 บ่งชี้ว่า จำนวนเที่ยวบินจากภูมิภาคต่างๆ มาไทยส่วนใหญ่ยังเติบโตยกเว้นจากภูมิภาคอเมริกาเหนือที่ปรับลดลง ซึ่งเป็นเรื่องของฤดูกาลท่องเที่ยว   แต่ไปข้างหน้า ปัจจัยแวดล้อมของธุรกิจมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งยังต้องขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐในการดึงดูดการลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ สะท้อนได้จากแผนการจัดเที่ยวบินของสายการบินไปข้างหน้า ที่ตอบรับความสนใจในจุดหมายปลายทางใหม่ๆ   โดยเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน พบว่าเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีปลายทางสู่จีน เติบโต 18% (9เดือนแรกปี 2568 เทียบ 9 เดือนแรกปี 2567) ญี่ปุ่น เติบโต 16% ส่วนไทย เพิ่มขึ้นเพียง 8%   2.รายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non- Aeronautical Revenue) ในปี 2568 ก็ได้รับผลเกี่ยวเนื่องจากทิศทางนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย ที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งรายได้ที่อาจลดลง   ความเสี่ยงของธุรกิจสนามบินในไทย   ความเสี่ยงจากจำนวนผู้โดยสารและแผนเที่ยวบินของสายการบินที่อาจลดลงกว่าที่ประเมิน ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ที่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 50% ของรายได้ธุรกิจสนามบิน (ขึ้นอยู่กับขนาดและกิจการของสนามบิน)   โดยในช่วงที่เหลือของปี 2568 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่   เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวกระทบแผนการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยและคนต่างชาติ   ปัญหาสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อใน หลายประเทศรวมถึงไทย โดยเมื่อเดือนเมษายน 2568 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะขยายตัว 2.8% ปรับลดจากที่คาดว่าจะเติบโต 3.3% (คาดการณ์เมื่อเดือนมกราคม 2568)   ขณะที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับหลายปัจจัยลบ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 1.4%   ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสายการบินและการเดินทาง แม้เหตุการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานจะยุติและสายการบิน กลับมาเปิดเส้นทางการบินได้ตามปกติแล้ว แต่สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามรัสเซียและยูเครนยังไม่ยุติทำให้ประเด็นนี้จะยังส่งผลต่อแผนเส้นทางการบิน จำนวนเที่ยวบิน รวมถึงการเดินทางระหว่างประเทศ   การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูง ขณะเดียวกันข่าวเชิงลบที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง กระทบความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและประสบการณ์ในการเดินทางมาเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม สะท้อนจากจำนวนชาวต่างชาติเที่ยวไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง   โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ชาวต่างชาติเที่ยวไทยหดตัว 0.3% (เทียบ 4 เดือนแรกปี 2567) ขณะที่ญี่ปุ่น เติบโตสูงถึง 25% และเวียดนามโต 6.3% ซึ่งการลดลงของจำนวนชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยอาจส่งผลต่อรายได้ธุรกิจสนามบินในระยะข้างหน้า จึงจำเป็นที่ทุกภาคส่วนจะต้องเร่งแก้ไขปรับปรุงอย่างจริงจัง เพื่อเรียกฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับมาโดยเร็ว   ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น ขณะที่รายได้ยังมีความไม่แน่นอน และไปข้างหน้าการแข่งขันในธุรกิจสนามบินระหว่างภูมิภาคสูงขึ้น   สนามบินในไทยหลายแห่งยังต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และความปลอดภัยของสนามบินให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินสากล ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนที่สูง เช่น แผนการขยายอาคารรองรับผู้โดยสารและการขยายรันเวย์เพื่อลดความแออัดในสนามบินและการให้บริการการนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความปลอดภัย รวมไปถึงการลงทุนเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือ Green Airport   การแข่งขันกับสนามบินในภูมิภาค หลายประเทศมีแผนการลงทุนพัฒนาสนามบินนานาชาติรองรับการขยายตัวของผู้โดยสารและปริมาณเที่ยวบิน มีระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการบริหารจัดการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการ เพื่อดึงสายการบินให้มาใช้บริการ หรือเลือกเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ซึ่งประเด็นนี้อาจนำมาซึ่งการแข่งขันด้านบริการและราคาในธุรกิจสนามบินที่สูงขึ้น และอาจมีผลต่อต้นทุนรายได้และผลกำไรในการดำเนินงาน เนื่องจากสนามบินไทยจะต้องมีการพัฒนาปรับปรุงเพื่อให้ทัดเทียมกับคู่แข่ง   ความต่อเนื่องของแผนการพัฒนาสนามบินในประเทศของภาครัฐ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อธุรกิจสนามบิน ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของภาครัฐทำให้การพัฒนาสนามบินอาจมีความล่าช้า กระทบการวางแผนการลงทุน และการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว   ขณะที่ ความพร้อมของสนามบินไทยในการตรวจมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินประเทศไทย ซึ่งต้องติดตามผลการตรวจมาตรฐานด้านความปลอดภัยขององค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในช่วงเดือนสิงหาคม 2568     Alternate-X สรุปให้ ธุรกิจสนามบินไทยปี 2568 คาดรายได้แตะ 80,700 ล้านบาท โตเพียง 0.2% จากปีก่อน แม้จำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินยังเพิ่ม แต่แนวโน้มชะลอลงจากปี 2567 รายได้หลักมาจากค่าบริการผู้โดยสารและกิจการเชิงพาณิชย์ในสนามบิน ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง, เศรษฐกิจโลกชะลอ, ต้นทุนสูง ความท้าทายเพิ่มจากการแข่งขันสนามบินในภูมิภาคและความไม่แน่นอนนโยบายรัฐ

June 17, 2025 / 0 Comments
read more

เถ้าแก่น้อย ร่วมทุนจีน ลงทุน 100 ล.ทำขนมจาก ‘บุก’ รับเทรนด์สายขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ

BizKet

TKN ผนึกพันธมิตร ตั้งโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวจากบุกในไทย รับกระแสตลาดสแน็กเพื่อสุขภาพ เติบโตแรง   อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนบขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายทั้งในและต่างประเทศ ตราสินค้า ‘เถ้าแก่น้อย’ และขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับพันธมิตรครบวงจร   บริษัท ชาชา ฟู้ด (ไทยแลนด์)จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตเมล็ดธัญพืชต่างๆ อบและแปรรูป เช่น เมล็ดทานตะวัน ถั่ว เป็นต้น บริษัท แวลู่พลัส เวิร์ลไวด์ จำกัด ที่จดทะเบียนในประเทศไทย นักธุรกิจชาวจีน Yao Jing   ทั้งนี้ เพื่อร่วมจัดตั้งโรงงานแปรรูปและผลิตบุกในประเทศไทย เพื่อรุกตลาดขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพที่กำลังเติบโต   สำหรับข้อตกลง MOU ครั้งนี้ บริษัท ชาชา ฟู้ด (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท แวลู่พลัส เวิร์ลไวด์ จำกัด และ Ms. Yao Jing ทั้งสามราย จะร่วมจัดตั้งบริษัทใหม่ และร่วมมือกับ TKN จัดตั้งบริษัทร่วมทุนโรงงานแห่งใหม่ ตั้งอยู่ที่อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ใช้งบลงทุนเริ่มต้นประมาณ 100 ล้านบาท มีเป้าหมายเพื่อใช้ประโยชน์จากกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้นของขนมขบเคี้ยวจากบุก และเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการผลิตของแต่ละฝ่าย เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดย บริษัทร่วมทุนนี้ จะรับผิดชอบในการจัดหาวัตถุดิบและเทคโนโลยีการผลิต รวมถึงเช่าพื้นที่โรงงานจาก TKN เพื่อใช้ผลิตขนมขบเคี้ยวจากบุก   ขณะที่ Ms. Yao Jing จะมีบทบาทหลักในการจัดหาวัตถุดิบสำหรับบริษัทร่วมทุน พร้อมรับประกันราคาที่แข่งขันได้   ส่วน TKN จะรับผิดชอบการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน รวมถึงบริหารการดำเนินงานประจำวันของโรงงาน   ในด้านการบริหารงานของบริษัท ประกอบด้วยกรรมการ 3 ท่าน โดยมาจาก บริษัทใหม่ 2 ท่านและ TKN 1 ท่าน   นอกจากนี้ TKN ยังได้รับสิทธิแต่งตั้งตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของบริษัทร่วมทุน ซึ่งจะรับผิดชอบการดำเนินงานและบริหารจัดการประจำวันเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าที่เท่าเทียมกัน   อิทธิพัทธ์ กล่าวว่า การลงนามใน MOU ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการขยายกำลังการผลิตและการเข้าถึงตลาดของขนมขบเคี้ยวจากบุกทั้งในประเทศไทยและระดับสากล  ซึ่งการลงทุนในโครงการฯ จะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น   “ขณะเดียวกัน ยังช่วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว นับเป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ของ TKN ในการมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความอร่อย สะดวกรวดเร็ว และมีประโยชน์ รวมถึงสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดโลก” อิทธิพัทธ์ กล่าว   Alternate-X สรุปให้ เถ้าแก่น้อย (TKN) ลงนามร่วมทุนกับพันธมิตร 3 ราย ตั้งโรงงานผลิตขนมจากบุกในไทย ใช้งบลงทุนเริ่มต้น 100 ล้านบาท ตั้งที่ปทุมธานี รองรับเทรนด์ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ โดยโรงงานใหม่จะใช้พื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานจาก TKN พร้อมแบ่งบทบาทบริหารร่วมกัน วางเป้าหมายเพื่อผลิตขนมบุกส่งตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนวิสัยทัศน์ TKN พัฒนาสินค้าขนบขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ เพื่อขยายการเติบโตในตลาดอย่างยั่งยืน

June 16, 2025 / 0 Comments
read more

‘โรบินฮู้ด’ ออกสเต็ปใหม่ ในมือบริหาร ‘ยิบอินซอย’ เซ็ตมาตรฐานร้านอาหาร-คน-แพลตฟอร์ม

BizKet

‘ยิบอินซอย’ และ ‘โรบินฮู้ด’ ร่วมกับ ‘สถาบันอาหาร’ ยกระดับร้านอาหารไทยและบริการจัดส่งสู่มาตรฐานใหม่ มองไกลหนุนธุรกิจอาหารไทยเติบโตมีคุณภาพ-ยั่งยืนบนเวทีโลก   หลังจาก ยิบอินซอย ปิดดีลเข้าซื้อธุรกิจ โรบินฮู้ด แพล็ตฟอร์มเดลิเวอรี จาก SCB X ผ่านข้อตกลงการซื้อหุ้นทั้งหมดของ Purple Ventures ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์ของ Robinhood  ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวมสูงสุดกว่า 2,000 ล้านบาท ไปเมื่อช่วงเดือนกันยายน 2567   ล่วงมากว่า 9 เดือนล่าสุดบริษัท ยิบอินซอย จำกัด และ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโรบินฮู้ด กับความคืบหน้าล่าสุดประกาศความร่วมมือกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จัดโครงการ ‘Food x Platform x People’ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยอย่างเป็นระบบ พร้อมพัฒนาผู้ประกอบการและไรเดอร์ให้มีความสามารถแข่งขันทั้งในประเทศและเวทีโลก   สำหรับความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี โดยทั้งสามหน่วยงานจะร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม และหลักสูตรอบรมด้านอาหาร บรรจุภัณฑ์ สุขอนามัย การบริหารจัดการธุรกิจ รวมถึงระบบบริการจัดส่งอาหารให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และเป็นธรรม   ด้าน ‘มรกต ยิบอินซอย’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ม่งใช้แพลตฟอร์มโรบินฮู้ดเป็นเครื่องมือสนับสนุนผู้ประกอบการไทย พร้อมยกระดับไรเดอร์ให้มีความรู้ ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีในอาชีพ ภายใต้ระบบที่เป็นธรรม   สอดคล้อง ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวเสริมว่า “สถาบันอาหารพร้อมเป็นฐานสนับสนุนองค์ความรู้ เพื่อให้ธุรกิจอาหารไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนบนเวทีโลก”   โดย พิธีลงนามจัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัท ยิบอินซอย จำกัด โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสามหน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมหารือแนวทางพัฒนาหลักสูตรและการขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์ในอนาคตร่วมกัน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของระบบ “Food x Platform x People” ที่ผสานจุดแข็งของเทคโนโลยี องค์ความรู้ และบุคลากร เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานใหม่อย่างยั่งยืน       Alternate-X สรุปให้ ยิบอินซอย และโรบินฮู้ด จับมือสถาบันอาหาร เปิดโครงการ “Food x Platform x People” ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทย หลังปิดดีลซื้อ Robinhood จาก SCB X มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ไปเมื่อเดือนกันยายน 2567 โดยโครงการมีระยะเวลา 3 ปี เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ ร้านอาหาร และไรเดอร์ ทั้งในด้านมาตรฐาน บรรจุภัณฑ์ สุขอนามัย และระบบจัดส่ง ชูแพลตฟอร์ม Robinhood เป็นเครื่องมือผลักดันเศรษฐกิจอาหารไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ตั้งเป้าเสริมความสามารถแข่งขันบนเวทีโลก พร้อมวางรากฐานอาชีพไรเดอร์อย่างยั่งยืน  

June 15, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดแว่นสายตา จะเป็นธุรกิจอนาคต 5 ปีหน้ามูลค่า 1.24 แสนล.บาทในไทย

BizKet

ตลาดแว่นตาของอาเซียนในอีก 10 ปีหน้าจะเติบโตราว 4 แสนล้านบาท ส่วนในไทยมีมูลค่า 1.24 แสนล้านบาทภายในปี 2573 ด้วยอัตราการเติบโต 11.6% ต่อปี และเป็นโอกาสธุรกิจแว่นตา   มร.เว่ย พาน ประธานคณะกรรมการจัดงาน บริษัท ดอนเนอร์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้จัดงานแสดงสินค้ามืออาชีพระดับนานาชาติที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานกว่า 23 ปี ในอุตสาหกรรมแว่นตา ล่าสุดเตรียมจัดงานครั้งแรกในประเทศไทย ‘ASEAN Int’l Optics Fair’ งานแสดงสินค้าและสัมมนาระดับนานาชาติด้านแว่นตาและสายตาที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน   โดยงานฯ จะรวบรวมแบรนด์ ผู้ประกอบการด้านแว่นตา เลนส์ บรรจุภัณฑ์ และอุปกรณ์ชั้นนำทั่วโลกกว่า 200 ราย เพื่ออัปเดต เทรนด์และนวัตกรรมต่าง ๆ  รวมถึงเวทีเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้อุตสาหกรรมสายตาและแว่นตาในภูมิภาคอาเซียนให้แข็งแกร่งและเติบโตยิ่งขึ้น โดยจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 – 11 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร คาดมีผู้เข้าร่วมงานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศกว่า 5,000 ราย “ในปีนี้ ได้ร่วมกับบริษัท บรอด อินเตอร์เนชันแนล จำกัด พร้อมจัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่ตลาดแว่นตาในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบรับกับการเติบโตทางธุรกิจและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาค และยังมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแว่นตาของภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างรายได้ผ่านการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการจ้างงานอีกด้วย” มร.เว่ย กล่าว   มร.เว่ย เสริมว่าในปี  2546 บริษัทฯ ได้เปิดตัวงาน Wenzhou Int’l Optics Fair (WOF-Wenzhou) ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเวทีสำคัญของอุตสาหกรรมแว่นตาในประเทศจีน และยังเป็นงานแสดงสินค้างานแรกในมณฑลเจ้อเจียงตอนใต้ที่ได้รับการรับรองจากสมาคมอุตสาหกรรมแสดงสินค้าระดับโลก (The Global Association of the Exhibition Industry หรือ UFI)  ปัจจุบัน Wenzhou Int’l Optics Fair ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดสามอันดับแรกของโลก   ขยายการค้าไทย-จีน   ด้าน มร.เจี้ยนหมิน อู๋ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมแว่นตาแห่งมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และผู้สนับสนุนหลักของงาน ASEAN Int’l Optics Fair กล่าวถึงภาพรวมของการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนว่า ปี  2568 เป็นปีครบรอบ 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยจีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยติดต่อกันถึง 12 ปี ตั้งแต่ปี 2556  ถึง 2567   โดยในปี 2567เพียงปีเดียว มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศอยู่ที่ 94,919.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2% และด้วยศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการจัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย    หนุนอุตฯแว่นตา ขยายตัว   ด้าน ดร.ดนัย ตันเกิดมงคล ประธานสภาทัศนมาตรศาสตร์แห่งเอเชีย และทำหน้าที่นายกสมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ASEAN Int’l Optics Fair เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของหน่วยงานทางวิชาชีพ องค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมแว่น และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย   ดอนเนอร์ เอ็กซิบิชั่น บรอด อินเตอร์เนชันแนล สมาคมอุตสาหกรรมแว่นตาแห่งมณฑลเจ้อเจียง สมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย สมาพันธ์อุตสาหกรรมแว่นตาเกาหลี (KOIC) สถาบันการจัดการสายตาแห่งเอเชีย (AOMA) อาย แวลลีย์ (Eye Valley)   ทั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสทางการเติบโตทั้งในทางวิชาการและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครั้งสำคัญให้กับอุตสาหกรรมดังกล่าวในประเทศไทยขยายตลาดสู่อาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตสูงสุดในโลก ตลอดจนมีความต้องการแว่นตา การดูแลสายตา และเทคโนโลยีด้านสายตาอัจฉริยะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดการจัดงานตั้งเป้ามีผู้เข้าร่วมกว่า 5,000 คน จากทั้งในและต่างประเทศ   นอกจากนี้ภายในงานแถลงข่าว ยังมีเวทีเสวนา ‘ทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมแว่นตาในอาเซียน : นวัตกรรม การบูรณาการ และความสามารถในการแข่งขันระดับโลก’ จากผู้ทรงคุณวุฒิด้านอุตสาหกรรมแว่นตามาร่วมพูดคุย   โอกาส-อนาคตตลาดแว่นตาไทย   สมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ISOPTIK ได้พูดถึงภาพรวมของมูลค่าตลาดแว่นตาของอาเซียนว่า มูลค่าตลาดแว่นตาของอาเซียนในปี 2567 มีมากกว่า 200,000 ล้านบาท และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีการเติบโตอยู่ที่มากกว่า 400,000 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าตลาดแว่นตาของประเทศไทยในปี 2567 อยู่ประมาณ 63,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่า จะเพิ่มเป็น 124,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 ด้วยอัตราการเติบโต 11.6% ต่อปี   “การเติบโตดังกล่าว มาจากจำนวนผู้มีปัญหาทางสายตาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีสายตายาวตามวัย และวัยทำงานที่ใช้อุปกรณ์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ดิจิทัลไลฟ์สไตล์  ทำให้มีความต้องการแว่นตาโปรเกรสซีฟ และแว่นตากึ่งโปรเกรสซีฟคุณภาพสูง ที่สบายตาเพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายตัวของชนชั้นกลาง ทำให้มีความต้องการแว่นตาแฟชั่นและแว่นสายตาคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น” สมบูรณ์ กล่าว   ต้องเพิ่มบุคลากรเฉพาะทาง   ด้าน ดร.วุฒิพงษ์ พึงพิพัฒน์ อาจารย์พิเศษ สาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ กล่าวถึงทิศทางของอุตสาหกรรมแว่นตาในอาเซียนว่ามีการเติบโตที่ดีตามความต้องการของผู้บริโภคที่มีปัญหาด้านสายตาเพิ่มขึ้น   อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตบุคลากรสำคัญอย่างนักทัศนมาตรให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด เช่น ในประเทศไทยตอนนี้มีนักทัศนมาตรเพียง 800 คน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคหนึ่งของการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ ดังนั้น จึงควรเร่งผลิตนักทัศนมาตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น   ธุรกิจเร่งสร้างแบรนด์   ดร.ลักษณรินทร์ คานิเยาว์ ผู้จัดการฝ่ายวิชาการ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน(ไทย) จำกัด กล่าวว่า การผลักดันให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแว่นตาโลกเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐในการออกกฎเกณฑ์สร้างมาตรฐานและควบคุมคุณภาพให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเองจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับสร้างแบรนด์ เพื่อสร้างความมั่นใจและการยอมรับในเวทีระดับโลก   สำหรับ ASEAN Int’l Optics Fair งานแสดงสินค้าด้านแว่นตาและสายตาที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ยังมีการประชุม Asia-Pacific Eye Health Summit, การอัปเดตข้อมูลเชิงลึกด้านอุตสาหกรรม เรียนรู้แนวโน้มตลาด ผ่านงานสัมมนาและเวิร์คชอปจากสมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย โซนพิเศษในการโชว์นวัตกรรมจากประเทศจีน ฮ่องกง เกาหลี ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงเวทีเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี   ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://asean.opticsfair.com/ และสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ http://donnor.cn/J6F2      Alternate-X สรุปให้ ตลาดแว่นตาอาเซียนเติบโตแตะ 4 แสนล้านบาทใน 10 ปีข้างหน้า ส่วนไทยโตเฉลี่ยปีละ 11.6% แตะ 1.24 แสนล้านในปี 2573 เป็นโอกาสของธุรกิจผ่านการจัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ครั้งแรกในไทย 9–11 ต.ค. 2568 ดึงผู้ประกอบการแว่นตาทั่วโลกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแว่นตาไทยสู่อาเซียน พร้อมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตฯ แว่นตา รับความต้องการแว่นตาเพิ่มขึ้นจากดิจิทัลไลฟ์สไตล์และสังคมสูงวัย กระตุ้นดีมานด์ทั้งเชิงสุขภาพและแฟชั่น งานนี้ยังชี้ช่องว่างบุคลากรทัศนมาตรในไทย และแนะธุรกิจเร่งสร้างแบรนด์แข่งขันในเวทีโลก  

June 15, 2025 / 0 Comments
read more

ไทยเบฟฯหนุนเยาวชนไทย รวบสกิลองค์ความรู้ทุกศาสตร์ สร้างพลังเปลี่ยนแปลงสู่เวทีโลก

EcoVative

ดึงสกิลอนาคตคนรุ่นใหม่ แข่งขัน Rakkaew Enactus National Exposition 2025 ปีนี้จุฬาฯคว้าแชมป์ เตรียมเป็นตัวแทนประเทศไทยสู่เวทีโลก   ผศ. นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ประธานกรรมการ มูลนิธิรากแก้ว กล่าวว่ามูลนิธิรากแก้ว ร่วมกับ Enactus ประเทศไทย พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรจากภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหากำไร โดยมี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลัก   โดยจัดการแข่งขัน Rakkaew Enactus National Exposition 2025 เวทีสำหรับเยาวชนทั่วประเทศที่ร่วมขับเคลื่อนพลังคนรุ่นใหม่ผ่านการลงมือทำโครงการจริงที่บูรณาการความรู้จากหลากหลายศาสตร์ ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และธุรกิจ เพื่อสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิดผู้ประกอบการเพื่อสังคม  ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7  มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์     โดยการแข่งขันในครั้งนี้มีตัวแทนจาก 21 สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยพลังของนวัตกรรมและความคิดแบบผู้ประกอบการ เพื่อสังคม โดยทีมที่ได้รับรางวัล     มีดังนี้   รางวัลชนะเลิศ คือ “โครงการ Cocoa Go Green” จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร ที่พัฒนาและยกระดับโกโก้ไทยด้วยนวัตกรรม เพิ่มรายได้เกษตรกร แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้างโมเดลธุรกิจเพื่อสังคมที่ยั่งยืน     รางวัลรองชนะเลิศ คือ “โครงการสานศิลป์ ถิ่นภูมิปัญญา บุรีรัมย์” จาก ทีม Young ผการันดูล มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์  ปลุกพลังภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ชุมชนกว่า 30 แห่งทั่ว จ.บุรีรัมย์ ให้มีชีวิตใหม่ โดยเชื่อมโยงงานผ้าไหมและจักสานไม้ไผ่กับนวัตกรรม สร้างผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย ขยายช่องทางการตลาด     รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 คือ “โครงการ Agro-Power พลังเกษตรเปลี่ยนขยะเศษอาหารเป็นทุนชีวิต” จาก มหาวิทยาลัยแม่โจ้  ดัดแปลงขยะอาหารและเศษวัสดุทางการเกษตรกว่า 14 ตัน มาสร้างคุณค่าใหม่ แปรรูปขยะอาหาร และของเสียสู่โปรตีน อาหารสัตว์ และปุ๋ยอินทรีย์     รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 คือ “โครงการฟังใจ เห็ดเยื่อไผ่ เพื่อชุมชนที่ยั่งยืน” จาก มหาวิทยาลัย      ศรีนครินทรวิโรฒ พัฒนาการเพาะเห็ดเยื่อไผ่ ร่วมกับชุมชนครบทุกมิติ ขยายตลาดโดยใช้นวัตกรรม AI ผสมผสานกับ     ภูมิปัญญาชุมชน จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้มาตรฐาน อย.   สำหรับทีมชนะเลิศจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับโลก Enactus World Cup 2025 ซึ่งปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2568 ในงาน Sustainability Expo 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   โดยการแข่งขัน Enactus World Cup คือ เวทีระดับนานาชาติที่รวบรวมสุดยอดทีมเยาวชนจากกว่า 34 ประเทศทั่วโลก มานำเสนอโครงการธุรกิจเพื่อสังคม ที่สร้างผลกระทบจริงในชุมชนโดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านพลังของคนรุ่นใหม่ นับเป็นงานที่ได้รับการจับตามองจากทั้งภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา และองค์กรระดับโลก   “นับเป็นอีกก้าวสำคัญของเยาวชนไทย คนรุ่นใหม่ที่เก่งด้านวิชาการ มีจิตสาธารณะ มีความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างแท้จริง ให้ก้าวสู่เวทีโลกแห่งนวัตกรรมเพื่อทำประโยชน์ให้สังคมยั่งยืนต่อไป       Alternate-X สรุปให้   การแข่งขัน Rakkaew Enactus National Exposition 2025 ปลุกพลังคนรุ่นใหม่สู่การเปลี่ยนแปลงสังคม จุฬาฯ คว้าแชมป์จากโครงการ “Cocoa Go Green” เตรียมเป็นตัวแทนไทยสู่เวทีโลก ชูแนวคิด “ผู้ประกอบการเพื่อสังคม” ผสานนวัตกรรมและภูมิปัญญาในโครงการจริง ในปีนี้มีเยาวชนกว่า 21 สถาบัน ร่วมนำเสนอโมเดลธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ รับประเทศไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพ Enactus World Cup 2025 กันยายนนี้ ณ ศูนย์ฯ สิริกิติ์

June 15, 2025 / 0 Comments
read more

มีใครให้มากกว่านี้ไหม? เปิดประมูลทะเบียนเลขสวย ‘3 ขข’ เลขรหัสทรัพย์-สำเร็จทุกเส้นทาง

BizKet

หลังจากกรมการขนส่งทางบก เปิดประมูลทะเบียนเลขสวยมานานกว่า 20 ปีเพื่อหารายได้เข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ภายใต้การดูแลของกรมขนส่งฯ   พร้อมใช้ ‘กิมมิค’ ของทะเบียนเลขสวยมาเพิ่มมูลค่า ด้วยการวางตำแหน่งให้เป็นสินค้ามงคลมาเสริมทั้งกำลังใจและภาพลักษณ์ให้กับผู้ได้ครอบครองหรือเจ้าของรถ เช่น คนทำธุรกิจ, ผู้บริหาร, หรือ แม้แต่เหล่าคนดังผู้ทรงอืทธิพล (influencer) ในวงการต่างๆ ฯลฯ   ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบก ได้เปิดประมูลทะเบียนเลขสวยในปี 2546 เป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานตัวเลขที่ชัดเจนออกมาจากประมูล แต่มีความเป็นไปได้สามารถทำรายได้จากการประมูลมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท หากคำนวณรายได้แต่ละปีอยู่ที่หลัก 700-800 ล้านบาท จากการเปิดประมูลฯทั่วประเทศ ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา   โดยทะเบียนเลขสวย ที่ทำราคาสูงสุด เช่น   ‘9กก 9999’  45 ล้านบาท (เปิดประมูลปี 2565) ‘8กก 8888’  28 ล้านบาท (เปิดประมูลปี 2563)   ขณะเดียวกัน กรมการขนส่งทางบก ยังใช้ ‘คำ’ มาร่วมวางเป็นส่วนหนึ่งของป้ายทะเบียนเลขสวย โดยในปี2565 ยังได้เปิดให้มีการประมูลทะเบียนพิเศษ ‘รวย 9999’ ราคาสูงถึง 18.56 ล้านบาท และ ‘รวย 8888’ ราคา 11.1 ล้านบาท ซึ่งนำเงินเข้ากองทุนฯ กว่า 100 ล้านบาท จากการประมูลครั้งแรกของทะเบียนพิเศษ 84 หมายเลข อีกด้วย   ถัดมาในครั้งที่ 2 สำหรับทะเบียนพิเศษ ‘เฮง 9999’ สามารถทำเงินเข้ากองทุนรวมกว่า 126 ล้านบาท และการประมูลทะเบียนสวยปกติในช่วงปี 2567 ยังสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 61 ล้านบาท จาก 49 หมายเลข   ‘3 ขข’ เลขแห่งเทพเจ้า-สำเร็จทุกเส้นทาง   ล่าสุดในปี 2568 นี้ กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนร่วมประมูลหมายเลขทะเบียนรถ ‘หมวดอักษร 3ขข’ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ ‘ขุมทรัพย์ล้ำค่า ส่งเสริมดวงชะตา” ในวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2568 สามารถลงทะเบียนได้ที่ทางเว็บไซต์ www.tabienrod.com   ด้าน จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก โดยกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) กล่าวว่า กรมขนส่งทางบกจัดกิจกรรมเปิดประมูลหมายเลขทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน “หมวดอักษร 3ขข” ในวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2568 เวลา 9.00 น. ณ กรมการขนส่งทางบก อาคาร 6   โดยความพิเศษของการประมูลครั้งนี้ มาในคอนเซ็ปต์ “ขุมทรัพย์ล้ำค่า ส่งเสริมดวงชะตา”  ซึ่งเลข 3 เปรียบเสมือน เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ฮก ลก ซิ่ว ทั้งสามองค์ คุ้มครอง ช่วยเสริมดวงชะตา มีโชคลาภ, ขข เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง อักษร ข ตัวแรกจะเป็นการขอพรหรือหวังสิ่งใดสมหวังก็สำเร็จ อักษร ข ตัวหลังก็เป็นตะขอคอยเกี่ยวทรัพย์     “ดังนั้น 3ขข ไม่ใช่แค่ป้ายทะเบียน แต่คือขุมทรัพย์แห่งพลังชีวิต ผู้ที่ได้ครอบครองคือผู้ที่ได้พลังแห่งโชคลาภและความสำเร็จ ทั้งนี้ รายได้จากการประมูล” จิรุตม์ กล่าว   สำหรับรายได้จากการประมูลฯ จะนำเข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) และนำไปใช้ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการ ใช้รถใช้ถนน สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัยด้านความปลอดภัยทางถนน รวมทั้งสนับสนุนเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน   โดยการจัดบูธประชาสัมพันธ์การประมูลทะเบียนรถเลขสวย ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 1 โซน C ยังจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-18 มิถุนายน 2568 ซึ่งภายในงานแต่ละวันจะมีโหราจารย์ หมอดูที่มีชื่อเสียงมาร่วมพูดคุย ถึงศาสตร์ตัวเลข การเสริมความเป็นสิริมงคล หมายเลขที่ใช่ ที่เหมาะกับคุณ อาทิ   หมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา อาจารย์คฑา หมอต๊อกแต๊กA4     โดยผู้ที่สนใจร่วมประมูล และวางหลักประกันภายในงานจะยังได้รับของที่ระลึก แล้วยังมีสิทธิ์ลุ้นร่วมพูดคุยส่วนตัวกับผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ตัวเลข เพียงวันละ 1 ท่าน   นอกจากนี้ยังมีดาราชื่อดังอีกหลากหลายท่าน อาทิ วุ้นเส้น-วิริฒิพา ภักดีประสงค์, จูเนียร์-ปณชัย ศรีอาริยะรุ่งเรือง, แก้มบุ๋ม-ปรียาดา สิทธาไชย และ โก้-วศิน อัศวนฤนาท มาร่วมแชร์ความปังด้านความเชื่อเรื่องศาสตร์ตัวเลขสลับสับเปลี่ยนกันไปแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง   3 ช่องทางเปิดให้ประมูล   จิรุตม์ เสริมว่า การประมูลหมายเลขทะเบียนรถ“หมวดอักษรพิเศษ 3ขข” มีหมายเลขที่นำออกมาประมูลทั้งสิ้น 301 หมายเลข ผู้สนใจสามารถร่วมประมูลได้ในวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2568   โดยมีการประมูลด้วยกัน 3 ช่องทาง คือ   ทางวาจาในห้องประมูล ณ อาคาร 6 ชั้น 7 กรมการขนส่งทางบก สามารถร่วมประมูลได้ตั้งแต่เวลา 00 น. เป็นต้นไป หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาประมูลแทน ประมูลผ่านระบบทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์ tabienrod.com โดยสามารถลงทะเบียน และเสนอราคาประมูลล่วงหน้าได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถเสนอราคาแข่งขันกับทางวาจาและโทรศัพท์ ในวันประมูลได้ ประมูลทางโทรศัพท์ จะเป็นการประมูลไปพร้อมกับการประมูลทางวาจา โดยก่อนที่จะถึงหมายเลขที่ท่านลงทะเบียนไว้ เจ้าหน้าที่จะติดต่อไปหาท่าน เพื่อให้ท่านได้เสนอราคาแข่งกับห้องประมูล โดยเจ้าหน้าที่จะขานราคาตามที่ท่านระบุ   นอกจากการประมูลหมายเลขทะเบียนรถหมวดอักษรพิเศษ 3ขข แล้ว ในสัปดาห์ถัดไป วันที่ 28 มิถุนายน ทางกรมการขนส่งทางบก จะจัดประมูลป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ เป็นป้ายที่มีการเสนอคำ/ข้อความเข้ามา เช่น รวย789, ขุมทรัพย์ 4 , สำเร็จ9 , สง่า 9999 , มังกร 123 และหมายเลขอื่นๆ รวม 120 หมายเลข ผู้ที่สนใจร่วมประมูล สามารถร่วมประมูล ได้ในวันที่ 28 มิถุนายน 2568 ผ่าน 2 ช่องทาง  คือ ทางวาจาในห้องประมูล ณ อาคาร 6 กรมการขนส่งทางบก และทางอินเทอร์เน็ตที่ www.tabienrod.com   ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพื่อลงทะเบียนได้ที่บูธประชาสัมพันธ์ ของกรมการขนส่งทางบก ณ บริเวณลานโปรโมชั่น ชั้น 1 โซน C เซ็นทรัลลาดพร้าว ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2568 หรือสำนักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โทร. 0-2272-5937 หรือสายด่วนกรมการขนส่งทางบก โทร. 1584 หรือ 0-2271-8888 หรือเว็บไซต์ www.tabienrod.com   Alternte-X สรุปให้ กรมการขนส่งทางบกเปิดประมูลทะเบียนเลขสวยมานานกว่า 20 ปี สร้างรายได้สะสมหลักหมื่นล้านบาท พร้อมวางจุดขายทะเบียนเลขสวยให้เป็น “สินค้ามงคล” เสริมดวง ล่าสุดเตรียมเปิดประมูลหมวดใหม่ ‘3ขข’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ขุมทรัพย์ล้ำค่า ส่งเสริมดวงชะตา” ผู้สนใจร่วมประมูลได้ 21-22 มิ.ย. นี้ ทั้งออนไลน์และออนไซต์ พร้อมบูธให้คำปรึกษาสายมูฯ โดยหมอดูชื่อดัง

June 15, 2025 / 0 Comments
read more

‘ชาบูชิ’ ทวงแชมป์ ‘Top of Mind’ คนรุ่นใหม่ ทุ่มหมดหน้าตักเจาะตลาดฟู้ด 7 แสนล.

BizKet

‘ชาบูชิ’ แบรนด์ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่อยู่ในตลาดอาหารไทยมากว่า 20 ปี กำลังเข้าสู่ยุคใหม่หลังสองผู้บริหารกลุ่มโออิชิ โฮลดิ้ง แซม-ไพศาล อ่าวสถาพร และ  ศสัย ตังเดชะหิรัญ ประกาศแผน ‘รีเฟรช’ แบรนด์ พร้อมทุ่มหมดหน้าตัก เพื่อเป้าหมายสู่การเป็นแบรนด์ร้านอาหารที่เข้าไปนั่งในใจอันดับแรกๆ ของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่   ‘ไพศาล อ่าวสถาพร’ ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารพอร์ตธุรกิจร้านอาหารในเครือโอชิ โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางร้านอาหารสไตล์ญีปุ่น ‘ชาบูชิ’ (Shabushi) เป็นแบรนด์ยุทธศาสตร์สำคัญในการทำธุรกิจร้านอาหาร เพื่อปรับภาพจำจากแบรนด์รุ่นใหญ่สู่การเป็นรุ่นใหม่ นับจากนี้ไป   โดย ‘ชาบูชิ’ จะเติมความใหม่ในทุกด้านตั้งแต่ตัวแบรนด์ เมนูวัตุถุดิบอาหาร ไปจนถึงการเลือกเครื่องมือการสื่อสารการตลาดใหม่หมด เรียกว่าเป็นการขยับตัวครั้งใหญ่ของชาบูชิ ในรอบกว่า 20 ปี ก็ว่าได้   “ชาบูชิ เองก็เป็นแบรนด์คนรุ่นใหม่ในตอนนั้นที่มีอายุกว่า 20 ปี เมื่อเวลาผ่านไปถึงตอนนี้คนกลุ่มนั้นก็มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปแล้ว ซึ่งแบรด์ถือว่าได้ฐานกลุ่มนี้แล้วและจากนี้ไปคือการทำให้แบรนด์ชาบูชิเป็นท็อป ออฟ มายด์ ที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ในปัจจุบัน นึกถึงเป็นอันดับแรกๆ” ไพศาล กล่าว   อย่างไรก็ตาม ไพศาล ไม่กล่าวถึงงบลงทุนการรีเฟชรแบรนด์‘ชาบูชิ’ ที่ชัดเจนว่าเตรียมไว้เท่าใด? แต่ย้ำว่า “การรีเฟรชแบรนด์ชาบูชิในครั้งนี้จัดหนักทุกด้าน เรียกว่า มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถ เพื่อการนี้เลยทีเดียว”   ‘ชาบูชิ’ ไม่ห่วงสงครามหม้อไฟเดือด     ด้าน ศสัย ตังเตชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารในเครือโออิชิ กล่าวว่าบริษัทฯ วางตำแหน่งทางการตลาดใหม่แบรนด์ ‘ชาบูชิ’ ที่ให้ความคุ้มค่าและตอบโจทย์ทั้งในกลุ่มอาหารประเภทหม้อไฟ (Hot Pot) และ ซูชิ ซึ่งสอดคล้องกับการรับรู้ของผู้บริโภคทั่วไปรวมถึงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มองว่า ชาบูชิ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีทั้งหม้อไฟและซูชิ สายพาน ในที่เดียว   โดยใช้กลยุทธ์การตลาดภายใต้แนวคิด อีโมชันนัล เอ็กซพีเรียนซ์ (Emotional Experience) ด้วยนำจุดแข็งหลักของแบรนด์ ‘รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด’ (Good Taste Great Time Never End) ต่อยอดสู่ประสบการณ์เชื่อมโยงทั้งอารมณ์และการรับประทานอาหาร ผ่าน 3 แกนหลัก ประกอบด้วย   Shabushi ALL-STAR SERIES เมนูชาบู-ชาบู พรีเมียม และวัตถุดิบคุณภาพ ให้ความคุ้มค่าและความอร่อย Shabushi SUSHI-MASTER SERIES ยกระดับประสบการณ์ซูชิ ข้าวปั้นหลากหลายหน้า และเมนูใหม่ที่ทำอย่างพิถีพิถัน Shabushi Great Moment สร้างความประทับใจด้วยบริการ และ กิจกรรทในร้านเพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมกันตามไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่   “ชาบูชิ จะไม่ได้เป็นแค่ร้านอาหาร แต่คือแพลตฟอร์มของคนรุ่นใหม่ที่สร้างโซเชียล บอนดิง ความผูกพันธ์ร่วมกันของยังเจนฯในสังคม” ศสัย กล่าว   ขณะเดียวกัน ชาบูชิ ยังวางแผนสื่อสารการตลาดแบบครบวงจรผ่านเครื่องมือต่างๆ รวมถึงผลิตภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ พร้อมทำงานร่วมกับ #สกายนานิ ‘สกาย-วงศ์รวี นทีธร’ และ ‘นานิ-หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ’ เป็นตัวแทนความสดใส มิตรภาพ และพลังบวก ในฐานะพรีเซ็นเตอร์คู่แรกของชาบูชิ ซึ่งมีบุคคลิกในทิศทางเดียวกับแบรนด์ พร้อมเปิดตัวแคมเปญ ชาบูชิ x สกาย – นานิ : ALL YOU CAN กรี๊ด  เพื่อขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วย   พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังสร้างประสบการณ์ใหม่จากการรีเฟรชแบรนด์ ชาบูชิให้กับผู้บริโภค โดยนำมาสเตอร์เชฟ ร่วมพัฒนาเมนูซูชิระดับพรีเมียมบนสายพาน โดยนำร่องเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าซีคอน สแควร์ ศรีนครินทร์ ก่อนทยอยให้บริการในสาขาอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการตอกย้ำความคุ้มค่าของชาบูชิ ตามแนวทางการตลาดที่วางไว้   “ชาบูชิ โฟกัสความคุ้มค่า ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก และไม่ได้วางตำแหน่งทางการตลาดในกลุ่มหม้อไฟเพียงอย่างเดียว แต่เราอยู่ในเซ็กเมนต์หลักที่วางไว้แต่แรกคือเป็นฮอตพอทและซูชิ บนสายพานรายเดียวที่ผู้บริโภคต่างนึกถึงและยังเป็นจุดแข็งสำคัญในการทำตลาด” ศสัย กล่าว   โดยร้านชาบูชิ ให้บริการรูปแบบบุฟเฟต์ต่อคน แบ่งเป็น 3 ราคา คือ ราคา 399 บาท, 499 บาท และ 599 บาท และยังไม่มีแผนปรับราคาสินค้าขึ้นในขณะนี้ โดยปัจจุบันเปิดให้บริการ 190 สาขาทั่วประเทศ บนทำเลหลักขยายสาขาร่วมกับศูนย์การค้าเปิดใหม่ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด โดยในปีงบประมาณของบริษัท (2568-2569) วางแผนขยายสาขาใหม่ราว 10 แห่ง   ศสัย กล่าวว่า จากการเปิดสาขาชาบูชิที่จะไปพร้อมกับการขยายสาขาใหม่ของศูนย์การค้าที่ต้องเปิดปิดในเวลาเดียวกันกับศูนย์ฯ ทำให้ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ 24 ชั่วโมงในทำเลดังกล่าว แต่ก็มีบางสาขาอย่างศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ที่เปิดให้บริการได้ 24 ชั่วโมงที่ตรงกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่น โดยปัจจุบัน ‘ชาบูชิ’ ครองสัดส่วนรายได้ 80% ในพอร์ตสินค้าอาหารทุกแบรนด์ในเครือโออิชิ   จากแนวทางดังกล่าว แบรนด์ชาบูชิ ยังมองว่าเป็นการปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันในตลาดอาหารทุกกลุ่ม (Segment) ทั้งสาขาร้านอาหารและสตรีท ฟู้ด มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาทและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุกปี จากจำนวนทั้งผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาและผู้เล่นรายเดิมที่หายไปในสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ทำให้ตลาดยังมีมูลค่าดังกล่าว ส่วนตลาดอาหารประเภทหม้อไฟคาดมีมูลค่าราว 3 แสนล้านบาท     Alternate-X สรุปให้ ‘ชาบูชิ’ รีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบกว่า 20 ปี เพื่อเจาะใจคนรุ่นใหม่ วางภาพลักษณ์ใหม่ ‘คุ้มค่า-ครบเครื่อง’ ทั้งหม้อไฟและซูชิสายพาน เดินหน้าด้วย Emotional Experience เสริมเมนูพรีเมียม พร้อมกิจกรรมในร้าน จับมือดูโอพรีเซ็นเตอร์ ‘สกาย–นานิ’ สื่อสารแบรนด์สดใส–พลังบวก เตรียมขยาย 10 สาขาใหม่ รองรับตลาดอาหาร 7 แสนล้านบาทที่เติบโตต่อเนื่อง    

June 14, 2025 / 0 Comments
read more

เมล็ดกาแฟ ‘เกอิชา’ กับคาแรกเตอร์ ‘โปร่งใส-ซับซ้อน’ สู่ไวรัลรสชาติพรีเมียม-ราคาจับต้องได้

BizKet

ปรากฎการณ์ร้านกาแฟ ‘UNO! Coffee’ มาเปิดใหม่ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ในรูปแบบคิออสค์หน้ากว้าง ที่กำลังเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียด้วยเมนู ‘พรีเมียม อเมริกาโน’ จากการใช้วัตถุดิบเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ ‘เกอิชา’ ที่มีราคาค่าตัวที่ดีที่สุดจากการประมูลได้สูงถึง 35,000 บาทต่อกิโลกรัม!! เลยทีเดียว   จากความว้าว! ของวัตถุดิบระดับพรีเมียมนี่เอง น่าจะเป็นหนึ่งในแรงส่งให้เหล่า ‘คอฟฟี เลิฟเวอร์’ ต่างพร้อมใจออกไปหาประสบการณ์ดื่มด่ำรสชาติเครื่องดื่มจากสวรรค์ที่สร้างสรรค์โดยบาริสตา เพื่อต่อแถวซื้อเครื่องดื่มอเมริกาโนเมล็ดกาแฟเกอิชา ในราคาแก้วละ 85 บาท ในช่วง Soft Opening  ร้านกาแฟ ‘UNO! Coffee’ ที่ยังมีคิวล้นลากแถวยาวอย่างต่อเนื่อง   ด้วยยอดขายทะลุมากกว่า 500-800 แก้วต่อวัน ในตอนนี้   สำหรับร้าน ‘UNO! Coffee’ เป็นหนึ่งในธุรกิจเครือบริษัทร็อคส์ พีซี จำกัด (ROCKS PC) ผู้บริหารแฟรนไชส์ Potato Corner ร้านเฟรนฟรายส์คลุกผงปรุงรสชื่อดังจากฟิลิปปินส์ และร้านอาหารพื้นเมืองภาคเหนือในชื่อ Khao-Sō-i ข้าวโซอิ     ทีนี้มาทำความรู้จักกับเมล็ดกาแฟเกอิชากันบ้าง ว่าทำไม ‘น้อง’ ถึงหายากจนทำให้มีค่าตัวแรงขนาดนี้!!   เชื่อว่าหลายๆคนอาจทราบกันมาบ้างแล้วว่า เมล็ดกาแฟเกอิชา (Geisha Coffee) เป็นสายพันธุ์กาแฟอาราบิก้า (Arabica) ที่มีต้นกำเนิดจากภูเขา ‘Gesha’ ในประเทศเอธิโอเปีย และได้รับความนิยมอย่างมาก หลังจากมีการนำไปปลูกในฟาร์มชื่อดังของปานามา   จากจุดเริ่มต้นของเมล็ดกาแฟ ที่ค้นพบในประเทศเอธิโอเปีย แหล่งกำเนิดและเป็นที่มาของชื่อเมล็ดกาแฟเกอิชา ที่ปัจจุบันได้ขยายการเพาะปลูก และพบได้ตามแหล่งๆ ต่าง อาทิประเทศปานามา ที่การันตีด้านคุณภาพสูงสุดจากไร่ Hacienda La Esmeralda ด้วยคว้าแชมป์หลากหลายรางวัลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหรือในไร่กาแฟระดับสูงในประเทศ โคลอมเบีย, คอสตาริกา รวมถึงในไทยที่ได้เริ่มปลูกมากขึ้นในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน   ขณะที่เมล็ดกาแฟเกอิชา มีการบอกเล่าถึงคุณสมบัติและรายละเอียดที่เป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์สะท้อนความพรีเมียม ทั้งกลิ่นและรสชาติ ที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้และผลไม้ อย่าง กลิ่นมะลิ, ลิ้นจี่, เบอร์รี่, ซิตรัส, ชาเขียว   ส่วนบุคลิกหรือคาแรกเตอร์ของเมล็ดกาแฟเกอิชานั้นมีความโปร่งใส, ซับซ้อน, มีแอคซิดิตี (acidity) สูงแบบผลไม้ และให้รสสัมผัสความเข้ม (body) เบา-กลาง   ตัดภาพมาที่ความหายากของวัตถุดิบ ด้วยต้องปลูกบนที่สูง (1,700–2,000 เมตร) มีผลผลิตน้อย และต้องใส่ใจดูแลอย่างละเอียดมาก เป็นหนึ่งในเหตุผลทำให้ราคาเมล็ดเกอิชาที่ดีที่สุดอาจประมูลได้ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อปอนด์ หรือมากกว่า 35,000+ บาทต่อกิโลกรัม เลยทีเดียว   นอกจากนี้เมล็ดกาแฟเกอิชาจาก Panama Esmeralda ยังเคยทำลายสถิติ กาแฟที่แพงที่สุดในโลก (Cup of Excellence และ Best of Panama) ด้วยคว้าแชมป์มาแล้วบ่อยครั้งในการแข่งขันกาแฟระดับโลก เช่น World Brewers Cup และ World Barista Championship อีกด้วย   ด้วยความ ‘แรร์’ ของวัตุดิบระดับพรีเมียม เช่นนี้เองที่สร้างความน่าสนใจและชวนให้ลองสัมผัสในกลุ่มคอกาแฟ สาย สเปชียลตี คอฟฟี รวมถึงคนที่ชอบกาแฟรสชาติ ‘ซับซ้อน’ ไปจนถึงผู้ที่ต้องการประสบการณ์กาแฟเหนือระดับ (และพร้อมจ่ายเพิ่ม) และกลุ่มบาริสต้าที่ต้องการเมล็ดพิเศษ สำหรับการแข่งขัน ด้วยเช่นกัน !!   ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ต่อการเข้ามาเปิดขาย อเมริกาโน่ พรีเมียม ด้วยวัตถุดิบเมล็ดกาแฟเกอิชา ที่ร้าน UNO! Coffee’ ด้วยการเปิดเปิดราคาดีต่อใจในแก้วละ 85 บาท ถึงสร้างกระแสจนกลายเป็นไวรัลจากโลกออนไลน์ถึงออฟไลน์ ได้เป็นอย่างมาก ในเวลานี้     Alternate-X UNO! Coffee ร้านกาแฟเปิดใหม่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว สร้างไวรัลเพราะขายกาแฟเมล็ดเกอิชาในราคาเข้าถึงได้ เริ่มต้นแค่ 85 บาทต่อแก้ว ด้วยเมล็ดกาแฟเกอิชา เป็นหนึ่งในแรร์วัตถุดิบจากสภาพการเพาะปลูกและการได้มาพร้อมรสชาติซับซ้อน หอมดอกไม้-ผลไม้ ถือเป็นความหายากระดับโลก เมล็ดนี้จึงเป็นที่ต้องการในวงการกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่ท้าทายให้เหล่า คอฟฟี่ เลิฟเวอร์ ชวนค้นหาประสบการณ์ดื่มด่ำเครื่องดื่มจากเมล็ดกาแฟหายากนี้

June 13, 2025 / 0 Comments
read more

ไปรษณีย์ไทยไม่แผ่ว เปิดสงครามส่งด่วนกลุ่มใหม่ เจาะตลาดรักษาสัตว์ 6.64 แสนล.บาท

BizKet

ชาวทาสทั่วไทยหายห่วง!! ตอนนี้พี่ไปรษณีย์ ร่วมสัตวแพทย์ จุฬาฯ ให้บริการส่งด่วนยาสัตว์เลี้ยง เจาะตลาดดูแลสัตว์ 6.64 แสนล้านบาท รับแนวโน้มสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกครอบครัวโตขึ้น 6% จากปีก่อน   ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของประเทศไทยมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นโดยประชาชนส่วนใหญ่นิยมการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว   โดยในปี 2567 พบว่าตลาดสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะในกลุ่มบริการรักษาสัตว์มีมูลค่าตลาดสูงถึง 6.64 แสนล้านบาท และปี 2568 นี้คาดการณ์ว่าจำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาราว 6% โดยคิดเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของประมาณ 5.38 ล้านตัว ซึ่งสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ สุนัข และแมว   ทั้งนี้ บริษัทฯ มองเห็นโอกาสทางธุรกิจให้บริการจัดส่งพัสดุจากแนวโน้มดังกล่าว พร้อมร่วมมือกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬา เปิดแคมเปญ “พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์ จุฬาฯ ส่งรัก” นำระบบส่งด่วน EMS ส่งต่อยาและเวชภัณฑ์ของสัตว์ให้กลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงผ่านโซลูชันให้บริการ 2 ช่องทาง คือ   บริการส่งยาถึงบ้านสำหรับผู้มาใช้บริการที่โรงพยาบาลสัตว์ กรุงเทพฯ แ บริการส่งยาถึงบ้านสำหรับผู้ใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ (Televet)   สำหรับแคมเปญฯ นี้เพื่อลดระยะเวลารอคอยในการรอรับยา และลดความแออัดในโรงพยาบาลที่มีผู้เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าในปี 2568 จำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาราว 6% สะท้อนถึงโอกาสเติบโตการขนส่ง ระบบการรักษา และโลจิสติกส์ในกลุ่มดังกล่าว   ดร.ดนันท์ กล่าว่า บริการนี้ได้ต่อยอดการขนส่งด้วยแนวคิด ‘Parcel Defined Logistics’ ที่ออกแบบระบบขนส่งให้เหมาะสมกับสิ่งของ ทุกประเภท รวมทั้งการขนส่งยาและเวชภัณฑ์ที่ไปรษณีย์ไทยได้เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2555 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วย และโรงพยาบาล   ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่ใช้บริการส่งยาและเวชภัณฑ์ผ่านไปรษณีย์ไทยกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล  โดยมีการขนส่งไปแล้วกว่า 2.32 ล้านชิ้น   ขณะที่ บริการส่งด่วน EMS การันตีมาตรฐานการจัดส่งภายใน 1-2 วันทำการ ส่งตรงถึงบ้านถึงบ้านด้วยบรรจุภัณฑ์ และวิธีการขนส่งที่เหมาะสมในการช่วยรักษาประสิทธิภาพของยาและเวชภัณฑ์   นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเครือข่ายกว่า 50,000 จุด ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และบุรุษไปรษณีย์กว่า 25,000 คน ที่มีความชำชาญทุกเส้นทาง บริการจัดส่งในอัตราค่าบริการเริ่มต้นเพียง 120 บาทต่อครั้ง   ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าความร่วมมือโครงการฯ ในมุมของจุฬาฯ เล็งเห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่ควรจำกัดบทบาทเพียงการสอนหรือวิจัย แต่ต้องเป็นแรงผลักดันที่สามารถสร้างระบบนิเวศใหม่ให้กับสังคม   ขณะที่ไปรษณีย์ไทยยังได้แสดงถึงบทบาทการเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณค่า ทั้งการรับส่งพัสดุ และสามารถเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการสุขภาพที่เท่าเทียมทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นสำหรับประชาชนทุกภูมิภาค และขยายผลไปถึงสัตว์เลี้ยง   “ความร่วมมือนี้ไม่ใช่แค่การอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการและสัตว์เลี้ยง แต่ยังช่วยเปิดประตูให้กับแนวคิดใหม่ ๆ ในการบูรณาการบริการภาครัฐและวิชาการอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมวางรากฐานให้ระบบสุขภาพสัตว์เลี้ยงไทยมีความแข็งแรง คล่องตัว และต่อยอดสู่การเป็นโครงสร้างถาวรในระบบสุขภาพสัตว์เลี้ยงของประเทศต่อไป” ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าว   ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล กรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ ‘พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์ จุฬาฯ ส่งรัก’ เป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่มีพลังขับเคลื่อนทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว   นอกจากนี้ยังตอกย้ำให้ ‘ไปรษณีย์ไทย’ ก้าวสู่บทบาทโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพของประเทศ ทั้งจากการเป็นผู้นำการขนส่งพัสดุ การเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงการรักษา-บริการและเวชภัณฑ์ได้ถึงหน้าบ้าน รวมถึงมาตรฐานการขนส่งที่ไว้วางใจได้ ซึ่งสะท้อนหน่วยงานสื่อสารและขนส่งของชาติที่ยืนอยู่เคียงข้างคนไทยในทุกมิติ   นอกจากนี้ เมื่อโครงการนี้สามารถขยายผลไปยังภูมิภาคอื่น ๆ หรือกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ในเครือข่ายเพิ่มเติม ก็จะยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของไปรษณีย์ไทยในฐานะแบรนด์ที่ขับเคลื่อน Well-being ของสังคมไทยอย่างแท้จริง พร้อมสะท้อนบทบาทของจุฬาฯ ในฐานะผู้สร้างระบบสุขภาพสัตว์ที่มีมาตรฐาน เข้าถึงได้ และต่อยอดไปสู่ระดับนโยบายประเทศต่อไปในอนาคต   Alternate-X สรุปให้ ไปรษณีย์ไทย ร่วมกับสัตวแพทย์ จุฬาฯ เปิดบริการส่งด่วนยาสัตว์เลี้ยงถึงบ้าน รองรับตลาดรักษาสัตว์โตแรง มูลค่ากว่า 6.64 แสนล้านบาท ใช้ระบบ EMS ส่งภายใน 1–2 วัน พร้อมแพ็คเกจรักษาคุณภาพยา ลดความแออัดในโรงพยาบาลสัตว์ เพิ่มความสะดวกผู้ใช้บริการทั่วประเทศ พร้อมเดินหน้าสู่บทบาทใหม่ในระบบสุขภาพสัตว์เลี้ยงไทยอย่างยั่งยืน  

June 13, 2025 / 0 Comments
read more

ส่องงาน ‘ProPak Asia 2025’ โชว์เทรนด์บรรจุภัณฑ์โลก จะปลุกมูลค่าการค้าฯกว่า 5.5 พันล.บาท

BizKet

‘ProPak Asia 2025’ งานแสดงเทคโนโลยีกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย โชว์ล้ำนวัตกรรมเทรนด์แพคเกจจิงโลก ปลุกอุตสาหกรรมระบบนิเวศสร้างมูลค่าการค้าฯ กว่า 5.5  พันล้านบาท   ดร.ฟุคุยะอิ อี้โนะ ผู้แทนองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ สำนักงานอนุภูมิภาค ประเทศไทย มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม ลาว และเมียนมา (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) กล่าวว่า UNIDO เป็นหนึ่งในหน่วยงานเฉพาะทางของสหประชาชาติ ที่ทำงานร่วมกับรัฐบาล ภาคเอกชน และองค์กรอื่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค การสร้างขีดความสามารถ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม   ขณะที่ UNIDO ยังร่วมมือกับ ProPak Asia งานแสดงเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ระดับภูมิภาคเอเชีย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พร้อมให้ความสำคัญในการทำงานเพื่อส่งต่อความรู้และโอกาสเข้าสู่ตลาด การสร้างการรับรู้ การดึงดูดพันธมิตรใหม่ๆ และการเข้าถึงห่วงโซ่อุประทานระหว่างประเทศ   “ในปีนี้ โครงการของ UNIDO อาทิ สมาชิกจากจีน กัมพูชา ปากีสถาน มองโกเลีย ฯลฯ เข้ามาร่วมงาน เพื่อสร้างความร่วมมือและกำหนดบทบาทร่วมกันทั้งเรื่องบรรจุภัณฑ์อาหารที่ยั่งยืน การลดการสูญเสียอาหารและของเสีย การจำกัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบรรลุความมั่นคงทางอาหาร” ดร.ฟุคุยะอิ กล่าว   ด้าน ลูเซียนา เปลเลกรีโน ประธานองค์กรบรรจุภัณฑ์โลก (World Packaging Organization : WPO) กล่าวว่า อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์โลกวันนี้ ขับเคลื่อนด้วย 2 แก่นหลัก คือ   การผสานปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะเพิ่มความแม่นยำ ประสิทธิภาพ และเปิดทางสู่การผลิตที่ปรับให้เหมาะกับผู้บริโภคแต่ละราย (mass personalization) พร้อมลดของเสียและเพิ่มความยืดหยุ่นในสายการผลิต   ความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจของการออกแบบและนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อดินหน้าไปสู่การลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ การสร้างบรรจุภัณฑ์หมุนเวียน รวมถึงการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   สำหรับ WPO เป็นองค์กรระดับสากลที่มีสมาชิกกว่า 62 ประเทศทั่วโลก มีเป้าหมายส่งเสริมความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ทั่วโลก เชื่อมโยงชุมชนบรรจุภัณฑ์ระดับนานาชาติ และแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน   พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรจัดกิจกรรมและร่วมงานแสดงสินค้าที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคต่างๆ ซึ่ง ProPak Asia เป็นงานที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคอาเซียนที่ทางองค์กรฯ สนับสนุนมาโดยตลอด และเป็นหมุดหมายที่องค์กรบรรจุภัณฑ์จากนานาชาติรอคอยที่จะได้มาร่วมงานในทุกปี   โดยไฮไลท์ สำคัญของปีนี้ คือ การสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกที่ได้รับเกียรติจาก ดร.โยฮันเนส เบิร์กไมร์ เลขาธิการ WPO และ นางเนอริดา เคลตัน รองประธานฝ่ายความยั่งยืน โดยจะเจาะลึกในประเด็นสำคัญ อาทิ   มุมมองโลกด้านบรรจุภัณฑ์ (Global Packaging Perspective) ความปลอดภัยของวัสดุบรรจุภัณฑ์อาหาร ความย้อนแย้งระหว่าง “ขยะจากบรรจุภัณฑ์” และ “ขยะอาหาร”   รวมถึงการเสวนากลุ่ม ‘Asia Sustainable Packaging Roundtable’ โดยองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) เป็นเจ้าภาพ ที่จะแลกเปลี่ยนแนวทางพัฒนาความยั่งยืนกับองค์กรบรรจุภัณฑ์จากทั่วเอเชีย   ด้าน มนู เลียวไพโรจน์ ประธาน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงานฯ กล่าวว่า งาน ProPak Asia ในปีนี้มีแนวคิดที่มุ่งสู่เป้าหมายการเป็น “เส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในอุตสาหกรรมการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” (Carbon-Neutral Pathways to Sustainable Processing and Packaging Ecosystem) ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อโลก   สำหรับงานฯ ปีนี้จัดระหว่างวันที่ 11-14 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค จากบริษัทชั้นนำของไทยและต่างประเทศกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 42 ประเทศทั่วโลก  พร้อม 15 พาวิลเลี่ยนจากประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ บาวาเรีย, จีน, ฝรั่งเศส, อิตาลี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, อเมริกาเหนือ, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, สเปน, ไต้หวัน เต็มพื้นที่จัดแสดง 5.5 หมื่นตร.ม.   โดยผู้ร่วมจัดแสดงงานได้ร่วมกันนำเสนอความล้ำสมัยล่าสุดที่ครอบคลุมในทุกกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติ การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น   “คาดว่างาน ProPak Asia 2025 จะดึงดูดผู้เข้าเยี่ยมชมงานจากทั่วโลกได้มากว่า  80,000 คน สร้างมูลค่าการค้าและการเจรจาธุรกิจสูงกว่า 5.5 พันล้านบาท” มนู กล่าว     Alternate-X สรุปให้  ProPak Asia 2025 โชว์เทคโนโลยีการผลิตและบรรจุภัณฑ์ล้ำสมัยระดับเอเชีย มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม ขณะที่ AI และความยั่งยืนคือ 2 แกนหลักของบรรจุภัณฑ์โลก งานฯ จัดแสดงโดย 2,000 แบรนด์ จาก 42 ประเทศ คาดผู้ชมกว่า 80,000 คน พร้อมเวทีสัมมนาระดับโลก วางเป้างานฯสร้างมูลค่าการค้าและเจรจาธุรกิจกว่า 5.5 พันล้านบาท  

June 13, 2025 / 0 Comments
read more

พฤติกรรมชอปออนไลน์ คนไทยชอบ ‘ชอปก่อนนอน’ 3 ทุ่ม เวลาทองกดของใส่ตระกร้า  

BizKet

วัตสัน เปิดสถิติสกิลการช้อปคนไทยทุกเจนช่วงแคมเปญวันเกิด เจอเทรนด์ลงทุนให้กับตัวเองมาแรง เปย์หนักสกินแคร์-ดูแลผิว ได้ช้อปปิงก่อนนอนคือช่วงพักผ่อนฮีลใจคนรุ่นใหม่   วัตสัน (Watsons) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกพิเศษเพื่อสุขภาพและความงาม รายใหญ่ เผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยในแคมเปญ Watsons Online Birthday Sale มหกรรมชอปออนไลน์ต่อเนื่อง 10 วัน 10 คืนเต็ม พร้อมจัดโปรโมชันดึงดูดผู้บริโภคชาวไทย   นอกจากนี้แคมเปญฯ ยังพบพฤติกรรมเชิงลึก (อินไซต์) นักชอปไทยต่อการคลิก เลือกสินค้าใส้ตะกร้าชอป ซึ่งมีทั้งสินค้าลดราคาและกิมมิกลับยอดนิยมของคนทั้งประเทศที่แฝงไว้อย่างน่าสนใจ   นักช้อปทุกเจนฯ ลงทุนให้ตัวเอง   โดยพบว่า สินค้าสุขภาพและความงามที่ดี เป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมในทุกช่วงวัย ดังนี้   กลุ่มเจนเนอเรชันซี (Gen Z) อายุต่ำกว่า 20 ปี ให้ความสำคัญกับสกินแคร์และเครื่องสำอางอย่างจริงจัง ด้วยแนวคิดการลงทุนให้กับผิวตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนกับตัวเองในอนาคต ครอบคลุมทั้งรูปลักษณ์และสุขภาพ กลุ่มวัยทำงาน อายุ 21–45 ปี ให้ความสำคัญกับทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเครื่องสำอาง   พบว่า 15% ให้ความสนใจในการซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพและอาหารเสริมซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสุขภาพในชีวิตประจำวันอย่างสมดุล กลุ่ม Middle Age อายุ 46–55 ปี ให้ความสำคัญกับการดูแลผิวอย่างลึกซึ้ง ผ่านผลิตภัณฑ์กลุ่มเวชสำอาง (Derma Skincare) สะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์การดูแลตัวเองไม่ใช่แค่เรื่องของวัยหนุ่มสาว แต่กลายเป็นพฤติกรรมที่ทรงอิทธิพลในทุกช่วงวัย   สำหรับแบรนด์ที่ครองใจนักชอปจากทุกสาย ทั้งสกินแคร์ บิวตี้ และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ได้แก่   L’oreal Cerave In2it Eucerin Anessa สินค้าตราวัตสัน     ‘กันแดด’ ตลอดไป   ทั้งนี้ จาก Top Search Trend เทรนด์การค้นหายอดนิยม ของผู้บริโภคชาวไทยยังพบว่าไม่ลังเลกับไอเทม ‘กันแดด’ สะท้อนว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการปกป้องผิวจากทุกสภาวะอากาศ ส่วนตามมาจะเป็น ‘ลิป’ เพื่อเติมลุคสดใสได้ทันที และใช้ได้ทุกวัน   นอกจากนี้ ผู้คนยังให้เลือกค้นหาและเลือกชอปสินค้าเกี่ยวกับการป้องกันและดูแลสุขภาพ เนื่องจากความกังวลกับ Covid-19 ที่กลับมาอีกครั้ง และต้องการสินค้ากลุ่มนี้มีไว้ติดบ้านเพื่อความอุ่นใจ และรับผิดชอบต่อคนรอบข้าง สะท้อนถึงความต้องการดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่คนไทยไม่เคยละเลย   คนกรุงเทพฯ No.1 สายช้อป   สำหรับช่วงเวลายอดนิยม (ไพรม์ไทม์) ในการชอปออนไลน์สูงสุดช่วงเวลา 21.00 น. สะท้อนถึงเทรนด์และพฤติกรรมของนักชอปยุคปัจจุบันที่ชอบ ‘ชอปก่อนนอน’ เพราะเป็นช่วงเวลาที่หลายคนได้เวลาพักผ่อนหลังเลิกงานหรือภารกิจประจำวัน เป็นโมเมนต์ส่วนตัวที่ได้ใช้เวลาเลือกของที่ชอบในราคาที่ใช่ ทำให้ ‘ก่อนนอน’ กลายเป็นเวลาทองของการชอป!   ขณะที่ งจังหวัดที่เป็นแชมป์นักชอปในครั้งนี้ได้แก่ กรุงเทพฯ ตามด้วย นนทบุรี เชียงใหม่ และขอนแก่น ตามลำดับชี้ให้เห็นว่าตลาดนอกเมืองใหญ่กำลังเติบโตและมีพลังซื้อไม่แพ้เมืองหลวง   โดยทั้งหมดนี้ สะท้อนพฤติกรรมที่ชัดเจนของนักชอปไทยยุคใหม่ ในปัจจุบันที่มองหาสินค้าราคาดีและโปรดึงดุดใจ และมีเป้าหมายในการเลือกซื้อชัดเจนที่รู้ตัว รู้ใจ และรู้จักดูแลตัวเองมากขึ้น   ส่งผลให้เรื่อง สุขภาพ ความงาม และความคุ้มค่า เป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์สำคัญของผุ้คนในทุกช่วงวัยในปัจจุบัน ที่พร้อมลงทุนให้กับสินค้าเพื่อดูแลตัวเองในแบบที่คุ้มค่า มากที่สุด       Alternate-X วัตสัน เผยพฤติกรรมช้อปของคนไทยทุกเจนฯ ในแคมเปญวันเกิด เน้นลงทุนดูแลตัวเองเป็นหลัก Gen Z เน้นสกินแคร์-เครื่องสำอาง วัยทำงานสนใจสุขภาพ-อาหารเสริม ส่วน Middle Age ให้ความสำคัญกับเวชสำอาง แบรนด์ดังครองใจทั้ง L’oreal, Eucerin, Anessa ฯลฯ  โดยเทรนด์ไอเทมยอดนิยม ‘กันแดด’ มาแรงสุด รองลงมาเป็นลิป และสินค้าสุขภาพ ช่วงพีคคือก่อนนอน และ กรุงเทพฯ ครองแชมป์นักช้อป สะท้อนเทรนด์รักสุขภาพ-ชอบความคุ้มค่า  

June 12, 2025 / 0 Comments
read more

ห้างฯเซ็นทรัล แผนใหม่Q2 รับนักท่องเที่ยวมุสลิมทั่วโลก ดึงพันธมิตรฉลอง ‘ตรุษอีฎิ้ลอัฎฮา

BizKet

ห้างเซ็นทรัล จับมือพาร์ทเนอร์ระดับโลก ต้อนรับตรุษอีฎิ้ลอัฎฮา ปลุกฤดูกาลท่องเที่ยวไตรมาส 2 ดึงนักท่องเที่ยวมุสลิมทั่วโลกสู่ไทย   รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ห้างเสรรพสินค้าซ็นทรัล จัดแคมเปญ ‘Central EID Mubarak’ เป็นครั้งแรกของห้างฯเซ็นทรัล เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลอีฎิลอัฎฮา และต้อนรับฤดูกาลเดินทางของชาวตะวันออกกลาง   โดยร่วมกับพันธมิตรสำคัญ อาทิ มาสเตอร์การ์ด (Mastercard) โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ (Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok) โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล กรุงเทพ (The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel, Bangkok) โรงแรม อัล มีรอซ (Al Meroz Hotel Bangkok) สายการบินเอมิเรตส์ (Emirates Airlines) เอไอเอส (AIS) ท็อปส์ (Tops)  รวมถึงร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำที่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ มอซซ่า บาย โคคอต (Mozza by Cocotte), TIENGNA Patisserie และ % ARABICA THAILAND สาขาเซ็นทรัล ชิดลม   นอกจากนี้ ยังเพื่อย้ำตำแหน่งห้างฯเซ็นทรัล ชิดลม ในฐานะ The Store of Bangkok  จุดหมายของการช้อปปิ้งระดับเวิลด์คลาส เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าที่มองหาประสบการณ์ทั้งการจับจ่ายใช้สอย และการได้รับการบริการชั้นเลิศระดับลักซูรีและเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมให้ความสำคัญในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการปฏิบัติตามหลักของศาสนา รวมถึงความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวมุสลิม   “เรามีบริการ Personal Shopper ที่สามารถสื่อสารภาษาอาหรับและอังกฤษได้ รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิเช่น ห้องละหมาด สำหรับการปฏิบัติกิจทางศาสนา และ Personal Shopping Suite เพื่อรองรับความเป็นส่วนตัว รวมไปถึงร้านอาหาร Halal-friendly ที่มีให้บริการอย่างครบครัน พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนทุกท่านอย่างอบอุ่น” รวิศรา กล่าว   สำหรับแคมเปญ Central EID Mubarak ครั้งนี้ ยังมีเป้าหมายในการสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลไตรมาสที่สองของปี โดยส่งมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งและความลักซูรี รวมถึงกิจกรรมที่เป็นการเปิดประตูต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากประเทศต่างๆในช่วงเวลาสำคัญของทางศาสนาอิสลาม และยังเป็นช่วงเวลาที่เป็นที่นิยมในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศภูมิภาคตะวันออกกลาง ถือเป็นการสนับสนุนแคมเปญของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ในปีนี้   โดยแคมเปญฯ ยังมอบมีสิทธิพิเศษและข้อเสนอต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 16 มิถุนายน 2568 ดังนี้       Alternate-X สรุปให้ ห้างเซ็นทรัล ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก จัดแคมเปญ “Central EID Mubarak” รับเทศกาลอีฎิ้ลอัฎฮา ดึงดูดนักท่องเที่ยวมุสลิมจากตะวันออกกลาง เสริมการท่องเที่ยวไตรมาส 2 พร้อมให้บริการหรูระดับเวิลด์คลาส รองรับวัฒนธรรมมุสลิม ทั้งห้องละหมาด ร้านอาหารฮาลาล และพนักงานพูดภาษาอาหรับ ตอกย้ำความเป็น ‘The Store of Bangkok’ แหล่งช้อปปิ้งระดับลักซูรี โดยแคมเปญจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 พ.ค. – 16 มิ.ย. 2568 สนับสนุนปีท่องเที่ยวแห่งชาติ 2025

June 11, 2025 / 0 Comments
read more

‘การตลาดแบบไม่มีผู้แพ้’ หลัง ‘มาม่า’ รับบท ‘ใจป๋า’ เปลี่ยนโปรไฟล์ให้เป็นแบรนด์คู่แข่ง

BizKet

ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจ ‘Pride Month’ นี้ ที่มาพร้อมความไวรัลของ ‘มาม่า’ หัวแถวในตลาดบะหมี่กึ่งฯ ออกมาขยับบนโซเชียลพร้อมซัพพอร์ตความหลากหลายแบรนด์ไทยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วงสงครามอินสแตนท์ นู้ดเดิล 2.8 หมื่นล.บาทที่มี กลุ่มพรีเมี่ยม เป็นหัวหอกพาตลาดโต   เรียกความสนใจให้กับชาวโซเชียลไปไม่น้อย หลังจากแบรนด์ ‘มาม่า’ พี่ใหญ่ของวงการบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูป ออกมาเปลี่ยนโปรโฟล์เพจเฟซบุ๊คเป็นไวไว มาพร้อมกับสร้างความสงสัยเป็นอย่างมากในเหล่าผู้บริโภคที่พร้อมใส่ใจในเกือบทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์   สำหรับ ผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า ในฐานะแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอันดับหนึ่งของไทย ภายใต้การผลิตโดย บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) และจัดจำหน่ายโดย บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)   โดยเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. เพจเฟซบุ๊ค Mamalover ได้เปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นโลโก้ของ ไวไว ซึ่งเป็นของบริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ซึ่งสองรายต่างเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จมานานกว่า 50 ปี ในปัจจุบัน และจากความเคลื่อนไหวของ ‘มาม่า’ ในครั้งนี้ได้จุดประกายให้เกิดความสงสัย จนมีคนคาดเดากันว่าอาจเกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการหรือกลยุทธ์อื่น ๆ   ตลาดเป็นของผู้บริโภค   กระทั่ง ‘พันธ์ พะเนียงเวทย์’ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า ได้ออกมาโพสข้อความบนเฟซบุ๊ก ต่อปรากฎการณ์นี้ด้วยตัวเองว่า “การแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้ทุกคนต้องแข่งกันพัฒนา สุดท้ายประโยชน์สูงสุดก็จะเป็นของผู้บริโภค”   ด้วยในวันเดียวกัน (10มิ.ย.) หลังแอดมินเพจ Mamalover เปลี่ยนโปรไฟล์เป็นไวไวแล้ว ถัดจากนั้นเพจดังกล่าว ก็ขึ้นรูปโปรไฟล์ใหม่เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรุปตรา ‘รุสกี’ (Ruski) ที่ได้เครื่องหมายรับรองฮาลาล (Halal) อีกหนึ่งแบรนด์สินค้าบะหมึ่ฯ ภายใต้การจัดจำหน่ายของสหพัฒน์   เพิ่มความหลากหลาย   ล่าสุดช่วงเช้าของวันนี้ (11 มิ.ย.) เพจเฟซบุ๊ค Mamalover ได้ออกมาเปลี่ยนโปรไฟล์อีกครั้งเป็นยี่ห้อบะหมี่มาเฟีย (BAMEE MAFIA) ของไฮโซ ‘เป๊ก-สัณณ์ชัย เองตระกูล’  ที่เจ้าตัวได้ออกมาเปิดตัวพร้อมทำตลาดสินค้า ‘บะหมี่มาเฟีย’ บะหมี่อบกึ่งสำเร็จรูปรสสไปซี่ชิคเก้นพลัส ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เช่นกัน   ซึ่งการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ของเพจมาม่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้มีจำนวน 3 แบรนด์ แบ่งเป็น2 แบรนด์คู่แข่งอย่าง ‘ไวไว’ และ ‘บะหมี่มาเฟีย’ และอีกหนึ่งแบรนด์ ‘รุสกี’ อีกหนึ่งสินค้าในเครือสหพัฒน์   โดยทั้งหมดต่างมีจุดร่วมเดียวกันตามที่ ‘พันธ์’ ออกมาแสดงความเห็นผ่านโซเชียล ถึงภาพรวมการแข่งขันในปัจจุบันทำให้ สินค้าต่างเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวเองออกมา ซึ่งก็สอดคล้องกับแฮชแทค #แวะกินยี่ห้ออื่นบ้างนะงับ ตามที่แอดมิน ใช้เป็นคีย์เวิร์ดกำกับไว้ในแต่ละโปรไฟล์ที่เปลี่ยนใหม่ ยกเว้น ‘รุสกี’ ที่แอดมินเลือกโพสสเตตัสว่า แบรนด์นี้ มีสระอุ อ่านว่า รุสกี นะงับ ไม่ใช่ รสกี พร้อมแฮชแทค #รสกีรสชาติเป็นไงงับ ในการนี้ก็น่าจะเพื่อสร้างเอนเกจเมนต์กับชาวโซเชียล ให้มีส่วนร่วมกับแบรนด์   ตลาดซอง7 บาทหดแต่พรีเมียมโต   อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่การตลาดในอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งในกลุ่มสินค้าแบบซองราคา 7 บาท ไม่มีอัตราการเติบโต แต่ก็ไม่ติดลบเพราะผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ แต่ก็ยังลุ้นว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีเติบโตราว 4-5% จาก ‘บะหมี่พรีเมี่ยม’ ที่ทำได้ดีในแง่ยอดขายในช่วงที่ผ่านมา ที่ปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนราว 10% ของตลาดรวม หรืออยู่ที่ 2,800 ล้านบาท ขณะที่พอร์ตแบรนด์ ‘มาม่า’ ครองส่วนแบ่งกว่า 50% ในตลาด   ขณะที่ การทำตลาดเพื่อสร้างไวรัลด้วยการใช้พื้นที่สื่อของตัวเอง (Own media) ออกมาพูดถึงแบรนด์คู่แข่ง ซึ่งในต่างประเทศเองก็มีกรณีลักษณะแคมเปญคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นมาแล้ว อย่าง   Burger King เปลี่ยนโลโก้เป็น McDonald’s บนวัน April Fools’ แบรนด์คู่แข่งหยอกล้อกันในโฆษณา เช่น Pepsi vs Coke     ด้วยการหยอกล้อกันแบบนี้ มักเป็น ‘การตลาดแบบไม่มีผู้แพ้” (no lose game) ถ้าทำให้คนพูดถึงได้ จนเกิดการแชร์ต่อๆ กัน และยังทำให้สื่อเกิดความสนใจและพร้อมติดตามและหยิบความไวรัลนี้ขึ้นมาพูดถึงบนพื้นที่ของตัวเองที่ และนำไปสู่ การได้ฟรีมีเดีย (Free Media) ไปโดยปริยาย เช่นกัน   ทั้งนี้จากมูลค่าการตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ที่ปัจจุบันมีสินค้าทั้งแบรนด์ในประเทศและนำเข้ามากกกว่าสิบแบรนด์ในตลาด โดยเฉพาะเมื่อเร็วๆนี้ Nongshim แบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียมรายใหญ่จากเกาหลี ได้เปิดตัว SHIN Ramyun Toomba ในงาน THAIFEX 2025 ได้เปิดตัวรสชาติใหม่ล่าสุดควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ชื่อดังของเกาหลีที่บูธงานดังกล่าว ด้วยเช่นกัน   นั้นย่อมหมายความว่า ตลาดบะหมี่ฯ ในไทยจะมีผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศมาทำตลาดอย่างจริงจังมากขึ้นในกลุ่มบะหมี่พรีเมี่ยม ที่เป็นโอกาสการเติบโตของตลาดในปีนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน   พร้อมกันนี้ล่าสุด สหพัฒน์ฯ วางแผนรักษาแชมป์ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พร้อมทำตลาดเชิงรุกกลุ่มพรีเมียม ‘MAMA OK’ พร้อมเปิดตัวแบบซอง 2 รสชาติ ‘ทงคตสึ’ และ ‘กิมจิซีฟูด’ มายกระดับมื้ออาหารให้อร่อยเหมือนนั่งอยู่ในร้านดัง ด้วยรสชาติเข้มข้น เส้นหนานุ่ม และส่วนผสมคุณภาพที่ผ่านการรังสรรค์ จำหน่ายทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์  ในขนาด 85 กรัม ราคาซองละ 15 บาท ตามมาติดๆ     อย่างไรก็ตาม หากตัดภาพมาที่การตลาดไวรัลจากความปั่นของเพจ Mamalover ในครั้งนี้ ซึ่งยังอยู่ในช่วงเดือนแห่งความภาคภูมิใจ (Pride Month) ที่ ‘มาม่า’ ยังเปลี่ยนปกเพจ (Page Cover) ใหม่ลวดลายสีรุ้ง พร้อมข้อความ สนับสนุนความหลากหลายทางแบรนด์  ออกมาในช่วงวันเดียวกันอีกด้วย ซึ่งยังสะท้อนถึงความใจใหญ่ของแบรนด์มาม่าในฐานะพี่ใหญ่ในวงการแถมยังเข้ากระแสความหลากหลายในเดือนมิถุนายน นี้อีกด้วย       Alternate-X  บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ‘มาม่า’ สร้างไวรัลบนโซเชียลช่วง Pride Month ด้วยการเปลี่ยนโปรไฟล์เป็นแบรนด์บะหมี่คู่แข่ง กระตุ้นความสนใจผู้บริโภคและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง กลยุทธ์นี้สื่อถึงการแข่งขันในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท ที่กลุ่มพรีเมียมเติบโตแรง  มาม่าใช้ Own Media อย่างสร้างสรรค์ คล้ายแคมเปญระดับโลกแบบ ‘no lose game’ พร้อมแฮชแทค #แวะกินยี่ห้ออื่นบ้างนะงับ ชูภาพลักษณ์เปิดกว้างและสนับสนุนความหลากหลาย สะท้อนจุดยืนแบรนด์ใหญ่ที่กล้าเล่น สนุก และเข้าใจผู้บริโภครุ่นใหม่

June 11, 2025 / 0 Comments
read more

โอกาสธุรกิจอาหารไซส์เล็ก รับเทรนด์บริโภคกระชับงบฯ กำลังซื้อร้านกลุ่มท็อปเทียร์สะดุด

BizKet

เทรนด์ผู้บริโภค ‘กระชับกำลังซื้อ’ ตามภาวะเศรษฐกิจไหลสู่ธุรกิจร้านอาหารรายย่อย โอกาสธุรกิจกิจการเอสเอ็มอีปรับระบบการชำระเงินรับความคล่องตัว   กนกพร จูฑา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในไทยในกลุ่มร้านค้าขนาดกลางย่อมและเล็ก มีแนวโน้มขยายตัวตามกำลังซื้อบริโภคในปัจจุบัน ที่หันมาประหยัดงบประมาณการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  ซึ่งเป็นโอกาสของธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็ก   ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับ ผลวิจัย ttb analytics ประเมินธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 แตะ 6.12 แสนล้านบาท ขยายตัว 5% เติบโตเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและเอสเอ็มอี ที่ได้รับแรงหนุนจากแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี ส่งผลให้สัดส่วนมูลค่าตลาดของกลุ่มนี้เพิ่มเป็น 62% ในปี 2567 จากสัดส่วน 57% ในปี 2562   “ภาพรวมเศรษกิจมีผลต่อผู้บริโภคปรับกำลังซื้อให้ลดลงตาม ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการใช้จ่ายในร้านอาหารระดับท็อปเทียร์ โดยสเปนดิงจะไหลลงสู่กิจการไซส์เล็กและกลางทดแทน” กนกพร กล่าวพร้อมเสริมว่า   จากแนวโน้มดังกล่าว ทีทีบี  มองเห็นโอกาสร่วมสนับสนุนธุรกิจร้านอาหารขนาดกลางและเล็ก ผ่านบริการความร่วมมือระหว่างไลน์ เพย์ (Line Pay) พัฒนาโซลูชันการรับชำระเงินแบบครบวงจร บนระบบ Wongnai POS เพื่อยกระดับเครื่องมือการจัดการธุรกิจร้านอาหารให้พร้อมรองรับการชำระเงินทุกรูปแบบ ทั้ง QR Code  บัตรเครดิต บัตรเดบิต และ e-Wallet ช่วยให้การบริหารจัดการธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง   โดยความร่วมมือครั้งนี้ ยังเป็นการต่อยอดให้บริการร่วมกันจากก่อนหน้าในปี 2566 ในโซลูชันการรับชำระเงินผ่าน QR บนแพลตฟอร์ม LINE MAN รองรับการชำระเงินจากทุกธนาคารผ่าน Mobile Banking ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการรับชำระเงิน   สำหรับความร่วมมือระหว่าง Line Pay ผ่านบริการล่าสุดในครั้งนี้ ทีทีบี วางเป้าหมายเติบโตอัตรา 2 หลัก หรือมีจำนวนกิจการร้านอาหารเพิ่มเป็น 10,000 ราย จากในช่วงที่ผ่านมามีธุรกิจร้านอาหารร่วมใช้บริการในช่วงก่อนหน้าราว 3,000-4,000 ราย   ด้าน ณ หทัย ภูพิชญ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ LINE Pay กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างทีทีบี ยังเป็นการสร้าง ‘อีโคซิสเต็มทางธุรกิจ’ ที่ครบวงจร พร้อมยกระดับการจัดการร้านอาหารผ่าน Merchant Solutions และระบบบริหารร้านอาหารอันดับ 1 อย่าง Wongnai POS เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยและเร่งการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จากปัจจุบันมีกิจการร้านอาหารกว่า 50,000 รายใช้ระบบ line pay Wongnai POS     Alternate-X สรุปให้ ผู้บริโภคปรับพฤติกรรม “กระชับกำลังซื้อ” ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลดีต่อธุรกิจร้านอาหารไซส์เล็ก-กลาง กลุ่มเอสเอ็มอีได้รับอานิสงส์จากฟู้ดเดลิเวอรี หนุนสัดส่วนตลาดเติบโตต่อเนื่อง ทีทีบีร่วม LINE Pay ยกระดับระบบชำระเงินผ่าน Wongnai POS รองรับทุกช่องทาง เพิ่มประสิทธิภาพบริหารธุรกิจ ตั้งเป้าขยายร้านค้าใช้บริการแตะ 10,000 ราย สร้างอีโคซิสเต็มดิจิทัลครบวงจร

June 10, 2025 / 0 Comments
read more

ครั้งแรกในไทย URDU WISHER Pop-up Store ‘สติทช์’ ไซส์ยักษ์ ริมน้ำ ไอคอน สยาม

Peace&Play,  WeView

ลานริมน้ำ ‘ไอคอนสยาม’ ว้าวอีกแล้วกับเหล่าคาแรกเตอร์ดิสนีย์คอลเล็กชัน ‘Disney Wisher Series’ พร้อมสติทช์ สูง 7 เมตร ในดินแดนมหัศจรรย์ครั้งแรกในไทย ‘Wisher: Where Miracles Happen’   ศูนย์การค้า ‘ไอคอนสยาม’ ร่วมกับ URDU แบรนด์สร้างสรรค์งานศิลปะและ Art Toy ชั้นนำจากฮ่องกง ซึ่งนำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท บีบีทอยส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ภายใต้ชื่อแบรนด์ BBKidult ร่วมเนรมิตดินแดนมหัศจรรย์แห่งการอธิษฐาน ‘Wisher: Where Miracles Happen’ เปิด URDU WISHER Pop-up Store เป็นครั้งแรกในประเทศไทย   โดยนำเหล่าคาแรกเตอร์ดิสนีย์ในซีรีส์ Disney Wisher Series และของสะสมพิเศษกว่าร้อยรายการมาให้แฟน ๆ ได้เลือกซื้อมี Disney Wisher Series – Mickey Mouse , Donald Duck และ Stitchพร้อมกับ 7-Inch Standing Stitch (Movie Version) ลิมิเต็ดอิดิชันเปิดตัวครั้งแรกในไทย และไฮไลท์ ‘Wisher Stitch’ ขนาดยักษ์สูง 7 เมตร ให้ทุกคนได้ร่วมขอพรจากดวงดาวไปด้วยกันริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G ไอคอนสยาม ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2568     สำหรับ พิธีเปิดงานจัดขึ้นอย่างคึกคักเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีเหล่าเซเลบริตี้และแฟนดิสนีย์ตัวยงเข้าร่วมงานคับคั่ง พร้อมต้อนรับ Mickey Mouse, Donald Duck และ Stitch จากคอลเลกชัน URDU Disney Wisher Series อย่างอบอุ่น     โดยเฉพาะการปรากฏตัวของนักแสดงหนุ่มชื่อดัง คุณวิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร ที่มาร่วมอธิษฐานกับตัวละครที่ชื่นชอบ   สำหรับความร่วมมือของไอคอนสยามกับ URDU และ BBKidult ในครั้งนี้ สะท้อนถึงแนวคิด ‘Global Experiential Destination’ ที่ไอคอนสยามยึดมั่นเสมอมา ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์กิจกรรมระดับโลกที่มอบประสบการณ์แปลกใหม่ น่าจดจำ และสามารถเชื่อมโยงผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ตอกย้ำบทบาทของไอคอนสยามในฐานะจุดหมายปลายทางด้านประสบการณ์ระดับโลก   นอกจากนี้ ‘Wisher: Where Miracles Happen’ ยังจัดกิจกรรมและโปรโมชั่นพิเศษ อาทิ   รับสิทธิ์แลกซื้อกระเป๋าผ้า URDU Disney Wisher SERIES WASHED FABRIC DRAWSTRING BAG – STITCH ในราคาเพียง 499 บาท เพียงซื้อสินค้าใดก็ได้ภายในงาน (สินค้ามีจำนวนจำกัด) รับเพิ่ม Voucher มูลค่า 500 บาท เมื่อซื้อสินค้าภายในงานครบ 10,000 บาท/ใบเสร็จ กิจกรรมถ่ายรูปกับ Stitch เพียงโพสท่า “Wish Pose” คู่กับ Stitch แล้วแชร์รูปลงโซเชียลมีเดีย พร้อมติดตาม @URDU @BBKidult และใส่แฮชแท็ก #URDUWisher #URDU #BBKidult รับทันที! พวงกุญแจดาวเรืองแสง Wishing Star Glow in the Dark 1 ชิ้น (ของมีจำนวนจำกัดในแต่ละวันจนกว่าของจะหมด)     Alternate-X สรุปให้ URDU WISHER Pop-up Store ครั้งแรกในไทย ที่ลานริมน้ำ ไอคอนสยาม เนรมิตดินแดนแห่งการอธิษฐานกับตัวละครดิสนีย์คอลเล็กชัน Disney Wisher Series พบกับ ‘Wisher Stitch’ ขนาดยักษ์ 7 เมตร ไฮไลท์สุดพิเศษ พร้อมสินค้าลิมิเต็ดและกิจกรรมสุดสนุก ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568

June 10, 2025 / 0 Comments
read more

บี.กริม-สิงคโปร์ ลงทุน ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ มูลค่า 24,520 ล. หนุนไทย ‘ฮับ’ ดิจิทัล

BizKet,  EcoVative

บี.กริม ร่วมมือเชิงกลยุทธ์สิงคโปร์ ลงทุนศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกล และ AI ในไทย มูลค่าโครงการ 24,520 ล้านบาทในเขต EEC รับสิทธิประโยชน์การลงทุนกว่าแสนล้านบาทของรัฐบาลหนุนไทย ‘ฮับ’ ดิจิทัลภูมิภาค   จอห์น ฟรีแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ดิจิทัล เอดจ์ (สิงคโปร์) โฮลดิ้งส์ จำกัด (‘ดิจิทัล เอดจ์’) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำในเอเชีย ได้รับการสนับสนุนจาก Stonepeak นักลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก เปิดเผย แนวทางการประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (‘บี.กริม เพาเวอร์’) ผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ของไทย เพื่อพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลและรองรับปัญญาประดิษฐ์  (AI) ทั่วไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว   สำหรับ ความร่วมมือภายใต้ Digital Edge B.Grimm (TH) Holding Pte. Ltd, ครั้งนี้มีแผนการลงทุนมูลค่าโครงการ 24,520 ล้านบาท โดยจะเริ่มด้วยโครงการเรือธงขนาด 100 เมกะวัตต์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับผู้ให้บริการ AI และคลาวด์ที่ต้องการขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   “ตลาดโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีการบริโภคข้อมูล การใช้บริการคลาวด์ และการประมวลผล AI /แมชชีนเลิร์นนิ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”   สอดคล้องรายงานอุตสาหกรรมล่าสุด คาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยจะเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 25% ต่อปีจนถึงปี 2573 ขณะที่ความต้องการด้าน AI จะเป็นตัวเร่งสำคัญในการผลักดันความต้องการศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่สามารถขยายตัวได้และมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน จากการที่รัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาค   สำหรับ โครงการ 100 เมกะวัตต์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะนำเสนอการให้บริการ โคโลเคชั่นความหนาแน่นสูง การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ และโซลูชั่นคลาวด์แบบผสมผสาน เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มไฮเปอร์สเกล กลุ่ม AI และองค์กรที่ต้องการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล   โดยมีแผนเร่งก่อสร้างเพื่อรองรับความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ต้องการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตั้งเป้าเปิดให้บริการภายในไตรมาส 4 ปี 2569   “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดดิจิทัลที่มีศักยภาพสูงสุดในเอเชีย”  จอห์น กล่าวพร้อมเสริมว่า “ความร่วมมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ ในโครงการสำคัญนี้ เรากำลังนำโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดมาสู่ไทย ในขนาดไฮเปอร์สเกลและความเร็วที่เร่งรัด ซึ่งจะช่วยรองรับความต้องการด้าน AI และแมชชีนเลิร์นนิ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”   นอกจากนี้ยังเป็นโครงการฯความร่วมมือ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของไทย   โดย ดิจิทัล เอดจ์ เป็นที่รู้จักในฐานะแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปิดดำเนินการและอยู่ระหว่างก่อสร้างรวม 24 แห่ง ครอบคลุม 9 ประเทศ และมีกำลังไฟฟ้าสำรองกว่า 1.1 กิกะวัตต์ สำหรับ การเข้ามาลงทุนในไทยครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจในการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและการผลักดัน AI ในตลาดเกิดใหม่ของเอเชีย   ขณะที่ บี.กริม ก่อตั้งมานานกว่า 147 ปี เป็นผู้บุกเบิกด้านพลังงานที่ยั่งยืน และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรม (SPP) รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในภาคพลังงาน ด้วยการมีที่ดินในครอบครองจำนวนมากและประสบการณ์เชิงลึกในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ (Greenfield Infrastructure) ผสานกับพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและพลังงานหมุนเวียน ช่วยให้ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านประสิทธิภาพและความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ   สำหรับ บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งเสริมสร้างศักยภาพองค์กรผ่านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค   ทั้งนี้ Natixis ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ บี.กริม เพาเวอร์ สำหรับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้       Alternate-X สรุปให้ บี.กริม ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Digital Edge (สิงคโปร์) ลงทุนศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลและ AI มูลค่า 24,520 ล้านบาท ในเขต EEC โครงการนำร่องขนาด 100 เมกะวัตต์ ตั้งเป้ารองรับตลาด AI, คลาวด์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เติบโตในไทย รับสิทธิประโยชน์การลงทุนกว่าแสนล้านบาท หนุนไทยสู่ ‘ฮับ’ ดิจิทัลภูมิภาค ตอบโจทย์ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาดและประสิทธิภาพสูง ตั้งเป้าเปิดให้บริการภายใน Q4 ปี 2569 รองรับการขยายตัวของเทคโนโลยีระดับโลก

June 10, 2025 / 0 Comments
read more

‘ฮาร์ดแวร์เฮาส์’ สาขาใหม่บนพื้นที่ 1 หมื่น ตร.ม. ใน ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต’ โฟกัสวัสดุช่างมืออาชีพ

BizKet

‘ฮาร์ดแวร์เฮาส์’ ขยายสาขาใหม่พื้นที่กว่า 1 หมื่นตร.ม.ในโครงการ ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต’ เหนือ ทำเลศักยภาพกรุงเทพฯตอนเหนือ เจาะดีมานด์กลุ่มลูกค้าช่าง-ผู้รับเหมา-ผู้ต้องการสินค้าคุราคาเดียวกับช่างมืออาชีพ   ภานวิชญ์ อนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮาร์ดแวร์เฮาส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ฮาร์ดแวร์เฮาส์ คือ ศูนย์จำหน่ายสินค้าช่าง สินค้าอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง สำหรับมืออาชีพ ล่าสุดเปิดตัว ‘ซุปเปอร์แมท’ อย่างเป็นทางการ (GRAND OPENING)  สาขา ในชื่อ ‘ซุปเปอร์แมท’ ในโครงการ ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต’ ไปเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา   โดยมีสินค้ามากกว่า 150,000 รายการ ครอบคลุมทุกการใช้งานกว่า 21 แผนก อาทิ เครื่องมือช่าง เครื่องมืออุตสาหกรรม งานระบบน้ำ งานระบบไฟฟ้า สี วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับโรงงานและบ้าน ปั๊มและวาล์ว น็อตสกรู เครื่องเขียนและของใช้สำนักงาน   รวมทั้งของใช้ทั่วไป เป็นต้น บนพื้นที่ขายกว่า 10,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย 2 อาคาร คือ อาคารสินค้าช่างและอุตสาหกรรม และอาคารวัสดุก่อสร้าง   สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของฮาร์ดแวร์เฮาส์ เป็นช่างในระบบอุตสาหกรรม รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้รับเหมา และเจ้าของบ้านที่ต้องการซื้อสินค้าคุณภาพและราคาเดียวกับช่างมืออาชีพ     “สินค้าของฮาร์ดแวร์เฮาส์ จึงเป็นเกรดอุตสาหกรรมแตกต่างจากสินค้าทั่วๆไป ด้วยแนวคิดตั้งใจทำฮาร์ดแวร์เฮาส์ ให้เป็นที่สำหรับช่างโดยรวมสินค้าคุณภาพแบรนด์อินเตอร์หลากหลาย ครอบคลุมการใช้งานของช่าง เน้นสินค้าคุณภาพดี จำหน่ายในราคาช่างทุกชิ้น ทุกวัน เพื่อเป็นการลดต้นทุนสำหรับผู้ประกอบการ คุ้มค่าและประหยัดทุกวันโดยไม่ต้องรอโปรโมชั่น” ภานวิชญ์ กล่าว   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีบริการสั่งซื้อสินค้าสำหรับโรงงานและผู้ประกอบการในรูปแบบของ B2B พร้อมบริการจัดส่งฟรีในพื้นที่บริการในทุกๆ วัน   ปัจจุบัน ฮาร์ดแวร์เฮาส์ เป็นหนึ่งในผู้นำของสินค้าประเภทนี้ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 35 ปี และสาขาที่ครอบคลุมในพื้นที่อุตสาหกรรมอีกมากกว่า 10 สาขา ได้แก่   บางนา ศรีราชา ระยอง บ่อวิน อมตะ เทพารักษ์ ปราจีนบุรี แหลมฉบัง อนันตภัณฑ์บางพลี ปลวกแดง บ่อวิน อมตะซิตี้ อยุธยา   ล่าสุด สาขารังสิต ใน ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต (Future City Rangsit)’ โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุดในโซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 500 ไร่ Alternate-X สรุปให้ ‘ฮาร์ดแวร์เฮาส์’ เปิดสาขาใหม่ใน ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต’ บนพื้นที่กว่า 10,000 ตร.ม. ครอบคลุมสินค้า 150,000 รายการ เจาะกลุ่มช่าง ผู้รับเหมา และเจ้าของบ้าน เน้นสินค้าคุณภาพเกรดอุตสาหกรรม ราคาช่างทุกวัน พร้อมบริการ B2B และจัดส่งฟรี ขยายเครือข่ายรองรับดีมานด์โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ

June 9, 2025 / 0 Comments
read more

AWC แปลงโฉม ‘ล้ง1919-ทรงวาด’ ทำห้องพักแพงสุดในไทย The Ritz-Calrton คืนละ 3 แสนบาท

BizKet

AWC ลงทุน 5 พันล้าน ปั้น The Ritz-Calrton สองฝั่งทำเล ล้ง1919-ทรงวาด เชื่อมโปรเจกต์ท่องเที่ยวสายน้ำเจ้าพระยา ลงเรือต่อรถรางไฟฟ้า ย่านการค้าคลาสสิคกรุงเทพฯ   วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก, อาคารสำนักงาน, โรงแรม รายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนราว 5,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการท่องเที่ยวทางสายน้ำเชื่อมการเดินทางเรือ-รถรางไฟฟ้า (Tram) นอกจากนี้ ยังวางแผนพัฒนาที่ดิน 3 แปลงรวมพื้นที่ 50,400 ตร.ม.สร้าง โรงแรม The Ritz-Calrton Bangkok, The Riverside จำนวน 191 ห้อง ประกอบด้วย   1.โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เดอะริเวอร์ไซต์ (อยู่ฝั่งล้ง 1919) จำนวน 167 ห้อง ประกอบด้วย 2 อาคาร   อาคารขนาดเตี้ย(Low-rise building) วางตำแหน่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาคารสูง (High-rise building) วางตำแหน่งหลังสถาปัตยกรรมโบราณรูปตัว U ของ ล้ง 1919   2.โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เดอะริเวอร์ไซต์ ตั้งบนทำเลฝั่งถนนทรงวาด มีจำนวน 24 ห้อง รูปแบบห้องพักแบบเอ็กคลูซีฟ   3.ศูนย์ประชุม (Convention Hall) ขนาด 420 ตร.ม. และที่จอดรถของโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เดอะริเวอร์ไซต์ (อยู่ฝั่งถนนทรงวาด)     วัลลภา กล่าวเสริมรายละเอียดโครงการฯ วางแนวคิดเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมไทย-จีน ผ่านพื้นที่โครงการ ‘ล้ง 1919’ ที่เน้นความสงบ และ ถนนทรงวาด แหล่งกิจกรรมยอดนิยมในกรุงเทพฯ เข้าไว้ด้วยกัน   โดยวางกลุ่มเป้าหมายหลักเป็น ‘นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง’ และ ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ ที่ต้องการประสบการณ์เที่ยวเชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ รวมถึงมองหาที่เที่ยวที่มีเรื่องราว (Story) และสร้างแรงบันดาลใจได้   ขณะที่โรงแรมวางแนวคิดการพัฒนาให้เป็นมากกว่าซิตี้ โฮเทล (City Hotel) แบบเดิมทั่วไป โดยโครงการ The Ritz-Calrton Bangkok, The Riverside ถูกออกแบบสไตล์จีน และคงสถาปัตยกรรมโบราณในล้ง 1919 ไว้ครบถ้วน   “โรงแรมฯ The Ritz-Calrton Bangkok, The Riverside ห้องสวีตกำหนดอัตราห้องพักสูงกว่า 300,000 บาท/คืน และจะขึ้นเป็นห้องพักที่มีราคาแพงสุดในไทย” วัลลภา กล่าวพร้อมเสริมว่า “พร้อมแบ่งสัดส่วนห้องพัก 20% ของโครงการฯ จะเป็นรูปแบบ 2-3 ห้องนอน สำหรับรองรับครอบครัวใหญ่ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักในไทยระยะยาว”   โดยในเบื้องต้น โครงการฯ ผ่าน EIA เป็นที่เรียบร้อยพร้อมลงเสาเอกแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาโครงการราว 3-4 ปี ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี  2571   ฟื้นเชื่อมั่นเที่ยวไทย   วัลลภา กล่าวต่อถึงภาพรวมตลาดโรงแรมในไทยในไตรมาส 1 ปีนี้ที่ผ่านมา ยังมีสถานการณ์เป็นบวก โดยโรงแรมเครือ AWC มีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) มากกว่า 70%   “สิ่งที่น่าห่วง คือ นักท่องเที่ยวจีน ยังไม่มีวี่แววกลับมาเที่ยวไทย แต่ยังมีกลุ่มตะวันออกกลางเข้ามาทดแทน ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยมีรูปแบบผสมผสานมากขึ้น จากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีน   อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมียนมา และขยายมายังอาคารสูงในไทย ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าประชุมและสัมมนามียอดจองเข้ามาใหม่ (New Booking) ชะลอตัวในช่วงที่ ส่วนยอดจองใช้บริการเดิมไม่ได้มีการยกเลิก   “ประเทศไทยต้องใช้สรรพกำลังฟื้นความเชื่อมั่นของต่างชาติเพิ่มขึ้น” วัลลภา กล่าว “ยังต้องประเมินสถานการณ์เพิ่มเติมเพราะช่วงไตรมาส 2 ปกติเป็นช่วงโลว์ซีซั่นอยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้เราหันไปเปิดพื้นที่ที่มีดีมานด์แข็งแกร่ง เช่น พัทยา ได้เปิดตัวโรงแรม Meliá Pattaya และต่อด้วย Marriott Pattaya ซึ่งได้ดีมานด์จากต่างชาติ บวกกับโลคอลดีมานด์ที่แข็งแกร่ง”     Alternat-X สรุปให้ AWC ทุ่มงบ 5,000 ล้านบาท พัฒนา The Ritz-Calrton Bangkok, The Riverside สองฝั่งทำเล ล้ง 1919-ทรงวาด เชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวทางน้ำเจ้าพระยา-รถรางไฟฟ้า พร้อมศูนย์ประชุม ขยายฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง-กลุ่มคนรุ่นใหม่ โรงแรมออกแบบผสมผสานวัฒนธรรมไทย-จีน คาดเปิดกลางปี 2571 ท่ามกลางภาพรวมการท่องเที่ยวไทยที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากตลาดจีน

June 9, 2025 / 0 Comments
read more

เทรนด์ไอทีครึ่งหลังปี68 อุปกรณ์สินค้า มุ่งใช้ชิป AI ความต้องการ ‘เกม-แก็ดเจ็ต’ ดันตลาดโต

BizKet

เออาร์ไอพี มองตลาดไอทีโลกฟื้น สู่ยุคคอมพิวเตอร์ เอไอ-ความต้องการเพิ่มหลังไมโครซอฟท์ไม่ซัพพอร์ตวินโดว์ 10 ในเดือนต.ค.ปีนี้ จะทำคนเปลี่ยนคอมใหม่หลัง PC กว่า 240 ล้านเครื่องไม่สามารถอัปเกรด Windows 11 ได้   บุญเลิศ นราไท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อ การจัดงาน และ บริการดิจิทัล เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดไอทีทั่วโลกมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากยอดจัดส่งคอมพิวเตอร์ (PC) ทั่วโลกในไตรมาสแรก ปี 2568 มาจากปัจจัยสนับสนุนหลักและที่เกี่ยวข้อง ดังนี้   การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีสู่ AI PC ซึ่งมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น จากการอัปเดตเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง การยกเลิกสนับสนุน Windows 10 ของไมโครซอฟท์ (Microsoft) ในช่วงเดือน ต.ค. 68 นี้   “ปัจจัยหลังคาดส่งผลให้มีเครื่อง PC กว่า 240 ล้านเครื่องทั่วโลก ที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ มีโอกาสต้องเปลี่ยนคอมใหม่”   บุญเลิศ กล่าวพร้อมเสริมว่า   สำหรับเทรนด์ไอทีในครึ่งปีหลังของ 2568 นี้ เริ่มเห็นชัดขึ้นในงาน COMMART  UNLIMIT  ครั้งนี้ ได้แก่ โน้ตบุ๊ค ที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพรองรับการใช้งาน AI เต็มรูปแบบ ทั้งชิป CPU Intel Core Ultra 200 Series และ AMD Ryzen AI 300 Series มากับการ์ดจอใหม่ล่าสุด ให้เลือกทั้ง RTX 5080 และ 5090 มีให้ลองและเป็นเจ้าของได้ในงาน     ขณะที่กลุ่มคอมพิวเตอร์แบบประกอบ มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่ออัปเกรดสู่ประสิทธิภาพการใช้งาน AI ที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะฝั่ง GPU ที่เปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ และมีสต๊อกสินค้าพร้อมขายเพิ่มขึ้นในงานคอมมาร์ตครั้งนี้ เช่นกัน ประกอบด้วย   Nvidia 5000 Series intel arc Series AMD Radeon RX 9000 Series   ด้านอุปกรณ์ DIY เทรนด์การตกแต่งหน้าจอแสดงผลขนาดเล็กลงบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มีความชัดเจนมากขึ้น ในคอนเซ็ปต์ Everything has a screen จากเคสติดจอ จะเริ่มเห็นจอติดพัดลม ที่ช่วยตรวจสอบประสิทธิภาพระหว่างทำงานและเพิ่มความสวยงาม   ด้านจอมอนิเตอร์ แบบ OLED กำลังมาแทนที่หน้าจอ LED ด้วยความละเอียดและภาพที่ดีขึ้น แถมประหยัดพลังงาน และมีตัวเลือกเพิ่มขึ้น ในราคาที่ถูกลง ซึ่งในงานสามารถเทียบสีจอของจริงได้ก่อนตัดสินใจซื้อ   ขณะที่ ปัจจุบันตลาดไอทีมีทิศทางการเติบโตที่ดีในกลุ่ม Gaming และ Gadget ที่เพิ่มความสามารถของ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม PC รวมถึงเครื่องเล่นเกมคอนโซลรุ่นใหม่ อย่าง Nintendo Switch2 ที่เริ่มวางขายในช่วงนี้ด้วย   สำหรับอุปกรณ์เกมมิ่ง Gaming Handheld กำลังได้รับความนิยม และมีให้เลือกมากขึ้น ในคอมมาร์ตถือจะเป็นโอกาสดีที่เปิดให้ทดลองใช้งานจริง   ด้าน พรชัย จันทรศุภแสง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อไอซีทีและการจัดงาน บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งาน COMMART  UNLIMIT  ปีนี้ยังร่วมกับพันธมิตรเตรียมข้อเสนอ เฉพาะช้อปสินค้าในงานเท่านั้น รวมถึงกิจกรรมพิเศษไว้มากมาย ทั้งก่อนและระหว่างงาน ประกอบด้วย   คอมมาร์ต Big Bonus ช้อปครบทุก 3,000 ได้ลุ้นโชค 2 ต่อ ต่อที่ 1 ลุ้นโชคหน้างานทุกวัน Big Bonus ของรางวัลสุดปัง จับแจกตลอด 4 วัน ต่อที่ 2 อัปโหลดใบเสร็จผ่าน LINE COMMART ได้ลุ้น ของรางวัลเพิ่ม คอมมาร์ต on Top ช้อปครบ 50,000.- รับคูปองลดเพิ่ม 500.- (เฉพาะวันพฤหัสบดี-ศุกร์) คอมมาร์ต วัดดวง ร่วมสนุกหมุนวงล้อ ลุ้นคูปองส่วนลดสูงสุด 10,000.- (แค่สมัครสมาชิกที่บูธคอมมาร์ต) คอมมาร์ต ช่วยจ่ายค่าจอดรถ เพียงซื้อสินค้าในงานคอมมาร์ตครบ 30,000.- แลกสิทธิ์จอดฟรี ได้ 3 ชั่วโมง ร่วมสนุกกับกิจกรรมออนไลน์ ที่ Facebook Commart มีสิทธิ์ลุ้นรับถุงผ้า PIXMAxCOMMART และ คูปองใช้แทนเงินสดใช้ซื้อสินค้าในงานคอมมาร เข้ากลุ่มคอมมาร์ตบอกโปร LINE OPEN CHAT พูดคุยกับนักช้อปตัวตึง พร้อมอัปเดตโปรชั่นจากหน้างานก่อนใคร   โดยงาน COMMART UNLIMIT จัดโดย เออาร์ไอพี พร้อมพันธมิตรธุรกิจ อาทิ ACE, ASUS, AMD, AppleSheep, Ascenti, Banana, Bewell, Ergotrend, E-Quip, Epson, iStudio by SPVI, Studio7, IT City, J.I.B, Lenovo, MSI, Secretlab, SPEED Computer , Honeywell และ เครดิตบูโร ร่วมด้วย Media Partner ได้แก่ techhub, Business+, CeeMeAgain, ChargeSPOT, eLeader, Beartai, ExtremeIT, iT24Hrs., Notebookspec, Overclockzone และ ชอบโปร เข้าชมงานฟรี! เดินทางสะดวกด้วย รถไฟฟ้า BTS สถานีบางนา 3-6 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. – 21.00 น. ณ EH 98 – 99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา     Alternate-X ตลาดไอทีโลกเริ่มฟื้นตัว รับเทรนด์ AI PC และการเปลี่ยนเครื่องใหม่ หลัง Microsoft เตรียมเลิกซัพพอร์ต Windows 10 เดือน ต.ค. 68 PC เก่ากว่า 240 ล้านเครื่องทั่วโลกไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ แนวโน้มคอมใหม่เน้นรองรับ AI ทั้ง CPU Intel Core Ultra, AMD Ryzen AI และ GPU ใหม่จาก Nvidia, Intel, AMD DIY PC และหน้าจอ OLED กำลังเป็นกระแสนิยมใหม่ กลุ่ม Gaming & Gadget เติบโตสูง โดยมี Gaming Handheld และ Nintendo Switch2 เป็นไฮไลต์งาน COMMART UNLIMIT ปีนี้

June 8, 2025 / 0 Comments
read more

มูลนิธิสิริวัฒนภักดี และ ไทยเบฟ สนับสนุน โครงการเข็มวันอานันทมหิดล ปี 2568

Peace&Play

มูลนิธิสิริวัฒนภักดี และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดย คุณภาวินี ไชยสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักประสานงานภายนอก เป็นผู้แทนร่วม งานเปิดตัวเข็มวันอานันทมหิดล ประจำปี พ.ศ.2568 ภายใต้แนวคิด Air We Share, Lungs We Care ห่วงใยทุกลมหายใจ   โดยมอบเงินสนับสนุนจำนวน 1,000,000 บาท แก่โครงการเข็มวันอานันทมหิดล ปี 2568 ที่จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ เข็มวันอานันทมหิดลสู่สาธารณชนให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแก่ประชาชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมในการบริจาคเงินเพื่อสร้างกุศล   นับเป็นกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณอันมีเป็นอเนกประการของพระองค์ที่หารายได้สมทบทุนมูลนิธิอานันทมหิดล, มูลนิธิสงเคราะห์เล็ก สภากาชาดไทย, ช่วยเหลือพระภิกษุสงฆ์อาพาธ ผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย,   โครงการ “Happy Home Respiratory Care โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ ภาควิชาอายุรศาสตร์ สาขาวิชาโรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกิจกรรมจิตอาสา สโมสรนิสิตคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   โดยมี รศ.นพ.ฉันชายสิทธิพันธุ์ คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.นพ.สิทธิศักดิ์ หรรษาเวก รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้แทนรับมอบ ณ โถงตึกจักรพงษ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย    

June 8, 2025 / 0 Comments
read more

คนไทยยังซื้อรถใหม่ ยอดขาย GWM โค้งแรกปี68 โต 50% YoY-สวนตลาดรวมหดตัว

BizKet

GWM (Thailand) สู่ปีที่ 5 ตลาดรถยนต์ในไทย  หลังฉลองยอดขายโตสุดในรอบ 4 ปี รู้อินไซด์คนไทยชอบรถใหญ่-เครื่องดีเซล แผนเพิ่มผลิต NEW GWM TANK 300 DIESEL รับดีมานด์แรง พร้อมมุ่งสู่ Top 3 กลุ่ม PPV ไทย   เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด GWM (Thailand) กล่าวว่า GWM (Thailand) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง พร้อมความสำเร็จยอดขายรายเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา กว่า 1,731 คัน เป็นผลมาจากการนำ NEW GWM TANK 300 DIESEL เทคโนโลยีดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด เข้ามาสู่ตลาด และสามารถครองใจผู้ใช้งานชาวไทยภายในระยะเวลาอันรวดเร็วหลังเปิดตัวได้ไม่นาน   สำหรับยอดขาย 1,731 คัน ในเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ ยังเติบโตจากเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมาถึง 225% แบ่งออกเป็น   สัดส่วน 50% ของยอดขายรวมทั้งหมด หรือจำนวน 877 คัน มาจาก NEW GWM TANK 300 DIESEL สัดส่วน 50% เป็นรถยนต์พลังงานใหม่   โดยสัดส่วนดังกล่าว ยังสอดคล้องกับโครงสร้างโดยรวมของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ที่มีสัดส่วนรถยนต์สันดาปภายในและรถยนต์พลังงานใหม่โดยเฉลี่ย 50:50   “สะท้อนถึงแนวทาง GWM ได้นำเสนอทางเลือกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีระบบพลังงานที่หลากหลายและเหมาะสม ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างดี”     นอกจากนี้ ใน 2567 GWM มียอดขายในระดับหลักร้อยคัน ไปจนถึงต้นปี 2568 ยังมีอัตราการเติบโตยอดต่อเนื่อง และเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับมากกว่า 1,000 คันต่อเดือนในเดือนมีนาคม 2568   “จนถึงในเดือนพฤษภาคม เราสามารถทำยอดขายที่สูงเป็นประวัติการณ์สู่ระดับ 1,731 คัน จากความสำเร็จของการนำ NEW GWM TANK 300 DIESEL เข้ามาสู่ตลาดประเทศไทย”   เวย์น ย้ำ     สำหรับยอดขายของรถยนต์ GWM ในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม – พฤษภาคม) ของปี 2568 GWM มียอดขายสะสมอยู่ที่ 5,439 คัน เติบโตจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2567 ถึง 50% ซึ่งสวนกระแสกับตลาดรถยนต์โดยรวมที่มีอัตราการเติบโตที่ลดลง     จากความสำเร็จด้านยอดขาย สะท้อนถึงกลยยุทธ์ระดับโลกและความมุ่งมั่นของ GWM ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพที่หลากหลายและครอบคลุมทุกพลังงาน (Multi Powertrains) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ทั่วโลกและคนไทยได้   โดยเฉพาะการนำ NEW GWM TANK 300 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย และกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงหลักของ GWM ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้บริโภคชาวไทย และมีการเติบโตของยอดสั่งจองและยอดขายอย่างมั่นคง ในเดือนพฤษภาคม   “คาดว่า NEW GWM TANK 300 DIESEL จะขึ้นสู่อันดับ Top 3 ในกลุ่ม PPV โดย GWM ได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง”   เวย์น กล่าวต่อ สำหรับเซกเมนต์รถยนต์ไฟฟ้า ที่มีการแข่งขันด้านสงครามราคาที่รุนแรง โดย GWM จะยึดถือการแข่งขันด้านคุณภาพและคุณค่าในระยะยาว ขณะที่ GWM ORA Good Cat ยังสามารถสร้างยอดขายได้อย่างคงที่ จากผู้ใช้ชาวไทยและติดอันดับแบรนด์ BEV ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง     ขณะที่ปรัชญาการดำเนินธุรกิจของ GWM ไม่สนับสนุนการแข่งขันโดยใช้สงครามราคา แต่จะเน้นการแข่งขันด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การสร้างและพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่ายที่แข็งแกร่งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลลูกค้าและพัฒนาด้านการบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดี สร้างคุณค่า และสร้างความเชื่อมั่นและความอุ่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว   โดย GWM Thailand มีผู้ใช้งานชาวไทยกว่า 40,000 รายตั้งแต่ในปีแรกที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 4 ปี  และมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเป่าติ้ง ประเทศจีน และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ในปี 2546 และ 2565 ตามลำดับ อีกทั้งยังมีพนักงานมากกว่า 70,000 คนทั่วโลก   ปัจจุบัน GWM เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศจีนที่มียอดการผลิตและยอดขายมากกว่าหนึ่งล้านคันในตลอดระยะเวลา 8 ปี มีเครือข่ายการขายครอบคลุมกว่า 1,000 แห่งใน 170 ประเทศในหลายภูมิภาค โดยมียอดขายสะสมในต่างประเทศมากกว่า 1,400,000 คัน และ ยังสามารถทำยอดขายในต่างประเทศได้สูงถึง 300,000 คันในปี 2566     Alternate-X สรุปให้ GWM Thailand ก้าวสู่ปีที่ 5 ด้วยยอดขายโตสุดในรอบ 4 ปี โค้งแรกปี 68 ยอดขายสะสม 5,439 คัน เติบโต 50% สวนตลาดรวม เดินหน้าเพิ่มผลิต NEW GWM TANK 300 DIESEL รับดีมานด์สูง พร้อมเป้าหมายขึ้น Top 3 กลุ่ม PPV ไทย กลยุทธ์บาลานซ์ตลาดรถสันดาป-อีวี เน้นคุณค่า-คุณภาพ ไม่แข่งสงครามราคา

June 8, 2025 / 0 Comments
read more

KFC หนุนเด็กนอกระบบศึกษาเป็น’ศูนย์’ แผนกระตุ้น GDP ไทยเพิ่ม 1.7%

EcoVative

หลัง ‘เคเอฟซี’ เข้ามาในตลาด QSR และคุ้นเคยกับเด็กไทยมานานร่วม 40 ปี แถมครองแชมป์ No.1 ไก่ทอดมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทมายาวนาน ที่นอกจากการทำธุรกิจแล้วยังขยายความผูกพันแบรนด์ในกลุ่มเด็กเปราะบาง ได้มีโอกาสทัดเทียมเพื่อนในเจนฯเดียวกัน ด้วย   ซูเฮล ลิมบาดะ  Market Lead & Chief Marketing Officer เคเอฟซี ประเทศไทย ผู้ให้บริการร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant-QSR) กล่าวว่า ในการเปิดเทอมภาคการศึกษาใหม่นี้ เคเอฟซี เดินหน้าโครงการ KFC Bucket Search ต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 2 ภายใต้แนวคิดที่ว่า ‘ทุกศักยภาพไม่ควรถูกทอดทิ้ง’ จุดประกายความหวังด้านการศึกษา และเปิดประตูสู่อาชีพที่ดีในอนาคต โดยขยายความช่วยเหลือเยาวชนทั่วประเทศ จากเยาวชนกลุ่มสถานพินิจ สู่เยาวชนกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มฅนวัยใส   จากข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า ในช่วงเปิดเทอมภาคการศึกษาใหม่ มีเด็กไทยจำนวนมากที่ไม่ได้กลับไปเรียนหนังสือโดยในปี 2568 มีเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 3-24 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษา จำนวนถึง 880,463 คน   “ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษานั้นถือเป็นหนึ่งในปัญหาเร่งด่วนของระบบการศึกษาไทยที่ต้องได้รับการแก้ไข”   ซูเฮล กล่าว   ทั้งนี้ หากประเทศไทยยุติปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจนทำให้จำนวนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษากลายเป็นศูนย์ได้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 1.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) เนื่องจากรายได้ตลอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นของเด็กที่มีการศึกษาสูงขึ้น   ซูเฮล กล่าวว่า ที่ผ่านมาโครงการ KFC Bucket Search ภายใต้ความร่วมมือกับ กสศ. มุ่งยกระดับชีวิตของเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ผ่านการออกแบบหลักสูตรการศึกษาที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิต   โดยเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับทางเลือกที่เรียกว่า work & study ที่ช่วยในการจัดสรรเวลาและรายได้ ผ่านการเรียนและทำงานกับเคเอฟซี หรือรับการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อวิชาชีพ โดยโครงการจะมอบองค์ความรู้และเงินทุนตั้งต้น   สำหรับการเรียนจะเน้นการสร้างระบบนิเวศของการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เยาวชนกลุ่มนี้สามารถเรียนรู้ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ และกลไกการเป็นผู้ประกอบการ ผ่านประสบการณ์ทำงานจริง และประสบการณ์เหล่านี้จะถูกแปลงเป็น ‘หน่วยกิต’ การศึกษา เพื่อสะสมเป็นวุฒิการศึกษานำไปต่อยอดการทำงานในอนาคตได้   ซูเฮล กล่าวว่า โครงการ KFC Bucket Search ไม่ใช่แค่กิจกรรม CSR แต่เป็นภาพสะท้อนของความเชื่อและความตั้งใจที่เรายึดมั่นมาตลอดกว่า 40 ปีในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม และสนับสนุนให้ทุกคนได้รับโอกาสที่เท่าเทียม   “โครงการฯ ทำต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 2 ช่วยเยาวชนอีก 300 คน และตั้งเป้าภายในปีนี้อีก 1,000 คน”   ด้าน ภัทรา ภัทรสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายบริหารแบรนด์ เคเอฟซี ประเทศไทย กล่าวว่าโรงเรียนนอกกรอบของเคเอฟซี กับหลักสูตรทักษะอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ ที่สามารถนำประสบการณ์ทำงานจริงมาเป็นหน่วยกิตเรียนจบ ม.6 ได้ โดยผสานการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ชีวิตและประสบการณ์การทำงานจริงกับเคเอฟซี   สำหรับโครงการฯ เริ่มตั้งแต่ปี 2566 ได้ส่งมอบโอกาสให้เด็กและเยาวชนจำนวนทั้งสิ้น 430 คน โดยในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสถานพินิจ นอกเหนือจากการสนับสนุนในด้านการเรียนและทักษะการประกอบอาชีพแล้ว ทางเคเอฟซียังได้นำวิทยากรจากหลากหลายสาขาอาชีพ อาทิ อินฟลูเอ็นเซอร์ ช่างตัดผม นักดนตรี และบาร์เทนเดอร์ เข้ามาแบ่งปันความรู้ประสบการณ์ เพื่อเปิดกว้างเกี่ยวกับโลกการทำงานและเส้นทางอาชีพที่หลากหลายอีกด้วย     ด้าน เอิร์ท-กฤษณะภัส เรืองฤทธิ์ เยาวชนจากโครงการ KFC Bucket Search รุ่นแรก กล่าวว่า ตนเองได้มีโอกาสมาเล่นดนตรีในงานเปิดตัวโครงการ Bucket Search เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว หลังวงชนะการประกวดวงดนตรีของ DJOP Music Contest ของทางกรมพินิจฯ และได้รับโอกาสจากเคเอฟซีไปออกงาน ได้ร้องเพลงเล่นดนตรี   “ผมรู้สึกมีความสุขเวลาคนเห็นเราร้องเพลง เลยอยากทำมันให้ดี เป็นอาชีพได้ ผมเลือกทำให้ทุกคนเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ ผมไม่ได้กังวลกับการใช้ชีวิตข้างนอกเพราะได้รับโอกาสจากหลายๆ คนที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางการศึกษาหรือการได้ทำในสิ่งที่ชอบ”   ทั้งนี้ โครงการ Bucket Search มุ่งสนับสนุนเยาวชนในโครงการให้ค้นหาศักยภาพของตนเองในสาขาวิชาชีพต่างๆ โดยไม่จำกัดโอกาสการทำงานเฉพาะกับทางเคเอฟซีเท่านั้น   ปัจจุบัน น้องๆ รุ่นแรกจำนวน 130 คนนั้น เกือบครึ่งหนึ่งเลือกเรียนและทำงาน (work & study) ไปพร้อมกัน ทั้งการศึกษาต่อในสายอาชีวศึกษา สายสามัญ หรือในระดับปริญญาตรี ส่วนน้องๆ กลุ่มที่เหลือเลือกประกอบอาชีพตามความถนัดและความสนใจของตนเอง เช่น การทำธุรกิจส่วนตัว งานช่าง งานบริการ ไปจนถึงงานในสายดนตรี   โดย เคเอฟซี มุ่งเน้นพัฒนาทักษะทั้งด้าน hard skills เช่น การเป็นผู้ประกอบการ ภาษาอังกฤษ หรือการตลาด ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในโลกการทำงานยุคใหม่เท่านั้น พร้อมสร้าง soft skills ทักษะการสื่อสาร การปรับตัวและอยู่ร่วมกับผู้อื่น การวางแผนชีวิต (life plan) การตระหนักรู้ในตนเอง และการเข้าใจผู้อื่น ด้วยเป้าหมายสูงสุด คือ การให้เด็กนอกระบบสามารถกลับคืนสู่สังคม และนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมจากโครงการไปต่อยอดศักยภาพ สร้างรายได้เลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน   นอกจากนี้ เคเอฟซีได้เปิดตัวภาพยนตร์สั้น 3 ตอน ซึ่งบอกเล่าหลักสูตร work & study ของโรงเรียนนอกกรอบเคเอฟซี หลักสูตรที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้แบบบูรณาการจากการทำงานที่ร้านเคเอฟซี และนำประสบการณ์มาแลกเป็นหน่วยกิต เพื่อช่วยให้น้องๆ ได้กลับมาเรียนต่อ และกล้าที่จะฝันอีกครั้ง   สามารถรับชมภาพยนตร์โฆษณาทั้งสามตอน และติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของโครงการ KFC Bucket Search ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก KFC Foundation TH   K   เกี่ยวกับ เคเอฟซี   เคเอฟซี หนึ่งในแบรนด์ร้านอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมทั่วโลก ก่อตั้งโดยผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ส่วนในประเทศไทย ร้านเคเอฟซี สาขาแรกก่อตั้งขึ้นในปี 2527 ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ปัจจุบันมีร้านเคเอฟซี 1,157 สาขาทั่วประเทศ (ณ เมษายน 2568) บริหารแบรนด์และแฟรนไชส์โดย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริหารร้านเคเอฟซีโดยแฟรนไชส์ซี่ จำนวน 3 ราย   บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (RD) บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA)     Alternate-X สรุปให้ เคเอฟซี เดินหน้าโครงการ KFC Bucket Search รุ่นที่ 2 หนุนเยาวชนนอกระบบการศึกษา สร้างโอกาสใหม่ผ่านการเรียนรู้และทำงานจริง ตั้งเป้า ‘Thailand Zero Dropout’ หวังยกระดับ GDP ไทย 1.7% เปิดหลักสูตรยืดหยุ่น work & study แปลงประสบการณ์เป็นวุฒิการศึกษา พร้อมพัฒนาเยาวชนกว่า 1,000 คนภายในปีนี้

June 8, 2025 / 0 Comments
read more

‘แมนซั่ม’ แต่งตัวใหม่ ปรับแบรนด์ให้ทัชใจเจนฯZ ขาย ‘ความดูดี’ เจาะตลาด 1.2 พันล.

BizKet

‘แมนซั่ม’ ขยับลุคใหม่รอบ 10 ปี เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเจนฯ Z รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ 1.2 พันล้านบาท   มัลลิกา เหลืองนิมิตรมาศ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP  ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องดื่มรายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ทำตลาดเครื่องดื่มให้คุณประโยชน์สำหรับผู้ชาย แบรนด์ ‘แมนซัม’ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาพร้อมวางแนวคิดใหม่แบรนด์ส่งพลังบวก ให้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ดเจนเนอเรชั่น Z   โดยแบรนด์แมนซั่ม วางหลักคิดให้ผลิตภัณฑ์รองรับทุกความต้องการของทุกคนในทุกมุมมอง ภายใต้ความเชื่อ ‘ความดูดี’ ไม่มีสูตรสำเร็จ และไม่ควรถูกจำกัดด้วยกรอบใด ๆ   “แมนซั่ม เป็นแบรนด์ที่อยู่เคียงข้างคนรุ่นใหม่ในทุกความเป็นไป และเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เปิดรับความหลากหลาย เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างความมั่นใจทั้งภายนอกและภายใน” มัลลิกา กล่าวพร้อมเสริมว่า   โดยตลอดระยะเวลาการทำตลาดแบรนด์แมนซั่ม และเป็นผู้นำเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลสำหรับผู้ชายไทย ยังวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมสื่อสารแบรนด์ให้สอดรับกับยุคที่ผู้บริโภคมีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการปรับดีไซน์ใหม่ พร้อมร่วมกับครีเอเตอร์ สร้างสรรค์คอนเทนต์ ให้มีความสนุก   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ และรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องดื่มฟังค์ชันนัล มีมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง   สำหรับ ดีไซน์ใหม่แมนซั่ม ยังตอกย้ำความเข้าใจทุกไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ด้วยความเชื่อมั่นว่า ‘ความดูดี’ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกรอบใดกรอบหนึ่งในยุคแห่งความหลากหลาย การปรับลุคครั้งนี้จึงมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ใหม่ที่มีความทันสมัยและขยายขนาดให้โดดเด่นขึ้น   นอกจากนี้ ยังมีคาแรคเตอร์รูปแบบใหม่บนฉลากที่ได้แรงบันดาลใจจากสไตล์อนิเมะ สื่อถึงความร่วมสมัย ความคิดสร้างสรรค์ และสะท้อนความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน ภายใต้แนวคิด ‘ดูดีให้สุดในแบบคุณ’   ปัจจุบัน เครื่องดื่มแมนซั่มโฉมใหม่ยังคง 4 รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง ได้แก่   สีน้ำเงิน: สูตรคอลลาเจน เพื่อการดูแลผิวพรรณ สีแดง: สูตรแอล-กลูตาไธโอน เพื่อความกระจ่างใส สีเหลือง: สูตรคอลลาเจน กลิ่นฮันนีเลมอน อร่อย ดื่มง่าย เพื่อบูสผิวดี สีฟ้า: สูตรคอลลาเจน แบบน้ำตาลน้อย ฝาเทา เอาใจสายเฮลตี้     “การเปลี่ยนโฉมใหม่ครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนครั้งใหญ่ ที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงและตอบโจทย์วัยรุ่นมากขึ้น แต่ยังคงคุณประโยชน์อัดแน่นเต็มขวดเหมือนเดิม”  มัลลิกา กล่าวพร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ ‘แมนซั่ม’ ยังให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้บรรจุภัณฑ์ขวด rPET (Recycled Polyethylene Terephthalate) ซึ่งเป็นพลาสติกรีไซเคิลที่สามารถนำกลับมาผลิตใหม่ได้อีกครั้ง ควบคู่ไปกับการนำเสนอเครื่องดื่มที่ช่วยเสริมสร้างความดูดีให้กับผู้บริโภคอย่างแท้จริง   โดยในงานเปิดตัวแมนซั่มลุคใหม่ ยังได้สร้างสรรค์ประสบการณ์สุดพิเศษในรูปแบบทอล์กโชว์ครั้งแรกในประเทศไทย โดยยกรายการชื่อดัง ‘กตัญญู ทูไนท์’ มาไว้ใจกลางสยามสแควร์ นำทีมโดย กตัญญู สว่างศรี พร้อมด้วยแขกรับเชิญสุดคูลอย่าง อูโน่ หลาวทอง และ จอร์จ Rubsarb มาร่วมส่งต่อแรงบันดาลใจให้ทุกคนค้นพบและแสดงออกถึงความดูดีในแบบของตัวเอง พร้อมพูดคุยในหัวข้อที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และปิดท้ายค่ำคืนสุดพิเศษด้วยมินิคอนเสิร์ตจากTilly Birds วงดนตรีขวัญใจเจน Z ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่มีความดูดีและมั่นใจในสไตล์ตัวเอง     Alternate-X สรุปให้   ‘แมนซั่ม’ รีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ปรับลุคใหม่พร้อมสื่อสารถึงเจน Z ด้วยแนวคิด ‘ความดูดีไม่มีกรอบ’ ผสมผสานดีไซน์สไตล์อนิเมะทันสมัย บรรจุภัณฑ์ใหม่ใช้ขวด rPET รักษ์โลก พร้อมคงจุดขาย 4 สูตรตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หลากหลาย รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลไทย              

June 8, 2025 / 0 Comments
read more

แฟชั่น ‘แสนสิริ’ โอตกูตูร์ สร้างโมเมมตัมแบรนด์ ผ่านยูนิฟอร์มใหม่พนักงาน

BizKet,  WeView

แสนสิริ ขยับแบรนด์สู่โลกแฟชั่น ร่วมงานกับ ‘วิคธีร์รัฐ’ แบรนด์ดีไซเนอร์ไทย ใช้แสงเงาโครงสร้างสถาปัตย์ สู่ ‘ยูนิฟอร์ม’ ใหม่ให้พนักงาน SANSIRI   บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กับความเคลื่อนไหวด้านแบรนด์การตลาดอีกครั้ง และเป็นครั้งแรกโดยทำงานร่วมกับนักออกแบบแบรนด์ชาวไทย ‘VICKTEERUT’ (วิคธีร์รัฐ) สร้างสรรค​ชุดยูนิฟอร์มใหม่ ‘แสนสิริ’   สำหรับยูนิฟอร์มใหม่แสนสิริ ถ่ายทอดแนวคิดการออกแบบสะท้อนจากแกนหลักธุรกิจอสังหาฯ ในงานก่อสร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรมและแสงเงา และองค์ประกอบทางศิลปะมาสู่ภาษาแฟชั่นสะท้อนความเป็น ‘แสนสิริ’ ประกอบด้วย     รูปทรงเรขาคณิตล้ำสมัย ในฐานะผู้นำด้านการออกแบบ (Design Lead การตัดเย็บระดับโอตกูตูร์ (Haute Couture) ประณีตทุกเส้นด้าย การใช้สีโทนเดียวแบบโมโนโครเมติก (Monochromatic) เรียบหรูและทันสมัย การใช้ลายเส้นสายเฉียง และการกุ๊นผ้าแบบ Precision Cut สร้างความโดดเด่นและแตกต่างในการออกแบบ   สำหรับการพัฒนายูนิฟอร์มใหม่ แสนสิริใช้เวลาศึกษาและรวบรวมข้อมูลรอบด้าน ผ่านการพูดคุยและรับฟังความคิดเห็นจากพนักงาน เพื่อเข้าใจความต้องการและประสบการณ์ในการทำงานอย่างแท้จริง และนำมาสู่แรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างยูนิฟอร์ม  ที่ไม่ใช่แค่ชุดทำงาน แต่เป็นชุดแห่งความมั่นใจ พร้อมยกระดับมาตรฐานการบริการในระดับสากล สู่การทำงานทุกฟังค์ชันของบุคลากรแสนสิริ     นอกจากนี้ ยังสะท้อนปรัชญาสถาปัตยกรรมผ่านในชุดยูนิฟอร์ม ความง่ายที่ซ่อนความซับซ้อน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของยูนิฟอร์มใหม่ที่ออกแบบให้ครอบคลุมในด้านต่างๆ ดังนี้   Freedom of Movement – เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่จำกัดการทำงาน Comfort Revolution – สวมใส่สบายตลอดวัน ไม่เหนื่อย ไม่อึดอัด Inclusive Design – ออกแบบเพื่อทุกเพศ ทุกสรีระ ทุกไลฟ์สไตล์ Confidence Booster – เสริมสร้างความมั่นใจและความสุขในการทำงาน   จากแนวคิดการทำงานผ่านการออกแบบสู่ยูนิฟอร์มแสนสิริ เพื่อส่งต่อไปยังผลลัพธ์ผ่านพนักงานองค์กร ที่พร้อมให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความมั่นใจที่แท้จริง พร้อมส่งต่อประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้าได้อย่างไม่มีขีดจำกัด   ต่อการสร้างสรรค์ยูนิฟอร์มครั้งนี้ ยังสะท้อนความโดดเด่นด้านการออกแบบ ‘แสนสิริ’ ที่ไม่เหมือนใครทั้งในโครงการอสังหาฯ เป็นบ้าน คอนโด ทาวน์โฮม รวมไปถึงยูนิฟอร์ม เพื่อสื่อถึงจุดเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจและความต้องการของคนก่อนเสมอ   โดยแสนสิริ มุ่งให้ความสำคัญทั้งผลิตภัณฑ์ และ Well-being ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบนิเวศ ตั้งแต่ พนักงาน ลูกค้า และคนในชุมชน เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นพื้นที่ที่ให้ทุกคนได้เป็นตัวเองอย่างมั่นใจ มีความสุข และเติบโตไปด้วยกันอย่างภูมิใจ   ปัจจุบันแสนสิริ มีพนักงานราว 4 พันคนโดยชุดยูนิฟอร์ม ดังกล่าวสำหรับทีมฝ่ายขายและพนักงานให้การดูแลลูกค้าในทุกโครงการ     Alternate-X สรุปให้ แสนสิริ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอสังหาฯ ร่วมงานกับแบรนด์ดีไซน์เนอร์ไทย ‘วิคธีร์รัฐ’ ออกแบบยูนิฟอร์มพนักงานใหม่ ถ่ายทอดปรัชญาสถาปัตยกรรมสู่แฟชั่น ผ่านการตัดเย็บระดับโอตกูตูร์ เน้นเสริมความมั่นใจและการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ พร้อมยกระดับประสบการณ์บริการในทุกมิติ สะท้อนแบรนด์ที่เข้าใจทุกความต้องการของผู้คน

June 8, 2025 / 0 Comments
read more

บางจากแจกฟรี ‘มะม่วง’ เติมน้ำมันทุกชนิด 300 บาท ดีต่อใจหนุนผลผลิตเกษตรไทย

EcoVative

บางจากฯ ดีต่อใจช่วยชุมชนเกษตรกรไทยให้ฟรีมะม่วงแฟนซี 1 ถุง เติมครบ 300 บาท น้ำมันทุกชนิด วิ่งรถให้ฉิวหิวแล้วเปิดถุงกินผลไม้   บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสถานีน้ำมันบางจาก ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ปลูกมะม่วงที่มีผลผลิตตามฤดูกาลจำนวนมาก   ด้วยการรับซื้อมะม่วงแฟนซีคละสายพันธุ์นำมาสมนาคุณลูกค้า   โดยสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ เติมน้ำมันชนิดใดก็ได้ตั้งแต่ 300  บาทขึ้นไป รับฟรีมะม่วงแฟนซี  1 ถุง น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม มูลค่า 30 บาท ตั้งแต่วันที่ 6 – 8 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าของจะหมด ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ที่ร่วมรายการ ดูรายละเอียดได้ที่ www.bcpgreenmiles.com   โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บางจากฯ ได้ร่วมช่วยเหลือกลุ่มชุมชนเกษตรกรมาอย่างต่อเนื่องด้วยการคัดสรรผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตร เช่น กล้วยอบกรอบ ลูกหยีกวน ลูกไหนอบแห้ง เป็นต้น มาเป็นของสมนาคุณลูกค้า และยังร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรที่ออกมาพร้อมกันจำนวนมากตามฤดูกาล เช่น ส้ม มะนาว ไข่ไก่  มังคุด สับปะรด ลำไย กระเทียม หอมแดง เป็นต้น ฯลฯ  นำมาเป็นของสมนาคุณลูกค้าผู้ใช้น้ำมัน  เพื่อร่วมดูดซับผลผลิตและพยุงราคา และช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน   ทั้งนี้ บางจากฯ  ดำเนินงานไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยแนวคิด Greenovative Destination  ของสถานีบริการน้ำมันบางจากที่มีเป้าหมายให้ผู้บริโภคได้ใช้พลังงานคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีธุรกิจเสริมต่างๆ หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน  ตลอดจนเป็นจุดหมายของการแบ่งปันและสร้างสรรค์สังคมไทยที่น่าอยู่  

June 7, 2025 / 0 Comments
read more

ไม่ไหวขอไปก่อน พนักงานลาออกงานเดิม 70% เพราะอยากได้บอสมี ‘Empathy’

Peace&Play

เมื่อความจริงใจสำคัญกว่าตำแหน่ง หนึ่งในเหตุผลหลักของพนักงานกว่า 63% ขอลาออกจากงานเดิม เพราะไร้ความรู้สึกผูกพันกับผู้บริหารองค์กร   แกริต บุคกาต ซีอีโอ บริษัทโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลก เผยผลสำรวจพบว่าพนักงานกว่า 2 ใน 3 (63%) ระบุหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขาลาออกจากงานเดิมคือการไม่มีความผูกพันหรือความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมบริหารหรือผู้นำองค์กร และยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ดังนี้   68% พนักงาน ให้สาเหตุการลาออกมาจากคำมั่นสัญญาที่ไม่เป็นจริงของผู้บริหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพนักงานรู้สึกไม่เชื่อมั่นเมื่อผู้นำไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้ และสิ่งนี้ส่งผลให้ความไว้วางใจถูกทำลาย   จากข้อค้นพบเหล่านี้มาจากรายงานฉบับใหม่ที่ชี้ให้เห็นว่า ‘ภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญกับคนเป็นศูนย์กลาง’ (human-centric leadership) คือ แนวโน้มสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ หากต้องการให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในปี 2025 และต่อไปในอนาคต   ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ความสำเร็จของผู้นำจะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น หากผู้นำให้ความสำคัญกับ ”คน”เป็นอันดับแรก โดยเฉพาะในยุคที่พนักงานหลายคนเริ่มกังวลเรื่องบทบาทของ AI และสงสัยว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์หรือไม่   ขณะที่ มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในที่ทำงานเสมอ เช่นเดียวกับที่องค์กรลงทุนในเทคโนโลยีผ่านการค้นคว้าและพัฒนา (R&D)  ฉะนั้นการลงทุนกับพนักงานในองค์กรก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน   โดยผู้นำ ที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางจิตใจ ความยืดหยุ่นในการทำงาน และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่ง สร้างพนักงานที่ผูกพันกับองค์กร และขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้”   แกริต เสริมว่า “ผู้นำที่ไม่สร้างความสัมพันธ์ที่จริงใจกับทีมงาน ไม่เพียงเสี่ยงต่อการสูญเสียความจงรักภักดี แต่ยังพลาดโอกาสในการรับฟังข้อมูลเชิงลึกและแนวคิดใหม่ ๆ ที่อาจพาองค์กรไปสู่การเติบโตในอนาคต”   ภาวะผู้นำที่ไม่จริงใจ   จากการสำรวจ เมื่อถามถึงลักษณะทั่วไปของผู้นำที่ไม่ดีหรือไม่จริงใจ พนักงานแสดงความเห็นดังต่อไปนี้   ขาดความโปร่งใส (72%) – พนักงานจะสูญเสียศรัทธาในผู้นำที่ปกปิดข้อมูลหรือไม่อธิบายเหตุผลของการตัดสินใจ ความไม่สม่ำเสมอ (66%) – ผู้นำที่พูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่าง มักไม่สามารถสร้างความเคารพในระยะยาวได้ยาก หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ (44%) – ผู้นำที่ไม่ยอมรับความผิดพลาด หรือไม่รับผิดชอบจะนำไปสู่ วัฒนธรรมในองค์กรที่ไม่ดี ที่กล่าวโทษกันไปมา เพิกเฉยต่อความเป็นอยู่ของพนักงาน (30%) – ผู้นำที่ให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าคนจะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ การจัดการที่ควบคุมมากเกินไป (28%) – การขาดความไว้วางใจในความสามารถของพนักงาน อาจส่งผลให้พนักงานขาดแรงจูงใจและจำกัดนวัตกรรมได้ ความลำเอียง/การเล่นพรรคเล่นพวก (22%) – การปฏิบัติต่อทีมอย่างไม่เท่าเทียมกัน ทำให้เกิดความไม่พอใจและขาดความผูกพัน     เส้นทางสู่ความสำเร็จ   รายงานฯ ยังระบุอีกว่าองค์กรที่มีผู้นำแบบ “ยึดคนเป็นศูนย์กลาง” มีแนวโน้มรักษาบุคลากรคุณภาพสูงได้มากกว่า 1.5 เท่า และมีโอกาสบรรลุเป้าหมายขององค์กรได้มากกว่าถึง 2.6 เท่า   แกริต กล่าวว่า สำหรับแนวทางที่องค์กรและผู้นำสามารถปรับใช้ ในการสร้างผู้นำแบบยึดคนเป็นศูนย์กลางไว้ดังนี้   การพัฒนาผู้นำผ่านการโค้ชและการฝึกอบรม: ผู้นำควรได้รับการพัฒนาเรื่องการสร้างความเข้าใจผู้อื่น (empathy) การสร้างความฉลาดทางอารมณ์ ความจริงใจ การฟังอย่างลึกซึ้ง และการสร้างทีม หากองค์กรไม่มีผู้เชี่ยวชาญภายใน อาจพิจารณาใช้บริการจากบริษัทภายนอก การสื่อสารที่โปร่งใสและชัดเจน: การสื่อสารที่เปิดเผย โปร่งใส และสม่ำเสมอ ถือเป็นหัวใจสำคัญของแนวทางการบริหารที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง องค์กรควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างให้ไอเดียต่าง ๆ ถูกแลกเปลี่ยนและได้รับการรับฟัง พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการให้ข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ ตัวอย่าง เช่น การจัดช่วงถามตอบ (Q&A) ที่เปิดให้พนักงานได้สอบถามอย่างตรงไปตรงมา หรือการมีนโยบายเปิดกว้างในการรับคำถามตลอดเวลา ไม่ว่าจะพบกันตัวต่อตัวหรือผ่านอีเมลก็ตาม การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร: การปรับเปลี่ยนสู่วิธีการบริหารที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง อาจจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ ซึ่งอาจรวมถึงการทบทวนวัฒนธรรมองค์กร การปรับเกณฑ์วัดผลการทำงาน และการปรับระบบการให้รางวัลให้สอดคล้องกับหลักการที่ให้ความสำคัญกับ “คน” เป็นศูนย์กลาง การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน: องค์กรควรมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจความต้องการของพนักงาน เพื่อนำมาพัฒนากลยุทธ์ในการเพิ่มระดับความผูกพันและการมีส่วนร่วมของพนักงาน ซึ่งอาจรวมถึงการสร้างโอกาสในการทำงานร่วมกันมากขึ้น การส่งเสริมสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน รวมถึงการนำระบบการยกย่องและให้รางวัลมาใช้อย่างเหมาะสม   สกิลผู้นำยุคใหม่ต้องเห็นอกเห็นใจ   ด้าน ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการประจำประเทศไทย ของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในบริบทขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในประเทศไทย  ผู้นำที่ได้รับการยอมรับ ไม่ใช่ผู้ที่เพียงแค่มีอำนาจตามตำแหน่ง แต่เป็นผู้ที่สร้างความเชื่อมโยงกับผู้คนได้อย่างแท้จริง   จากข้อมูลพบว่า พนักงานถึง 70% เชื่อว่า ความเข้าใจผู้อื่น (empathy) เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้นำ ตามด้วยการสื่อสาร และความยืดหยุ่น   เมื่อผู้นำให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านการพัฒนาหรือการดูแลสุขภาพจิตสะท้อนให้เห็นถึงความชัดเจนว่า ‘คุณคือคนที่สำคัญที่นี่’ ผู้นำที่เป็นผู้ฟังอย่างแท้จริง รักษาคำมั่นสัญญา และสนับสนุนการเติบโตของพนักงานจะเป็นผู้ที่สามารถรักษาคนเก่งและสร้างความภักดีในระยะยาวได้”   ความสัมพันธ์แบบทางธุรกิจ   รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึง ผลกระทบเชิงลบเมื่อผู้นำขาดความจริงใจ โดย   พนักงานถึง 62% ระบุว่าพวกเขาไม่รู้สึกผูกพันกับผู้นำ เมื่อผู้นำติดต่อสื่อสารมาเฉพาะในเวลาที่ต้องการบางสิ่งจากพวกเขาเท่านั้น พนักงาน 71% รู้สึกได้ หากผู้นำใช้น้ำเสียงเชิงบวกที่ไม่จริงใจ โดยหลายคนมองว่าเป็น “การแสดงออกแบบฝืนใจ” หรือ forced enthusiasm   ปุณยนุช สรุปว่า “การให้ความสำคัญกับปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ผู้นำจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทั้งของพนักงานและองค์กรไปพร้อมกันได้  แนวโน้มในปี 2025 และอนาคต ความสำเร็จขององค์กรจะถูกขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจผู้อื่น การสร้างทีม และความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับ ‘คน’ เป็นอันดับแรก”   สามารถดาวน์โหลดรายงานการสำรวจเงินเดือนของโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ได้ที่ www.robertwalters.co.th     Alternate-X สรุปให้ เมื่อความสัมพันธ์และความจริงใจสำคัญกว่าตำแหน่ง พนักงานกว่า 63% เลือกลาออกเพราะขาดความผูกพันกับผู้บริหาร ขณะเดียวกัน 70% ต้องการผู้นำที่มี Empathy เป็นคุณสมบัติหลัก การสื่อสาร โปร่งใส ความยืดหยุ่น และการฟังอย่างลึกซึ้ง คือกุญแจสำคัญ องค์กรที่นำแนวคิด human-centric leadership มาใช้ มีแนวโน้มรักษาบุคลากรเก่งๆ ได้มากกว่า และบรรลุเป้าหมายองค์กรสูงกว่าเกือบ 3 เท่า

June 7, 2025 / 0 Comments
read more

แฟรนไชส์ปี 68 เทรนด์ใหม่กำลังมา ‘TFBO 2025’ งานแฟร์รวมเชนอาหาร-เครื่องดื่มใหญ่สุด

BizKet

ตลาดธุรกิจแฟรนไชส์มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท โต 18% อีกหนึ่งโอกาสนักลงทุนธุรกิจในงาน TFBO 2025 จัดที่ไบเทค 4-7 มิ.ย.นี้ คาดเงินสะพัด 100 ล้านบาท   กวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้จัดงาน TFBO 2025 เปิดเผยว่า จากข้อมูลธุรกิจแฟรนไซส์ในไทยมีอัตราเติบโต 18% มูลค่าตลาดรวมกว่า 300,000 ล้านบาท แยกเป็นธุรกิจแฟรนไซส์ได้ถึง 661 กิจการ   โดยกลุ่มแฟรนไซส์ที่มีจำนวนมากที่สุด 1-5 อันดับแรก ได้แก่   อาหารและเบเกอรี่ 217 กิจการ เครื่องดื่มและไอศกรีม 168 กิจการ การศึกษา 105 กิจการ บริการ 76 กิจการ อสังหาและค้าปลีก 48 กิจการ   สำหรับปี 2025 คาดการณ์ตลาดแฟรนไซส์ในไทย จากภาวะเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว จะเกิดเทรนด์แฟรนไซส์ใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่น่าสนใจ   จากปัจจัยดังกล่าวทางบริษัทฯ ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน จัดงานแฟรนไชส์และโอกาสทางธุรกิจ Thailand Franchise & Business Opportunities หรือ TFBO 2025 งานแสดงแฟรนไซส์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 21   โดยกำหนดจัดงานตั้งแต่วันที่ 4-7 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00-19.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา ภายในงานได้รวบรวมแบรนด์แฟรนไซส์ชั้นนำกว่า 150 แบรนด์ จากทั้งไทยและต่างประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย รัสเซีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา เข้ามาร่วมจัดแสดงและเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเริ่มต้นทำธุรกิจเยี่ยมชมสินค้าและเจรจาธุรกิจแบบครบจบในงานเดียว   สำหรับแฟรนไซส์ที่นำเสนอครอบคลุมใน 12 ประเภทธุรกิจที่น่าสนใจ อาทิ อาหารและเบเกอรี่ เครื่องดื่มและไอศรีม เทคโนโลยีและระบบอัจฉริยะ แฟรนไซส์ร้านสะดวกซื้อ การศึกษา สัตว์เลี้ยง สินค้าและการบริการ อุปกรณ์และสินค้าสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและการแพทย์ เครื่องเขียนและของใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเหมาะกับผู้ที่สนใจลงมือทำธุรกิจ เป็นก้าวแรกของการเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง หรือต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่เดิม ทั้งกลุ่มอาหาร เบเกอรี่ ขนมหวาน กาแฟ ชานมไข่มุก ไอศรีม ร้านค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ เครื่องหยอดเหรียญ ร้านสะดวกซักและงานบริการ   นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรม Franchise Business Clinic เปิดโอกาสให้รับคำปรึกษาเชิงลึกจากกูรูแฟรนไชส์ และอีกโซนใหม่ล่าสุดที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ประสงค์จะขยายแฟรนไชส์เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในมุมกิจกรรม Make Over & Scale Up Biz Opportunity   รวมถึงการจัดฝึกอบรมและจัดงานเสวนาเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างธุรกิจ การสร้างรายได้ในหลากหลายหัวข้อน่าสนใจให้เลือกติดตามได้อย่างใกล้ชิดตลอด 4 วันของการจัดงาน ซึ่งคาดว่าจะมียอดผู้เข้าร่วมงาน 8,500 คน และสร้างมูลค่าการเจรจาธุรกิจรวม 100 ล้านบาท   ด้าน สุทธิชัย พนิตนรากุล นายกสมาคมแฟรนไชส์ และไลเซนส์ กล่าวเสริมถึงข้อมูลเทรนด์ธุรกิจแฟรนไซส์ในปี 2025 จากการวิเคราะห์พบว่า   แฟรนไซส์ที่เป็นขาขึ้น และอยู่ในความนิยมของผู้บริโภค 10 อันดับ ได้แก่   1..ธุรกิจการแพทย์และดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 2.ธุรกิจบริการความงาม สปา 3.ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง 4.ธุรกิจอาหารและเบเกอรี่ 5.ธุรกิจเครื่องดื่มและไอศกรีม 6.ธุรกิจค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา 7.ธุรกิจการศึกษา 8.ธุรกิจบริการ สะดวกซัก ตู้หยอดเหรียญ คาร์แคร์ 9.ธุรกิจบริการชาร์จรถ EV 10.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์   ส่วนธุรกิจที่มีแนวโน้มขาลง อยู่ในกลุ่ม   1.ธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่ 2.ธุรกิจร้านหมาล่าชาบู 3.ธุรกิจร้านหมูกระทะ 4.ธุรกิจขนส่งพัสดุ Drop Off งานพิมพ์ 5.ธุรกิจร้านค้าโชห่วย 6.ธุรกิจจำหน่ายและให้เช่า CD หรือ VDO 7.ธุรกิจถ่ายเอกสารและงานพิมพ์ 8.ธุรกิจตัวแทนจำหน่าย 9.ธุรกิจรถเช่า รถยนต์มือ2 10.ธุรกิจบริการถ่ายรูปโฟโต้แลป   เป็นต้น   สุทธิชัย กล่าวต่อไปว่า สมาคมฯ พร้อมสนับสุนการจัดงานฯในครั้งนี้อย่างเป็นทางการ พร้อมร่วมออกบูธให้คำปรึกษาและร่วมส่งวิทยากรให้ความรู้ในงานสัมมนาหลายๆ หัวข้อ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ร่วมผลักดันให้เกิดการจัดงานที่ครบวงจร เพื่อการขับเคลื่อนและส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไซส์นั่นเอง   สำหรับงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2025 จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 4-7 มิถุนายน นี้ ณ ไบเทค บางนา     Alternate-X สรุปให้  ตลาดแฟรนไชส์ไทยปี 68 โตแรง คาดแตะ 300,000 ล้านบาท เติบโต 18% พร้อมจัดงาน TFBO 2025 งานแฟร์รวมธุรกิจแฟรนไชส์ใหญ่สุด จัด 4-7 มิ.ย. ที่ไบเทค รวมกว่า 150 แบรนด์ดังใน 12 ประเภทธุรกิจ พร้อมเจรจาธุรกิจในงาน ด้วยไฮไลต์เทรนด์ใหม่มาแรง เช่น แฟรนไชส์สุขภาพ ผู้สูงอายุ ความงาม สัตว์เลี้ยง คาดเงินสะพัดกว่า 100 ล้านบาท หนุนผู้ประกอบการใหม่สู่ตลาดแฟรนไชส์    

June 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘บางละมุง’ พัทยา ทำเลฮอตเชื่อมกรุงเทพฯ-EEC กานดาฯ ทำบ้านเจาะดีมานด์อยู่จริง

BizKet

กานดาฯ เห็นโอกาสอสังหาฯ พัทยาทำเลเชื่อมต่อเศรษฐกิจ-อีอีซี ใช้5 จุดแข็งแนวคิดส่งบ้านราคาเริ่มต้น 3.49-6.9 ล้านบาท รับความต้องการจริงอยู่อาศัย-พักผ่อน ลดหนักหลังละล้านบาท ช่วงพรีเซล 12-13 ก.ค.นี้   หัสกร บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์  เปิดเผยว่า  ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ดินในทำเลบางละมุง ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงเมืองพัทยากับกรุงเทพฯ และยังอยู่ระหว่างเมืองพัทยากับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มขึ้น จากปัจจัยพื้นที่ขยายตัวของเมืองและรองรับรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคต   จากปัจจุบัน พื้นที่ดังกล่าวยังเดินทางสะดวกด้วยถนนสุขุมวิท มอเตอร์เวย์สาย 7 และสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นทำเลที่เหมาะสำหรับคนทำงานในพัทยา, นิคมอุตสาหกรรม, ท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงการทำงานในกรุงเทพฯแล้วเดินทางกลับบ้านในวันหยุดได้   นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญ คือ โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการอยู่อาศัยระยะยาว ทั้งโรงเรียนระดับนานาชาติ โรงพยาบาลเอกชน แหล่งจับจ่าย และสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ระบบน้ำ ไฟ ถนน และอินเทอร์เน็ตที่มีความเสถียร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ลงตัวระหว่างคุณภาพชีวิตและศักยภาพการเติบโต   “ทำเลดังกล่าวยังเป็นพื้นที่ที่มีบรรยากาศน่าอยู่ ใกล้ธรรมชาติ แต่ยังมีไลฟ์สไตล์ที่เป็นเมืองท่องเที่ยว มีชายหาด เช่น หาดจอมเทียน บ้านอำเภอ ซึ่งเป็นย่านที่เงียบสงบกว่าพัทยาเหนือ เหมาะกับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว ซึ่งบ้านในบางละมุงยังมีราคาที่จับต้องได้เทียบกับใจกลางเมืองพัทยาที่มีราคาสูง ขณะที่บางละมุงยังมีโครงการบ้านแนวราบในราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งเหมาะกับคนในพื้นที่และครอบครัวใหม่” หัสกร กล่าวพร้อมเสริมว่า   จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทฯ มองเห็นโอกาสพร้อมเปิดตัวบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด โครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน เป็นบ้านดีไซน์ใหม่สไตล์ English Garden วางราคาเริ่มต้น 5.49 ล้านบาท   พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 129-211 ตาราเมตร บ้านเดี่ยวฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 3-4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2-3 คัน     สำหรับบ้านแฝด ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท   ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน     หัสกร กล่าวว่า โครงการฯใหม่นี้ ต่อเนื่องจากการเปิดตัวโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ทาวน์โฮมดีไซน์อบอุ่นในสไตล์ English Garden ไปก่อนหน้าและประสบความสำเร็จในด้านการขาย ซึ่งพบว่าลูกค้าจำนวนหนึ่งมีความต้องการซื้อบ้านที่มีขนาดใหญ่   “หลังจากเข้ามาพัฒนาโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ซึ่งพบว่าคนชลบุรีมีความต้องการซื้อบ้านในพื้นที่อำเภอบางละมุง ซึ่งพัทยา-จอมเทียน ก็เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ดังกล่าว” หัสกร กล่าว   ขณะที่โครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนและจองภายในงานวันที่ 12-13 กรกฏาคม 2568 จะได้โปรโมชั่นพิเศษรับส่วนลดมูลค่า 1 ล้านบาท สำหรับการจองบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด   โดยราคาเริ่มต้นบ้านเดี่ยว จาก 5.49 ล้านบาท เหลือราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท สำหรับบ้านแฝด จากราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท เหลือราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท   นอกจากนี้ ยังได้สิทธิ์ลุ้นรับเครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมี่ยม ได้แก่ 1.เครื่องซักอบรีด 2.ตู้เย็น 16.1 คิว 3.ทีวี 55 นิ้ว 4.เครื่องฟอกอากาศ 5.เครื่องดูดฝุ่น สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/40rqdxm   สำหรับบ้านทุกหลังภายในโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ถูกออกแบบด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี ภายใต้แนวคิด 5 Kanda Concept เพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ที่ตอบโจทย์ทั้งชีวิตวันนี้และในอนาคต ได้แก่   Eco Smart บ้านที่ช่วยลดภาระค่าไฟ Easy Maintenance ออกแบบเพื่อง่ายต่อการซ่อมบำรุงรักษา Multi-Generation รองรับสมาชิกทุกวัยในครอบครัว Space Matter ให้ความสำคัญกับการออกแบบทุกพื้นที่ใช้สอย Flood Protection จัดทำระบบป้องกันอุทกภัย ออกแบบรั้วและแนวล่างให้มีสภาพทึบน้ำและคำนึงถึง ระดับถมดิน ระดับตัวบ้าน รวมถึงเตรียมพื้นที่สำหรับ ระบบสูบน้ำ เพื่อให้สามารถพึ่งพาตรเองได้   ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเปิดให้จอง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดโซนไพรเวท สัมผัสบรรยากาศความร่มรื่นและใกล้ชิดธรรมชาติ ด้วยพื้นที่สีเขียวภายในโครงการที่ช่วยสร้างความผ่อนคลายในทุกๆ วัน รวมถึงยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สนามบาส Jogging track รองรับทุกกิจกรรมสำหรับทุกครอบครัว และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เข้า-ออกโครงการด้วยระบบ Easy Pass, กล้อง CCTV หน้าโครงการ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมั่นใจในทุกวัน พร้อมทั้งโปรโมชั่นพิเศษส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท และยังได้รับสิทธิ์จับ Lucky draw ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีแอร์ ฟรีค่าโอนฯ สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนเข้าชมโครงการเฉพาะในวันที่ 12-13 ก.ค.68 2 วันนี้เท่านั้น   Alternate-X  กานดาฯ เปิดโอกาสตลาดอสังหาฯ พัทยา-อีอีซี ส่งโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด ราคาเริ่ม 3.49-6.9 ล้านบาท รับดีมานด์จริงอยู่อาศัย-พักผ่อน พรีเซล 12-13 ก.ค. ลดสูงสุด 1 ล้านบาท พร้อมของแถมพรีเมี่ยม เน้นแนวคิด 5 Kanda Concept รองรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่และอนาคต

June 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘เจ้าสัวสหพัฒน์’ แจกสูตรฝ่าวิกฤตเศรษกิจ ‘อย่าฝืนธรรมชาติ’ เน้นธุรกิจปลอดภัย

BizKet

‘บุณยสิทธิ์’ เจ้าสัวเครือสหพัฒน์ ย้อนทุกวิกฤตเศรษกิจผ่านมาได้ ‘ปีไหนไม่ดีแค่โตช้า ปีไหนดีก็โตเร็ว’ แต่เน้นฐานองค์กรแข็งแรงไว้ก่อน ปีนี้ไปต่องาน ‘สหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส ครั้งที่ 29  กับเป้ารายได้ปี’68 แตะ 5 หมื่นล้านบาท โต10%   บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่วนประเทศไทยเติบโตต่ำสุดในระดับภูมิภาคด้วยก่อนหน้าไทยเคยเติบโตสูงสุดมาแล้ว เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซีย และ เวียดนาม ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเติบโตดี ในปัจจุบัน   อย่างไรก็ตาม มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจคาดจะถดถอยเพียงระยะหนึ่ง ด้วยต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยทั้ง แนวทางของไทยที่มีต่อนโยบายภาษีทางการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งในสุดท้ายแล้วน่าจะใช้ระยะเวลาราว 2-3 ปี   “ที่สำคัญ ไทยมีจุดแข็ง คือ ความเป็นกลางไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่งระหว่างจีนหรือสหรัฐอเมริกาจึงน่าผ่านไปได้” บุณยสิทธิ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   ขณะที่ สหพัฒน์ ดำเนินธุรกิจมาตลอดกว่า 80 ปีที่ผ่านมาได้ต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ขึ้นลงมากมาย  “หากปีไหนเศรษฐกิจไม่โตเราก็แค่เติบโตช้า ปีไหนเศรษฐกิจดีเราก็เติบโตได้เร็ว”   โดยสหพัฒน์ มุ่งแนวทางสร้างความปลอดภัยให้บริษัทมากกว่า ซึ่งแม้ว่าธุรกิจจะโตช้าแต่จะเน้นสร้างฐานภายในให้แข็งแกร่งแทน และสำคัญสุดคือไม่คิดว่าหากเศรษฐกิจไม่ดีแล้วต้องจะต้องทำอะไรให้มากขึ้น โดยไม่ไปฝืนธรรมชาติ ด้วยหากเศรษฐกิจโตช้า เราก็แค่เดินช้าลง เป็นสิ่งที่ยังคงทำให้ สหพัฒน์ ดำเนินการมาได้ถึงในปัจจุบัน   “สภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปีนี้ เปรียบเหมือนรถยนต์ที่เหลือเพียง 3 ล้อจากที่เคยมี 4 ล้อ หากเศรษฐกิจดีก็เปรียบเหมือนเป็นรถยนต์อีวี ซึ่งแม้จะเหลือเพียง 3 ล้อแต่รถยนต์ก็ยังเป็นรถยนต์ ก็ยังอยู่ได้ เปรียบกับเมื่อก่อนที่เรายังเป็นเพียง 2 ล้อก็ผ่านมาแล้ว จึงมองว่าแต่ละยุคเหตุการณ์ไม่เหมือนกัน บางยุคเศรษฐกิจไม่ดีแต่มีโอกาส ส่วนยุคนี้ปีนี้เศรษฐกิจไม่ดีแต่หากปรับตัวได้ก็ยังอยู่รอด” บุณยสิทธิ์ กล่าว   พร้อมเสริมกล่าวต่อว่า ขณะที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับนโบายเกี่ยวกับภาคการผลิตและการพัฒนาด้านต่างๆ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจและจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากกว่า โดยเฉพาะโครงการแลนด์บริดจ์’ (Land Bridge) และ EEC ที่ควรมีมากกว่าที่เดียว เป็นต้น   “แจกเงินดิจิทัลที่ผ่านมาเป็นเพียงโครงการนโยบายหาเสียง ไม่สนับสนุนให้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่หากเป็นนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากกว่า” บุณยสิทธิ์ ย้ำ   เศรษฐกิจปีนิ้ ไม่แย่ไปกว่าช่วงโควิด   ด้าน บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวที่เกิดขึ้น หากวิเคราะห์แล้วพบว่าในปีนี้ไม่ได้แย่กว่าช่วงปีที่เกิดโควิด (2563-2565)   “ในปีนั้นเศรษฐกิจติดลบแต่ปีนี้ยังไม่ติดลบ แม้ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังสูง แต่เป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว แก้ยาก ส่วนปัญหาที่เกิดจากความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ เชื่อว่ายังไงประเทศไทยก็รอด จะกระทบเพียงกลุ่มส่งออกกับเรื่องของกำแพงภาษีสหรัฐ แนะว่าอย่าตื่นตระหนกตกใจ แต่ควรหาวิธีในการส่งสินค้าเข้าไปสหรัฐและประเทศอื่นๆ ต่อจะดีกว่า เพราะเชื่อว่าคนสหรัฐยังไงก็ต้องบริโภค จึงไม่อยากให้กังวลไปเอง สำคัญที่สุดอยากให้รัฐบาลมุ่งสื่อสารสร้างกำลังใจแก่ประชาชนไม่ให้ท้อถอย หากไม่ตกงานก็อยากให้ใช้จ่ายเหมือนเดิม ดีกว่านำเสนอด้านลบ” บุญชัย กล่าวพร้อมเสริมว่า   อย่างไรก็ตามภาคกำลังซื้อเกิดจากความเชื่อมั่นของประชาชน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ยอดขายตก และหากไม่มีกำลังใจแล้วจะยิ่งทำให้การใช้จ่ายชะลอตัวมากยิ่งขึ้น   ขณะที่สหพัฒน์ ไม่เคยหยุดนิ่ง พร้อมตั้งรับการเปลี่บนแปลงตลอดเวลาด้วยการลงมือทำก่อนปัญหาจะเกิด เช่น การบริหารต้นทุนหากทำแล้วต้องทำต่อไป เพื่อให้กำไรยังคงอยู่ ไปพร้อมปรับเปลี่ยนวิธีคิดของพนักงาน เปลี่ยนทัศนคติมุ่งสร้างการเติบโต (Growth Mindset) ให้มียอดขายเพิ่ม   “แม้เศรษฐกิจไม่ดีแต่เมื่อเรามีเป้าหมายการเติบโตก็ต้องหาวิธีไปให้ถึง ไม่ใช่หาทางแก้ปัญหาตามหลัง แต่ต้องทำก่อนที่ปัญหาจะเกิด” บุญชัย ย้ำ   จากแนวทางดังกล่าวในปีนี้ สหพัฒน์ยังคงวางเป้าหมายการเติบโตอยู่ที่ 10% คิดเป็นมูลค่ารวมที่ 50,000 ล้านบาท จากในไตรมาสแรกปีนี้มีอัตราเติบโตรายได้ 4.8% ส่วนกำไรเติบโต 20% คิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท จากการจำหน่ายสินค้าที่มีกำไรสูงได้เยอะ และการออกสินค้าใหม่กระตุ้นยอดขาย   สำหรับแนวทางธุรกิจครึ่งปีหลังนี้ วางแผนสร้างยอดขายเติบโตเพิ่มจากการหาโอกาสขยายช่องทางจำหน่ายร้านเอเย่นต์ใหญ่ให้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันมีร้านค้าหน่วยรถ 32,000 ร้านค้า เป็นต้น   “จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น มองว่าการทำธุรกิจปีนี้ต้องมีการปรับเปลี่ยน แก้ไขอยู่ตลอดเวลา ใช้เงินให้น้อยลง ฟุ่มเฟือยให้น้อยลง ดูแลลดต้นทุน อย่ารอให้แย่แล้วมาลด และทำช่องทางขายที่อ่อนแอให้แข็งแรงขึ้นมา” บุญชัย กล่าว     ด้าน ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ประธานจัดงานสหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส กล่าวว่า ปีนี้เครือสหพัฒน์ยังคงเดินหน้าจัดงานสหกรุ๊ป แฟร์ขึ้น โดยยกระดับการจัดงานสหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส ภายใต้คอนเซปต์ Big Shop Big Show โดยรวมสินค้าราคาพิเศษนำมาให้ช็อป พร้อมมอบประสบการณ์พิเศษกว่าเดิม โดยจะจัดขึ้นวันที่ 26-29 มิถุนายน 2568 นี้ เวลา 10.00 – 21.00 น. ที่ฮอลล์ 98-100 ไบเทค บางนา   โดยในส่วนของ Big Shop คือ การยกระดับประสบการณ์การช็อปให้สะดวก สนุก ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ด้วย 2 แอปพลิเคชั่น คือ 1. BIGXSHOW แพลตฟอร์มไลฟ์คอมเมิร์ซรูปแบบใหม่ ที่ผสานความบันเทิงจากการถ่ายทอดสดกับการช็อปแบบเรียลไทม์ และ 2.FRIDAY FAIR แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ที่พัฒนาโดยคนไทย 100% ประเดิมเปิดจำหน่ายสินค้าจากงานสหกรุ๊ปแฟร์ปีนี้เป็นครั้งแรก   นอกจากนี้ ยังมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างเครือสหพัฒน์กับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ รวม 10 ฉบับ ครอบคลุมทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์,เทคโนโลยี, การศึกษา อีคอมเมิร์ซ และธุรกิจบริการ อาทิ การเปิดตัวโรงแรมหรูใจกลางราชดำริร่วมกับไทยโอบายาชิ การพัฒนาเทคโนโลยี AI และ Cloud ร่วมกับบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด การสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินร่วมกับบางกอกแอร์ เอวิเอชั่น เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ การพัฒนาบุคลากรด้าน AI ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีปทุม และความร่วมมือเพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือในธุรกิจอัญมณี การขยายช่องทางการตลาดสินค้าฮาลาล รวมถึงความร่วมมือในการเปิดร้านขายสินค้าไลฟ์สไตล์สำหรับคนรักแมว     Alternate-X สรุปให้ องค์กรธุรกิจรายใหญ่ของไทยเครือสหพัฒน์ มองเศรษฐกิจไทยปีนี้แม้ชะลอ แต่ไม่แย่กว่าช่วงโควิด โดยสหพัฒน์ยังคงเดินเกมธุรกิจด้วยฐานที่แข็งแรง พร้อมเป้ารายได้ปี’68 โต 10% แตะ 5 หมื่นล้านบาท เน้นปรับตัว-ลดต้นทุน-ขยายช่องทางขายล่วงหน้า ไม่รอให้ปัญหาเกิด หนุนรัฐบาลพัฒนาภาคการผลิตมากกว่าแจกเงินดิจิทัล พร้อมเดินหน้าจัด ‘สหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส ครั้งที่ 29’ พร้อม MOU กับพันธมิตรหลากหลายกลุ่มธุรกิจ  

June 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘ออริจิ้น’ หวนใช้ ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ แบรนด์แอมฯ เรียกเชื่อมั่นแบรนด์ ครึ่งหลังปี68

BizKet

ออริจิ้น ใช้บริการ ‘ณเดช คูกิมิยะ’ แบรนด์แอมบาสเดอร์อีกครั้งในรอบ 8 ปี ฟื้นเชื่อมั่นแบรนด์คอนโด-บ้าน แถมเซอร์ไพรส์อาจได้เจอ ‘แบรี่’ อยู่แถวบ้าน   กฤษณ์ เตชะสัมมา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จํากัด หรือ ORIGIN VERTICAL ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทฯ วางแผนการทำตลาดสื่อสารแบรนด์คอนโดออริจิ้น ผ่าน ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ ในฐานะ ‘แบรนด์ แอมบาสเดอร์’ (Brand Ambassador) อีกครั้งหลังจากเคยร่วมงานด้วยกันเมื่อ 8 ปีก่อน   “ไม่ใช่แค่การเลือกเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ แต่ยังเป็นการสานต่อความผูกพันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่ง ‘ณเดชน์’ คือตัวแทนความจริงใจ ความอบอุ่น และความมั่นคง” กฤษณ์ กล่าว    จากคาแรกเตอร์ดังกล่าว ยังสะท้อนถึงคุณค่าหลัก และความมั่นใจแบรนด์ ‘ออริจิ้น’ ที่ต้องการสื่อสารในทุกโครงการทั้งคอนโดฯและบ้าน ผ่านรอยยิ้ม และ ความจริงใจของณเดชน์ ที่ทุกคนไว้วางใจจาก My Life. My Origin ในวันนั้น สู่ Creative living for All ในวันนี้ ด้วยให้ทุกวัยและไลฟ์สไตล์มี ‘ชีวิตที่ดีขึ้น’ ถ้าเริ่มต้นกับ ‘ออริจิ้น’   พร้อมกันนี้ ออริจิ้น ยังเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ โดยสื่อสารผ่าน Brand Ambassador ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ ชวนทุกคนเข้าร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับ ‘คอนโดฯ ออริจิ้น’  ผ่านแคมเปญ ‘ฟิ นกว่าที่คิด’ ภาคต่อนิยามการใช้ชีวิตที่สร้างสรรค์ และความสุขในแบบที่ตามหา และ ‘บ้านบริทาเนีย’ พร้อมเปิดสัมผัสประสบการณ์จริงของการอยู่อาศัย   สําหรับภาพยนตร์โฆษณา ‘อยู่ออริจิ้น ฟิ นกว่าที่คิด’ ถ่ายทอดข้อมูลเจาะลึก Insight จากลูกค้าที่ได้เข้ามาชมโครงการจริง และนํามาสู่ไอเดียสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาเล่าความรู้สึก ความฟิน ความเซอร์ไพรส์ เมื่ออยู่ในโครงการคอนโดฯ ของ ออริจิ้น พร้อมถ่ายทําจากสถานที่จริง บรรยากาศจริงทั้งหมดภายในโครงการ สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของ Origin Vertical ได้พบกับความฟินในทุกส่วนคอนโดฯ ‘ออริจิ้น’     ด้าน สิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท บริทาเนีย จํากัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า บริษัทฯ สําหรับการสื่อสารแบรนด์ ผ่านภาพยนตร์โฆษณา ‘ฟิ นกว่าที่คิด อยู่…บริทาเนีย’ ที่เล่าผ่าน ‘ณเดชน์’ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ยังสะท้อนตัวตน และเอกลักษณ์ของ บริทาเนียอย่างชัดเจน ทั้งราคาที่เข้าถึงได้ การออกแบบตกแต่งที่สวยงาม ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์ สไตล์ในทุกช่วงวัย   “ไม่ว่าคุณจะนั่งเล่นอยู่ในสวน หรือจูงน้องหมาเดินเล่น ก็อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นณเดชน์ มาเซอร์ไพรซ์ มาเสร้างความฟิน ได้อีก เชื่อว่าแคมเปญนี้จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างการจดจําและกระตุ้นยอดขายให้กับแบรนด์ และตอกยํ้าจุดยืนในฐานะบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเข้าใจผู้บริโภคมากที่สุด” สิริพงศ์ กล่าว     ชมภาพยนตร์โฆษณา ‘อยู่ออริจิ้น ฟิ นกว่าที่คิด’ และ ‘ฟิ นกว่าที่คิด อยู่…บริทาเนีย’ ได้ทาง https://oriurl.com/3kp8cxm7   สําหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจ   1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 168 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2568) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) เป็นต้น รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 254,967 ล้านบาท โดย   กลุ่มโครงการบ้านจัดสรร หรือที่อยู่อาศัยแนวราบ ดําเนินการภายใต้บริษัท บริทาเนีย จํากัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ส่วนกลุ่ม โครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม ดําเนินการภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จํากัด หรือ ORIGIN VERTICAL   2.กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจํา (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก   3.กลุ่มธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์   4.กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ   เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร   Alternate-X สรุปให้  ออริจิ้น ดึง ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ กลับมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อีกครั้งในรอบ 8 ปี ย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ที่จริงใจ อบอุ่น และมั่นคง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ทุกเจนฯ  ผ่านแคมเปญ ‘ฟิ  น กว่าที่คิด’ ทั้งคอนโดออริจิ้นและบ้านบริทาเนีย พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาจากบรรยากาศจริงในโครงการ สื่อถึงชีวิตที่ดี แถมเซอร์ไพรส์แฟนๆ ด้วยไอเดีย อาจ ‘เจอ ณเดชน์แถวบ้าน’ เพิ่มความใกล้ชิดแบรนด์  

June 6, 2025 / 0 Comments
read more

เฟสติวัลสีรุ้ง กรุงเทพ ตะวันออก ‘MEGA PRIDE 2025’ สร้างแลนด์มาร์คศิลปะร่วมสมัย

Peace&Play,  WeView

ตลอดทั้งเดือนแห่งความหลากหลายสีสัน ‘มิถุนายน’ Pride Month ในปีนี้ ‘เมกาบางนา’ ร่วมฉลองทุกความงดงาม พร้อมเปิดพื้นที่แลนด์มาร์คศิลปะร่วมสมัยที่ออกแบบโดย 4 ศิลปินรุ่นใหม่   ​มาริส อโบลตินส์ กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเมกาบางนา กล่าวถึงการวางตำแหน่งทางการตลาดศูนย์ฯ เมกาบางนา เป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้งใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก เพื่อให้บริการประสบการณ์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายและแตกต่าง ด้วยแนวคิด YOUR EVERYDAY MEETING PLACE   นอกจากนี้ ยังสอดคล้องในโอกาสเดือนแห่งความภาคภูมิใจ (Pride Month) ศูนย์ฯ เมกาบางนา ได้จัดกิจกรรมการตลาดสัมผัสประสบการณ์ความหลากหลายในแคมเปญ ‘MEGA PRIDE 2025’ ภายใต้แนวคิด EMBRACE EVERY IDENTITY, CELEBRATE EVERY MOMENT เพื่อเฉลิมฉลองเดือนแห่งความหลากหลายสีสัน พร้อมเปิดพื้นที่ที่ทุกตัวตนสามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ เฉลิมฉลองในแบบของตนเอง   “MEGA PRIDE 2025 ยังสะท้อนหัวใจสำคัญของวัฒนธรรมองค์กรของเมกาบางนา ซึ่งมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่ยอมรับในทุกความแตกต่าง ทั้งความหลากหลายเพศสภาพ เชื้อชาติ ภาษา ไลฟ์สไตล์ หรือแนวคิดการใช้ชีวิตของทุกคนมีสิทธิ์แสดงออกถึงตัวตนของตนเองอย่างเสรี และร่วมกันสร้างสรรค์สังคมการทำงานที่ สนับสนุน และเปิดกว้างต่อความหลากหลายอย่างแท้จริง” มาริส กล่าว   สำหรับ แคมเปญ “MEGA PRIDE 2025” เมกาบางนา ยังได้สร้างสรรค์แลนด์มาร์คศิลปะร่วมสมัยที่ออกแบบโดย 4 ศิลปินรุ่นใหม่ ได้แก่   me.museums หรือ ออย–คนธรัตน์ เตชะไตรศร 22t หรือ มะเหมี่ยว – ฐิติพร กลิ่นทโชติ shittak หรือ ชายแดน เทียมไสย์ Fluffy Omelet หรือ เภรย – ณัชริญา เหล่าศรีสิน   โดยแคมเปญฯ นี้เป็นการต่อยอดจากผลงานที่จัดแสดงภายในงาน MEGA ART JOURNEY 2025 ด้วยการผสานสีรุ้งอันเป็นสัญลักษณ์ของ PRIDE MONTH เพื่อร่วมเฉลิมฉลองถึงความงดงามของอารมณ์ ความรู้สึก และความหลากหลายของผู้คนในสังคม ผลงานเหล่านี้จะจัดแสดงอยู่ในพื้นต่างๆ ของเมกาบางนาถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568   ​นอกจากนี้ ภายในงานเปิดตัวแคมเปญ “MEGA PRIDE 2025” ยังมีการแสดงจากกลุ่ม RANDOM DANCE ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้มีใจรักการเต้นที่มาจากพื้นฐานที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศ สถาบัน หรืออายุ แต่มารวมพลังกันบนเวทีเพื่อส่งต่อความสนุก ความภาคภูมิใจ และแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมทุกคนอีกด้วย   ​“แคมเปญ MEGA PRIDE 2025 คือ อีกก้าวสำคัญที่สะท้อนบทบาทของเมกาบางนาในการขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความเท่าเทียมและยั่งยืน ผ่านการสร้างพื้นที่ที่เปิดรับทุกความแตกต่าง และให้คุณค่ากับทุกตัวตนอย่างแท้จริง เราเชื่อว่าการยอมรับและเฉลิมฉลองในความหลากหลาย จะนำไปสู่ความเข้าใจ ความเคารพ และการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ในระยะยาว” มาริส กล่าว       Alternate-X สรุปให้ เมกาบางนา เปิดตัวแคมเปญ ‘MEGA PRIDE 2025’ ต้อนรับเดือน Pride Month สร้างแลนด์มาร์คศิลปะร่วมสมัย โดย 4 ศิลปินรุ่นใหม่ สื่อถึงความหลากหลายทางตัวตน ด้วยกิจกรรมตลอดเดือนมิถุนายน ส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกของทุกเพศ ทุกวัย พร้อมการแสดงจากกลุ่ม RANDOM DANCE รวมพลังคนรักการเต้นอย่างเท่าเทียม สะท้อนบทบาทเมกาบางนาในการสนับสนุนสังคมหลากหลายและยั่งยืน

June 5, 2025 / 0 Comments
read more

‘5 มิ.ย.’ วันสิ่งแวดล้อมโลก ‘Adaptation’ ปรับเปลี่ยน กลยุทธ์ #SaveWorld

EcoVative

5 มิถุนายน ของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้กำหนดให้เป็น ‘วันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day)’ ซึ่งได้มีการสถาปนครั้งแรกในปี พ.ศ.2515   จุดเริ่มต้นครั้งนั้น ทำให้ได้รับความร่วมมือจาก 113 ประเทศทั่วโลก และจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมจำนวน 1,500 คน จึงเกิดเป็นการลงนามข้อตกลงให้จัดตั้ง โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP: United Nations Environment Programme) ขึ้น   เพื่อสร้างความตระหนักและร่วมกันแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทย ได้ก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2518   ปัจจุบันเป็นที่รู้กันดีว่า สิ่งแวดล้อมของโลกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เห็นได้ชัดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติ ความรุนแรงของภัยพิบัติที่มากขึ้น ฯลฯ  และจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสถานการณ์สิ่งแวดล้อมทั้งของประเทศไทยและทั่วโลกแปรปรวนสูงขึ้น จากภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น พายุถล่ม น้ำท่วม ไฟป่า แผ่นดินไหว   ตั้งแต่ พ.ศ. 2567 ที่ประเทศไทยได้เผชิญกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมหลายด้าน ตั้งแต่น้ำท่วมรุนแรง ปรากฏการณ์เอลนีโญ ปัญหามลพิษที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น   และในปี พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมก็ยังเกิดขึ้นให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อาทิ พายุ Alfred, Rae และ Seru เกิดขึ้นพร้อมกันในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยากในรอบ 27 ปี   แผ่นดินไหวที่เมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 ซึ่งส่งผลถึงประเทศไทยและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก น้ำท่วมฉับพลันที่เนปาล รวมไปถึงไฟป่าครั้งใหญ่ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และ ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ ซึ่งผลกระทบภาพรวมตั้งแต่ต้นปี  พ.ศ. 2568 จนถึง เดือนพฤษภาคม 2568 รวมทั้งหมด 19 ครั้ง ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐิจทั่วโลกเป็นอย่างมาก   Adaptation รับโลกรวน   จากวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น การปรับตัว (Adaptation) ให้เท่าทันกับสภาวะโลกรวน เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบไม่มีสูตรสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อให้เราทุกคนได้อยู่รอดในสภาวะวิกฤตต่างๆ และรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไป   ดังนั้น Adaptation อาจจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่พวกเราทุกคนต้องลงมือทำในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม   ขณะที่ SUSTAINABILITY EXPO 2025 หรือ SX 2025 ปีนี้ เล็งเห็นความสำคัญเรื่องปรับตัวให้เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในระบบนิเวศ เพราะ Climate Change Adaptation ไม่ใช่เรื่องไกลตัว   โดยภายในงานฯ นำเสนอเรื่องราวของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในรอบ 10 ปี สัมผัสประสบการณ์ Immersive แบบ 4 มิติของภัยพิบัติในประเทศไทย  พร้อมวิธีปรับตัวที่ช่วยรับมือกับสถานการณ์  พบกับการจำลองบ้านอนาคตที่สามารถรับมือกับภัย พิบัติต่างๆ  กับ ‘บ้านอยู่รอด’   นอกจากนี้ยังพบกับโซนนิทรรศการต่างๆ ที่นำเสนอความสำคัญของด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม  อาทิ โซน Better Me นำเสนอเรื่องอายุยืนยาวอยู่อย่างไรให้มีคุณภาพและมีความสุข โซน Better Community นำเสนอเรื่องการปรับตัวของเมือง ด้วยพลังของคนอาสา เป็นต้น   รวมถึง กิจกรรมที่ทำเรื่องสิ่งแวดล้อมมากมาย อาทิ SX FOOD FESTIVAL มีการแยกทิ้งอาหารอย่างถูกวิธีผ่าน “Food Waste Station” ซึ่งขยะที่ถูกแยกจะถูกนำไปจัดการอย่างเหมาะสม SX REPARTMENT STORE ที่เปิดให้คนที่อยากนำของที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแบ่งปันเพื่อส่งต่อ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีและสังคมไร้ขยะที่ยั่งยืน ฯลฯ   งาน SUSTAINABILITY EXPO ปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เป็นมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือขององค์กรชั้นนำระดับภูมิภาคและระดับโลก นำโดย   บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายพันธมิตรทุกภาคส่วนทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศที่จะมาร่วมกันสร้างพลัง และปลุกกระแสด้านความยั่งยืนในมิติต่างๆ   มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน –  5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลง เพื่อโลกที่อยู่อย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ เพื่อความยั่งยืนได้ตลอดทั้งปีได้ที่ www.sustainabilityexpo.com , Facebook : Sustainability Expo และแอปพลิเคชัน SX     Alternate-X สรุปให้ ‘5 มิถุนายน’ วันสิ่งแวดล้อมโลก กว่า 5 ทศวรรษที่ผ่านมากับหลายเหตุการณ์ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นสะท้อนวิกฤตสิ่งแวดล้อมทั่วโลกและประเทศไทยที่รุนแรงขึ้น ขณะที่แนวคิด ‘Adaptation’ หรือการปรับตัวเป็นกลยุทธ์สำคัญในการอยู่รอด โดยปีนี้งาน SX 2025 ชูแนวคิดการปรับตัวรับมือโลกรวน พร้อมนิทรรศการ 4 มิติ และโซนจัดการสิ่งแวดล้อม มีโครงการจำลองบ้านอยู่รอด-เมืองปรับตัว-ชุมชนยั่งยืน และกิจกรรมลดขยะ จัดขึ้น 26 ก.ย. – 5 ต.ค. 2568 ณ ศูนย์สิริกิติ์ โดยองค์กรชั้นนำของไทยและอาเซียน  

June 5, 2025 / 0 Comments
read more

ออกแบบเมืองแห่งอนาคต จุฬาฯทำหลักสูตรพัฒนาอสังหาฯ หนุนระบบนิเวศใหม่เศรษฐกิจไทย

BizKet,  EcoVative

จุฬาฯ ร่วมเอกชนค้าปลีก-อสังหาฯ ทำหลักสูตรอบรม ‘WORLD CLASS DESTINATION DEVELOPMENT’ ออกแบบเมืองอสังหาฯ รับโครงการในศตวรรษที่ 21   ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับพันธมิตรเอกชน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (Siam Piwat Academy)   นอกจากนี้ยังมี ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุมโครงการด้านการบริการและการท่องเที่ยว โครงการที่พักอาศัยระดับพรีเมียม ศูนย์การค้าและพื้นที่ค้าปลีกเชิงประสบการณ์ และโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่   บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)   โดยเปิดตัวหลักสูตร World Class Destination Development เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างเป็นระบบ ทั้งต่อเศรษฐกิจของเมือง คุณภาพชีวิตของผู้คน และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว   ทั้งนี้ ยังผลักดันส่งเสริมการพัฒนาทักษะและศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และยกระดับความสามารถของคนไทยให้พร้อมแข่งขันบนเวทีโลก ผ่านการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากไทยและต่างประเทศ พร้อมกิจกรรมศึกษาดูงานกรณีศึกษาระดับโลก ณ สถานที่จริง ในระหว่างวันที่ 19 ก.ค. – 30 ส.ค 2568 จัดกิจกรรมโดยศูนย์ออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU D4S)   โดยการจัดหลักสูตรในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการอบรม ‘World Class Shopping Mall Ecosystem Development: Managing Urban and Facility for Sustainable Society of the Future ในปี 2567’ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าร่วมอบรมทั้งจากภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคการศึกษา ที่ต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง   “การพัฒนาโครงการในศตวรรษที่ 21 ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการบูรณาการข้ามศาสตร์ ความเข้าใจเชิงระบบ และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง” ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรายุทธ กล่าว   โดย จุฬาฯ มุ่งสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่มีชีวิต (Living Learning Platform) ที่ตอบโจทย์ทั้งการออกแบบและบริหารโครงการระดับโลก พร้อมสร้างคน สร้างแนวคิด และสร้างอนาคตของเมืองไทยบนเวทีนานาชาติอย่างสง่างามและยั่งยืน   ด้าน ณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทร่วมมือพัฒนาหลักสูตรกับทางคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากปีที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับอย่างดียิ่งและประสบความสำเร็จอย่างมาก   ขณะที่ทุกโครงการของสยามพิวรรธน์ ได้ถูกพัฒนาด้วยวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัยนำเสนอคอนเซปต์และประสบการณ์แปลกใหม่ จนกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของประเทศที่มีผู้มาเยี่ยมเยือนกว่า 100 ล้านคนต่อปี   ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์ พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะและศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ตอกย้ำบทบาทการเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาส (Opportunity Platform)  เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วน ภายใต้โครงการสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (SIAM PIWAT Academy)  สถาบันการเรียนรู้และการบริหารจัดการที่นำองค์ความรู้ด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีก แลกเปลี่ยนกับภาคการศึกษาไทย   ขณะที่ ดร.สิทธิพร อิสระศักดิ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรโครงการ WORLD CLASS DESTINATION DEVELOPMENT เผยไฮไลต์การเรียนรู้ผ่านสถานที่จริงจาก 5 โครงการชั้นนำ โดยอธิบายถึงแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรพิเศษครั้งนี้ว่า หลักสูตรนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากการพัฒนาร่วมกันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่หลากหลาย โครงสร้างเนื้อหาสาระของหลักสูตรจะช่วยให้ผู้อบรมเข้าใจถึง   แนวการออกแบบธุรกิจ การกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินธุรกิจ การกำหนดรายละเอียดการออกแบบโครงการ การบริหารโครงการเชิงกลยุทธ์ แนวคิดการจัดการโครงการ การบริหารทรัพยากรกายภาพ จากการเรียนรู้เชิงลึกจากศึกษาดูงานจริง (Site visiting) จากกรณีศึกษาชั้นนำที่หลากหลายประเภทประโยชน์ใช้สอยทั้ง ศูนย์การค้า สำนักงาน ที่พักอาศัย โรงแรม และโครงการ Mixed-use ที่เป็นโครงการระดับ Mega project และการเรียนรู้ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติงาน (Project based leaning) จากสถานการณ์และประเด็นปัญหาจริงในแต่ละช่วงของการพัฒนาโครงการตลอดอายุ (Project life cycle) จากผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านและร่วมเรียนรู้ผ่านการะบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design thinking) เพื่อแก้ปัญหาสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ   “หลักสูตรนี้เหมาะกับบุคลากรจากหลายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการบริหารโครงการสถาปัตยกรรม การดำเนินธุรกิจเพื่อการท่องเที่ยวและบริการ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเกณฑ์หรือมีความประสงค์จะการเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น ต้องการความรู้ความเข้าใจเชิงบริหารและจัดการแบบองค์รวมมากขึ้น”   ขณะที่ สายงานที่เหมาะกับหลักสูตร ได้แก่ นักพัฒนาโครงการ นักบริหารโครงการ นักพัฒนาธุรกิจ สถาปนิก ผู้จัดการอาคาร วิศวกรโครงการ และประชาชนทั่วไปที่สนใจ   โดยผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมอบรม WORLD CLASS DESTINATION DEVELOPMENT ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้   ด้าน นาฎฤดี อาจหาญวงศ์ หัวหน้าคณะสายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า ผู้เข้าร่วมโครงการฯ นี้จะมีโอกาสเรียนรู้โมเดล AWC’s Lifestyle Destination ผ่านโครงการระดับแฟลกชิปที่กำลังพัฒนาอย่าง The Aquatique ที่ผสานการท่องเที่ยว โรงแรม การค้าปลีก และความบันเทิงเข้าด้วยกันเพื่อเป็น Destination รวมประสบการณ์หลากหลายที่พัทยา   รวมทั้งได้ประสบการณ์ตรงจากการศึกษาดูงานที่โรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย โดยจะเห็นถึงแนวคิดการพัฒนาในมิติต่างๆ ทั้งการออกแบบ การดำเนินงาน การบริการ และ การเชื่อมโยงกับบริบทของเมืองอย่างยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเสริมสร้างขีดความสามารถของ บุคลากรในอุตสาหกรรมไทยให้พร้อมแข่งขันบนเวทีโลกอย่างมีคุณภาพ   รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านนวัตกรรมยั่งยืน ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) โดยบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า หลักสูตร World Class Destination Development ยังสอดคล้องกับการดำเนินงานของศูนย์ RISC ที่มีเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านงานวิจัยและนวัตกรรม   ด้าน ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานคณะกรรมการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นว่าเมืองและชุมชนในอนาคตจำเป็นต้องได้รับการออกแบบและพัฒนาอย่างมีคุณภาพ บนพื้นฐานของความยั่งยืน ความคิดสร้างสรรค์ และการเข้าใจบริบทของพื้นที่ “การสนับสนุนหลักสูตรนี้ถือเป็นการร่วมสร้างบุคลากรคุณภาพ เพื่อสร้างนักออกแบบและนักพัฒนาที่พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับโลก”  ดร.ประทีป กล่าวพร้อมเสริมว่า “จากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะช่วยจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ ที่สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกและความต้องการของสังคมยุคใหม่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบเมืองที่ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”     ไฮไลต์หลักสูตร   ฟังการบรรยายและเสวนาจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เยี่ยมชมกรณีศึกษารูปแบบการดำเนินธุรกิจและแนวทางการบริหารจัดการโครงการชั้นนำระดับโลก เรียนรู้จากนักออกแบบ Flagship Store ระดับโลก ทำ Workshop – Project based leaning ภายใต้คำปรึกษาของผู้ทรงคุณวุฒิรับเชิญพิเศษ ประสานองค์ความรู้จากภาควิชาการและภาคธุรกิจจากหลากหลายวิชาชีพ ยกระดับและพัฒนาสายงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการสถาปัตยกรรมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน แบ่งปันและเรียนรู้นวัตกรรมโครงการการที่หลากหลายเตรียมพร้อมต่อความท้าทายในอนาคต ส่งเสริมแนวคิดการบริหารโครงการสถาปัตยกรรมเพื่อสร้างคุณค่าองค์กรสู่การแข่งขันระดับโลก รู้เท่าทันสถานการณ์และพร้อมรับมือปัญหาการบริหารโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ   โครงการนี้จัดอบรม ทุกวันเสาร์ ในระหว่างวันที่ 19 ก.ค. – 30 ส.ค. 2568 เวลา 9:00 – 16:00 น. จำนวนรวม 8 วัน ระยะเวลา 64 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการอบรม 49,500 บาท/ท่าน  สำหรับผู้ที่สนใจเปิดรับสมัครแล้ว ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568   Alternate-X สรุปให้    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับสยามพิวรรธน์และพันธมิตรอสังหาฯ เปิดหลักสูตรอบรม World Class Destination Development เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการออกแบบและบริหารโครงการระดับโลก โดยหลักสูตรเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมศึกษากรณีจริงจากโครงการชั้นนำในไทย มุ่งเสริมศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ให้สามารถแข่งขันในระดับสากล ตอบโจทย์การพัฒนาเมืองแห่งอนาคต ด้วยแนวคิดบูรณาการและความยั่งยืน เปิดรับสมัครถึง 30 มิ.ย. 2568 โดยอบรมทุกวันเสาร์ระหว่าง 19 ก.ค. – 30 ส.ค. 2568

June 4, 2025 / 0 Comments
read more

‘คิดให้แตกต่าง’ เจาะ 5 เทรนด์ธุรกิจ 2025 มุมมองจาก ‘ซีเค เจิง’ ฟาสต์เวิร์ค

BizKet

‘ซีเค เจิง’ ซีอีโอฟาสต์เวิร์คมองภาคธุรกิจไทยจะต้อง ‘คิดให้แตกต่าง’ จาก 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญ พร้อมแนะอย่าทำ ‘แบรนดิง’ เพื่อหวังความดังต้องมีสิ่งที่อยากแก้ปัญหาบางอย่างให้คนดู เพื่อสร้างแบรนให้ตัวเอง   ในงานมอบรางวัล ‘เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2025’ จัดโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)  และ 3 พันธมิตร กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ความรู้แก่เอสเอ็มอีที่เข้าร่วมฟังทั้งหน้างานและช่องทางออนไลน์   โดย ‘ซีเค เจิง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ตัวกลางระหว่างธุรกิจ/ผู้ว่าจ้างและฟรีแลนซ์ได้บรรยายพิเศษ (Special Talk) ในงานฯ กล่าวถึงประเทศไทยมีความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ได้อย่างรวดเร็ว อาทิ สมาร์ทโฟน ChatGPT แต่กลับไม่ค่อยมีวัฒนธรรมว่าเราต้องคิดค้นหรือสร้างเอง   “สมมติเราเปรียบเทียบประเทศต่างๆ กับเรื่องดินสอ อเมริกาก็คือประเทศที่คิดค้นดินสอ ญี่ปุ่นคือประเทศที่คิดค้นดินสอกด เพื่อแก้ Pain Point ของดินสอที่ต้องคอยเหลา จีนผลิตดินสอได้ถูกที่สุด อิตาลีทำดินสอให้สวยที่สุด สบายที่สุด แพงที่สุด ขณะที่ไทยเราเป็นเพียงผู้บริโภค”   โดยตั้งแต่อดีต ไทยคุ้นชินกับการเป็นศูนย์กลางทางการค้า (Trading Hub) ดังนั้น ปัจจุบันเราต้องปรับวิธีคิดใหม่ ไม่ใช่มุ่งแข่งขันการผลิตและขายสินค้าราคาถูก สิ่งที่ไทยทำได้ คือ “คิดให้แตกต่าง”   โดยยกตัวอย่างพลิกธุรกิจด้วยการคิดให้แตกต่าง จาก 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญ (Key Business Trends) ในปี 2025 ดังนี้   1.Niche products are winning สินค้าที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม คือ สินค้าที่กำลังได้รับชัยชนะ   Hoka เลือกทำตลาดเฉพาะ เช่น การขายรองเท้าปีนเขาที่ดีที่สุด ส่วนรองเท้าแบรนด์ On เน้นตลาด Customization เป็นรองเท้าเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคล ผ่านเทคโนโลยีการผลิตแบบล้ำ ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ดาวรุ่ง มัดใจผู้บริโภคในยุคที่พฤติกรรมเปลี่ยน และชิงส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์ใหญ่ได้   กระทั่ง แก้วเก็บอุณหภูมิแบรนด์ Stanley ที่ตอนแรกชูฟังก์ชันเก็บความเย็น เก็บความร้อนได้ พร้อมลวดลายที่ดูหนักแน่น เพื่อเจาะตลาดผู้ชายตกปลา ปีนเขา แคมปิ้ง ผจญภัย   แต่พอพบว่าผู้ชายไม่ค่อยซื้อแก้วแบรนด์ Stanley จึงปรับมาทำแก้วแบบสีพาสเทล พร้อมทั้งเปลี่ยนมุมมองจากการขายแก้ว มาเป็นการ “ขายแรงบันดาลใจให้แก่ผู้หญิงที่ต้องการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพผิวที่ดี” ด้วยการมีแก้วสวยๆ ทำให้บริษัทมีรายได้ถึง 750 ล้านเหรียญสหรัฐ พลิกวิธีการเจาะตลาดสินค้าที่ทุกคนต่างเคยมองว่าเป็น “Red Ocean” ขายยังไงก็ไม่รวย   2.Small luxury หรูหราแบบเล็กลง   หากเทียบวันนี้กับ 50 ปีที่แล้ว คนยุคใหม่ทำงานมากขึ้น แต่มีความสามารถในการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น บ้าน ลดน้อยลง เพราะหากจะซื้อบ้านหนึ่งหลัง ต้องเป็นหนี้ถึง 30 ปี พร้อมมีดอกเบี้ยต่อเนื่อง   แต่ผู้คนยังคงต้องการแสวงหา “ของขวัญ” ที่สามารถให้เป็นรางวัลตอบแทนการทำงานหนักของตัวเองแบบเป็นชิ้นเป็นอัน   เราจึงเริ่มเห็นเทรนด์ Small Luxury หรือความหรูหราที่ยังพอเข้าถึงได้ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่น กระเป๋าเดินทางใบละ 60,000 บาท มื้ออาหารแบบ Fine Dining ครีมกระปุกละ 25,000 บาท ไปจนถึงน้ำยาล้างมือขวดละ 1,200 บาทในช่วง COVID-19   3.Out of the box product variation strategy เป็นการตลาดที่นอกกรอบจากสินค้าของตัวเอง เช่น   กรณี AirBNB แพลตฟอร์มจองที่พัก ที่ว้าวมากในปี 2012 แต่ผู้บริโภคเริ่มไม่ว้าวเหมือนเดิม บริษัทจึงตัดสินใจนำกำไรตัวเองไปสร้างบ้านแบบว้าวๆ ปล่อยเช่าผ่าน AirBNB เช่น บ้านบาร์บี้ บ้าน Shrek ห้องเฟอร์รารี บ้านที่ลอยได้จริงๆ แบบในเรื่อง Up   หรือกรณีของ Burger King ที่ทำ The Real Cheese Burger ที่มีแต่ชีสล้วนๆ ออกมาให้ลูกค้าลอง ก็สามารถสร้างกระแสการตลาดให้คนจดจำ   4.Making boring products interesting ทำให้สินค้าที่คนมองข้ามน่าสนใจมากขึ้น เช่น   น้ำยาซักผ้า ที่ทุกแบรนด์มักสื่อสารแบบตะโกนด้วยสีสดๆ ฝาใหญ่ๆ เหมือนกันหมด แต่มีแบรนด์ในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Mozi Wash ที่เลือกสร้างความแตกต่างด้วยการ “กระซิบ” บอกแค่ว่าเป็นน้ำยาซักผ้า ใช้แพ็กเกจจิ้งที่เรียบง่าย แต่พอวางอยู่บนชั้นวางสินค้าเทียบกับแบรนด์อื่นที่แข่งกันตะโกน ก็ดูกลายเป็นสินค้าที่แตกต่างและโดดเด่นขึ้นมา   หรือแบรนด์น้ำดื่มในสหรัฐอเมริกา Liquid Death ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับต้น ๆ ด้วยการทำแพ็กเกจจิ้งเหมือนกระป๋องเบียร์สีดำ ขายความเท่ตอนดื่มน้ำให้แก่เหล่าเด็ก ๆ   5.Personal brand actually makes a huge difference เช่น   Salt Bae ที่ขายความแตกต่างด้วยท่าโรยเกลืออันเป็นเอกลักษณ์ หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง ที่ปัจจุบันมียอดการเข้าถึงใน Tiktok กว่า 47 ล้าน Instagram กว่า 40 ล้าน Youtube 32 ล้านและ Facebook กว่า 30 ล้าน โดยที่ไม่ได้ซื้อโฆษณา   “แบรนดิ้ง คือสิ่งที่สร้างความลำเอียง และคือสิ่งที่คนดูหรือลูกค้ามอบให้กับเรา ตอนขายสินค้า ต้องไม่ขายแค่ฟังก์ชันอย่างเดียว แต่ต้องขายความลำเอียงนี้ให้ได้ด้วย ความลำเอียงจะทำให้เราโดดเด่น   และที่สำคัญต้องอย่าทำ แบรนดิ้งเพื่อหวังความดัง คุณต้องมีคอนเทนท์หรือสิ่งที่อยากแก้ปัญหาบางอย่างให้คนดู ถึงจะมีโอกาสสร้างแบรนดิ้งให้ตัวเอง” Alternate-X สรุปให้ ‘ซีเค เจิง’ ซีอีโอ Fastwork ชี้ธุรกิจไทยต้อง ‘คิดให้แตกต่าง’ สู่อนาคต ยก 5 เทรนด์มาแรง: Niche, Small Luxury, Product Variation, Make Boring Interesting และ Personal Brand ย้ำไม่ควรทำแบรนดิ้งเพื่อความดัง แต่ต้องเริ่มจากสิ่งที่อยาก ‘แก้ปัญหา’ ให้คน เผยคนไทยถนัดใช้นวัตกรรมแต่ยังไม่ชินกับการสร้างธุรกิจให้โต ต้องเริ่มจากความเข้าใจพฤติกรรม-ความต้องการของผู้บริโภค

June 4, 2025 / 0 Comments
read more

‘พันธุ์ไทย’ ลงทุน 1.5 พันล. เปิด 600 สาขาใหม่ พากลุ่ม  PTG สู่เป้าหมาย 6 พันล.บาท

BizKet

ด้วยแนวคิดแบรนด์กาแฟพันธุ์ไทย ที่ชัดเจนพร้อมกับแผนการตลาดผ่านเมนูสร้างสรรค์ทุกไตรมาส ทำให้มียอดขายสูงถึง 30% ล่าสุดชวน ‘กระทิงแดง’ พัฒนา 4 เมนูใหม่ให้พลังดีด ด้วยหวังเข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ชาวเจนฯZ   สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มในไทยมีหลายปัจจัยผลักดันให้มีความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ โดยเฉพาะเทรนด์เครื่องดื่มชูกำลัง ด้วยผู้บริโภคต้องการพลังงาน (Energy) ควบคู่กับคุณประโยชน์ (Benefit) รวมถึงเทรนด์เครื่องดื่มผสมวิตามิน ที่ผู้บริโภค มักเลือกดื่มเพื่อเสริมความงาม (Beauty)   ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำแนวคิดแบรนด์ ‘พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้ ทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้” โดยไม่หยุดสร้างสรรค์และเป็นผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ล่าสุดบริษัทฯ ร่วมกับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลังให้พลังงาน ‘กระทิงแดง’ เปิดตัวแคมเปญ ดีดศาสตร์ (Energology Drinks) มาสร้างสีสันและความสนุกในตลาดเครื่องดื่ม   โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกันภายใต้ 4 เมนูศาสตร์แห่งเครื่องดื่มเพิ่มพลังงานสายพันธุ์ใหม่ ด้วยชื่อเมนูสไตล์ยาดองเอนเนอร์จี ดริงค์ แบบไทย เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มผู้ต้องการพลังงาน คนรุ่นใหม่ หนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศ และนักศึกษา ที่มองหาเครื่องดื่มที่ให้ทั้งรสชาติและพลังงาน และส่วนผสมที่มีประโยชน์   “ความร่วมมือครั้งนี้ ยังเพื่อสร้างประสบการณ์ความดีดขั้นสุดให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้รู้สึกตื่นตัว สดชื่น และกระปรี้กระเปร่า คาดจะเพิ่ม Traffic ในร้านพันธุ์ไทยอย่างน้อย 20% ขึ้นไป” สุขวสา กล่าว   โดยเครื่องดื่มดีดศาสตร์ทั้ง 4 เมนู ได้แก่   ช้างยกกำลังทิง (Espresso Energy Boost with Kratingdaeng) – เมนูดีดขั้นสุดแบบเต็ม ราคา 79 บาท ทิงซ่าโดดกำแพง (Lime Soda with Kratingdaeng) – ความซาบซ่าสุดคลาสสิค ได้ฟีลสดชื่น บูสท์เอนเนอร์จียามบ่าย ราคา 69 บาท กำลังช้างสาว (Lychee Yogurt Smoothie Plus Collagen with Kratingdaeng) – เครื่องดื่มผสมคอลลาเจน สำหรับสาวๆ สายบิวตี้ ปลุกความเฟรช อ่านหนังสือดีกได้สบาย ราคา 89 บาท ช้างกระทีบงาน (Apple Yogurt Smoothie Plus Vitamin B12 with Kratingdaeng) -โยเกิร์ตสมูทตี้ ทั้งอร่อย ทั้งสดชื่น พร้อมลุยงานได้ทั้งวัน ราคา89 บาท   สุขวสา เสริมว่า การคอลแล็บส์กับทางกระทิงแดงครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแผนการสร้างสรรค์ตามเทรนด์ผู้บริโภคโดยเฉพาะเจน Z ที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ ชอบ ดี.ไอ.วาย (DIY) เมนูเครื่องดื่มใหม่ๆ ออกมาซึ่งสอดคล้องกับพันธุ์ไทยและกระทิงแดงที่ต้องการขยายฐานลูกค้าเจนเนอเรชั่นซี (Z Generation) ให้มากขึ้นเช่นกัน จากปัจจุบันฐานลูกค้าใหญ่ของพันธุ์ไทย คือ เจน X และ Y ราว 60% เจน Z ประมาณ 10-15% และที่เหลือเป็นกลุ่มสูงวัย   ขณะที่ในแต่ละปี กาแฟพันธุ์ไทย จะมีเครื่องดื่มเมนูพิเศษออกมา 4 แคมเปญหลัก โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นเมนูที่สร้างสรรค์จากขนมไทย และเมนูที่ส่งเสริมผลผลิตจากเกษตรไทย โดยในปีที่ผ่านมา กาแฟพันธุ์ไทย มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 30% ทั้งในแง่ของยอดขายและทราฟฟิก   “จากมียอดขาย 150 แก้วต่อวันต่อสาขา เพิ่มเป็น 200 แก้วต่อวันต่อสาขาในปัจจุบัน ถึงสิ้นปีนี้เชื่อว่าจะเพิ่มเป็น 300 แก้วต่อวันตาอสาขาให้ได้” สุขวสา กล่าวพร้อมเสริมว่า      สำหรับการเติบโตดังกล่าว มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ   จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปีก่อนอยู่ที่ 1,580 สาขา ในปีนี้วางแผนเพิ่มอีก 600 สาขา ใช้งบลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 2.5 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการลงทุนอย่างน้อย 1,500 ล้านบาท ยอดขายจากสาขาเดิมที่เติบโตขึ้น การเปิดตัวพรีเซนเตอร์คู่ล่าสุด ‘พี่จอง-คัลแลน’ ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจพันธุ์ไทย เป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันรายได้รวมของธุรกิจไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) ภายใต้บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ในปีนี้ส่ามารถทำรายได้ 6,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้     ‘กระทิงแดง’ ขยายเจนฯZ   ด้าน วรวุฒิ พงศ์ชินภัค ประธานผู้บริหารสายงานขายและการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า กระทิงแดง วางแนวทางขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์การตลาดร่วมกับพันธมิตรใหม่อย่างต่อเนื่อง   สำหรับความร่วมมือระหว่างกาแฟพันธุ์ไทยครั้งนี้ เป็นการรวมพลังข้ามสายพันธุ์ของสองแบรนด์ไทยที่แข็งแกร่ง ในแคมเปญดีดศาสตร์ ดังกล่าวยังเน้นความผุกพันธ์(Engagement) ในกลุ่มเป้าหมายเจนฯ Z โดยรวมพลังความดีดผ่าน 4 เมนูเครื่องดื่มดีดศาสตร์ พร้อมจัดกิจกรรม Road Show เสิร์ฟประสบการณ์ความดีด อาทิ ตลาดนินจา ชลบุรี ตลาดเซฟวัน โคราช   ”ฐานลูกค้าหลักของกระทิงแดงคือกลุ่มคนวัยทำงาน หรือ กลุ่มเจนฯ X และ Y เป็นหลัก ซึ่งการคอลแล็บส์กาแฟพันธุ์ไทย ยังเป็นครั้งแรกที่ร่วมมือกันในส่วนของกลุ่มเครื่องดื่มที่ต้องการสร้างความแปลกใหม่ และสร้างฐานลูกค้ากลุ่มเจนฯ Z ให้กับแบรนด์กระทิงแดง”   ขณะที่ภาพรวมรายได้ของกระทิงแดง ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับตลาดเครื่องดื่มให้พลังงานมูลค่า 22,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตราว 3% จากที่คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีว่าจะโตได้ 6%   Alternate-X สรุปให้ พันธุ์ไทยลงทุน 1.5 พันล้านบาท เปิด 600 สาขาใหม่ในปี 2568 ผนึกกำลัง ‘กระทิงแดง’ เปิดตัวเมนู ‘ดีดศาสตร์’ 4 สูตรใหม่ ขยายฐานพร้อมสร้างเอนเกจเมนต์คนรุ่นใหม่ ชาวเจนฯ Z ทั้งเสริมพลัง-เติมคอลลาเจน คาดดึงทราฟฟิกเพิ่ม 20% หนึ่งในกลยุทธ์หนุนรายได้ธุรกิจ Non-Oil ของ PTG แตะ 6 พันล้านบาทในปีนี้

June 4, 2025 / 0 Comments
read more

หนังส่งคน-คนส่งของ ซีรีส์ไทย ‘สงครามส่งด่วน’ พาชื่อ ’คมสันต์ ลี‘ กลับสู่จอเรดาร์

BizKet

กลายเป็นไวรัล ที่ถูกพูดถึงอย่างรวดเร็วในสื่อโซเชียลแทบทุกแฟลตฟอร์ม หลัง Netflix ปล่อยซีรีส์ไทย ‘สงครามส่งด่วน’ หรือ Mad Unicorn ออกมาให้รับชมวันแรก 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา และเป็นที่นิยมของคนไทยจนขึ้นเป็นอันดับ 1 ภายในเวลา 24 ชั่วโมง หลังเปิดตัว   สำหรับซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน’  เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง  Netflix ที่ผลิตโดย GDH ฝีมือการกำกับของ ‘ไก่-ณฐพล บุญประกอบ’  กับพล็อตเรื่องเส้นทางธุรกิจขนส่งของ ‘ซีอีโอเด็กดอย‘ เมืองไทยที่พาธุรกิจสตาร์ทอัป ที่เขาและทีมสร้างขึ้นเดินไปได้ไกลถึงระดับ ’ยูนิคอร์น‘ ตัวแรกที่จะต้องมีมูลค่าธุรกิจระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 30,000 ล้านบาท   All In ‘เทหมดหน้าตัก’   ความสนุกและน่าสนใจของซีรีส์ สงครามส่งด่วนชิ้นนี้ ได้หยิบเค้าโครงเรื่องจากชีวิตจริงของ ‘คมสันต์ ลี’  ที่ผ่านความยากลำบากมาตั้งแต่วัยเด็ก แต่ด้วยแพสชั่น ‘อยากเป็นคนมีเงิน’ ทำให้เขาถีบตัวเองขึ้นมาจากหลุมแห่งต้นทุนชีวิตชาวดอยที่มีน้อยนิด แต่กลับมีราคาค่ากินอยู่ที่ต้อง ‘จ่ายสูง’ กว่าคนเมือง   ในซีรีส์ชิ้นนี้ ยังสะท้อนคาแรกเตอร์ของ ’คมสันต์ ลี‘ เป็นอย่างดีว่าเขาพร้อมจะ All  In ‘เทหมดหนัาตัก’ กับไพ่ที่มีอยู่ในมือของเขา   ถือเป็นความกล้าต่อการเดิมพันสูงในเกมที่เขาพร้อมจะเสี่ยง ซึ่งรวมถึงการสร้างธุรกิจขนส่ง ในคอนเซปต์ ‘เอ็กซ์เพรสราคาประหยัดที่ทุกคนเข้าถึงได้’ ซึ่งเขาได้แนวคิดนี้มาจากธุรกิจขนส่งรายหนึ่งในประเทศจีน ที่คิดค่าส่งเริ่มต้นราคา 5 หยวนเท่านั้นแต่ส่งไกลทั่วประเทศ   และในฐานะสตาร์ทอัป แน่นอนว่าจะต้องใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนธุรกิจ ซึ่งเขาได้หุ้นส่วนสายเทคโนโลยีชาวจีน มาร่วมงานพร้อมพัฒนาแอปพลิเคชั่น ทั้งสำหรับ ผู้ใช้งาน ไรเดอร์ทีจัดส่งพัสดุ  และทีมขายแฟลชฯ ที่เคลมว่าแอปฯเดียว มีครบจบทุกอย่าง ทั้ง   Flash Radar ตัวช่วยสรุปภาพรวมการขายและวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า Parcel Tracking ติดตามสถานะพัสดุ Door to Door เรียกเข้ารับฟรี กี่ชิ้นก็เข้ารับไม่มีขั้นต่ำ Flash Family ส่งพัสดุ สะสมพอยต์ แลกของพรีเมียม Live Chat ติดต่อเจ้าหน้าที่ สอบถามบริการ   ขณะที่ เรื่องราวชีวิตจริงของ ‘คมสันต์ ลี’ ได้ถูกถ่ายทอดเส้นทางธุรกิจไว้ค่อนข้างละเอียดผ่านการสัมภาษณ์ในพอดแคสต์ The Secret Sauce เมื่อ 4 ปีก่อน ในช่วงไทม์ไลน์เดียวกับที่ Flash Express ประกาศปิดดีลระดมทุนรอบซีรีส์ D+ และซีรีส์ E ไปเมื่อกลางปี 2564 แรงหนุนสำคัญที่พาให้บริษัทมีมูลค่าแตะ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33,500 ล้านบาท) และทะยานสู่การเป็นสตาร์ตอัปยูนิคอร์น ‘รายแรกของไทย’ ได้สำเร็จ   ทิ้งช่วง 4ปีผ่านไปในเดือนเดียวกันนี้เองที่ ซีรีส์ ’สงครามสงด่วน‘ ถูกปล่อยสตรีมมิ่งบน Netflix พอดีในปีนี้ เช่นกัน   ปัจจุบัน ’คมสันต์ ลี‘ นั่งในตำแหน่ง ซึอีโอ แฟลช กรุ๊ป (Flash Group)ผู้ให้บริการ E-commerce สัญชาติไทยแบบครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทแม่ Flash Express  ซึ่งปิดการระดมทุนรอบซีรีส์ F ไปเมื่อเดือน ธันวาคม 2565  ไปได้กว่า 15,000 ล้านบาท (ส่วนหนึ่งมากจากผู้ถือหุ้นเดิมลงทุนเพิ่ม) ทำให้มูลค่า Flash Group แตะ 70,000 ล้านบาท ไปแล้ว   คมสันต์ บอกผ่านในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ว่า “ธุรกิจนี้ถ้าไม่ออลอินผมจะมีทางถอย แต่ถ้าไม่มีทางถอยผมจะสู้หมดหน้าตัก”   ใช้ทุกโอกาสที่มี   ขณะที่เนื้อหาในซีรีส์  ‘สงครามส่งด่วน’ ผู้กำกับยังสะท้อนความชัดของคาแรกเตอร์ ’คมสันต์ ลึ’  ที่ ‘กล้าเสี่ยงและเอาจริง’ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับเส้นเรื่องการเริ่มทำธุรกิจของเขาผ่านการสัมภาษณ์พิเศษในพอดแคสต์ ชิ้นนี้ด้วยเช่นกัน   โดยในบางส่วนของการสนทนาระหว่าง เขา และ ผู้ดำเนินรายการ (เคน- นครินทร์ วนกิจไพบูลย์)  ‘คมสันต์’ ยังเล่าถึงที่มาแบรนด์ Flash Express ซึ่งใช้โลโก ‘สายฟ้า’ เป็นสัญลักษณ์บริษัท ซึ่งอาจทำให้หลายคนเข้าใจว่าต้องการสื่อถึงความรวดเร็วในการจัดส่งพัสดุ   ขณะที่ คมสันต์ บอกว่า สัญลักษณ์นี้ยังมึอีกนัยหนึ่งที่ซ่อนไว้คือ ‘สายฟ้า’ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีพายุฝนฟ้า คะนอง เช่นเดียวกับธุรกิจ Flash Express ก็เข้ามาในช่วงที่ไม่ราบเรียบและเต็มไปด้วยปัญหา แต่ธุรกิจก็ยังเกิดและเติบโตขึ้นมาได้จนไปสู่เส้นทาง ‘ยูนิคอร์น’ ตัวแรกของไทย ได้ในที่สุดเช่นกัน   “ธุรกิจนี้ดุกว่าที่คิด ด้วยผมเปิดราคาที่ยี่สิบห้าบาท ตอนแรกไม่มีใครใช้ คนกลัวว่าทำราคานี้จะเอาของเขาหนี เพราะเป็นบริษัทโนเนม ในตอนนั้นเรายังให้บริการแต่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่โชคดีที่เราได้ไปรษณีย์ไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งร่วมให้บริการจัดส่งสินค้าทั่วไทยตั้งแต่ในวันนั้นจนถึงปัจจุบัน” คมสันต์ บอก   และจากไมตรีที่ได้รับจากพี่ใหญ่ ‘ไปรษณีย์ไทย’ ให้การสนับสนุนธุรกิจคนตัวเล็กอย่าง Flash Exprress ในครั้งนั้น ยังทำให้เขาใช้โมเดลเดียวกันนี้เป็นโอเปเรชั่นระบบให้กับธุรกิจบริษัทขนส่งรายเล็กอื่นๆที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น อีกด้วย   จากการสัมภาษณ์ในครั้งนั้น คือ เรื่องราวของ Flash Express บนเส้นทางสู่ยูนิคอร์นรายแรกของไทยที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน และในวันนี้ Netflix  ได้นำซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน’ มาเผยแพร่ผ่านสตรีมมิง ที่ชวนให้หลายคนต่างนึกถึงชื่อ ‘คมสันต์ ลี’ ในฐานะผู้ก่อตั้งธุรกิจขนส่งหมื่นล้าน ให้กลับมาอยู่ในจอเรดาร์ของชาวโซเชียล  ได้อีกครั้ง   และเป็นที่น่าสนใจว่า ‘บิ๊ก มูฟ’ จากนี้ไปของ Flash Express จะไปต่อในทิศทางใด ท่ามกลางสมรภูมิส่งด่วนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค ที่อาจทะยานให้  Flash Express ไปสเต๊ปต่อไปในระดับโลก    จากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564–2566) บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด มีรายได้รวมและผลประกอบการดังนี้ ในปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 17,607 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5.6 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2565 รายได้ลดลงเหลือ 14,805 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 2,186 ล้านบาท และในปี 2566 รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 20,093 ล้านบาท แต่ยังคงขาดทุนสุทธิ 559 ล้านบาท   Alternate-X สรุปให้   หลังจาก Netflix ปล่อยซีรีส์ไทย ‘สงครามส่งด่วน’ ได้สร้างกระแสฮิตในเวลาเพียงช่วงข้ามคืน ด้วยพล็อตเรื่องเล่าเส้นทางชีวิตจริงของ ‘คมสันต์ ลี’ ผู้ก่อตั้ง Flash Express จากเด็กดอย สู่ซีอีโอสตาร์ทอัปยูนิคอร์น รายแรกของไทย กับแนวคิดธุรกิจขนส่งราคาประหยัดที่ทุกคนเข้าถึงได้ จากแพสชั่น ‘All In’ เทหมดหน้าตัก ที่พาเรื่องราวและชื่อของเขากลับมาอยู่ในเรดาร์สังคมอีกครั้ง                

June 4, 2025 / 0 Comments
read more

‘แม็กซ์ฟู้ด’ ครั้งแรกในโลกไอศกรีมลูกแตงโมมินิ คนไทยไม่ได้กินส่งออกเท่านั้น

BizKet,  EcoVative

แม็คซ์ฟู๊ด ไอศกรีม 1,000 ล้าน คว้าเบอร์ 9 ผู้ส่งออกส่งออกไอศกรีมผลไม้ไทยกว่า 3.4 พันล้านบาทโตปีละ 11% ครองตลาดเอเชียและเป็นอันดับสี่ของโลก ทำออเดอร์ล้นเร่งแผนเพิ่มผลิตกำลังผลิตขยายโรงงาน   ฐานพงศ์ จุ้ยประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ตลาดการส่งออกไอศกรีมและความนิยมผลิตภัณฑ์ไอศกรีมผลไม้ไทยในตลาดต่างประเทศ มีแนวโน้มได้รับการยอมรับอย่างสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ไอศกรีมผลไม้ไทยที่มีรสชาติดี มีความหลากหลายและแปลกใหม่   โดยล่าสุด ประเทศไทยครองอันดับ 1 ประเทศผู้ส่งออกไอศกรีมของภูมิภาคเอเชีย และเป็นอันดัน 4 ของโลกได้อย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ผ่านมา (2563-2567) อยู่ที่ปีละ 106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.486 พันล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ย 11% ต่อปี   จากแนวโน้มดังกล่าว ยังสอดคล้องการเติบโตของ ‘แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป’ ธุรกิจขยายตัวต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผลักดันให้บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและส่งออกไอศกรีมอันดับ 9 ของไทย   โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็น   ไอศกรีมซอร์เบในลูกผลไม้มีสัดส่วนถึง 70% โมจิไอศกรีม 20% ไอศกรีมซอร์เบผลไม้ชนิดถ้วย 10%   “บริษัทฯ แบ่วสัดส่วนการขายในต่างประเทศ 99% และในประเทศเพียง 1%” ฐานพงศ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า     อย่างไรก็ตามจากปัญหาด้านภูมิอากาศและภัยแล้ง ทำให้ผลไม้ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตมีไม่เพียงพอ ทำให้แม้จะมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถผลิตส่งให้กับลูกค้าได้   ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แก้ไขปัญหาและป้องกันความเสี่ยงด้านวัตถุดิบไม่เพียงพอ รวมถึงเพิ่มศักยภาพและกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้นในทุกปี โดยดำเนินการพร้อมกันใน 2 ทาง คือ   แนวทางแรก บริษัทฯ ลงทุนกว่า 30 ล้านบาท เพื่อกพัฒนาพันธุ์และปลูกสับปะรดวัตถุดิบสำคัญของผลิตภัณฑ์หลักในจังหวัดเชียงรายกว่า 1,300 ไร่ และ สระบุรี กว่า 100 ไร่ ซึ่งจะให้ผลผลิตรวมตั้งแต่ปลายปี 2567 ถึงสิ้นปี 2568 ที่ประมาณ 10 ล้านชิ้น   นอกจากนี้ ยังทำสัญญารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร (Fame Contact) อีก 30 ราย คิดเป็นพื้นที่ปลูกอีกประมาณ 1,000 ไร่ โดยเป็นผลไม้ชนิดต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตไอศกรีม เพื่อเก็บเข้าห้องเย็นของโรงงานที่มีความจุถึง 1,000 ตัน ซึ่งจะทำให้สามารถผลิตไอศกรีมให้แก่ลูกค้าได้ตลอดปี แก้ทั้งปัญหาการขาดวัตถุดิบและได้ต้นทุนที่ลดลง   “เพือจัดการแก้ไขปัญหาและป้องกันความเสี่ยงด้านวัตถุดิบ” ฐานพงศ์ กล่าว     ส่วนแนวทางที่สอง ด้านการผลิต แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป ลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ในการขยายและก่อสร้างโรงงานใหม่ จาก 2,000 ตรม. เป็น 5,000 ตรม. โดยเป็นการเพิ่มทั้งศักยภาพ ประสิทธิภาพ และกำลังการผลิตให้สูงขึ้นถึง 3 เท่าตัว จากเดิมวันละ 30,000 ชิ้น เป็น 90,000 ชิ้น หรือ จาก 350 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี เป็น 800 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี   พร้อมสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ไอศกรีมใหม่ให้กับบริษัทฯ ที่มีทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัสที่โดดเด่นเป็นจุดแข็งที่แตกต่างและเป็นที่ต้องการบริโภคจากลูกค้าทั่วโลก   โดยโรงงานใหม่ของ แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป ถือเป็นโรงงานผลิตไอศกรีมสมัยใหม่ที่อัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยระบบนิเวศน์ในการผลิตและกำจัดของเสียอย่างสมบูรณ์ มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงและมุ่งเน้นในการสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง   อาทิ นวัตกรรมใหม่ที่เปลี่ยนการใช้ไฟฟ้าเพื่อแช่แข็งไอศกรีมมาใช้ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซน์หมุนเวียนแทน เพื่อย่นระยะเวลาการผลิตจาก 4 วัน เหลือ 12 นาที สามารถประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้าจากเดือนละกว่า 1 ล้านบาท เหลือ 2 แสนบาทต่อเดือน   นอกจากนี้ ยังติดตั้งโซล่าร์เซลล์ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อเป็นพลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน การจัดการขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) การหมุนเวียนน้ำเสียแบบ 100% ฯลฯ จากการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้จัดการกระบวนการผลิต โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ทำให้บริษัทฯ ได้รับรางวัล CEO Economass Award 2024 จากนายกรัฐมนตรี และรางวัลบุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจแห่งปี 2024 ภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จากมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยอีกด้วย   ฐานพงศ์  กล่าวต่อ สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของปีนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ไอศกรีมซอร์เบในลูกแต่งโมไซน์มินิ (Mini Watermelon Sorbet Ice Cream) ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ความพิเศษของผลิตภัณฑ์ใหม่นี้คือ การพัฒนาพันธุ์และผลผลิตของแตงโมให้มีขนาดเล็ก แบบไม่มีการตัดต่อพันธุกรรม เพื่อใช้เป็นภาชนะลูกแตงโมสดสำหรับใส่ไอศกรีม โดยหลังจากมีการนำเสนอกับลูกค้าในหลายประเทศก็ได้รับความสนใจมีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก โดยส่งออกไปยังประเทศเกาหลีก่อนเป็นประเทศแรก   สำหรับแผนการทำตลาด ยังมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยส่งออกและจัดจำหน่ายอยู่ 7 ประเทศ คือ   เกาหลี จีน ซาอุดิอาระเบีย ฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรเลีย เวียดนาม   พร้อมวางเป้าหมายในการขยายตลาดใหม่เพิ่มเติม คือ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง อาฟริกา และสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องรอความชัดเจนของผลการเจรจาข้อตกลงด้านภาษีระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐอีกครั้ง   “มาตรฐานโรงงานใหม่ถือเป็นแต้มต่อที่สำคัญอย่างยิ่งในการขยายตลาดต่างประเทศเนื่องจากผู้จัดจำหน่ายและผู้บริโภคต่างให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ ที่ต้องใส่ใจในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน” ฐานพงศ์ กล่าว   นอกจากการรับจ้างผลิต (OEM) และขยายตลาดในประเทศแล้ว ในปีนี้ทางบริษัทฯ ยังได้มีการเปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองในชื่อ แม็คซ์ เฟรช (MaxFresh) อีกด้วย โดยจะรุกตลาดยุโรปและอเมริกา ซึ่งคาดว่ารายได้รวมทั้งรับจ้างผลิต (OEM) ตลาดในประเทศ และตลาดการส่งออก ภายใต้ผลิตภัณฑ์ในแบรนด์  แม็คซ์ เฟรช ปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาศ์ ณ 10% Alternate-X สรุปให้ แม็คซ์ฟู๊ด โตแตะพันล้านรับผู้ส่งออกไอศกรีมผลไม้ไทยอันดับ 9 ของประเทศ และไทยยังครองอันดับหนึ่งตลาดเอเชีย และอันดับ 4 ของโลก พร้อมแผนขยายกำลังผลิตเพิ่มเน้นนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน รับออเดอร์ล้น-รับดีมานด์ต่างประเทศ ปีนี้เปิดตัว ‘ไอศกรีมในลูกแตงโมมินิ’ ครั้งแรกของโลก ส่งออกเกาหลี วางแผนขยายตลาดตะวันออกกลาง-ยุโรป-อเมริกา เพิ่มด้วยแบรนด์ใหม่ แม็คซ์ เฟรช

June 3, 2025 / 0 Comments
read more

‘สหพัฒน์’ ขยับ ตลาดส่งออกอาหาร ’ไฟน์ ฟู้ด’ รับเทรนด์ผู้บริโภคพรีเมียม

BizKet

จบงาน THAIFEX–Anuga Asia 2025 ไปแล้ว อีกหนึ่งเวทีใหญ่ที่ สหพัฒนพิบูล หรือ SPC ร่วมจัดแสดงในโซน Fine Food เพื่อขยายตลาดครั้งใหญ่ในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่   บริษัทสพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ ร่วมแสดงสินค้าในงาน THAIFEX–Anuga Asia 2025: BEYOND Food Experience จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่ผ่านมา   สำหรับงานฯ ในปีนี้ เป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญ เพื่อโชว์ศักยภาพ SPC ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมเปิดโอกาสหารือความร่วมมือทางธุรกิจ และนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับโลกภายใต้แบรนด์ชั้นนำต่างๆ ในเครือ   ในปีนี้ SPC ได้นำผลิตภัณฑ์ไฮไลต์เข้าร่วมจัดแสดงภายในโซน FINE FOOD ที่พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ในตลาดอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อขยายตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะ   โดยมีสินค้าทำตลาด หมวดอาหาร 2 แบรนด์   ‘iMee’ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป: เปิดตัวสินค้าใหม่ รสชาติ Hot N’ Spicy Chicken บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสไก่เผ็ด เส้นหนานุ่มสไตล์เกาหลี   ‘South Sea’  : ปลาซาบะในซอสสไตล์ญี่ปุ่น 3 รสชาติ และปลาซาร์ดีนกระป๋องในซอสมะเขือเทศรสเข้มข้น      และสินค้าหมวดเครื่องดื่ม 3 แบรนด์   ‘Mont Fleur’ : น้ำแร่ธรรมชาติ 100%   ‘BSC SOY’ : เครื่องดื่มน้ำนมถั่วเหลืองสูตรสุขภาพ   ‘Maxi’ : เครื่องดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว เติมความสดชื่นด้วยโซดา     โดยภายในบูธ SPC ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ ทั้งการทดลองชิมสินค้าใหม่ก่อนใคร รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายที่มีโปรโมชัน ซึ่งได้การตอบรับอย่างดีในวันจำหน่ายปลีก   ขณะที่ การร่วมงานฯ ของ SPC ในปีนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก และการผลักดันนวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค ด้วย   รู้จัก!! ตลาดอาหาร ไฟน์ฟู้ด (Fine Food)   หมายถึง ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูง ที่คัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน มีกระบวนการผลิตที่เฉพาะตัว หรือผลิตในรูปแบบแฮนด์เมด (handcrafted) โดยมีจุดเด่นที่รสชาติ ความเป็นเอกลักษณ์ และสร้างประสบการณ์การบริโภค ซึ่งสินค้าในตลาดนี้ ครอบคลุมตั้งแต่อาหารนำเข้า อาหารเฉพาะถิ่น อาหารออร์แกนิก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหารจากงานฝีมือ ตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มพรีเมียมที่มีรสนิยมและพร้อมจ่ายในราคาสูงเพื่อคุณภาพที่ดีกว่า   อ้างอิง สมาคมอาหารเฉพาะทางแห่งสหรัฐอเมริกา (Specialty Food Association). What is specialty food? Euromonitor International. (2566), Premium and Fine Foods Market Overview   Alternate-X สรุปให้ สหพัฒนพิบูล (SPC) ร่วมแสดงสินค้าในงาน THAIFEX–Anuga Asia 2025 โซน Fine Food เน้นขยายตลาดสินค้าคุณภาพสูง ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยงานฯนี้ มีไฮไลต์สินค้าอาหาร ‘iMee’, ‘South Sea’ และเครื่องดื่ม ‘Mont Fleur’, ‘BSC SOY’, ‘Maxi’ พร้อมโชว์นวัตกรรมอาหารและกิจกรรมทดลองชิมและโปรโมชันในบูธ สะท้อนบทบาท SPC ในการผลักดันแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก  

June 3, 2025 / 0 Comments
read more

โมเดลใหม่ ‘เพาเวอร์บาย 3.0’ เปิด ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’ รับกำลังซื้อยุคดิจิทัล

BizKet

เพาเวอร์บาย  พลิกโฉมสาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เปิดตัวโมเดล “Power Buy 3.0” เป็นมากกว่าร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว  สู่ยุคใหม่ไลฟ์สไตล์เทคโนโลยี-ดิจิทัล   สุวิณ โกษีอำนวย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า เพาเวอร์บาย ดำเนินการปรับโฉมครั้งใหญ่สาขา ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’ ด้วยโมเดลรูปแบบใหม่ ‘Power Buy 3.0’ ด้วยแนวคิดหลัก ‘ศูนย์รวมเทคโนโลยีเพื่อชีวิต’ (Technology for Life) ด้วยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมล้ำสมัย และบริการคุณภาพ พร้อมดิจิทัลโซลูชันแบบครบวงจร   “โมเดลนี้ เพื่อยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ และมั่นใจช่วยกระตุ้น ทราฟฟิกภายในร้านเพิ่มขึ้น 20%” สุวิณ กล่าวพร้อมเสริมว่า     สำหรับ การปรับโฉมเพาเวอร์บาย สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าดังกล่าว ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจครึ่งปีหลัง 2568 โดยโมเดลรูปแบบใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ Power Buy 3.0 นี้ จะเน้นจุดเด่นด้านความเป็น ‘ศูนย์รวมเทคโนโลยีเพื่อชีวิต’ มุ่งตอบโจทย์ทุกด้านให้กับห้กับลูกค้า ทั้งคุณภาพสินค้าและการบริการที่คุ้มค่า   ขณะเดียวกัน ยังเป็นการยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ Omni-channel แบบไร้รอยต่อ ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ภายใต้แนวคิดหลัก ‘เช็คของที่ชอบ ช้อปของที่ใช่’ ซึ่งสะท้อนความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล อีกด้วย   สุวิณ กล่าวต่อถึงกลยุทธ์ Customer-Centric Experience ยังได้นำข้อมูลลูกค้าเชิงลึกในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกมาวิเคราะห์อย่างรอบด้าน พบว่า สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เป็นหนึ่งในสาขาที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น มียอดทราฟฟิกดีเป็นอันดับ 2 รองจากสาขาเซ็นทรัลเวิลด์   นอกจากนี้ ยังพบว่าทำเลนี้ยังยังมีกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ประกอบกับจุดแข็งของพื้นที่ ‘ปิ่นเกล้า’ เป็นศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ และแหล่งเศรษฐกิจสำคัญของฝั่งตะวันตก รายล้อมด้วยชุมชนขนาดใหญ่ หมู่บ้านระดับไฮเอนด์ ศูนย์การค้า และสถานศึกษาชั้นนำ เป็นศูนย์กลางของกลุ่มเป้าหมายสำคัญ อาทิ ครอบครัวเมือง (Urban Family), คนวัยทำงานระดับกลางถึงสูง และนักศึกษารุ่นใหม่   “ด้วยองค์ประกอบดังกล่าว ทำให้สาขานี้จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็น สาขานำร่อง สำหรับการปรับโฉมครั้งสำคัญ” สุวิณ กล่าว   สำหรับบรรยากาศภายในร้าน ได้มีการขยายพื้นที่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นครอบคลุมกว่า 2,200 ตารางเมตร พร้อมออกแบบฟังก์ชันการใช้งานให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การช้อปปิ้งของผู้บริโภคยุคใหม่ ทุกกล่ม ทุกเจนเนอเรชั่นย่านปิ่นเกล้า-ฝั่งธน     โดยมีไฮไลต์สำคัญอย่าง Experience Zone ให้ลูกค้า สามารถทดลองใช้สินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ เสริมด้วยโซนสินค้าเฉพาะทางที่กำลังได้รับความนิยม อาทิ   Smart Home Game & Gadget Health Tech   ตลอดจนกลุ่มสินค้า Eco Friendly ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน   นอกจากนี้ ยังเปิดตัว AIS Shop ในรูปแบบ Shop-in-Shop ครั้งแรกของเพาเวอร์บาย ที่รวบรวมบริการและโซลูชันด้านการสื่อสารไว้อย่างครบถ้วน เพิ่มความน่าสนใจด้วยโซนไลฟ์สไตล์เทคโนโลยีจากแบรนด์ชั้นนำ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสนวัตกรรมล่าสุดอย่างใกล้ชิด พร้อมนำสินค้าครบทุกประเภททั้ง ทีวี เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน เพื่อตอบสนองทุกความต้องการในชีวิตประจำวันได้อย่างครบวงจร อาทิ   Samsung LG SharkNinja Toshiba     สุวิณ กล่าวว่า เพาเวอร์บาย ยังวางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 โดยเตรียมเปิดสาขาใหม่ที่ เซ็นทรัล กระบี่ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี พร้อมวางแผนทยอยปรับโฉมใหม่ในสาขาเดิมเพิ่มเติมอีก 9 แห่งทั่วประเทศ อาทิ เซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่, แฟชั่นไอซ์แลนด์, โรบินสัน ถลาง และเซ็นทรัล โคราช เพื่อต่อยอดการยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งของลูกค้าให้ครอบคลุมทุกมิติ และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง   ทั้งนี้ ในโอกาสเปิดโฉมใหม่สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดด้วยโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ – 25 มิ.ย. 2568 กับดีลคุ้มค่า อาทิ   สินค้าราคาพิเศษลดสูงสุด 51% ช้อปครบ 1,000 บาทขึ้นไป รับคูปองส่วนลดมูลค่า 200 บาท ช้อปครบ 8,000 บาท รับฟรี หูฟัง Pioneer สินค้าเก่าแลกใหม่ รับส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท สมาชิก The 1 ใช้คะแนนแลกรับส่วนลดสูงสุด 25% ผ่อน 0% นานสูงสุด 15 เดือน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 40,000 บาท กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ   Alternate-X สรุปให้  เพาเวอร์บาย เปิดตัวโมเดลใหม่ “Power Buy 3.0” ที่สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า พลิกโฉมเป็นศูนย์รวมเทคโนโลยีเพื่อชีวิต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล พร้อมเพิ่ม Experience Zone ให้ทดลองสินค้า และโซน Smart Home, Game & Gadget ผสาน Omni-channel อย่างไร้รอยต่อ และยังเปิด AIS Shop-in-Shop ครั้งแรกในสาขา วางเป็นต้นแบบสาขานำร่อง ก่อนขยายโมเดลสู่สาขาอื่นทั่วประเทศในครึ่งปีหลัง

June 2, 2025 / 0 Comments
read more

งานใหม่ใกล้ฉัน!! ไทยเบฟฯ หนุนโอกาส เปิด 700  อัตราให้คนไทยมีงานทำ

Peace&Play

เตรียมพอร์ตโฟลิโอ และ รีซูเม ให้พร้อมส่ง ‘ไทยเบฟ’ เปิดรับสมัครงานกว่า 20 สายงาน 700 อัตรา ใน JOB EXPO THAILAND 2025 ตั้งแต่ 6 – 8 มิ.ย. นี้   โอกาสมาถึงแล้ว สำหรับผู้ที่กำลังมองหางาน!!  โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการมีงานทำอย่างมีศักยภาพ ภายใต้นโยบายและยุทธศาสตร์ ‘หลักประกันทางสังคมเด่น เน้นทักษะทันสมัย คนไทยมีงานทำ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เศรษฐกิจ แรงงานไทยมั่นคง’ ได้ดำเนินการจัดงาน มหกรรมหางานที่มากกว่าการหางานระดับประเทศ   ในงาน ‘JOB EXPO THAILAND 2025’  ครั้งแรกของงานที่สร้างงาน สร้างโอกาส และสร้างรายได้ ที่มีตำแหน่งงานมากกว่า 6 แสนอัตรา จากผู้ประกอบการและระบบออนไลน์กว่า 173 บริษัท และตำแหน่งงานในต่างประเทศกว่า 1 แสนอัตรา จาก 16 บริษัทจัดหางาน จัดส่งโดยภาครัฐ   นอกจากนี้ ตลอด  3 วันของการจัดงาน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เพื่อใช้สำหรับให้บริการประชาชนที่มาร่วม งาน JOB EXPO THAILAND 2025  ระหว่างช่วงการจัดงานฯ ในครั้งนี้ ด้วย   พร้อมกันนี้ ไทยเบฟ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดรับสมัครงานในครั้งนี้ ด้วยการเปิดรับสมัครกว่า 20 สายงาน อาทิ สายงานการขาย สายงานการเงิน สายงานทรัพยากรมนุษย์ สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สายงานการบริหารจัดการและงานเลขา รวมรับสมัครมากกว่า  700 อัตรา   พร้อมเปิดโอกาสให้คนไทย ร่วมมหกรรมหางานระดับชาติที่ครบวงจรและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี JOB EXPO THAILAND 2025ภายใต้แนวคิด “มหกรรมหางาน ที่มากกว่าการหางาน” ตั้งแต่วันที่ 6 – 8   มิถุนายนนี้ เวลา 10.00 – 19.00  น. ณ ฮอลล์ 5 – 6  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (บูทสมัครงาน ไทยเบฟ บูท C19)   Alternate-X สรุปให้  ไทยเบฟ เปิดรับสมัครงานกว่า 700 อัตรา ครอบคลุมมากกว่า 20 สายงาน ในงาน JOB EXPO THAILAND 2025 โดยงานจัดระหว่างวันที่ 6 – 8 มิ.ย. 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นโอกาสครั้งใหญ่สำหรับผู้ที่กำลังมองหางานหรือเปลี่ยนสายงาน ผู้สมัครเตรียมพอร์ตโฟลิโอและเรซูเมให้พร้อม เพื่อยื่นสมัครตรงกับทีม HR พบไทยเบฟได้ที่บูท C19 พร้อมสิทธิพิเศษจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในงาน  

June 2, 2025 / 0 Comments
read more

เศรษฐกิจซึม หนุนตลาดแบรนด์เนมมือสอง คนแห่ปล่อยของเติมสภาพคล่อง

BizKet

‘แบรนด์เนม มันนี่’ ดึง 40 ร้านค้าพันธมิตร พร้อมปล่อยสินเชื่อสินค้าลักซูรี่แบรนด์เนมหรูทั่วไทย เชื่อสิ้นปีมียอดทะลุ 300 ล้านบาท   ปพน มนัสภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ก่อตั้งบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด (Brandname Money) ในฐานะผู้นำด้านบริการสินเชื่อเช่าซื้อและขายฝากแบรนด์เนม กระเป๋า นาฬิกา จิวเวลรี่ Luxury แห่งเดียวในประเทศไทย และสินเชื่อเช่าซื้อแบรนด์เนมแห่งแรกของโลก เปิดเผยว่า บริษัทร่วมเป็นพันธมิตรกับ ร้านขายสินค้าลักซูรี (Luxury) แบรนด์เนมมือ2 รายใหญ่ทั่วไทยมากกว่า 40 ราย   ทั้งนี้ เพื่อให้บริการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้า  แบรนด์เนมทั้ง กระเป๋า เครื่องประดับแบรนด์ไฮเอนด์ และนาฬิกาหรูของร้านค้าเหล่านี้ รวมกันมีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาท       สำหรับพันธมิตรรายล่าสุด คือ ร้าน Bagnifique.brandname ศูนย์ซื้อขายแบรนด์เนมมือ 2 รายใหญ่ชั้นนำ โดยนายธานี สามสีเจริญลาภ  CFO ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเงินและบัญชี ผู้ร่วมก่อตั้ง Bagnifique.brandname บริษัท ดิเอลิสต์กรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีสินค้าแบรนด์เนมหลากหลายมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 500 ล้านบาท   “บริษัทยังคงเป้าหมายเดิมที่ภายใน 3 ปี หรือภายในปี 2571 จะเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเป็น 1,000 ล้านบาท และมั่นใจว่ายอดปล่อยสินเชื่อปีนี้จะได้ตามเป้าหมาย 300 ล้านบาท” ปพน กล่าว   อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะกระตุ้นให้มีการนำสินค้าแบรนด์เนมมาขายฝากมากขึ้น หนึ่งในปัจจัยให้บริษัทมีส่วนช่วยสร้างสภาพคล่องทางการเงินและเงินสดในกระเป๋าให้กับผู้มีสินค้าไฮเอนด์เหล่านี้   ขณะเดียวกันผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของหรือใช้สินค้าแบรนด์เนมก็จะตัดสินใจซื้อสินค้ามือ2 สภาพดี ที่มีราคาลดลงต่ำกว่าราคาซื้อของใหม่ในช็อปมากกว่า30-60%   ทั้งนี้  แบรนด์เนม มันนี่ฯ ให้บริการสินเชื่อแบรนด์เนมใน 3 รูปแบบ ได้แก่   สินเชื่อแบบ ผ่อนไป-ใช้ไป ให้ลูกค้าได้ครอบครองแบรนด์เนมที่ต้องการได้ทันทีหลังได้รับอนุมัติ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต เพียงดาวน์เริ่มต้น 30% ของราคาสินค้า พร้อมดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.99% ต่อเดือน ผ่อนได้นานสูงสุด 24 เดือน อนุมัติไวภายใน 3 วัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแบ่งชำระค่าใช้จ่าย และมีรายได้ประจำ   สินเชื่อแบบ ผ่อนจบ-รับของ เพียงดาวน์เริ่มต้น 30% ของราคาสินค้า ผ่อนจบรับสินค้าไปเลยทันที ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.25% ต่อเดือน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง ไม่ต้องเช็คเครดิตบูโร ผ่อนสบายๆ ได้นานสูงสุด 10 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการตรวจเช็คเครดิตในการเป็นเจ้าของแบรนด์เนม   บริการขายฝาก โดยให้บริการขายฝากนาฬิกา กระเป๋า และจิวเวลรี่แบรนด์ Luxuryโดยเรามีระบบเก็บรักษาสินค้าของลูกค้าไว้อย่างปลอดภัยในตู้นิรภัยมาตรฐานสากล ซึ่งลูกค้าจะได้รับเงินทันทีภายใน 1-2 ชั่วโมง   สำหรับรายชื่อพันธมิตรร้านค้าแบรนด์เนมทั้งมือ1 และมือ 2 ที่ร่วมเป็นคู่ค้า แนะนำลูกค้าเพื่อให้ แบรนด์เนม มันนี่ให้บริการสินเชื่อ ที่ลูกค้าสามารถติดต่อเข้ามารับบริการได้โดยตรง  มีดังนี้ ร้านพาร์ทเนอร์ นาฬิกาไฮเอนด์ นำโดย  THONG PATEK, Bagnifique, MM Swiss Watch, The Cog Watch, Conrad Time ,Cherry naliga, Watch mania Thailand ,@dear_watchtrader, Madamekik, Time collection , Fabulous_time24, De Carat, Watchberryandco และ Mukky Watch เป็นต้น   สำหรับร้านพาร์ทเนอร์ สินค้ากระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับและสินค้า Luxury อื่นๆ มีดังนี้  Brandnamevoyage, SF Brandname, Dearbrandshop.official ,Bagnifique, BRANDBYDAY, Numfonshop, NanoBrandname, Pbrandshops, Time Collection By sloane, ETCstores, Nalinbrands, Bobby Brand, Top Trend, Brandnamemaiiam, Panisa_brandname, BBB.Brandname  เป็นต้น Alternate-X  ตลาดแบรนด์เนมมือสอง มีโอกาสเติบโตทั้งจากผู้ครอบครองสินค้าไฮเอนด์ และ ความต้องการสินค้าลักซูรีในราคาที่ปรับลงมาจากราคาปกติ จากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้เกิดการเปลี่ยนมือสินค้า กระเป๋า นาฬิกา และแบรนด์เนม เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินแทนการกู้เงินจากสภถาบันการเงิน ปัจจัยหลักที่จะหนุนตลาดมือสองยังคงแข็งแรง โดยเฉพาะแบรนด์ไฮเอนด์ที่มีมูลค่าคงที่ จากกลุ่มนักสะสมและนักลงทุนยังคงมองหาไอเทมสภาพดี ในราคาน่าลงทุน ที่แม้ว่าเศรษฐกิจชะลอ แต่กลับเป็นแรงหนุนให้ตลาดนี้ขยายตัวต่อเนื่อง  

June 2, 2025 / 0 Comments
read more

‘สินค้า’ ปรับตัวรับเทรนด์โลก ‘Loud Budgeting’ เจาะรุ่นใหม่ใช้เงินตามงบฯ

BizKet,  EcoVative

เทรนด์ ‘Loud Budgeting’ ไม่ได้ ‘งก’ แต่ ฉลาดใช้เงิน แถมยังแสดงจุดยืน ‘พูดดังชัดๆ’ ยังไม่ซื้อเพราะเกินงบ เหตุผลใหญ่และใหม่ที่ทำให้แบรนด์สินค้า/เอสเอ็มอี ต้องเข้าไป ‘อินเซปชั่น’กำลังซื้อยุคใหม่ให้ได้   หลังหลายสำนักบอกเศรษฐกิจปี 2568 ทรงฝืดๆ ทำกำลังซื้อลด ปัจจัยหลักให้ผู้บริโภคยุคนี้โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หันมาทบทวนวิธีการใช้เงินแบบสมเหตุสมผลกับสถานการณ์ของตัวเอง และนำไปสู่แนวคิด ‘Loud Budgeting’ พูดตรง-พูดดัง ว่ายังไม่ใช้เงินตอนนี้เพราะเกินงบประมาณ ที่อาจส่งผลต่อยอดขายสินค้า/แบรนด์ ในบางกลุ่มสินค้า นับจากนี้ไป   ต่อแนวคิด ‘Loud Budgeting’ ได้ถูกนำมาพูดถึงอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปลายปี 2566 ถึงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีจุดเริ่มชัดเจนหลังแพลตฟอร์มโซเชียล TikTok จากบัญชีผู้ใช้ชื่อ @loganrcohen (Logan Cohen) นักวางแผนการเงินในสหรัฐฯ โพสต์อธิบายแนวคิดนี้ จนทำให้คลิปวิดีโอสั้นของกลายเป็นไวรัล หลังให้คำจำกัดความถึง ‘Loud Budgeting is in, quiet luxury is out.” ที่เราขอแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘ยุคนี้โชว์ประหยัด ส่วนรวยเงียบน่ะอยู่นอกกระแสไปแล้ว!   4 แรงหนุนทำให้คนตะโกน ‘ยังไม่ซื้อ’   จากไทม์ไลน์ของกระแส ‘Loud Budgeting’ ดังกล่าว อาจเป็นผลมาจากแรงเหวี่ยง 4 ด้านหลัก ดังนี้   เกิดขึ้นมาในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสูง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก และรวมถึงไทยที่ว่า ‘ผู้คนในตอนนี้ เริ่มรู้สึกไม่อายที่จะพูดว่า ‘เงินไม่พอสำหรับสิ่งนั้น’ กระแสการต่อต้านวัฒนธรรมอย่าง ‘รวยเงียบ’ หรือ ลักซูรีแบบไม่โอ้อวด (Quiet Luxury) และ Overconsumption การบริโภคเกินจำเป็น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดเป็นกระแสพอสมควรในกลุ่มที่ใช้ของหรูหรา มีราคาแต่ไม่ต้องตะโกนออก ขณะที่ ‘Loud Budgeting’ คือ สิ่งที่ผู้บริโภคจะพูดออกมาตรงๆ เลยว่า ‘ไม่ซื้อเลย เพราะไม่มีงบ หรือไม่จำเป็น’ (ในตอนนี้) สื่อโซเชียลทำให้เกิดแรงกดดันทางการเงิน และอาจกลายเป็นสิ่งที่มีผลต่อใจในบางกลุ่มผู้บริโภค ที่อยากแสดงตัวตนว่า ‘ฉันไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะเพื่อยืนยันคุณค่า’ คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพทางการเงินมากขึ้น โดยแฉพาะในชาวมิลเลนเนียล เจนเนอเรชั่นวาย และ กลุ่มเจนฯ Z ที่เข้ามาเป็นกำลังซื้อหน้าใหม่ในตลาด ที่กำลังเผชิญกับ ‘หนี้สิน-ค่าใช้จ่ายสูง’ และเลือกที่จะหันมา ‘พูดตรงๆ’ และ ขอใช้เท่าที่จำเป็นแทน   ด้าน ‘ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส ศูนย์การค้าเซ็นทรัล กล่าวถึงกระแสนี้ว่า   “วันนี้เราอยู่ในยุคที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้จ่ายมากกว่าที่เคย โดยมีเทรนด์ระดับโลกอย่าง ‘Loud Budgeting’ ที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม Gen Z และคนรุ่นใหม่ ซึ่งเลือกใช้เงินอย่างมีเป้าหมาย โชว์ความคุ้มค่า”     ทำให้ เซ็นทรัลพัฒนา มองเทรนด์นี้พร้อมทำแคมเปญ ‘Summer Grand Sale 2025’ ออกมากระตุ้นการจับจ่ายช่วงกลางปี ของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกและเป็นแรงส่งไปยังเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะสามารถสร้างทราฟฟิกทั่วประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 25–30% ในช่วงไตรมาส 2–3 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นตัว   แบรนด์โลก สร้างความคุ้มค่ามัดใจ   ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศ ต่างจับตาเทรนด์ที่เกิดขึ้นพร้อมปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับกระแส ‘Loud Budgeting’ กันมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแฟชั่นและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับผลกระทบโดยตรง   อย่าง ‘Patagonia’ ปาตาโกเนีย แบรนด์สินค้าไลฟ์แวร์ เน้นกิจกรรมกลางแจ้งที่มี อายุในตลาดโลดมาร่วม 50ปี ด้วยการวางตำแหน่งทางการตลาดแบรนด์ที่เน้นการบริโภคอย่างมีสติ ทำให้ Patagonia เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคลดการบริโภคเกินจำเป็น ด้วยแคมเปญ ‘Don’t Buy This Jacket’ ที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคคิดก่อนซื้อ และเน้นการใช้สินค้าที่ทนทานและยั่งยืน   H&M และ Zara  ที่แม้ว่าจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแฟชั่นรวดเร็ว (Fast Fashion) ยอดนิยมของผู้คนในหลายประเทศทั่วโลก แต่ในวันนี้  H&M และ Zara ได้เริ่มปรับตัวโดยการเปิดตัวคอลเลกชันที่ใช้วัสดุรีไซเคิลและส่งเสริมการรีไซเคิลเสื้อผ้าเก่า เพื่อรับมือกับกระแสต่อต้านการบริโภคเกินจำเป็น   Unilever ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลก กับแนวทางธุรกิจยุคใหม่ที่ออกมาสื่อสารความยั่งยืนในผลิตภัณฑ์อาหารให้กับผู้บริโภค เพื่อส่งเสริมการบริโภคอย่างมีสติและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม   นอกจากนี้  ยังธุรกิจรายย่อยขนาดเล็กกลางอย่าง ‘เอสเอ็มอี’ (SME) ที่มองเห็นโอกาสจากเทรนด์นี้ พร้อมปรับรูปแบบการทำธุรกิจให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุค ‘Loud Budgeting’ ที่เน้น ‘คุ้มค่า โปร่งใส และสมเหตุสมผล’ มากกว่า ‘หรูหราเกินจริง’     ธุรกิจที่เริ่มจากหนี้ก้อนโตและตกงาน   อย่างกรณีศึกษาธุรกิจในต่างประเทศ อย่าง Jasmine Taylor และ Baddies and Budgets โดยในปี 2565 ‘Jasmine Taylor’ พบว่าตนเองมีหนี้สินกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ และตกงาน ทำให้เธอเริ่มใช้วิธีการบริหารงบประมาณแบบ ‘Cash Stuffing’ ซึ่งเป็นการแบ่งเงินสดใส่ซองตามหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อควบคุมการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ   จากนั้น เธอเริ่มแชร์ประสบการณ์นี้ผ่าน TikTok เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและสร้างความรับผิดชอบให้กับตนเอง และโดยไม่คาดคิด คอนเท้นต์ นี้ของเธอได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนเป็นไวรัล และนำไปสู่ไอเดียให้ก่อตั้งธุรกิจชื่อ Baddies and Budgets จำหน่ายอุปกรณ์สำหรับการบริหารงบประมาณ เช่น สมุดบันทึกและซองเงินที่มีการออกแบบเฉพาะตัว   เธอ ใช้ช่วงเวลาไม่นาน ธุรกิจของเธอเติบโตอย่างรวดเร็วสร้างรายได้ถึง 630,000 ปอนด์ต่อปี และมีลูกค้าที่รอซื้อสินค้าเมื่อมีการเติมสต็อกใหม่อย่างต่อเนื่อง   อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ประกอบการธุรกิจสินค้าแบรนด์ไทย หรือ ‘เอสเอ็มอี’ เชื่อว่ายังสามารถเกาะกระแส ‘Loud Budgeting’ พร้อมปรับแนวทางการทำตลาดทในรูปแบบ การโปรโมตความคุ้มค่าอย่างภาคภูมิใจ เน้น ‘Value for Money’ ในการสื่อสาร ไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ต้อง ‘คุ้มจริง’ พร้อมสื่อสารการทำตลาดอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา   SME มีความโปร่งใสเรื่องต้นทุนและราคาสามารถบอกเล่าที่มาของต้นทุน เช่น “เราเลือกบรรจุภัณฑ์เรียบง่าย เพื่อให้คุณได้สินค้าคุณภาพ โดยไม่ต้องจ่ายค่าแพ็คเกจหรู” สอดคล้องพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่มีความรอบรู้และฉลาดเลือก ต้องการความโปร่งใส   ปรับแพ็กเกจสินค้าให้ ‘ดูดีแต่ราคาไม่แรง’ หรือเลือกเลือกดีไซน์มินิมอล เรียบเท่ ดูมีรสนิยมแต่ไม่อวดรวย รวมไปถึงเน้น ‘Affordable Aesthetic’ เช่นใช้วัสดุธรรมชาติ, สีเอิร์ธ โทน เป็นต้น   การจัดโปรโมชัน เน้นความภูมิใจในการประหยัด ด้วยชื่อโปรโมชันอย่าง ‘โปรฉลาดใช้’ แต่ ‘บัดเจ็ตจัดเต็ม’ หรือ ตั้งงบไว้แค่ไหนแล้วช้อปได้เลย   ขณะที่การสร้างชุมชน หรือ Community ที่สนับสนุนแนวคิด Budget-Conscious โดยใช้โซเชียลมีเดียในการแชร์เทคนิคประหยัดอย่างมีสไตล์ในหัวข้อต่างๆ จากสินค้า/แบรนด์ สุดท้ายร่วมมือกับ Micro-influencer สายฉลาดใช้คนรีวิวของดีในราคาคุ้ม ควบคุมงบได้ ไม่เน้นโชว์แบรนด์หรู   แนวทางดังกล่าว เป็นการต่อยอดจาก ‘Loud Budgeting’ ให้กลายเป็น ‘Smart Spending Lifestyle’ ที่สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ด้วย Loud Budgeting อาจไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นการแสดงจุดยืนของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ภูมิใจในความฉลาดใช้จ่าย   หาก SME ที่เข้าใจสิ่งนี้ก่อน ย่อมได้เปรียบในการเข้าถึงใจลูกค้าอย่างแท้จริง     Alternate-X สรุปให้   Loud Budgeting คือ แนวคิดที่ผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เลือกแสดงออกอย่างภาคภูมิใจว่า ‘ตอนนี้ยังไม่ซื้อ’ เพื่อควบคุมงบประมาณให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ตามแรงผลักดันจากเงินเฟ้อ สภาพคล่องทางการเงิน, กระแสต้านความหรูหราเกินจริง และการใส่ใจสุขภาพทางการเงิน ทำให้เทรนด์นี้เติบโต ทำให้ในเวลานี้ ทั้ง SME และแบรนด์ระดับโลกปรับตัวด้วยกลยุทธ์ ‘ความคุ้มค่าโปร่งใส’ เช่น Patagonia, H&M, และธุรกิจ Baddies and Budgets โดย ผู้ประกอบการไทยสามารถต่อยอดเทรนด์นี้ด้วยการปรับดีไซน์ บรรจุภัณฑ์ สื่อสารตรง และใช้ micro-influencer สายฉลาดใช้ Loud Budgeting คือมากกว่าการประหยัด แต่คือไลฟ์สไตล์แห่งการภูมิใจใน ‘การใช้เงินอย่างฉลาด’

June 2, 2025 / 0 Comments
read more

‘ทิพย์สมัย’ ผัดไทยแห่งชาติ ‘เทคออฟ’ แบรนด์เสิร์ฟบนเครื่องการบินไทย

BizKet

ผัดไทยทิพย์สมัย ภายใต้การบริหารในรูปแบบธุรกิจของเจนเนอเรชั่น 3 ‘ดร.ศีขรเชษฐ์ และ รศ.พญ.ธัญนันท์ ใบสมุทร” สองผู้บริหารธุรกิจที่กำลังพาแบรนด์  ‘ทิพย์สมัย’ เป็นให้มากกว่าผัดไทยและบินให้สูงขึ้นในรอบ 86 ปี   ดร.ศีขรเชษฐ์ ใบสมุทร หรือ ‘คุณหนุ่ย’ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือทิพย์สมัย กรุ๊ป และ บริษัท สยาม รอยัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่าร้านผัดไทย ‘ทิพย์สมัย’ เข้าสู่การบริหารสู่รุ่น 3 จากจุดเริ่มต้นรุ่นแรกเมื่อ 86 ปีก่อน ที่มีคุณยายเป็นผู้บุกเบิก และส่งต่อสูตรให้คุณแม่ได้ก่อตั้งกิจการในรูปแบบหน้าร้านตึกแถวย่านแยกสำราญราษฎร์ บริเวณสี่แยกจุดตัดถนนบำรุงเมืองและถนนมหาไชย หรือที่ชาวพระนครในยุคนั้น เรียกกันคุ้นปากว่า ‘ประตูผี’ และยังเป็นที่มาของชื่อ ทิพย์สมัย ผัดไทย ประตูผี ในเวลาต่อมา   ก่อนที่แบรนด์ ‘ทิพย์สมัย’ ผัดไทย’ จะส่งต่อมายังรุ่นเขาที่ค่อยๆ แทรกซึมมาตั้งแต่วัยเด็กจากจุดเริ่มการเป็น ‘เด็กล้างกระทะผัดไทยริมถนน’ ประจำร้าน   จากธุรกิจรุ่นสู่รุ่นที่ผ่านมาแล้วในหลาย ‘ความท้าทาย’ แต่ก็ยังผลักดันให้แบรนด์ ทิพย์สมัย ผัดไทย เดินมาร่วมกว่า 8 ทศวรรษ ที่ ‘คุณหนุ่ย’ บอกว่า มาจากการปรับตัวทางธุรกิจ พร้อมรักษาคุณภาพที่ให้ความสำคัญ ‘ความสะอาด’ รองลงมา คือ รสชาติ ที่จะต้องไม่ต่ำกว่า 80% ของความคาดหวัง   จาการเดินทางของ ทิพย์สมัยผัดไทย ถึงในปัจจุบัน​ ได้เปิดแล้ว 5 แห่ง ดังนี้   สาขาประตูผี (ต้นตำรับ) เปิดบริการ: 09:00–24:00 น. (หยุดทุกวันอังคาร) สาขาไอคอนสยาม (ICONSIAM) เปิดบริการ: 10:00–21:00 น. สาขาคิงพาวเวอร์ รางน้ำ (King Power Rangnam) เปิดบริการ: 10:00–20:00 น. สาขาสยามพารากอน (Siam Paragon) เปิดบริการ: 10:00–22:00 น. สาขาพุทธมณฑลสาย 4 เปิดบริการ: 11:00–20:00 น.   โดยในเกือบทุกสาขา ล้วนต่างเป็นทำเลที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางหมุนวียนเข้ามา ซึ่งเท่ากับว่าใช้สาขาเหล่านี้สร้างให้แบรนด์ทิพย์สมัย ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ไปโดยปริยายด้วย   พร้อมกับล่าสุดในปี 2568 นี้ บริษัทในเครือทิพย์สมัย กรุ๊ป และ บริษัท สยาม รอยัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ขยายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ‘ทิพย์สมัย’ กลุ่มใหม่ อาหารไทยแปรรูปกว่า 20 รายการในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025  ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้า อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27–31 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา   โดยแบ่งเป็น 2 แบรนด์หลัก เพื่อทำตลาด คือ   แบรนด์ ‘ทิพย์สมัย’ ครอบคลุมทั้งกลุ่มอาหารปรุงสุกพร้อมปรุงพร้อมทาน และอาหารพร้อมปรุง (Ready Meal , Ready to Eat และ Ready to Cook เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ มีสินค้าหลัก ดังนี้   ผัดไทยแช่งแข็ง (Padthai Frozen) 6 รสชาติ ได้แก่ ผัดไทยมันกุ้ง (Signature ของทางร้าน) สูตรเข้มข้น/ ผัดไทยโบราณ สูตรเผ็ด/ ผัดไทยโบราณ สูตรมังสวิรัติ/ ผัดไทยโบราณ สูตรต้นตำรับ/ ผัดไทย สูตรโครา เมนูอาหารทานเล่น เช่น ปอเปี๊ยะผัดไทยมันกุ้ง กุ้งสด กลุ่มกึ่งสำเร็จรูปและชุดพร้อมปรุง ‘เส้นจันท์ผัดไทยกึ่งสำเร็จรูป’ (Instant Rice Noodle Padthai), วุ้นเส้นผัดไทยกึ่งสำเร็จรูป (Instant Glass Noodle Padthai), ชุดพร้อมปรุงเส้นจันท์ผัดไทย (Padthai Set Rice Noodle) ชุดพร้อมปรุงวุ้นเส้นผัดไทย (Padthai Set Glass Noodle) น้ำปลาหวาน ตราทิพย์สมัย (Nam Pla Wan Thipsamai) สำหรับจิ้มผลไม้ เส้นจันท์ (Rice Noodle) มีให้เลือก 4 ขนาด: 1 มม., 3 มม., 5 มม., และ 10 มม. น้ำซอสปรุงรส (Chili Paste & Dipping Sauce) เช่น ซอสผัดไทย, น้ำจิ้มไก่, น้ำจิ้มลูกชิ้น, น้ำจิ้มสุกี้, น้ำจิ้มบ๊วยเจี่ย น้ำพริกเผา ชุดน้ำยำ ตราทิพย์สมัย (Thai Spicy Salad Set)     แบรนด์ที่สอง ‘แบรนด์ไทย’  มีสินค้าหลัก ดังนี้   เมนูเส้นจันท์แช่แข็ง (Rice Noodle Frozen) 6 รสชาติ ได้แก่ กะเพราหมู/ กะเพราทะเล/ /กะเพราไก่/ ผัดขี้เมาไก่/ ผัดขี้เมาทะเล/ ผัดขี้เมากุ้ง เมนูข้าวแช่แข็ง (Rice Frozen ) 4 รสชาติ ได้แก่ ข้าวผัดต้มยำมันกุ้ง/ ข้าวผัดโคราชหมูตุ๋น/ ข้าวคลุกกะเพราไก่/ ข้าวคลุกกะเพราหมู เมนูวุ้นเส้น และเส้นหมี่ฮ่องกง (Glass Noodles & Hong Kong – Style) 4 รสชาติ ได้แก่ ยำวุ้นเส้นทะเล/ ยำวุ้นเส้นหมูสับหมูยอ/ วุ้นเส้นสุกี้แห้งทะเล/ หมี่ฮ่องกง สูตรมังสวิรัติ ขนมไทยโบราณแช่แข็ง ได้แก่ ปอเปี๊ยะข้าวเหนียวสังขยา ปอเปี๊ยะข้าวเหนียวมะม่วง ปอเปี๊ยะข้าวเหนียวทุเรียน ปอเปี๊ยะข้าวเหนียวถั่วดำ เป็นต้น อาหารทานเล่น ปอเปี๊ยะกุ้ง/ไก่/ผัก   เทคออฟแบรนด์ ผัดไทยแห่งชาติ   ด้าน รศ.พญ.ธัญนันท์ ใบสมุทร, รองประธานกรรมการ บริษัทในเครือทิพย์สมัย กรุ๊ป และ บริษัท สยาม รอยัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า จากกลุ่มสินค้าใหม่ดังกล่าว บริษัทวางกลยุทธ์ราคาผลิตภัณฑ์ในราคาจับต้องได้ เริ่มตั้งแต่ 50-80 บาท พร้อมทำตลาดในช่องทางขายร้านทิพย์สมัยทุกสาขา, ซูเปอร์มาร์เก็ต   พร้อมทำตลาดส่งออกไปยัง เกาหลี, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์ และ สหรัฐอเมริกา และขยายการส่งออกไปยังทั่วโลก ทั้งในภูมิภาค เอเชีย, ออสเตรเลีย, ยุโรป, และ ตะวันออกกลาง   “ล่าสุดไทยทิพย์สมัย ยังได้ให้บริการเสิร์ฟบนสายการบินไทยในโอกาสครบรอบ 65 ปีสายการบินแห่งชาติ และเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือซอฟต์เพาเวอร์ด้านอาหารไทยที่ออกไปแนะนำให้ทั่วโลกได้รู้จักรสชาติของเมืองไทย ได้มากขึ้น”   รศ.พญ.ธัญนันท์ กล่าวว่าสำหรับการให้บริการทิพย์สมัยผัดไทย บนสายการบินไทย จะนำเมนูผัดไทยต่างๆ ที่เป็นซิกเนอเจอร์ เมนู ทั้ง ผัดไทยเส้นจันทร์ ผัดไทยมันกุ้ง ให้บริการผู้โดยสาร ในเส้นทางนอกประเทศ (Outbound) เที่ยวบินต่างๆ ทั้งในเอเชีย และ ยุโรป   “การบริการใหม่ครั้งนี้ยังตอกย้ำ รสชาติความเป็นไทยในฐานะประเทศไทยไปสู่ครัวโลกอีกด้วย” รศ.พญ.ธัญนันท์ กล่าวพร้อมเสริมต่อว่า   จากการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการเพิ่มช่องทางแนะนำสินค้าบนสายการบินไทย ในครั้งนี้ บริษัทยังได้วางแผนการผลิตสินค้าในโรงงาน จังหวัดนครปฐม ที่ปัจจุบันยังมีกำลังการผลิตเพียงพออยู่ที่ 1,000 กล่องต่อวันและสามารถขยายเพิ่มได้มากถึง 2,000 กล่องต่อวัน ได้ตามความต้องการตลาด และในกลุ่มซอส มีกำลังการผลิตอยู่ที่ราว 6,000 กิโลกรัมต่อวัน จากปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 3,000 กิโลกรัมต่อวัน   ต่อแนวทางที่วางไว้ ‘ทิพย์สมัย’ ในมือการบริหารของรุ่น 3 กับแผนส่งรสชาติไทยเนสด้วยเมนูผัดไทย ในฐานะอีกหนึ่งซอฟต์เพาเวอร์ไทย เพื่อบินไปต่อได้ไกลและให้สูงขึ้น นับจากนี้ไป       Alternate-X สรุปให้  ‘ทิพย์สมัย’ ผัดไทยในตำนาน ก้าวสู่เจน 3 สู่มือ ดร.ศีขรเชษฐ์–รศ.พญ.ธัญนันท์ ใบสมุทร กับการแตกไลน์สินค้าใหม่ ทั้งกลุ่มแช่แข็ง-กึ่งสำเร็จรูป พร้อมส่งออกทั่วโลก พร้อมร่วมมือสายการบินไทย เสิร์ฟผัดไทยบนเที่ยวบินนานาชาติ หลังเปิดตัวพร้อมโชว์ศักยภาพในงาน THAIFEX 2025 เป็นครั้งแรก ด้วยเมนูไทยพร้อมทานกว่า 20 รายการ เพื่อเดินหน้าใช้ Soft Power ผลักดันอาหารไทยสู่ครัวโลก 

June 2, 2025 / 0 Comments
read more

IF น้ำมะพร้าวไทย ย้ำ No. 1 ตลาดจีน หลังใช้ ‘Xiao Zhan’ โกลบอล แบรนด์ แอมฯ

BizKet

IF น้ำมะพร้าวไทย ขวัญใจผู้บริโภคชาวจีนกับกลยุทธ์การตลาดจนพาเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ส่งแผนปี68 ใช้พอร์ตเครื่องดื่ม สตรีท ดริงค์-‘นมชมพู-ชาไทย  เจาะตลาดจีนต่อ   วิภาดา กาญจนศร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อินโนเวทีฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดน้ำมะพร้าวพร้อมดื่มภายใต้แบรนด์ ‘IF’  กล่าวว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปี 2567 ประสบความสำเร็จอย่างมาก หลังแบรนด์ร่วมงานกับ ‘เซียวจ้าน (Xiao Zhan)’ ซูเปอร์สตาร์ระดับท็อปของจีน ในฐานะ โกลบอล แบรนด์ แอมบาสเดอร์ (Global Brand Ambassador) คนแรกของแบรนด์ IF   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจับมือ ‘POP MART’ บริษัทอาร์ตทอยมูลค่าแสนล้านจากจีน เพื่อสร้างสรรค์ฉลากคาแรคเตอร์พิเศษ ‘CRYBABY’ ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้เฉพาะกับผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวและนมมะพร้าวของอีฟ (IF) เท่านั้น และยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานผลักดันซอฟต์แวร์ของไทย ในตลาดสากลด้วย     ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้ยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญธุรกิจ และสะท้อนถึงความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดลงทุนระดับสากล เพื่อเสริมสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ สนับสนุนการพัฒนาและนวัตกรรม ต่อยอดการเติบโต และยกระดับความสำเร็จสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน “การยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง คือจุดเริ่มต้นบทบาทใหม่ของบริษัท IFBH ที่จะเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพจากประเทศไทย อร่อย และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลก”  วิภาดา กล่าว   พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้เข้าร่วม THAIFEX – Anuga Asia 2025 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในเอเชีย ระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมเสนอวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นผ่านแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ประจำปี 2568   โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสูตรใหม่ที่มีส่วนผสมจากผักและผลไม้มากขึ้น ขยายเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันและขนมเพื่อสุขภาพ รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้โปรตีนจากพืช (Plant-based Snack) และซูเปอร์ฟู้ด (Superfood) เพื่อตอบรับความต้องการด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่       นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “Thai Street Drink Series” – อีฟ นมชมพู และ อีฟ ชาไทย ที่กำลังบุกตลาดจีน ‘Fruit Tea Series’ – ชาผลไม้แท้ระดับพรีเมียม 4 รสชาติ ที่เปิดตัวไปในตลาดฮ่องกง เมื่อเร็วๆนี้   โดยทั้งสองซีรีส์ชูความเป็นไทยร่วมสมัย ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพทั่วโลก และอีกหนึ่งแบรนด์น้ำมะพร้าวในเครือ คือ อินโนโคโค่ (INNOCOCO) เพื่อตอบโจทย์คนรักสุขภาพและสนใจการออกกำลังกาย มาพร้อมคอนเซ็ปต์ เครื่องดื่มชูกำลังทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะก่อน/หลังการออกกำลังกาย หรือ ระหว่างวันที่รู้สึกอ่อนเพลีย วางจำหน่ายตลาดจีนเป็นหลัก   สำหรับ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ยังคงสะท้อนตัวตนของแบรนด์และบริษัทฯ ที่ยึดมั่นในความเป็นธรรมชาติ ดีต่อสุขภาพ และเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจจากรสชาติแบบไทย พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอ และขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต   ปัจจุบัน บริษัทฯ ทำตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากประเทศไทยไปมากกว่า 30 ตลาดทั่วโลก อาทิ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา  และครองส่วนอันดับ 1 ตลาดน้ำมะพร้าว ในจีนแผ่นดินใหญ่ (ประมาณ 34%) และ ฮ่องกง (ประมาณ 60%) ต่อเนื่อง 9 ปี ซึ่งมากกว่าคู่แข่งอันดับถัดไปถึง 7 เท่า   โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สร้างยอดขาย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 80.3%   Alternate-X สรุปให้   IF น้ำมะพร้าวไทย รุกตลาดจีน-ฮ่องกง ครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง 9 ปี หลังดึง ‘เซียวจ้าน’ (Xiao Zhan) นั่ง Global Brand Ambassador พร้อมจับมือ POP MART สร้างฉลากคาแรกเตอร์พิเศษ CRYBABY เจาะใจคนรุ่นใหม่ จนยื่น IPO เข้าตลาดหุ้นฮ่องกง หนุนภาพแบรนด์ระดับโลก และเตรียมทำตลาดกลุ่มสินค้า “Thai Street Drink” และ “Fruit Tea” พร้อมนมชมพู-ชาไทย บุกจีนต่อ 

May 31, 2025 / 0 Comments
read more

จัดCARBหนักแต่ดื่มศูนย์แคลฯ กลยุทธ์ เป๊ปซี่ x พิซซ่า ฮัท ส่งเมนู เมลทส์รสชาติใหม่เจาะเจนฯZ

BizKet

ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคฯ คอลแล็บส์ พิซซ่า ฮัท ทำการตลาดผ่านประสบการณ์เข้าถึงเจนฯZ ที่ยังชอบของอร่อยคู่กับความซ่าแบบศูนย์แคลฯ ในแคมเปญ ‘Melts New Flavor x Pepsi”   บุญชัย อัศวฤทธิพรหม์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์สินค้าของซันโทรี่และเป๊ปซี่โคในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ร่วมกับ ‘พิซซ่า ฮัท 1150’ แบรนด์พิซซ่าระดับโลก ภายใต้การบริหารงานในประเทศไทย โดยบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด ฉลองเปิดตัวเมนูเมลทส์ 2 รสชาติใหม่ ภายใต้แคมเปญพิเศษ ‘Melts New Flavor x Pepsi’   สำหรับแคมเปญฯ นี้จับคู่รสชาติพรีเมียม สโมคแฮมแอนด์ชีส (Premium Smoked Ham and Cheese) ราคา 169 บาท และ เมลทส์ แบล็ค ทรัฟเฟิล (Melts Black Truffle) ราคา 189 บาท พร้อมรับฟรีเครื่องดื่ม ขนาด 16 ออนซ์ 1 รายการ (เป๊ปซี่ เป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาล เซเว่นอัพ หรือลิปตัน ไอซ์ที) เพิ่มความอร่อยแต่ยังซ่า อยู่ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม ถึง 15 มิถุนายน 2568 นี้   บุญชัย  กล่าวว่า แคมเปญฯ นี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการทำธุรกิจบริษัทฯ มุ่งสร้างความสำเร็จร่วมกับคู่ค้าภายใต้แนวคิด Win with Customers  โดยวางกลยุทธ์การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำต่างๆ พร้อมขยายฐานคู่ค้าทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง   ขณะที่ พิซซ่า ฮัท เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพสูง ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมอาหาร (Innovation Leader) ในตลาดร้านอาหารบริการด่วน (QSR – Quick Service Restaurant) ที่อยู่ในตลาดมากว่า 66 ปี   “ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมาย เพื่อเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภค Gen Z ผ่านการจับคู่เมนูเมลทส์ (Melts) ที่อร่อย ถูกปาก ถูกใจ ลูกค้าในประเทศไทย จนติดอันดับหนึ่งเมนูยอดนิยม เข้ากับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคฯ” บุญชัย กล่าวพร้อมเสริมว่า   ความร่วมมือระหว่างแคมเปญฯ คาดผลักดันให้ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้มากยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับแผนก้าวสู่การเป็น ‘บริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทยโดยมุ่งเน้นความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง (the Most Beloved Beverage Company in Thailand with True Gemba Centricity)   Alternate-X สรุปให้  ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคฯ จับกับ พิซซ่า ฮัท เปิดตัวแคมเปญพิเศษ ‘Melts New Flavor x Pepsi’ ส่งเมนูเมลทส์ 2 รสชาติใหม่พรีเมียม เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มฟรี 0 แคลฯ เจาะกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ที่ชื่นชอบเมนูอร่อยและไลฟ์สไตล์สุขภาพ เริ่มตั้งแต่ 26 พ.ค. – 15 มิ.ย. 2568 ทั่วประเทศ เพื่อตอกย้ำกลยุทธ์ Win with Customers และเป้าหมายเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภครักที่สุดในไทย

May 31, 2025 / 0 Comments
read more

‘Ichitan ReCircle’ เชียงใหม่ โครงการคืนชีพขวด PET ไม่หยุดแค่ฝังกลบ แต่รีไซเคิลใช้ตลอดไป

EcoVative

อิชิตัน ชวนตั้งคำถาม? ขวดน้ำ PET ถ้าดื่มหมดแล้วจะไหนต่อ? หลังพบ 14% นำกลับไปรีไซเคิล สัดส่วนนื้ยังน้อยไปเพราะส่วนใหญ่นำไปฝังกลบตัวการทำโลกเดือดขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นที่มาโครงการ ‘Ichitan ReCircle’ ระบบรีไซเคิลหมุนเวียนแบบปิดนำร่องก่อนที่ ‘เชียงใหม่’   ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและทำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มกลุ่มอิชิตัน (Ichitan) กล่าวว่า บริษัทฯ ร่วมกับพันธมิตร ประกอบด้วย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) , GC YOUเทิร์น, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ และ วันนิมมาน เชียงใหม่ ร่วมเปิดตัว ‘Ichitan ReCircle’ โครงการเก็บ-กลับระบบรีไซเคิลหมุนเวียนแบบปิด (Closed-Loop Circular) สำหรับขวดพลาสติก PET นำร่องแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่   สำหรับโครงการฯ นี้ เพื่อมีส่วนร่วมสนับสนุนการสร้างวงจรของขวดพลาสติก PET ให้มีชีวิตใหม่ได้ไม่รู้จบ โดยไม่หยุดที่หลุมฝังกลบซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก และภาวะโลกร้อน เพื่อสังคมไทยที่สะอาดยิ่งขึ้น   “จากข้อมูลพบว่า 86% ถูกทิ้งไว้ที่หลุมฝังกลบ มีแค่ 14% ได้รับการนำกลับไปรีไซเคิล แต่วันนี้ขวดพลาสติก PET ที่ถูกทิ้งจะไม่สร้างภาระ สร้างมลภาวะอีกต่อไป”  ตัน กล่าวพร้อมเสริมว่า       สำหรับโครงการ ‘Ichitan ReCircle’ (อิชิตัน รีเซอเคิล) ไม่ใช่แค่การรีไซเคิลทั่วไป แต่เป็นการสร้างระบบการจัดการขวดพลาสติก PET ครบวงจร ตั้งแต่รวบรวม คัดแยก ฆ่าเชื้อ ปั่นเป็นชิ้น ไปจนถึงการขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยการคงคุณภาพพลาสติกให้ดีอยู่เสมอ   โดยทั้งหมดใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่มั่นใจได้ถึงความสะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ทำให้ขวดที่ผ่านกระบวนการใช้บรรจุเครื่องดื่มได้ไม่รู้จบ ไม่จบลงที่หลุมฝังกลบหรือเป็นขยะในทะเลจะต่างจากระบบ Open Loop (การแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิลตามปกติ) ที่ขยะพลาสติกเมื่อนำไปรีไซเคิลเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น เช่น เสื้อผ้า ถังพลาสติก ถุงขยะ ฯลฯ   “ด้วยข้อจำกัดของระบบเปิดจะทำให้คุณภาพของพลาสติกที่ถูกนำไปรีไซเคิลลดลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็จะไปจบที่หลุมฝังกลบไม่ช้าก็เร็ว” ตัน อธิบายเพิ่ม     โดย ‘Ichitan ReCircle’ ได้เปิดตัวโครงการนำร่องที่จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเมืองหลักที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากยุโรป ญี่ปุ่น สแกนดิเนเวีย และนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อม   พร้อมติดตั้งจุด ‘Ichitan ReCircle’ ในพื้นที่ถนนคนเดินวัวลายเป็นแห่งแรก เพื่อสนับสนุนนโยบาย Green Tourism ของเชียงใหม่ ให้กลายเป็นพื้นที่เก็บ-กลับระบบรีไซเคิลหมุนเวียนแบบปิด (Closed-Loop Circular)   ขณะเดียวกัน อิชิตัน ยังมีแผนขยายโครงการ ‘Ichitan ReCircle’ ให้มากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายว่าภายปี2570 จะสามารถติดตั้งเพื่อเก็บกลับและแปรรูปพลาสติกได้สูงสุด 9,000 ตันต่อปี   นอกจากนี้ อิชิตัน ยังได้พัฒนาพื้นที่ One ChiChan ซึ่งเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตท่ามกลางธรรมชาติ ขนาด 5,000 ที่นั่งให้เป็น sustainable concert space พร้อมเชิญชวนผู้ชมคอนเสิร์ตให้ร่วมกันนำขวดน้ำที่ดื่มขณะสนุกกับคอนเสิร์ตแล้วกลับเข้าสู่ Ichitan ReCircle  รวมถึงสร้างสัญลักษณ์มาสคอต ‘Melt Man’ ตัวแทนจากธรรมชาติพร้อมเทคนิคการนำเสนอแบบ projection  mapping บอกเล่าเรื่องราวน่ารักเพื่อชวนทุกคนเห็นคุณค่าของการบริโภคอย่างยั่งยืน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง   ด้าน กิจชัย เฉลิมสุขสันต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและการขาย กลุ่มลูกค้าแพลตฟอร์มอุตสาหกรรม บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้พัฒนา ‘GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์มบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว  เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Ichitan ReCircle” จากที่ผ่านมา ได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรมากกว่า 140 องค์กร ขยายจุดทิ้งพลาสติก หรือ GC YOUเทิร์น Drop Point ไปแล้ว 400 จุด   พัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ มีความพร้อมสู่การเป็นเมืองต้นแบบด้านการท่องเที่ยวยั่งยืน และการได้รับเลือกเป็นเมืองนำร่องของโครงการ Ichitan ReCircle ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะสามารถเปลี่ยนจุดท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างถนนคนเดินวัวลาย และ One Nimman ให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม   “เรามองว่า Green Tourism ต้องไม่ใช่แค่แนวคิด แต่ต้องเป็นประสบการณ์จริง โดยนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ให้ความสำคัญกับการเลือกสถานที่เที่ยวที่เป็นมิตรต่อโลก”  พัศลินทร์ กล่าว       Alternate-X สรุปให้ อิชิตันเปิดโครงการ “Ichitan ReCircle” นำร่องที่เชียงใหม่ จัดการขวดพลาสติก PET แบบครบวงจรในระบบปิด พร้อมร่วมกับพันธมิตรพัฒนาแนวทางรีไซเคิลที่ไม่จบที่ฝังกลบ ลดปัญหาโลกร้อน ด้วยเทคโนโลยีระบบปิดแปรรูปเป็นขวดใหม่ ใช้ซ้ำได้ไม่รู้จบ และยังเสริมจุดท่องเที่ยวอย่างถนนคนเดินวัวลายและ One Nimman เป็นพื้นที่เรียนรู้ ตั้งเป้ารีไซเคิลพลาสติกได้ 9,000 ตันต่อปี ภายในปี 2570

May 30, 2025 / 0 Comments
read more

GWM แผน 3 ปีขยายธุรกิจดูแลโรคไตครบลูป รับมือ ‘ความท้าทาย’ คนไทยป่วยพุ่ง No. 5 โลก

BizKet

ปัจจุบันคนไทยป่วยโรคไตติดอันดับ 5 ของโลก เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสไปพร้อมกัน หลังพบเทรนด์ธุรกิจดูแลผู้ป่วยโรคไต ในไทยขยายตัว ทำให้ ‘GWM’ เตรียแผนปั้นธุรกิจครบวงจร   ธงชัย  ปามิ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด (มหาชน) (GWM) ดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตน้ำยาฟอกไต  ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยโรคไตผ่านคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมไตเทียมและศูนย์ไตเทียมในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนแบบครบวงจร และจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับคลีนิคฟอกไต เปิดเผยว่าบริษัทฯมีแผนในการขยายธุรกิจให้เติบโตรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการที่มีสัญญาณเพิ่มสูงขึ้นทุกปี   โดยข้อมูลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไตในประเทศไทยว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคไตสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 11.6 ล้านคน และมีคนไทยกว่า 1.12 ล้านคนมีภาวะโรคไตเรื้อรัง ขณะที่ประเทศไทยมีเครื่องฟอกเลือดด้วยไตเทียม ประมาณเกือบ 5 หมื่นเครื่อง ซึ่งกระจายอยู่ที่คลินิกประมาณ 1,151 แห่ง และรถฟอกไตเคลื่อนที่อีกบางส่วน ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ     ดังนั้น GWM จึงมีแผนที่จะขยายการให้บริการให้เติบโตรองรับความต้องการผู้ป่วย ผ่านธุรกิจทั้ง 4 ประเภท ดังนี้   ธุรกิจน้ำยาไตเทียมและน้ำยาทำความสะอาด โดยผลิตภัณฑ์ทุกชนิดผ่านการรับรองตามมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่มีคุณภาพสูง โดยกำลังการผลิตปัจจุบันสำหรับการผลิตน้ำยาฟอกไตอยู่ที่ประมาณ 180,000 แกลลอนต่อเดือน ซึ่งมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 240,000 แกลลอนภายในไตรมาส4 ปี 2568 ธุรกิจการจัดจำหน่ายและให้เช่าเวชภัณฑ์ในหน่วยไตเทียม ดำเนินธุรกิจด้วยการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ได้มาตรฐานระดับสูง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้   1.) วัสดุสิ้นเปลืองสำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ได้แก่ สายส่งเลือด เข็มฟอกไต ตัวกรองเลือดไตเทียม น้ำเกลือสำหรับฉีดเข้าเส้นเลือดชนิดนอร์มัลซาไลน์ เป็นต้น ซึ่งจำหน่ายควบคู่กับน้ำยาเข้มข้นสำหรับฟอกเลือด 2.) เครื่องไตเทียมกลุ่มบริษัทยังเป็นตัวแทนจำหน่ายและให้เช่าเครื่องฟอกไต ที่มีจุดเด่นด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเครื่องฟอกไตที่บริษัทนำมาจัดจำหน่ายผ่านการวิจัยและพัฒนามากว่า 10 ปี   ธุรกิจการให้บริการออกแบบ และติดตั้งระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการบำรุงรักษาระบบ (“ธุรกิจระบบน้ำ RO”) ดำเนินการภายใต้ บริษัท วารี เมดิคอล จำกัด (WRM) เป็นบริษัทย่อย โดยบริษัทฯถือหุ้น 100% ให้บริการครบวงจรตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ ออกแบบติดตั้ง ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และเป็นไปตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกำหนด รวมทั้งการออกแบบและผลิตตู้ควบคุมและระบบไฟฟ้าที่ได้คุณภาพ และบำรุงรักษาเชิงป้องกันระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม   ธุรกิจการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเวชสำอางสำหรับผู้ป่วยโรคไต เพื่อให้การบริการของกลุ่มบริษัทครอบคลุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยโรคไตมากยิ่งขึ้น จึงได้เริ่มต้นขยายธุรกิจไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเวชสำอางสำหรับผู้ป่วยโรคไต   เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่ายกายโดยเฉพาะโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด จากการรับการบำบัดรักษาด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รวมทั้งผลข้างเคียงของการรักษาและยา ทำให้เกิดผิวแห้งและคันได้ง่าย บริษัทซึ่งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ร่วมมือกับบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“JSP”) (บริษัทแม่และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท) ซึ่งมีความโดดเด่นด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเวชสำอางสำหรับผู้ป่วยโรคไต เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยโรคไตได้อย่างครอบคลุมครบวงจร   ด้าน ธนวรรธน์ พีระวีระภัทร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้รวม 142ล้านบาท รายได้หลักมาจากธุรกิจการผลิตน้ำยาฟอกไตสำหรับเครื่องไตเทียม คิดเป็น 70 % ของรายได้ทั้งหมด   ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีข้างหน้ารายได้รวมจะเติบโตขึ้นเป็น 200 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 10 %  ซึ่งปัจจัยที่จะสนับสนุนการเติบโตของรายได้จะมาจากการขยายศูนย์ฟอกไต และการอัตราที่เพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคไตในแต่ละปี ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ดังนั้นบริษัทฯ จึงมีแผนในการเข้าระดมทุนด้วยการจำหน่ายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีแผนจะยื่นไฟลิ่งในช่วงไตรมาส 3 ปี2568 นี้   Alternate-X สรุปให้ GWM มุ่งขยายธุรกิจดูแลผู้ป่วยโรคไตแบบครบวงจร รองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยดำเนินธุรกิจหลัก 4 ประเภท ได้แก่ น้ำยาฟอกไต อุปกรณ์การแพทย์ ระบบน้ำ RO และอาหารเสริม พร้อมมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตและเปิดศูนย์บริการใหม่ในอนาคต ตั้งเป้าเติบโตรายได้เฉลี่ยปีละ 10% ภายใน 3 ปี และ เตรียมยื่น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 3 ปี 2568

May 30, 2025 / 0 Comments
read more

5 เรื่องชวนเตรียมตัว วางแผนซ่อม/ปรับปรุงบ้าน ใช้ตัวช่วยสำรองเงินจากบัตรเครดิต/สินเชื่อ

Peace&Play

‘ที่อยู่อาศัย’ คือ หนึ่งในปัจจัยสำคัญของชีวิต เมื่อถึงเวลาต้อง ซ่อมแซมหรือตกแต่งบ้าน-คอนโด มักต้องใช้เงินก้อน ด้วยเหตุผลอาจมาจากภัยธรรมชาติ ความปลอดภัย เพื่อเพิ่มมูลค่า หรือปรับให้เหมาะกับครอบครัว ขณะที่การวางแผนการเงิน อย่างมีระบบจึงช่วยลดความกังวลและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี   กรุงศรี คอนซูมเมอร์ แนะนำวิธีจัดการงบประมาณเพื่อซ่อมหรือตกแต่งบ้านให้ราบรื่น พร้อมแนวทางบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเป็นขั้นตอน ไม่ซับซ้อน และเหมาะกับทุกความจำเป็น กับ 5 วิธีน่าลอง พร้อมนำไปปรับใช้     1.กำหนดเป้าหมาย   เพื่อให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสมกับงบประมาณที่มี ควรให้ผู้เชี่ยวชาญหรือวิศวกรเข้ามาดูบ้านเพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่ก่อน เช่น โครงสร้างภายใน-ภายนอก, ระบบไฟฟ้า, ระบบประปา, ส่วนผนังและพื้น เป็นต้น   จากนั้นวางแผนปรับปรุงหรือตกแต่งบ้านด้วยการจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลัง แยกเป็น ‘งานจำเป็น’ และ ‘งานที่อยากทำการปรับปรุง’ โดยให้เน้นคำนึงถึงงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยมาเป็นลำดับแรก   ตามด้วยงานที่ส่งผลกระทบหลักต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนงานอื่น ๆ จัดเป็นความสำคัญรองที่อาจทยอยทำเพิ่มเติมในภายหลังตามงบประมาณที่มีได้   2.ประเมินค่าใช้จ่าย   กำหนดงบประมาณโดยเริ่มจากการรวบรวมข้อมูลการซ่อมแซม ทำการประเมิน และหาข้อเสนอจากผู้รับเหมาหรือร้านวัสดุก่อสร้างโดยให้เปรียบเทียบราคาและคุณภาพงานอย่างน้อย 2-3 แห่ง   จากนั้นให้คำนวณค่าใช้จ่ายโดยละเอียด พร้อมเตรียมงบสำรองฉุกเฉินประมาณ 10-20% ของงบประมาณ รวมเผื่อกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือเกิดเปลี่ยนแปลงงานกลางคัน   3. หาแหล่งทุน   ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือตกแต่งบ้านมักจะเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ แหล่งทุนก็มักจะมาจาก เงินออมหรือรายได้ประจำ โดยควรทยอยเก็บออมล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายประจำในแต่ละเดือน   แต่หากใช้งบประมาณสูง อาจพิจารณาขอสินเชื่อปรับปรุงและตกแต่งบ้านจากสถาบันการเงิน โดยสามารถเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขในการชำระเงินก่อนตัดสินใจ   ขั้นตอนขอสินเชื่อมี 3 วิธีง่าย ๆ คือ   พิจารณาเลือกสินเชื่อที่ใช่ เช่น สินเชื่อปรับปรุงบ้าน, สินเชื่อที่ใช้บ้านเป็นหลักประกัน เป็นต้น เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เช่น งบประมาณที่ใช้ปรับปรุงและตกแต่ง, หลักฐานรายได้ผู้กู้ เป็นต้น จะทำให้ขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อผ่านได้ง่ายขึ้ วางแผนการชำระเงินคืน คิดคำนวณดูว่า จากรายได้ในแต่ละเดือนจะมีเงินพอที่จะจ่ายคืนได้เท่าไหร่   โดยหากอยากหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่สูง แนะนำให้เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจากหลายสถาบันการเงินเพื่อหาเงื่อนไขที่ดีที่สุดก่อนทำเรื่องกู้  และควรวางแผนไม่ให้เงินที่ต้องชำระคืนสูงกว่า 20% ของรายได้ในแต่ละเดือน   นอกจากนี้ ในกรณีที่ต้องซ่อมแซมบ้านเนื่องจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว หรือน้ำท่วม อาจตรวจสอบสิทธิประโยชน์จากประกันภัยหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่ากรมธรรม์บ้านหรือคอนโดที่ทำไว้ว่ามีความคุ้มครองหรือไม่ และรีบทำเอกสารส่งเคลมเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม เป็นต้น   4. ลงมือ   เมื่อได้ผู้รับเหมาที่น่าเชื่อถือแล้วให้ทำสัญญาก่อนเริ่มงานและตรวจสอบรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงงานและการจ่ายเงินเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง จากนั้นจึงเริ่มตามลำดับ ได้แก่   งานด่วน (เช่น โครงสร้างบ้าน, โครงสร้างเหล็ก, โครงสร้างคอนกรีต เป็นต้น) งานพื้นฐาน (เช่น ระบบไฟฟ้า, ระบบประปา, ระบบสุขาภิบาล เป็นต้น) 3. งานตกแต่ง (เช่น ทาสี, ติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์, งานตกแต่งภายใน เป็นต้น)   พร้อมทั้งติดตามและปรับแผนงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามงบที่วางไว้ และสามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด   5.บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ตัวช่วยเรื่องบ้านที่ไม่ควรมองข้าม   บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล นับเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเมื่อต้องใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องบ้าน เนื่องจากบัตรเครดิตบางประเภทให้สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการเกี่ยวกับการดูแลและตกแต่งบ้านที่คุ้มค่า เช่น ส่วนลด, โปรโมชันพิเศษต่าง ๆ, คะแนนสะสม หรืออาจเลือกผ่อน 0% ได้นานหลายเดือนตามเงื่อนไขของแต่ละสถาบันการเงิน   ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้บริการจัดการการใช้จ่ายได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น บัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ที่มอบส่วนลด 3% หากทำครบตามเงื่อนไขเมื่อรูดใช้จ่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านที่โฮมโปรทุกสาขา   หรือเมื่อใช้บริการ Home Service ดูแลทุกบริการเรื่องบ้าน, หรือบัตรโฮมโปร เฟิร์สช้อยส์ ที่มอบสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 24 เดือน เมื่อใช้จ่ายตามเงื่อนไขที่โฮมโปรทุกสาขาและโฮโปร ออนไลน์ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด) ทั้งนี้ บัตรเครดิต : ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี, สินเชื่อส่วนบุคคล : อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 15%-25% ต่อปี   Alternate-X สรุปให้  กรุงศรี คอนซูมเมอร์ แนะนำ 5 วิธีวางแผนซ่อม-แต่งบ้านแบบมือโปร คุมงบไม่บานปลาย เริ่มจากตั้งเป้าหมาย ประเมินค่าใช้จ่าย และหาแหล่งทุนอย่างเหมาะสม และพิจารณาใช้สินเชื่อหรือบัตรเครดิตที่มีโปรโมชันบ้านโดยเฉพาะ พร้อมควรจัดลำดับงานและติดตามแผนงานให้สอดคล้องกับงบที่ตั้งไว้ โดยบัตรเครดิตและสินเชื่อคือเครื่องมือช่วยผ่อนแรง เมื่อใช้อย่างมีวินัย  

May 30, 2025 / 0 Comments
read more

ล้วงกำลังซื้อเจนฯZ รู้ความต้องการตัวเองดี ขอ ‘เสิร์ชก่อนซื้อ’ ต้องทำคอนเทนต์ ‘ดูไว เข้าใจง่าย’

BizKet

Kantar เปิดผลวิจัยเทรนด์การซื้อสินค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเจาะลึกอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย เน้นกลุ่ม Gen Z อายุระหว่าง 18–24 ปี   สรุปภาพรวมการเสพสื่อของ Gen Z เน้น Multi-Format คอนเทนต์ต้องเข้าถึงได้ง่าย และสามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนและครีเอเตอร์   โดย รูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ   71% คอนเทนต์วิดีโอสั้นแนวตั้ง ตอบโจทย์พฤติกรรมแบบเสพคอนเทนต์แบบ Mobile First ที่เน้น ‘ดูไว เข้าใจง่าย 56%) คอนเทนต์วิดีโอยาว ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่คนต้องการศึกษารายละเอียดเชิงลึก อาทิ วิดีโอสอนการใช้งาน (Tutorial) วิดีโอถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ (Vlog) วิดีโอให้สาระ-ความรู้ (Documentary) 32% ไลฟ์สตรีม อาทิ เกมสตรีมสด สะท้อนความชอบ Gen Z ที่เน้นคอนเทนต์สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ ดูที่ไหน เมื่อไรก็ได้ มากกว่าคอนเทนต์เรียลไทม์   นอกจากนี้ Gen Z ยังเปิดรับสื่อวิดีโอที่หลากหลาย สั้น-ยาว สลับกันไปมา การใช้วิดีโอสั้นเข้ามาดึงดูดความสนใจ เพื่อนำไปสู่การรับชมคอนเทนต์วิดีโอยาว กำลังจะกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่   โดยนักการตลาด จึงควรวางกลยุทธ์การสื่อสารที่ครอบคลุมรูปแบบของเนื้อหาและช่วงเวลาที่เหมาะสม     สำหรับช่องทางสื่อที่ครองใจ Gen Z มากที่สุด คือ   78% Youtube 66% Tiktok 41% Instagram 39% Facebook 21% X 18% Line     ขณะเดียวกัน Gen Z ยังเลือกเสพคอนเทนต์จาก YouTube สำหรับวิดีโอยาว เพราะแพลตฟอร์มนี้ ช่วยให้อินฟลูเอนเซอร์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถอธิบายข้อมูลได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง   โดย 97% ของผู้บริโภค Gen Z มองว่า ‘ครีเอเตอร์ที่น่าเชื่อถือ’  มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ ซึ่ง Gen Z ให้ความสำคัญจากรีวิวที่เชื่อถือได้จากความเชี่ยวชาญของผู้ใช้งานจริง สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับ YouTube   ทั้งนี้ นักการตลาดควรพิจารณาให้ดีว่า ควรให้ใครพูดแทนแบรนด์ถึงจะทำให้รีวิวนั้นน่าเชื่อถือมากพอ”   ควรขายอะไรให้ Gen Z และกลุ่มนี้ชอบอะไร ?   ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง (36%) อาหารและเครื่องดื่ม (35%) แฟชั่นผู้หญิง (33%) ความงาม (30%) เครื่องประดับแฟชั่น (28%)   สแกนพฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z ‘เสิร์ช’ ก่อนซื้อ   สาวเจนฯ Z   มีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยที่หลากหลายมากกว่า ให้ความสำคัญกับสินค้าที่แสดงออกถึงตัวตนอย่างชัดเจน นักการตลาดอาจพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ตัวตนและส่งเสริมภาพลักษณ์ในแบบที่ผู้หญิง Gen Z ต้องการ   หนุ่มเจนฯ Z   นิยมซื้อสินค้าประเภทแฟชั่นผู้ชาย ชอบอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก   โดยหลังจาก Gen Z รู้ว่าตนเองต้องการอะไร พวกเขาชอบมีพฤติกรรม ‘เสิร์ชก่อนซื้อ’ โดยแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ตอบโจทย์การซื้อของคนกลุ่มนี้มากสุด ได้แก่   Shopee (52%) Lazada (22%) Tiktok (16%) Facebook (8%) Shein (2%)   สำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ‘Shopee’ ครองใจผู้บริโภค Gen Z มากกว่าครึ่ง มาจากด้าน UX/UI ที่ใช้งานง่าย โปรโมชั่นและส่วนลดที่น่าดึงดูดใจ รวมไปถึงประสบการณ์ด้านขนส่งที่น่าเชื่อถือ   ปัจจัยกระตุ้นกลุ่ม Gen Z ซื้อของผ่านออนไลน์ คือ   การส่งฟรี (40%) โปรโมชั่นที่น่าสนใจ (29%) ส่วนลดที่คุ้มค่า (28%)   ขณะที่ พฤติกรรมนี้อาจจะกำลังบอกนักการตลาดว่า การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้เล่นที่ ‘ราคาถูกที่สุด’ อาจไม่ใช่วิธีที่เวิร์คเสมอไป แต่ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าในแง่ของประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเป็นสำคัญ Alternate-X สรุปให้ Kantar เผยเทรนด์พฤติกรรมการซื้อของ Gen Z ไทย (18–24 ปี) ผ่านคอนเทนต์วิดีโอสั้นและยาวบน YouTube, TikTok โดย Gen Z เน้นเสพคอนเทนต์ Mobile First, เข้าใจง่าย, มีปฏิสัมพันธ์ และรีวิวที่น่าเชื่อถือจากผู้เชี่ยวชาญ ขณะที่ Shopee ครองใจการซื้อสินค้าออนไลน์ ตามด้วย Lazada และ TikTok ส่วนสินค้ายอดนิยม ได้แก่ สกินแคร์, อาหาร, แฟชั่น, เครื่องสำอาง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยปัจจัยตัดสินใจซื้อ คือ  ส่งฟรี, โปรแรง, ความคุ้มค่า ไม่ใช่แค่ราคาถูกที่สุด

May 30, 2025 / 0 Comments
read more

เนสท์เล่ฯ ฟ้องกลับ ‘มหากิจศิริ’ เรียก 577 ล.บาท ค่าเสียหายหยุดขาย8 วันในไทย

BizKet

เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ได้มีนัดไกล่เกลี่ย ระหว่างคู่กรณี จากการที่บริษัทในเครือ เนสท์เล่ เอส. เอ. ที่สวิตเซอร์แลนด์ในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้า เนสกาแฟ และเนสท์เล่ ไทย ในฐานะผู้ได้รับสิทธิใช้เครื่องหมายการค้าเนสกาแฟในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว ได้ยื่นฟ้องนายประยุทธ มหากิจศิริ และนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ จากการกระทำที่กระทบสิทธิในเครื่องหมายทางการค้าเนสกาแฟ โดยเนสท์เล่เรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 577 ล้านบาท ซึ่งคำนวณจากค่าเสียหายจากการที่เนสท์เล่ต้องหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟไป 8 วัน   ซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวยืนยันว่า เนสท์เล่ ไทย เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafe” และ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย   คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้มาศาลเพื่อร่วมขั้นตอนไกล่เกลี่ย โดยนายเฉลิมชัย มหากิจศิริและตัวแทนของเนสท์เล่ ไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ จึงให้คู่ความเข้ากระบวนการพิจารณาคดีและกำหนดประเด็นข้อพิพาทต่อไปในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นี้   ก่อนหน้านี้ เนสท์เล่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกกิจการบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด(QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายได้รับส่วนแบ่งสินทรัพย์ของตนและสามารถนำสินทรัพย์ดังกล่าวไปลงทุนตามความต้องการของตนเองได้ เนื่องจากกรรมการบริษัทและผู้ถือหุ้นไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของบริษัท QCP  และบริษัท QCP ได้หยุดการดำเนินงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นมา   นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังได้ขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีหรือผู้จัดการทรัพย์สินเพื่อทำหน้าที่ดูแลภาระทางการเงินของบริษัท QCP และปกป้องทรัพย์สินของบริษัท จนกว่าศาลจะมีคำตัดสินเกี่ยวกับการเลิกกิจการบริษัท QCP โดยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้สืบพยานฝ่ายโจทก์จำนวน 3 ปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และศาลได้นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยในวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่จะถึงนี้   ทั้งนี้ เนสท์เล่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ให้การเลิกกิจการบริษัท QCP เป็นไปอย่างราบรื่น และลดผลกระทบที่อาจมีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยเนสท์เล่ยังคงเป็นบริษัทที่รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดของไทย และจะเดินหน้าลงทุนเพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย ระหว่างปี 2533 ถึง 2567 ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศไทยเคยผลิตโดยบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ โดยนายประยุทธ และนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ไม่ใช่เจ้าของเนสกาแฟ แต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นในโรงงาน QCP ส่วนแบรนด์เนสกาแฟและเทคโนโลยีการผลิตที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นของเนสท์เล่ และเนสท์เล่เป็นผู้บริหารงานบริษัท QCP ทั้งหมดด้วยตนเองมาโดยตลอด   Alternat-X สรุปให้  ศาลทรัพย์สินทางปัญญานัดไกล่เกลี่ยคดีระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ กรณีใช้เครื่องหมายการค้า “เนสกาแฟ” เนสท์เล่เรียกร้องค่าเสียหาย 577 ล้านบาทจากการหยุดขาย 8 วัน ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลนัดพิจารณาคดีต่อในวันที่ 9 มิ.ย. 2568 เนสท์เล่ยังยื่นขอเลิกกิจการ QCP บริษัทร่วมทุนกับตระกูลมหากิจศิริ หลังหยุดดำเนินการตั้งแต่ต้นปี ยืนยันสิทธิในแบรนด์-เทคโนโลยี “เนสกาแฟ” เป็นของเนสท์เล่แต่เพียงผู้เดียว

May 30, 2025 / 0 Comments
read more

‘มิดเยียร์ เซล’ ระดับชาติแมปเมืองไทย ปลายทางช้อปโลก หนุนนทท.เปย์หนักดัน ‘Tourist Mall’ โต

BizKet

เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่ม 1,000 ล.บาทจัดแคมเปญ “Summer Grand Sale 2025” มหกรรมมิดเยียร์เซลล์ระดับชาติ รับเทรนด์ ‘Loud Budgeting’ คนรุ่นใหม่เจนฯZ ใช้จ่ายอย่างมีความหมาย   ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร (มิกซ์ยูส) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล กล่าวว่า เซ็นทรัลพัฒนา วางแนวทางร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านกิจกรรมการตลาดภายใต้แคมเปญระดับชาติตลอด 16 ปีที่ผ่านมา อาทิ ในช่วงโควิด-2019 ในแคมเปญ ‘ช้อปช่วยชาติ’ อีกหนึ่งคีย์ ไดร์ฟเวอร์ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงโลว์ซีซั่นและช่วยฟื้นฟูประเทศ   ล่าสุด บริษัทฯร่วมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Global Shopping Destination ที่แข่งขันได้ทั้งในเอเชียและเวทีโลก ด้วย Midyear Sale Campaign พร้อมลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ร่วมกับพันธมิตรกลุ่มเซ็นทรัล, เอกชนและภาครัฐ จัดแคมเปญ ‘Summer Grand Sale 2025” ประจำกลางปีมีสินค้าครบทุกหมวด รวมกว่า 28,000 แบรนด์ และ 12,000 ร้านค้า   ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลก ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้จ่ายมากกว่าที่เคย โดยมีเทรนด์ระดับโลกอย่าง ‘Loud Budgeting’ ที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม Gen Z และคนรุ่นใหม่ ซึ่งเลือกใช้เงินอย่างมีเป้าหมาย โชว์ความคุ้มค่า   “กระแสดังนี้ยังสอดคล้องกับแคมเปญSummer Grand Sale 2025 ของเซ็นทรัลพัฒนา โดยมุ่งให้เป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศผ่านพลังของค้าปลีก การท่องเที่ยว และการจับจ่ายของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งต้องการจุดกระแสการใช้จ่ายให้เกิดขึ้นจริง พร้อมชวนคนไทยออกมาช้อปอย่างคุ้มค่า เพื่อช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้”   โดยแคมเปญฯ นี้ คาดว่าจะสามารถสร้างทราฟฟิกทั่วประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 25–30% ในช่วงไตรมาส 2–3 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นตัวและหวังให้ส่วนหนึ่งในภาคการท่องเที่ยว และการหมุนเวียนรายได้ในทุกภูมิภาคเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Top of Mind Shopping Destination ของเอเชีย เป็นจุดหมายปลายทางนักช้อป   สำหรับแคมเปญ ‘SUMMER GRAND SALE 2025’ #ช้อปดีชีเสิร์ฟที่เซ็นทรัล ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. – 13 ก.ค. 2568นี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ, เอสพละนาด รัชดาภิเษก, กลุ่มเซ็นทรัล และเซ็นทรัล รีเทล นำโดย ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล   ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ในเครือเซ็นทรัล รีเทล, เซ็นทรัลออนไลน์ (เซ็นทรัลแอป), ซูเปอร์สปอร์ต, เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป (CMG), ท็อปส์ ฟู้ด ฮอล์, ท็อปส์, ท็อปส์แคร์, โก โฮลเซลล์, เพาเวอร์บาย, ออฟฟิศเมท, บีทูเอส, ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์, เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา, โรงแรม โก โฮเทล, ยูบิลลี่ ไดมอนด์, อีโวลท์ เทคโนโลยี, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, เอส เอฟ ซีเนม่า และ The 1   พร้อมด้วยพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน, บัตรเครดิตอิออน, บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ, บัตรเครดิตคาร์ดเอกซ์ และบัตรเครดิตไทยพาณิชย์, บัตรเครดิตธนาคารออมสิน, บัตรเครดิตกสิกรไทย, บัตรเครดิต กรุงศรี, บัตรเครดิตเคทีซี และบัตรเครดิต ทีทีบี (บัตรเครดิตทีเอ็มบี บัตรเครดิตธนชาต)   Alternate-X สรุปให้ เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท จัด “Summer Grand Sale 2025” แคมเปญมิดเยียร์เซลล์ระดับชาติ ตอบรับเทรนด์ ‘Loud Budgeting’ คนรุ่นใหม่เน้นใช้จ่ายอย่างมีเป้าหมายและคุ้มค่า จับมือพันธมิตรภาครัฐ-เอกชน รวม 28,000 แบรนด์ และ 12,000 ร้านค้า กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังผ่านพลังช้อปปิ้งและท่องเที่ยว ตั้งเป้าดึงทราฟฟิกทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 25–30% พร้อมผลักดันไทยสู่ Global Shopping Destination

May 30, 2025 / 0 Comments
read more

เทรนด์ความงามมาแรง ‘ดูแลผิว’ แบบไม่ผ่าตัด ‘ผู้ชาย-สูงวัย’ ลูกค้าใหม่เติมอุตฯบิวตี้ 7.5 หมื่นล.

BizKet

เศรษฐกิจชะลอตัว แต่อุตฯความงามปีนี้ยังแตะ 7.5 หมื่นล้านบาท ได้ลูกค้าใหม่ ‘ผู้ชาย-สูงวัย’ เข้ามาเติมตลาด  วอนเทค เอเชีย ย้ำ ‘Oligio’ โปรแกรมความงามจากเกาหลีเจาะเทรนด์สกินแคร์ดูแลผิวแบบไม่ผ่าตัดในไทย   ไอแซค จาง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วอนเทค เอเชีย จำกัด ผู้ใหบริการนวัตกรรมความงาม และการแพทย์จากประเทศเกาหลีใต้ โปรแกรมกระชับผิวหน้าและลำคอ Oligio (โอลิจิโอ้) เปิดเผยว่า ข้อมูลจาก ‘ttb analytics’ ระบุ อุตสาหกรรมความงามในปี 2025 คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดประมาณ 75,000 ล้านบาท เติบโต 2.7% จากปี 2024   โดยมีกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เช่น ผู้ชายและผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันเริ่มหันมาใส่ใจการดูแลรูปลักษณ์มากขึ้น   “อุตสาหกรรมความงามของไทยได้การยอมรับว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีศักยภาพสูงในปี 2025 โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา”     ขณะที่ ภาพรวมตลาดความงามของไทยในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์และบริการที่ไม่ต้องผ่าตัด (non-invasive) ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาวิธีการดูแลตัวเองที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ1   จากแนวโน้มดังกล่าว ล่าสุดบริษัทฯ วางแผนการตลาดเชิงรุกในไทยจัดงาน ‘The Way of Lift with Oligio’ พร้อมให้ความรู้เทรนด์ความงาม ‘The Ordinary Natural’ Look จากผู้เชี่ยวชาญ ‘แพทย์หญิงวรนรี วินะยานุวัติคุณ’ เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปปรับให้สวยในแบบธรรมชาติได้   ขณะเดียวกันยังได้ปิดตัวสองพรีเซนเตอร์ตัวท็อประดับประเทศ ‘บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล’ และ ‘พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร’ มาร่วมถ่ายทอด สะท้อนตัวตน สู่ The Best Version of You ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้า สยามพารากอน   ไอแซค กล่าวว่า สำหรับ สองพรีเซ็นเตอร์คู่ดังกล่าว เพื่อย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ภายใต้แนวคิด ‘The Best Version of You’ ถ่ายทอดถึงกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุดแบบธรรมชาติ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น​   พร้อมเสริมต่อ ทิศทางการดำเนินธุรกิจบริษัทฯ มุ่งให้ความสำคัญด้าน Skin Quality โดยใช้งบลงทุนด้านวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยี ราว 70% เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และตอบโจทย์ลูกค้าและแพทย์ด้านสกินแคร์ และอีก 30% ใช้ในการทำตลาดให้มีประสิทธิภาพ รอบด้าน   ปัจจุบัน Oligio มีให้บริการแล้วกว่า 400 คลินิกทั่วประเทศ โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และในสิ้นปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายการเติบโตทางธุรกิจ เพิ่มขึ้นอีก 100% หรือแตะที่ 800 ล้านบาท เพื่อตอบรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจน โดยไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน Alternate-X สรุปให้  แม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่อุตสาหกรรมความงามปี 2025 ยังเติบโต คาดแตะ 75,000 ล้านบาท โดยมีลูกค้าใหม่คือผู้ชายและผู้สูงวัย โดย ‘Oligio’ ยังมุ่งนำเสนอนวัตกรรมกระชับผิวจากเกาหลี เจาะเทรนด์ดูแลผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ ‘บิวกิ้น-พีพี’ ถ่ายทอดแนวคิด ‘The Best Version of You’ โดยแนวทางบริษัทเน้นลงทุน 70% ในวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านคุณภาพผิว พร้อมตั้งเป้าขยายรายได้แตะ 800 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2568 ผ่านเครือข่ายคลินิกทั่วไทย    

May 30, 2025 / 0 Comments
read more

อนาคต ‘นมธัญพืช’ โตแรง ตลาดมีมูลค่าแตะหมื่นล้านบาท ‘เฮอริเทจ’ ส่ง ‘ลัฟ นมโอ๊ต’ ชิงส่วนแบ่ง

BizKet

‘เฮอริเทจ’ ขยายอาณาจักร ส่งแบรนด์ใหม่ ‘ลัฟ นมโอ๊ต’ เจาะตลาดนมทางเลือก 3 พันล.บาทใน 2 ปีหน้า ใช้ ‘หลิง คอง’ แบรนด์แอมฯ เข้าถึงคนรุ่นใหม่รับเทรนด์ดื่มนมธัญพืชโตแซงนมวัวพร้อมดื่ม 6 หมื่นล.บาท ตลาดนี้ว่านิ่งแล้ว แต่นมถั่วเหลืองนิ่งกว่าอีก   วศธร พลไพศาล ผู้บริหารเครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและทำตลาดอาหารว่างและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ในตลาดมานานร่วม 40 ปี ปัจจุบันทำตลาดสินค้าภายใต้แบรนด์ต่างๆ อาทิ Heritage: ถั่ว ธัญพืช และผลไม้อบแห้งพรีเมียม สำหรับเป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร, Blue Diamond Almonds & Almond Breeze: อัลมอนด์จากแคลิฟอร์เนีย และเครื่องดื่มน้ำนมอัลมอนด์ และ Sunkist Pistachio ถั่วพิสทาชิโอคุณภาพสูง และเครื่องดื่มน้ำนมพิสทาชิโอ ฯลฯ ทำตลาดในประเทศและกว่า 60 ประเทศทั่วโลก   โดยในปี2568 นี้ บริษัทฯ วาง 3 กลยุทธ์หลักทำตลาด คือ 1.ขยายผลิตภัณฑ์ทำตลาดเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง 2. พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อทำตลาดในระดับสากล และ 3. ขยายกลุ่มเป้าหมายในตลาดใหม่ทั้งในเอเชีย, ยุโรป และ ตะวันออกกลาง พร้อมนำเทคโนโลยีและดิจิทัล มาใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาช่องทางจำหน่ายออนไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินค้าจากพฤติกรรมออนไลน์ผู้บริโภคทั่วโลก   ด้าน สุริยา มูลศรี ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำประเทศไทย เครือเฮอริเทจ กล่าวว่าในปีนี้ เฮอริเทจ ยังได้พัฒนาสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ ‘ลัฟ นมโอ๊ต’เพื่อทำตลาดนมทางเลือกในกลุ่มนมธัญพืช โดยวางแผนเปิดตัวสินค้าอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 มิถุนายน นี้ พร้อมร่วมงานกับ ‘หลิง-ศิริลักษณ์ คอง’ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์สินค้าดังกล่าว ด้วย   สำหรับผลิตภัณฑ์ ‘ลัฟ นมโอ๊ต’ เพื่อรองรับโอกาสในตลาดนมทางเลือกที่มีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่อง คาด 2 ปีหน้าจะมีมูลค่าการตลาดอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท และใน 5 ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาท และใน10 ปีหน้ามีโอกาสแตะ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันตลาดนมทางเลือกมีมูลค่าราว 1,900 ล้านบาท ซึ่งจะเติบโต10-15% ต่อเนื่องทุกปี   “ปัจจุบันตลาดนมพร้อมดื่มมีมูลค่าราว 6 หมื่นล้านบาทซึ่งเติบโตคงที่ ส่วนนมถั่วเหลืองไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในนมนมธัญพืช ด้วยสินค้าบางรายใช้นมผงใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม และตลาดมีแนวโน้มเติบโตลดลง”  สุริยา กล่าว   พร้อมเสริมว่า ปัจจุบัน เฮอริเทจ ทำตลาดผลิตภัณฑ์นมทางเลือกรวม 3 แบรนด์หลัก คือ Almond Breeze เครื่องดื่มน้ำนมอัลมอนด์ และ Sunkist Pistachio น้ำนมถั่วพิทาชิโอ ซึ่งได้การตอบรับดี โดยครองส่วนแบ่งรายได้รวมกันไม่ต่ำกว่า 80% แบ่งเป็นนมอัลมอนด์ราว 50% มีอัตราเติบโต 9 %   จากแผนดังกล่าว บริษัทฯคาดว่า จะผลักดันให้ธุรกิจผลิตภัณฑ์นมทางเลือก เติบโตสองหลักและเป็นทิศทางเดียวกับการเติบโตของเครือเฮอริเทจ จากการดำเนินงานตามกลยุทธ์ข้างต้น     Alternate-x สรุปให้ เครือเฮอริเทจ เปิดตัวแบรนด์นมธัญพืชใหม่ ‘ลัฟ นมโอ๊ต’พร้อมใช้ ‘หลิง คอง’ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เจาะตลาดนมทางเลือกธัญพืชเป็นแบรนด์ที่ 3 ต่อจากนมอัลมอนด์ บรีซ และ นมพิสทาชิโอ ซันคิสท์ รับกระแสคนรุ่นใหม่ดูแลสุขภาพยังมาแรง ทำให้ตลาดนมธัญพืชมีแนวโน้มเติบโต 10–15% ต่อปี สวนทางนมถั่วเหลืองชะลอตัว      

May 29, 2025 / 0 Comments
read more

6ty° Degrees X ‘เชียงดาว’ แหล่งผลิตน้ำแร่ร้อนใต้ภิภพ หนึ่งเดียวในไทยจุดขายทำตลาดภูมิภาค

BizKet

6ty° Degrees แบรนด์น้ำแร่ที่ใช้แหล่งแร่น้ำร้อนที่เชียงดาว เป็นจุดขายทำตลาดเจาะกลุ่ม ‘Prosumer’ ผู้บริโภคฉลาดเลือก พร้อมแดบิวต์แบรนด์ระดับภูมิภาคครั้งแรกในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025   รีน่า อุดมคุณธรรม ผู้ก่อตั้ง บริษัท แร่เบฟเวอเรจ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำแร่ธรรมชาติ ภายใต้แบรนด์ 6ty Degrees (ซิกตี้ ดีกรี) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทวางแผนขยายการทำตลาดเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตธุรกิจน้ำแร่ซิกตี้ ดีกรี   โดยย้ำจุดเด่นผลิตภัณฑ์ 6ty Degrees น้ำแร่ธรรมชาติ 100% จากแหล่งน้ำแร่ร้อนที่เชียงดาว ซึ่งเป็นแหล่งน้ำแร่ร้อนใต้พิภพแห่งเดียวของประเทศไทย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งใหม่ของโลก โดยองค์กรการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)   สำหรับน้ำแร่จากแหล่งนี้ผ่านชั้นหินที่ความลึก 250 เมตรที่อุณหภูมิ 60 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิพอเหมาะในการฆ่าเชื้อโรคและยังรักษาเเร่ธาตุที่มีอยู่ไว้ได้อย่างครบถ้วน และปราศจากโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย   “ทำให้ 6ty Degrees อุดมไปด้วยแร่ธาตุถึง 16 ชนิด ทั้ง แมกนีเซียม โพแทสเซียม ไบคาร์บอเนต ซิลิกา แคลเซียม โซเดียม เหล็ก สังกะสี ไอโอดีน ฟลูออไรด์ แมงกานีส ลิเทียม ฟอสฟอรัส ซัลเฟอร์ โบรอน และ สตรอนเทียม” รีน่า กล่าวพร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ยังมีจุดขายสำคัญอีกประการของแบรนด์ คือ ฝาขวดรักษ์โลกที่ดีไซน์ให้เป็นชิ้นเดียวกันกับตัวขวด เพียงแค่หมุนฝาขวดและเปิดฝาขวดค้างไว้ที่ 170 องศาก็สามารถดื่มน้ำได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าฝาขวดจะหายหรือตกหล่นและยังสะดวกต่อการแยกขยะอีกด้วย”     รีน่า กล่าวว่า ในปัจจุบันกระแสตลาดน้ำแร่บรรจุขวดเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในหลายภูมิภาค รวมทั้งประเทศไทย อาทิ ไลฟ์สไตล์คนเมือง (Urbanization) ที่ขยายตัวไปทั่วประเทศและในระดับโลก มีความต้องการบริโภคน้ำดื่มที่มีความปลอดภัย มีคุณสมบัติพิเศษ และมีคุณค่ามากกว่าน้ำดื่มธรรมดาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลักดันให้ตลาดน้ำแร่เติบโตอย่างต่อเนื่อง   โดยบริษัทฯ วางแผนการทำตลาดดังกล่าวในกลุ่มผู้รักสุขภาพ และกลุ่มผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ระดับกลาง-บน และกลุ่ม Prosumer หรือผู้บริโภคที่ฉลาดเลือก โดยในปีนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในผ่านงานเทรดแฟร์ด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับภูมิภาค THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 เป็นปีแรก   โดยงานฯ ยังรวบรวมมีพันธมิตรธุรกิจ (trader) ประมาณ 8.6 หมื่นคนในปี 2567 จาก 131 ประเทศ (อ้างอิงจาก asiafoodbeverages.com) และทำให้เกิดมูลค่าการค้ามูลค่า 9.63 หมื่นล้านบาท (อ้างอิงจาก foodengineeringmag.com)   “การร่วมงาน THAIFEX ครั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะผลักดันให้สินค้าเข้าถึงผู้นำเข้าในตลาดเป้าหมายได้ทั้งธุรกิจค้าปลีกระดับพรีเมียม หรือแม้แต่โรงแรมและร้านอาหารไทยในประเทศนั้นๆ ซึ่งจะสามารถตอกย้ำถึงแหล่งกำเนิดของน้ำแร่ 6ty Degrees ที่มาจากแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติจากประเทศไทยได้” รีน่ากล่าว   พร้อมเสริมว่า การเปิดตัวในงานฯ ดังกล่าว ยังเป็นโอกาสขยายการทำตลาดสินค้าไปยังกลุ่มผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ดี และเห็นความสำคัญของการรักสุขภาพ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น   สำหรับการทำตลาดในประเทศไทยนั้น บริษัทฯ เปิดตัวแคมเปญใหม่ 6ty Manifesto เพื่อสร้าง awareness กับกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ให้เห็นความแตกต่างของแบรนด์ในตลาดน้ำแร่ ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ไม่ใช่อะไรก็ได้แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบวกได้อย่างแตกต่างและฉลาดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองตลอดเวลา   โดยใช้ 3 กลยุทธ์ คือ การสื่อสารทางการตลาดครบวงจร, ประสบการณ์กับแบรนด์ และ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปท์ Active Healthy Lifestyle เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ จากปัจจุบันได้นำร่องทำตลาดขวดแก้ว (Non-returnable glass bottle) และน้ำแร่รสชาติผลไม้ผสมวิตามินสำหรับเด็ก   ทั้งนี้ จากแผนดังกล่าวของบริษัทฯตั้งเป้าเติบโตในอัตราตัวเลขสองหลัก (Double Digits)   รีน่า กล่าวถึงภาพรวมตลาดน้ำแร่ยังมีการแข่งขันเข้มข้น โดยในปี 2567 พบว่าผู้เล่นทุกค่ายในตลาดต่างใช้งบการตลาดสูง เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ให้ผู้บริโภคเห็นความสำคัญของการบริโภคน้ำแร่ ซึ่งแต่ละรายต่างพยายามรักษาหน้าตักของตนเองให้ได้ โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อที่เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว อย่างน้อยก็เพื่อปกป้อง Share of Voice ของแบรนด์   Alternate-X สรุปให้  6ty° Degrees แบรนด์น้ำแร่จากเชียงดาว ชูจุดขายน้ำแร่ร้อนใต้พิภพเจาะตลาดคนฉลาดเลือก หรือ Prosumer พร้อมเปิดตัวแบรนด์ระดับภูมิภาคในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 เจาะกลุ่มนำเข้าและค้าปลีกระดับพรีเมียม ด้วยจุดเด่นผลิตภัณฑ์ แร่ธาตุครบ 16 ชนิด และฝาขวดดีไซน์รักษ์โลก ตั้งเป้าขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมกลยุทธ์ Active Healthy Lifestyle วางเป้าเติบโตเลขสองหลักในตลาดน้ำแร่ที่กำลังแข่งขันสูงทั้งไทยและภูมิภาค

May 29, 2025 / 0 Comments
read more

‘ฟิลิปปินส์’ ดีมานด์ใช้ไฟพุ่ง บี.กริมฯ ลงทุนเพิ่มในท้องถิ่น ทำโรงไฟฟ้าโซลาร์ พร้อมขายปี’70

EcoVative

บี.กริม เพาเวอร์ ลงทุนฟิลิปปินส์ ซื้อหุ้นเพิ่มโครงการ Caronsi โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 65 เมกะวัตต์ เพิ่มพอร์ท ‘พลังงานทดแทน’ แผนขายไฟเชิงพาณิชย์ ไตรมาสแรก ปี 2570   ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า B.Grimm Solar Power Inc. บริษัทย่อยที่บี.กริม เพาเวอร์ ถือหุ้น 100% ได้เข้าลงทุนโดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน Caronsi Solar Energy Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์   ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาและดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้ง 65 เมกะวัตต์ โดย B.Grimm Solar Power Inc. ถือหุ้นในสัดส่วน 97% ของหุ้นที่ออกทั้งหมด มีมูลค่าการลงทุน 200 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ (เทียบเท่ามูลค่าประมาณ 118.52 ล้านบาท) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2570   สำหรับ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมือง Tuguegarao จังหวัด Cagayan ทางตอนเหนือของเกาะ Luzon สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยได้รับสิทธิในการจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นระยะเวลา 25 ปี (สามารถต่ออายุได้) ภายใต้สัญญา Solar Energy Operating จาก Department of Energy ของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รวมถึงมีสิทธิการเช่าที่ดินระยะยาวเป็นเวลา 25 ปี (สามารถต่ออายุได้) โดยได้รับการอนุมัติและรับใบอนุญาตครบถ้วนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง   นอกจากนี้ โครงการยังได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ “BOI Green Lane” มาตรการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งช่วยเร่งรัดกระบวนการอนุมัติและออกใบอนุญาตต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมในการเข้าสู่ขั้นตอนก่อสร้างและดำเนินการโครงการ ซึ่งถือเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่โครงการที่ 2 ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ของ บี.กริม เพาเวอร์   ทั้งนี้ จากความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นต่อเนื่องในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ การลงทุนในครั้งนี้จึงถือเป็นการวางกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนภาคพลังงานสะอาด และขยายการลงทุนของ บี.กริม เพาเวอร์ ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนตามแนวโน้มการใช้พลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลก   ขณะเดียวกัน ยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนของบริษัทให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ พร้อมผลักดันเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ระยะยาวให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ตามยุทธศาสตร์ GreenLeap-Global and Green ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่มุ่งยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจระดับโลกกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานทดแทน และผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก   ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวและยังเป็นการขยายความร่วมมือทางธุรกิจเพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้า 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 และก้าวสู่เป้าหมายองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593     Alternate-X สรุปให้    บี.กริม เพาเวอร์ ขยายการลงทุนในฟิลิปปินส์ ผ่านบริษัทลูกซื้อหุ้นเพิ่มทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Caronsi ขนาด 65 เมกะวัตต์ มูลค่า 118.5 ล้านบาท เตรียมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาสแรก ปี 2570 พร้อมรับสิทธิจำหน่ายไฟฟ้าและเช่าที่ดินระยะยาว 25 ปี โดยโครงการได้รับการสนับสนุนจากรัฐผ่าน BOI Green Lane เพื่อเร่งรัดการอนุมัติ ถือเป็นโครงการใหญ่ลำดับที่ 2 ของบี.กริมฯ ในฟิลิปปินส์ และตอกย้ำกลยุทธ์ GreenLeap ขยายพลังงานหมุนเวียนสู่เป้าหมาย 10,000 เมกะวัตต์ในปี 2573 และ Net-Zero ปี 2593

May 29, 2025 / 0 Comments
read more

ไม่ควรมองข้าม!! 5 วิธี เลือกหมวกกันน็อกเด็ก แนะเปลี่ยนใหม่ทุก 3-5 ปี ปลอดภัยกว่า

Peace&Play,  WeView

รถจักรยานยนต์ หรือ มอเตอร์ไซค์ เป็นตัวเลือกการเดินทางของหลายครอบครัวในปัจจุบัน ด้วยจุดเด่นทั้ง ความสะดวกสบายและคล่องตัว   อย่างไรก็ตาม การเดินทางด้วยยานพาหนะดังกล่าว อาจแฝงไว้ด้วยความเสี่ยงที่หลายคนคาดไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีเด็กต้องนั่งซ้อนท้ายโดย และไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม   ‘กรุงศรี ออโต้’ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มองเห็นความสำคัญต่อประเด็นนี้ พร้อมสานต่อโครงการ LET’sponsible เพื่อร่วมปลูกฝังความรับผิดชอบต่อสังคมและส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนนโดยมุ่งหวังให้ผู้ปกครองทราบถึงความสำคัญของการสวมหมวกกันน็อกให้เด็กและปลูกฝังให้พวกเขาเกิดพฤติกรรมสวมใส่หมวกกันน็อกทุกครั้งที่เดินทาง พร้อมแนะนำวิธีเลือกหมวกกันน็อกที่ถูกต้อง   เลือกหมวกกันน็อกเด็กที่ใช่ต้องดูอะไรบ้าง   การเลือกหมวกกันน็อกสำหรับเด็ก ไม่ใช่แค่เรื่องของขนาดหรือดีไซน์ แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเด็กจะได้รับการปกป้องสูงสุดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยเมื่อต้องเลือกซื้อหมวกกันน็อกเด็กใหม่ ควรพิจารณาจาก 5 เกณฑ์ ดังนี้   ขนาดกระชับ รับศีรษะเด็ก   หมวกนิรภัยที่พอดีกับศีรษะสามารถช่วยลดโอกาสบาดเจ็บที่ศีรษะและสมองได้ถึง 69% และลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ 39%  ดังนั้น เพื่อให้หมวกกันน็อกสามารถทำหน้าที่ป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองควรเลือกซื้อด้วยการวัดขนาดรอบศีรษะของเด็กในส่วนที่กว้างที่สุด บริเวณเหนือคิ้วประมาณ 1 นิ้ว (2.5 เซนติเมตร) หากรอบศีรษะที่วัดได้อยู่ระหว่างหมวกกันน็อก 2 ขนาด ควรเลือกหมวกที่มีขนาดเล็กกว่าเพื่อความกระชับ   อีกทั้ง ควรตรวจสอบอีกครั้งว่าไม่มีช่องว่างระหว่างหน้าผากกับหมวกที่สามารถสอดนิ้วเข้าไปได้และเมื่อเขย่าศีรษะเบาๆ หมวกไม่ควรขยับมากเกินไปหรือทำให้รู้สึกบีบรัดจนทำให้รู้สึกอึดอัด   มีสายรัดไว้ มั่นใจทุกเวลา   แม้หมวกกันน็อกจะพอดีกับศีรษะ แต่หากไม่มีสายรัดคาง หรือสายรัดไม่แน่นพอดี ก็อาจทำให้หมวกกันน็อกหลุดออกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น ผู้ปกครองควรตรวจสอบว่าสายรัดแน่นพอดี ไม่หลวมจนหมวกขยับได้ และไม่แน่นจนเกินไป พร้อมตรวจสอบให้มีระยะห่างระหว่างคางกับสายรัดไม่เกิน 1-2 นิ้วมือ เพื่อความสบายและปลอดภัย นอกจากนี้ สายรัดคางอาจคลายตัวหลังการใช้งาน ผู้ปกครองควรเช็กให้แน่ใจก่อนออกเดินทางทุกครั้ง   เลือกหมวกให้โดนใจ เด็กเต็มใจหยิบใส่ทุกวัน   เด็กจำนวนมากไม่ยอมสวมหมวกกันน็อก เพราะรู้สึกอึดอัดหรือหมวกมีน้ำหนักมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ การเลือกหมวกที่ระบายอากาศดีและน้ำหนักเบาจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยหมวกกันน็อกควรมีช่องระบายหลายจุด เช่น ด้านบนและด้านหลัง เพื่อลดความร้อนและเหงื่อสะสม   นอกจากนี้ อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เด็กเต็มใจสวมใส่หมวกกันน็อก คือให้พวกเขามีส่วนร่วมในการเลือกหมวก โดยเลือกแบบที่มีสีสันสดใส หรือลวดลายที่เด็กชื่นชอบ   หมวกที่ดี ต้องมีมาตรฐาน หมวกกันน็อกที่ดีควรผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น มอก. ซึ่งควบคุมโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ECE R22.05 (ยุโรป) ที่ทดสอบแรงกระแทก และการดูดซับแรงสะเทือน   หมวกเสื่อม เปลี่ยนใหม่ ปลอดภัยกว่า   หมวกกันน็อกมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 3-5 ปี หลังจากนั้นวัสดุอาจเสื่อมสภาพ อีกทั้งหากหมวกผ่านการกระแทกอย่างรุนแรง ควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพราะโครงสร้างด้านในอาจเสียหายแม้ภายนอกจะไม่เห็นรอยแตกก็ตาม นอกจากนี้ สำหรับเด็กที่อยู่ในวัยที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ปกครองควรหมั่นเช็กขนาดของหมวกทุก 6-12 เดือน หากหมวกกันน็อกเริ่มคับหรือเด็กบ่นว่าอึดอัด ควรเปลี่ยนขนาดให้เหมาะสม และที่สำคัญห้ามใช้หมวกกันน็อกมือสอง เพราะอาจมีรอยร้าวหรือเสื่อมสภาพจากการใช้งานก่อนหน้า ทำให้ความสามารถในการป้องกันลดลง และเพิ่มความเสี่ยงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ   การสวมหมวกกันน็อกให้เด็กทุกครั้งก่อนออกเดินทางไม่ว่าใกล้หรือไกล เป็นหนึ่งสิ่งที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม   เราทุกคนสามารถลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน เพียงเริ่มต้นจากการสวมใส่หมวกกันน็อกให้กับตนเองและลูกหลาน เพื่อปกป้องชีวิตและอนาคตของทุกคน   มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ LET’sponsible กับกรุงศรี ออโต้ สร้างความปลอดภัยบนท้องถนนและส่งต่อความรับผิดชอบให้กับสังคมไทยไปด้วยกัน รับชมวิดีโอเพิ่มเติมภายใต้โครงการ LET’sponsible ได้ที่ https://www.youtube.com/playlist?list=PLoHwRneB14si4gq3_z1T8D2tnV-YFqj8u   รู้หรือไม่   เด็กที่นั่งด้านหน้าของผู้ปกครอง มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ศีรษะ/ใบหน้ามากกว่าเด็กที่นั่งด้านหลังถึง 2 เท่า หมวกกันน็อกสามารถลดการบาดเจ็บที่ศีรษะได้ 72% และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ถึง 39% อุบัติเหตุของรถจักรยานยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็ว 48 กม./ชม. เปรียบเสมือนการตกจากอาคาร 3 ชั้น      Alternate-X สรุปให้  กรุงศรี ออโต้ ทำโครงการ  LET’sponsible พร้อมแนะนำเทคนิคเลือกหมวกกันน็อกเด็กที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยในการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ ควรเลือกหมวกที่ขนาดพอดี น้ำหนักเบา และระบายอากาศดี เพื่อให้เด็กเต็มใจใส่ สายรัดคางต้องแน่นพอดี ไม่หลุดง่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เลือกหมวกที่ผ่านมาตรฐานรับรอง เช่น มอก. หรือ ECE หมวกมีอายุการใช้งาน ควรเปลี่ยนทุก 3–5 ปี หรือทันทีหากมีการกระแทก

May 29, 2025 / 0 Comments
read more

เซ็นทรัลฯ มองอนาคต ‘กระบี่’ ขยายอสังหาฯ บ้านหรู-คอนโด เจาะกลุ่มคหบดี-รวยจริงไม่ตะโกน

BizKet

เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมที่ดิน 100 ไร่ใช้ใน7 ปี สร้างอาณาจักรเมืองกระบี่ รับกำลังซื้อแข็งแกร่ง ไควเอท ลักซูรี-กลุ่มมั่งคั่งท้องถิ่น พร้อมงบลงทุนกว่า 1.2 หมื่นล.บาทตามแผน5 ปี ขยายธุรกิจอสังหาฯ ไปพร้อมโมเดล ‘รีเทล-เลด มิกซ์ ยูส’ คลุมทำเลกรุงเทพฯ-หัวเมืองท่องเที่ยว   วัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ ยูส (ศูนย์การค้า, อาคารสำนักงาน, โรงแรม และที่อยู่อาศัย) เปิดเผยว่าบริษัทฯ เตรียมงบลงทุนราว 1.2 หมื่นล้านบาท หรือราว 10% ของงบประมาณรวม 1.2 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี (2568-2573) เพื่อใช้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยแนวราบ บ้านเดี่ยว และแนวสูง คอนโดมีเนียม   ทั้งนี้ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอสังหาฯ เข้าสู่ปีที่ 11 โดยกลยุทธ์หลักที่ผลักดันให้ธุรกิจอสังหาฯ ประสบความสำเร็จ มาจากจุดแข็งการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Residence) ไปพร้อมกับศูนย์การค้า ด้วยโมเดล Retail-Led Mixed-Use Development ที่เชื่อมโยงการใช้ชีวิตทุกด้าน โดยปัจจุบันดูแลกว่า 1 หมื่นครอบครัวเซ็นทรัลฯ (Central Citizen) ทั่วประเทศ   อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่ได้รับผลกระทบกำลังซื้อชะลอตัวในตลาดอสังหาฯ จากการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Rejection Rate) ด้วยพบว่าสินค้าคอนโดของบริษัทฯ จะเป็นกลุ่มกำลังซื้อคนรุ่นใหม่มีสภาพคล่องและใช้เงินสดสัดส่วนกว่า 40%   “จากแผนงานอสังหาฯ เชิงรุกบริษัทวางเป้าหมายขึ้นสู่การเป็นผู้พัฒนาติดอันดับ 1ใน 10 ของตลาด  ในปี 2568 นี้” วัลยา กล่าว   ด้าน ร.อ.กรี เดชชัย President, Residence Business บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแผนปี 2568 บริษัทฯ จะเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูงรวม 9 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ได้แก่   1.ทำเลกรุงเทพฯ 5 โครงการใหม่ ได้แก่   BAAN NIRADA แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์ BAAN NINYA รามอินทรา 83 BAAN NINYA กรุงเทพกรีฑา BAAN NIRATI แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์ คอนโดฯ ทำเลแนวรถไฟฟ้า PHYLL พหล 59   2. เซ็นทรัล ภูเก็ต จะเปิดตัวคอนโด PHYLL Phuket 2 รองรับแผนขยาย Luxury Zone ของศูนย์การค้า ,3. เซ็นทรัล กระบี่ โครงการมิกซ์ยูสล่าสุด เปิดตัวโครงการระดับ Super Premium ทั้ง BAAN NINYA และคอนโดฯ PHYLL และ 4.เซ็นทรัล ชลบุรี เปิดตัวคอนโดฯ ESCENT   “อสังหาฯ จังหวัดกระบี่ เป็นอีกหนึ่งตลาดท้องถิ่นที่มีกำลังซื้อศักยภาพสูงทั้งในกลุ่มคหบดี และ ผู้ทำธุรกิจในจังหวัดที่ต้องการที่อยู่อาศัยไปจนถึงสินค้าในระดับลักซูรี่ ที่จะสอดคล้องกับการเปิดตัวศูนย์การค้าเซ็นทรัล กระบี่ ในปลายปีนี้ ด้วย” ร.อ.กรี กล่าวพร้อมเสริมว่า   ขณะที่ โครงการฯ คอนโดระดับหรู จังหวัดกระบี่ มีราคาต่อตารางเมตรกว่าแสนบาทขึ้นไป ราคาเริ่มต้นยูนิต 4 ล้านบาท เริ่มต้นขนาดพื้นที่ราว 30 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังเตรียมทำพูลวิลลา ขนาด 90-100 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท   ปัจจุบันบริษัทฯ มีที่ดินราว 100 ไร่ ในจังหวัดกระบี่เพื่อรองรับการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ใน 7 ปี แบ่งเป็นพื้นที่ศูนย์การค้า ราว 40ไร่     ร.อ.กรี กล่าวต่อว่า ด้านธุรกิจอสังหาฯในภาพรวมบริษัทฯ วางแผนทำตลาดเชิงรุกบ้านระดับบน นำโดยแบรนด์ ‘บ้านนิรดา’ ในระดับลักซูรี่ ซึ่งเปิดตัวไปแล้วทั้ง 3 ทำเล อุทยาน-อักษะ, เอกชัย-วงแหวน, และพระราม 2 ซึ่งมียอดขายกว่า 1,000 ล้านบาทแล้ว   โดยในปีนี้ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ‘บ้านนิรดา แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์’ บ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ ดีไซน์หรู ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท บนทำเลโซนที่อยู่อาศัยระดับลักซูรี่ รองรับครอบครัวรุ่นใหม่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว   ร.อ.กรี กล่าวว่า “ทุกแบรนด์โครงการอสังหาฯ ทั้งแนวราบและคอนโด ของบริษัทฯ ได้การตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในทำเลต่างจังหวัด อาทิ แบรนด์ ESCENT จำนวน 2 โครงการ ในอุบลราชธานี มียอดขายไปแล้ว 80% หลังเปิดตัวราว 5 เดือน รวมถึงในจังหวัดนครศรีธรรมราช และ ภูเก็ต ซึ่งได้การตอบรับดีสูงเช่นกัน สะท้อนกำลังซื้อความต้องการอยู่อาศัยจริง”   ขณะที่ในปี2568 บริษัทฯ มีโครงการอสังหาฯอยู่ในมือ (Backlog) ราว 2,000 ยูนิต และในปี 2569 คาดจะอยู่ที่ 3,000 ยูนิต รวม Backlog แล้วไม่ต่ำกว่า 5,000 ยูนิตใน 2 ปีนี้   จากแผนธุรกิจดังกล่าว ในปีนี้บริษัทฯ วางยอดขายธุรกิจอสังหาฯกว่า 7,000 ล้านบาท โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 5.1 หมื่นล้าน โต 9% และทำสถิติสูงสุด มีกำไรสุทธิ 1.64 หมื่นล้าน โต 18% และทำสถิติสูงสุดเช่นกัน     Alternate-X สรุปให้  เซ็นทรัลพัฒนา แผนธุรกิจอสังหาฯ ใน5 ปี (2568–2573) ใช้งบ 12,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ด้วยกลยุทธ์ “Retail-Led Mixed-Use” สร้างความแข็งแกร่งด้วยศูนย์การค้า และ ที่อยู่อาศัย ในปี2568 เตรียมเปิดตัว 9 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ครอบคลุมกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เน้นตลาดลักซูรี่ เช่น “บ้านนิรดา” ราคาเริ่ม 25 ล้าน และคอนโดระดับพรีเมียมในกระบี่ ตั้งเป้ายอดขาย 7,000 ล้านบาทในปีนี้ และดันขึ้นติด Top 10 ของตลาดอสังหาฯ ไทย                

May 29, 2025 / 0 Comments
read more

ธุรกิจคาเฟ่ ยังขยายตัว ตามเทรนด์กาแฟโตไม่หยุดเจาะคนไทยยังดื่มกาแฟน้อย 3 แก้ว/คน/ปี

BizKet,  EcoVative

WorldWideCoffee  กับแผนงานสู่ปีที่9 ขอไปต่อด้วยการขยายธุรกิจคาเฟ่ ‘Bean&Brew ‘ เติมความครบวงจรสู่ธุรกิจใหม่เชนร้านกาแฟ รับโอกาสการขยายตัวคนไทยยังดื่มกาแฟต่ำเฉลี่ย3 แก้วต่อคนต่อปี พร้อมส่งเครื่องทำสลัชชี ตัวช่วยเพิ่มรายได้เครื่องดื่มด้่วยมาร์จิน 20% ต่อแก้ว   วทัญญู พิชญานุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัทเวิลด์ไวด์ คอฟฟี่ กรุ๊ป (World Wide Coffee Group) ผู้นำเข้าและทำตลาดศูนย์รวมอุปกรณ์กาแฟ ครบวงจร กล่าวว่า บริษัทฯดำเนินธุรกิจถึงในปัจจุบันครบ 8 ปี  พร้อมวางแผนขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตใหม่ (S-Curve) ภายใต้โมเดลธุรกิจร้านกาแฟครบวงจร ภายใต้ชื่อ บีนแอนด์บรูว์ (Bean&Brew)   สำหรับธุรกิจคาเฟ่ ‘บีนแอนด์บรูว์’ วางตำแหน่งเป็นร้านเครื่องดื่มกาแฟและอาหารว่าง เพื่อโชว์เคสอุปกรณ์เครื่องทำกาแฟ วัตถุดิบเมล็ดกาแฟ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมนำเครื่องสลัชชี (Slushy) อุปกรณ์ปั่นเมนูเครื่องดื่มเกล็ดหิมะเนื้อละเอียด มาเพิ่มความหลากหลายให้กับเมนูกลุ่มนัน-คอฟฟี (non-coffee)  เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ด้วย   “บีนแอนด์บรูว์ เปิดให้บริการสาขาแรกในอาคารพร้อมพันธ์ ลาดพร้าวซอย3 มีขนาดพื้น ที่ราว 18-20 ตร.ม เป็นสาขาต้นแบบ หรือ แฟล็กชิป โมเดลขยายธุรกิจสาขาในรูปแบบเชนร้านกาแฟ ซึ่งจะเป็นธุรกิจเอสเคิร์ฟของกลุ่มบริษัทนับจากนี้ไป” วทัญญู กล่าวพร้อมเสริมว่า   โดยธุรกิจใหม่นี้ ยังเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบริโภคเครื่องดื่มกาแฟในภาพรวมที่เติบโตเฉลี่ย 7-8% ต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับผลดำเนินงานธุรกิจบริษัทฯ เช่นกัน   “ตลาดธุรกิจกาแฟยังมีช่องว่างให้เติบโต จากอัตราการดื่มกาแฟของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 3 แก้วต่อคนต่อปี ซึ่งยังน้อยอยู่เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นอยู่ที่ 7 แก้วต่อคนต่อปี ใกล้เคียงกับออสเตรเลียอยุ่ที่ราว 6-7 แก้วต่อคนต่อปี เช่นกัน” วทัญญู กล่าวพร้อมเสริมว่า     นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้นำเข้าพร้อมรับสิทธิ์การทำตลาดรายเดียว (Exclusive Distributer) เครื่องทำสลัชชี และผงสลัชชีแบรนด์ Foodness จากประเทศอิตาลี และเครื่องทำสลัชชียี่ห้ออื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการทุกระดับ โดยมีสินค้าจำหน่ายเริ่มต้นราคา 30,000 บาทถึงหลักแสนบาทต่อเครื่อง เพื่อเข้ามาเพิ่มทางเลือกเมนูเครื่องดื่มใหม่ๆ ในกลุ่มนัน-คอฟฟี่ ให้กับผู้บริโภคในกลุ่มลูกค้าเดิมธุรกิจร้านกาแฟ ร้านอาหาร ผับ บาร์ เป็นต้น   “ตลาดเครื่องดื่มสลัชชี มีแนวโน้มเติบโตสูงเช่นกันและยังสามารถสร้างกำไรต่อเมนูเครื่องดื่มได้สูงถึง 15-20% มากกว่าเครื่องดื่มกาแฟ ซึ่งปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาดนำเข้าสินค้าเครื่องทำสลัชชี หลากหลายแบรนด์ในปัจจุบันโดยเฉพาะแบรนด์จีนมีสัดส่วนในตลาดกว่า 80-90%”   วทัญญู กล่าวว่า จากแนวทางดังกล่าวบริษัทฯคาดในปีนี้จะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 180 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 140 ล้านบาท โดยสัดส่วนหลัก75-80% ยังมาจากธุรกิจอุปกรณ์กาแฟครบวงจร และ กลุ่มสินค้านัน-คอฟฟี, เครื่องทำสลัชชี ราว 20-25 %     Alternate-X สรุปให้    เวิลด์ไวด์ คอฟฟี่ กรุ๊ป เปิดตัวธุรกิจร้านกาแฟใหม่ ‘บีนแอนด์บรูว์’ ต่อยอดจากธุรกิจอุปกรณ์กาแฟครบวงจร เพื่อทำร้านต้นแบบโดยเปิดที่อาคารพร้อมพันธ์ ลาดพร้าว 3 วางให้เป็นเชนร้านกาแฟใช้ขยายธุรกิจใหม่ในอนาคต พร้อมโชว์เคสเครื่องทำกาแฟ เมล็ดกาแฟ และเครื่องทำสลัชชีเพิ่มเมนู non-coffee รับเทรนด์การบริโภคกาแฟในไทยที่ยังมีช่องว่างเติบโต เมื่อเทียบกับในต่างประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 180 ล้านบาท หนุนโดยกลุ่มอุปกรณ์และเครื่องดื่มนัน-คอฟฟี่   

May 28, 2025 / 0 Comments
read more

THAIFEX 2025 ย้ำ ‘ครัวโลก’ เจาะ 140 ประเทศ รับ ‘ไทย’ อันดับ12 ส่งออกอาหารรายใหญ่

BizKet

ประเทศไทย ถูกจัดอันดับเป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารรายใหญ่อันดับ 12 ของโลก ในปี 2567 และคาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าการส่งออก 1.75 ล้านล้านบาท โต 6.8% พร้อมย้ำตำแหน่ง ‘ครัวโลก’ ในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025’   สำหรับงาน ‘THAIFEX – ANUGA ASIA 2025’ งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่งเอเชีย จัดระหว่างวันที่ 27-30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-18.00 น. เจรจาธุรกิจและจำหน่ายปลีก และสำหรับประชาชนทั่วไปในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 5-12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี     โดยมี ‘พิชัย นริพทะพันธุ์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานฯ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา   สำหรับงานฯ ดังกล่าว เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบกับนวัตกรรมอาหารจากทั่วโลก สร้างโอกาสเจรจาการค้า และตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรมอาหารโลกภายใต้นโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ เยอรมนี   พิชัย กล่าวถึงบทบาทของรัฐบาลพร้อมผลักดันนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพอาหารไทยสู่มาตรฐานสากล ส่งผลให้ในปี 2567 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารรายใหญ่อันดับ 12 ของโลก และคาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าการส่งออก 1.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 จากปีที่ผ่านมา   ขณะเดียวกัน THAIFEX – ANUGA ASIA ถือเป็นกลไกสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์ใช้ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และยังเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอาหารไทยทุกระดับ ตั้งแต่ SMEs และสตาร์ตอัป ไปจนถึงบริษัทรายใหญ่ ได้พบปะเจรจาการค้า สร้างพันธมิตรทางธุรกิจระดับนานาชาติ และขยายโอกาสการส่งออกสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม   การจัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA ในปีนี้มีขนาดของงานและจำนวนผู้เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีผู้ประกอบการกว่า 3,200 บริษัท จากประเทศไทยและอีก 56 ประเทศ ร่วมจัดแสดงสินค้ารวมกว่า 6,200 คูหา ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มในอุตสาหกรรมอาหาร ตั้งแต่สินค้าเกษตร สินค้าแปรรูป เทคโนโลยีอาหาร ไปจนถึงสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง   คาดว่าตลอดช่วงวันเจรจาธุรกิจจะมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 90,000 ราย จาก 140 ประเทศทั่วโลก และจะก่อให้เกิดมูลค่าการสั่งซื้อทั้งในงานและภายใน 1 ปีหลังงานรวมกันกว่า 98,000 ล้านบาท   Alternate-X สรุปให้  ประเทศไทย ย้ำบทบาท ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ ผ่านการจัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 โดยปี 2567 ไทยติดอันดับ 12 ของโลกด้านการส่งออกอาหาร และคาดว่าปี 2568 จะเติบโตอีก 6.8% โดยงานฯ นี้รวมผู้ประกอบการจาก 56 ประเทศ มากกว่า 6,200 คูหา เปิดเวทีให้ SMEs และรายใหญ่เจรจาการค้าระดับโลก คาดสร้างมูลค่าซื้อขายกว่า 98,000 ล้านบาท จาก 140 ประเทศทั่วโลก

May 28, 2025 / 0 Comments
read more

ชาไทยจะไปสุดที่จุดไหน? เมื่อ ‘ไทย โคโคนัท’ ปลุกตำนานใหม่ด้วยชาไทยมะพร้าวแบรนด์ CHA SIAM

BizKet

ไทย โคโคนัท ใช้ 3 กลยุทธ์พาสู่ผู้นำนวัตกรรมเครื่องดื่มระดับโลก ด้วยวัตถุดิบธรรมชาติมะพร้าวไทย และเปิดสินค้าใหม่อีกในงาน THAIFEX – Anuga Asia 2025   ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกะทิและน้ำมะพร้าวรายใหญ่ของประเทศไทย โดยมีผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ และรับจ้างผลิต (OEM) คุณภาพส่งออกมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก   โดยบริษัทฯ วางแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อมุ่งสู่ผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องดื่มระดับโลก โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านมะพร้าวไทยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ และมองหาความแปลกใหม่ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่   1. ขยายพอร์ทโฟลิโอเครื่องดื่ม โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้เติบโตกว่า 20-30% ต่อปี โดยเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมนวัตกรรม เพื่อสร้างความแตกต่างด้วยรสชาติและความอร่อยที่แปลกใหม่   2. การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัวเครื่องดื่ม 3 รายการ ในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอย่าง THAIFEX – Anuga Asia 2025 เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และลูกค้าที่มองหาผู้ผลิต OEM ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ได้แก่   เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวรสโยเกิร์ต ‘Thai COCO’ น้ำมะพร้าวผสมวิตามินและแร่ธาตุ ‘Thai COCO’ ผลิตภัณฑ์ชาไทยมะพร้าว ‘CHA SIAM’   “บริษัทฯ พัฒนาสินค้าเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่กับชาไทยมะพร้าวที่ผสานกันอย่างหอมเข้มไม่ซ้ำใคร เพื่อรองรับกระแสความนิยมชาไทยในกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ”   3. ขยายสู่ตลาดศักยภาพสูง โดยบริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น ตะวันออกกลาง อเมริกา และเอเชียแปซิฟิก รวมถึงจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้   ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผพัฒนานวัตกรรมเครื่องดื่ม และสร้างการรับรู้กับลูกค้า ผ่านกิจกรรมและความร่วมมือต่างๆ โดยปัจจุบัน ไทย โคโคนัท มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ และมีสำนักงานขายในสหรัฐอเมริกา รวมถึงอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตในประเทศฟิลิปปินส์     ดร.วรวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญสนับสนุนเกษตรกรไทย โดยเน้นการใช้วัตถุดิบมะพร้าวในประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับด้านคุณภาพที่เชื่อถือได้ในระดับสากล และให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสีย อย่างครอบคลุม   “ด้วยกลยุทธ์ขยายพอร์ทโฟลิโอเครื่องดื่ม และการเสริมความแข็งแกร่งในตลาดที่มีศักยภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน จะเป็นส่วนสำคัญในการทรานสฟอร์มธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว” ดร.วรวัฒน์ กล่าว   โดยในปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทในเครือมีรายได้รวมมากกว่า 6,619 ล้านบาท เป็นผลมาจากการปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง   สำหรับผู้สนใจ สามารถเยี่ยมชมนวัตกรรมเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวของไทย โคโคนัท ได้ที่งาน THAIFEX – Anuga Asia 2025 ระหว่างวันที่ 27–31 พฤษภาคม 2568 ณ Challenger 3 บูธ 3-D01 ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี Alternate-X สรุปให้  ไทย โคโคนัท มุ่งสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมเครื่องดื่มระดับโลก ด้วยความเชี่ยวชาญจากมะพร้าวไทย พร้อมเปิดตัว 3 เครื่องดื่มใหม่ในงาน THAIFEX 2025 เจาะตลาดคนรุ่นใหม่และลูกค้า OEM และเดินหน้าขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เติบโต 20–30% ต่อปี พร้อมขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ตั้งโรงงานใหม่ในฟิลิปปินส์ และมีสำนักงานขายในสหรัฐฯ เน้นใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทย ควบคู่กับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

May 28, 2025 / 0 Comments
read more

สแน็กไทย ‘คันนา’ จากสาวไอทีที่ชอบกินขนม ครีเอทวัตถุดิบไทยสู่เงินล้าน

BizKet,  EcoVative

คันนา (KUNNA) สแน็คสายพันธุ์ไทย ที่เดินทางมาแล้ว 13ปี ภายใต้การบริหารของ โบว์- ณชา จึงกานต์กุล  ผู้บริหารสาวที่ใช้ความชอบกินขนมเป็นแรงบันดาลใจทำตลาด สแน็กเพื่อสุขภาพ   ‘โบว์-ณชา’ เล่าที่มา ธุรกิจ เกิดขึ้นจากแพสชั่นด้านขนมที่ ’เจ้าตัว‘ อยากได้ทั้งความอร่อย และ สุขภาพดีไปพร้อมกัน ในช่วงจังหวะเดียวกับกระแสการใส่ใจดูแลสุขภาพเริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงนั้น ที่กลายเป็นแรงส่งให้ ’โบว์‘ ตัดสินใจยุติงานประจำด้านการตลาด และฝ่ายขายในองค์กร บิ๊ก เทคโนโลยี ระดับโลก อย่าง ‘ไมโครซอฟท์’ เพื่อเข้าสู่เส้นทางผู้ประกอบการธุรกิจอย่างจริงจังในตลาดสแน็กผลไม้ไทยแปรรูป ภายใต้แบรนด์ ‘คันนา’   ’ที่มาชื่อแบรนด์สินค้า เราอยากตั้งให้เป็นชื่อไทย เพื่อสะท้อนไทยเนสด้วยวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตที่มาจากการทำงานร่วมกับเกษตรกรชาวสวนผลไม้ของไทยทั้งหมด อย่างมะพร้าว ทุเรียน มะม่วง ฯลฯ มาตั้งแต่การเริ่มทำธุรกิจ“ โบว์ กล่าว   จากนั้น ‘คันนา’ ได้พัฒนาสินค้าเพื่อทำตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อ 4-5 ปีก่อนแบรนด์ ยังได้ก้าวข้ามความเป็นผลไม้แปรรูปทั่วไป ด้วยสร้างจุดเด่นสินค้าในการฟิวชั่นวัตถุดิบผลไม้ไทย เพื่อให้ได้รสชาติแปลกใหม่ที่ดีต่อสุขภาพ แต่คงความอร่อย เอาไว้ อย่าง มะพร้าว เคลือบช็อคโกแลต มะม่วงกัมมี่ หนึบหนับ มะม่วงชุบกะทิ หรือ ปรุงรสชาติ บาร์บีคิว ฯลฯ ถึงในตอนนี้ คันนา มีสินค้าทำตลาดราว 35รายการ (SKUs) แล้ว   “โดยกว่า 95% ใช้วัตถุดิบของไทย ทั้งหมดจากผลลิตชาวเกษตรกรภาคอีสาน ภาคตะวันออก และ ภาคกลาง เพื่อย้ำที่มาแบรนด์คันนา เป็นสินค้าสแน็ก รสชาติไทยจริงๆ ซึ่งก่อนหน้าเราเคยลองชิมมะพร้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ให้รสชาติแตกต่างไปจากของไทยอย่างมาก“ โบว์ กล่าว   สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก ‘คันนา’ เป็นตลาดกลุ่มประะเทศอาเซียน และ จีนสัดส่วน 70% และที่เหลือ 30% เป็นกลุ่มประเทศ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และ ยุโรป รวมตลาดในไทย   โดย ‘คันนา’ ยังใช้กลยุทธ์ราคาสินค้าขายปลีก เริ่มต้น 35-285 บาท ซึ่งสินค้าที่มีราคาสูงสุดจะพัฒนาในรูปแบบการจับคู่ ‘DUO’ ผลไม้ด้วยรสชาติใหม่ให้ความแตกต่าง พร้อมผลิตจำนวนจำกัด (Limited) ในการทำตลาด ออกมาแต่ละช่วงฤดูกาล เป็นต้น   โบว์ เล่าต่อถึงการทำตลาดคันนา ในไทย จะวางจำหน่ายสินค้าในช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านสะดวกซื้อ และแพล็ตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ พร้อมเสริม “แนวทางการทำธุรกิจ คันนา จะมุ่งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยใช้งบลงทุนส่วนนี้สูงถึง 5-10% ของยอดขายเลยทีเดียว ซึ่งที่ผ่านมากว่าจะได้สินค้า ทำตลาด 2-3 ตัวจะต้องวิจัยฯ สินค้าไม่ต่ำกว่า 20 ตัว แต่ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ราว 3-4 ตัว”   ขณะที่ ภาพรวมเศรษฐกิจที่ค่อนข้างชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา มีผลต่อกำลังซื้อลดลง รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมาเทียบเท่าช่วงก่อนหน้า ซึ่ง บริษัทฯ ไม่ได้มองว่าเป็นปัจจัยลบมากนัก แต่เห็นว่าเป็นโอกาสในการขยายตลาดใหม่ให้กับสินค้ามากกว่า โดยที่ผ่านมาเริ่มมีตลาดตะวันออกกลาง ให้ความสนใจสินค้า แบรนด์ ’คันนา‘ เข้ามาแล้ว   “สำหรับภาษีทรัมป์ ที่เกิดขึ้น แม้คันนาจะมีตลาดในสหรัฐฯ แต่กลับพบว่าเป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส1-2 ที่ผ่านมา ด้วยคู่ค้าต้องการสินค้าในราคาเดิมก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนำเข้า”   โบว์ กล่าวต่อ ถึงแผนในอนาคตจะขยายและต่อยอดแบรนด์ ‘คันนา’ สู่รูปแบบธุรกิจเวลเนสส์ (Wellness) เพื่อตอกย้ำด้านสุขภาพของแบรนด์ ในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการผู้บริโภค ที่มุ่งให่ความสำตัญต่องค์รงมสุขภาวะ ตัวเอง มากขึ้น   จากปัจจุบัน คันนา มีรายได้หลักร้อยล้านบาท โดยในปี2568 นี้ คันนา คาดเติบโต 30% แบ่งสัดส่วน 80% จากตลาดต่างประเทศ และ 20% เป็นตลาดในประเทศ   Alternate-X สรุปให้  คันนา (KUNNA) เป็นแบรนด์สแน็กไทยเพื่อสุขภาพ ที่ก่อตั้งโดยโบว์-ณชา ด้วยแพสชั่นด้านขนมและการดูแลสุขภาพ โดยแบรนด์เน้นใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทย และพัฒนาสินค้าฟิวชั่นรสชาติแปลกใหม่ ปัจจุบันมีสินค้าทำตลาดแล้วกว่า 35 รายการ โดย 70% ส่งออกไปยังอาเซียนและจีน ขณะที่ กลยุทธ์สำคัญคือการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) สูงถึง 10% ของยอดขาย พร้อมแผนต่อยอดสู่ธุรกิจเวลล์เนส และคาดเติบโต 30% ในปี 2568 จากตลาดต่างประเทศเป็นหลัก

May 28, 2025 / 0 Comments
read more

ปรากฎการณ์ ‘Sell America’ นักลงทุนกังวลเศรษฐกิจสหรัฐ YLG ลุ้นราคาทองคำมีแตะ 5.5 หมื่นบ.

BizKet

YLG ชี้ทองคำลุ้นทดสอบ 3,500 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์อีกครั้ง เหตุนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เกิดปรากฎการณ์ Sell America   พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่าราคาทองคำ เริ่มกลับมายืนเหนือ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ราคาแกว่งตัวจากการขายทำกำไรรับข่าวสถานการณ์ตึงเครียดหลายด้านผ่อนคลายลงทั้งการร่างข้อตกลงสันติภาพฉบับใหม่กับยูเครนกำลังมีความคืบหน้า   อย่างไรก็ดีล่าสุดราคาทองคำได้รับความสนใจอีกครั้ง มีแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐ ส่งผลให้เกิดกระแส Sell America หรือ การขายการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ, หุ้นสหรัฐ และดอลลาร์สหรัฐ   ประกอบกับมีความเคลื่อนไหวของอิสราเอลที่ยังเดินหน้าโจมตีฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่ทางฝั่งรัสเซีย-ยูเครน แม้กำลังอยู่ในช่วงความหวังในการเจรจาสันติภาพ   แต่ล่าสุดทางรัสเซียยังคงปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อยูเครนเมื่อวันอาทิตย์ (25 พ.ค.) ซึ่งทำให้ ‘โดนัล ทรัมป์’ แสดงความไม่พอใจอย่างมาก พร้อมส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่จะดำเนินมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซีย  ปัจจัยเหล่านี้จึงช่วยหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย   Sell America เพิ่งเริ่ม   อย่างไรก็ดีสถาบันการเงินชั้นนำในต่างประเทศได้ประเมินว่าปรากฎการณ์ Sell America ถือว่าเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น  โดยความกังวลรอบนี้ถูกกระตุ้นจากบริษัทจัดอันดับเครดิต มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s) ที่ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของสหรัฐ จาก Aaa เป็น Aa1 และประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐ   โดยระบุว่าการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐเพื่อให้สอดคล้องกับระดับหนี้สิน อีกทั้งยังมีร่างกฎหมายที่ต้องจับตา ซึ่งถูกผลักดันโดย ‘ทรัมป์’ ให้ปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสหรัฐ และกำลังอยู่ในกระบวนการในสภาคองเกรส หลังโหวตผ่านสภาล่างแล้ว  และหากสำเร็จจะทำให้รัฐบาลสหรัฐมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 36.9 ล้านล้านดอลลาร์   จากสถานการณ์ความกังวลต่อเศรษฐกิจจากภาระหนี้สินของสหรัฐ และประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มากระตุ้นความผันผวน ส่งผลให้เงินทุนกลับมาไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ   ปีนี้ ราคาทอง ยังขาขึ้น   โดย YLG มองว่าราคาทองคำปีนี้ภาพรวมจะยังคงเป็นขาขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าระหว่างทางจะมีแรงเทขายออกมาเป็นระยะๆ แต่หากราคาทองคำสามารถยืนเหนือ 3,250-3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ก็จะยังไม่เสียโมเมนตัมขาขึ้นในระยะกลาง   โดยยืนยันเป้าหมายระดับราคาของทองคำปีนี้จะไปได้ถึง 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ตามเดิม  ส่วนทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ มองเป้าหมายที่ 54,000-55,000 บาทต่อบาททองคำ (โดยคำนวนจากค่าเงินบาทในช่วง 32.50-33.10 บาทต่อดอลลาร์)   สำหรับคำแนะนำในการลงทุนทองคำในช่วงนี้ YLG แนะนำ  ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่มีเงินลงทุนเริ่มต้นจำกัด YLG ได้เปิดให้บริการ Gold Wallet บริการซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ด้วยราคาเรียลไทม์ ซื้อขายทองต่อครั้งด้วยขั้นต่ำ 0.1 ออนซ์ สูงสุดแบบเต็มเพดาน ได้สูงสุดถึง 700 ออนซ์ หรือ 20 กิโลกรัม   แนะรายย่อยลงทุนสะสม DCA   ส่วนนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการสะสมทอง และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย   สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี   เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง   โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold โทร. 0-2678-9888 #2   Alternate-X สรุปให้  ราคาทองคำมีแนวโน้มกลับขึ้นแตะระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง จากแรงหนุน Sell America ที่เกิดจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหนี้ภาครัฐที่สูงขึ้น YLG คาดทองยังอยู่ในขาขึ้น หากยืนเหนือ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ นักลงทุนเริ่มหันกลับมาซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ การลงทุนผ่าน Gold Wallet และแอป Get Gold เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มนักลงทุนรายย่อย  

May 27, 2025 / 0 Comments
read more

60 วัน หลังแผ่นดินไหว ตลาดอสังหาฯรีเซ็ตมาตรฐานอยู่อาศัย ‘แบรนด์’ จริงใจ-ปลอดภัย-ได้ไปต่อ

BizKet

แสนสิริ มองอสังหาฯไทยหลังแผ่นดินไหวใหญ่เขย่าเมือง สู่ยุคบอกต่อแบรนด์ไหนทำดี-โครงการปลอดภัย-จริงใจ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสู่มาตรฐานใหม่ผู้พัฒนาโครงการ   ‘28 พ.ค.’ ครบรอบ สองเดือนเต็มเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่นอกจากสร้างความสูญเสียต่อชีวิตที่ประเมินค่าไม่ได้แล้ว ขณะเดียวยังส่งแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในภาคอสังหาริมทรพย์ โดยเฉพาะโครงการฯแนวสูงคอนโดมีเนียมที่รับความเสียหายในระดับที่แตกต่างกันออกไป ทว่ามีจุดร่วมเดียวกัน คือ ความมั่นใจของผู้บริโภคนับจากนี้ไปจะพิถีพิถันเลือกทั้งโครงสร้าง การออกแบบตัวโครงการฯ และ ‘แบรนด์’ จากผู้พัฒนาอสังหาฯ  ว่ารายใด ‘ทำถึง’ ทั้งการดูแลจิตใจและให้ความช่วยเหลือลูกบ้านได้มากที่สุด  ที่สะท้อนถึง ‘ประสบการณ์’ ตรงที่ลูกค้าได้รับจากเหตุการณ์ดังกล่าว ในช่วงที่ผ่านมา   ขณะที่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ รายใหญ่ ‘แสนสิริ’ (Sansiri) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญแบ่งปันมุมมอง ‘BEYOND THE BLUEPRINTS’ 60 วัน หลังแผ่นดินไหว ก้าวต่อด้วยพลังความร่วมมือสร้างความตระหนักรู้ ย้ำอาคารสูงในกรุงเทพฯ ปลอดภัย   ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้างสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ กล่าวว่า ภาคอสังหาฯ ไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านมาตรฐานการออกแบบสำหรับอาคารใหม่ จากการออกกฎกระทรวงและมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหวที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะกฎกระทรวงปี 2564 ถือเป็นพัฒนาการที่ดีมากสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย   “กฎหมายนี้บังคับให้การก่อสร้างอาคารใหม่ต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้น มีประเภทอาคารที่หลากหลายขึ้น”   นอกจากนี้โครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ที่สร้างขึ้นภายใต้กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2564 และมาตรฐาน มยผ. 1301/1302-61 นับว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ   โดยในอนาคต ควรนำนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พัฒนาและใช้กันแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศมาช่วยลดระดับการโยกตัวและการสั่นไหวของอาคารในประเทศไทย นวัตกรรมเหล่านี้ ได้แก่ อุปกรณ์ที่ช่วยดูดซับพลังงานการสั่นไหวของอาคาร เช่น Viscous Dampers หรือ Oil Dampers   ขณะเดียวกัน ควรสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว และแนวทางในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ รวมถึงการพัฒนาแผนรับมือเหตุฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบจากแผ่นดินไหวเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม   จุดเปลี่ยน ยกระดับอสังหาฯ   ด้าน อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วันนี้ ตลอดระยะเวลา 40 ปี แสนสิริ ในการพัฒนาธุรกิจผ่านการสร้างโครงการแนวสูง 225 โครงการ รวมกว่า 90,000 ยูนิต  ซึ่งบริษัทฯ เห็นโอกาสโอกาสนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานทั้งอุตสาหกรรม   “จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แสนสิริพิสูจน์ว่าการอยู่อาศัยในโครงการแนวสูงมีความมั่นคงปลอดภัยจริง และสิ่งที่ทำให้แสนสิริฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ได้คือ เครือข่ายพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่ง ทั้ง พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้ดูแลงานนิติบุคคลระดับมืออาชีพ, ผู้รับเหมารายใหญ่ ที่เร่งเข้ามาสนับสนุนงานตั้งแต่วันแรก, ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ให้คำแนะนำเชิงเทคนิคและร่วมลงพื้นที่, ทีมลิฟต์  หัวใจสำคัญของการขนส่งในตึกสูงที่ทำงานหนักที่สุดทีมหนึ่ง และบริษัทประกัน ที่เคียงข้างลูกบ้านอย่างมั่นคง” ”  อุทัย กล่าวพร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ แสนสิริ ยังได้นำข้อมูลจากเหตุการณ์จริงมารีวิวและปรับปรุงคู่มือมาตรฐานการก่อสร้าง การเตรียมพร้อมและซ้อมแผนฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงระบบเตือนภัยและการตรวจสอบที่ช่วยป้องกันปัญหาก่อนเกิดขึ้น เป็นการรวมพลังทั้งวงการเพื่อเป้าหมายเดียว คือ ที่พักอาศัยที่แข็งแรง ปลอดภัย   แผ่นดินไหว กระทบเชื่อมั่นระยะสั้น   ด้าน บริสุทธิ์  กาสินพิลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โฮมบายเออร์ ไกด์ จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้งหลักสูตร The Next Real กล่าวว่า อสังหาฯ ไทย ผ่านมาแล้วทุกวิกฤติ ทั้งน้ำท่วมใหญ่, โควิด เชื่อมั่นว่าสถานการณ์แผ่นดินไหวในไทยที่ผ่านมา มีผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น   “ตรงกันข้ามสำหรับแบรนด์ที่ทำได้ดี โครงการมั่นคงปลอดภัย มีการดูแลลูกค้าอย่างรวดเร็ว จะได้รับความเชื่อมั่นและเกิดการบอกต่อ”   สำหรับในระยะยาว ตลาดอสังหาฯ จะปรับตัวและฟื้นตัวได้โดยมีการเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบและการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค สิ่งที่สำคัญ คือการร่วมมือกันใน Ecosystem จับมือกันฝ่าก้าวข้ามทุกวิกฤติมาได้อย่างแข็งแกร่ง นำบทเรียนการก้าวข้ามผ่าน สู่การพัฒนาโปรดักส์ใหม่ที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยีการก่อสร้างรูปแบบใหม่ๆ และมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มข้นขึ้นอีกในอนาคต   โดยเฉพาะงานบริการหลังการขาย After Sale Service จะเป็นหัวใจหลักของผู้ประกอบในการเร่งเครื่องพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละเซ็กเมนต์   นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจะยังคงต้องปรับตัวในหลายมิติ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความแข็งแรง ปลอดภัย ตรงกับความต้องการของตลาด และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตลาดและการขายมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มคนสูงอายุ (Aging Society) หรือกลุ่มที่ต้องการบ้านเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า”   รีซ็ตมาตรฐาน อสังหาฯ   ด้าน องอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสนสิริ ได้เข้าไปจัดการความโกลาหลที่เกิดขึ้น ด้วยเป้าหมายสูงสุด คือความปลอดภัยและความสบายใจในการพักอาศัยของลูกบ้าน   พร้อมจัดตั้ง War Room และทีมงานทุกด้านที่เกี่ยวข้อง และหยุดงานขายชั่วคราวเพื่อทุ่มเททรัพยากรทั้งหมด และประสานงานกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญจัดทำคู่มือ Key Check List ให้วิศวกรลงพื้นที่ทันทีเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ทั้งงานโครงสร้างภายนอกและภายใน ไปจนถึงระบบป้องกันอัคคีภัย และความมั่นใจระบบความปลอดภัยของลิฟต์   จากบทเรียนครั้งนี้ แสนสิริจะนำข้อมูลจาก LIV-24 ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ 24 ชม. มาศึกษาและใช้ประโยชน์สูงสุดในการรับมือวิกฤตในอนาคต รวมถึงการนำเคสความเสียหายต่าง ๆ มาวางแผนใหม่ เช่น การทำฝ้าและผนังให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือแผ่นดินไหวมากขึ้น ตลอดจนนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วย   โดยเฉพาะการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการออกแบบโครงสร้างในอาคารสูงที่แสนสิริ ศึกษามาตั้งแต่ปี 2560 จะถูกรีวิวและปรับปรุงใหม่ร่วมกับสถาบันการศึกษาและพาร์ตเนอร์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และนำมาตรฐานระดับสากลมาอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้กับลูกบ้านในทุกสถานการณ์   มุ่งนวัตกรรมการก่อสร้าง   ด้าน ดร.วีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แผ่นดินไหวครั้งนี้อาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่เราสามารถทำให้ครั้งต่อไป ให้ไม่เป็นวิกฤติ โดยยกระดับความพร้อมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่วันนี้”   นอกจากนี้ นวัตกรรมที่อยากเห็นในวงการก่อสร้าง คือ การใช้วัสดุก่อสร้างสำเร็จรูปมากขึ้น เช่น ผนังน้ำหนักเบาโครงโลหะ ที่มีความแข็งแรงรับแรงและกันเสียงได้ดี ซึ่งเมื่อเกิดการแตกร้าว อาทิ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว จะสามารถซ่อมแซมได้ง่ายกว่าผนังปูน รวมถึงให้เห็นภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยอย่างจริงจัง   บทเรียนอาคารถล่ม – ‘Bad Conditions’   ด้าน กฤษฎา แท้ประสาทสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟรา กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านอาคารสูงและแรงลมแผ่นดินไหว กล่าวว่า สาเหตุของอาคารถล่มที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและต่างประเทศ มาจาก Bad Conditions หลายประการที่มาประกอบกัน เช่น จุดต่อที่ทำไม่สมบูรณ์เพียงจุดเดียว แต่เมื่อรวมกับการเปลี่ยนแปลงฟังก์ชันการใช้งานภายในอาคาร หรือการเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดิน ก็อาจนำไปสู่อาคารถล่มอย่างคาดไม่ถึงได้   ฉะนั้น การออกแบบที่ดี ต้องการผู้รับเหมาผู้ควบคุมงานที่ดี และสิ่งสำคัญคือเจ้าของโครงการจะต้องเข้าใจและให้การสนับสนุน แม้จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็ตาม เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะพิสูจน์ผลงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบและผู้รับเหมา สิ่งสำคัญคือการเคารพในวิชาชีพ มีความรับผิดชอบ และตั้งใจทำงาน   “เพราะผลงานที่ดีจะสะท้อนเพอร์ฟอร์แมนซ์ของอาคาร และขอฝากถึงทุกภาคส่วนให้รักษาคุณภาพมาตรฐานงานออกแบบ-ก่อสร้าง โดยเฉพาะการใช้วัสดุก่อสร้างอย่างเหล็กและคอนกรีตที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ และเสนอให้มีการสุ่มตรวจคุณภาพหน้างานไม่ใช่แค่ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น” กฤษฎา กล่าว   รับมือเร็ว-สื่อสารเรียลไทม์       ด้าน นฤมล อาภรณ์ธนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ดูแลโครงการกว่า 400 แห่ง ครอบคลุมลูกบ้านมากกว่า 100,000 ครอบครัว ที่จะต้องให้ความสำคัญทั้งความรู้สึกและความปลอดภัยของลูกค้า พร้อมจัดตั้ง War Room ทันทีเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ มีการสื่อสารสถานการณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ เพื่อสร้างความมั่นใจและลดความตื่นตระหนก   สำหรับเทรนด์ในอนาคต มองว่าควรมีการพัฒนา Data Center การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงวัย ผู้ป่วย ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะในเหตุการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นต้องอพยพ เพื่อที่สามารถเข้าช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที และการใช้เทคโนโลยีของ LIV-24 ซึ่งนำ AI มาใช้เพื่อความปลอดภัยในที่อยู่อาศัย โดยระบบสามารถประมวลผลจากข้อมูลแบบเรียลไทม์   ความท้าทาย ธุรกิจประกันฯ    ด้าน วิญญู อังศุนิตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความท้าทายในการจัดการสถานการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้คือการรับมือกับจำนวนการเคลมที่เข้ามาอย่างมาก โดยเฉพาะจากลูกค้ารายย่อย โดย บริษัทฯ ได้เร่งกระบวนการพิจารณาและจ่ายสินไหมทดแทน เน้นการสำรวจความเสียหายและอนุมัติการจ่ายเคลมอย่างเป็นธรรม พร้อมให้ความสำคัญกับการควบคุมราคาค่าซ่อมแซม โดยเจรจากับผู้รับเหมาเพื่อให้มั่นใจว่าค่าใช้จ่ายสมเหตุสมผลและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้า   ขณะเดียวกัน ยังร่วมมือกับหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการทำงานใกล้ชิดกับสำนักงาน คปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องประกันภัยและภัยธรรมชาติให้แก่ประชาชน และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในเรื่องความจำเป็นของการมีประกันภัย ที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในยามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดหมายได้   Alternate-X สรุปให้  ครบ 60 วันหลังเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ ส่งผลให้วงการอสังหาฯไทยต้องรีเซ็ตมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูงที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความแข็งแรงของโครงสร้างและการตอบสนองของแบรนด์มากกว่าเดิม โดย แสนสิริ ได้ออกมาบริหารวิกฤตอย่างเรียลไทม์พร้อมร่วมพันธมิตรทุกภาคส่วนพัฒนามาตรฐานใหม่การก่อสร้างโครงการอยู่อาศัยสอดคล้องกับกฎกระทรวงปี 2564 ที่เน้นการออกแบบต้านแผ่นดินไหว ส่วนตลาดคาดการณ์ว่าแบรนด์ที่แสดงความรับผิดชอบและมีบริการหลังการขายแข็งแกร่งจะได้เปรียบในการแข่งขัน ส่วนเทรนด์อนาคตจะเน้นการใช้ผนังเบาและระบบป้องกันแรงสั่นสะเทือนแบบประเทศญี่ปุ่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้อยู่อาศัยในระยะยาว

May 27, 2025 / 0 Comments
read more

โจรกรรม AIไซเบอร์ ภัยจู่โจมองค์กรยุคใหม่ จะคุกคาม-ซับซ้อน ยิ่งกว่าที่ผ่านมา

BizKet

UIH ใช้ ‘Gamified Cyber Lab’ เทรนการ์ดป้องกันภัยจู่โจมไซเบอร์ยุคใหม่ใช้เอไอ-ออโตเมชัน ความท้าทายองค์กร อนาคต   ดร.ศุภกร กังพิศดาร ประธานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยข้อมูล (CISO)  บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (UIH) กล่าวว่าในปี 2025 นี้ สถานการณ์ภัยคุกคามไซเบอร์มีรูปแบบใหม่มากขึ้น มีรูปแบบการโจมตีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา เช่น ภัยจาก ransomware หรือ quantum computing   อีกด้วย Shadow AI,   นอกจากนี้ ยังมีการฉ้อโกงด้วย Deepfake การใช้ช่องโหว่ใน Open-source, Ransomware และ Initial Access Brokers (IABs) ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เทคโนโลยี AI และ Automation ในการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น   “จากสถานการณ์ดังกล่าว ผู้ดูแลระบบป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์จะต้องพัฒนาทักษะการตรวจสอบระบบให้เท่าทันเพื่อป้องกันภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไร้ช่องโหว่” ดร.ศุภกร กล่าวพร้อมเสริมว่า   ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองเห็นเป็นโอกาสในการทำตลาดโดยร่วมกับพันธมิตร ’Hack The Box’   (HTB) มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน Cybersecurity แก่บุคลากรในประเทศไทย   โดยนำแพลตฟอร์มฝึกฝนแบบ Gamified Cyber Lab ของ HTB มาช่วยเสริมศักยภาพให้กับทั้งภาครัฐและเอกชน ผ่านการจัดอบรม ฝึกปฏิบัติ และแข่งขันแบบ Capture The Flag (CTF) โดย UIH จะเป็นผู้แทนอย่างเป็นทางการของ HTB ในการทำตลาด สนับสนุน และให้บริการลูกค้าในประเทศ ซึ่งยังเป็นการยกระดับ Ecosystem ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของไทยให้ทันต่อภัยคุกคามในยุคดิจิทัล   “ในปี 2025 นี้  บริษัทมุ่งนำเสนอรูปแบบบริการด้านไซเบอร์ ในลักษณะ next-generation managed security services โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น AI เพื่อเสริมความเข้มแข็งให้แก่บริการไซเบอร์ซีเคียวริตี้  เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า และยัง address กับภัยคุกคามสมัยใหม่” ดร.ศุภกร กล่าว   โดยแนวทางสร้างการตระหนักรู้ด้านความปลอดภัย และอบรมเพิ่มทักษะให้กับเจ้าหน้าที่ดูแลระบบ รวมถึงพนักงานในองค์กร  เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการเตรียมความพร้อมรับมือแนวโน้มภัยคุกคามที่ องค์กรต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความปลอดภัยครบครอบคลุม ในด้านต่างๆ เช่น   ต้องพร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่คาดการณ์ไว้ องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับความปลอดภัยในหลายด้าน การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ: ทำความเข้าใจจุดอ่อนและช่องโหว่ในระบบของตนเอง การลงทุนในเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ทันสมัย: พิจารณาโซลูชันที่สามารถตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อน เช่น ระบบตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามขั้นสูง (EDR/XDR), ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานและเอนทิตี (UEBA), และโซลูชันความปลอดภัยบนคลาวด์ การบังคับใช้หลักการ Zero Trust: ตรวจสอบและยืนยันตัวตนทุกครั้งที่มีการเข้าถึงทรัพยากร การเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัย: ให้ความรู้และฝึกอบรมแก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง การมีแผนรับมือและกู้คืนจากภัยพิบัติ (Incident Response and Disaster Recovery Plan): เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ถูกโจมตี   สำหรับความร่วมมือระหว่าง UIH  กับ Hack the Box ยังตอบโจทย์ความท้าทายในการสร้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เพิ่มทักษะในสภาพแวดล้อมที่สมจริง  โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มภาคการเงิน หน่วยงานราชการ หน่วยงานความมั่นคง และภาคการศึกษา     ด้าน เซธ ทอสซี่ รองประธานฝ่ายช่องทางการขายทั่วโลก   บริษัท Hack The Box   กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง UIH เป็นก้าวสำคัญในพันธกิจต่อการเชื่อมช่องว่างระหว่างการศึกษาและทักษะในโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยแพลตฟอร์มการพัฒนาทักษะของ Hack The Box นำเสนอการจำลองสถานการณ์ขั้นสูง แบบฝึกหัด และเนื้อหาพิเศษที่สะท้อนถึงพัฒนาการล่าสุดในอุตสาหกรรม ที่ผสานเข้ากับโซลูชัน Cybersecurity  ได้อย่างลงตัว   “ความร่วมมือนี้เสริมสร้างความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทในการส่งเสริมพัฒนาบุคลากรด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และจัดหาเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับภัยคุกคามในยุคปัจจุบัน ในการนำเสนอโซลูชันการพัฒนาทักษะด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สมจริง และครอบคลุมที่สุด”  ทอสซี่ กล่าว   Alternate-X สรุปให้    ในปี 2025 แนวโน้มภัยไซเบอร์จะมีความซับซ้อนขึ้น ด้วย Ransomware, Quantum Computing, Deepfake และ AI ทำให้ UIH มองเห็นโอกาสพร้อมร่วมกับ Hack The Box (HTB) ยกระดับทักษะการป้องกันภัยไซเบอร์ Cybersecurity ในไทยผ่านแพลตฟอร์ม Gamified Lab เน้น Next-Gen Security Services ด้วย AI และ Managed Security Solutions พร้อมให้ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ แบบ CTF (Capture The Flag) สำหรับภาครัฐ-เอกชน เตรียมรับมือภัยใหม่ ด้วย Zero Trust, EDR/XDR และแผน Disaster Recovery

May 27, 2025 / 0 Comments
read more

OPPO เปิดประสบการณ์เปลี่ยนมือถือ ‘เป็นสมองกล’ กลยุทธ์พลิกตลาดสมาร์ทโฟนเอไอ

BizKet

หลังจาก ‘OPPO’ ออกมาย้ำความเอาจริงต่อการนำเอไอ (AI) มาใช้ในสมาร์ทโฟนออปโป ตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่มาพร้อมกับซีรีส์ ‘OPPO Reno12’ จุดเริ่มต้นของการผสาน AI เข้ากับสมาร์ทโฟนอย่างเป็นทางการ นับจากนั้นเป็นต้นมา   โดยฟีเจอร์ AI ที่โดดเด่นในสมาร์ทโฟน OPPO มีทั้ง   AI Eraser ลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพถ่าย AI Writer ช่วยในการเขียนข้อความหรือบทความด้วย AI AI Recording Summary สรุปเนื้อหาจากการบันทึกเสียง AI Portrait ปรับแต่งภาพถ่ายบุคคลให้สวยงามยิ่งขึ้น AI LinkBoost ปรับปรุงการเชื่อมต่อเครือข่ายให้เสถียรและรวดเร็ว   พร้อมกับเมื่อ ราวเดือนมีนาคม ปี 2568 ที่ผ่านมา ‘OPPO’ ได้ ประกาศกลยุทธ์ AI ที่พัฒนาขึ้นใหม่ในงาน ‘OPPO AI Tech Summit’ เพื่อยกระดับประสบการณ์ AI บนมือถือให้ดียิ่งขึ้น ที่เน้นการนำเสนอเทคโนโลยี AI ล่าสุดที่สมจริงและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้มากขึ้น ในงาน Mobile World Congress 2025 หรือ MWC Barcelona 2025 งานแสดงเทคโนโลยีโทรคมนาคมและมือถือ ใหญ่ที่สุดในโลก จัดโดย GSMA (องค์กรอุตสาหกรรมโทรคมนาคม)   ต่อเรื่องนี้ ‘Billy Zhang’ ประธานฝ่ายการตลาด การขาย และบริการต่างประเทศของ OPPO ย้ำว่า “หากพูดถึง AI ประสบการณ์ของผู้ใช้คือสิ่งสำคัญที่สุด”  ที่ยังมาพร้อมกับการขายประสบการณ์ด้าน AI ขณะเดียวกัน “สมาร์ทโฟนไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะสำหรับ AI เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนประสบการณ์ AI ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านสมาร์ทโฟน OPPO กำลังขับเคลื่อนนวัตกรรมภายในองค์กรและการทำงานร่วมกันแบบเปิดกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อมอบประสบการณ์ AI ที่ไม่มีใครเทียบได้เหล่านี้ให้กับผู้ใช้ของเรา”   ด้วยวิสัยทัศน์ ดังกล่าวถูกส่งต่อมายังการทำตลาดท้องถิ่นในแต่ละประเทศ ซึ่งรวมถึงในไทย ที่ได้รับนโยบายจากบริษัทแม่ ออปโป เพื่อมุ่งสู่การทำตลาดสินค้าให้ ‘ทุกคน’ สามารถเข้าถึงเอไอ สมาร์ทโฟน (AI Phone)   ล่าสุด ‘ออปโป’ ต่อยอดแนวคิดการทำตลาดนี้ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค ‘เอไอ สมาร์ทโฟน’ ได้มากขึ้น โดยส่ง OPPO Reno13 5G พร้อมอัปเกรดประสบการณ์เอไอรอบด้านให้กับผู้ใช้งาน   ทั้งการถ่ายภาพด้วย AI Livephoto และระบบประมวลผลทรงพลัง และยังเป็นครั้งแรกของการถ่ายภาพใต้น้ำด้วยมาตรฐาน IP69 รวมถึงประสบการณ์การถ่าย ภาพพอร์ตเทรตให้โปรยิ่งขึ้นด้วย AI Livephoto   และแน่นอนว่า เพื่อให้เป็นไปตามแนวคิดให้ ‘ทุกคน’ สามารถเข้าถึงเอไอ สมาร์ทโฟน ได้ โดยตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ‘OPPO’ ยังใช้กลยุทธ์ราคาใหม่ 16,999 บาท จากราคาปกติ 17,999 บาท สำหรับ OPPO Reno13 5G ที่มาพร้อมฟีเจอร์เอไอที่มาเพิ่มประสบการณ์ถ่ายภาพรอบด้าน และมีชีวิตชีวา   นอกจากนี้ ยังเป็นการตอกย้ำตำแหน่งทางการตลาดของ ‘OPPO’ ในฐานะสมาร์ตโฟนราคาระดับกลางที่สามารถถ่ายภาพใต้น้ำ ได้ด้วยมาตรฐานกันน้ำ IP69 รองรับการถ่ายภาพใต้น้ำที่ความลึกสูงสุด 2 เมตร นานสูงสุด 30 นาที และยังมาพร้อม ฟังก์ชันระบายน้ำออกโดยการกดเพียงครั้งเดียว   ในส่วนของการออกแบบในรอบนี้ ‘OPPO’ มาพร้อมดีไซน์ใหม่ทันสมัย ด้วยฝาหลังลวดลายปีกผีเสื้อสีขาว Plume White และวงแหวน Luminous Loop ในสีฟ้า Luminous Blue ให้ความรู้สึกหรูหราและทันสมัย พร้อมฝาหลัง กระจกแกะสลักชิ้นเดียวดีไซน์ขอบเหลี่ยมจับถนัดมือ เพื่อให้ใช้งานสะดวกและมั่นคงในทุกการสัมผัส พร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาด 5,600mAh และชาร์จไว 80W SUPERVOOC ความจุ RAM 12GB + ROM 256GB   หลังจากเปิดตัวรุ่น OPPO Reno13 5G ในราคาปรับใหม่ที่ลดลงมาร่วมหมื่นบาทในครั้งนี้ คงต้องวัดพลังกันต่อว่าแผนนี้ของออปโปจะมัดใจเหล่า ‘เอไอ คอมมูนิตี้’ ที่ตื่นตัวอย่างแรงในเวลานี้ ได้มากน้อยเพียงใด     รายงานข่าวจาก seaasia ระบุในปี 2568 ที่ผ่านมา OPPO ได้กลายมาเป็นผู้ขายสมาร์ทโฟนชั้นนําในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยยอดการจำหน่าย 16.9 ล้านยูนิต สัดส่วน 18% ของตลาด มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี และยังเป็นครั้งแรกที่ OPPO ขึ้นสู่ผู้นำตลาดในภูมิภาคฯนี้ Oppo   Alternate-X สรุปให้  หลัง OPPO เปิดจุดเริ่มต้นมุ่งสู่การพัฒนา AI สมาร์ทโฟนในปีก่อน ด้วย Reno12  ล่าสุดในปี 2568 นี้ ได้ประกาศกลยุทธ์ AI ใหม่ในงาน MWC 2025 มุ่งเน้นประสบการณ์ผู้ใช้และความเสถียร พร้อมขยายสู่การทำตลาดท้องถิ่นในประเทศไทย ด้วยกลยุทธ์ราคาดึงดูด Reno13 5G ลดเหลือ 16,999 บาท (จาก 17,999 บาท) พร้อมย้ำความเป็นเอไอสมาร์ทโฟนราคาระดับกลางมาพร้อมฟังก์ชันถ่ายภาพใต้น้ำ IP69 เป็นครั้งแรก จากแนวทางดังกล่าวส่วนหนึ่งผลักดันให้ในปีที่ผ่านมา OPPO ยังขึ้นสู่ผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนในอาเซียน ด้วยยอดขาย 16.9 ล้านเครื่อง     

May 26, 2025 / 0 Comments
read more

ดวงเมืองครึ่งหลังปี’68 เศรษฐกิจไทยร้อนรุ่มยังกะไฟเออร์ ‘ซินแส’ แนะ 4 ทางตั้งรับสมดุลชีวิต

Peace&Play

หลังจาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ประกาศปรับจีดีพีไทยปี68 เหลือ1.8% รับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ไปเมื่อสัปดาห์ ที่ผ่านมา   สอดคล้องกับหลายสำนักต่างคาดการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยในปีนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่าส่อแววชะลอตัว ด้วยเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในเวลานี้ เหลือเพียง ‘ภาคท่องเที่ยว’ เป็น ‘engine’ ขุมกำลังหนึ่งเดียว   โดย กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย ข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 12,096,120 คน เทียบช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 มีจำนวน 12,127,447 ลดลง 0.26%   ขณะที่การส่งออกของไทย อาจยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จากนโยบายกำแพงภาษีการค้านำเข้าสหรัฐอเมริกา แม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบออกไปอีก 90 วัน ไปเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา พร้อมกับท่าทีของจีน เตรียมการตอบโต้สงครามการค้าในครั้งนี้   ด้วยในที่สุดแล้ว ‘ภาษีทรัมป์’ จะส่งผลต่อภาคการผลิตทุนจีนที่ใช้ฐานการผลิตในแต่ละประเทศรวมถึงไทยมากน้อยเพียงใด เช่นกัน   ส่วนเครื่องยนต์อีก2 ตัว ทั้ง ‘การลงทุนภาคเอกชน’ และ ‘การบริโภคในประเทศ’ ที่ปัจจุบันค่อนข้างชะลอตัวต่อเนื่องจากต้นปีจากบรรยากาศ ‘Sentiment’ ความเชื่อมั่นที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ   ปรับพลัง-รับดวงเมืองร้อนครึ่งหลังปี68   แนวโน้มที่เกิดขึ้น หากมองในแง่ ‘จิตใจ’ หรือความเชื่อส่วนบุคคลยังสอดคล้องกับการพยากรณ์ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในครึ่งหลังปี 2568 โดย ‘ซินแสปรัชญา รมหุตติฤกษ์’ หรือ อาจารย์‘ปรัชญา เปิดฟ้า’ ผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์จีน ระบุว่า นับจากเดือนมิถุนายนนี้ไปแล้ว ภาพรวมของโลกจะเคลื่อนเข้าสู่ปีนักษัตรมะเส็ง ‘ธาตุไฟ’ จากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้นมา เป็นปีนักษัตรมะเส็ง ธาตุน้ำ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนไปตามหลักพื้นฐานปกติในเชิงโหราศาสตร์จีน อยู่แล้ว   ขณะที่บทบาทของปีนักษัตรมะเส็ง ธาตุไฟ ในครึ่งหลังของปี 2568 จะเป็นความร้อนแรงและชะล้างพลังน้ำที่เกิดขึ้นไปเมื่อครึ่งแรกของปีนี้ที่ผ่านมา ซึ่งธาตุน้ำหมายถึงความเบาบาง มีการหมุนเวียน เคลื่อนย้าย ไหลเท เปลี่ยนถ่าย ซึ่งเหมาะสมกับภาคการท่องเที่ยว ส่งออก   “ดวงเมืองประเทศไทย ไม่เหมาะกับธาตุไฟ เช่นเดียวกับดวงดวงโลกก็อาจจะดับเบิลขึ้นอีก เห็นได้จากทั้งไฟสงครามโลกและสงครามการค้า ที่เมื่อเกิดกับประเทศใหญ่แล้วย่อมมีผลกับไทยแน่นอน และยังรวมถึงไฟลักษณะกิเลสของผู้คนที่จะประทุตามมาขึ้นด้วย”   ซินแสปรัชญา กล่าวพร้อมเสริมว่า   “จากสถานการณ์ดังกล่าว ดวงเมืองประเทศไทยจะพลิกกลับมาฟื้นในครึ่งแรกของปี 2569 จากนั้นจะต้องกลับไปลุ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2569 อีกครั้ง”   อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบทิศทางที่อาจจะเกิดขึ้นและเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อวางแผนตั้งรับใน 4 ด้านในการใช้ชีวิตด้วยความแระมัดระวัง ที่ยังสอดคล้องกับพลังแห่งความสมดุล (หยิน/หยาง) ตามหลักโหราศาสตร์จีน ดังนี้   ‘สร้างการมีตัวตน’ พัฒนาทักษะและศักยภาพ ด้วยการลงทุนกับตัวเองด้านต่างๆ การหารายได้เพิ่มให้มากกว่าหนึ่งช่องทางประจำ เพื่อสร้างพลังแห่งการหมุนเวียนถ่ายเทให้กับตัวเองได้มากขึ้น เมื่อดวงเมืองเข้าสู่พลังงานธาตุไฟ ‘รักษากระแสเงินสด’ ไว้กับตัวให้มากที่สุด เพื่อรักษาพลังงานสภาพคล่องของตัวเอง ไม่วู่วามกับการลงทุนที่ขาดประสบการณ์หลังเข้าสู่ธาตุไฟแล้ว ‘อย่าก่อหนี้ใหม่’ สะท้อนทั้งในเชิงจิตวิทยาและโหราศาสตร์จีนตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ด้วยในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรผลักเงินออกจากตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นเก็บไว้ ซึ่งหมายถึงภาระแบ่งเงินออกไปชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ควรพิจารณาถึงความพอดีให้ได้มากที่สุดในการดำเนินชีวิตในแต่ละช่วงสถานการณ์นั้นๆ ‘อดทนและรอคอย’ ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมกันในภาพรวม ควรใช้ชีวิตไปต่อด้วยสติและจิตใจมั่นคงเข้มแข็ง ด้วยความมุ่งมั่นให้ผ้านพ้นไปได้ด้วยดี       Alternate-X สรุปให้  เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัว โดย สภาพัฒน์ปรับจีดีพีเหลือ 1.8% จากปัจจัยเสี่ยงโลก ภาคท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลักเพียงหนึ่งเดียว ขณะส่งออกได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนยังซบเซา สะท้อนความเชื่อมั่นที่ลดลง โหราศาสตร์จีนชี้ “ธาตุไฟ” ครึ่งปีหลัง 68 ส่งผลแรงกระทบทั้งในและต่างประเทศ พร้อมคำแนะนำรับมือ ลงทุนพัฒนาตนเอง รักษากระแสเงินสด ไม่ก่อหนี้ และใช้ชีวิตด้วยความอดทนมีสติ  

May 26, 2025 / 0 Comments
read more

เบเกอรี่ไทย 4 หมื่นล. ธุรกิจแข่งทำ ‘เฮาส์แบรนด์’  แต่กำลังซื้อเท่าเดิมทำตลาดไม่โต 2 ปีติด  

BizKet

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ราวช่วงปี 2493-2503 ‘ไทย’ เริ่มรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศจากตะวันตก  รวมถึงอารยธรรมการบริโภคอาหารอย่าง ‘เบเกอรี่’ ที่เข้าสู่ประเทศนับจากช่วงนั้นเป็นต้นมา   ทำให้เบเกอรีและโรงงานขนมปังสมัยใหม่เริ่มเข้ามาในประเทศไทยอย่างแพร่หลายในช่วงนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการ ‘เช็ค แฮนด์’ เทรนด์การบริโภคแบบตะวันตก ที่มาพร้อมกระแสความนิยมการกินทั้งขนมปังและเบเกอรี ขยายตัวเพิ่มขึ้น   จากนั้นเริ่มมีโรงงานขนมปังสมัยใหม่เริ่มเกิดขึ้น อย่างโรงงานขนมปังบางกอกเบเกอรี่ (ก่อตั้งราวปี พ.ศ. 2495) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตขนมปังรายแรกๆ ของไทย และมีบริษัทต่างชาติ เช่น Délifrance (ฝรั่งเศส) และ Yamazaki (ญี่ปุ่น) เข้ามาเปิดสาขาในไทยในช่วงปี 2523-2533   รวมถึงการเข้ามาสู่รูปแบบอุตสาหกรรมขนมปังอย่างจริงจัง จากการเปิดตัว ‘ฟาร์มเฮ้าส์’ (Farmhouse) แบรนด์ขนมปังสัญชาติไทยที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2525 โดยบริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒนพิบูล   โดยธุรกิจ ก่อตั้งจากแนวคิด ผลิตและจัดจำหน่ายขนมปังและผลิตภัณฑ์เบเกอรีที่มีคุณภาพมาตรฐานทัดเทียมสากล ที่ปัจจุบันดำเนินการมาร่วม 43 ปีแล้วถึงในปัจจุบัน   ด้วยยี่ห้อสินค้า ‘ฟาร์มเฮ้าส์’ มาพร้อมโลโก้รูปบ้านแนวโฮมมี่ ให้ความอบอุ่น  และยังสะท้อนถึงทุ่งข้าวสาลีที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตขนมปัง เพื่อสื่อถึงการอบขนมปังที่สดใหม่   อาจเรียกได้ว่าอุตสาหกรรมเบเกอรี่และขนมปังของไทย ได้เข้าสู่ยุคเฟื่องฟูมาตั้งแต่กว่า 30 ปีที่ผ่านมาจนถึงในปัจจุบัน เห็นได้จากการขยายตัวของร้านเบเกอรีหลากหลายแบรนด์ต่างๆ ที่ทยอยเปิดตัวเป็นจำนวนมาก ที่ผลักดันให้ตลาดเบเกอรีในไทยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท   อย่างไรก็ตามตลาดเบเกอรี่ในไทยที่มีมูลค่าร่วม 4 หมื่นล้านบาท กลับทรงตัวและไม่เติบโต 2 ปีต่อเนื่อง (พ.ศ. 2567-2568) “ปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว และการแข่งขันสูงขึ้น โดยทุกบริษัททำสินค้าเฮ้าส์แบรนด์เป็นของตนเอง และทำสินค้าขนมปังออกมาแข่งขัน เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่เข้ามาง่าย ส่งผลให้ปัจจุบันมีแบรนด์ขนมปังในตลาดสูงถึง 18 แบรนด์ ขณะที่กำลังซื้อผู้บริโภคเท่าเดิม” อภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย’ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ กล่าว   ขณะที่ในช่วงหลังการแพร่ระบาดโควิด ‘ฟาร์มเฮ้าส์’ เคยมีการเติบโต 3 ปีต่อเนื่องในช่วงปี 2564-2566 และเคยเติบโตสูงสุดอัตราสองหลัก Double Digit ในช่วงที่ร้านสะดวกซื้อขยายสาขาเปิดตัวจำนวนมาก   “และเคยหดตัวสูงสุดที่ 5% แต่ตอนนี้เหลือโตเฉลี่ย 3-5%”   ลงทุน 4 พันล.บาทใน 3 ปี   ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว แน่นอนว่า ‘ฟาร์มเฮาส์’ จะต้องปรับแนวทางการทำธุรกิจครั้งใหญ่ ด้วยแผนเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าพร้อมเตรียมใช้งบลงทุนราว 4,000 ล้านบาทใน 3 ปี (พ.ศ. 2568-2570) เพื่อเพิ่มขีดการแข่งขัน แบ่งออกเป็น   ลงทุนโรงงานแป้ง 1,200 ล้านบาท ลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ 2,000 ล้านบาท ลงทุนนำเข้าเครื่องจักรใหม่จากยุโรป 600-700 ล้านบาท ลงทุนตู้เวนดิ้งแมชชีน 300 ล้านบาท (ปีละ 100 ล้าน) ลงทุนเพิ่มรถ EV ในการขนส่งสินค้าอีก 300 คัน   “การนำเข้าเครื่องจักรยุโรป ใช้เทคโนโลยีใหม่ เพื่อพัฒนาคุณภาพการผลิตขนมปังให้ดีขึ้น และยังสามารถเพิ่มกำลังผลิตขนมปังได้ 6,000 แถว/ชม. หรือประมาณ 20% ส่วนโรงงานแห่งใหม่คาดแล้วเสร็จปี 2569 จะช่วยในเรื่องการบริหารต้นทุนให้ดีขึ้น”   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมตลาดจะทรงตัว แต่ ฟาร์มเฮ้าส์ มองเห็นโอกาสในตลาดขนมปังในไทยยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกอย่างน้อย 2 เท่า   ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับในตลาด ‘ญี่ปุ่น’ และ ‘มาเลเซีย’ ที่คนในประเทศต่าง รับประทานข้าวเป็นหลักเหมือนคนไทย แต่ยอดการบริโภคขนมปังโตมากกว่าไทย   ต้องสร้างวัฒนธรรมขนมปัง   จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ ‘ฟาร์มเฮ้าส์’ มุ่งสร้างวัฒนธรรมการรับประทานขนมปังในไทยมากขึ้น   และเมื่อสร้าง ‘นี้ด’ ให้เกิดขึ้นได้แล้ว จากนั้นจะต้องไปสู่การเพิ่มช่องทางขาย หรือ ‘เอาต์เล็ต’ ให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น อย่าง ตู้เวนดิ้งฟาร์มเฮ้าส์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ 500 ตู้ ตั้งเป้าขยายครบ 1,000 ตู้ กระจายตามย่านโรงเรียนและโรงพยาบาล ซึ่งต่อยอดจากช่องทางขายเดิม ที่มีอยู่ราว 60,000 ร้านค้า ใน โมเดิร์นเทรด อาทิ ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าเทรดิชั่นนอลเทรด อาทิ โชห่วย ในสัดส่วน 50 : 50 เท่ากัน   เปิดเทอม ทำตลาดขนมปังสดใส    ขณะที่ในไตรมาส 2 ปี 2568 ฟาร์มเฮ้าส์ คาดว่าจะมียอดขายขนมปังเติบโตขึ้น จากโรงเรียนที่เปิดเทอม และคนออกมาทำงานมากขึ้น พร้อมวางเป้าหมายในปี 2568 ฟาร์มเฮ้าส์ จะรายได้รวมโต 7-10%   “ส่วนปีพ.ศ. 2570 จะยังคงเป้าใหญ่เดิม คือ ทำรายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาท” อภิเศรษฐ   จากในช่วงที่ผ่านมา ไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,716 ล้านบาท ลดลง 5.9% (YoY) และกำไรสุทธิ 341 ล้านบาท ลดลง 17.9% (YoY) และปี 2567 รายได้รวม 7,533 ล้านบาท ลดลง 0.85% (YoY) และกำไรสุทธิ 1,590 ล้านบาท ลดลง 6.8% (YoY)   อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมธุรกิจขนมปังขาวในไทย เริ่มมีผู้เล่นรายใหม่และใหญ่เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ จากการเข้ามาของ  บริษัทซีพีแรม จำกัด (CPRAM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารประเภทแช่แข็ง แช่เย็น อาหารพร้อมรับประทานและเบเกอรี และเป็นบริษัทลูกของบริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในไทย, กัมพูชา และลาว   โดยในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2567 ที่ผ่านมา ‘ซีพีแรม’ ได้เปิดตัวโรงงานผลิตขนมปังแผ่นแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท วางตำแหน่งให้เป็นโรงงานที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในระดับโลก เพื่อตอบรับเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการอาหารที่หาซื้อง่าย รับประทานได้สะดวกรวดเร็ว และที่ยังเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายดาย ด้วยช่องทางขายหลักร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เกือบ 15,000 สาขาทั่วประเทศ อีกด้วย Alternate-X สรุปให้  ตลาดเบเกอรี่ไทยมูลค่าแตะ 4 หมื่นล้านบาท แต่ทรงตัวต่อเนื่อง 2 ปีเพราะกำลังซื้อไม่เพิ่ม ขณะที่การแข่งขันรุนแรงจากแบรนด์ทำ ‘เฮาส์แบรนด์’ ของตัวเองจำนวนมาก โดย ‘ฟาร์มเฮ้าส์’ เตรียมลงทุน 4,000 ล้านบาทใน 3 ปี เพิ่มโรงงาน เครื่องจักร และช่องทางขาย พร้อมแผนสร้างวัฒนธรรมบริโภคขนมปังในไทย ด้วยตู้เวนดิ้งและการขยายเอาต์เล็ตตั้งเป้ารายได้แตะ 10,000 ล้านบาทในปี 2570 แม้ผลประกอบการ Q1/68 ยังติดลบ

May 25, 2025 / 0 Comments
read more

รู้จัก ‘SABER Lab’ MUT เปิดห้องแล็บใจกลาง UK พาไทยหลุดจาก ‘ผู้ตาม’ ตลาดการศึกษาโลก

EcoVative

MUT เปิดตัว ‘SABER Lab.’ อย่างเป็นทางการ ณ สหราชอาณาจักร  อีกหนึ่งแรงส่งความก้าวหน้าเทคโนโลยีทางการศึกษาไทยในตลาดสากล พร้อมแจกทุนเซมิคอนดักเตอร์ รับอุตสาหกรรมอนาคตไทยยั่งยืน   อีกหนึ่งความก้าวหน้าในเวทีการศึกษาระดับสากล โดยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (MUT) เปิดตัว ‘MUT – Imperial Semiconductor AI & BioSensor Electronics Research Laboratory’ หรือ ‘SABER Lab.’ อย่างเป็นทางการ ณ สหราชอาณาจักร โดยมี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และ รศ.ดร.ภานวีย์ โภไคยอุดม อธิการบดี MUT เข้าร่วมงานฯ ในครั้งนี้     สำหรับ SABER Lab.  แห่งนี้เป็นห้องปฏิบัติการวิจัยด้าน เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และไบโอเซนเซอร์ แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง MUT กับ Imperial College London มหาวิทยาลัยระดับ Top 5 ของโลกด้านวิศวกรรม   โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยได้ใช้งานห้องแล็บระดับโลก ทำวิจัยร่วมกับนักวิจัยชั้นนำ และพัฒนาทักษะจากประสบการณ์จริง   นอกจากนี้ SABER Lab. ยังทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการ บ่มเพาะนักวิจัยรุ่นใหม่ของไทย ให้ก้าวไกลสู่ระดับนานาชาติ พร้อมขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรม ตามนโยบายรัฐบาลในการเร่งพัฒนากำลังคนสู่เทคโนโลยีอนาคต ทั้งนี้ MUT ยังได้รับมอบหมายจากกระทรวง อว. ให้ดำเนินงานในฐานะ National Semiconductor Training Center ของประเทศ ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือเชิงลึกกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก พัฒนาหลักสูตร วิจัย และการอบรมกำลังคนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง   ขณะเดียวกันยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ คือ โครงการ ทุนการศึกษาปริญญาเอกจำนวน 5 ทุนต่อปี ต่อเนื่อง 5 ปี สำหรับนักศึกษาไทย เพื่อศึกษาต่อด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่ Imperial   โดยทุนนี้เป็นรูปแบบใหม่ที่กระทรวง อว. สนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งเพื่อการศึกษา พร้อมส่งเสริมให้ผู้รับทุนสามารถ สร้างธุรกิจ พัฒนาเทคโนโลยี และตอบโจทย์อุตสาหกรรม ผ่านการดูแลจาก Incubation Unit ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะใน MUT   สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษา MUT ได้รับประโยชน์อย่างรอบด้าน ทั้งด้านการเรียนรู้ การทำวิจัย และการเข้าถึงทรัพยากรระดับโลก โดย MUT มี หลักสูตรที่พัฒนาอย่างทันสมัย เช่น วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์   รวมทั้ง วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่เน้นด้านปัญญาประดิษฐ์ ที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมจริง พร้อมห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานในประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงกับ SABER Lab. ที่ Imperial ผ่านโครงงานวิจัยร่วม การเรียนการสอนแบบโครงงานจริง (Project-based Learning) และการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและอาจารย์ นักศึกษา MUT จึงไม่เพียงได้ฝึกทักษะในห้องเรียน แต่ยังได้มีโอกาส ก้าวสู่เวทีวิจัยระดับสากล ตั้งแต่ในช่วงมหาวิทยาลัย   ด้าน รศ.ดร.ภานวีย์ โภไคยอุดม อธิการบดี MUT กล่าวถึง SABER Lab. แห่งนี้จะเป็นศูนย์วิจัยในเวทีระดับโลกที่เปิดให้นักศึกษาไทย ก้าวข้ามขีดจำกัดของการเรียนรู้ ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่างแท้จริง   “จากความร่วมมือระดับสูงในครั้งนี้ จะผลักดันประเทศไทยหลุดพ้นจากบทบาทของผู้ตามเทคโนโลยี แต่ก้าวขึ้นเป็นผู้สร้างนวัตกรรมที่ทรงอิทธิพลในระดับสากล และ MUT จะเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนไทยที่พิสูจน์ได้ว่า Transformative Impact บนเวทีโลกนั้นเกิดขึ้นได้จริง” รศ.ดร.ภานวีย์ กล่าว   Alternate-X สรุปให้ MUT  ร่วมกับ Imperial College London เปิดตัว ‘SABER Lab.’ ศูนย์วิจัยในอังกฤษ เป็นห้องปฏิบัติการ(แล็บ) วิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ AI และไบโอเซนเซอร์แห่งแรกของอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสนักศึกษาไทยทำวิจัยระดับโลก พัฒนาทักษะกับนักวิจัยชั้นนำ พร้อมแจกทุนป.เอก ปีละ 5 ทุน ต่อเนื่อง 5 ปี ศึกษาต่อที่ Imperial เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำเทคโนโลยีไทย ผลักดันประเทศสู่ผู้สร้างนวัตกรรมระดับสากล  

May 24, 2025 / 0 Comments
read more

‘Snickers’ จากตัวร้ายแคลฯสูง พลิกแบรนด์สู่ ‘ตัวช่วยแก้หิว’ และใช้ ‘K-Pop’ เจาะนิว เจนฯ

BizKet

‘สนิกเกอร์ส’  (Snickers) ถั่วลิสงคาราเมลและนูกัตเคลือบช็อกโกแลตนม กับการ’เดบิวต์’ ครั้งแรกในตลาดสหรัฐอเมริกา เมื่อราวปี 1930 หรือล่วงมา 95 ปีแล้ว   สำหรับชื่อ ‘Snickers’ ได้ตั้งขึ้นตามชื่อ ม้าตัวโปรดของครอบครัว Mars ที่ก่อตั้งธุรกิจขึ้นในปี 1911 โดย Frank Mars พร้อมส่งต่อกิจการจากรุ่นสู่รุ่น ถึงปัจจุบันดำเนินการภายใต้บริษัท Mars Incorporated   โดยตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษของแบรนด์ ‘สนิกเกอร์ส’  ตลอดช่วงที่ผ่านมา เจอกับความท้าทายนานับประการ     นับตั้งแต่การใช้ชื่อ ‘Marathon’ เพื่อทำตลาดในสหราชอาณาจักร ด้วยในช่วงนั้น สนิกเกอร์ส ใช้กลยุทธ์การทำตลาดแบบท้องถิ่น (Localization) ในอังกฤษ และเลือกใช้ชื่อ ‘Marathon’ แทนคำว่า ‘Snickers’ ที่ฟังดูแปลก และอาจไม่คุ้นหูคนอังกฤษในเวลานั้นสักเท่าไหร่นัก ซึ่งในยุคปี ’90s แนวคิดการตลาดโกลบอลแบรนด์ ‘Global Branding’ ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก   จากนั้น MARS ได้ตัดสินรีแบรนดิงใช้ Snickers ตามเดิม ด้วยต้องการรวมชื่อแบรนด์ให้เป็นหนึ่งเดียวทั่วโลก พร้อมรีแบรนด์ Marathon ให้กลับมาเป็น Snickers เพื่อทำตลาดในอังกฤษ เมื่อปี 1990   การเปลี่ยนชื่อ-แม้จะเสี่ยงแต่ก็คุ้ม   แม้การเปลี่ยนชื่อจะเจอแรงต่อต้านจากแฟนเดิมในช่วงแรก แต่ในระยะยาว กลับทำให้ Mars บริหารจัดการแบรนด์ได้ง่ายขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะลดต้นทุนการทำตลาด (ไม่ต้องมีโฆษณาแยกหลายเวอร์ชัน) ไปพร้อมกับการเพิ่มการจดจำแบรนด์ในระดับนานาชาติ   ถัดมาสู่ยุคมิลเลนเนียล ในปี 2007  ‘สนิกเกอร์ส’ เจอกับความท้าทายในชิ้นงานโฆษณา ที่โดนวิจารณ์เรื่องเหยียดเพศ (homophobic) หรือเลือกปฏิบัติ ผ่านภาพยนต์โฆษณา ทำให้ Mars ต้องรีบถอนโฆษณาออก พร้อมออกแถลงการณ์ขอโทษ   วิกฤตินี้กระทบต่อแบรนด์ในสหรัฐฯ และยุโรปพอสมควรเลยทีเดียว และกลายเป็นบทเรียนเรื่องความอ่อนไหวทางวัฒนธรรมและเพศในโฆษณายุคใหม่   ปรับไซส์เล็ก–กินแล้วไม่รู้สึกผิด   ถัดมาอีก 3 ปี ‘สนิกเกอร์ส’ เจอความท้าทายด้านสุขภาพ จากกระแสการใส่ใจดูแลสุขภาพของผู้คนทั่วโลก ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังปี 2010 เป็นต้นมา ด้วย ‘Snickers’ ถูกมองว่าเป็นสินค้าที่ให้พลังงานสูง (ประมาณ 250+ แคเลอรีต่อแท่ง) ทำให้ถูกตั้งคำถามว่า ‘เป็นขนมที่ดีต่อสุขภาพไหม?’   จากนั้น Mars จึงเริ่มแก้เกมการตลาดสินค้าใหม่ ด้วยการเปิดตัวไซส์มินิ และปรับขนาดการเสิร์ฟ เพื่อรองรับเทรนด์ ‘portion control’ ควบคุมสัดส่วน/ปริมาณการรับประทานต่อครั้ง   และในช่วงนั้น ยังเป็นจุดพลิกฟื้นสู่แคมเปญ ‘You’re not you when you’re hungry’ (2010) แคมเปญระดับโลกที่ ยกระดับ Snickers จากขนมหวานมาสู่ตัวช่วยแก้หิว   ด้วยความตั้งใจของสนิกเกอร์ส ที่ออกมาสื่อสารว่า ‘คุณหิวจนไม่เป็นตัวของตัวเอง’ และ Snickers คือคำตอบ เรียกง่ายๆ ว่า “ถ้าเราโมโหหิวขึ้นมานั่นมันไม่ใช่ตัวฉันหรอกนะ เพราะฉะนั้นมาแก้ความหิวนี้กันด้วยสนิกเกอร์ส ก่อนเถอะ”   แน่นอนว่า แคมเปญนี้สร้างไวรัลสูง แถมมีคนดังร่วมแสดงด้วย เช่น Betty White ใน Super Bowl Ad  และช่วยให้ Snickers กลับมาเป็นผู้นำตลาดขนมแท่งอีกครั้ง และได้รับรางวัลมากมาย   มาถึงปัจจุบัน Snickers ขยายไลน์สินค้าออกไปอีกมาก เช่น Snickers Ice Cream, Protein Bar, Mini Size และยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์ช็อกโกแลตอันดับต้น ๆ ของโลก อีกด้วย ที่สำคับ สนิกเกอร์ส ยังกลายเป็นแบรนด์กรณีศึกษาการตลาดระดับโลกในเรื่องการฟื้นแบรนด์ผ่านครีเอทีฟแคมเปญ อีกด้วย   สนิกเกอร์ส กับกลยุทธ์ ‘เค–ป็อป’   ทีนี้ กลับมาดูแนวทาง ‘สนิกเกอร์ส’ ในตลาดระดับภูมิภาค ล่าสุด Mars Wrigley Asia ประกาศแต่งตั้ง ‘MINGYU’ สมาชิกวง SEVENTEEN บอยแบนด์เคป๊อประดับโลก เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ SNICKERS® Asia คนแรกอย่างเป็นทางการ   ‘MINGYU’ เป็นสมาชิกวง SEVENTEEN ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินกลุ่มแรกในวงการ K-pop ที่มียอดขายอัลบั้มทะลุ 5 ล้านชุดภายในสัปดาห์แรก   โดยเขากำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั้งในระดับโลกและทั่วเอเชีย ในฐานะไอดอลแถวหน้า ที่ครองใจแฟนคลับทุกช่วงวัย ด้วยความสามารถด้านการแร็ปและร้องเพลงที่โดดเด่น ควบคู่ไปกับบุคลิกสดใสร่าเริงที่เป็นเอกลักษณ์   ตัวแทนจาก SNICKERS® ระบุว่า ‘MINGYU’ สามารถสะกดใจผู้คนทั่วโลกด้วยพลังงานอันสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์สนิกเกอร์ส โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา SNICKERS® ได้กลายเป็นช็อกโกแลตบาร์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ในฐานะแหล่งเติมพลังงานที่สะดวกและรวดเร็ว   “เราเชื่อว่าจะเกิดการผสานพลังอย่างมีประสิทธิภาพในหลายด้านจากความร่วมมือกับ MINGYU ครั้งนี้”   ส่วนในไทย สนิกเกอร์ส เองก็เตรียมรับช่วงต่อในกิจกรรม 7-Eleven Takeover ‘World of SNICKERS’ ซึ่งจัดขึ้นที่ 7-Eleven สาขาประสานมิตร ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2568 และเตรียมพบกับแคมเปญออนไลน์และกิจกรรมพิเศษต่างๆ จาก SNICKERS Thailand ผ่านทาง Facebook: Snickers Thailand  พร้อมกันด้วย     Alternate-X สรุปให้  Snickers เริ่มต้นในสหรัฐฯ ปี 1930 ตั้งชื่อตามม้าตัวโปรดของครอบครัว Mars แบรนด์เคยใช้ชื่อ “Marathon” ทำตลาดในอังกฤษ ก่อนเปลี่ยนกลับเป็น Snickers ปี 1990 และเคยเผชิญวิกฤตโฆษณาเหยียดเพศและกระแสสุขภาพที่ทำให้ต้องรีไซส์ขนม แต่จากแคมเปญ “You’re not you when you’re hungry” ทำให้แบรนด์กลับมาเป็นผู้นำ ล่าสุดจับมือไอดอล K-pop “MINGYU” เจาะตลาดเอเชียและคนรุ่นใหม่          

May 24, 2025 / 0 Comments
read more

อะโลฮ่า!! ‘สติทช์’ เจ้าต่างดาวขนฟู ‘อาวุธทำลายล้าง’ ดูหนังจบแล้วมาต่อกันที่งานป๊อปอัปฯพารากอน

WeView

Lilo & Stitch เรื่องราวของ Lilo Pelekai เด็กหญิงชาวฮาวายตัวปุ๊กปิ๊ก ผู้รักความแตกต่าง กับ ‘Stitch’ หรือ มีชื่อรหัสทดลองว่า 626 สิ่งมีชีวิตต่างดาวที่ถูกออกแบบให้เป็น “อาวุธทำลายล้าง” โดยนักวิทยาศาสตร์ต่างดาวชื่อ ดร. จัมบา โจคิบา (Dr. Jumba Jookiba)   คือ พล็อตเรื่องราวสุดป่วน สุดกวน ของคู่หูเพื่อนนอกโลกของ ‘ลีโล่’ และ ‘สติทช์ ที่เปิดตัวเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันอเมริกัน แนวตลก-ดรามาและนิยายวิทยาศาสตร์ ออกฉายครั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 สร้างโดย วอลต์ดิสนีย์ฟีเชอร์แอนิเมชัน และจัดจำหน่ายโดย วอลต์ดิสนีย์พิกเชอส์   ในครั้งนั้น ภาพยนตร์ได้การตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์และได้รับการเสนอชื่อใน รางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ใน งานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 75   โดยพล็อตเรื่องหนังแอนิเมชั่น เล่าถึง ‘Stitch’ ได้หลบหนีจากห้องทดลองของ Galactic Federation และพุ่งตกลงมาบนโลกที่เกาะ Kauai ในรัฐฮาวาย ที่ซึ่ง ‘สติทช์’ ได้พบกับมิตรภาพสุดป่วงพ่วงความน่ารักกับ ‘Lilo’ ที่เข้าใจผิดอย่างแรงถึงความสามารถระดับการทำลายล้างของเจ้าขนฟูสติทช์ เป็น ‘สุนัขจรจัด’ เลยรับเอาไปเลี้ยง เสียเลย   เป็นจุดตั้งต้นของความบันเทิงและความผูกพันของ ‘ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ’ระหว่าง Lilo พี่สาว Nani และ สติทช์ที่ต่างค่อย ๆ เรียนรู้เรื่องความรักและความผูกพันภายใต้คำว่า “โอฮานา” (ʻOhana ในภาษาฮาวาย แปลว่า ครอบครัว — และครอบครัวต้องไม่ทอดทิ้งกัน)   มาในวันนี้ หลังผ่านไปร่วม 23 ปี Lilo & Stitch 2025 ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชั่น ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชัน ที่สร้างจากภาพยนตร์แอนิเมชันปี 2002 และเข้าฉายไปแล้วเมื่อ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา   ทีนี้ หากใครที่กำลังจะไปชมภาพยนตร์ หรือไปดูมาแล้วอาจยังรู้สึกว่า ‘หนังจบแต่คนยังไม่จบ’ สามารถมาต่ออารมณ์กันได้ที่งานป๊อปอัป ‘Stitch Island Vibes’ พร้อมเนรมิตบรรยากาศเกาะฮาวายจากเรื่องราวของสติทช์ให้มีชีวิตชีวาใจกลางกรุงเทพฯ   นอกจากนี้ ยังพบกับสินค้าคอลเลกชันสติทช์ มุมถ่ายรูปคิวท์ๆ และกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 22 ถึง 26 พฤษภาคม 2568 ที่แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน   โดยแฟนคลับทุกรุ่นทุกเจนฯ จะได้พบกับคอลเลกชันหลากหลายมาให้ทุกไลฟ์สไตล์ได้ร่วมจอยโมเมนต์ ทั้งสินค้าแฟชัน แอกเซสซอรี ของใช้ในบ้าน ของสะสม ของเล่น และอื่นๆ ที่ได้แรงบันดาลใจจากสติทช์โดยเฉพาะ         มาดูกันใน กลุ่มเครื่องประดับ คอลเลกชันน่ารักที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสติทช์ ทั้งสร้อยข้อมือ สร้อยคอ แหวน และไอเทมอื่นๆ จากแบรนด์ชั้นนำอย่าง RAVIPA, Pandora, Charmmy Jewelry และ Mystic   แน่นอนว่าแต่ละชิ้น ถุกถ่ายทอดความสดใสและขี้เล่นในแบบฉบับของสติทช์ เอาไว้มิกซ์แอนด์แมตช์ให้สนุกได้ในทุกโอกาส   ส่วนกลุ่มเสื้อผ้าแฟชัน – Kloset นำสีสันและคาแรกเตอร์แสนสนุกของสติทช์มาถ่ายทอดในแบบฉบับของแบรนด์ผ่านเสื้อผ้า กระเป๋า และหมวก, เสื้อยืดพิมพ์ลายผ้าคอตตอนคุณภาพสูง สำหรับทุกเพศทุกวัย จาก Pick Me Up และ Characters Studio     สำหรับสายคุณแม่ทีมลูกสาว ต้องไม่พลาดคอลเลกชันชุดเด็กจาก Charlotte Penderie ที่หยิบความน่ารักของสติทช์มาแมทช์กับดีไซน์ละมุนในสไตล์ English Vintage ได้อย่างลงตัว, ชุดนอนสีสันสดใสจาก Josilins และ Happy Sunday เนื้อผ้านุ่มลื่น สวมใส่สบาย มีให้เลือกหลากหลายแบบสำหรับทุกคนในครอบครัว ตลอดจนเติมเต็มความสนุกในทุกลุคด้วยเสื้อผ้าครอบครัวดีไซน์ทันสมัยจาก PAJARA   กลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์และของใช้ทั่วไป – Wish & Co. จัดเต็มกับคอลเลกชันสติทช์สุดน่ารัก นำขบวนโดยแบรนด์ดังจากอังกฤษ Mad Beauty และน้ำหอมคอลเลกชันใหม่ล่าสุด Stitch Blind Box Fragrance จากออสเตรเลีย     พร้อม Re-stock ลิปบาล์มคอลเลกชันสติทช์ในตำนาน และเครื่องประดับน่ารักจากออสเตรเลียที่มาให้ชอปกัน กลุ่มเครื่องหอมจาก Yunic กับก้านไม้หอม ถ่ายทอดกลิ่นหอมสดชื่นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความชุ่มฉ่ำและความมีชีวิตชีวาของหมู่เกาะฮาวาย   แก้วน้ำทัมเบลอร์เก็บอุณหภูมิและกระเป๋าลวดลายน่ารักจาก IGNITE และพิเศษกางเกงช้างลายสติทช์และผลิตภัณฑ์ของใช้ภายในบ้านต่างๆ จาก โลตัส แมคโคร, น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ในคอลเลกชันขวดน้ำลายสติทช์ รวมถึงสินค้าพรีเมียมน่ารักจาก 7-Eleven   กลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน – หมอนรองคอและหมอนผ้าห่มจาก Cartoon Characters และเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน อาทิ หมอนอิง ม้านั่ง กระจกเงา ที่แขวนเสื้อผ้าของใช้ และอื่นๆ อีกมากมายจาก Disney Home   กลุ่มของเล่นและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ – ตุ๊กตาขนนุ่มฟูน่ากอดจาก Take Toys, ของเล่น ตุ๊กตา และของสะสมจาก Kiddo และ Hot Toys, ฟิกเกอร์ซีรีส์พิเศษเฉพาะจาก URDU     อุปกรณ์มือถือและอุปกรณ์เสริมจาก Sheep ที่คัดมาครบ ทั้งเคส สายชาร์ต กล่องสุ่ม Blind Box พวงกุญแจสติทช์ และไอเทมอื่นๆ  และพาวเวอร์แบงก์จาก Dissing ลายสติทช์ น่ารัก   พร้อมกันนี้ ‘Miniso’ ยังได้ฉลองเปิดสาขาใหม่ เดอะมอลล์ บางกะปิ พร้อมต้อนรับซัมเมอร์ด้วยเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับ “The Stitch Gen Z Street Series Vinyl Plush!” คอลเลกชันสายสตรีท ตามฉบับวัยรุ่นเจนซีอีกด้วย   พิเศษ! เพียงชอปครบ 3,000 บาท ภายในงานรับกระเป๋าลายสติทช์มูลค่า 290 บาท โดยงานจัดขึ้นในวันที่ 22 – 26 พฤษภาคม 2568 ณ แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน   สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตและเดบิต ทีทีบี รับสิทธิประโยชน์สำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตรทีทีบี ดิสนีย์ ดังนี้   สำหรับบัตรเดบิต ทีทีบี ออลล์ฟรี ดิสนีย์ : รับบัตรกำนัล Starbucks มูลค่า 100 บาท เมื่อใช้จ่ายสะสมภายในงานตั้งแต่ 1,500 บาทขึ้นไป (จำกัดสูงสุด 500 บาท / ท่านตลอดรายการ)   สำหรับบัตรเครดิต ทีทีบี ดิสนีย์ : แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 12% เมื่อแลกคะแนนเท่ายอดใช้จ่าย (จำกัดการแลกคะแนนสูงสุด 30,000 คะแนน หรือจำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 3,600 บาท / หมายเลขบัตรหลักตลอดรายการ)   โดยผู้สนใจสามารถเลือกชอปสินค้าคอลเลกชันสติทช์ได้ที่งาน Stitch Island Vibes ที่แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ที่ร่วมรายการ   Alternate-X สรุปให้  Lilo & Stitch แอนิเมชันสุดคลาสสิก กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันไลฟ์แอ็กชันปี 2025 พร้อมปลุกกระแสความน่ารักผ่านงานป๊อปอัป “Stitch Island Vibes” ใจกลางกรุงเทพฯ พบกับสินค้าคอลเลกชันพิเศษ มุมถ่ายรูปสุดคิวท์ และกิจกรรมสุดสนุก จัดเต็มทั้งแฟชัน ของตกแต่งบ้าน เครื่องหอม ของเล่น และไอเทมเจน Z ตั้งแต่ 22 – 26 พฤษภาคม 2568 ที่แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน

May 23, 2025 / 0 Comments
read more

รถยนต์มือสอง ปี68 แนวโน้มปรับราคาขึ้น10-15% แต่จำนวนปริมาณในตลาดทรงตัว

BizKet

กรุงศรี ออโต้ มองตลาดรถยนต์มือสองปี68 ยังทรงตัวแต่ความต้องการรถคุณภาพมีสูงทำแนวโน้มราคาปรับขึ้น10-15% ส่ง ‘GO Auto Station’ รับดีมานด์คนรุ่นใหม่ชอบสะดวกจบที่เดียว   พรเทพ ถิรสุนทรากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการตลาด ธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯคาดว่าตลาดรถยนต์มือสองในปี 2568 มีแนวโน้มทรงตัว แต่ราคารถมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นราว 10-15% เนื่องจากรถที่มีคุณภาพสูงในตลาดเริ่มมีจำนวนจำกัด ส่งผลให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่ามากขึ้น   จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทฯ เปิดตัว ‘GO Auto Station’ สู่แหล่งซื้อขายรถยนต์มือสอง-สินเชื่อ-บริการหลังการขาย แบบครบวงจร บนแอปพลิเคชั่น โก บาย กรุงศรี ออโต้ ด้วยจุดเด่น ‘One-Stop Solution: ที่เดียวครบจบทุกบริการ’ให้ลูกค้าเลือกรถยนต์มือสองการันตีคุณภาพ มากที่สุดในตลาดกว่า 130,000 คัน จากพันธมิตรแพลตฟอร์มซื้อขายรถยนต์มือสองชั้นนำ   นอกจากนี้ ยังรวมเครือข่ายพันธมิตรผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้วของกรุงศรี ออโต้ กว่า 2,000 รายทั่วประเทศ พร้อมเชื่อมต่อบริการสินเชื่อ ประกันภัย และบริการหลังการขายไว้ในที่เดียว   “เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบายทุกขั้นตอน เชื่อมั่น โปร่งใส พร้อมหวังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์มือสอง ด้วยอีโคซิสเต็มที่ครบวงจรและน่าเชื่อถือที่สุดในอุตสาหกรรม” พรเทพ กล่าวพร้อมเสริมว่า   สำหรับ GO Auto Station จะเป็นหมากสำคัญในการวางรากฐานสู่การเป็นผู้นำอีโคซิสเต็มของตลาดรถยนต์มือสอง ภายใต้แนวคิด ‘One-Stop Solution: ที่เดียวครบจบทุกบริการ’ พัฒนามาเพื่อปลดล็อกทุกข้อจำกัดและคลายความกังวลของผู้บริโภค   โดยใช้จุดแข็งการผสานกำลังพันธมิตรในทุกด้าน ทั้งดีลเลอร์ผู้จำหน่ายรถมือสอง พันธมิตรแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีความเชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ในธุรกิจรถยนต์มือสอง และบริษัทตรวจสอบสภาพรถมืออาชีพ เพื่อคัดกรองเฉพาะรถยนต์มือสองสภาพดีเข้าสู่อีโคซิสเต็มใน GO Auto Station พร้อมเชื่อมต่อบริการสินเชื่อยานยนต์ดิจิทัลที่อนุมัติไวภายใน 30 นาทีจาก ‘กรุงศรี ยูสด์ คาร์’   “ด้วยจุดเด่นเหล่านี้ รวมกับฐานผู้ใช้งานกว่า 4.4 ล้านคนบนแอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ จะช่วยผลักดันธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสองของกรุงศรี ออโต้ให้เติบโตได้ขึ้นภายในสิ้นปีนี้” พรเทพ กล่าว   อนึ่ง ‘กรุงศรี ออโต้’ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ให้บริการสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร ได้แก่ สินเชื่อเพื่อคนมีรถ “คาร์ฟอร์แคช” สินเชื่อรถบ้าน ”กรุงศรี รถบ้าน” สินเชื่อรถใหม่ “กรุงศรี นิว คาร์” สินเชื่อรถเต็นท์ “กรุงศรี ยูสด์ คาร์” สินเชื่อรถบรรทุกใหม่       Alternate-X สรุปให้ ตลาดรถยนต์มือสองปี 2568 มีแนวโน้มราคาปรับขึ้น 10-15% แม้ปริมาณจะทรงตัว ทำให้ กรุงศรี ออโต้ เปิดตัว “GO Auto Station” แพลตฟอร์มซื้อขายรถครบวงจรบริการรวมทั้งสินเชื่อ ประกันภัย และบริการหลังการขายในแอปเดียว คัดคุณภาพดีจากพันธมิตรที่น่าเชื่อถือกว่า 2,000 รายทั่วประเทศ ตั้งเป้าสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตลาดรถยนต์มือสองด้วยบริการแบบ One-Stop Solution

May 23, 2025 / 0 Comments
read more

พรีโม่ฯ เปิดยีลด์คอนโดแตะ 10% รับกลุ่ม Expat จีนในระยองพุ่ง โอกาสตลาดเช่าอยู่อาศัย-คอนโด

BizKet

พรีโม่ฯ เครือ ออริจิ้น แชร์ข้อมูลเศรษฐกิจ ‘อีอีซี’ น่าสนใจ นิคมอุตสาหกรรมขยายตัว เอกชนหลายกลุ่มแห่ลงทุน ดันตลาดเช่าคอนโดระยอง ยีลด์สูง 9-10%   ณภัทร บูรณพงษ์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพชชั่น เรียลเตอร์ จำกัด กลุ่มงาน BROKERAGE เน้นการขายและการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ในเครือออริจิ้น ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากข้อมูลของบีโอไอ (BOI) ระบุ ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน ไตรมาส 1 ปี 2568 มีจำนวน 822 โครงการ เพิ่มขึ้น 20% คิดเป็นมูลค่ารวม 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97%   โดยเงินลงทุนกว่าครึ่ง อยู่ที่ภาคตะวันออก (เขต EEC) จำนวน 246,555 ล้านบาท มี Top 5 คือ ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และไต้หวัน ตามลำดับ   “สะท้อนการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) เข้ามาในไทยในพื้นที่เศรษฐกิจอีอีซี ยังมีอย่างต่อเนื่อง”  ณภัทร กล่าวพร้อมเสริมว่า     แนวโน้มดังกล่าว ยังผลักดันให้ตลาดเช่าที่อยู่อาศัยในจังหวัดระยอง ได้รับผลบวกจากนิคมอุตสาหกรรมขยายตัว ในปัจจุบันมีนิคมฯ รวม 15 แห่ง และมีแผนขยายเพิ่มอีก 2 แห่งในอนาคต   นอกจากนี้ ยังพบว่ามีกลุ่มโรงพยาบาลใหญ่เข้ามาเปิดตัวให้บริการในจังหวัดระยองเพิ่มขึ้น ทั้งเครือเกษมราษฎร์ และเครือปิยะเวท ซึ่งอยู่ใกล้โครงการที่บริษัทฯ รับบริหารด้วย   ขณะที่ในพื้นที่นี้ มีจำนวนประชากรกว่า 170,000-200,000 คน แบ่งเป็นประชากรแฝงในจังหวัดระยองราว 10% หรือประมาณ 20,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงมากพอสมควร   “ตลาดคอนโดปล่อยเช่าเมือวระยองในบางโครงการมี yield อัตราผลตอบแทน สูง 9-10% จากราคาขายเพียง 1-2 ล้านบาท แต่สามารถปล่อยเช่าให้ต่างชาติ Expat ที่มาทำงานในระยองได้ในราคาสูง 15,000 บาทต่อเดือน” ณภัทร กล่าว   ด้าน ‘ปีณิตา ศิลปสุวรรณ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท พรีโม่ เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์แมเนจเม้นท์ จำกัด (HHR) เปิดเผยว่า ปัจจจุบันกลุ่มผู้อยู่อาศัยต่างชาติ (Expat) ชาวจีนที่เข้ามาทำงานมีจำนวนสูงมาก และมีความต้องการล้นตลาดในจังหวัดระยอง แม้ว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจะหายไปบางส่วนก็ตาม   นอกจากนี้ ในจังหวัดระยองพบว่ายังมีกลุ่มโรงแรมน้อยมาก หรือในโรงงานบางแห่งแม้ว่า จะมีที่พักอาศัยให้พนักงานแต่ยังถือว่าน้อยกว่าความต้องการ (Demand)  ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสตลาดปล่อยเช่าคอนโด ในลักษณะที่อยู่อาศัยที่มีบริการครบเหมือนโรงแรม หรือ Service Residence   ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจ ‘แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์แมเนจเม้นท์” (HHR) ให้บริการพ้อมจำนวนคอนโดให้เช่าในจังหวัดระยองมากกว่า 3 โครงการ และเตรียมขยายเพิ่มอีก 1 โครงการ จากพอร์ตใหญ่ที่มีจำนวน 10 โครงการ 1,500 ยูนิต (ณ พ.ค. 68)   ขณะที่ ยีลด์คอนโดปล่อยเช่าในระยองบางโครงการที่สูงถึง 9-10% ซึ่งมีสัดส่วยการเติบโตให้ผลตอบแทนการปล่อยเช่าโครงการฯระยอง อยู่ใกล้เคียงกับเก็ตที่มียีลด์สูง 10%   โดยข้อมูลจาก CBRE ระบุ คอนโดในโครงการที่ได้รับความนิยมสูง จะเป็นรูปแบบตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 45-60 ตร.ม. ขึ้นไป   Alternate-X สรุปให้  พรีโม่ฯ เผยตลาดเช่าคอนโดในระยองยังโต รับอานิสงส์เงินลงทุน EEC แตะ 431,237 ล้านบาทใน Q1/68 แรงหนุนหลักจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม Expat ชาวจีนที่เข้ามาทำงานในนิคมฯ ขณะที่ยีลด์คอนโดให้เช่าระยองแตะ 9-10% บางโครงการขายเพียง 1-2 ล้านบาท ปล่อยเช่าได้เดือนละ 15,000 บาท  รับความต้องการที่พักล้นตลาด ทั้งจากนิคมอุตสาหกรรม โรงพยาบาล และจำนวนประชากรแฝง ขณะที่ Hampton (ในเครือออริจิ้น) พร้อมทำตลาดพอร์ตคอนโดปล่อยเช่าระยองกว่า 1,500 ยูนิต 

May 23, 2025 / 0 Comments
read more

‘ไอคอนสยาม’ ดึง‘ซีรียส์-วาย’ กลยุทธ์เติมสีสัน รับความหลากหลายตลอดเดือนมิถุนายน

Peace&Play

‘มิถุนายน’ ของทุกปีเป็นเดือนแห่งความภาคภูมิใจ ‘Pride Month’ และเป็นอีกหนึ่งเฟสติวัล อีเวนต์ ที่ ‘ไอคอนสยาม’ หยิบมาทำการตลาดร่วมฉลองตลอดเดือนแห่งความหลากหลาย   สุมา วงษ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าไอคอนสยาม กล่าวว่า จากการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมเมื่อต้นปี 2568 นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความเท่าเทียมในประเทศไทย สะท้อนถึงการเปิดกว้างในการยอมรับความหลากหลายทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม สร้างความเสมอภาคให้กลุ่ม LGBTQIA+ มีความเท่าเทียมในสังคมอย่างเต็มภาคภูมิ   ขณะเดียวกับที่ กระแส ‘ซีรียส์ Y’ ซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนกลายเป็น Soft Power ที่ทรงพลังของไทย สะท้อนถึงการต้อนรับความหลากหลายอย่างแท้จริงประเทศไทยไปพร้อมกัน   ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำการเป็นจุดหมายปลายทางของความหลากหลายในระดับโลกของไทย ไอคอนสยาม ร่วมกับพันธมิตร เฉลิมฉลองยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมในแคมเปญ ICONSIAM PRIDE OUT LOUDER 2025 ยกระดับความ PRIDE ของไทยให้เสียงของความภาคภูมิ ไปไกลกว่าที่เคย พร้อมจัดกิจกรรมสนับสนุนความ Pride ครบทุกด้าน   ย้อนรอย Pride ในประเทศไทย   สุมา กล่าวว่า ไอคอนสยาม เตรียมพาทุกคนย้อนกลับไปสำรวจเส้นทางประวัติศาสตร์ของความ Pride ในประเทศไทย จากวันที่สังคมยังไม่เปิดรับ ไปจนถึงวันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมกลายเป็นจริง “นี่คือครั้งแรกของการจัดทำสกู๊ปพิเศษที่เจาะลึกที่มา ความเปลี่ยนแปลง และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เสียงของชาว LGBTQIA+ ดังกึกก้องในระดับประเทศ พร้อมถ่ายทอดมุมมองใหม่ของสังคมไทยในยุคที่ความหลากหลายได้รับการยอมรับมากขึ้น”   โดย ตลอดเดือนมิถุนายน 2568 เตรียมพบกับบทความและคอนเทนต์พิเศษว่าด้วย “ประวัติศาสตร์แห่ง PRIDE” ที่จะพาคุณเข้าใจเบื้องหลังปรากฏการณ์สำคัญที่ผลักดันให้ ‘สถานะ’ ของความรัก และความเท่าเทียม เดินหน้าไปอีกขั้นอย่างภาคภูมิใจ     ‘Y ไทย’ ครองใจทั่วโลก   นอกจากนี้ ไอคอนสยาม ได้ร่วมกับ ซีรีส์ ‘กี่หมื่นฟ้า’ ซีรีส์บอยเลิฟจากค่าย Mandee Work (มันดีเวิร์ค) ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และเป็นความร่วมมือครั้งแรกทำ Special Card Box Set ให้แฟน ๆ ได้สะสม   พร้อมจัด Exclusive Fan Meet พบโชว์จาก 7 นักแสดง   โทมัส-ธีร์ทัศน์ จึงมณีรัตน์ ก้อง-ก้องภพ จิโรจน์มนตรี ตี๋ตี๋-วันพิชิต นิมิตภาคภูมิ ป๋อ-ศุภการ จิรโชติกุล อู่อู๋-ธนภูมิ เศรษฐสิทธิกุล เซฟ-วรพงษ์ วาเลาะ แพทจิ-จิรชาติ บุษปวนิช   พร้อมพบกับสิทธิพิเศษ HI-BYE แบบใกล้ชิด กิจกรรมแจกลายเซ็นบนกล่อง Special Card Box Set ถ่ายภาพกรุ๊ปช็อตกับนักแสดงทั้ง 7 ลุ้นเป็น Lucky Fan ร่วมสนุกบนเวที และลุ้นของรางวัลสุดพิเศษ ในวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ โรงภาพยนตร์ ICON CINECONIC ไอคอนสยาม ชั้น 6   โดยแฟน ๆ สามารถรับสิทธิ์เข้าร่วมงาน Exclusive Fan Meet “กี่หมื่นฟ้า” ได้ 2 วิธี ดังนี้ วิธีที่ 1 :  สมาชิก ONESIAM  ซื้อ Special Card Box Set มูลค่า 6,000 บาท (จำกัดเพียง 150 ชุดเท่านั้น) รับสิทธิ์เข้าร่วม Exclusive Fan Meet “กี่หมื่นฟ้า” พร้อมกิจกรรม HI-BYE กับศิลปินกี่หมื่นฟ้า, ลุ้นเป็นผู้โชคดีรับลายเซ็นจากนักแสดงบนเวทีจำนวน 10 ท่าน, ถ่ายภาพกรุ๊ปช็อตกับนักแสดงแบบ 7:6 โดยสามารถซื้อ Special Card Box Set ได้ ณ จุดขาย เจริญนครฮอล์ ชั้น M (หน้าร้าน Zara) ไอคอนสยาม ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม  –  1 มิถุนายน 2568 (จำกัด 2 Box set  / ท่าน ตลอดรายการ)   วิธีที่ 2 : สมาชิก ONESIAM  รวบรวมใบเสร็จจากการซื้อสินค้าและบริการภายใน ไอคอนสยาม, ไอซีเอส และห้างสรรพสินค้าสยาม ทาคาชิมายะ ครบทุก 1,000 บาท รับสิทธิ์จับการ์ดสุ่มสุดพิเศษของซีรีส์กี่หมื่นฟ้า (มีทั้งหมด 15  แบบ) ณ เคาน์เตอร์ Information ชั้น M ไอคอนสยาม (หน้าร้าน Zara) เพื่อลุ้นรับสิทธิ์เข้าร่วม Exclusive Fan Meet “กี่หมื่นฟ้า” จำนวน 150 สิทธิ์ พร้อมกิจกรรม HI-BYE และถ่ายภาพกรุ๊ปช็อตกับนักแสดงแบบ 7:6 โดยจำกัดสิทธิ์เข้างาน 2 สิทธิ์/ท่าน ตลอดรายการ  พิเศษ! ช็อปครบ 5,000 บาท/ใบเสร็จ รับสิทธิ์จับการ์ดสุ่มเพิ่มทันที 5 สิทธิ์ และสำหรับสมาชิกใหม่ ONESIAM SUPERAPP รวบรวมใบเสร็จครบ 1,000 บาท รับสิทธิ์จับการ์ดสุ่มคูณ 2 (2 สิทธิ์) เฉพาะ 1,000 บาทแรก   Pride แห่งความสำเร็จ   นอกจากนี้ ไอคอนสยาม ยังนำเสนอเรื่องราวความสำเร็จของเหล่า The Pride Successors บุคคลที่ใช้ความกล้านำทาง สร้างสรรค์ผลงานถ่ายทอดตัวตน จนประสบความสำเร็จและเป็นไอคอนของสังคม   โดยนำเรื่องเล่าและเรื่องราวของ LGBTQIA+  ที่เป็น Icons จากทุกวงการในประเทศไทยมาบอกต่อ อาทิ บุญรอด อารีย์วงษ์ อินฟลูเอนเซอร์สายฮา, หมอน้ำหอม-พญ.ณัฐสินี อารีกุล ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการตัดหน้าอก, ปั๊ม-อนุชิต เจ้าของเพจ “คิ้วต่ำ” เพจที่มักมีภาพประกอบสุดน่ารัก พ่วงด้วยข้อความฮีลใจ ฯลฯ เพื่อร่วมสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมความเท่าเทียมในสังคม โดยจะถูกนำเสนอเรื่องราวผ่าน Fackbook : ICONSIAM ตลอดทั้งเดือน   สะท้อนพลังความภูมิใจ   ขณะเดียวกัน ไอคอนสยาม ยังเปิดพื้นที่ PRIDE OUT WALL ให้ทุกคนได้ร่วมแสดงออกทางความคิดและความรู้สึกต่ออนาคตของ Pride ได้อย่างเสรีและสร้างสรรค์ สะท้อนพลังของความหลากหลายและการยอมรับในทุกตัวตน   PRIDE OUT LANDMARK พร้อมกันนี้ ไอคอนสยาม ยังชวนเช็คอินจุดถ่ายรูปสวย ๆ กับแลนด์มาร์กสีรุ้ง พบกับจุดถ่ายรูป PRIDE OUT LANDMARK ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์กระจกสีรุ้งอันเปล่งประกาย สะท้อนความเป็นแลนด์มาร์กแห่งความภาคภูมิใจ ด้วยสัญลักษณ์แห่งการยอมรับและเฉลิมฉลองความหลากหลาย เป็นพื้นที่ให้ทุกคนได้เปล่งประกายในแบบของตัวเอง สะท้อนความกล้า ความมั่นใจ และการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนได้อย่างเต็มที่และงดงามที่สุด   Alternate-X สรุปให้ ไอคอนสยาม ฉลอง Pride Month  ปี2568 ด้วยแคมเปญ ICONSIAM PRIDE OUT LOUDER 2025  ย้ำสนับสนุนความหลากหลายทางเพศหลังไทยผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม ใช้พลัง Soft Power จากซีรีส์วาย “กี่หมื่นฟ้า” จัด Fan Meet ด้วยกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟ และพาย้อนรอยประวัติศาสตร์ Pride ไทย พร้อมบทความและคอนเทนต์พิเศษ และชวนเช็คอินแลนด์มาร์กริมแม่น้ำสายรุ้ง ให้ผู้คนได้แสดงออกอย่างภาคภูมิใจ

May 23, 2025 / 0 Comments
read more

เพาเวอร์บาย สู่ยั่งยืนตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปต่อรีไซเคิล-ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ เอาของเก่าแลกใหม่

EcoVative

เพาเวอร์บาย ไปต่อปีที่3 โครงการ ‘เก่าแลกใหม่’ มีส่วนร่วมจัดการขยะพิษเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า-ซากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พบมีสัดส่วน 65% ของปริมาณขยะ 4.42 แสนตัน ในไทย   พัชราภรณ์ วรยิ่งยง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า ‘เพาเวอร์บาย’ กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทาง ‘Green Technology’ อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการ ‘เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ ซึ่งทำต่อเนื่องปีที่ 3 เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน   ขณะเดียวกัน ยังส่งเสริมให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เพื่อตอบโจทย์การจัดการของเสีย หรือ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) อย่างมีประสิทธิภาพในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว   โดย ‘เพาเวอร์บาย’ ร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเวสต์แมเนจเมนท์สยาม ในการรวบรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่ลูกค้านำมาร่วมโครงการ และนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น ซึ่งมีสารทำความเย็นที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะได้รับการจัดการอย่างปลอดภัยภายใต้ ‘โครงการแซนด์บ็อกซ์ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต กรณีเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น’ โดย ศสอ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการวิจัยและต่อยอดแนวทางการจัดการ E-Waste อย่างยั่งยืนต่อไป     อึ้ง!! ปริมาณขยะพิษอย่างล้น   ด้าน รศ. ดร.สุธา ขาวเธียร ผู้อำนวยการ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า ในปี 2566 พบว่าประเทศไทยมีปริมาณขยะอันตรายกว่า 680,000 ตัน   โดย 65% หรือประมาณ 442,000 ตันเป็นซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ซึ่งได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธีเพียง 21% เท่านั้น   “ขยะเหล่านี้อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนในดิน น้ำ และอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะสารหล่อเย็นในแอร์และตู้เย็นที่ต้องได้รับการกำจัดอย่างเหมาะสม”  รศ. ดร.สุธา กล่าว   ทั้งนี้ จึงได้ริเริ่มโครงการวิจัย “แซนด์บ็อกซ์ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต  กรณีเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น”  ขึ้น เพื่อทดสอบกลไกการจัดการซากผลิตภัณฑ์ตามหลักความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต โดยหนึ่งในความท้าทาย คือ การรวบรวมซากผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่การจัดการอย่างถูกต้อง   โดยในปีนี้ ได้รับความร่วมมือกับภาคธุรกิจอย่างเพาเวอร์บายถือเป็นก้าวสำคัญในการร่วมมือกันช่วยขับเคลื่อนระบบการจัดการ E-Waste อย่างยั่งยืนในประเทศไทย   นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารและทีมช่างเทคนิคจากเพาเวอร์บายยังได้เข้าศึกษาดูงานที่ เวสต์แมเนจเมนท์สยาม เรียนรู้กระบวนคัดแยก และรีไซเคิลซากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ถูกวิธี เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งจะถูกนำไปใช้พัฒนากระบวนการจัดการซากผลิตภัณฑ์ของเพาเวอร์บายในระยะยาว   สำหรับ โครงการ “เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” เป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่สะท้อนเจตนารมณ์ของเพาเวอร์บายในการขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่ความยั่งยืน พร้อมสานต่อปรัชญา “CRC Care” ของเซ็นทรัล รีเทล ในมิติ Care for the Environment ที่มุ่งสร้างโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน และตอกย้ำการเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกค้าส่งต้นแบบด้านความยั่งยืนแห่งเอเชีย   อนึ่ง บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ทั้งในประเทศไทย ประเทศอิตาลี และประเทศเวียดนาม โดยมีเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีกและค้าส่งทั้งหมด 3,844 ร้านค้า (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568) และการจำหน่ายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Omnichannel   โดยธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล ครอบคลุมทั้งหมด 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่   กลุ่มฟู้ด มุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค วัตถุดิบอาหาร รวมถึงสินค้าและบริการด้านสุขภาพคนและสัตว์เลี้ยง ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกและค้าส่งต่าง ๆ เช่น ท็อปส์ ท็อปส์ ฟู้ดฮอลล์ ท็อปส์ ไฟน์ ฟู้ด ท็อปส์ เดลี่ ท็อปส์แคร์ และโก โฮลเซลล์ ในประเทศไทย ส่วนประเทศเวียดนาม ได้แก่ บิ๊กซี/ โก (GO!) ท็อปส์ มาร์เก็ต มินิ โก (go!) และ ลานชี มาร์ท กลุ่มฮาร์ดไลน์ มุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน หนังสือ และ e-Book ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ไทวัสดุ ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม บีเอ็นบี โฮม เพาเวอร์บาย ออฟฟิศเมท บีทูเอส เมพ และเหงียนคิม กลุ่มแฟชั่น มุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ซูเปอร์สปอร์ต และ เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ มุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่ สำหรับร้านค้าของกลุ่มบริษัทฯ และร้านค้าและบริการของบุคคลภายนอก เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ท็อปส์ พลาซ่า และ บิ๊กซี / GO! เวียดนาม โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 เซ็นทรัล รีเทล ดำเนินธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ทั้งหมด 62 จังหวัด ประเทศเวียดนาม ทั้งหมด 43 จังหวัดและประเทศอิตาลี ในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ   Alternate-X สรุปให้  เพาเวอร์บายเดินหน้า Green Technology ผ่านโครงการ “เก่าแลกใหม่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ร่วมมือกับจุฬาฯ และพันธมิตรในการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ หวังลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก E-Waste โดยเฉพาะสารหล่อเย็นในเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า หลังพบปี 2566 ไทยมีขยะพิษ 680,000 ตัน โดย 65% เป็นซากเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ได้รับการจัดการถูกวิธีเพียง 21% สะท้อนปัญหาจริงจังต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โครงการนี้คือหนึ่งในแนวทางขับเคลื่อนค้าปลีกสู่ความยั่งยืนที่แท้จริงในระยะยาว

May 22, 2025 / 0 Comments
read more

AWC แมปตึก ‘เอ็มไพร์’ สู่ ‘ซิตี้ แคมปัส’ กรุงเทพฯ เปิดหลักสูตรฯร่วม ศิลปากร-วาแตล ฝรั่งเศส

BizKet

AWC ร่วม 2 สถาบันเปิดหลักสูตรใหม่ระดับปวช. สาขาการโรงแรมและอาหาร ใช้พื้นที่อาคารเอ็มไพร์ เป็น ‘ซิตี้ แคมปัส’  หนุนกรุงเทพฯ ศูนย์กลางการศึกษานานาชาติ   วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์​ค้าปลีก, โรงแรม และอาคารสำนักงาน กล่าวว่า AWC ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาทางการศึกษา และสร้างโอกาสในการฝึกปฏิบัติงานจริงภายในโรงแรมและธุรกิจในเครือของ AWC พร้อมช่วยเตรียมความพร้อม และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมบริการอย่างมืออาชีพ   โดย AWC พร้อมด้วย มหาวิทยาลัยศิลปากร สถาบันอุดมศึกษาที่เชี่ยวชาญด้านศิลปะ การออกแบบ และนวัตกรรมการบริการ ร่วมเปิดหลักสูตรใหม่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาการโรงแรมและอาหาร ภายใต้ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยศิลปากร และสถาบันวาแตล (Vatel Academy) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาการศึกษาด้านการบริการของประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล   สำหรับความร่วมมือระหว่าง AWC และมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้จัดตั้งซิตี้แคมปัส ณ ‘อาคารเอ็มไพร์’ หนึ่งในอาคารสำนักงานระดับแฟล็กชิปของ AWC ใจกลางย่านสาทร พร้อมเปิดโอกาสให้นักศึกษาจาก ‘โรงเรียนเตรียมการโรงแรมและการท่องเที่ยวไทย–ฝรั่งเศส’ ได้ฝึกปฏิบัติงานจริงภายในโรงแรมและธุรกิจในเครือของ AWC   “เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ในการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมโรงแรมและการบริการอย่างมืออาชีพ พร้อมสนับสนุนกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางการศึกษานานาชาติ” วัลลภา กล่าวพร้อมเสริมว่า   โดยเฉพาะ การที่สถาบันแห่งนี้มีซิตี้แคมปัสตั้งอยู่ ณ อาคาร “เอ็มไพร์” ในเครือ AWC ประกอบด้วย สำนักงาน ร้านค้า และร้านอาหาร รวมพื้นที่กว่า 300,000 ตารางเมตรใจกลางเมือง บนทำเลเชื่อมต่อรถไฟฟ้า สะดวกในการเดินทางสำหรับนักเรียนนักศึกษา และเป็นที่ตั้งของโครงการด้าน Hospitality ระดับโลกด้วยรวบรวมประสบการณ์ด้านอาหารอย่าง ‘EA’ Rooftop at The Empire   นอกจากนี้ยังมี The Empire Residence พื้นที่ Co-living ส่วนกลางสำหรับการใช้ชีวิตสร้างสรรค์และการเรียนรู้ พร้อมพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกันของนักศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใกล้ชิดกับมาตรฐานของอุตสาหกรรมบริการผ่านประสบการณ์การทำงานกับมืออาชีพระดับโลก และมีส่วนร่วมส่งเสริมบทบาทของกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางการศึกษาระดับนานาชาติ อีกด้วย   “เราเชื่อมั่นว่าหลักสูตรนี้จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการสร้างบุคลากรคุณภาพสู่สังคม และเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมบริการของไทยให้โดดเด่นในเวทีโลกต่อไป” วัลลภา ย้ำ   สำหรับ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพสาขาวิชาการโรงแรม โดยความร่วมมือระหว่าง “โรงเรียน เตรียมการ โรงแรมและการท่องเที่ยวไทย-ฝรั่งเศส” (Franco-Thai Hotel & Tourism Prep School) และ Vatel Academy ประเทศฝรั่งเศส มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษที่ผสมผสานการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับการลงมือฝึกปฏิบัติจริง   โดยจะได้รับใบประกาศนียบัตรจากทั้งสองสถาบัน รวมถึงยังได้รับฝึกงานและพัฒนาอาชีพจากวิทยาเขตในเมืองที่อาคาร “เอ็มไพร์” รวมถึงเครือธุรกิจโรงแรมและห้องอาหารชั้นนำหลากหลายแห่งในเมืองท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศของ AWC   ด้าน มร. ฌ็อง-โกลด ปวงเบิฟ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐ ฝรั่งเศสประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยศิลปากรและสถาบันวาแตล ประเทศฝรั่งเศส ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมาใน ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของการส่งเสริมความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับนานาชาติ   โดยหลักสูตรใหม่นี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนไทย ผ่านการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการจริง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะ ความมั่นใจ และวิสัยทัศน์ระดับโลกให้แก่คนรุ่นใหม่   พร้อมทั้งสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยและฝรั่งเศส ที่มีรากฐานยาวนานและร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่งในหลากหลายมิติ”   ศาสตราจารย์ ดร. ธนะเศรษฐ์ ง้าวหิรัญพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า หลักสูตรนี้อยู่ภายใต้โรงเรียนเตรียมการโรงแรมและการท่องเที่ยวไทย-ฝรั่งเศส และจัดการเรียนการสอนโดยวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร   โดยมีเป้าหมายในการสร้างบุคลากรที่มีทักษะตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมบริการ และสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีคุณภาพ ด้วยรูปแบบของความร่วมมือด้านวิชาการที่ผสานกับภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง อันเป็นการเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่เส้นทางอาชีพในอนาคต และเป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อนสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับนานาชาติ       Alternate-X สรุปให้ AWC จับมือ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ Vatel Academy เปิดหลักสูตร ปวช. ด้านโรงแรมระดับนานาชาติ พร้อมตั้ง ‘ซิตี้ แคมปัส’ ณ อาคารเอ็มไพร์ ใจกลางสาทร เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้และฝึกงานจริง ในหลักสูตรเรียนภาษาอังกฤษ พร้อมใบประกาศจากทั้งไทยและฝรั่งเศส สร้างทักษะผ่านประสบการณ์จริง เพื่อ เตรียมความพร้อมสู่อาชีพในอุตสาหกรรมบริการ พร้อมยกระดับการศึกษาการโรงแรมของไทย สู่เวทีโลกและสนับสนุนนโยบายกรุงเทพฯ เมืองการศึกษานานาชาติ

May 21, 2025 / 0 Comments
read more

‘ตัน’ ออกสินค้าใหม่ ‘ทีเพลย์’ บูสต์ตลาดชาเขียว 1.7 หมื่นล. เจาะเจนฯ Z รับเปิดเทอม

BizKet

‘ตัน ภาสกรนที’ ไม่เคยแผ่วการทำตลาดชาเขียวพร้อมดื่มมูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท ที่ยังโตเรื่อยๆ ล่าสุดใช้ศิลปินวง PERSES พรีเซ็นเตอร์ ‘ทีเพลย์’ มาชิงส่วนแบ่งลำคอผู้บริโภคเหล่าเจนฯZ หนุนสู่ยอดขาย 9.5 พันล.บาทปีนี้   ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ‘อิชิตัน’ ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดชาเขียวพร้อมดื่มมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท (ปี2567) ซึ่งในปี 2568 บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับคอมมูนิตี้และการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์   โดยเปิดตัว ‘อิชิตัน ทีเพลย์’ เครื่องดื่มชาเขียว ENERGY รสชาติใหม่ผสานความสดชื่นและกาเฟอีนธรรมชาติจากชาเขียว เจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่ต้องการเครื่องดื่มตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เร่งรีบและกิจกรรมหลากหลาย   ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังใช้กลยุทธ์การทำตลาดผ่านพรีเซ็นเตอร์ เลือกศิลปินวง ‘PERSES’ (เพอร์เซส) วงบอยกรุ๊ป T-POP ที่มีภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยพลัง ความมุ่งมั่น และสนุกสนานของเมมเบอร์ มาเป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่กล้าแสดงออก   พร้อมปล่อยซิงเกิลพิเศษและมิวสิควิดีโอเพลง ‘เล่นใจป้ะ(Prompt Play)’ ที่มีทำนองติดหูและท่าเต้นสนุกน่ารัก เพื่อให้ทุกคนออกมา Dance Challenge ร่วมกันในโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างกระแสไวรัลและการมีส่วนร่วมของแฟนๆ   “อิชิตัน ทีเพลย์  พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องดื่มที่เติมพลังและความสดชื่น พร้อมสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองอย่างเต็มที่” ตัน กล่าวพร้อมเสริมว่า  “การนำกระแสความนิยมศิลปิน T-Pop อย่าง PERSES มาช่วยสร้างกระแส ดึงดูดความสนใจ และสร้าง Brand Loyalty ในกลุ่มเป้าหมายแฟนๆ ได้เป็นอย่างดี และผลักดันสู่เป้าหมายยอดขายรวม 9,500 ล้านบาทในปีนี้”   นอกจากนี้ อิชิตัน เตรียมจัดกิจกรรม ‘Ichitan Tea Play School & University Tour’ เพื่อเร่งสร้างการรับรู้สินค้าในช่วงเปิดเทอม พร้อมส่งมอบความสดชื่นให้กับนักเรียนและนักศึกษาอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายมีความต้องการเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มพลังงานในการเรียน และทำกิจกรรมต่างๆ มากยิ่งขึ้น   สำหรับ อิชิตันทีเพลย์ ชาเขียว ENERGY วางจำหน่ายขนาด 420 มล. ราคา 20 บาท  ในช่องทางร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ทุกสาขา และ 7Delivery พร้อมร่วมสนุกกิจกรรม “เล่นใจป้ะ Dance Challenge” กับหนุ่ม ๆ PERSES ได้ทางช่องทางออนไลน์   โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัท มีรายได้จากการขายรวม 8,594.4 ล้านบาท เติบโต 6.8% และมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1,306.3 ล้านบาท เติบโต 18.7%       Alternate-X สรุปให้ อิชิตัน เปิดตัว ‘ทีเพลย์’ เครื่องดื่มชาเขียว ENERGY เจาะตลาด Gen Z ดึงบอยแบนด์ T-POP วง PERSES เป็นพรีเซ็นเตอร์ มาเติมภาพลักษณ์สดใหม่ด้วยแคมเปญ “เล่นใจป้ะ Dance Challenge” มาสร้างกระแสไวรัลในโซเชียล พร้อม จัดโรดโชว์ “Tea Play School & University Tour” สื่อสารตรงถึงนักเรียน-นักศึกษา ตั้งเป้ายอดขายปี 2568 ที่ 9,500 ล้านบาท และยังสร้าง Brand Loyalty อย่างยั่งยืน

May 21, 2025 / 0 Comments
read more

‘เติมสีรุ้ง’ ริมหาดหัวหิน บลู พอร์ตฯ เปิดเดือน Pride ชวนสนุกพร้อมเบาใจในความหลากหลาย

Peace&Play

บลูพอร์ต หัวหิน ออกสตาร์ทเดือน Pride บรรยากาศริมหาด มัดรวมพลังสุขภาพ และ เสรีภาพ ชวนฉลองความเท่าเทียมไว้ในพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกตัวตน   วจี​ กลมเกลี้ยง กรรมการบริหาร​ บริษัท​ หัวหิน​ แอ​ส​เ​สท​ จำกัด  ผู้บริหารโครงการบลูพอร์ต หัวหิน กล่าวว่า หลังจากประสบความสำเร็จจากการจัดงาน Pride Month ครั้งแรกในหัวหิน พร้อมขบวน Pride Parade ที่สร้างความประทับใจในปี 2567 โดยปีนี้ ยังสานต่อภารกิจแห่งความเท่าเทียมและการสนับสนุนความหลากหลายอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดงาน Hua Hin Grand Inter Pride 2025 เพื่อร่วมฉลองการผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมครั้งแรกในประเทศไทย และจัดพิธีจดทะเบียนสมรสให้กับคู่รัก LGBTQIAN+ จำนวน 23 คู่ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา   และในครั้งนี้ บลูพอร์ต หัวหิน ได้จัดกิจกรรม Bluport Hua Hin: Start of Pride พร้อมเชิญทุกคนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองและร่วมกันขับเคลื่อนสังคมให้เปิดกว้าง ยอมรับในทุกความแตกต่างอย่างแท้จริง   สำหรับ กิจกรรมไฮไลท์ตลอด 2 วันเต็ม   Hua Hin Pride Run & Walk by iwelty club (1 มิ.ย. 68) กิจกรรมเดิน–วิ่ง ระยะทาง 3 กิโลเมตร ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าแสนสดชื่นของชายหาดหัวหิน ชวนทุกคนมา Run – Dance – Chill ออกกำลังกายแบบสนุกสุดเหวี่ยงไปพร้อมกับสีสันและเสียงเพลง โดยงานฯ นี้ Pet Friendly พาน้องหมา น้องแมว มาร่วมเดิน–วิ่ง แชร์ความสุขไปด้วยกันได้อย่างเต็มที่   Wellness Experience by iwelty club (31 พ.ค. 68 และ 1 มิ.ย. 68) คอมมูนิตี้ของคนรักสุขภาพ ที่ชวนคุณมาดูแลทั้งร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก ผ่านกิจกรรมหลากหลายเพื่อความสมดุลและผ่อนคลาย อาทิ   Yoga & Pilates เสริมสร้างความยืดหยุ่นและสมาธิ Sound Healing ปลดปล่อยความเครียดด้วยเสียงดนตรีบำบัด Pride Talk & Therapy Group Talk เสวนาฮีลใจ จากแขกรับเชิญสุดพิเศษ ที่จะมาร่วมเปิดประสบการณ์แห่งการเยียวยาจิตใจ และเติมเต็มแรงบันดาลใจให้กับทุกคน Exclusive Bar & DJ (31 พ.ค. 68 และ 1 มิ.ย. 68) Full of Heart Exhibition (31 พ.ค. 68 – 3 มิ.ย. 68) ฮีลใจให้ใจฟูกับนิทรรศการและกิจกรรมแบบฟีลกู๊ดตลอดทั้งวัน ปิดท้ายความประทับใจกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน Sarah Salola และโชว์สุดพิเศษที่จะมาสร้างความสนุกสนานให้กับค่ำคืนแห่ง Pride (1 มิ.ย. 68)   วจี​  กล่าวว่า “บลูพอร์ต หัวหิน และกลุ่มบริษัทพราว ร่วมกับ iwelty club พร้อมเริ่มต้นเดือนแห่งความภาคภูมิใจด้วยการเชิญชวนทุกหัวใจร่วมเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศและความเท่าเทียม ในงาน Bluport Hua Hin: Start of Pride “Come as you are, leave with a healed heart.” (มาด้วยหัวใจแบบไหน… กลับไปด้วยหัวใจที่เบาขึ้น) ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2568 ภายใต้แนวคิด “Pride Active & Wellness”   ทั้งนี้ ยังเป็นครั้งแรกของประเทศไทยกับแนวคิดใหม่ ที่ผสานพลังของสุขภาพกายและใจเข้ากับการเฉลิมฉลองความหลากหลายและความรักอย่างเท่าเทียม ผ่านกิจกรรมที่เต็มไปด้วยพลังบวก สีสัน และการเคลื่อนไหว ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่สนับสนุนด้านสุขภาพ คุณภาพชีวิต เสรีภาพ แต่เป็นการส่งเสริมการอิสรภาพที่แท้จริงจากภายใน   ในงานยังพร้อมด้วยเหล่าคนดัง อาทิ ปิงปอง-ธงชัย, ติ๊นา ศุภนาฏ, ป้อปปี้-ชัชชญา, มิ้น-ซิลวี่, ไบรอัน ตัน และอีกมากมาย ที่จะมาร่วมแสดงพลังแห่งความรัก ความเท่าเทียม พร้อมสร้างพลังบวกให้กับร่างกายและจิตใจไปด้วยกัน   วจี ทิ้งท้ายว่า  Bluport Hua Hin: Start of Pride ไม่ใช่แค่งานอีเว้นต์…แต่คือพื้นที่ปลอดภัยที่เปิดรับทุกความเป็นไปได้ ทุกตัวตน และทุกความรัก เพราะเราเชื่อว่า ความเท่าเทียมไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องลงมือทำ”   ผู้สนใจ ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมภายในงานได้ที่ https://forms.gle/Y17hFfTbBrYcwdVt6 หรือ ติดตามและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลูพอร์ต หัวหิน โทร. 032-905111 หรือผ่านช่องทาง Facebook: Bluport Hua Hin Official และ Line: @Bluport แล้วมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์สีรุ้งแห่งปีไปด้วยกัน   Alternate-X สรุปให้  บลูพอร์ต หัวหิน เปิดฉากเดือน Pride ด้วยกิจกรรม “Bluport Hua Hin: Start of Pride” ริมหาด ชวนร่วมเฉลิมฉลองความหลากหลาย เสรีภาพ และสุขภาพทั้งกายใจ เน้นแนวคิด “Pride Active & Wellness” ครั้งแรกในไทย พบกิจกรรมเดิน–วิ่ง, โยคะ, ซาวด์ฮีลลิ่ง, Pride Talk และมินิคอนเสิร์ต พร้อมสร้างพื้นที่ปลอดภัย ที่เปิดรับทุกความรักและตัวตนอย่างแท้จริง    

May 21, 2025 / 0 Comments
read more

THG ฟื้นแบรนด์ ‘รพ.ธนบุรี’ ลงทุนไม่ต่ำกว่า 2 พันล.ใน3ปี ปั้นสู่ ‘แฟล็กชิป’ ต้องพลิกกลับมาโต 7%

BizKet

”ความท้าทาย ของ รพ.ธนบุรี ในเวลานี้ คือ ฟื้นความเชื่อมั่นแบรนด์ให้กลับมาทั้งในกลุ่มคนไข้และบุคลากร ซึ่งเป็นแผนงานหลักภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่“   คำกล่าวของ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.วิศิษฐ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธนบุรี ระบุในช่วงระหว่างพิธีเปิดอาคาร 8 โรงพบาบาลธนบุรี ซอยอิสรภาพ44 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา และเป็นช่วงเดือนครบรอบ 48 ปีการดำเนินงานโรงพยาบาลธนบุรี และก้าวสู่ปีที่ 49 พร้อมกันด้วย     ศาสตราจารย์คลินิก นพ.วิศิษฎ์  กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานรพ.ธนบุรี อยู่ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็น ‘โรงพยาบาลที่ได้รับความไว้วางใจและมีคุณค่าสูงสุดในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง’ พร้อมย้ำเป้าหมาย ‘Hospital of Choice’ สู่การเป็นโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยเลือก บุคลากรภูมิใจ และสังคมให้คุณค่า   ต่อแนวทางที่จะทำให้ โรงพยาลธนบุรีไปถึงจุดหมายที่ปักไว้ได้นั้น ศาสตราจารย์คลินิก นพ.วิศิษฎ์ บอกว่าจะต้องเดินไปตามแผนที่วางไว้ คือ การสร้างความเชื่อมั่นแบรนด์ พร้อมผลักดันให้ ‘โรงพยาบาลธนบุรี’ เป็นสาขาเรือธง (Flagship) ในเครือบริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ให้คืนกลับมาได้โดยเร็ว   จากปัจจุบัน มีเครือข่ายโรงพยาบาลในเครือ 10 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลธนบุรี , โรงพยาบาลธนบุรี ทวีวัฒนา, โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง, โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา, โรงพยาบาลธนบุรีทุ่งสง, โรงพยาบาลสิริเวช จันทบุรี,  โรงพยาบาลอุบลรักษ์ ธนบุรี, โรงพยาบาลธนบุรี ราษฎร์ยินดี, โรงพยาบาลธนบุรี ตรัง และ Ar Yu International Hospital   โดยในช่วงที่ผ่านมา THG ใช้งบลงทุนราว 700 ล้านบาท สร้างอาคาร 8  ล่าสุด เพื่อรองรับการให้บริการผู้ป่วยนอก พร้อมเสริมความครบวงจรด้านเทคโนโลยีต่างๆทางการแพทย์ให้กับผู้เข้ามารับการรักษา ด้วยนวัตกรรมและความใส่ใจของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาล   “อาคาร 8 ยังเป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่โรงพยาบาลธนบุรี ที่ก้าวสู่การเป็น Hospital of Choice เพื่อเป็นโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยเลือก และเป็นโรงพยาบาลที่บุคลากรภูมิใจ”   ขณะเดียวกันภายใน3 ปีนี้ ยังเตรียมใช้งบลงทุนราว 1,000 ล้านบาท สร้างอาคาร 9 อีกหนึ่งหลังใหม่ วางตำแหน่งเป็นอาคารหลัก (Main Building) เพื่อเชื่อมต่อการให้บริการและอำนวยความสะดวกทั้งผู้เข้ามารับการรักษาและการปฏิบัติการทางการแพทย์ด้านต่างๆ ได้แบบไร้รอยต่อระหว่างอาคาร 8 เพื่อรองรับงานผู้ป่วยนอก (OPD) ในรูปแบบงานบริการแนวสูง จากเดิมซึ่งเป็นแนวราบ   พร้อมกันนี้ ยังเตรียมใช้งบไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่รองรับการให้บริการทางการแพทย์ของรพ.ธนบุรี ได้ตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ในอนาคต   “สิ่งที่ รพ.ธนบุรีจะต้องเร่งเติมเข้ามาคือความครบวงจรงานบริการด้านรังสีวินิจฉัย เพื่อให้บริการผู้เข้ารับการรักษาจากทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกโรงพยาบาล เป็นการเตรียมรองรับประชากรกลุ่มผู้สูงวัยที่จะเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมากในอนาคต และคาดว่าจะมีความต้องการงานบริการรังสีเพื่อวินิจฉัยในกลุ่มโรคมะเร็งที่คาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นในอนาคต” ศาสตราจารย์คลินิก นพ.วิศิษฎ์ กล่าว พร้อมเสริมว่า   ปัจจุบัน รพ.ธนบุรีมีจำนวนผู้ป่วยหรือคนไข้เข้ามารับบริการเฉลี่ย 1,400-1,500 คนต่อวัน ซึ่งเข้ามารับบริการทั้งในอาการป่วยทั่วไป หรือ กลุ่มโรค NCDS และการรักษาเฉพาะทางที่รพ.ธนบุรี มีความเชี่ยวชาญ จากก่อนหน้ามีคนไข้หมุนเวียนต่อวันราว 1,700 คน ซึ่งจำนวนที่ลดลงเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องเช่นกัน   “การฟื้นฟูแบรนด์รพ.ธนบุรี ยังจะใช้กลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ป่วยโดยยึดความต้องการและประสบการณ์ของผู้ป่วยเป็นจุดศูนย์กลาง และพัฒนาแบรนด์ในบุคลากรทางการแพทย์ไปพร้อมกัน”   นอกจากนี้ รพ.ธนบุรี ยังมุ่งสู่การให้บริการด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์โดยร่วมกับ Agnos Health บริษัท Startup ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ เปิดให้บริการ Smart Registration ในการลงทะเบียนผู้ป่วย ได้รับความสะดวกด้านต่างๆ อาทิ   ระบบ AI Nurse ช่วยซักประวัติและแนะนำแผนกที่เหมาะสมกับอาการป่วย ระบบยืนยันตัวตนด้วย AI Face Recognition ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ระบบดึงข้อมูลอัตโนมัติจากเอกสารผู้ป่วยผ่าน AI OCR ระบบตรวจสอบสิทธิของผู้ป่วยด้วย Robotic Process Automation ระบบ E-consent สำหรับเก็บการยินยอม PDPA ช่วยลดกระดาษที่ไม่จำเป็น   นอกจากนี้ ยังได้นำนวัตกรรมการแพทย์ที่ครอบคลุมรักษารอบด้าน ทั้ง Endoscopic Spine Surgery , หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด Da Vinci เพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัดข้อเข่าเทียมและมะเร็งต่อมลูกหมาก, เทคโนโลยี O-Arm Navigator สร้างภาพสามมิติแบบเรียลไทม์ระหว่างผ่าตัดกระดูกสันหลัง และ เครื่อง CT Scan 256 Slice และ MRI 3.0 Tesla ที่ให้ภาพระดับรายละเอียดสูง  เป็นต้น   “โรงพยาบาลธนบุรีวางเป้าหมายเติบโต 7% ในปี2569 ซึ่งมองว่าเป็นตัวเลขที่ที่พอใจแล้วท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้ที่มีผลต่อการเข้ารับการรักษาของคนไข้ที่มาใช้บริการเช่นกัน”     โดย รายได้กลุ่ม THG ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดังนี้   ปี 2565 รายได้รวม 11,539 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,602 ล้านบาท ปี 2566 รายได้รวม 9,844 ล้านบาท กำไรสุทธิ 295 ล้านบาท ปี 2567 รายได้รวม 9,479 ล้านบาท กำไรสุทธิ -1,765 ล้านบาท     Alternate-X สรุปให้  โรงพยาบาลธนบุรีมุ่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นแบรนด์ สู่เป้าหมาย “Hospital of Choice” ที่ผู้ป่วยเลือกและบุคลากรภูมิใจ ลงทุน 700 ล้านบาทสร้างอาคาร 8 พร้อมเตรียมใช้งบ 1,000 ล้านบาทสร้างอาคาร 9 และอีก1,000 ล้เานบาทใส่เทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ เพิ่มบริการครบวงจร โดยเฉพาะด้านรังสีวินิจฉัย เพื่อรองรับผู้สูงวัยและโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้น และนำนวัตกรรม AI และหุ่นยนต์ผ่าตัดมาใช้ ยกระดับบริการผู้ป่วย เช่น Smart Registration, Da Vinci, O-Arm Navigator ตั้งเป้ารายได้เติบโต 7% ในปี 2569 แม้เศรษฐกิจชะลอตัวกระทบจำนวนผู้ป่วย

May 21, 2025 / 0 Comments
read more

R&D เป็นโอกาสอนาคต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยใหม่ โฟกัส 4 กลุ่มเป้าหมายปลุก GDP ชะลอ

EcoVative

คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโต 1.3-2.3% จากสภาพัฒน์ หลังเหลือเครื่องยนต์หลักท่องเที่ยวตัวเดียว ขณะที่บุญเก่าของประเทศกำลังจะหมดลง ถึงเวลาลอกคราบประเทศไทย ด้วยการวิจัยและพัฒนาผ่านกองทุน ววน. เป็นเครื่องมือ   ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะประธานเปิดงาน Dinner Talk ‘กระตุก GDP ไทยด้วยกองทุน ววน.’ ภายใต้แนวคิด ‘มองจุดร่วม สร้างจุดเปลี่ยน ร่วมสร้าง GDP ไทย ด้วยกองทุน ววน.’ จัดโดยสำนักยุทธศาสตร์แผน ติดตามและประเมินผล สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)   โดยกล่าวว่า ประเทศไทย ยังมีโอกาสในการสร้างเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยใช้ ววน. เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของประเทศ ได้แก่   งานวิจัยด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์และ IoT สำหรับเกษตรกรรม การสร้างอุตสาหกรรมใหม่และการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า การพัฒนากำลังคนระดับสูงเฉพาะทางและเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันวิจัย   ทั้งนี้ เพื่อให้มีสัดส่วนการลงทุนด้านการวิจัยมากขึ้น ทำวิจัยและต่อยอดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ   “กระทรวง อว. พร้อมสนับสนุนงบประมาณและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อนำงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยเชื่อมั่นว่า ววน. จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก และช่วยให้เศรษฐกิจในภาพรวมเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนได้ในอนาคต” รัฐมนตรี อว.กล่าว   ลงทุน R&D สัดส่วน 2-4%   ด้าน ศ. ดร. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เผยว่า การใช้ความรู้ขับเคลื่อนประเทศต้องมีนโยบายที่จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรในเรื่องสำคัญ แม้จะมีข้อจำกัดและความท้าทายหลายด้าน แต่ประเทศจะก้าวกระโดดได้ต้องมีสัดส่วนการลงทุนวิจัยและพัฒนาต่อ GDP ร้อยละ 2-4 เพื่อให้มีแรงส่งเพียงพอ   “แต่ขณะนี้อัตราการลงทุนของไทยอยู่ที่ร้อยละ 1.1 จึงต้องแน่ใจว่าจะสามารถจัดสรรงบประมาณอย่างถูกต้อง เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูงสุด เป็นธรรม รัดกุมรอบคอบและตรงเป้า”   โดยการจัดงานในครั้งนี้เพื่อให้ผู้บริหารในระบบ ววน. ภาครัฐและภาคเอกชนนำข้อมูลไปขับเคลื่อนในบริบทที่ดูแลอยู่   ขณะที่ สกสว. จะนำเสนอข้อมูลต่อสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อนำสู่การขับเคลื่อนต่อไป   ทบทวนงานวิจัยฯใช้ได้จริง   เช่นเดียวกับ ศ. ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวถึงการทำงานของ สกสว.ยุคใหม่ ว่าเข็มทิศกำลังแปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ผ่านการขับเคลื่อนและผลงานที่เกิดขึ้นจริง  ได้แก่   การทบทวนแผนและจัดสรรงบประมาณด้าน ววน. งานวิจัยและนวัตกรรมตามเป้าหมายสำคัญทั้งด้านสุขภาพและการแพทย์ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม การขับเคลื่อนเชิงประเด็นร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สร้างความเข้มแข็งของหน่วยงานและบคุลากร การรับมือและการสื่อสารต่อประชาชนในภาวะวิกฤติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม การพัฒนาเครือข่ายและการร่วมทุนกับต่างประเทศ ภาคเอกชนและประชาสังคม และการพัฒนาภายในองค์กร   โดยในปี 2568 กองทุน ววน.ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 19,251 ล้านบาท คิดเป็น 1.14% และหวังว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป โดยเป้าหมายไม่ใช่แค่สำเร็จ แต่คือการเปลี่ยนแปลงประเทศ   สร้างเครื่องยนต์ศก.ใหม่ให้ประเทศ   ด้าน กฤษณ์ จันทโนทก ประธานกรรมการอำนวยการ สกสว. และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สะท้อนว่าสิ่งที่ประเทศไทยขาดไม่ใช่ความรู้หรือแรงบันดาลใจ แต่คือ ‘ระบบเชื่อมต่อ’ ที่เปลี่ยนงบวิจัยให้กลายเป็นนวัตกรรมเชิงเศรษฐกิจได้จริง ทั้งความกล้าสร้างเครื่องยนต์ใหม่ให้กับประเทศ การสร้างนวัตกรรมต้องลงทุนกับคุณภาพทุนมนุษย์และสถาบัน   ขณะที่ ความท้าทาย คือ ต้องทำให้งานวิจัยเกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ปัจจุบันประเทศไทยมีงานวิจัยจำนวนมาก แต่ต้องเร่งเสริมการต่อยอดเชิงพาณิชย์   ทั้งนี้ อนาคตของประเทศยังศรัทธาในศักยภาพ ทุน และความรู้ แต่ต้องหาทางเชื่อมโยงและเดินไปด้วยกัน พลังของคนไทยไม่ทิ้งกันในยามคับขันจึงต้องร่วมมือให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และต้องวางโครงสร้างใหม่ เชื่อว่าถ้าทุกคนกล้าเปลี่ยน ซึ่งระบบ ววน.ไทยจะเป็นฟันเฟืองสำคัญให้ไทยประสบความสำเร็จได้   โครงการต้องตอบโจทย์เศรษฐกิจ   สำหรับ “นโยบายการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ” โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ กสว. และประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่าหากไทยต้องการก้าวสู่การเป็นเสือเศรษฐกิจต้องคิดสร้างปัญญา ทำให้สังคมเห็นประโยชน์ การลงทุนในงานวิจัยและนวัตกรรมต้อง ‘ คืนทุนไว ใช้ได้จริง ยิงสุดทาง’ นั่นคือต้องทำโครงการที่ดี ตอบโจทย์เศรษฐกิจและสังคมทั้งที่เห็นผลเร็วและเกิดผลในระยะยาวด้วย และรู้ว่าจะขายหรือแข่งขันกับใคร ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ สถาบันเทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่สร้างนวัตกรรมใช้ได้จริง เป็นโมเดลที่ชี้ให้เห็นว่าการวิจัยต้องมีภารกิจชัดเจนและมีความรับผิดชอบ สิ่งที่ต้องทำคือ ตัดงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพื่อให้เกิดความเชื่อถือจากคนในประเทศ   โดยก้าวแรกจะต้องตีโจทย์และออกแบบโครงการให้ทะลุ เป็นงานวิจัยที่แก้พัฒนาเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาสังคมได้ มีผู้ใช้ตั้งแต่แรก รวมถึงปรับระบบแรงจูงใจ   บุญเก่าของประเทศกำลังจะหมด   ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ “การลงทุนภาครัฐและเอกชน: กุญแจสู่การเติบโตของ GDP ไทย” ระบุว่า   “บุญเก่าของประเทศกำลังจะหมด อุตสาหกรรมที่เราเคยเก่งกำลังตกยุค ประเทศไทยต้องลอกคราบ ปลดล็อกและสร้าง ‘บุญใหม่’ เพื่อช่วงชิงคลื่นการลงทุนรอบใหม่ในอาเซียน ซึ่งเป็นโอกาสเดียวในรอบหลายทศวรรษ หากพลาดวันนี้อาจไม่มีโอกาสอีกนาน จากนี้ไปเอเชียและอาเซียนจะเป็นศูนย์กลางใหม่ของโลก จึงต้องก้าวข้าวข้อจำกัดด้วยทักษะของคน”   ขณะที่ นโยบายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านอยู่ที่การเปิดประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับอนาคต ปฏิรูปกฎระเบียบและระบบราชการ เพิ่มโอกาสในการช่วงชิงการลงทุน เสริมจุดแข็งเดิมและสร้างระบบนิเวศใหม่ เช่น สร้างบุคลากรรองรับห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น พลังงานสะอาด สตาร์ทอัพและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และเร่งขยายเขตการค้าเสรีเพื่อเปิดตลาดใหม่และลดการพึ่งพาตลาดเดิม       Alternate-X สรุปให้ เมื่อ บุญเก่า’ไทยกำลังจะหมด จะต้องลอกคราบประเทศ ด้วย R&D และนวัตกรรม ขับเคลื่อนผ่านกองทุน ววน. ที่ได้รับงบเพิ่ม 1.9 หมื่นล้าน ใน 4 กลุ่มเป้าหมาย เพื่อเร่งตอบโจทย์เศรษฐกิจ-สังคม เพื่อสร้างเครื่องยนต์ใหม่ให้ GDP โตอย่างยั่งยืน      

May 21, 2025 / 0 Comments
read more

ทุนญี่ปุ่น มิตซูบิชิฯ ยังเลือก ‘ไทย’ ทำเลยุทธศาสตร์ ร่วมทุนเสนาฯ สร้างคลังสินค้า-โรงงาน  

BizKet

เสนาฯ มุ่งแผนสร้างรายได้ประจำเพิ่มร่วมทุนยักษ์ญี่ปุ่น มิตซูบิชิ โลจิสติคส์ ทำโปรเจกต์คลังสินค้า-โรงงาน ทำเลอีอีซี รับดีมานด์โต9% แซงซัพพลาย 6-7%   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ วางแนวทางเพิ่มรายได้ประจำ (incurring income) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนอกเหนือจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย ซึ่งมีแนวโน้มกำลังซื้อชะลอตัวจากบรรยากาศเศรษฐกิจ   โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้ประจำเติบโตสูงขึ้น ปัจจุบันมีสัดส่วน 30% อาทิ จากกลุ่ม ลิฟเน็กซ์ (LivNex) เช่าออมบ้าน และมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นต่อเนื่อง   ล่าสุดบริษัทฯ ขยายการเติบโตธุรกิจสู่ระดับโลก (Global Scale-Up) ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง บริษัท มิตซูบิชิ โลจิสติคส์ คอร์ปอเรชั่น (Mitsubishi Logistics Corporation) จากญี่ปุ่น ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เสนา เอ็มแอลซี จำกัด (SENA MLC Co.,Ltd) ในสัดส่วน 51% และ 49% ตามลำดับ มีทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท ซึงเป็นการร่วมทุนในต่างประเทศครั้งแรกของมิตซูบิชิ โลจิสติคส์ กับพันธมิตรไทย   “บริษัทฯใหม่ จะเป็นส่วนหนึ่งของทิศทางการสร้างรายได้ประจำของเสนาฯ ในอนาคต จากการขยายธุรกิจอสังหาฯอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ซึ่งพบว่าเป็นเซ็กเตอร์ที่มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการของผู้เช่าเติบโต 9%โดยเฉพาะในพื้นที่ทำเลอีอีซี แต่มีปริมาณซัพพลายเติบโต 6-7%  ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการ”  ผศ.ดร.เกษรา กล่าว     พร้อมเสริมว่า บริษัทฯ ใหม่เตรียมใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท พัฒนาโครงการ ‘ SENA MLC1’ คลังสินค้า-โรงงาน บางนา กม.23  บนพื้นที่ 23 ไร่ มี ซึ่งมีคุณสมบัติพื้นที่โซนสีม่วงซึ่งยังสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาโครงการฯ สีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งการก่อสร้างอาคาร และโดยรอบชุมชน มีขนาดพื้นที่ 25,000 ตร.ม.   โดยโครงการฯ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างปลายปี 2568 คาดแล้วเสร็จในไตรมาสสี่ปี 2569 รองรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจหลากหลายประเภททั้งในและต่างชาติ ซึ่งบริษัทฯ เตรียมแผนการทำตลาดการขายพื้นที่ผ่านตัวแทนขาย (เอเยนต์) ด้วยเช่นกัน โดยกำหนดอัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ย 165-215 บาท/ตรม./เดือน   “ธุรกิจใหม่นี้ อยู่ในช่วงเริ่มต้นโดยจะยังศึกษาอย่างระมัดระวังเป็นตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง ก่อนจะประเมินขยายการลงทุนเพิ่มในอนาคต ซึ่งหากดำเนินการครบเฟสแล้วเสร็จจะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันสร้างรายได้ประจำเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ในอนาคต”  ผศ.ดร.เกษรา กล่าวทิ้งท้าย   ‘ไทย’ ทำเลยุทธศาสตร์อาเซียน   ฮิเดชิกะ ไซโตะ ประธานบริษัท บริษัทมิตซูบิชิ โลจิสติคส์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทฯเข้ามาทำธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ถึงปัจจุบันเป็นเวลาร่วม 36 ปี และมั่นใจในศักยภาพด้านทำเลยุทธศาสตร์ของไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายสำคัญสอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ของบริษัทฯ ใน5 ปี (2568-2573) มุ่งขยายธุรกิจอสังหาฯในต่างประเทศ   ไซโตะ แสดงความเห็นต่อมาตรการทางการค้าและภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในช่วงที่ผ่านมาพร้อมระบุว่า “มาตรการฯ นี้จะส่งผลกระทบซัพพลายสินค้าจากจีนที่นำเข้ามามากกว่า ซึ่งไม่กระทบกับโครงการ SENA MLC1 อย่างแน่นอน ซึ่งการร่วมทุนครั้งนี้ จะใช้จุดแข็งของทั้งสองฝ่าย เพื่อมอบคุณค่าใหม่ให้กับตลาดโลจิสติกส์และอสังหาฯ ของไทย”     Alternate-X สรุปให้  เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เดินหน้าสร้างรายได้ประจำ ร่วมทุนมิตซูบิชิ โลจิสติคส์ จากญี่ปุ่น พัฒนาโครงการคลังสินค้า-โรงงาน ‘SENA MLC1’ บางนา กม.23 รองรับดีมานด์อุตสาหกรรมที่เติบโต 9% สูงกว่าซัพพลายในพื้นที่ EEC ที่โตเพียง 6-7% โครงการใช้งบลงทุนกว่า 600 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 25,000 ตร.ม. พร้อมแนวคิดอาคารสีเขียว เปิดให้เช่าในอัตราเฉลี่ย 165-215 บาท/ตร.ม./เดือน คาดเสร็จไตรมาส 4 ปี 2569

May 20, 2025 / 0 Comments
read more

จบงานสถาปนิก ‘68 ปิดดีลเจรจาธุรกิจ 2.2 หมื่นล. รับปีแห่งการตกแต่งซ่อมแซมอยู่อาศัย

BizKet

แม้เศรษฐกิจจะอึนๆ โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ ที่ซืมยาวตั้งแต่ปลายปีก่อน แต่เซ็กเตอร์ออกแบบตกแต่งซ่อมแซมงานก่อสร้สงมีแนวโน้มเติบโต สะท้อนจากผลสำเร็จงานสถาปนิก’68 มีผู้ร่วมงานกว่า 3.2 แสนคน ในปีนี้ ธันว์ ศรีจันทร์ ประธานจัดงานสถาปนิก’68 กล่าวว่า จากการจัดงาน “สถาปนิก’68” เมื่อวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “ทบทวน ทิศทาง: Past Present Perfect”   โดยหลังการจัดงานสถาปนิก’68 ซึ่งเป็นงานแสดงนิทรรศการและจัดแสดงสินค้าเทคโนโลยีด้านงานออกแบบ สถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง ขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน บนพื้นที่ 75,000 ตร.ม.   โดยมีผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำร่วมจัดแสดงสินค้าทั้งจากไทยและต่างประเทศ ซึ่งปีนี้ได้รับผลตอบรับอย่างดีมาก ด้วยยอดผู้เข้าชมงานรวมแล้ว 325,607 คน และสามารถสร้างมูลค่าการเจรจาซื้อขายในงานรวมอยู่ที่ 22,000 ล้านบาท   จากภาพรวมธีม การจัดงานฯ ยังได้รวมนิทรรศการและจัดการสัมมนาวิชาการจากองค์กรวิชาชีพ พร้อมด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ มีผู้ลงทะเบียนและ walk in เข้ามาร่วมงานสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้และร่วมกิจกรรมต่างๆ รวมกว่า 6,379 คน   ทั้งกิจกรรม ‘ASA CLASSROOM’ ในรูปแบบการ Talk และ Workshop กิจกรรม ASA Professional Seminar ซึ่งเชิญผู้เชี่ยวชาญในไทยของแต่ละสาขาวิชาที่มีประโยชน์แก่การประกอบวิชาชีพของสถาปนิกในปัจจุบันมาถ่ายทอดเรื่องราว กิจกรรม ASA International Forum 2025 การบรรยายของสถาปนิกต่างชาติที่มีภูมิหลังและผลงานที่แสดงลักษณะของแต่ละยุคอย่างชัดเจน และกิจกรรมเรื่องเล่า 3 รุ่น การนำเสนอความสัมพันธ์ของคน 3 วัย ที่มาบอกเล่าแชร์ประสบการณ์ ผ่านการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ ยังมี ASA Experimental Design Competition 2025 การประกวดแบบภายใต้แนวคิด “อนาคตนิยม Future Nostalgia In Architecture”ซึ่งมีผู้ส่งผลงานประกวดกว่า 600 ผลงาน     โดยผลการตัดสิน รางวัลชนะเลิศประเภทนักเรียน/นักศึกษา ได้แก่ นายพิชิตชัย นิลใน และ รางวัลชนะเลิศประเภทบุคคลทั่วไป ได้แก่ ทีม TANN ARCH   สำหรับการจัดงานฯ ปีนี้ คณะกรรมการและทีมงานงานสถาปนิก’68 มุ่งหวังจะส่งแรงบันดาลใจถึงเด็กๆ น้องๆ คนรุ่นใหม่ บรรยากาศการจัดงานตลอดทั้ง 6 วัน ได้เห็นน้องๆ นักเรียน นักศึกษา พากันมาชมงานมาร่วมกิจกรรมอย่างคึกคักรวมถึงเนื้อหาสาระของงานสัมมนา และกิจกรรม Talk ต่างๆ ก็ได้รวบรวมพี่น้องในวงการสถาปนิก, งานออกแบบ ทั้งในและต่างประเทศมาแชร์ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่มีคุณค่า จาการตอบรับและให้ความสนใขจากผู้ร่วมงานและพีนธมิตรต่างๆ ร่วมผลักดันให้งานญ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย และในปีหน้า เตรีนมพบกับงานสถาปนิก’69 ระหว่างวันที่ 28 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2569 “ ธันว์ กล่าว Alternate-X สรุปให้  แม้เศรษฐกิจซบเซา แต่อุตสาหกรรมออกแบบและก่อสร้างยังเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนจากงาน “สถาปนิก’68” ที่มีผู้ร่วมงานกว่า 3.2 แสนคน สร้างมูลค่าการเจรจาธุรกิจถึง 22,000 ล้านบาท ภายในงานมีทั้งนิทรรศการ สัมมนา และกิจกรรมออกแบบระดับนานาชาติ พร้อมปลุกแรงบันดาลใจคนรุ่นใหม่ในวงการออกแบบและสถาปัตยกรรมอย่างเข้มข้น

May 20, 2025 / 0 Comments
read more

วัดพลัง ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ สร้างภาพจำใหม่ ‘ไอ-เฮิร์บ’ ธรรมชาติ-เข้าถึงง่ายอยากให้แมสขึ้น

BizKet

‘I-HERB’ เม็ดอมสมุนไพรรสชาติดีเป็นมิตรกับสุขภาพ ขอรีเฟรชแบรนด์​สดชื่นมาครบทุกเครื่องมือการตลาด หวังสร้างแบรนด์จดจำคนรุ่นใหม่ สู่เป้าท็อป ออฟ มายด์ ผู้บริโภคใน 3 ปี   พันธิกันต์ สุวรรณคีรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลลิเมด จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดเม็ดอมสมุนไพรไอ-เฮิร์บ (I-HERB) กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นการพัฒนา I-HERB ภายใต้แนวคิดเม็ดอมสมุนไพรสูตรใหม่ปราศจากน้ำตาล โดยใช้สารให้ความหวานจาก ไอโซมอลต์ (Isomalt) ไม่ทำให้ฟันผุและไม่กระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด พร้อมกลิ่นและรสชาติที่ทานง่าย ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถบริโภคได้บ่อย แม้ไม่มีอาการไอหรือเจ็บคอ   โดย ไอ-เฮิร์บ ได้วางตำแหน่งทางการตลาดในกลุ่ม (Segment) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากธรรมชาติ มีจุดเด่นตอบโจทย์ด้านรสชาติที่ดี แต่ยังคงประโยชน์ด้านสุขภาพเหมือนเดิม ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน  ที่ต้องการ ‘สินค้าเพื่อสุขภาพที่ให้ประสบการณ์ดี’ ผลักดันให้การทำตลาดเม็ดอมสมุนไพร I-HERB ตลอดช่วงที่ผ่านมาได้การตอบรับดีทั้งในกลุ่มผู้บริโภคคนไทย และ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่นิยมซื้อสินค้าสมุนไพรเพื่อเป็นของฝากของที่ระลึก   แนวโน้มดังกล่าว บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการทำตลาดเชิงรุกเม็ดอมสมุนไพรอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ล่าสุด บริษัทฯ ได้เลือก ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ นักแสดงชายชื่อดังมาเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ไอ-เฮิร์บ เป็นครั้งแรก พร้อมใช้เครื่องมือสื่อสารการตลาดครบวงจร เพื่อขยายฐานผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในวงกว้างมากขึ้น   “การร่วมงานในครั้งนี้กับมาริโอ้ ด้วยคาแรกเตอร์ที่มีความเป็นธรรมชาติ เข้าถึงง่าย และวางตัวดี มีฐานแฟนคลับหลากหลายทุกเพศวัยทั้งในและต่างประเทศ ที่สำคัญยังบาลานซ์ด้านการดูแลสุขภาพและการใช้ชีวิตของตัวเองได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์เม็ดอมสมุนไพรไอ-เฮิร์บ ให้มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และยังคงความเป็นธรรมชาติ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ไว้ได้อย่างลงตัว” พันธิกันต์ กล่าว     ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมแคมเปญการตลาดเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมสื่อทุกช่องทาง (Mixed Media) อาทิ ภาพยนต์โฆษณา (TVC), สื่อนอกบ้าน (Out of Home), สื่อในร้านค้า (In-Store Media) เพื่อสร้างการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขาย รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดออน กราวด์ (On-ground Marketing) โดยแจกตัวอย่างสินค้าให้ทดลองใช้จริง และการใช้สื่อออนไลน์ พร้อมทั้งการจัดกิจกรรมในช่องทางโซเชียลมีเดียให้กับผู้บริโภคได้ร่วมสนุกพร้อมรับของรางวัลมากมาย เพื่อสร้างประสบการณ์แบรนด์แบบไร้รอยต่อ และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง (Brand Loyalty) ในระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเลือกใช้แพลตฟอร์มสื่อโซเชียลมีเดีย แบบเฉพาะเจาะจงไปยังกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งเป็นหนึ่งตลาดสำคัญของ ไอ-เฮิร์บ ไปพร้อมกันด้วย    “บริษัทฯ วางเป้าหมายผลักดันให้แบรนด์ไอ-เฮิร์บ เป็นที่จดจำในกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ในวงกว้างได้มากขึ้น มุ่งเน้นไปที่การสร้าง Brand Presence ที่แข็งแกร่งและเข้าถึงผู้บริโภคในทุก Touchpoint อย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อขยายการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง และสร้างความคุ้นเคย (Brand Familiarity) กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ด้วยพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกช่องทางด้วยการนำเสนอประสบการณ์แบรนด์ที่ไร้รอยต่อ (Seamless Brand Experience) จึงมีความสำคัญและเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในระยะยาว เพื่อการเติบโตของแบรนด์ที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง”  พันธิกันต์ กล่าว   ทั้งนี้ ไอ-เฮิร์บ มีสินค้าหลัก ประกอบด้วย เม็ดอมสมุนไพร ยาอมและยาน้ำแก้ไอ และ สเปรย์พ่นคอ มีช่องทางจำหน่ายหลัก ในร้านขายยาทั่วประเทศ, ร้านสะดวกซื้อ 7-11, Jiffy และ ทัวริสต์ สโตร์ (Tourist Store) รวมถึงช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ได้แก่ Lazada และ Tiktok shop เพื่อให้ครอบคลุมและเข้าถึงทุกพฤติกรรมการซื้อสินค้าของกลุ่มเป้าหมาย โดยเม็ดอมสมุนไพร I-HERB ราคาจัดจำหน่ายอยู่ที่ซองละ 32 บาท   พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนขยายการเติบโตธุรกิจในอนาคตจากการพัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง และการทำตลาดส่งออกในต่างประเทศโดยเบื้องต้นจะเป็นตลาดเอเชีย พร้อมวางเป้าหมายสู่การเป็น ‘ท็อป ออฟ มายด์’ (Top of mind) แบรนด์ในใจผู้บริโภค คาดเห็นความชัดเจนใน 3 ปีนี้ โดยปัจจุบันแบรนด์ไอ-เฮิร์บ มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 10% ของยอดขายรวมของบริษัท   พันธิกันต์ กล่าวว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าตลาดยาอมสมุนไพรในประเทศไทยจะยังไม่มีการเก็บตัวเลขขนาดตลาดอย่างชัดเจน แต่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดดหลังยุคโควิด-19 จากแรงขับเคลื่อนทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และการแข่งขันด้านนวัตกรรมรสชาติ คุณสมบัติ ไปจนถึงรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายแบรนด์ ทั้งรายเดิมและผู้เล่นรายใหม่ต่างเร่งพัฒนาจนเกิดการแข่งขันสูงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ ยาอมแบบเม็ดแข็ง, เม็ดตอก, เม็ดลูกกลอน และยาอมแบบลูกอม (soft lozenge)   “ไอ-เฮิร์บ จะเข้ามาตอบโจทย์นี้ ด้วยเห็นโอกาสในตลาดยาอมสมุนไพร ที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยว และผู้บริโภควัยทำงานที่หันมาใส่ใจสุขภาพ แต่ไม่ต้องการรสชาติที่ขมแบบยาอมสมุนไพรเดิม ๆ” พันธิกันต์ กล่าวทิ้งท้าย   Alternate-X สรุปให้  ไอ-เฮิร์บ ปรับภาพลักษณ์ใหม่ พร้อมเปิดตัวพรีเซนเตอร์ “มาริโอ้ เมาเร่อ” สื่อสารแบรนด์ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ชูจุดเด่นเม็ดอมสมุนไพรธรรมชาติ รสชาติดี สุขภาพดี ไม่มีน้ำตาล เน้นกลยุทธ์การตลาดครบวงจร ทั้งออนไลน์ ออนกราวด์ และสื่อเฉพาะกลุ่ม ตั้งเป้าสร้าง Brand Loyalty และเป็น Top of Mind ภายใน 3 ปี ขยายช่องทางขายทั้งในประเทศและส่งออกเอเชีย รับตลาดสมุนไพรโตต่อเนื่อง

May 19, 2025 / 0 Comments
read more

‘เซ็นทรัลพัฒนากรีนโกรท’ บริษัทใหม่เครือเซ็นทรัล ตั้งรับกติกาใหม่โลกเพื่อความยั่งยืน

EcoVative

เซ็นทรัลพัฒนา มองโอกาสทางการเงิน-ธุรกิจ อนาคตผ่านบริษัทใหม่เซ็นทรัลพัฒนากรีนโกรทลงทุนความยั่งยืนหมื่นล้านบาทใน 5 ปี รับนโยบาย Thailand Taxonomy   นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินการบัญชี และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและสำนักงาน บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูสค้าปลีก, อาคารสำนักงานและโรงแรม เปิดเผยว่า บริษัทฯ ใช้ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท จัดตั้งบริษัทเซ็นทรัลพัฒนากรีนโกรท จำกัด ขึ้นเมื่อปี 2567 เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ในยุคเศรษฐกิจสังคมคาร์บอนต่ำ   โดยแผนงานใน 5 ปี (2568-2573) บริษัทฯ เตรียมใช้งบลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทเพื่อดำเนินการด้านความยั่งยืน (Sustainable) โดยมุ่งให้ความสำคัญในโครงการก่อสร้างอาคารสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Building)   ขณะที่ในปีนี้ บริษัทยังใช้งบลงทุนราว 600 ล้านบาท ติดตั้งโซลารูฟท็อป (Solar Rooftop) ในพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่เปิดให้บริการทั่วประเทศคิดเป็นสัดส่วน 60% และคาดว่าจะครอบคลุมในทุกสาขารวมถึงในสาขาประเทศมาเลเซีย ทั้งหมดในสิ้นปี 2569   “เซ็นทรัลพัฒนากรีนโกรท จะเป็นโอกาสใหม่ทางธุรกิจในอนาคตในการซัพพลายโซลูชั่นพลังงานทดแทนให้กับพันธมิตรร้านค้าในศูนย์ รวมถึงสร้างระบบนิเวศ หรือ อีโคซิสเต็มครบวงจรภายในศูนย์ฯ และยังรองรับการใช้อีวี รถยนต์ไฟฟ้าของผู้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์ฯได้อีกด้วย   ขณะที่แผนงานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาท ภายใน5 ปี (2568-2572) โดยครึ่งหนึ่งมาจากการกู้ยืมซึ่งในสัดส่วนราวหนึ่งในสาม (1/3) ของวงเงิน6 หมื่นล้านบาท อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท จะเป็นสินเชื่อกรีนโลน (Green Loan) มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุนการเงินเฉลี่ยของบริษัทที่มีอยู่ราว 3% ปัจจุบัน ซึ่งต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยต่ำกว่า 0.1-0.2 %  ด้วยนัยสำคัญสนับสนุนให้ต้นทุนการดำเนินงานที่ถูกลง   ด้าน ‘อุทัยวรรณ อนุชิตานุกูล’ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารความเป็นเลิศและการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท เซ็นทรัลพัฒนาโกรท วางแนวทางการดำเนินธุรกิจในเบื้องต้น คือ ด้านพลังงาน (Energy) และ การบริหารจัดการของเสีย (Waste Management) และสนับสนุนระบบนิเวศด้วยโซลูชั่นความยั่งยืนแบบครบวงจรทั้งสังคม และ สิ่งแวดล้อม     โดยในปีแรกของการดำเนินบริษัทจะมีรายได้จากการติดตั้งโซลาร์ รูฟ ท็อป (Solar Rooftop) ให้กับศูนย์การค้าในเครือ โดยในเดือนตุลาคม ปีนี้ เตรียมเปิดตัว เซ็นทรัล กระบี่ ซึ่งจะเป็นโครงการศูนย์การค้าต้นแบบด้านความยั่งยืนแห่งแรกของไทย (The First Prototype of Sustainable Mall in Thailand) ที่ให้ความสำคัญด้านคาร์บอนเป็นศูนย์ (Zero Carbon) ต่อยอดจาก ‘เซ็นทรัล เวสต์วิลล์’ ที่นำแนวคิด ศูนย์การค้าคาร์บอนต่ำ (Law Carbon) มาใช้เป็นแห่งแรก   “แผนในปี 2569 มองโอกาสขยายความร่วมมือกับพันธมิตรที่สนใจลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อให้บริการโซลูชั่นด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนร่วมกัน” อุทัยวรรณ กล่าวพร้อมเสริมว่า   พร้อมกันนี้ บริษัทยังจัดงาน Better Future Project 2025 ครั้งแรกกับ ‘RE’ Lifestyle Roadshow รักษ์โลกIรักชุมชน ระหว่างวันที่ 19-21 พฤษภาคมนี้ ณ ลานหน้า Groove ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงไฮไลท์กิจกรรมนำขบวนด้วย ‘รถพุ่มพวงไฟฟ้าสไตล์รักษ์โลก’ เตรียมเดินสายทั่วไทยใน 6 จังหวัด กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครสวรรค์ นครราชสีมา จันทบุรี และ กระบี่ ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือน ตุลาคม ปีนี้   อุทัยวรรณ กล่าวว่า แผนธุรกิจบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาโกรท ดังกล่าวยังเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกันทั้งระบบสังคมและชุมชน รวมถึงเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่นโยบายไทยแลนด์ ทักซิโนมี (Thailand Taxonomy)  มาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย ด้วยเช่นกัน       Alternate-X สรุปให้  เซ็นทรัลพัฒนา ตั้งบริษัทใหม่ “เซ็นทรัลพัฒนากรีนโกรท” เพื่อรองรับธุรกิจยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เตรียมลงทุนหมื่นล้านบาทใน 5 ปี พัฒนาอาคารสีเขียว พลังงานแสงอาทิตย์ และ EV Ecosystem ตอบรับนโยบาย Thailand Taxonomy เสริมแผนเติบโตแบบยั่งยืน พร้อมเปิดตัวเซ็นทรัล กระบี่ เป็นต้นแบบศูนย์การค้าคาร์บอนเป็นศูนย์ ในเดือนตุลาคม ปีนี้  รับการจัดกิจกรรม Better Future Project 2025 และโรดโชว์รักษ์โลกทั่วประเทศ    

May 19, 2025 / 0 Comments
read more

ซีอีโอหญิงBJC ขึ้นเวที AWS

PRnounce

หนึ่งในผู้บริหารหญิงองค์กรใหญ่ของไทย ‘คุณโอ๊ะ’ ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ผู้ดำเนินธุรกิจครบวงจรตั้งแต่การผลิต จัดจำหน่าย ไปจนถึงค้าปลีก   โดย เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘คุณโอ๊ะ’ เป็นหนึ่งใน ‘คีย์ สปีคเกอร์’ ร่วมเสวนาเวที AWS ExecLeaders 2025 พร้อมแชร์มุมมอง ผลักดันนวัตกรรมเปลี่ยนผ่านองค์กรเพื่อสร้างการเติบโต ในหัวข้อ “Breaking the Code – The Role of Women Leaders in Advancing Organizations and Technology” งานนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง Amazon Web Services (AWS) และ Forbes Asia ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์     ภายในงานฯ ‘คุณโอ๊ะ-ฐาปณี’ ได้แชร์แนวคิดประสบการณ์ในฐานะผู้นำหญิงระดับสูง ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรม การเปลี่ยนแปลงเชิงองค์กร และการสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความหลากหลาย เพื่อให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในหลากหลายมิติ   ขณะที่ “AWS ExecLeaders Summit 2025” เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้นำจากหลากหลายอุตสาหกรรมร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับเส้นทางความเป็นผู้นำ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่กล้าทดลองและยืดหยุ่น พร้อมจุดประกายให้กับผู้นำหญิงรุ่นใหม่ในแวดวงเทคโนโลยี   ขณะที่ AWS ExecLeaders คือ โปรแกรมระดับโลกของ AWS ที่ออกแบบเพื่อเชื่อมโยงผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก ผ่านกิจกรรมแบบเจาะลึก เช่น เวทีเสวนา และแหล่งความรู้ดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ การสร้างเครือข่าย และการขับเคลื่อนนวัตกรรมองค์กรในยุคดิจิทัล   งานนี้ยังเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้นำระดับโลกจากภาคธุรกิจ การศึกษา และสังคม มาร่วมเปิดมุมมองใหม่ ๆ และร่วมกันสร้างอนาคตการเป็นผู้นำในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว      

May 18, 2025 / 0 Comments
read more

ลูกชายคนที่ 3 ‘ทรัมป์’ Eric Trump ลุยคริปโทเต็มตัว จากตระกูลทรงอิทธิพลสู่เหมืองบิทคอยน์!

BizKet

วงการคริปโท เคอร์เรนซี  มีแรงสั่นสะเทือนอีกครั้ง หลัง ‘อีริค ทรัมป์’ (Eric Trump) ลูกชายคนที่สามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ก่อตั้งบริษัทAmerican Bitcoin” ร่วมกับบริษัท Hut 8 ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองคริปโทฯ ชั้นนำของสหรัฐฯ   โดยผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ American Bitcoin รวมถึง Eric Trump และ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (Donald Trump Jr.) (บุตรชายคนโตของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 47) จะถือหุ้นในบริษัทที่รวมกันประมาณ 98% ทำให้หลายฝ่ายมองว่า เป็นการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดและครั้งสำคัญของอาณาจักรสกุลเงินดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ที่มาจากคนในตระกูลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์   ต่อเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือน มีนาคม 2568 หลัง ‘อีริค ทรัมป์’ ผู้ก่อตั้งร่วมและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ ออกมาย้ำถึงความโดดเด่นของสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมการขุด Bitcoin ทั่วโลก พร้อมระบุว่า   “เราชนะการแข่งขันด้านอวกาศแล้ว เราควรจะชนะการแข่งขันด้านสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า”   ปัจจุบัน ‘อีริค ทรัมป์’ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ (Chief Strategy Officer) ของบริษัท พร้อมเป้าหมายในการสร้างแพลตฟอร์มการสะสมบิทคอยน์ที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ โดยตั้งเป้าลดต้นทุนการขุดบิทคอยน์ลงเหลือประมาณ 37,000–38,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ   นอกจากนี้ ‘อีริค ทรัมป์’ ยังมีบทบาทสำคัญในโครงการคริปโทฯ อื่น ๆ ของครอบครัวทรัมป์ เช่น World Liberty Financial ซึ่งเป็นบริษัทด้านการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ที่มีการเปิดตัวเหรียญ stablecoin ชื่อ USD1 และเหรียญมีม $WLFI โดยครอบครัวทรัมป์ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทนี้   ต่อการการเข้ามาของ ‘อีริค ทรัมป์’ ในวงการคริปโทฯ สะท้อนถึงการขยายบทบาทของครอบครัวทรัมป์ในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งได้รับทั้งการสนับสนุนและเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะในเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างบทบาททางธุรกิจและการเมือง   ทรัมป์พูดคุยกับผู้เข้าร่วมการประชุม Student Action Summit ประจำปี 2020 จัดโดย Turning Point USA ขอขอบคุณภาพจาก วิกีพีเดีย จากการเมืองสู่เหมืองคริปโท     ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย ‘อีริค เฟรเดอริก ทรัมป์’ วัย41 ปี  เกิดเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2527  ซึ่งเป็นนักธุรกิจ นักเคลื่อนไหว และอดีตพิธีกรรายการเรียลลิตี้ทีวีชาวอเมริกัน   ‘เขา’ เป็นบุตรคนที่สามและบุตรชายคนที่สองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกา และภรรยาคนแรกของเขา ‘อิวานา ทรัมป์’   ทรัมป์ เป็นกรรมการและรองประธานบริหารของธุรกิจของพ่อของเขา ซึ่งก็คือองค์กรทรัมป์ โดยบริหารร่วมกับโดนัลด์ จูเนียร์ พี่ชายของเขา นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารของซีรีส์ทางโทรทัศน์ของพ่อของเขาที่ชื่อ The Apprentice ในช่วงที่พ่อของพวกเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี     ชีวิตในวัยเด็ก   อีริค ทรัมป์ เกิดในนิวยอร์กซิตี้และเข้าเรียนที่โรงเรียนทรินิตี้ พ่อแม่ของเขาหย่าร้างกันในปี 2533 เมื่อเขาอายุได้ 6 ขวบ เมื่อยังเป็นเด็ก ทรัมป์ใช้เวลาช่วงฤดูร้อนในชนบทของเช็กใกล้กับซลินกับปู่ย่าฝ่ายแม่ ปู่ของเขา Miloš Zelníček ซึ่งเสียชีวิตในปี  2533 เป็นวิศวกร ส่วนคุณยายของเขา Maria ทำงานในโรงงานผลิตรองเท้า ปู่ของเขาสอนให้ทรัมป์ล่าสัตว์และตกปลา   ในปี 2545 ทรัมป์ สำเร็จการศึกษาจาก Hill School ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำระดับเตรียมอุดมศึกษา ในปี 2549 เขาสำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในวอชิงตัน ดี.ซี. โดยได้รับปริญญาตรีสาขาการเงินและการจัดการ และวิชาโทด้านจิตวิทยา   ทรัมป์ เริ่มเดินทางไปกับพ่อที่ไซต์งานและการเจรจาตั้งแต่ยังเด็ก[13] เขาเคยบอกว่าเขาตัดหญ้า ปูกระเบื้อง และทำงานอื่นๆ บนทรัพย์สินของพ่อเมื่อยังเด็กทรัมป์เคยพิจารณาอาชีพอื่นๆ เป็นเวลาสั้นๆ แต่ตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจของครอบครัวในขณะที่ยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย   เส้นทางอาชีพ   องค์กร Trump   ทรัมป์กับพ่อของเขาในปี 2551 โดย ‘เขา’ เป็นรองประธานบริหารฝ่ายพัฒนาและการซื้อกิจการขององค์กรทรัมป์ และยังทำงานร่วมกับน้องสาวของเขา อิวานกา ในการออกแบบใหม่และปรับปรุงสนามกอล์ฟ Trump National Doral และสนามกอล์ฟ Blue Monster ในไมอามี รัฐฟลอริดา   ในปี 2556  ทรัมป์ได้รับรางวัล ‘ดาวรุ่งแห่งปี’ จากนิตยสาร Wine Enthusiast   วงการ โทรทัศน์   ทรัมป์เป็นกรรมการในห้องประชุมของรายการเรียลลิตี้ทีวีของพ่อของเขาที่ชื่อว่า The Apprentice (2553-2558) เขาปรากฏตัวใน 23 ตอน 21 ครั้งในฐานะกรรมการในห้องประชุมและอีก 2 ครั้งในฐานะผู้ชม   มูลนิธิ อีริค ทรัมป์   ในปี 2550  ทรัมป์ได้ก่อตั้งมูลนิธิ Eric Trump ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลสาธารณะเพื่อระดมทุนสำหรับโรงพยาบาลวิจัยเด็ก St. Jude ในรัฐเทนเนสซี  เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 มูลนิธิได้มุ่งมั่นที่จะระดมทุน 20 ล้านเหรียญสหรัฐในระยะเวลาสิบปีสำหรับสิทธิ์ในการตั้งชื่อศูนย์การผ่าตัดและไอซียูของมูลนิธิ Eric Trump แห่งใหม่ในศูนย์วิจัยและดูแล Kay ซึ่งเป็นอาคารมูลค่า 198 ล้านเหรียญสหรัฐที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 ในวิทยาเขต St. Jude   Alternate-X สรุปให้ ‘อีริค ทรัมป์’ ลูกชายคนที่สามของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่47 เข้าสู่วงการคริปโทฯ อย่างจริงจัง โดยร่วมก่อตั้งบริษัท “American Bitcoin” กับบริษัทเหมืองคริปโทฯ ชั้นนำอย่าง Hut 8 ในเดือนมีนาคม 2568 โดยเขาดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายกลยุทธ์ วางเป้าหมายธุรกิจ ลดต้นทุนการขุดบิทคอยน์ และขยายบทบาทสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมคริปโทฯ พร้อมถือหุ้นใหญ่ร่วมกับพี่ชาย (โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์) อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในโปรเจกต์คริปโทฯ อย่าง World Liberty Financial ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทใหม่ของครอบครัวทรัมป์ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

May 18, 2025 / 0 Comments
read more

ลุ้นราคา ‘บิทคอยน์’ Q2 แตะ 1.2 แสนดอลลาร์ฯ หลัง ‘อีริค ทรัมป์’ เข้าสายขุดจุดเปลี่ยนคริปโท

BizKet

Bitget ปรับเป้าราคาบิทคอยน์ไตรมาสสองพุ่งแตะ 120,000 ดอลลาร์  และต้องจับตา ‘คนในตระกูลทรัมป์’ เข้ามาในคริปโทฯ ป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง   เกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก กล่าวว่าหลังจากที่ราคาบิทคอยน์กลับมายืนเหนือระดับ 100,000 ดอลลาร์ พบว่าปัจจัยบวกที่หนุนราคายังคงมีต่อเนื่องโดยปัจจัยหลักมาจากการ   เจรจาเรื่องภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯและชาติอื่นๆโดยเฉพาะจีนมีทิศทางในเชิงบวกมากขึ้น แรงซื้อจากกองทุน Bitcoin ETF ยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง   อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงต้องจับตาต่อไปคือการเจรจา   ภาษีตอบโต้ที่อาจจะมีผลในเชิงลบออกมา นโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯที่ยังไม่ส่งสัญญาณที่จะลดดอกเบี้ยลง สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่มีโอกาสสร้างความผันผวนให้กับตลาด   ถึงอย่างไรมองว่าบิทคอยน์ ได้ประโยชน์ในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค   “ถ้าหากนักลงทุนสถาบันมีการปรับพอร์ตลดการลงทุนในตลาดหุ้น คาดว่าเม็ดเงินบางส่วนจะไหลมาลงทุนในบิทคอยน์ซึ่งจะผลักดันให้ราคาพุ่งแตะระดับ 120,000 ดอลลาร์ ในไตรมาสสองนี้ โดยปัจจัยลบที่ทำให้ราคามีความผันผวนคือการเปลี่ยนแปลงในเชิงกฎหมายและนโยบายกำกับดูแลคริปโทที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของฝั่งการเมือง” เฉิน  กล่าว   ขณะที่อีกปัจจัยที่ต้องจับตาคือการเข้ามาในอุตสาหกรรมคริปโทของคนในตระกูลทรัมป์อย่างล่าสุดที่ลูกชายอย่าง ‘อีริค ทรัมป์’ ได้เข้ามาในวงการขุดบิทคอยน์และก่อนหน้านี้คนของตระกูลทรัมป์ได้ลงทุนในโปรเจกต์ด้าน DeFi อย่าง World Financial Liberty “ส่วนตัวมองว่าเป็นดาบสองคมที่มีทั้งปัจจัยบวกและลบ”   ในด้านบวก ยอมรับว่าการที่มีคนของตระกูลทรัมป์เข้ามาอาจช่วยผลักดันให้คนทั่วไปรู้จักคริปโทมากขึ้น   แต่ด้านลบ คือ ความท้าทายด้านกฎระเบียบและภาพลักษณ์ เนื่องจากบทบาททางการเมืองของครอบครัวทรัมป์รวมถึงประวัติความขัดแย้งในอดีต จะทำให้นักลงทุน นักการเมือง และหน่วยงานกำกับดูแลเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด   อย่างไรก็ตาม หากโครงการดำเนินไปได้ดี ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับธุรกิจขุดบิทคอยน์ในสหรัฐฯ และช่วยเสริมบทบาทของคริปโทในระบบการเงินของอเมริกา” นางสาวเกรซี่ เฉิน  กล่าว   ราคาหุ้นคริปโทฯ ดีด   ด้าน ไรอัน ลี (Ryan Lee ) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ Bitget Research  กล่าวว่าราคาหุ้นในกลุ่มคริปโทปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยเฉพาะ Coinbase ที่พุ่งขึ้นถึง 16% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลับมาอีกครั้งของนักลงทุน หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนชะลอลงเหลือ 2.3% ความชะลอตัวของเงินเฟ้อสร้างความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงมีแนวโน้มเป็นบวก   Alternate-X สรุปให้    Bitget คาดราคาบิทคอยน์ไตรมาสสองพุ่งแตะ 120,000 ดอลลาร์ จากแรงหนุน ETF และแนวโน้มเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยเสี่ยงยังคงมี ทั้งนโยบายดอกเบี้ย ภาษีตอบโต้ และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมจับตาคนในตระกูลทรัมป์บุกคริปโทฯ เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ขณะที่ราคาหุ้นคริปโทอย่าง Coinbase พุ่งแรงตามความเชื่อมั่นหลังเงินเฟ้อลด ตลาดคริปโทเริ่มฟื้นตัวแต่ยังต้องระวัง ปัจจัยการเมืองและกฎระเบียบยังไม่แน่นอน ซึ่งหากตลาดหุ้นยังคงเป็นขาขึ้นต่อไป อาจมีเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อยไหลเข้าสู่ตลาดคริปโทมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและหนุนเหรียญทางเลือก (altcoins) บางเหรียญให้เติบโตได้ ในภาพรวมถือว่าตลาดเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น แต่ยังคงต้องใช้ความระมัดระวังการลงทุนเช่นเดิม

May 18, 2025 / 0 Comments
read more

อิทธิพลโซเชียลท่วมท้น แต่คนเลือกซื้อ ‘ไว้ใจ’ ก่อน ‘ไวรัล’ ผลสำรวจผู้บริโภคเชื่อ Facebook กว่า TikTok

BizKet

‘วัตสัน’ เปิดผลสำรวจพบพลังโซเชียลมีเดียครองอิทธิพลสูงสุด ดันตลาดสุขภาพและความงามไทยครึ่งปีแรก 2568 พบเทรนด์กำลังซื้อยุคใหม่ให้ใจ ‘แบรนด์ไทย’ เป็นโอกาสเติบโตสูง   แนวคิดคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน หันมาให้ความสำคัญด้านไลฟ์สไตล์และใส่ใจสุขภาพและความงามของตัวเองอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มขยายตัวไปอีก ด้วยมองว่า เป็นอีกหนึ่งการลงทุนสู่รากฐานของความสุขที่ยั่งยืน ให้กับตัวเองระยะยาว   ขณะที่ ‘วัตสัน’ ผู้ให้บริการร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามของไทย เปิดผลสำรวจที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคกว่า 4,000 คนทั่วประเทศเผยให้เห็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดสุขภาพและความงามในปัจจุบัน    ‘สุขภาพ’ = การลงทุนระยะยาว   วัตสัน ระบุว่า จากผลสำรวจพบว่าเกินครึ่ง ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับส่วนผสมและคุณประโยชน์ เมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือวิตามิน   แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มการดูแลตัวเองในปีนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยกระแสความนิยม แต่ขับเคลื่อนด้วย “ความรู้ ความเข้าใจ และความใส่ใจ”   ขณะที่ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ยังคงเป็นองค์ประกอบหลักที่ผู้บริโภคกว่า 72.8% ใช้ในการตัดสินใจซื้อ     โซเชียลมีเดีย มีผลก่อนตัดสินใจซื้อ   ขณะที่ ในยุคดิจิทัลการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคยังคงได้รับอิทธิพลจากโซเชียลมีเดีย อันดับหนึ่งแน่นอนว่า   52% เป็น Facebook 45% เป็นของ TikTok มีความนิยมรองมา และยังพบว่าภายในปีเดียวแอป TikTok ยังเติบโตแบบก้าวกระโดดมากขึ้นเท่าตัวสะท้อนว่า ‘ไวรัล’ ไม่ใช่แค่คำแต่คือกำลังซื้อที่จับต้องได้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่น่าจับตามองและยังคงมีอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง   จากนั้นก็ตามด้วย Instagram และ YouTube  ที่รักษาพื้นที่ไว้ได้ดี ที่น่าสนใจคือ ‘รีวิวจากผู้ใช้จริง’ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มความงาม สกินแคร์ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความเชื่อถือในประสบการณ์จริงมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม   กำลังซื้อยังเน้น ‘ความคุ้มค่า’   แม้ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับคุณภาพ แต่ความคุ้มค่ายังคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ โดย 3 ใน 4 หรือมากถึง 75% ระบุว่าให้ความสำคัญกับความคุ้มค่ามากที่สุด ขณะที่ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ความงามและผู้ซื้อ สกินแคร์ ยอมรับว่าโปรโมชันมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญ   แบรนด์ไทยมาแรง เป็นที่นิยมมากขึ้น   แบรนด์ไทยกำลังเข้าสู่จุดแข็งของการเป็น ‘แบรนด์ที่ผู้บริโภคเชื่อมั่น’ เกือบ 80% มองว่าแบรนด์ไทยมีภาพลักษณ์ดีและเป็นที่นิยมมากขึ้น สะท้อนว่าการสร้างคุณภาพควบคู่กับราคาที่เหมาะสม คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเปิดใจ  โดยพบว่า 77% ใส่ใจในเรื่อง ‘สรรพคุณและส่วนผสม’ 61% คือ ‘ราคา’ ซึ่งจุดนี้ ถือเป็นโอกาสของแบรนด์ไทยในการต่อยอดผ่าน Brand Storytelling และการสร้าง Trust-Based Marketing เพื่อรักษาแรงสนับสนุนจากฐานลูกค้าที่กำลังเติบโตอย่างยั่งยืน   ชอปง่าย เมื่อไหร่ก็ได้   นอกจากนี้ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้ชอปแค่ ‘ที่ไหนก็ได้” แต่ต้อง’ ‘เมื่อไหร่ก็ได้’ โดยผลสำรวจพบว่า   72% ของผู้บริโภคเลือกชอปทั้งหน้าร้านและออนไลน์ และเกินครึ่งให้ความสำคัญกับความสะดวกในการชอปมากที่สุด   จากแนวโน้มดังกล่าว ‘วัตสัน’ พร้อมวางกลยุทธ์รอบด้านทั้งผลิตภัณฑ์ บริการ และ แคมเปญการตลาด เพื่อตอบเทรนด์อย่างเข้าใจด้วยประสบการณ์การชอปปิงที่ตอบโจทย์ชีวิตจริง สอดคล้องกับแนวคิด ‘Health is Beauty, Beauty is Health’ การดูแลตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องผิวเผิน แต่คือการลงทุนเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว       Alternate-X สรุปให้  วัตสันเผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ พบ ‘ความน่าเชื่อถือ’ สำคัญกว่า ‘ไวรัล’ ส่วน Facebook ยังครองอันดับหนึ่งแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ ด้วยผู้บริโภคให้ความสำคัญกับส่วนผสม-คุณภาพ มากกว่าแค่ตามกระแส และแน่ แบรนด์ไทยมาแรง ผู้บริโภคเปิดใจและเชื่อมั่นมากขึ้น ขณะที่ การชอปยุคใหม่เน้นสะดวก คุ้มค่า และชอปได้ทุกช่องทาง

May 18, 2025 / 0 Comments
read more

‘โออิชิ’ ยอดกตัญญูใช้การตลาดอบอุ่นหัวใจ พาผู้ปกครองอายุ 85 ปี ขึ้นไปเข้าร้าน ‘อิ่มฟรี’

BizKet

‘โออิชิ’ ขน3แบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นในพอร์ต ทำตลาดขยายฐานกลุ่มล้ำค่า ‘ผู้สูงวัย’ ให้ส่วนลดพิเศษ50%-อายุเกิน 85 ปี ทานของอร่อยฟรี ฮีลใจวัยเก๋า   ศสัย ตังเดชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้บริหารร้านอาหารญี่ปุ่นเครือโออิชิ กล่าวว่า โออชิ มองเห็นศักยภาพผู้บริโภคกลุ่มผู้สูงอายุ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีความสุข และมองหาโอกาสในการสร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคนที่รัก   โดยกลุ่มผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงในการเติบโตในระยะยาว ทั้งในแง่ของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ที่มีคุณค่า (experience spending) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตามเทรนด์ทั่วโลก   ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ที่เข้าใจและเข้าถึงผู้บริโภคทุกช่วงวัย โดยนำร้านอาหารญี่ปุ่น 3 แบรนด์ดัง โออิชิ แกรนด์ (OISHI GRAND), โออิชิ อีทเทอเรียม (OISHI EATERIUM), และ โออิชิ บุฟเฟต์ (OISHI BUFFET) ร่วมจัดกิจกรรมการตลาดมาตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ ให้ตรงใจและสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มผู้สูงอายุที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจและสังคมไทยในปัจจุบัน   พร้อมกันนี้ ยังได้จัดกิจกรรมการตลาด ภายใต้ชื่อ ‘โออิชิ สุขใจ วัยเก๋า’เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณและตอบแทนลูกค้าคนพิเศษ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยออกแบบสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของ ‘ความคุ้มค่า’ และ ‘ประสบการณ์การรับประทานอาหาร” ผ่านการสร้างช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกับคนในครอบครัวและคนที่รัก   “เป็นอินไซต์สำคัญที่กลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง” ศสัย กล่าว   สำหรับ รายละเอียดของแคมเปญแบ่งสิทธิพิเศษตามช่วงอายุ ได้แก่   สำหรับลูกค้าผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 65 – 84 ปี รับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษ 50 เปอร์เซ็นต์ สำหรับลูกค้าที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไป รับสิทธิ์รับประทานฟรี เมื่อมาใช้บริการพร้อมผู้ติดตามหนึ่งท่านที่ชำระในราคาปกติ   ทั้งนี้เงื่อนไขการเข้าร่วมง่าย สะดวก ไม่ซับซ้อน เพียงแสดงบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อเอื้อให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงและรับประโยชน์จากแคมเปญได้อย่างเต็มที่ และเน้นการสร้างโอกาสให้ทุกกลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม   ศสัย กล่าวว่า แคมเปญนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งเรื่องของความคุ้มค่า ประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และการสร้างคุณค่าทางใจให้กับลูกค้า และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุก ๆ มื้อที่โออิชิจะเป็นมากกว่าการรับประทานอาหาร แต่จะกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่มีความหมายในชีวิตของทุกคน   โดยนอกจากการคืนกำไรให้กับลูกค้าแล้ว ยังมุ่งหวังให้แคมเปญนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ผ่านการนำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม พร้อมตอกย้ำภาพลักษณ์ ‘โออิชิ’ ในฐานะผู้นำที่ส่งมอบความอร่อย และใส่ใจในความสุข คุณภาพชีวิต และสุขภาพของผู้บริโภคในทุกช่วงวัย   สำหรับแคมเปญฯ ร่วมกับร้านอาหารญี่ปุ่น โออิชิ แกรนด์, โออิชิ อีทเทอเรียม, และ โออิชิ บุฟเฟต์ ทุกสาขา กับ “โออิชิ สุขใจ วัยเก๋า” ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568   Alternate-X สรุปให้   โออิชิ เดินหน้าทำตลาดกลุ่มผู้สูงวัย จัดแคมเปญ “โออิชิ สุขใจ วัยเก๋า” มอบส่วนลด 50% สำหรับผู้มีอายุ 65–84 ปี และกินฟรีสำหรับผู้ที่อายุ 85 ปีขึ้นไป ด้วยเงื่อนไขไม่ซับซ้อน  แค่แสดงบัตรประชาชน ให้บริการครอบคลุมร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือทั้ง OISHI GRAND, EATERIUM และ BUFFET แคมเปญฯ นี้หวังสร้างความผูกพันกับลูกค้าผ่านประสบการณ์มื้ออาหารที่มีความหมาย

May 16, 2025 / 0 Comments
read more

เมื่อโลกเข้าสู่ยุค AI ธุรกิจ ต้องพร้อมจัดการ Big Data รับมือการเปลี่ยนแปลงองค์กรดิจิทัล

BizKet

UIH ร่วม Blendata  ตั้งรับหลายองค์กรธุรกิจวางแผนเปลี่ยนผ่านพร้อมจัดการข้อมูลมหาศาลมาใช้ประโยชน์สูงสุด รับเข้าสู่ยุคเอไอ ใน 7 ปีหน้า ‘บิ๊ก ดาต้า’ จะมีมูลค่า 9 พันล.ดอลลาร์   เบญจ เบญจรงคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและโซลูชัน สำหรับภาคธุรกิจ กล่าวว่า บริษัทร่วมกับ Blendata บริษัทเทคโนโลยีเชิงลึกด้าน Big Data และ AI สัญชาติไทย ให้บริการแพลตฟอร์ม Blendata Enterprise ซึ่งเป็น Data Lakehouse ประสิทธิภาพสูง โซลูชันช่วยให้องค์กรใช้ศักยภาพของข้อมูลได้อย่างเต็มที่ ด้วย   “ความร่วมมือครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการใช้งานข้อมูลให้กับองค์กรที่เป็นลูกค้าของ UIH ทั้งในปัจจุบันและอนาคต” เบญจ กล่าว   สำหรับ Blendata Enterprise ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Big Data และ AI แบบ Lakehouse ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ นำเสนอชุดเครื่องมือครบวงจรตั้งแต่การรวบรวม จัดการ ประมวลผล วิเคราะห์ และนำข้อมูลเชิงลึกไปใช้สร้างประโยชน์ทางธุรกิจได้ในแพลตฟอร์มเดียว มีความยืดหยุ่น ปรับขยายได้สูง รองรับการต่อยอดด้านข้อมูลขององค์กรในอนาคต ภายใต้ค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า   โดยโซลูชันฯ ดังกล่าวเพื่อรองรับธุรกิจทุกขนาดในอุตสาหกรรมต่างๆ  เช่น โทรคมนาคม ค้าปลีก การเงิน สุขภาพ และการผลิต   ด้าน ณัฐนภัส รชตะวิวรรธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท Blendata จำกัด กล่าวว่า ในยุคดิจิทัล ‘ข้อมูล’ ถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ และ จากประสบการณ์ทำงานร่วมกับองค์กรหลายแห่งของ Blendata  พบว่าต่างเผชิญกับความท้าทายในการจัดการและนำข้อมูลมหาศาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด   “ความร่วมมือกับ UIH ในครั้งนี้ จะช่วยแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดด้านข้อมูลขององค์กร ช่วยให้องค์กรสามารถเปลี่ยนข้อมูลให้กลายเป็นทรัพยากรที่ทรงพลัง ทั้งประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลได้ราบรื่น ส่งเสริมการตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แลพยกระดับธุรกิจยุคดิจิทัลด้วย Big Data และ AI” ณัฐนภัส กล่าว   สำหรับความร่วมมือให้บริการโซลูชั่นฯ ดังกล่าวยังเพื่อรองรับความต้องการและอัตราการเติบโตในการบริหารจัดการบิ๊ก ดาตา ในอนาคต สอดคล้องกับรายงานของ Fortune Business Insights ระบุว่ามูลค่าตลาด Big Data Analytics ทั่วโลกในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 307.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 961.9 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2575 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 13.5%   ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับผลสำรวจของ Gartner ในปี 2567 พบว่า 61% ขององค์กรกำลังปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ เพื่อตอบรับกับการเติบโตของเทคโนโลยี AI       Alternate-X สรุปให้ องค์กรยุคใหม่ต้องเตรียมพร้อมบริหารจัดการ Big Data อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจระหว่าง UIH และ Blendata มาร่วมยกระดับองค์กรด้วยแพลตฟอร์ม Lakehouse ช่วยให้วิเคราะห์และใช้ข้อมูลเชิงลึกในการตัดสินใจทางธุรกิจ เพื่อรองรับทุกอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ตลาด Big Data โตแรง คาดแตะ 961.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2575  

May 16, 2025 / 0 Comments
read more

‘ORA’ จัด Family Trip ทดสอบพลังเหมียวไฟฟ้า ออกทริปโซนอีสาน วิ่งยาวๆ 78 กม.

WeView

GWM กับกลยุทธ์การตลาดผ่านประสบการณ์ให้คนรักแมว ‘ORA’ ออกทริปภาคอีสาน ผ่านจุดเช็คอินให้รีวิวเพียบ ย้ำมั่นใจผู้ใช้งานกลุ่มครอบครัว   ในช่วงหยุดยาววันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา GWM (Thailand) จัดกิจกรรม ‘ORA Meeting 2025 รวมพลคนรักแมว โซนภาคอีสาน’ ณ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้การตอบรับจากผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานใหม่ GWM ORA Good Cat และ GWM ORA 07 กว่า 94 คน พร้อมขบวนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากสีสันอีกกว่า 37 คัน   สำหรับโรด ทริป แมวเหมียวไฟฟ้า ORA  ในครั้งนี้ ร่วมกันเดินทางจากศูนย์ GWM เอกสห โคราช เป็นระยะทางทั้งสิ้นกว่า 78 กิโลเมตร   จากตัวเลขระยะวิ่งนี้ สะท้อนความแข็งแกร่งของ ‘GWM Family’ พร้อมย้ำถึงความนิยมรถยนต์พลังงานใหม่ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย     รีวิว ‘จุดเช็คอิน’ แก๊งเหมียวไฟฟ้า   โดยตลอดการเดินทางในกิจกรรม ‘ORA Meeting 2025 รวมพลคนรักแมว โซนภาคอีสาน’ ในครั้งนี้ ผู้ร่วมทริปซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้า GWM ORA Good Cat และ GWM ORA 07 ยังได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ประทับใจตลอดเส้นทางจากหลากหลายจุดหมายสำคัญของจังหวัดนครราชสีมา   เริ่มต้นที่ ‘อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม)’ แลนด์มาร์กแห่งความศรัทธาและเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญของชาวโคราช   ก่อนจะแวะพักผ่อนในบรรยากาศสุดอบอุ่นที่ “French Kitsch Café” คาเฟ่ในสวนสไตล์ยุโรปสุดวินเทจ ที่โดดเด่นด้วยการตกแต่งสุดชิค ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับคาราวานของเจ้าเหมียวทั้งสองรุ่น เพื่อเก็บภาพความทรงจำร่วมกัน   จากนั้นรับประทานาอาหารกลางวันและร่วมกิจกรรมสุดสนุกที่ “Patra Sweet House @Sikhio” พร้อมเสิร์ฟอาหารจานเด็ดที่หลากหลายในบรรยากาศสบาย ๆ   ก่อนเดินทางต่อไปยัง “ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง” จุดแวะที่อัดแน่นด้วยสาระความรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนและความยั่งยืน   มาปิดท้ายทริปอย่างน่าประทับใจที่ “จุดชมวิวกังหันลม ณ เขายายเที่ยง” สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังซึ่งเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานสะอาด และจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเขื่อนลำตะคองและแนวภูเขาโดยรอบได้แบบพาโนรามา ท่ามกลางสายฝนชุ่มฉ่ำและกังหันลมขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม   กลยุทธ์เชื่อมโยงท้องถิ่น   ด้าน ‘เวย์น โจว’ กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) กล่าวถึงการจัด กิจกรรมในครั้งนี้เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ด้วยแนวคิดระดับโลก ‘อยู่ในท้องถิ่น เพื่อตลาดท้องถิ่น และบูรณาการกับชุมชนท้องถิ่น’ (Being in the Local Market, For the Local Market, and Integrating into the Local Community)   พร้อมเชื่อมโยง GWM เข้ากับชีวิตของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการครอบคลุม ผ่านกิจกรรมที่สะท้อนตัวตนของผู้ใช้งานในแต่ละพื้นที่ได้เป็นอย่างดี   โดย GWM เชื่อว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าในแต่ละพื้นที่ คือหัวใจของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นโอกาสอันดีในการรับฟัง พูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อนำข้อมูลเชิงลึกจากผู้ใช้งานจริงมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ เพื่อต่อยอดสู่การสร้างสรรค์ประสบการณ์ด้านการขับขี่ที่เหนือกว่าในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด ‘GWM GO With More’   พร้อมยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)   Alternate-X สรุปให้  GWM จัดกิจกรรม “ORA Meeting 2025” รวมพลคนรักแมวสาย EV ออกทริปภาคอีสาน โรดทริประยะทาง 78 กม. สะท้อนสมรรถนะและความเชื่อมั่นในรถยนต์พลังงานใหม่ แวะจุดแลนด์มาร์กดังในโคราช ทั้งเชิงท่องเที่ยว คาเฟ่ และแหล่งเรียนรู้พลังงานสะอาด เชื่อมโยงแบรนด์กับท้องถิ่นผ่านกิจกรรม สร้างความผูกพันกับผู้ใช้งานจริง เพื่อตอกย้ำแนวคิด GWM “อยู่ในท้องถิ่น เพื่อตลาดท้องถิ่น และบูรณาการกับชุมชน”  

May 16, 2025 / 0 Comments
read more

‘ศรีปทุม’ แก้เพนพอยต์ หนังสือก็ต้องเรียน เกมก็อยากเล่น ทำหลักสูตรโลจิสติกส์ ผ่านบอร์ดเกม-VR

Peace&Play

การศึกษายุคใหม่ไม่ได้มาเล่นๆ อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นเรื่องสนุกขึ้น เมื่อวิทยาลัยโลจิสติกส์ SPU ใช้บอร์ดเกมและ VR มาใช้การเรียนการสอน รับตลาดแรงงานในอุตฯ นี้มูลค่ากว่า 3.1 ล้านบาท   ผศ.ดร.ธรินี มณีศรี คณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า คณะฯได้ยกระดับการเรียนการสอนด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ นำ ‘บอร์ดเกม’ และ ‘เทคโนโลยี VR’ มาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เพื่อให้นักศึกษาได้สัมผัสประสบการณ์จริง เรียนรู้แนวคิดเชิงลึกอย่างสนุกสนาน พร้อมเตรียมความพร้อมสู่ตลาดแรงงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง       “ปัจจุบัน พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก การนำบอร์ดเกมเข้ามาประยุกต์ใช้จึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้แนวคิดโลจิสติกส์ได้อย่างเป็นระบบและเข้าใจง่ายขึ้น” ผศ.ดร.ธรินี กล่าว   ทั้งนี้ SPU ใช้ระยะเวลากว่า 6 ปี ร่วมกับคณะดิจิทัลมีเดียพัฒนาบอร์ดเกมขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาการและสามารถนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรมซึ่งบอร์ดเกม จะเปลี่ยนความรู้ทฤษฎีให้เป็นประสบการณ์จริง   โดยบอร์ดเกมนี้ ได้ถูกออกแบบมาให้เสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ โดยนักศึกษาจะได้ทดลองวางแผนและแก้ไขปัญหาเชิงลึกในซัพพลายเชน ทำให้พวกเขาไม่เพียงแค่เข้าใจทฤษฎี แต่ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในโลกของธุรกิจ     ผศ.ดร.ธรินี กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบบอร์ดเกมให้เหมาะกับนักเรียนระดับมัธยมต้นถึงมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการใช้แผนที่ประเทศไทยเป็นฐานข้อมูลสำหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดวางตำแหน่งคลังสินค้า การกระจายสินค้า และการบริหารโซ่อุปทานในบริบทของประเทศไทย   ขณะเดียวกันยังได้นำเทคโนโลยี VR มาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้นักศึกษาได้สัมผัสประสบการณ์จริงในโลกเสมือน เช่น การจัดการคลังสินค้า การวางแผนเส้นทางขนส่ง และการจำลองสถานการณ์ในซัพพลายเชนแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นในสายงานโลจิสติกส์ยุคใหม่ เป็นการนำเทคโนโลยี VR สัมผัสประสบการณ์โลจิสติกส์เสมือนจริง     นอกจากการออกแบบการเรียนให้ไม่น่าเบื่อตอบโจทย์คนยุคใหม่  ในสายงานนี้ยังมีโอกาสในการได้งานสูงเนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมที่เติบโต ตลาดโลจิสติกส์ของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 ล้านล้านบาทภายในปี 2569 ควบคู่ไปกับจำนวนแรงงานที่คาดว่าจะเพิ่มจาก 5.7 ล้านคน เป็น 6.6 ล้านคน ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสในการทำงานที่กว้างขวางและมั่นคง   อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ยังต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านการบริหารซัพพลายเชน การวิเคราะห์ข้อมูล และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะเชิงปฏิบัติผ่านเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ จึงช่วยให้นักศึกษามีความพร้อมสำหรับการทำงานจริง และสามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ   “คณะต้องการสร้างบัณฑิตที่มีความสามารถรอบด้าน พร้อมรับมือกับความท้าทายของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สมัยใหม่ เทคโนโลยีที่เรานำมาใช้จะช่วยให้นักศึกษาสามารถพัฒนาทักษะได้อย่างลึกซึ้งและตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน” ผศ.ดร.ธรินี กล่าวเสริม   มหาวิทยาลัยศรีปทุมมุ่งมั่นพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอนให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยไปสู่ระดับสากล   “เราต้องการสร้างบัณฑิตที่มีความสามารถรอบด้าน พร้อมรับมือกับความท้าทายของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สมัยใหม่ เทคโนโลยีที่เรานำมาใช้จะช่วยให้นักศึกษาสามารถพัฒนาทักษะได้อย่างลึกซึ้งและตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน” ผศ.ดร.ธรินี กล่าวเสริม   ทั้งนี้ที่ผ่านมามีนักศึกษาสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุมแล้วกว่า 4,000 คน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา โดยมีอัตราการได้งานทำสูงถึง 98.2% บางคนสามารถเรียนและทำงานควบคู่กับสถานประกอบการ มีรายได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ   ปัจจุบันวิทยาลัยเปิดสอนทั้งหมด 3 หลักสูตร ครอบคลุมทั้งระดับปริญญาตรี โท และเปิดการเรียนการสอนใน 3 แห่ง ในภูมิภาคสำคัญด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพ ชลบุรี และขอนแก่น  ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีปทุมมุ่งมั่นพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอนให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยไปสู่ระดับสากล   Alternate-X สรุปให้  SPU ยกระดับการเรียนโลจิสติกส์ด้วยบอร์ดเกมและเทคโนโลยี VR ช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้อย่างสนุก เข้าใจทฤษฎีและปฏิบัติได้จริง มาตอบโจทย์ตลาดแรงงานที่เติบโตต่อเนื่อง ด้วย มูลค่ากว่า 3.1 ล้านล้านบาท พร้อมเน้นพัฒนาทักษะเชิงลึกด้านซัพพลายเชนและดิจิทัล เพื่อสร้างบัณฑิตคุณภาพ พร้อมทำงานจริงได้ ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ  

May 16, 2025 / 0 Comments
read more

‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ เจนฯ3 ‘บ้านปู’ บริหารครบปี พา Q1/68 มีกำไรก่อนหักฯ 9 พันล.บาท

BizKet

หลัง ‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ ทายาทรุ่นที่3 รับตำแหน่ง ซีอีโอ ‘บ้านปู’ ครบ 1 ปีเต็มไปเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ล่าสุดประกาศผลดำเนินการธุรกิจไตรมาสแรกปีนี้ มีรายได้กว่า 4.3 หมื่นล.บาทและ EBITDA 9.1 พันล.บาท   สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจบริษัทฯ ภายใต้กลยุทธ์ Energy Symphonics ในไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่าทุกกลุ่มธุรกิจ มีความคืบหน้ามุ่งสร้างกระแสเงินสดและตอบโจทย์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้ความไม่แน่นอนของตลาดโลกจะส่งแรงกดดันต่อธุรกิจพลังงาน   “การบริหารธุรกิจด้วยความยืดหยุ่นทั่วทั้งองค์กร ทำให้บ้านปูสามารถประเมินสถานการณ์และปรับแผนตามสภาวะต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น”   สินนท์ กล่าวพร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีฐานธุรกิจในประเทศสำคัญในเอเชีย-แปซิฟิกและสหรัฐอเมริกา ทำให้มีข้อได้เปรียบในการเชื่อมโยงโอกาสจากตลาดแต่ละพื้นที่ บริหารความเสี่ยงได้ตรงจุด คุมต้นทุนได้รัดกุม ด้วยเป้าหมาย คือ รักษากระแสเงินสดเและสร้างความมั่นคงทางการเงินอย่างต่อเนื่อง   สำหรับไฮไลท์ผลการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลักในไตรมาส 1/2568 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้   1.กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ธุรกิจเหมือง สามารถควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่องและเข้มงวด และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน แม้ราคาขายและปริมาณขายลดลงจากความต้องการถ่านหินที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ธุรกิจเหมืองในมองโกเลีย สามารถผลิตและจำหน่ายถ่านหินส่งออกไปที่จีนได้ 0.3 ล้านตัน เป็นครั้งแรกในไตรมาสนี้   ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เน้นการบริหารประสิทธิภาพการผลิตควบคู่กับการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อบริหารความเสี่ยงด้านราคาเพื่อรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง และล่าสุด BKV dCarbon Ventures ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BKV ได้ประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ (JV) ร่วมกับกองทุน CI Energy Transition Fund I ภายใต้การบริหารของ Copenhagen Infrastructure Partners (CIP) จากประเทศเดนมาร์ก เพื่อร่วมกันออกแบบ พัฒนา และดำเนินธุรกิจ CCUS ในสหรัฐอเมริกา เป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ CCUS   2.กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในจีนมีรายได้เพิ่มเติมจากการขาย Carbon Emission Allowance (CEA) สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโรงไฟฟ้าและยังทำกำไรด้วยแรงหนุนจากความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำตามฤดูกาล และการลดต้นทุนต่อเนื่อง   ส่วนธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่ Jinhu Qianfeng ในมณฑลเจียงซู ประเทศจีน มีกำลังผลิต 120  เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในเดือนธันวาคม 2568   3.กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ลงนามร่วมพัฒนาโครงการระบบกักเก็บพลังงาน ‘Kamigumi–Tokyo BESS’ โดย Banpu Japan K.K. ร่วมทุนกับ Kamigumi Co., Ltd. ขนาด 8 เมกะวัตต์ชั่วโมง คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2/2571   ด้านธุรกิจซื้อขายไฟฟ้าได้พัฒนาเทคโนโลยีวิเคราะห์การซื้อขายพลังงานด้วยระบบ AI  และความร่วมมือกับแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง Enspired และ Global Engineering เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจในระยะยาว   นอกจากนั้น ในประเทศเวียดนาม บ้านปู เน็กซ์ และ SolarBK ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อเร่งขยายธุรกิจโซลาร์หลังคา เน้นลูกค้ากลุ่มโรงงาน นิคมอุตสาหกรรม และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ด้าน e-Mobility ได้เปิดตัวบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ชื่อ “PrimeMobility” เพื่อให้บริการเช่ารถ EV เชิงพาณิชย์แบบครบวงจร โดยร่วมกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ Marubeni และ Fuyo Lease Group   สินนท์ กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 มีรายได้จากการขายรวม 1,284 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 43,584 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 268 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9,100 ล้านบาท)   อย่างไรก็ตาม บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิ 14.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 483 ล้านบาท) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ บ้านปูพร้อมยกระดับการดำเนินงานของทุกกลุ่มธุรกิจ และบริหารพอร์ตพลังงานที่หลากหลายด้วยความยืดหยุ่น และยังคงมุ่งมั่นเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานแห่งอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน (คำนวณโดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยปี 2567 ที่ USD 1: THB 33.9542)   อนึ่ง บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันดำเนิน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ในประเทศไทย อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย ลาว มองโกเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม สำหรับสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มีสินทรัพย์รวม จำนวน 12,457 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 58 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 Alternate-X สรุปให้ ‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ ครบ 1 ปีในตำแหน่งซีอีโอบ้านปู พร้อมบทพิสูจน์การบริหารเน้นบริหารแบบยืดหยุ่น-เชื่อมโยงตลาดโลก สร้างเสถียรภาพทางการเงิน พารายได้ Q1/68 แตะ 4.3 หมื่นล้านบาท EBITDA 9.1 พันล้าน เดินหน้าต่อใน 3 ธุรกิจหลัก แหล่งพลังงาน, ผลิตไฟฟ้า, เทคโนโลยีพลังงาน พร้อมลงทุนเชิงกลยุทธ์ CCUS-พลังงานสะอาดในจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม    

May 16, 2025 / 0 Comments
read more

มั่นคงฯไม่ไปต่อที่อยู่อาศัย อีก3ปีเลิกทำ ‘บ้านชวนชื่น’ หันโฟกัส ‘PD’ มุ่งนิคมอุตสาหกรรม

BizKet

‘ชวนชื่น’ แบรนด์หมู่บ้านที่อยู่ในตลาดมานานร่วม 48 ปีจะเตรียมปิดตำนาน หลังมั่นคงเคหะการ หันโฟกัสธุรกิจเรือธงทำนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้ ‘พีดี’   วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘MK’ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยและอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มเอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ (FNS) เข้าถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 36.60% ไปเมื่อปี 2558 นั้น   โดยในปีดังกล่าว ‘MK’ ได้ขยายธุรกิจใหม่ลงทุน 100% ในบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ (PD) พัฒนาอสังหาฯอุตสาหกรรมให้เช่าคลังสินค้าและโรงงาน เพื่อสร้างรายได้ประจำให้บริษัท ถึงปัจจุบันธุรกิจมีอัตราการเติบโต ต่อเนื่องมากกว่าที่อยู่อาศัย   “แนวโน้มดังกล่าวทำให้ MK  หันมาโฟกัสธุรกิจอสังหาฯอุตสาหกรรม หลังจากในปี 2567 ที่ผ่านมา PD สร้างรายได้สัดส่วน 47% และมีกำไรสูงถึง 54% ให้กับกลุ่ม MK” วรสิทธิ์ กล่าว   โดย บริษัทฯ วางแผนอีก 3 ปีข้างหน้านับจากนี้ จะยุติธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในพอร์ตทั้งโครงการแนวราบแบรนด์ชวนชื่น, สิรีนเฮ้าส์ และแนวสูง เด็น คอนโดมิเนียม   วรสิทธิ์ กล่าวว่า “แผนดังกล่าว บริษัทฯ เตรียมการณ์ไว้ตั้งแต่ 3 ปีก่อนหน้า จากปัจจุบันบริษัทฯ มีที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการแนวราบพร้อมขายราว 800 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2,900 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งก่อสร้างและเตรียมการก่อสร้าง”   ทั้งนี้ บริษัทฯ จะให้ความสำคัญธุรกิจเรือธงอสังหาฯอุตสาหกรรม ภายใต้บริษัทพรอสเพคฯ พร้อมวางเป้าหมายสร้างรายได้เกิน 80% ของพอร์ตฯ ปัจจุบันธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า มีพื้นที่รวม 1 ล้านตร.ม. แบ่งเป็น   โรงงาน 88% คลังสินค้า 8% บริการอื่น ๆ 4%     “บริษัทยังตั้งเป้าขายที่ดินนิคมฯ ในปีแรกประมาณ 680 ไร่ วางราคา 12-13 ล้านบาท/ไร่ ซึ่งจะเริ่มนำมาบุ๊กกิ้งรายได้ในปีหน้า ซึ่งตอนนี้ขายที่ดินในนิคมฯ สองแสนตารางเมตรยังง่ายกว่าขายบ้านเมื่อเปรียบเทียบขนาดพื้นที่เดียวกัน” วรสิทธิ์ กล่าว   PD เจาะอุตสาหกรรม S-Curve   ด้าน ‘รัชนี มหัตเดชกุล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัทพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ (PD) ผู้พัฒนาและบริหารโครงการคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (Bangkok Free Trade Zone: BFTZ)  เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ เตรียมลงทุนกว่า 6,500 ล้านบาท พัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกง พื้นที่รวม 1,000 ไร่ บนทำเลศักยภาพ EEC พร้อมเตรียมขายทรัพย์สินเข้าสู่กอง PROSPECT REIT มูลค่ารวมไม่เกิน 3,350 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/2568     สำหรับ การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกง จะเป็นก้าวสำคัญของ PD ในการต่อยอดศักยภาพและสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติด้านเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC  พร้อมร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 7 กลุ่ม อาทิ อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร, อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเบา รวมถึงอุตสาหกรรมดิจิทัลอย่าง ดาต้า เซ็นเตอร์, เทคโนโลยีคลาวด์   โดยนิคมฯ บางปะกง ตั้งอยู่ที่ ต.คลองตำหรุ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี จะถูกพัฒนาในลักษณะนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Industrial Estate) สนับสนุนการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการจัดทำรายงาน EIA และคาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณปี 2570 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินในนิคมฯ ปีแรก ไว้ที่ประมาณ 680 ไร่   ในปี 2567 ภาคตะวันออกเป็นภูมิภาคที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุดถึง 573,066 ล้านบาทและในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า มีการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติกว่า 24,234 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของเงินลงทุนทั้งหมด   พร้อมกันนี้ PD ได้วางกลยุทธ์ผลักดันการเติบโต ยึด 3 เสาหลัก ‘E-E-C’ ได้แก่   ENLARGE from Core Strengths : ขยายขีดความสามารถจากรากฐานความเชี่ยวชาญและจุดแข็งขององค์กร สู่ทุกกิจกรรมของธุรกิจ) EVOLVE with Flexibility and Adaptability: พัฒนาอย่างยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัวให้ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์อยู่เสมอ COLLABORATE for Greater Impacts: เสริมความแข็งแกร่งด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรในทุกมิติ   โดยผลประกอบการปี 2567 PD มีรายได้รวมอยู่ที่ 898 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการเช่าและบริการ 485 ล้านบาท สัดส่วนรายได้จากการเช่าเติบโตถึง 21% จากปีก่อนหน้า  พร้อมวางเป้าหมายปี 2568 รักษาอัตราการเช่า (Occupancy Rate) เฉลี่ยทุกโครงการให้สูงกว่า 90% และเซ็นสัญญาผู้เช่าใหม่อีกกว่า 200,000 ตร.ม.   ขณะที่ สิ้นปี 2567 ‘PD’ มีโครงการให้เช่าโรงงานและคลังสินค้ารวม 9 โครงการ ทำอัตราการเช่าเฉลี่ยรวม 93% และมีอัตราการต่อสัญญาของลูกค้าเก่าเกิน 90% จากจุดเด่นพัฒนาพื้นที่เขตปลอดภาษี (Free Trade Zone) อันดับ1 ในตลาด       Alternate-X สรุปให้ มั่นคงฯ เตรียมยุติธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย หันโฟกัสเต็มที่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ผ่านบริษัทลูก “พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ (PD)” พร้อมวางแผนพัฒนานิคมบางปะกง 1,000 ไร่ มูลค่าลงทุน 6,500 ล้านบาท บนพื้นที่ EEC โดยตั้งเป้ารายได้ธุรกิจอุตสาหกรรมแตะ 80% ของพอร์ตใน 3 ปี พร้อมผลักดันเข้า REIT กลยุทธ์เติบโตด้วยโมเดล E-E-C: ขยายจุดแข็ง, พัฒนาอย่างยืดหยุ่น, ร่วมมือสร้างผลกระทบเชิงบวก  

May 15, 2025 / 0 Comments
read more

เทรนด์ GenY-GenZ ทุ่มเปย์ทริปแก้เครียด-ฮีลใจ ‘Klook’ ชวนค้นหาตัวเองผ่านการเดินทาง

Peace&Play

Klook เผยผลสำรวจ ‘Travel Pulse’  กลุ่ม Gen Y และ Gen Z เกินครึ่งลงทุนซื้อทริปท่องเที่ยว แก้ความเครียด บำบัดจิตใจ! เปิดแคมเปญ The Best You กระตุ้นนักเดินทางรุ่นใหม่   มาร์คัส ยง รองประธานฝ่ายการตลาดระดับโกลบอล Klook แพลตฟอร์มท่องเที่ยวและกิจกรรมชั้นนำของเอเชีย เผยผลสำรวจล่าสุด จากการทำแบบสอบถาม “Travel Pulse” กว่า 7,000 คนทั่วโลก อาทิ ไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย     โดย Klook พบว่า นักเดินทาง Gen Y หรือกลุ่ม Millennials และ Gen Z จำนวนเกินครึ่ง ยอมจ่ายเงินซื้อความสุข เลือกทริปออกเดินทางท่องเที่ยว เพื่อพักผ่อน และหนีความตึงเครียดจากการเรียนหรือการทำงาน ตลอดจนต้องการค้นหาตัวตน หรือสร้างแรงบันดาลใจใหม่ให้กับชีวิตตัวเอง   อีกทั้งยังพบว่า 48% ของนักเดินทาง หลังจากจบทริปใกล้บ้านหรือจากต่างประเทศ พวกเขารู้สึกถึงความสุขเพิ่มขึ้น มีพลังบวกกลับมาทำงานหรือเรียนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ     มาร์คัส กล่าวว่า จากผลวิจัยดังกล่าวยังพบว่า พฤติกรรมการจองทริปท่องเที่ยว กิจกรรม และเดินทางของคนไทย Gen Y และ Gen Z มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 25% โดยประเทศเป้าหมาย 5 อันดับแรกของคนรุ่นใหม่ ได้แก่   ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ เวียดนาม   นอกจากนี้ยังชื่นชอบการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ เยี่ยมชมแลนด์มาร์ค หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ช้อปปิ้ง ชมการแสดง หรือนิทรรศการต่างๆ เป็นต้น   โดยมีปัจจัยที่ส่งผลให้คนไทย Gen Y และ Gen Z นิยมออกเดินทาง ดังนี้   อันดับ 1 คือเพื่อหลีกหนีความเครียด บำบัดสุขภาพจิต (Travel as Therapy อันดับ 2 ค้นหาประสบการณ์ใหม่ที่มีความหมาย ดีต่อชีวิต ดีต่อใจ (Meaningful Experiences) อันดับ 3 อิทธิพลจากแรงกระตุ้นของโซเชียลมีเดียต่างๆ อันดับ 4 ความคุ้มค่ากับการลงทุน (Value for Money)     ทั้งนี้ Klook เปิดตัวแคมเปญ ‘The Best You’ ชวนทุกคนออกเดินทาง เพื่อค้นพบเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง รวมถึงจับมือ “มาริเอะ คนโดะ” ศิลปินชื่อดัง นักสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก เจ้าของวลียอดฮิต ‘Spark Joy’ หรือการจุดประกายความสุข มาร่วมถ่ายทอดความสุขครั้งใหม่ผ่านการท่องเที่ยว   “คาดแคมเปญ The Best You จะเข้ามาช่วยสร้างสีสันและกระตุ้นให้คนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวหรือจองกิจกรรมต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่าน Klook เพิ่มขึ้น 25-50%” มาร์คัส กล่าว     ด้าน มาริเอะ คนโดะ ร่วมเสริมว่า “ระบบการจัดบ้านของฉันเคยสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก แต่เมื่อชีวิตเปลี่ยน ฉันต้องหันมาให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อน ตอนนี้ฉันกลับมายังจุดเริ่มต้นของความสุข เพื่อค้นหาว่าอะไรที่ยังจุดประกายใจฉันให้ Spark Joy ได้ในช่วงชีวิตใหม่นี้ ฉันอยากเปิดใจรับทุกประสบการณ์ใหม่ และไม่หยุดค้นหาสิ่งที่ทำให้ใจเต้นอีกครั้ง”   พร้อมกันนี้ Klook ชวนเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด ร่วมค้นหาตัวตนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง ผ่านแบบทดสอบ experiencethebestyou.com   โดย Klook เปิดตัวแบบทดสอบออนไลน์ ซึ่งเป็นทั้งเครื่องมือค้นหาตัวตนผ่านเกมส์สนุกๆ เพื่อให้เพลิดเพลินไปกับการเลือกเส้นทางผจญภัยในแบบฉบับที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง นำทางไปสู่การวิเคราะห์เชื่อมโยงประสบการณ์ และครีเอทการเดินทางที่คัดสรรขึ้นโดยเฉพาะ   ทั้งการตามหาความสนุกในสวนสนุก อยากเรียนรู้ความสวยงามจากการหยุดนิ่งท่ามกลางวิวธรรมชาติบนรถไฟ หรือเปิดใจลองสิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกับคนที่คุณรัก โดย ‘The Best You’ คือการค้นหาประสบการณ์ที่ช่วยให้คุณได้ใกล้ชิดกับตัวตนในแบบที่คุณใฝ่ฝัน เพื่อช่วยให้นักเดินทางเริ่มต้นเส้นทางสู่เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของคุณเอง   ค้นหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติม: รับชมภาพยนตร์สั้น The Best You ได้แล้วตอนนี้   Alternate-X สรุปให้    Klook เผยผลสำรวจ พบ Gen Y และ Gen Z ทุ่มเงินเที่ยวเพื่อบำบัดจิตใจและคลายเครียด กว่า 50% ของนักเดินทางเลือกทริปเพื่อค้นหาตัวตนและเพิ่มพลังบวก โดยมี ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง เกาหลี และเวียดนาม ติดโผจุดหมายปลายทางยอดฮิต พร้อมเปิดตัวแคมเปญ The Best You จับมือ มาริเอะ คนโดะ จุดประกายการค้นหาความสุข ตั้งเป้ากระตุ้นยอดจองกิจกรรมและการเดินทางเพิ่มขึ้น 25-50%

May 14, 2025 / 0 Comments
read more

แกะแผน ‘แม็คกรุ๊ป’ แฟชั่นแบรนด์ไทยที่ยังโตแกร่ง ยอดขาย 9 เดือนกว่า 3.2 พันล.บาท

BizKet

MC ธุรกิจแบรนด์แฟชั่นไทยที่ยังสตรองด้วยกำไรเพิ่มขึ้น 14.5% ในไตรมาส 3  ตามปีบัญชี68 จากยอดขายช้อปออนไลน์โตแรงแซงช่องทางค้าปลีกของตัวเอง   เจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์  ‘แม็คยีนส์’ เปิดเผยว่าผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีบัญชี 2568 ( 1ม.ค 2568 -31 มี.ค 2568)  บริษัทมีกำไรสุทธิ 188  ล้านบาท เพิ่มขึ้น   23  ล้านบาทหรือ 14.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 165 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ  17.3%  ดีขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 16.4%   โดยในไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้ารวม   1,067   ล้านบาท เพิ่มขึ้น   72   ล้านบาทหรือ คิดเป็น    7.3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 995  ล้านบาท   ทั้งนี้ เป็นผลจากการขายในช่องทางออนไลน์แบบก้าวกระโดด  และในไตรมาสนี้แม็คกรุ๊ปได้ ร่วมกับ TikTok Shop จัดทำโปรเจกต์พิเศษ Mc JEANS X TikTok Shop Live Base เปิดตัว LIVE Based studio ที่ Mc Outlet เมืองทองธานี เพื่อสนับสนุนแบรนด์และ Creator ในการทำ Live Commerce ผ่านทาง TikTok โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายและขยายโอกาสให้ธุรกิจเติบโตผ่านการไลฟ์สด   เจมส์ กล่าวว่า รายได้จากการขายสินค้าและกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้นติดต่อกัน  3 ไตรมาส ส่งผลให้ งวด  9 เดือนรอบปีบัญชี  2568  (1ก.ค2567   -31 มี.ค 2568 )  แม็คกรุ๊ป  มีกำไรสุทธิ   626  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49 ล้านบาทหรือ  8.5%   เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ   577  ล้านบาท   มีอัตราไรสุทธิ  19%  เพิ่มขึ้นเทียบงวดเดียวกันปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 17.9%   ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังทรงตัวระดับสูงที่ 64.3  %   ซึ่งอัตรากำไรที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น  มาจากยอดขายของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น   โดย งวด 9 เดือนนี้บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า  3,245  ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 67 ล้านบาทหรือ     2.10%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายไดเจากการขาย 3,178 ล้านบาท  รวมถึงการบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงส่งผลให้ผลดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง   เจมส์ กล่าวว่า บริษัทเติบโตได้แข็งแกร่ง เป็นผลมาจากรายได้จากช่องทางออนไลน์ และการปรับตัวดีขึ้นของช่องทางออฟไลน์ในไตรมาสที่สองและสามอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงจากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า รวมไปถึงความกังวลต่อสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลและขบวนการฮามาส รวมถึงความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า   อย่างไรก็ดีการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือชาวไร่ ชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท มาตรการ Easy E-Receipt ในช่วงเดือน มกราคม ถึงกุมภาพันธ์ 2568 รวมถึงมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้แก่ผู้สูงอายุ  การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวภายหลังการเปิดประเทศ ตลอดจนการเปิดฟรีวีซ่า และการขยายเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยว จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้นและบริษัทเองก็จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกด้วย“ นายเจมส์ ริชาร์ดกล่าว   เจมส์ ริชาร์ด  เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในงวดไตรมาส  3  ปีบัญชี 2568  บริษัทมีรายได้จากช่องทางร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce)   เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หนุนให้สัดส่วนรายได้จาก E-Commerce ขึ้นไปแตะที่  18 % จาก  9%  เทียบงวดเดียวกันปีก่อน  หรือมีรายได้จากการขาย  194  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104  ล้านบาทหรือ  114.6% จาก 90 ล้านบาทเมื่องวดปีก่อน  ส่วนงวด 9 เดือนมีรายได้ 531 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 66.3% หรือ  212  ล้านบาท  จาก 319 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนรายได้ช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) คิดเป็นสัดส่วน  63 %  ลดลงจาก 70%  หรือมีรายได้ 670 ล้านบาท ลดลง 23 ล้านบาท จาก 693 ล้านบาท   ส่วนงวด 9 เดือนมีรายได้ 2,096 ล้านบาท ลดลง 71 ล้านบาท จาก 2,167 ล้านบาท, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) คิดเป็นสัดส่วน  17 % ลดลงจาก 19% หรือมีรายได้ 181 ล้านบาท ลดลง 5 ล้านบาทจาก 186 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีรายได้ 561ล้านบาท ลดลง 47 ล้านบาท จาก 608 ล้านบาท ขณะที่ช่องทางอื่น ๆ มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 2 %เท่าเดิม   โดย ณ วันที่ 31 มี.ค 2568 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น  3,605 ล้านบาท ลดลง 135 ล้านบาท  จากเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 3,741 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้มีการนำเงินไปจ่ายเงินปันผล   752 ล้านบาทในงวดครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา   ในขณะที่บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวรวม 1,733 ล้านบาทยังคงทรงตัวระดับสูงและเพียงพอรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในภาวะการณ์ต่างๆได้   สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจงวดไตรมาสสุดท้ายของปียังมั่นใจว่าจะเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะโตในเลข2หลักแม้ว่าเศรษฐกิจจะต้องเผชิญกับการขึ้นภาษีของสหรัฐที่จะกด GDP ของประเทศให้โตได้น้อยลงแต่ทางบริษัทมีแผนตั้งรับไว้แล้ว  เช่น การจัดแคมเปญลดกลางปีที่เตรียมตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายให้กับลูกค้า รวมถึงการเน้นเพิ่มกลุ่มลูกค้าผู้หญิงด้วยสินค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง   ในขณะเดียวกันก็ยังคงตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายสำหรับลูกค้าผู้ชาย รวมถึงการโปรโมทสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆที่หลากหลายเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อช่วยสนับสนุนผลดำเนินงานในงวดสุดท้ายของปี   Alternate-X สรุปให้    แม็คกรุ๊ป (MC) ยังเติบโตแข็งแกร่งในปีบัญชี 2568 ด้วยกำไรสุทธิ 626 ล้านบาท ในงวด 9 เดือน เพิ่มขึ้น 8.5% จากปีก่อน ด้วยยอดขายช่องทางออนไลน์โตพุ่งถึง 114.6% ในไตรมาส 3 แซงหน้าร้านค้าปลีกของบริษัท โดยแม็คกรุ๊ปยังร่วมมือ TikTok Shop เปิด Live Studio เสริมแกร่ง Live Commerce ทำให้บริษัทบริหารต้นทุนดี คงอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 64.3% คาดงวดสุดท้ายของปีเติบโตเลขสองหลัก แม้เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างประเทศ

May 14, 2025 / 0 Comments
read more

‘ภาษีทรัมป์’ สุดป่วน กระทบใช้ไฟฟ้านิคมฯลดลง บี.กริม หาลูกค้า ‘Data Center’ เพิ่ม

BizKet

บี.กริมฯ ขยับหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ‘ดาต้า เซ็นเตอร์’  ลดผลกระทบนโยบายภาษีทรัมป์ ทำปริมาณการใช้ไฟฟ้านิคมอุตสาหกรรมลดลงจากปีก่อน พร้อมมอนิเตอร์สถานการณ์ใกล้ชิดและทำงานเชิงกลยุทธ์ร่วมกับลูกค้ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โชว์ไตรมาสแรกปีนี้ กำไร 51.6%   ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่ากล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปีนี้ ต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายภาษีและการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้านิคมอุตสาหกรรม ลดลงประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปี 2567   อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจหลัก อาจส่งผลในเชิงบวกผ่านราคาก๊าซธรรมชาติที่อาจลดลง โดยเราคาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับ SPP อยู่ที่ 320-340 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับปี 2567 ที่ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 324 บาทต่อล้าน BTU และวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas   “การดึงดูดลูกค้ารายใหม่ เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Centre) จะช่วยบรรเทาผลกระทบ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าดังกล่าวมีความอ่อนไหวน้อยต่อมาตรการภาษี และภาวะชะลอตัวของการค้าโลก อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจดิจิทัล” ดร.ฮาราลด์ กล่าว   โดย บี.กริม เพาเวอร์ จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าอุตสาหกรรมบางราย และจะร่วมกันพัฒนากลยุทธ์ในการตอบสนองและมาตรการบรรเทาผลกระทบอย่างเหมาะสม   สำหรับเป้าหมายในปี 2568 บี.กริม เพาเวอร์ ตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ รวมถึงมีโครงการต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะ COD รวม 610.5 เมกะวัตต์ ในช่วงปีนี้ ถึงต้นปีหน้า ดังนี้   โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา (เฟส 1) 18 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม KOPOS 20 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” 80 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386” 5 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” 65 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol 1” 365 เมกะวัตต์   ส่วนเป้าหมายระยะยาว บี.กริม เพาเวอร์ฯ ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 และตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573   ดร. ฮาราลด์ กล่าวต่อว่า ขณะที่ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ เพิ่มขึ้น 51.6% สู่ระดับ 749 ล้านบาท และ EBITDA 3,725 ล้านบาท เติบโต 2.6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ อยู่ที่ 654 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 379 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน   โดยมาจาก 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่   การรวมผลประกอบการของ Malacha ในประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากเข้าซื้อกิจการ 100% ในเดือนพฤษภาคม 2567 ปริมาณไอน้ำที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเพิ่มขึ้น 8.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ดีขึ้น การลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่เกิดขึ้นจริง   นอกจากนี้ บี.กริม เพาเวอร์ มีการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้า IUs รายใหม่ในประเทศไทย จำนวน 6.9 เมกะวัตต์ จากกลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน กลุ่มยางรถยนต์ กลุ่มเคมีภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึง บี.กริม แอลเอ็นจี นำเข้า LNG จำนวน 2 ลำ ในเดือนมีนาคมและเมษายน รวมประมาณ 130,000 ตัน เข้าสู่ระบบ Pool Gas เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของ บี.กริม เพาเวอร์   โดย ในไตรมาส 1 นี้ บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน Kuchinashi ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 14 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่น ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ Tohoku Electric Power Corporation เป็นระยะเวลา 16 ปี   นอกจากนี้ยังขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดตั้ง บริษัท อมตะ บี.กริม รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุน โดยบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ สมาร์ท โซลูชั่น จำกัด (บริษัทย่อย) ถือหุ้นในสัดส่วน 25% ขณะที่ บริษัท อมตะ ยู จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 75% เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์   ขณะที่ อีกก้าวสำคัญของ บี.กริม เพาเวอร์ คือ การเดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมกับ เอ็นเอส บลูสโคป ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และพัฒนาโครงการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บนพื้นดิน กำลังการผลิตติดตั้ง 12 เมกะวัตต์ ที่โรงงานเอ็นเอส บลูสโคป จังหวัดระยอง เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดในโรงงาน เทียบเท่ากับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงสุดประมาณ 9,000 ตันต่อปี   นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจ บี.กริม เพาเวอร์ ได้ส่งมอบใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs) ให้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย เพิ่มทางเลือกด้านพลังงานสะอาดให้กับภาคการเงินและการลงทุน ร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ   ทั้งนี้ ยังตอกย้ำความสำเร็จด้วยรางวัลและประกาศเกียรติคุณ บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับรางวัล “The Best of ESG” ในงาน Future Trends Awards 2025 จัดโดย Future Trends สื่อผู้นำเทรนด์ของประเทศไทย สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจที่ครอบคลุมมิติการกำกับดูแลกิจการ สังคม และสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และได้รับ 9 รางวัล จาก FinanceAsia นิตยสารชั้นนำด้านการเงินของฮ่องกง สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นมืออาชีพภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจ “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี   Alternate-X สรุปให้  บี.กริม เพาเวอร์เผชิญความท้าทายจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ที่อาจกระทบการใช้ไฟฟ้าในนิคมฯ เดินหน้าดึงกลุ่ม Data Centre เสริมดีมานด์ไฟฟ้าไม่ไวต่อเศรษฐกิจโลก ในปี 2568 ตั้งเป้า COD โครงการใหม่รวม 610.5 เมกะวัตต์ในพลังงานลมและแสงอาทิตย์  ยังคงเป้าระยะยาวสู่ Net-Zero ปี 2593 และกำลังผลิต 10,000 MW ภายในปี 2573 โดยใน Q1/2568 กำไรโตแรง 51.6% พร้อมขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งในไทย-ต่างประเทศ  

May 14, 2025 / 0 Comments
read more

แผนเสริมมั่นคงยาว เฟรเซอร์สฯ รับศก.โลกผันผวน ศึกษาธุรกิจใหม่สร้างรายได้ประจำเพิ่ม

BizKet

FPT กับแผนรับมือความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยกระทบภาษีทรัมป์-ภัยธรรมชาติ ที่อาจทำให้ FDI มองฐานผลิตไทยไม่เหมือนเดิม เตรียมเคาะแผนธุรกิจใหม่ ‘โซลาร์ เซลล์’ เสริมรายได้ประจำเพิ่ม ยังใช้งบลงทุน 3 พันล.ต่อปี พีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โรงงาน, คลังสินค้า และร่วมทุนนิคมอุตสาหกรรม  กล่าวว่า ปัจจุบัน FPT มีพื้นที่ให้บริการทุกกลุ่มธุรกิจกว่า 3.77 ล้าน ตร.ม. รวมตลาดประเทศไทย, เวียดนาม และ อินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทฯมองเห็นโอกาสใหม่สร้ายรายได้จากทรัพย์สินประจำ (Recurring income)ในการให้บริการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Solar Cell) บนพื้นที่ว่างอาคารโรงงาน,คลังสินค้า   โดยขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างสรุปแผนการดำเนินงานทางธุรกิจ คาดมีความชัดเจนภายในสิ้นปี 2568 นี้ พร้อมเริ่มปฎิบัติให้มีความเป็นรูปธรรมและสร้างรายได้กลับมาเพิ่มในอนาคต ซึ่งแนวทางดังกล่าวต่อยอดมาจากการที่ FPT ใช้พื้นที่ว่างหลังคาของอาคารโรงงาน, คลังสินค้า บางแห่งติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพร้อมจ่ายไฟฟ้าราว 2-3 เมกะวัตต์ให้ในบางกลุ่มลูกค้าแล้วในปัจจุบัน   “ต้องรอแผนธุรกิจที่จะสรุปให้ชัดเจนก่อนประเมินมูลค่าการลงทุนหรือรายละเอียดในส่วนอื่นเพิ่มเติม ซึ่ง FPT มองว่าโซลาร์เซลล์ที่จะเกิดขึ้นบนพื้นทีว่าง 3.77 ล้านตร.ม.ที่มีอยู่เพื่อสร้างรายได้ประจำใหม่ให้กับบริษัทฯ ได้ในอนาคต”    พีระพัฒน์ กล่าวว่าแนวทางดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนกระจายความเสี่ยงธุรกิจ FPT จากทั้งความไม่แน่นอนและความท้าทายของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และ จีน ต่อการตอบโต้ภาษีทางการค้าที่เกิดขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะผ่อนผันระยะเวลาออกไปอีก 90 วัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ทั้งนี้ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิด ด้วยเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบตรงกับนักลงทุนต่างชาติ ที่มีฐานผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เป็นต้น   นอกจากนี้ไทย ยังเผชิญกับความท้าทายใหม่ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมถึงอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมโรงงาน คลังสินค้า และ นิคมฯ ด้วยเช่นกัน   “จากเมื่อปี 2554 ประเทศไทยเคยเจอน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่กระทบความเสียหายในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงงานมาแล้ว และจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ล่าสุด ที่อาจทำให้ไทยต้องมาทบทวนความเชื่อมั่นด้านทำเลอีกครั้งจากเดิมเราใช้เป็นข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยรอบของภูมิภาคนี้” พีระพัฒน์ กล่าว 3 กลยุทธ์รักษาฐานลูกค้า   ต่อแนวโน้มดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ ได้ทบทวนพร้อมวางแผนการดำเนินธุรกิจให้มีความรัดกุมเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและสร้างความมั่นคงระยะยาว ภายใต้ 3 กลยุทธ์ ดังนี้   บริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่หลากหลาย ด้วยกลยุทธ์การให้เช่าและบริการยืดหยุ่น ทั้งรูปแบบสัญญาเช่าระยะสั้น-ระยะยาว ปรับได้ตามความต้องการของลูกค้า พร้อมปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์อาคารให้สามารถใช้งานได้ทั้งรูปแบบคลังสินค้าและอาคารโรงงาน เพื่อดึงดีมานด์และเพิ่มอัตราการเช่า โดยในช่วงที่ผ่านมามีการปรับอัตราเช่าขึ้นราว 5%-1% เป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อซึ่งขึ้นอยู่กับลูกค้าแต่ละราย   สร้างคุณค่าพอร์ตโฟลิโอต่อเนื่อง ด้วยอาคารที่พัฒนาภายใต้มาตรฐาน Frasers Property (Creating Value) บริษัทฯ มีโซลูชันการให้บริการที่รองรับความต้องการของลูกค้าทุกรูปแบบ ครอบคลุมการจัดหาที่ดินจนถึงการก่อสร้างอาคารอุตสาหกรรมมาตรฐานสากล ทั้งโรงงานและคลังสินค้าแบบพร้อมใช้ (Ready-Built) หลากหลายขนาด แบบสร้างความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) แบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) ตลอดจนการร่วมทุนในการพัฒนาโครงการ ARAYA – The Eastern Gateway ที่พัฒนาเป็นระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจรรูปแบบใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต   ปลดล็อกศักยภาพของพอร์ตโฟลิโอผ่านการบริหารจัดการทรัพย์สินเชิงกลยุทธ์ (Unlocking Value) เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับธุรกิจ ทั้งการขายทรัพย์สินที่พัฒนาแล้วให้กับกองทรัสต์ FTREIT รวมถึงบริหารที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการขายที่ดินที่ไม่ใช่พื้นที่ยุทธศาสตร์ในช่วงที่ผ่านมาราว 300ไร่ พร้อมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาโรงงานและคลังสินค้า ไปแล้ว   นอกจากนี้ ยังขยายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ Joint Venture   จาก 3 กลยุทธ์​ดังกล่าว ยังเพื่อรองรับภาพรวมการตลาดอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม ซึ่งเป็นขาขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จาก 2-3 ปัจจัยบวกที่เข้ามาสนับสนุน ทั้ง การย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย และการลงทุนจากจีนเพิ่มขึ้น ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาในภูมิภาคอาเซียน มากขึ้น สงผลให้มีผู้ประกอบการอสังหาฯ กลุ่มที่อยู่อาศัยบางราย เข้ามาทำตลาดกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น   เพีระพัฒน์ เสริมว่า “จากมาตรการกำแพงภาษีสหรัฐ-จีน ทำให้มีนักลงทุนอุตสาหกรรมรภถยนต์จากจีนบางรายอยู่ระหว่างชะลอการตัดสินใจเข้ามาลงทุนไปก่อนระยะหนึ่งเช่นกัน”   อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เตรียมใช้งบลงทุนราว 3,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในครึ่งแรกของปี 2568วางแผนใช้งบลงทุนราว 2,000 ล้านบาทในไทย และอีก 1,000 ล้านบาท ในตลาดเวียดนาม และ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตดี ต่อเนื่อง   จากแผนธุรกิจที่วางไว้ ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าปีงบการเงิน 2568 (ต.ค.2567-ก.ย.2568) สามารถสร้างรายได้กว่า 4,000 ล้านบาท เติบโต 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีอัตราการเช่าอยู่ที่ 90% จากเมื่อช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมามีอัตราการเช่าราว 87% ในไทย ส่วนเวียดนาม มีอัตราเช่า 80-85% จากเมื่อปลายปีก่อนราว 70% และในอินโดนีเซีย มีอัตราเช่า 100%   Alternate-X สรุปให้ FPT เดินหน้าแผนรับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน ด้วยการเร่งเพิ่มรายได้ประจำเตรียมขยายธุรกิจพลังงานโซลาร์เซลล์ บนพื้นที่ว่าง 3.77 ล้าน ตร.ม. วาง 3 กลยุทธ์หลักรักษาฐานลูกค้าและปลดล็อกศักยภาพทรัพย์สิน และคงงบลงทุนปีละ 3,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรกโฟกัสใน 3 ประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 โต 19% พร้อมดันอัตราเช่าแตะ 90%  

May 14, 2025 / 0 Comments
read more

ส่องอาณาจักร หนังสืออิ๊งค์ กว่า 5 หมื่นเล่ม ‘Asia Books’ ไอคอนฯ ใหญ่สุดในกรุงเทพฯ

WeView

Asia Books เปิดแฟลกชิปสโตร์สาขาใหม่ ‘ไอคอนสยาม’ ย้ำตำแหน่งร้านหนังสือภาษาอังกฤษใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ย่านธนบุรี  พร้อมคอนเซ็ปต์ ‘ป่าแห่งหนังสือและจินตนาการ’   ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี ในฐานะประธานเปิดร้าน Asia Books (เอเซียบุ๊คส) สาขาใหม่ ณ ไอคอนสยาม     สำหรับร้าน ‘เอเชียบุ๊คส’ เป็นร้านหนังสือภาษาอังกฤษชั้นนำใน กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ตั้งอยู่บริเวณชั้น 5 ICONEDUCATION ZONE พร้อมเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา   โดยในร้าน เอเซียบุ๊คส สาขาไอคอนสยาม นี้ มีขนาดพื้นที่กว่า  900 ตารางเมตร ถือเป็นร้านหนังสือภาษาอังกฤษที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ย่านธนบุรี มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Enchanted Forest” หรือ “ป่าแห่งหนังสือและจินตนาการ” ที่นำมาตีความใหม่ ในรูปแบบจินตนาการร่วมสมัยผสมผสานธรรมชาติและความรู้เข้าไว้ด้วยกัน     โดยรวบรวมหนังสือหลากหลายหมวด มากกว่า 50,000 เล่ม มีทั้งหนังสือส่งเสริมความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นจินตนาการ มาอย่างครบ เพื่อให้ร้านหนังสือนี้เป็นแลนด์มาร์กหรือจุดหมายปลายทางแห่งใหม่สำหรับคนรักหนังสือ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ   ภายในสาขาดังกล่าวยังมีพื้นที่สำหรับเด็กที่กว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงมีหนังสือที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ สร้างสรรค์ สนุกสนาน เสริมพัฒนาการ นิทานภาพ ของเล่นเพื่อการเรียนรู้ และกิจกรรมฝึกทักษะ ตลอดจนโซนไพ่ทาโรต์ ไพ่พยากรณ์ และไพ่ออราเคิล ศูนย์รวมศาสตร์พยากรณ์ที่ครบครันที่กล่าวได้ว่ามากที่สุดในประเทศไทย รวมถึงสินค้าเสริมสำหรับนักสะสม และผู้สนใจศาสตร์แห่งการดูดวงโดยเฉพาะ       พบกับ โปรโมชันพิเศษเฉพาะช่วงเปิดร้าน   12 – 18 พฤษภาคม 2568 รับฟรีกระเป๋ารักษ์ไทย ลายพิเศษเฉพาะที่ร้าน Asia Books เมื่อซื้อสินค้าครบ 300 บาท   12 – 31 พฤษภาคม 2568 สมาชิกเอเซียบุ๊คส รับคะแนนสะสม x2   12 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 รับฟรีกระเป๋าผ้าลายพิเศษจากศิลปิน นายศุภชัย วงศ์นพดลเดชา (Louis Sketcher) เมื่อซื้อสินค้าภายในร้านครบ 2,000 บาท ที่ Asia Books สาขา ICONSIAM เท่านั้น   Alternate-X สรุปให้    Asia Books เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่ที่ไอคอนสยาม ย้ำตำแหน่งร้านหนังสือภาษาอังกฤษที่ใหญ่ที่สุดย่านธนบุรี มีหนังสือมากกว่า 50,000 เล่ม พร้อมคอนเซ็ปต์ “ป่าแห่งจินตนาการ” ด้วยพื้นที่ใหญ่ถึง 900 ตร.ม. พร้อมโซนเด็กและโซนไพ่พยากรณ์ พร้อมจัดโปรโมชันเปิดร้าน แจกของพรีเมียมพิเศษถึงสิ้นมิ.ย. 2568

May 13, 2025 / 0 Comments
read more

ภาษีทรัมป์ไม่กระทบฐานผลิตส่งออกสหรัฐในไทย ต่างชาติอยู่ครบ100% เช่าคลังสินค้า

BizKet

ตลาดเช่าอาคารคลังสินค้า/โรงงานในไทย แนวโน้มยังดีใน ‘ต่างชาติ’ ต่อสัญญาใหม่ครบ100% หนุน พรอสเพค รีท รักษาอัตราการเช่า 96%   อรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ กล่าวว่า สถานการณ์ในไตรมาส 1/2568 แม้จะมีความท้าทายด้านเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงของผู้เช่า แต่ภาพรวมการเช่าอาคารคลังสินค้าและโรงงานยังมีแนวโน้มเติบโต   โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้เช่าต่างชาติ ซึ่งมีสัญญาณบวกในการเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน รายได้รวมที่ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า เป็นไปตามการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจของผู้เช่า อาทิ ธุรกิจผลิต Solar Cell ซึ่งมีการย้ายออกไปในไตรมาสที่ 1   ปัจจุบันมีผู้เช่ารายใหม่ทดแทนรายเดิมเป็นที่เรียบร้อยและจะรับรู้รายได้ในไตรมาสถัดไป ด้วยการกระจายฐานผู้เช่าที่หลากหลายทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมและสัญชาติ จึงยังคงรักษาความแข็งแกร่งด้านอัตราการเช่าและบริหารจัดการพอร์ตได้เป็นอย่างดี”   ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้เช่าอาคารในโครงการ BFTZ ที่อยู่ภายใต้การจัดการของกองทรัสต์ พบว่าผู้เช่าที่มีการส่งสินค้าออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดหลักนั้นคิดเป็นพื้นที่ส่วนน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่ให้เช่าทั้งหมด ผู้เช่ายังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และยังไม่มีแผนเคลื่อนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นในช่วงเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากหลายประเทศที่เป็นฐานการผลิต อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนิเซีย ก็ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันการย้ายฐานการผลิตต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูง ประกอบกับความคุ้นชินด้านวัฒนธรรมเกี่ยวกับการอยู่อาศัยและประกอบธุรกิจของผู้เช่าต่างชาติ ที่ยังมองว่าประเทศไทยมีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากกว่า   โดยผู้เช่าปัจจุบันจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจ   สินค้าอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลและเวชภัณฑ์ ธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ธุรกิจยานยนต์, ธุรกิจหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ อื่น ๆ   ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นประเภทโรงงานกว่า 80% ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมดของกองทรัสต์ ส่งผลทำให้มีอัตราการต่อสัญญาของผู้เช่ารายเดิมที่สูงอย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ PROSPECT REIT ได้มีการประกาศจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2568 และประมาณการประโยชน์ตอบแทนระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2568 ในอัตรา 0.3050 บาทต่อหน่วยทรัสต์ ซึ่งจะจ่ายเงินออกให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568     อรอนงค์ กล่าวเสริม “ทิศทางการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีเงินลงทุนรวม 267,664 ล้านบาท ทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพในการตั้งฐานการผลิต หนุนให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโต   สำหรับความเคลื่อนไหวของการขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนเพื่อเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ของ PROSPECT REIT ได้รับความสนใจและผลตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยหลังจากจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลแก่นักลงทุน โดยจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยเดิมและนักลงทุุนทั่วไปจองซื้อในวันที่ 19-23 พฤษภาคม 2568 นี้   ขณะที่ แผนการดำเนินงานในอนาคต ผู้จัดการกองทรัสต์จะมุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เสริมเสถียรภาพการลงทุนในรูปแบบ Feehold โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนเป็นสำคัญ”   ภายหลังจากการเพิ่มทุนเพื่อเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ในทรัพย์สินโครงการ BFTZ 1 ถ.บางนา-ตราด กม.23, โครงการ BFTZ 2 ถ.เทพารักษ์, โครงการ BFTZ 3 ถ.บางนา-ตราด กม.19 จะทำให้ PROSPECT REIT มีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นเป็น 514,010 ตารางเมตร ขยายมูลค่าพอร์ตโตทะลุ 8,700 ล้านบาท   Alternate-X สรุปให้ PROSPECT REIT เผยผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐยังไม่กระทบฐานผู้เช่าต่างชาติต่อสัญญาเช่าครบ 100% หนุนอัตราการเช่ารวมสูงถึง 96% สะท้อนความเชื่อมั่นฐานผลิตในไทยยังมั่นคง เหตุต้นทุนย้ายสูงและไทยมีความยืดหยุ่น พร้อมประกาศจ่ายปันผล 0.3050 บาทต่อหน่วย วันที่ 15 พ.ค. 2568 เดินหน้าเพิ่มทุนครั้งที่ 3 ขยายพอร์ตเช่าทะลุ 8,700 ล้านบาท    

May 13, 2025 / 0 Comments
read more

‘มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง’ จากขนมไทยแทนความคิดถึง สู่เจนฯ3 ส่งต่อโฉมใหม่สาขากลางเมือง

BizKet

‘พิน-ชัญชกร’ เจนฯ3 ‘มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง’ ส่งต่อเรื่องเล่าแสน็กแบบไทยๆ ข้าวตังทรงเครื่องกลิ่นหอมกระทะจากเตาถ่าน สู่โฉมใหม่แต่ยังใช้สูตรดั้งเดิมความอร่อยผ่านสาขาแรกใจกลางกรุงเทพฯ   ‘พิน – ชัญชกร’ ชัยพรหมประสิทธิ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ข้าวตังทรงเครื่อง  เล่าจุดเริ่มต้นแบรนด์ ‘มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง’ ต้องย้อนกลับไป56 ปีก่อน ในปี พ.ศ. 2511 เมื่อคุณสมสมร (โปษยานนท์) คูสกุล — คุณยายของเธอ ตั้งใจทำขนมนี้ให้เป็นของฝากแทนความห่วงใยให้ลูกๆ ที่ต้องเดินทางไปเรียนไกลบ้าน   “ความตั้งใจนี้ได้พัฒนากลายมาเป็นข้าวตังทรงเครื่อง ด้วยรสชาติเอกลักษณ์หวานเค็มพอดี ที่สำคัญมีกลิ่นกระทะจากการใช้เตาถ่าน”  พิน บอกเล่าที่มาพร้อมเสริมว่า “หลังจากนั้นได้เริ่มทำขาย คุณยายสมสมร ยังได้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องรีดข้าวตังขึ้นเอง เพื่อให้ได้แผ่นข้าวตังที่มีความหนาเท่ากันทุกแผ่น ที่ยังคงสืบทอดในกระบวนการผลิตมาจนถึงทุกวันนี้”   ต่อมาในปี 2566 ซึ่งเข้าสู่รุ่นของเธอเอง ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ได้ปรับโฉมแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง” จากเดิม ‘ข้าวตังทรงเครื่อง’ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ คุณแม่ – มยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้ที่เป็นที่รู้จักในวงการรีเทลของไทย และเป็นผู้สืบทอดสูตรข้าวตังรุ่นที่สอง   โดยมีการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น ทั้งในด้านดีไซน์ บรรจุภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย และแนวทางการสื่อสารที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ต่างๆ ไว้ครบถ้วน เช่นเดียวกับโลโก้รูปผู้หญิงบนฉลาก ซึ่งเป็นภาพวาดของคุณยายสมสมร โดยฝีมือของคุณตาอำพล คูสกุล อดีตนายธนาคารและสามีของคุณสมสมร ที่ได้วาดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นสร้างแบรนด์     ชัญชกร บอกว่า หลังการรีแบรนด์ แบรนด์ ‘มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง’ ได้การตอบรับผลสำเร็จในการขยายฐานลูกค้า ด้วยมียอดขายเติบโตเกือบสองเท่าภายในเวลาเพียงสองปี และมียอดจำหน่ายรวมมากกว่า 120,000 ขวด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ชุดของขวัญลิมิเต็ดเอดิชั่นได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม   ปัจจุบันผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายแล้วในซูเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมียม ทั้ง Gourmet Market และ Rim Ping Supermarket รวมถึงช่องทางออนไลน์และแอปพลิเคชันเดลิเวอรีชั้นนำ   สำหรับ ในปี 2568 นี้ ‘มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง’ เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ เช่น ข้าวตังสูตรมังสวิรัติ และสูตรไม่มีน้ำตาล พร้อมพัฒนาระบบสมาชิกผ่าน LINE เพื่อส่งเสริมการซื้อซ้ำ และเตรียมความพร้อมในการขยายสู่ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ทั่วประเทศ รวมถึงแผนส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศในอนาคต   นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายสร้างแบรนด์ขนมไทยที่คนรุ่นใหม่รู้สึกใกล้ชิด และสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในไทยและตลาดต่างประเทศ โดยยังคงรักษาความจริงใจและคุณภาพทุกกระบวนการ ขณะเดียวกัน ‘มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง’ ยังได้เปิดหน้าร้านสาขาแรกสุขุมวิท 51 เพื่อสานต่อตำนานความอร่อยกว่า 50 ปี เพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของรสชาติและความทรงจำจากรุ่นคุณยายสู่รุ่นหลานสู่บรรยากาศอบอุ่น ที่ชวนให้รู้สึกเสมือนได้กลับไปทานของอร่อยที่บ้านคุณยายอีกครั้ง พร้อมกลิ่นข้าวหอมมะลิและหมูหยองหอมๆ ที่หลายคนคุ้นเคย   “มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง ไม่ได้เป็นแค่ขนม แต่คือเรื่องเล่าและมรดกจากครอบครัว ที่ผ่านการใส่ใจมาทุกรุ่น การเปิดร้านนี้ เพื่ออยากให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศคลาสสิก ในรูปแบบใหม่ที่ร่วมสมัยขึ้น ทั้งกลิ่นขนม เสียงหัวเราะ และการพูดคุยแบบอบอุ่นในพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ในขณะเดียวกันก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้นทั้งที่ walk-in และที่สั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ”   Alternate-X สรุปให้  ‘พิน – ชัญชกร’ ทายาทรุ่น 3 ปรับโฉมแบรนด์ “มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง” ต้นกำเนิดจากความห่วงใยของคุณยายเมื่อกว่า 50 ปีก่อน ยังคงสูตรดั้งเดิม กลิ่นกระทะจากเตาถ่าน และภาพวาดคุณยายบนฉลาก รีแบรนด์ใหม่สู่ใจกลางเมือง พร้อมยอดขายเติบโตเกือบ 2 เท่า เตรียมเปิดตัวสินค้าสูตรใหม่ และเดินหน้าสู่ตลาดต่างประเทศ  

May 13, 2025 / 0 Comments
read more

เปิดพอร์ตผสมผสาน ลงทุนหุ้นทุกแนวสหรัฐฯ ‘Webull’ เจาะคนรุ่นใหม่ในตลาดเงิน 24 ชม.

BizKet

Webull โบรกเกอร์สหรัฐฯ ส่งแพลตฟอร์มดิจิทัลเทรดหุ้นสหรัฐฯ รับเทรนด์คนรุ่นใหม่ ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลตลาดเรียลไทม์   ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จํากัดเป็นบริษัทในเครือ Webull Corporation (NASDAQ: BULL) (“วีบูลล์”) แพลตฟอร์มการลงทุนดิจิทัล เปิดเผยว่า วีบูลล์ สหรัฐฯ ฉลองครบรอบ 9 ปีจัดงาน ‘Webull Money Festival 2025’ ขึ้นซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเติบโตของบริษัท พร้อมฉลองความสำเร็จล่าสุดวีบูลล์ ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าถึงตลาดการเงินระดับโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดสัปดาห์   ทั้งนี้ ‘วีบูลล์’ เริ่มก่อตั้งในปี 2559 และเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2561 ภายใต้การบริหารงานของนายแอนโทนี เดเนียร์ ประธานกลุ่ม Webull Corporation และ CEO ของ Webull US  ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก รัฐฟลอริดา 
ประเทศสหรัฐฯ และให้บริการครอบคลุม 14 ประเทศทั่วอเมริกาเหนือ เอเชียแปซิฟิก ยุโรป 
และลาตินอเมริกา พร้อมฐานผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนแล้วกว่า 23 ล้านบัญชีทั่วโลก   ขณะที่ในไทย วีบูลล์ ได้เข้ามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่ผ่านมา ในฐานะโบรกเกอร์สัญชาติสหรัฐฯ รายแรก
ในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเทศไทย   “จุดเด่นของวีบูลล์ คือ แพลตฟอร์มการเงินที่ครบครันภายใต้แนวคิด “All-in-Webull” มีอัตราค่าคอมมิชชัน 0.10% พร้อมทั้งการแสดงราคาสินทรัพย์แบบเรียลไทม์และประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนชาวไทยโดยเฉพาะ ให้สามารถลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ, ETFs, ออปชันและหุ้นเศษส่วนได้ ส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องของฐานผู้ใช้วีบูลล์ในไทยตลอดปีที่ผ่านมา” ขลเดช กล่าวพร้อมเสริมว่า   “วีบูลล์ ยังมาพร้อมกับข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ เครือข่ายชุมชนนักลงทุน และแหล่งความรู้ด้านการลงทุนที่ครบถ้วน ช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายและลงทุนได้อย่างมั่นใจ”   โดยเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 วีบูลล์ ประเทศไทย จัดงาน “Webull Money Festival 2025” เพื่อฉลองวาระครบรอบ 9 ปีของ Webull Corporation และครบรอบ 1 ปีของการดำเนินงานในประเทศไทย พร้อมทั้งประกาศความสำเร็จในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ อย่างเป็นทางการ   โดยงานจัดขึ้นภายใต้ธีม “Investing and Trading, All in Webull” ที่ผสมผสานโลกการลงทุนเข้ากับความบันเทิงในรูปแบบที่ทันสมัยและน่าดึงดูด โดยมุ่งเจาะกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ ภายในงานฯ นำเสนอมุมมองและเครื่องมือการลงทุนสมัยใหม่พร้อมไฮไลต์ของงานประกอบไปด้วยการเสวนาระหว่าง นายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วีบูลล์ ประเทศไทย และนักแสดงชื่อดังอย่าง คุณพีช พชร จิราธิวัฒน์ รวมถึงการแสดงสดจากศิลปินชื่อดังอย่าง PROXIE และ BNK48 นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังมีโอกาสลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษเพียงลงทะเบียนและเปิดบัญชีกับวีบูลล์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น   ขณะที่ ไฮไลต์ของงานฯ ยังได้เปิดตัวฟีเจอร์พิเศษและสิทธิประโยชน์สำหรับนักลงทุน เช่น : ดอกเบี้ยรายวัน (Daily Interest) : รับดอกเบี้ย 3.5% ต่อปีจากยอดเงินสด USD ที่คงเหลือในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์   DCA ไม่มีค่าคอมมิชชัน : ลงทุนตามตารางเวลาแบบต่อเนื่องโดยไม่มีค่าคอมมิชชัน   Dynamic DCA : เครื่องมือการลงทุนอัจฉริยะที่ปรับจังหวะเวลาซื้อขายให้เหมาะสมตามการเคลื่อนไหวของตลาด   Sage Tracker : ฟีเจอร์ระดับพรีเมียมที่ช่วยติดตามการซื้อขายแบบเรียลไทม์ของนักลงทุน
รายใหญ่และการเคลื่อนไหวของพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนสถาบัน Dividend Reinvestment Plan (DRIP) : นำเงินปันผลกลับมาลงทุนใหม่โดยอัตโนมัติเพื่อเร่งการเติบโตของพอร์ตระยะยาว   นอกจากนี้ วีบูลล์ยังได้จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านการลงทุนร่วมกับพันธมิตรระดับโลก เช่น NASDAQ 
ซึ่งตอกย้ำบทบาทของวีบูลล์ ในฐานะแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงระหว่างความรู้ด้านการลงทุนและเทคโนโลยีวีบูลล์ เพื่อมอบประสบการณ์การลงทุนที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และใช้งานง่าย ที่ปรับให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายทางการเงินของนักลงทุนรุ่นใหม่ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของวีบูลล์ 
ในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวให้แก่ผู้ใช้งานทั่วโลก แอปพลิเคชัน Webull Thailand พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งบน App Store และ Google Play สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.webull.co.th     Alternate-X สรุปให้  Webull แพลตฟอร์มเทรดหุ้นจากสหรัฐฯ  เจาะกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ ฉลองครบรอบ 9 ปี และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ และครบ 1 ปี ดำเนินงานในไทย จัดงาน “Webull Money Festival 2025” พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ลงทุนทันสมัย ชูจุดเด่นค่าคอมต่ำ ข้อมูลเรียลไทม์ และเครื่องมือวิเคราะห์อัจฉริยะ มุ่งเสริมความรู้การลงทุนและเข้าถึงตลาดโลกอย่างง่ายดายผ่านเทคโนโลยี

May 13, 2025 / 0 Comments
read more

‘ทองคำ’ ไม่ใช่แค่เก็บ แต่ต้องรู้จังหวะ ด้วย Dinapoli Levels เจาะนักลงทุนรุ่นใหม่-สายเทรด

BizKet

‘ทองคำ’ อีกหนึ่งพอร์ตสินทรัพย์สุดคลาสสิค ของนักลงทุนเกือบทุกเจนเนเรอชั่น จากหลายเหตุผลเข้ามาสนับสนุน ทั้งเป็นสินทรัพย์สากล (Universal Asset) อยู่ในรูปแบบทองคำแท่ง เหรียญ หรือ ETF นอกจากนี้มูลค่าทองคำ ไม่ผูกกับเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ทำให้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) หากเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เช่น เงินเฟ้อ สงคราม วิกฤตธนาคาร หรือตลาดหุ้นผันผวน   ล้วนเป็นปัจจัยให้นักลงทุนมัก ‘หนีความเสี่ยง’ มาถือทองคำ   โดยเฉพาะป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Hedge Against Inflation) ด้วยเมื่อมูลค่าเงินเฟ้อขึ้น เงินซื้อของได้น้อยลง แต่ราคาทองคำมักจะขึ้นตาม ทำให้ยังคงรักษามูลค่าได้ เรียกว่าเป็นการรักษา ‘อำนาจซื้อ’ ของนักลงทุนในระยะยาว   นอกจากนี้ ‘ทองคำ’ ยังมีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มในระยะยาว ด้วยทองมีปริมาณจำกัด การผลิตใหม่ช้า ทว่าความต้องการยังคงสูง ทั้งในภาคธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ (เครื่องประดับ) ไปจนถึงอุตสาหกรรม (การลงทุน ธนาคารกลาง) เป็นต้น   อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสนใจเมื่อ ‘ทองคำ’ มักมีความสัมพันธ์ผกผันกับสินทรัพย์อื่น ด้วยหากสังเกตว่าทองมักจะขึ้นเมื่อหุ้นหรือดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว ซึ่งมักนำไปใช้กระจายความเสี่ยง (Diversification) ในพอร์ตลงทุน   ดังนั้น ในช่วงจังหวะนี้ ‘ทองคำ’ อาจยังเป็นพอร์ตสินทรัพย์ที่ยังน่าติดตามในกลุ่ม ‘นักลงทุน’ แต่ยังต้องใช้ข้อมูลประกอบรอบด้านอย่างใกล้ชิด รวมถึงการใช้ ‘เทคนิค’ มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ราคาทองคำ เพื่อเข้าลงทุนให้เกิดประสิทธิผลตามความพึงพอใจของนักลงทุนได้มากที่สุด   ขณะที่ ‘ดินาโปลี เลเวล’ (DiNapoli Levels) นับเป็นอีกหนึ่ง แนวคิดการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่พัฒนาโดย โจ ดินาโปลี (Joe DiNapoli) นักเทรดและผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์กราฟ ซึ่งใช้กับสินทรัพย์การลงทุนต่าง ๆ รวมถึง ทองคำ เพื่อระบุจุดเข้า-ออกการลงทุนที่มีโอกาสสูง   ล่าสุด  ‘โจ ดินาโปลี’ เทรดเดอร์ผู้มีประสบการณ์การลงทุนมากว่า 50ปี ร่วมงานเสวนา Analyzing Gold Trends for 2025 with The DiNapoli Method จัดโดย Fintrade Club ร่วมกับ EBC Financial Group เดินทางมายังประเทศไทยพร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิดการลงทุนทอง ด้วยหลักการ ‘DiNapoli Levels’ ใช้พื้นฐานจากสัดส่วนที่เท่ากันทางธรรมชาตินำมาใช้กับการลงทุนเรียกว่า Fibonacci Retracement และ Fibonacci Extensions แต่มีการปรับแต่งสูตรและวิธีใช้งานเฉพาะตัว   โดยมีจุดเด่น การใช้ค่าฟีโบนัชชีที่ปรับมาเฉพาะ เช่น 38.2%, 61.8%, 78.6%, 100%, 161.8% ฯลฯ เพื่อระบุแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ, เน้นจุดกลับตัว (Reversal Zones) ใช้เพื่อจับจังหวะที่ราคาทองคำอาจ ‘กลับทิศ’ จากขาขึ้นเป็นขาลง หรือในทางกลับกัน   การใช้ช่วงจับจังหวะเข้าซื้อ-ขาย โดยผสมผสานกับดัชนีชีวัด (Indicator) อื่นของ DiNapoli เอง   ทำให้ ‘DiNapoli Levels’ เป็นหนึ่งในเครื่องมือช่วยจับจังหวะเทรด โดยใช้ Fibonacci ที่พัฒนามาเฉพาะเพื่อเพิ่มความแม่นยำ เหมาะกับนักลงทุนทองคำที่ต้องการกลยุทธ์เข้า-ออกอย่างมีระบบ ไม่ใช่แค่การเดาตามเทรนด์   ภาษีทรัมป์มีผลความเคลื่อนไหวราคา ‘ทอง’   ด้าน มนต์ชัย คงธนภักดี ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาระบบวิเคราะห์ ‘DiNapoli’ (Dinapoli Mentoring expert) กล่าวว่า ระบบวิเคราะห์ Dinapoli เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 2002 ด้วยรูปแบบเน้นการใช้กลยุทธ์เพื่อกำหนดจุดเหมาะสมในการลงทุนทอง ในระยะเวลาแต่ละช่วงตาม ว่าควรวางออเดอร์ ปิดการซื้อขาย หรือควรวาง Stop loss ที่ช่วงเวลาไหน   พร้อมกล่าวอีกว่าระบบวิเคราะห์ ดินาโปลี เลเวล ยังเสมือนเป็นเครื่องมือที่ต้องฝึกฝนให้เกิดความเชี่ยวชาญ นำไปใช้ปฏิบัติจริงเพื่อให้เกิดประสิทธิผลจนเกิดแม่นยำ มีข้อผิดพลาดให้ได้น้อยที่สุด ซึ่งระบบวิเคราะห์ ดินาโปลี เลเวล สามารภนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนสินทรัพย์อื่นได้ตามเหมาะสม   “ดินาโปลี เลเวล ยังประยุกต์ใช้กับ Time Frame ระยะเวลาของกราฟที่แสดงขึ้นมา ซึ่งวิธีการที่ดีต่อไทม์เฟรมในทุกๆ 5 นาที หรือ ครึ่งชั่วโมง รวมถึงการใช้ประกอบร่วมกับการหาจุดคำนวนที่เป็นจุดเสี่ยง ด้วย ”  มนต์ชัย กล่าวพร้อมสรุปว่า “แนววิเคราะห์ ดินาโปลี เลเวล จะใช้วัดผลความสำเร็จการลงทุนของนักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน จำนวนเงินในบัญชีที่มีอยู่ของนักลงทุนจะถือเป็นคำตอบที่ดีที่สุด”   พร้อมกล่าวต่อ ถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกและในประเทศไทย ที่มีผลต่อราคาทองคำซึ่งมีผันผวน จากหลายปัจจัยเกิดขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเจรากำแพงกาษีทางการค้าของสหรัฐอเมริกา และ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่มีผลต่อความอ่อนไหวของสินทรัพย์การลงทุน รวมถึงเงินอัตราเฟ้อ   “ล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความท้าทายราคาทองคำ ในเวลานี้”   ขณะที่แนวต้านของราคาทองคำคาดว่าจะอยู่ในช่วง 3,720–4,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ‘มนต์ชัย’ ย้ำว่า ราคาทองคำที่ผันผวนในขณะนี้ หรือ การคาดการณ์ราคาทองคำในไทยจะมีราคาต่อบาทอยู่ที่ 54,000 บาทนั้น อาจเป็นแนวคิดที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ด้วยเป็นชุดตัวเลขที่ไม่มีที่มาและที่ไป ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างระมัดระวัง   เช่นเดียวกับการลงทุนในทองคำมีความเสี่ยง ราคามีความผันผวนตามภาวะตลาดโลก ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และพิจารณาความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน     Alternate-X สรุปให้  ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและเงินเฟ้อ ‘ทองคำ’ ยังเป็นสินทรัพย์ที่หลายเจเนอเรชั่นเชื่อมั่น ด้วยสถานะ Safe Haven Asset ทองคำช่วยป้องกันความเสี่ยงและรักษาอำนาจซื้อ มีความเป็นสากล ไม่ผูกติดกับเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง กลยุทธ์วิเคราะห์ DiNapoli Levels จะช่วยจับจังหวะซื้อขายทอง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพอร์ตมั่นคง พร้อมเทคนิควิเคราะห์ ที่น่าสนใจ

May 12, 2025 / 0 Comments
read more

3 ปัจจัยเสี่ยงฉุดอสังหาฯไทยปี68 หลัง2 เดือนแรกยอดโอนติดลบ 13% แต่ ‘ภูเก็ต’ ยืนหนึ่ง โตเดี่ยว

BizKet

อสังหาฯไทย ในปี68 ยังเหนื่อยอยู่ เหนื่อยต่อ ซัพพลายล้นรอระบายไม่ต่ำกว่า 3 ปี สวนดีมานด์ซึม-กำลังซื้อแผ่ว   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 หดตัวต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 3 สะท้อนจากตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย (อ้างอิง REIC) ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค. – ก.พ.) ยังคง “ติดลบถึง 13%“ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน (YoY) ดังนี้   ปี 2568 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 38,824 หน่วย ปี 2567 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 44,635 หน่วย   ขณะที่ หลายจังหวัดใหญ่ มียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงเช่นกัน ยกเว้น ‘ภูเก็ต’ ที่ยังเติบโตได้ดี โดยพบว่า   กทม. และปริมณฑล จำนวน 17,727 หน่วย ลดลง -14.6% ชลบุรี จำนวน 3,931 หน่วย ลดลง -9.6% เชียงใหม่ จำนวน 1,696 หน่วย ลดลง -10.7% ภูเก็ต จำนวน 1,272 หน่วย เพิ่มขึ้น +8.5% ระยอง จำนวน 1,226 หน่วย ลดลง -3.4%   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ปี 2568 หดตัว -15.2% (YoY) แม้จะมีมาตรการรัฐ ทว่าตลาดเผชิญแรงกดดันจากกำลังซื้อแผ่วลง สวนทางซัพพลายที่ยังมีสูง   อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยสนับสนุน และปัจจัยกดดัน 3 ประการ ดังนี้   ปัจจัยบวก   1.มาตรการการลดค่าธรรมเนียมที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท (22 เม.ย. 68 – 30 มิ.ย. 69) ค่าจดจำนอง จาก 1% เหลือ 0.01% ค่าโอนกรรมสิทธิ์ จาก 2% เหลือ 0.01%   มาตรการผ่อนคลาย LTV ทุกสัญญา โดยซื้อบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไปไม่ต้องวางเงินดาวน์ กู้เต็มได้ 100% (1 พ.ค. 68 – 30 มิ.ย. 69)   อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง   ปัจจัยเสี่ยง   ความต้องการที่อยู่อาศัยยังซบเซา จากกำลังซื้อและหนี้สูง   เหตุการณ์แผ่นดินไหวกระทบดีมานด์ความต้องการคอนโดตึกสูงบางโครงการ   ซัพพลายเหลือขายของที่อาศัยมีมากกว่า 300,000 หน่วย ต้องใช้เวลาระบายอย่างต่ำ 3 ปี Alternate-X สรุปให้  อสังหาฯ ไทยปี 2568 ยังเผชิญแรงกดดัน ยอดโอน 2 เดือนแรกติดลบ 13% ซัพพลายล้นตลาดกว่า 300,000 หน่วย ใช้เวลาเคลียร์ไม่ต่ำกว่า 3 ปี กำลังซื้อหด ความต้องการซบ ภาพรวมเข้าสู่ปีที่ 3 ของการชะลอตัว ‘ภูเก็ต’ เป็นจังหวัดเดียวที่เติบโตสวนทางตลาด เพิ่มขึ้น 8.5% แม้รัฐออกมาตรการกระตุ้น แต่ยังมี 3 ปัจจัยเสี่ยงฉุดตลาดฟื้นตัว

May 12, 2025 / 0 Comments
read more

ไมโครซอฟท์ ครบ 50ปี กับแผน 20 ปีหน้า ‘บิล เกตส์’ ยกมรดกกว่า 2 แสนล.ดอลลาร์ให้มูลนิธิ

BizKet

คนที่ตายโดยยังร่ำรวยอยู่ คือ คนที่ตายอย่างน่าอับอาย วรรคทองที่ทำให้ ‘บิล เกตส์’ ยกมรดก99% ให้มูลนิธิฯ ใช้ 3 เรื่องหลัก ก่อนปิดตัวถาวรในปี 2045   ‘Bill Gates” (บิล เกตส์) มหาเศรษฐีโลกติดอันดับโลกเบอร์ต้นๆ ถึงในปัจจุบัน (เดือน พ.ค. 68) เขามีทรัพย์สินราว 1.08-1.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.9-4.1 ล้านล้านบาท   ล่าสุด ‘เกตส์’ ประกาศยกทรัพย์สิน 99% ให้กับมูลนิธิ Gates Foundation ภายใน 20 ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้าใช้จ่ายมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 20 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จากที่เคยบริจาคมา 1 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วง 25 ปีมานี้ เพื่อหวังแก้ไขปัญหาสุขภาพและความยากจนทั่วโลก   หลังจากนั้นมูลนิธิจะปิดตัวลงอย่างถาวรในปี 2045   เกตส์ กล่าวว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจจากบทความ The Gospel of Wealth ของ Andrew Carnegie ที่กล่าวว่า ‘คนที่ตายโดยยังร่ำรวยอยู่ คือคนที่ตายอย่างน่าอับอาย’   เกตส์ไม่ต้องการให้คำว่า ‘เขาตายทั้งที่ยังรวย’ เป็นสิ่งที่คนจดจำ นำมาสู่แผนบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดในวันนี้ โดย เป้าหมาย 20 ปี ของมูลนิธิจะเน้นไป 3 ส่วนหลัก ได้แก่   1.ยุติการเสียชีวิตของแม่และเด็กจากสาเหตุที่ป้องกันได้   ลดการตายของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีลงอีกครึ่ง ส่งเสริมโภชนาการ การดูแลแม่ตั้งครรภ์ และเข้าถึงวัคซีนที่จำเป็น   2.สร้างโลกที่ปลอดจากโรคติดเชื้อร้ายแรง   ตั้งเป้ากำจัดโรคโปลิโอ มาลาเรีย และหัด สนับสนุนนวัตกรรม เช่น ยีนบำบัด HIV และวัคซีนวัณโรคใหม่ ลดต้นทุนให้ยารักษาเข้าถึงได้ในประเทศยากจน   3.ยกระดับคนหลายร้อยล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจน   เน้นด้านการศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนรัฐของสหรัฐฯ สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยด้วยเมล็ดพันธุ์ทนภัยแล้งและมีสารอาหารมากขึ้น พัฒนาเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรหญิง   ขณะที่ เกตส์ ยังมองเห็นข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการ มาจากสาเหตุหลายประการ เช่น การสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งของสหรัฐฯ และยุโรป กำลังลดลง, ประเทศในแอฟริกาบางแห่งใช้งบจ่ายหนี้มากกว่างบสาธารณสุข   โดยเขายืนยันว่า มูลนิธิจะยังคงช่วยเหลือประเทศยากจนให้ลุกขึ้นได้ด้วยตัวเอง   เกตส์ กล่าวว่า ต้นแบบการเป็นผู้ให้ของเขาล้วนได้รับอิทธิพลมาจากคนรอบข้าง   ‘แม่’ เป็นคนปลูกฝังแนวคิดเรื่องการ ‘ตอบแทนสังคม’ ให้เขา เธอเชื่อว่า ‘เมื่อเรามีมาก เราก็มีหน้าที่มาก’ และสอนให้เกตส์เข้าใจว่าทรัพย์สินที่เขามี เป็นสิ่งที่เขามีหน้าที่ดูแล ไม่ใช่ครอบครองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว   ‘พ่อ’ ถือเป็นผู้วางรากฐานค่านิยมของมูลนิธิ เขาเป็นคนทำงานร่วมกับคนอื่นเก่ง รอบคอบ และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ 3 คุณสมบัตินี้ยังคงเป็นหัวใจของทุกอย่างที่เราทำจนถึงวันนี้ ทุกปี เรามีรางวัล ‘Bill Sr. Award’ ให้กับพนักงานที่สะท้อนค่านิยมของเขามากที่สุด   ขณะที่ ‘Chuck Feeney’ ก็เป็นฮีโร่ของเกตส์อีกคน เขาเชื่อว่า คนรวยควรบริจาคในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แนวคิดนี้ส่งผลต่อมุมมองเรื่องการกุศลของเกตส์อย่างมาก   ต่อ การประกาศแผนวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของ ‘บทสุดท้าย’ ในอาชีพของผม ซึ่งผมมาไกลจากวันที่เริ่มก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์กับเพื่อนตอนเป็นเด็กนักเรียน และในปีที่ Microsoft ครบรอบ 50 ปี ผมคิดว่าเป็นช่วงเหมาะสมดีที่ผมจะฉลอง ”ด้วยการคืนทรัพยากรที่ผมหาได้จากบริษัทนั้นกลับคืนให้กับโลก บิล เกตส์ กล่าวทิ้งท้าย   Alternate-X สรุปให้    บิล เกตส์ ประกาศบริจาคทรัพย์สิน 99% ให้มูลนิธิ Gates Foundation ภายใน 20 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าใช้เงินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ ยากจน และการศึกษา มูลนิธิจะเน้นลดการตายของแม่และเด็ก กำจัดโรคติดเชื้อ และลดความเหลื่อมล้ำ เกตส์ได้รับแรงบันดาลใจจากแม่ พ่อ และ Chuck Feeney ผู้เชื่อในการให้ในขณะยังมีชีวิตเขาย้ำว่านี่คือ “บทสุดท้าย” ของชีวิตการทำงาน — คืนทรัพย์สินคืนโลกที่สร้างเขามา ภาพปก ขอบคุณ Wallpaper Cat 

May 11, 2025 / 0 Comments
read more
การศึกษาในอนาคต

ตลาดการศึกษาไทย จะปรับตัวยังไง? เมื่อเด็กเกิดใหม่ลด-ใบปริญญาไม่สำคัญเท่าทักษะใหม่

BizKet

แนวโน้มเด็กเกิดใหม่ลดลงทั่วโลก ที่มีผลต่อหลายธุรกิจนับจากนี้ไป ทำให้ตลาดการศึกษาในไทย ทั้งรัฐและเอกชนต่างปรับตัวเพื่อผลิต ‘คน’ มารองรับแรงงานแห่งอนาคต   สอดคล้องกับ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เผยข้อมูลประชากรไทย ปี 2567 มีรวมทั้งสิ้น 65,951,210 คน พร้อมระบุอัตราการเกิดของประชากร มีตัวเลขอยู่ที่ 462,240 คน ถือว่าต่ำกว่า 5 แสนคน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 มีแนวโน้มการเกิดที่สูงขึ้นราว 519,000 กว่าคน   ด้าน พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า อัตราการเกิดของประชากรไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นแนวโน้มเดียวกับทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดใหม่ของปประชากรลดลงเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนในอาเซียนมีประเทศสิงคโปร์ เช่นเดียวกัน   “แนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นความท้าทายประกาศสำคัญของการให้บริการทางการศึกษาทั้งในภาครัฐและเอกชน” พิเชฐ กล่าว   จากปัจจุบันมีโรงเรียนราว 30,000 แห่งในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ส่วนระดับอาชีวศึกษาหรือสายอาชีพ จำนวน 400 แห่ง และโรงเรียนขนาดเล็ก (มีจำนวนผู้เรียนราว 120 คน) ประมาณ 15,000 แห่ง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีแผนยุบจำนวนโรงเรียนในสังกัด สพฐ แต่จะมุ่งวางแผนใช้เทคโนโลยีต่างๆ เป็นเครื่องมือเพื่อพัฒนาทักษะต่างๆ ในระบบการศึกษาของไทย ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการบริการรูปแบบใดต่อไปในอนาคต   พิเชฐ กล่าวว่าที่ผ่านมา ศธ. ได้วางนโยบายสร้างโรงเรียนคุณภาพประจำอำเภอ ‘1 อำเภอ 1 แห่ง’ ให้ครอบคลุม 1,800 อำเอทั่วประเทศ ที่ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 900 อำเภอ เพื่อเป็นต้นแบบดึงดูดเด็กไทยให้เข้าถึงระบบการศึกษาคุณภาพใกล้บ้าน   สำหรับความร่วมมือระหว่าง ศธ.และ  didacta asia 2025 ในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเครือข่ายพันธมิตรนานาชาติทางการศึกษา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีบทบาทในอนาคตด้วย ภายใต้ 6 ความท้าทาย ดังนี้   1.การเรียน การสอน ในทุกที่ทุกเวลา ผ่านสื่อสมัยใหม่, 2บทบาทครูผู้สอนจะเปลี่ยนเป็นผู้กระตุ้นและอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดความต้องการเรียนรู้ จากเดิมที่เป็นผู้บอกเล่าถ่ายทอดความรู้, 3.การเข้ามาของเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทในระบบการศึกษามากขึ้น   4. แนวทางการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกกลุ่มวัย, 5.ทักษะด้านภาษา อาทิ จีน, อังกฤษและ สเปน ที่จะมีความเข้มข้นในระบบการศึกษาไทยมากขึ้น, 6. การเปลี่ยนผ่านสู่การเรียนการสอนที่ยั่งยืน หรือ กรีน เอ็ดดูเคชัน ที่ทั้งผู้เรียนและผู้สอนให้ความสำคัญด้านจริยธรรมและคุณธรรม ไปพร้อมกัน   “แนวทางเหล่านี้ จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการในระบบการศึกษาของคนรุ่นใหม่อาจมองว่าไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญา แต่จะต้องมีทักษะที่จำเป็นในการทำงานในอนาคต” พิเชฐ กล่าว   เรียนควบ Diploma ขยายตัว   ด้าน ผศ.ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รักษาการรองอธิการบดีจุฬาฯ และ เลขาธิการสมาคมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และเลขานุการสมาคมสถาบันการศึกษาขั้นอุดมแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศไทย (สออ.ประเทศไทย)  กล่าวว่า การเรียนรู้ตลอดชีวิต ‘long life learning’ เป็นแนวคิดสำคัญที่ผลักดันให้ ตลาดการศึกษาโดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัย ต่างๆในไทย ต่างเร่งปรับตัว เพื่อดึงดูดและเข้าถึงฐานกลุ่มผู้เรียนคนรุ่นใหม่ให้เกิดการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ในหลากหลายสาขา ทักษะวิชาชีพต่างๆที่ตนเองสนใจ โดยไม่จำกัดช่วงวัยเพื่อเข้ารับการศึกษา อีกต่อไป   “แนวโน้มคาดว่าตลาดการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย จะมีผู้สนใจเรียนในรูปแบบควบดิโพลม่า ประกาศนียบัตร ระหว่างคณะการศึกษ่าต่างๆ ที่ในปัจจุบันเริ่มมีมหาวิยาลัยบางแห่งได้นำคณะฯ พร้อมขยายหลักสูตรเพื่อนำรายวิชาการเรียนการสอน เปิดให้บริการรับผู้สนใจทั้งคณะอื่นๆ และจากภายนอกที่สนใจให้เข้ามาเรียนเพื่อเสริมทักษะใหม่ได้มากขึ้น”   อนึ่ง จากแนวโน้มดังกล่าว ผลักดันให้พันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนเครือข่ายการศึกาษานานาชาติ เตรียมการจัดงาน didacta asia 2025 งานมหกรรมการศึกษาและประชุมสัมมนา ครั้งที่ 2 ภายใต้แนวคิด Gateway to Tomorrow’s Education เพื่ออัปเดทเทคโนโลยีพร้อมสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา     Alternate-X สรุปให้  แนวโน้มเด็กเกิดใหม่น้อยลงส่งผลกระทบต่อระบบการศึกษาไทยทั้งรัฐและเอกชน ทำให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเน้นพัฒนาทักษะมากกว่าใบปริญญา รองรับแรงงานอนาคต การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น มหาวิทยาลัยเริ่มเปิดหลักสูตรควบประกาศนียบัตรเพื่อยืดหยุ่นในการเรียนรู้พร้อมจัดงาน didacta asia 2025 จะเป็นเวทีสร้างเครือข่ายการศึกษาเพื่ออนาคตของภูมิภาค    

May 11, 2025 / 0 Comments
read more

คนรุ่นใหม่ถูกใจสิ่งนี้ ลงทุนทองเริ่ม 100 บาทผ่านแอปฯ YLG แนะทำกำไรระยะสั้นรับผันผวน

BizKet

วายแอลจี มองราคาทองคำระยะสั้นผันผวนค่อนข้างสูง แนะนักลงทุนทำกำไรระยะสั้น ‘ทองไทย’ เคลื่อนไหวในกรอบ 51,200-53,200 บาท/บาททองคำ   นพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการสะสมทอง และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย   สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ด้วยสมาร์ตโฟน มีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง   โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold   ทองคำ เทขายทำกำไรระยะสั้น   นพวรรณ์ กล่าวว่า ขณะที่สถานการณ์ทองคำช่วงก่อนปลายสัปดาห์ โดยเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นวันที่สองที่ทองคำถูกแรงขายทำกำไรในระยะสั้นสลับเข้ามากดดัน หลังจากที่เริ่มเกิดกระแสข่าวและความคาดหวังถึงการเจรจาทางการค้า   โดยเฉพาะสหรัฐ-จีน ที่มีกำหนดมาเจรจากันที่สวิตเซอร์แลนด์สุดสัปดาห์นี้ พร้อมส่งตัวแทน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ส่วนทางจีนส่ง เหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีมาเป็นตัวแทน   พร้อมกับ ‘โดนัลด์ ทรัมป์” ปธน.สหรัฐฯ ได้โพสต์ Truth Social ถึงการจัดแถลงข่าวในเวลา 10.00 น. (เวลาไทย 21.00 น.) เกี่ยวกับ “ข้อตกลงการค้าที่สำคัญกับประเทศขนาดใหญ่”  โดยสื่อตีข่าวว่าเป็นสหราชอาณาจักร   อย่างไรก็ตาม การเจรจาทางการค้าดังกล่าว ไม่อาจกลับมาสงบลงได้ทุกประเทศทั่วโลกในระยะเวลาสั้นๆ  ดังนั้น วายแอลจี จึงประเมินว่าแม้ระยะสั้นทองคำจะเริ่มถูกขายทำกำไรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในระยะกลางการเจรจาจะยังดำเนินการไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป   อาทิ ระหว่างสหรัฐ-จีน ที่กำลังจะเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ช่วงสุดสัปดาห์ อาจมีการผ่อนปรนภาษีที่เคยตอบโต้กับไปมาในอัตราที่สูงเกิน 100% ลงมาบ้างเพื่อเป็นการเปิดทางนำไปสู่การเจรจาขั้นถัดไป  และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีฝ่ายใดที่ยอมแสดงความอ่อนข้อลง จากเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จีน เผยว่า สหรัฐเป็นฝ่ายติดต่อเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทาง “ทรัมป์” กลับได้กล่าวในวันนี้ว่า จีนเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาระหว่างสองชาติ ไม่ใช่สหรัฐอย่างที่จีนกล่าวอ้าง     ทองไทย ลุ้น 56,000–57,500 บาท   ดังนั้น วายแอลจีจึงมองว่าการพักตัวของราคาทองคำจะไม่ได้ลงลึก เนื่องจากในท้ายที่สุดแล้วก็จะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจโลกไม่มากก็น้อย  และในทางกลับกัน หากการเจรจาระหว่างสหรัฐกับจีนไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จะกลับมากระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง   โดยแม้ว่าปีนี้ทองคำจะเคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์แล้ว แต่มองว่าเมื่อจบรอบการพักฐาน จะมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบได้อีกครั้ง  โดยหากการปรับตัวขึ้นครั้งถัดไปสามารถทำระดับสูงสุดใหม่ได้ จะมีเป้าหมายในปีนี้ที่ 3,600-3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์   ส่วนทองคำแท่งในประเทศหากผ่าน 54,400 บาทต่อบาททองคำได้ จะมีโอกาสขึ้นทดสอบเป้าหมายระยะยาวที่ 56,000–57,500 บาทต่อบาททองคำ    อย่างไรก็ดีการแกว่งตัวของราคาทองคำในตลาดโลกครั้งนี้ อาจสร้างแรงกดดันให้กับทองไทยมากกว่าทองโลก เนื่องจากค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทองคำในช่วงนี้ระยะสั้นสามารถหาจังหวะทำกำไรจากการเข้าซื้อขายภายในกรอบ โดยมองกรอบแนวรับ 3,320-3,292 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้าน 3,400-3,415 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนทองไทยมองเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 51,650-51,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์  และกรอบแนวต้าน 52,900-53,200 บาทต่อบาททองคำ   โดยนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่มีเงินลงทุนเริ่มต้นจำกัด YLG ได้เปิดให้บริการ Gold Wallet บริการซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ด้วยราคาเรียลไทม์ ซื้อขายทองต่อครั้งด้วยขั้นต่ำ 0.1 ออนซ์ สูงสุดแบบเต็มเพดาน ได้สูงสุดถึง 700 ออนซ์ หรือ 20 กิโลกรัม   Alternate-x สรุปให้   รiาคาทองผันผวน วายแอลจีแนะเทรดสั้นทำกำไรในจังหวะขึ้นลง ชี้ช่องคนรุ่นใหม่เริ่มลงทุนทองได้ง่ายผ่านแอปฯ ด้วยเงินแค่ 100 บาท ผ่านแอป Get Gold by YLG ซื้อ-ขายทองแบบเรียลไทม์ 24 ชม. ส่วนสายลงทุนระยะยาวแนะนำใช้วิธี DCA สะสมทองทีละน้อย คาดราคาทองยังมีแนวโน้มขึ้น หากเจรจาการค้าโลกไม่คืบหน้า

May 9, 2025 / 0 Comments
read more

พอร์ตโรงแรม AWC รุ่ง นทท.จ่ายห้องกว่า6 พันบ./คืน เปิดแม่เหล็กใหม่เอเชียทีคฯ Jurassic World

BizKet

พอร์ตโฟลิโอ AWC โต 2 เท่าจากปี 2562 มูลค่าสินทรัพย์Q1/68 ที่ 209,374 ล. หลังเติม 3 โครงการใหม่ห้องพักเพิ่ม 10% สร้างกระแสเงินสดเสริมรายได้ทันที   วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์โรงแรม, อาคารสำนักงาน, ค้าปลีก เปิดเผย ผลดำเนินงานAWC ไตรมาส 1 ปี 2568 มีรายได้รวม 6,191 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% (YoY) มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3% (YoY) และมีกำไรสุทธิ 1,969 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% (YoY)   พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้นจากผลการดำเนินงานปี 2567 ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 อัตรา 0.075 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนหน้า ตามแผนการเติบโตต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์การเร่งผลักดันศักยภาพของทรัพย์สินเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและยั่งยืน     ขณะที่พอร์ตโฟลิโอ AWC มีอัตราเติบโตก้าวกระโดด 2 เท่าจากปี 2562 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวม (Gross Asset Value) โดยสิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ 209,374 ล้านบาท เพิ่ม 3 โครงการเข้าพอร์ต คือ   โรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย การลงทุนในโครงการเวิ้งนครเกษม เยาวราช โครงการเลอ คองคอร์ด รัชดาฯ เพื่อพัฒนาเป็น Jubilee Prestige Tower ที่มีทั้งสำนักงานและโรงแรม เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก   “นับเป็นไตรมาสที่สร้างการเติบโตก้าวกระโดดด้วยจำนวนห้องกว่า 641 ห้อง เพิ่มขึ้น 10% สร้างกระแสเงินสดทันทีเสริมผลประกอบการ” วัลลภา กล่าว พร้อมเสริมว่า   สำหรับ กลุ่มโรงแรมดึงจุดแข็งเสริมพลังพันธมิตรทั่วโลก พานักท่องเที่ยวคุณภาพด้วยรายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) เติบโตโดดเด่นต่อเนื่องที่ 6,663 บาทต่อคืน เพิ่มขึ้น 5.8% (YoY) พร้อมอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้นสร้างนิวไฮต่อเนื่อง   นอกจากนี้ AWC ยังเตรียมเปิดโครงการใหม่รับกลุ่มครอบครัวที่โรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา และตามด้วย Jurassic World: The Experience ครั้งแรกของโลกที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก     Alternate-X สรุปให้  AWC โชว์กำไรไตรมาส 1/2568 พุ่ง 1,969 ล้านบาท (+23% YoY) พร้อมปันผลเพิ่ม 50% เป็น 0.075 บาท/หุ้น มีรายได้รวม 6,191 ล้านบาท (+13.6% YoY) จากการขยายพอร์ตทรัพย์สินมูลค่า 209,374 ล้านบาท (+2 เท่าจากปี 2562) พร้อมเพิ่ม 3 โครงการใหม่ ได้แก่ โรงแรม มีเลีย พัทยา, Jubilee Prestige Tower (JW Marriott) และโครงการ เวิ้งนครเกษม ขณะที่ กลุ่มโรงแรมเติบโตแข็งแกร่ง ด้วย ADR 6,663 บาท/คืน (+5.8% YoY) และอัตราการเข้าพักพุ่ง พร้อมเปิด 2 โครงการ โรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ต และ Jurassic World: The Experience ที่ เอเชียทีค ดึงนักท่องเที่ยวระดับโลก    

May 9, 2025 / 0 Comments
read more

เคเอฟซี มีเซอร์ไพรส์ อิ่มไก่แล้วแจกของอีก ขนกลับได้หมด ชาม ช้อน เก้าอี้ ในร้าน

BizKet

เคเอฟซี ไทย กับกลยุทธ์การตลาดผ่านประสบการณ์เข้าถึงเจนฯใหม่สายแชร์สายไวรัล กินไก่อิ่มกันแล้วเอาของในร้านกลับบ้านด้วย 10 พ.ค.วันเดียวสาขาเดียว ‘ศรีสมาน’    ซูเฮล ลิมบาดะ Market Lead & Chief Marketing Officer KFC ประเทศไทย ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) เคเอฟซี (KFC) เปิดเผยว่า KFC ตอกย้ำแบรนด์ไก่ทอดอันดับหนึ่งด้วยบุคลิกให้ทั้งความอร่อย และ ประสบการณ์ความสนุก ตื่นเต้น เพื่อสร้างการจดจำในผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่   ล่าสุด เคเอฟซี จัดกิจกรรมการตลาดแคมเปญพิเศษครั้งใหญ่ ผ่านเมนูคุ้มค่าพร้อมกิจกรรมให้ลูกค้าร่วมสนุกและรับของสมนาคุณกลับบ้านกับกิจกรรม ‘โปรอิ่มคุ้มที่สุดที่คุณเคยเจอ’ ที่ KFC สาขาโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ศรีสมาน ในวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2568 นี้เท่านั้น   “หลังจากเปิดตัว โปรโมชันชุดอิ่มคุ้ม ในราคาเริ่มต้นเพียง 69 บาท พร้อมจัดแคมเปญฯ ครั้งนี้ KFC เสิร์ฟทั้งรสชาติความอิ่มท้องพร้อมให้ลูกค้าได้เลือกของสมนาคุณเอง ให้ขนกลับบ้านแบบไม่มีกั๊ก! กับโปรโมชันอิ่มคุ้มที่สุดที่คุณเคยเจอ อิ่มไก่แถมได้ของกลับ ใครอยากได้อะไร ของชิ้นไหน มาขนกลับบ้านไปได้เลยที่ KFC สาขาโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ศรีสมาน วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม วันเดียวเท่านั้น” ลิมบาดะ กล่าว   นอกจากนี้ ของสมนาคุณในครั้งนี้ยังมีความพิเศษไม่ใช่ของพรีเมี่ยมธรรมดาทั่วไป แต่เป็นแบบเดียวกับข้าวของเครื่องใช้ในร้าน KFC และหาไม่ได้จากที่ไหน ทั้ง เก้าอี้, ร่มผ้าใบ, ถาดเสิร์ฟอาหาร, เสื้อกันฝน, หมวกพนักงาน, ซอสพริกและซอสมะเขือเทศ ฯลฯ ซึ่งเป็นของใหม่ทั้งหมด ที่ผู้พันตั้งใจมอบเป็นของขวัญให้กับเหล่าคนคลั่งไก่ให้ได้มาร่วมสนุกกัน   ด้วยกติการ่วมสนุกง่าย ๆ เพียงซื้อชุดอิ่มคุ้ม 1, ชุดอิ่มคุ้ม 2, ชุดอิ่มคุ้ม 3 หรือชุดพอใจบักเก็ต ในราคาเริ่มต้นเพียง 69 บาท ที่หน้าร้าน KFC สาขาโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ศรีสมาน   จากนั้นนำใบเสร็จไปยื่นที่หน้าโซนกิจกรรม เพื่อเข้าสู่โซนของสมนาคุณสุดคุ้มจาก KFC เลือกของที่อยากได้มากที่สุด 1 ชิ้น ภายในเวลา 30 วินาที (1 ใบเสร็จสามารถแลกรับของสมนาคุณได้ 1 ชิ้น ต่อ 1 คนเท่านั้น) งานนี้ช้าไม่ได้แล้ว! กิจกรรมจัดขึ้นตั้งแต่เวลา 10.00 – 17.00 น. (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด)   สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของกิจกรรม พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษที่คุ้มค่ากว่าใคร และไม่พลาดทุกข่าวสารและกิจกรรมสนุกๆ จาก KFC Thailand ได้ที่ Facebook KFC Thailand, TikTok @kfcthailand, Instagram @kfcthailand และ X @KFCThailand   Alternate-X สรุปให้ KFC ประเทศไทย สร้างกระแสการทำตลาดผ่านประสบการณ์ดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ใช้ความแปลกใหม่ด้วยการให้ ‘ขนของในร้านกลับบ้าน’ เพื่อสร้างความตื่นเต้นและไวรัล ในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เจนฯซีและมิลเลนเนียล ที่ชอบประสบการณ์แชร์ได้ เพื่อย้ำแบรนด์สนุกและทันสมัย ใช้ของในร้านแจกเเป็นไอเทมเอ็กซคลูซีฟ หวังเพิ่มมูลค่าทางจิตใจ พร้อมกระตุ้นยอดขายช่วงสั้น เมนู ‘ชุดอิ่มคุ้ม’  

May 9, 2025 / 0 Comments
read more

UHG มองทำเลใหม่ ‘ไข่ขาว’ ขยายโรงแรมเดอะควอเตอร์-ออฟฟิศให้เช่า

BizKet

ซีอีโอ ‘UHG’ วางแผนขยายธุรกิจกับดีลใหญ่ในมือทำเล ‘ไข่ขาว’ ที่กำลังจะกลายเป็นขุมทรัพย์ใหม่อสังหาฯ ในอนาคต   วุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG เจ้าของและผู้พัฒนาโรงแรมแบรนด์ ‘เดอะ ควอเตอร์’ และอาคารสำนักงานแบรนด์ ‘ฮิลล์’ เปิดเผยว่า UHG ได้วางแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากปี 2568 นี้เป็นต้นไป โดยจะให้ความสำคัญในทำเล ‘ไข่ขาว’ หรือทำเลรอบใจกลางเมืองหรือทำเล ‘ไข่แดง’ เพื่อขยายธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงาน บนที่ดินเช่า ซึ่งเป็นกลยุทธ์การบริหารตามแนวถนัดของบริษัทฯ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา   สำหรับทำเลไข่ขาวดังกล่าวที่บริษัทฯ จะเลือกพัฒนาโครงการฯ จะประกอบด้วยจุดเด่น ดังนี้   ความสะดวกในการเดินทางคมนาคม โดยอยู่ใกล้หรือติดแนวรถไฟฟ้าสายเดิมและสายใหม่ที่จะแล้วเสร็จในอนาคต พร้อมเชื่อมต่อชุมชนรอบนอกกรุงเทพฯ บริเวณย่านใกล้เคียง (Neighborhood) สิ่งดึงดูด (Attraction) โดยรอบ เช่น สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารริมทาง (Street food) ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ ตลาดนัด สะท้อนการจับจ่ายของชุมชนในทำเลนั้นๆ ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า บริการซูเปอร์มาร์เก็ต และ ศูนย์อาหาร (Food Court)   “บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจากับเจ้าของที่ดิน 2 รายในทำเลที่น่าสนใจ คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนใน 2-3 เดือนนี้ จากนั้นพร้อมเริ่มพัฒนาโครงการได้ในทันที” วุฒิพล กล่าวพร้อมเสริมว่า   “แนวรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตลอดทั้งเส้นเป็นอีกหนึ่งทำเลไข่ขาวที่น่าสนใจ เช่นเดียวกับแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ถือเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ของ UHG ในอนาคตที่อยู่นอกซีบีดี ซึ่งเป็นทำเลไข่แดงของโครงการอสังหาฯ และมีซัพพลายโรงแรมจำนวนมากแล้วในปัจจุบัน”   ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้ใช้ราคาประเมินใหม่ เป็นปัจจัยเร่งให้เจ้าของที่ดิน อาคารสำนักงาน อพาร์ทเมนท์หรือโรงแรมที่เปิดมานานและไม่ได้มีการปรับปรุงตัดสินใจปล่อยเช่าที่ดินในทำเลรอบนอกเพื่อบริหารสภาพคล่องไว้ด้วยเช่นกัน   วุฒิพล กล่าวว่า บริษัทฯ วางงบลงทุนราว 1,500 ล้านบาทในปี 2569 เพื่อพัฒนาโครงการฯ ตามทำเลใหม่ที่วางไว้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงแรมภายใต้แบรนด์เดอะควอเตอร์และแบรนด์อื่น ๆ และพื้นที่สำนักงานให้เช่าภายใต้โครงการมิกซ์ยูสภายใต้แบรนด์ฮิลล์ รวมทั้งสิ้น 18 แห่ง เป็นห้องพักจำนวนกว่า 3,000 ห้อง และพื้นที่สำนักงานให้เช่ารวม 50,000 ตารางเมตร   ล่าสุดเมื่อต้นปีนี้ ได้เปิดโรงแรมแห่งใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ เดอะ ควอเตอร์ สะพานควาย จำนวน 200 ห้อง ซึ่งใช้งบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ปรับปรุงโฉมใหม่ของโรงแรมกานต์มณีพาเลซ – KAYAK บริเวณซอยประดิพัทธ์ 15 ซึ่งได้เช่ามาจากเจ้าของเดิมระยะเวลา 30 ปี อีกแห่ง ซึ่งเปิดเมื่อช่วงสงกรานต์ คือ โรงแรมเดอะ ควอเตอร์ รามคำแหง จำนวน 338 ห้อง ซึ่งใช้งบลงทุนราว 1,800 ล้านบาท   ขณะเดียวกันในปี 2568 นี้ บริษัทยังได้ปรับกลยุทธ์การทำการตลาดด้านการให้บริการธุรกิจโรงแรมเดอะควอเตอร์ ครั้งใหญ่เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมาย นักเดินทางต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มชาวยุโรป ที่จองเข้าพักเพื่อท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น ซึ่งเห็นสัญญาณชัดมาต่อเนื่องจากปลายปีจนถึงในช่วงต้นปีนี้ที่ผ่านมา ซึ่งทดแทนกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่หายไปจำนวนหนึ่ง จากหลายปัจจัยลบที่กระทบต่อความเชื่อมั่นการท่องเที่ยวในไทย   โดย UHG ได้ปรับรูปแบบการให้บริการรอบด้าน ทั้งการปรับปรุงโรงแรมเดอะ ควอเตอร์ 9-10 แห่ง อาทิ ศาลาแดง, อารีย์, ร่วมฤดี, นานา, ทองหล่อ เป็นต้น ให้มีห้องพักสำหรับครอบครัว (Family Room) โดยรวมห้องขนาดแสตนดาร์ดหรือสตูดิโอและห้องแบบ 1 ห้องนอน บริเวณมุมในแต่ละชั้นของโรงแรม และเพิ่มประตูใหญ่ เพื่อขยายโซนดังกล่าวให้กลายเป็นห้องแบบ 2 ห้องนอนสำหรับครอบครัว   นอกจากนี้ ยังได้เพิ่ม ซอฟต์ เซอร์วิส ต่างๆ อาทิ บริการอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ทั้งเมนูและสัดส่วนอาหาร การเพิ่มกิจกรรมต่าง ๆ ฯลฯ เพื่อรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุโรป และความต้องการของกลุ่มครอบครัวที่นิยมพักผ่อนในห้องระยะยาว 4-7 คืนต่อทริป ขณะที่นักเดินทางเอเชียรวมทั้งคนไทยพักเฉลี่ยอยู่ที่ 1-2 คืนต่อทริป และเน้นออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ในสถานที่ท่องเที่ยวหรือช้อปปิ้ง มากกว่า   ปัจจุบันโรงแรมเดอะควอเตอร์ มีราคาห้องพักเฉลี่ย 1,800-3,000 บาทต่อคืน และมีอัตราการเข้าพัก (Occupancy) เฉลี่ยทั้งหมด 80% แบ่งสัดส่วนลูกค้าเป็นกลุ่มคนไทย 40% และชาวยุโรป 30% ส่วนที่เหลือ 30% เป็นกลุ่มประเทศสหรัฐอเมริกา, เอเชีย อาทิ จีน, ไต้หวัน และ เกาหลี รวมถึงประเทศต่างๆ ในอาเซียน   “ตอนนี้ เวียดนามกำลังแย่งตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งหากไทยไม่มีข่าวเชิงลบมาซ้ำเติมกับข่าวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คาดว่า นักท่องเที่ยวจีนจะมีแนวโน้มกลับมาไทยในกลางปีนี้ หรือในช่วงวันฉลองวันชาติจีนในเดือนตุลาคม” วุฒิพล กล่าว   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายโซนใหม่โรงแรมเดอะควอเตอร์ ลาดพร้าว ซึ่งจะใช้อาคารเดิมที่เป็นพื้นที่สำนักงานให้เช่ารวม 7,000 ตร.ม. ปรับปรุงเป็นห้องพักจำนวน 200 ห้อง หลังจากสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัล (DEPA) ซึ่งเป็นผู้เช่าพื้นที่ทั้งหมดเตรียมย้ายสำนักงานไปยังที่ทำการใหม่ในเร็วๆนี้ โดยเมื่อแล้วเสร็จจะทำให้มีรายได้จากห้องพักโรงแรมประมาณปีละ 160 ล้านบาท เมื่อคำนวณจากค่าห้องพักคืนละ 2,500 บาทและอัตราเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีของโรงแรมเดอะควอเตอร์ ลาดพร้าวที่ 90%   “นับว่าคุ้มกว่าการปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงานที่สร้างรายได้ปีละประมาณ 50 ล้านบาท ในอัตราค่าเช่า 600 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน ท่ามกลางตลาดอาคารสำนักงานที่อยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย โดยคาดว่า จะใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท และพร้อมเปิดให้บริการในปี 2569”   ปัจจุบัน UHG มีพื้นที่สำนักงานให้เช่ารวม 6 แห่ง พื้นที่รวม 50,000 ตร.ม. พร้อมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ คือ ฮิลล์ รัชโยธิน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่า 40%, ฮิลล์ รามคำแหง ซึ่งมีอัตราการเช่า 10% และ ฮิลล์ สุขุมวิท 60% ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า รายได้ในปีนี้จะเติบโต 2-5% จากปี 2567 ซึ่งมีรายได้ 3,000 ล้านบาท และกำไร 668 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 20%   Alternate-X สรุปให้  UHG (Urban Hospitality Group) เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมและพื้นที่สำนักงานเช่าเตรียมเปิดทำเลใหม่ย่าน “ไข่ขาว” บริเวณศูนย์กลางกรุงเทพฯ ที่มีศักยภาพเติบโตสูงมุ่งพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ The Quarter รองรับนักเดินทางรุ่นใหม่และกลุ่มธุรกิจชูแนวคิด Hybrid Hospitality ผสานที่พักและพื้นที่ทำงานเพื่อไลฟ์สไตล์ยุคใหม่พร้อมใช้กลยุทธ์เลือกทำเลศักยภาพ เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมและย่านเศรษฐกิจ

May 9, 2025 / 0 Comments
read more

รถอีวีขยายตัว หนุนดีมานด์ใช้ไฟบ้านพุ่ง ปีนี้ตลาดโซลาร์เซลล์ไทย แตะ 6.7 หมื่นล้านบาท

BizKet

EnergyLIB  คาดตลาดโซลาร์เซลล์ ไทยปี 68 มูลค่ากว่า 6.7 หมื่นล.บาท รับรถอีวีขยายตัวดันความต้องการใช้พุ่ง เปิดตัว “LIB Solar Townhome” ระบบโซลาร์ออกแบบเฉพาะทาวน์โฮม   ทวนทอง ศรีวิเชียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอเนอร์จี้ลิบ (ประเทศไทย) ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์โซลูชันสำหรับที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า ตลาดโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยมีการเติบโตอัตราสองหลักต่อเนื่องทุกปี   โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดโซลาร์เซลล์ไทยจะสูงกว่า 67,000 ล้านบาท จากความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงมากขึ้น มีปัจจัยสำคัญ อาทิ ความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การทำงานที่บ้าน การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้าน และ สิ่งสำคัญคือ สภาพอากาศที่ร้อนมากขึ้น   โดยคาดการณ์ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.0-6.0% ต่อปี ตั้งแต่ปีนี้ – 2570 เมื่อความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมากขึ้น โซลาร์เซลล์ เทคโนโลยีช่วยเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าจึงเริ่มมีความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มที่พักอาศัย   อย่างไรก็ตาม โซลาร์โซลูชันสำหรับครัวเรือนในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังตอบโจทย์เฉพาะผู้อยู่อาศัยบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ส่วนบ้านทาวน์โฮม การติดตั้งโซลาร์เซลล์ยังถือเป็นความท้าทายเนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่และราคาที่เอื้อมถึงได้ยาก   “แนวโน้มดังกล่าว EnergyLIB  มองเห็นโอกาส ในการนำเสนอโซลาร์โซลูชันที่ออกแบบเฉพาะสำหรับทาวน์โฮม โดยเล็งเห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้อยู่อาศัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความแตกต่างในตลาดพลังงานทดแทน” ทวนทอง กล่าวพร้อมเสริมว่า   ปัจจุบันการรับรู้ของ เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ ในกลุ่มครัวเรือนยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเข้าถึงยาก แต่สำหรับ EnergyLIB มุ่งทำให้พลังงานสะอาดเป็นเรื่องง่ายและทุกครัวเรือนเข้าถึงได้ ด้วยความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ที่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคไทย ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในบ้านรูปแบบใด   สำหรับ LIB Solar Townhome ผลงานจากการระดมความคิดที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยที่อาศัยอยู่ในบ้านทาวน์โฮม ซึ่งได้ออกแบบโซลูชันเฉพาะทางกับเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ครั้งแรกในไทย มาพร้อมแนวคิด “เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง” ยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนที่คุณรัก ไม่ต้องทนร้อนในบ้านอีกต่อไป โดยมาพร้อมนวัตกรรมและดีไซน์ใหม่ล่าสุด ดังนี้   ปลดล็อกอิสระด้านพลังงาน ให้เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง พลิกโฉมวงการโซลาร์เซลล์ ด้วยไมโครอินเวอร์เตอร์ดีไซน์ใหม่ แผงโซลาร์ทาวน์โฮมสุดล้ำ บางและน้ำหนักเบา ติดตั้งได้แม้กระทั่งบนหลังคาโรงจอดรถทาวน์โฮม ติดตั้งง่าย พร้อม LIB Home แอปพลิเคชันจัดการพลังงานอัจฉริยะ Plug-and-Play ใช้คนเพียง 2 คน ทั้งการติดตั้งเอง หรือ ใช้ช่างไฟ/ช่างหมู่บ้าน รวมถึงสามารถติดตั้งได้แบบไม่ต้องเจาะหลังคา   นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชัน LIB Home สามารถมอนิเตอร์ระบบได้แบบเรียลไทม์ทุกที่ทุกเวลา โดยวางกลยุทธ์ราคา LIB Solar Townhome อยู่ที่ 69,900 บาท พร้อมโปรโมชันสำหรับพรีออเดอร์ รับส่วนลดพิเศษ 5,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 7 – 21 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น โดยโปรโมชันมีจำนวนจำกัด สามารถพรีออเดอร์ได้แล้วผ่านช่องทางออนไลน์ร้านค้า EnergyLIB Official ที่ Shopee, Lazada และ NocNoc รวมถึงร้านค้า BaNANA, HomePro, Power Buy และผู้จัดจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ   Alternate-X สรุปให้  ตลาดโซลาร์เซลล์ไทยปี 2568 คาดแตะ 6.7 หมื่นล้านบาท รับดีมานด์พลังงานพุ่งจากรถ EV และพฤติกรรมในบ้าน EnergyLIB เปิดตัว “LIB Solar Townhome” ระบบโซลาร์เจาะตลาดทาวน์โฮมโดยเฉพาะ ชูจุดขายเปิดแอร์ได้ 8 ชั่วโมง, แผงบางเบาติดตั้งง่าย ไม่ต้องเจาะหลังคา รองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองด้วยแอป LIB Home บริหารพลังงานแบบเรียลไทม์ ตั้งราคาจับต้องได้ พร้อมพรีออเดอร์ผ่านทั้งออนไลน์และร้านค้าชั้นนำ    

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

กำลังซื้อสภาพ(ไม่)คล่อง ทำความต้องการเงินด่วนพุ่ง กรุงศรีฯเปิด 3 หมวดสินค้าคนใช้จ่ายสูง

BizKet

กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ เห็นช่องตลาดสินเชื่อบุคคลขยายตัวต่อเนื่อง ส่งแคมเปญฯใหม่พร้อมโปร ดอกเบี้ย 0% นาน30 วันเติมสภาพคล่อง คาดได้บัญชีใหม่โต14% สิ้นปี68   อธิป ศิลป์พจีการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบรนด์กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ กล่าวว่า  ในปีนี้ บริษัทฯ มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้มีสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ และยกระดับบริการให้สะดวก รวดเร็ว ตอบรับความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมความต้องการสินเชื่อส่วนบุคคล ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ  อาทิ บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด, สินเชื่อเงินสด และสินเชื่อผ่อนชำระ เตรียมรุกตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล   “พร้อมจัดแคมเปญสื่อสารการตลาดเพื่อสื่อสารจุดเด่นของแบรนด์ และนำเสนอโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าที่สมัครบัตรใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ต่อเนื่อง” อธิป กล่าว   โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ มียอดบัญชีลูกค้าใหม่ เติบโต +9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยจากพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่อนชำระผ่านบัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง   ขณะที่ หมวดใช้จ่ายผ่อนชำระที่มีอัตราเติบโตสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่   ไลฟ์สไตล์และนันทนาการต่าง ๆ (เติบโต +41%) เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในบ้าน (เติบโต +29%) ประกันภัยและประกันชีวิต (เติบโต +19%)   “แสดงให้เห็นถึงความต้องการของลูกค้าที่ต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มอบความยืดหยุ่นในการบริหารค่าใช้จ่าย และสามารถตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ”  อธิป กล่าวพร้อมเสริมว่า   สอดคล้องกับข้อมูลจากการทำวิจัยการตลาดที่พบว่าหนึ่งในจุดเด่นของผลิตภัณฑ์สินเชื่อเงินสดที่โดนใจลูกค้ามากที่สุด คือ ความสะดวก รวดเร็วและอนุมัติไว     ทั้งนี้ กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ได้สร้างสรรค์แคมเปญโฆษณาชุดใหม่ “บัตรกดเงินสดเฟิร์สช้อยส์ อนุมัติไว…เข้าใจคนรอ” เพื่อตอกย้ำจุดเด่นความเป็นแบรนด์ที่เข้าใจความรู้สึกของลูกค้าที่ไม่ต้องการรออะไรนาน ๆ ถ่ายทอดผ่านโฆษณาที่หยิบเอาสถานการณ์การรอคิว   โดยมีตัวละครเอกอย่าง ”พี่ไกรทอง” ที่ต้องไปต่อคิว หลังจากถูกจระเข้งับ เป็นตัวแทนผู้บริโภคที่รู้สึกทรมานจากการรอคอย แต่กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์พร้อมมอบความสะดวก รวดเร็ว สมัครบัตรได้ง่าย ๆ ผ่านหลากหลายช่องทาง อาทิ แอปพลิเคชัน UCHOOSE หรือเว็บไซต์ www.firstchoice.co.th หรือที่สาขาเฟิร์สช้อยส์ทั่วประเทศ ยื่นเอกสาร ทราบผลอนุมัติไว และเมื่ออนุมัติก็รับวงเงินแบบโอนเงินทันใจ ได้เงินทันที พร้อมใช้ในเรื่องเร่งด่วน ทุกความจำเป็นของลูกค้า   ทั้งนี้ ในช่วงเปิดตัวแคมเปญ บริษัทยังได้ออกโปรโมชันพิเศษเพื่อขยายฐานลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 – 30 มิถุนายน 2568 เพียงสมัครบัตรใหม่สามารถเลือกรับไอเทมโดนใจสูงสุด 4,990 บาท พร้อมรับสิทธิ์เบิกถอนเงินสด ไม่มีดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 30 วัน เมื่อมียอดใช้จ่ายตามเงื่อนไข   อธิป กล่าวว่า ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ที่มอบสองบริการในบัตรเดียว ทั้งบริการกดเงินสด โอนเงินทันใจ ได้เงินทันที และบริการสินเชื่อผ่อนชำระ ซึ่งมีบริการผ่อนชำระกับพันธมิตรร้านค้ากว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศในหลากหลายหมวด รวมถึงบริการที่สะดวก รวดเร็ว สมัครง่าย อนุมัติไว และแคมเปญสื่อสารการตลาดใหม่ น่าจะช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโต พร้อมกับคุณภาพสินเชื่อที่ดีภายใต้กรอบการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม   “โดยตั้งเป้าจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่กว่า 200,000 บัญชี เติบโต 14% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และตั้งเป้ายอดสินเชื่อส่วนบุคคลแตะ 52,000 ล้านบาท ภายในปี 2568” อธิป กล่าวสรุป ทั้งนี้ บัตรเครดิต: ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี, สินเชื่อส่วนบุคคล: อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 3% – 25% ต่อปี   Alternate-X สรุปให้ กำลังซื้อฝืดทำดีมานด์เงินด่วนพุ่งต่อเนื่อง กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์รุกตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล เปิดแคมเปญ “อนุมัติไว…เข้าใจคนรอ” ดอกเบี้ย 0% นาน 30 วัน เจาะลูกค้ากลุ่มเร่งด่วน หมวดใช้จ่ายผ่อนชำระเติบโตสูงสุดคือ ไลฟ์สไตล์ เฟอร์นิเจอร์ และประกันชีวิต บริษัทตั้งเป้าบัญชีใหม่โต 14% ในปี 2568 ด้วยบริการกดเงิน-ผ่อนชำระในบัตรเดียว เน้นความเร็ว สะดวก สมัครง่าย อนุมัติไว พร้อมสิทธิพิเศษช่วงแคมเปญถึงมิถุนายนนี้

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

แสนสิริ ทำหนังขาวดำ สื่อสารแบรนด์ผ่าน ‘Cinematic’ เล่า 12 เรื่องย้ำแบรนด์ทรงพลัง

BizKet

ด้วยสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในรอบปีที่ผ่านมา ถึงในปีนี้ ผู้พัฒนาอสังหาฯ หลายค่ายล้วนต่างเจอบททดสอบความแข็งแกร่งในตลาด จากหลายปัจจัยที่กระทบทั้งกำลังซื้อตลาดกลาง-ล่าง ที่หายไปต่อเนื่องจากปีก่อน   ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่ต่างปรับแผนมาทำลักซูรี่ โปรดักส์ เพื่อเจาะกำลังซื้อกลุ่มมั่งคั่ง ที่ค่อนข้างไร้ผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้น   ล่าสุดภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวเขย่ากรุงเทพฯ เมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ได้สั่นคลอนตลาดอสังหาฯระลอกใหม่ โดยเฉพาะโปรดักส์คอนโดมีเนียมสูงของผู้ประกอบการเกือบทุกราย ทำให้หลายค่ายอสังหาฯ ต่างคาดว่าตลาดในไตรมาสสองปีนี้ อาจมีทรงซึมๆ ตามมู้ดผู้บริโภคในภาพรวมที่จะยังลังเลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้   แม้บรรยากาศจะไม่เป็นใจ แต่ฝั่ง ‘แสนสิริ’ กลับมองว่าเป็นจังหวะที่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานานร่วม 40 ปี อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดอสังหาฯ ที่แข่งขันสูง   รวมถึงใช้ช่วงจังหวะนี้สร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ (Brand Awareness & Recall) ด้วยการสื่อสารซ้ำ ๆ ผ่านแคมเปญการตลาดให้ผู้บริโภคจดจำ ไปพร้อมปรับตัวให้เข้ากับบริบทเศรษฐกิจและผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป     ต่อแนวทางดังกล่าว สอดคล้องกับด้าน ‘ศรีอำไพ รัตนมยูร’ ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ปี 2568 แสนสิริได้เปิดตัวแบรนด์แคมเปญครั้งสำคัญ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี’ พร้อมสะท้อนความแข็งแกร่งแบรนด์ตลอดกว่า 40 ปี พัฒนาโครงการมากว่า 500 โครงการ 130,000 ยูนิต ดูแลลูกบ้านกว่า 130,000 ครอบครัว   “ไม่ง่ายที่องค์กรแห่งหนึ่งจะก้าวข้ามหลายวิกฤติเผชิญกับความท้าทายในหลากหลายด้านมาอย่างต่อเนื่อง” ศรีอำไพ กล่าวพร้อมเสริมว่า “ซึ่งแสนสิริ” ยังคงเป็นผู้นำตลาด และพิสูจน์ความแข็งแกร่งของแบรนด์ พร้อมรักษาผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ”   ทั้งนี้ ยิ่งทำให้แสนสิริ ต้องย้ำความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของแบรนด์ เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ รวมถึงเน้นคุณค่าทางอารมณ์ (Emotional Value) มากกว่าตัวสินค้า   ล่าสุด ในไตรมาสสอง ปีนี้ แสนสิริ ได้เปิดตัวแบรนด์แคมเปญใหญ่แห่งปี ‘Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี’ ตอกย้ำผู้นำอสังหาฯ ไทย กว่า 40 ปีแห่งความสำเร็จ พร้อมสื่อสารผ่านเรื่องราวอันประทับใจทุกวันชีวิตดี กับ 12 Brand Films ถ่ายทำแบบ Cinematic ในโทนขาว-ดำที่ทรงพลัง พร้อมตัดกับเสียงเพลงสนุกๆ Don’t Wait Up แนว Electro Funk จากวง Midnight Generation ที่ช่วยเติมชีวิตชีวาและปลุกอารมณ์ให้อยากลุกขึ้นมาสนุกในทุกวัน   เพื่อสะท้อนปรัชญาการสร้างบ้านที่มากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน ผ่าน 4 แกนหลัก   ไทม์เลสดีไซน์ คุณภาพและบริการอย่างไม่มีวันสิ้นสุด คอมมูนิตี้การอยู่อาศัย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี การสร้างความยั่งยืน   ศรีอำไพ กล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่ทำให้แสนสิริ ประสบความสำเร็จได้ คือ เราเชื่อมั่นในเรื่องการสื่อสารแก่นแท้ของแบรนด์ ที่ยึดมั่นในปรัชญาของ Constructing Life, Not Just Building ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างบ้านที่มากกว่าที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างความสุขให้กับทุกคน   พร้อมสะท้อนความทรงพลังของแบรนด์แสนสิริ ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ด้วยผ่าน ‘12 Brand Films’ นำเสนอผ่านภาพขาว-ดำที่เป็นเอกลักษณ์ สะท้อนถึง DNA ของแบรนด์แสนสิริที่ไม่เหมือนใคร   โดยทุกฉากถ่ายทำในโครงการจริงของแสนสิริ นำเสนอไลฟ์สไตล์และประสบการณ์การใช้ชีวิตผ่านมุมมองของกลุ่มคนที่หลากหลาย ทั้งครอบครัวหลายเจเนอเรชั่น คู่รัก คนโสด โมเมนต์กับสัตว์เลี้ยง กลุ่มเพื่อน และคอมมูนิตี้   ศรีอำไพ ย้ำว่า ด้วยความเข้าใจในสภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับไลฟ์สไตล์ และความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันในแบบเฉพาะตัว ทำให้แสนสิริมุ่งศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ในทุกรายละเอียด เพื่อออกแบบและสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล ด้วยแนวคิดนี้ สะท้อนผ่าน Brand Films 12 เรื่อง ถ่ายทอด 12 โมเมนต์ ออกมา   ใช้ชีวิตในทุกวันให้ดี   สำหรับแบรนด์แคมเปญ Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี มาพร้อมกับการออกแบบภาพลักษณ์ใหม่ที่สดใส ทันสมัย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยโทนสีหลัก Navy Blue ผสานกับ Red และ White สะท้อนความเป็นทางการ ความมั่นคง ความมีพลังในแบบร่วมสมัยและเข้าถึงทุกคนได้   โดยเตรียมเผยแพร่ผ่านสื่อหลากหลายช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้แนวคิด “Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี” ถูกนำเสนอไปยังผู้คนในวงกว้าง ตอกย้ำจุดยืนของแสนสิริในฐานะผู้นำตัวจริงในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เข้าใจความต้องการของผู้คนอย่างแท้จริง   ศรีอำไพ กล่าวว่า “หากหลายๆ คน ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย แสนสิริจะเป็นแบรนด์ในดวงใจที่เขานึกถึงและเราขอชวนให้ทุกคนให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่ดีในทุกวัน กับแบรนด์แคมเปญล่าสุดจากแสนสิริ Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี มุ่งถ่ายทอดปรัชญาการสร้างบ้านที่มากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคนในทุกวัน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ และขณะเดียวกัน แสนสิริพร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 ด้วยการนำเสนอคุณค่าของการอยู่อาศัยที่มากกว่าบ้านหลังใหญ่ แต่คือชีวิตที่ดีในทุกวัน เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่วันพิเศษแต่อยู่ที่ “ทุกวัน” ที่มีคุณภาพ”     Alternate-x สรุปให้  แสนสิริ เปิดตัวแคมเปญใหม่ “Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี” ผ่านหนังขาวดำ 12 เรื่องในสไตล์ Cinematic มุ่งสื่อสารภาพลักษณ์แบรนด์แข็งแกร่งและมีอัตลักษณ์ แม้ตลาดอสังหาฯ จะชะลอตัว เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมผ่านการเล่าเรื่องจากชีวิตจริงของผู้คนในโครงการจริงของแสนสิริ โดยเน้น Emotional Branding เพื่อสร้างการจดจำและเชื่อมโยงทางใจกับผู้บริโภค เพื่อตอกย้ำจุดยืนการเป็นแบรนด์ที่สร้าง “บ้านเพื่อคุณภาพชีวิต” ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

เม็ดเงินโฆษณายุคใหม่ ปี68 อยู่ในสื่อดิจิทัลแล้ว 50% อินฟลูฯ ครอง 30% แซงอินเทอร์เน็ต

BizKet

ผู้บริโภคยุคใหม่ สุดซับซ้อน ‘ดิจิทัล’ เพียวๆไม่ใช่คำตอบสุดท้าย MI แนะใช้สื่อผสมเจาะ 8 กลุ่มเป้าหมาย   จากจุดเริ่ม Technology Disruption ที่คำนี้เกิดขึ้นเมื่อราวปี 2551-2552 ได้สั่นคลอนในแทบทุกอุตสาหกรรมโดยเฉพาะวงการสื่อต่างเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล และมีผลต่อภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภค บริโภค ที่นักการตลาด และ เจ้าของแบรนด์ หันมาพิถีพิถันการใช้เม็ดเงินซื้อสื่อโฆษณา เพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายด้วยหวังรีเทิร์นกลับมาสู่ยอดขายให้ได้มากที่สุด   ทำให้ในช่วงตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนภาพชัดการเติบโตของเม็ดเงินในอุตสาหกรรมสื่อที่ถูกเปลี่ยนผ่านจาก สื่อหลัก(ในอดีต) หรือสื่อดั้งเดิมโดยเฉพาะ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือ สื่อนอกบ้าน ไปยัง สื่อใหม่ (New Media) รวมถึง สายอาชีพใหม่​ทั้ง ยูทูบเบอร์ เคโอแอล (KOL) อินฟลูเอ็นเซอร์ ต่างเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก   ส่งผลให้อุตสาหกรรมสื่อในดิจิทัล ในปัจจุบัน กลายเป็นสมรภูมิน่านน้ำสีแดง (Red Ocean) ที่แข่งขันจนทะเลเดือดจัด ไปแล้ว   ขณะที่ในปี 2568 นี้ ‘MI Group’ คาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรม-การตลาดจะมีมูลค่าราว 87,666 ล้านบาท เติบโตขึ้น 2% ซึ่งปรับลดจากคาดการณ์เดิมจะเติบโต 4.5%จากปีก่อน 2567 และแน่นอนว่า เม็ดเงินการใช้สื่อโฆษณาของนักการตลาด แบรนด์สินค้า ต่างทุมน้ำหนักให้กับสื่ออินเทอร์เน็ตรูปแบบต่างๆ มากขึ้น   โดยตัวเลขน่าสนใจ คือ การปรับสัดส่วนระหว่างสื่อดั้งเดิม (ทีวี, สื่อนอกบ้าน, Bangkok Radio,สื่อโรงภาพยนตร์, หนังสือพิมพ์ และ นิตยสาร) รวมกันอยู่ที่ 50%   และแน่นอนว่าอีก 50% หรือกว่า 43,500 ล้านบาท เป็นของสื่อใหม่ซึ่งในสัดส่วนนี้เป็นของอินเทอร์เน็ต และ อินฟลูเอ็นเซอร์ (สัดส่วน 20% และ 30% ของภาพรวมตามลำดับ)     ด้าน ‘ภวัต เรืองเดชวรชัย’ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI กรุ๊ปในเครือ Hakuhodo และ Far East Fame Line DDB หนึ่งในมีเดียเอเยนซี่ชั้นนำของไทย เล่าถึงสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ซึ่งมีผลต่อการดำเนินธุรกิจในภาพรวมทั้งตัวเอเยนซี และ นักการตลาด และแบรนด์สินค้า ตลอดช่วงที่ผ่านมา เช่นกัน   จากแนวโน้มการใช้เม็ดเงินในอุตสาหกรรม-การตลาด ที่ให้น้ำหนักมายัง นิว มีเดีย เป็นจำนวนมากขึ้นนั้นถึงในปัจจุบันนี้ ‘ภวัต’ บอกว่า แม้วิธีการนี้จะตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ในปัจจุบันที่ใช้เวลาอยู่กับสื่อออนไลน์ แพล็ตฟอร์มต่างๆและเชื่อถือเคโอแอล มากขึ้นก็ตาม   ทว่าแนวทางดังกล่าวอาจยังไม่ใช่คำตอบที่สุดจริง และนำผลลัพธ์กลับมาสู่ภาพรวมทั้งการรับรู้แบรนด์ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายสินค้า ที่นำมาสู่การปิดยอดขายที่แท้จริงในที่สุด   จัดกลุ่มเป้าหมายชัด–ซัดด้วย Mixed Media   ภวัต มองว่า กลยุทธ์การตลาดการใช้สื่อผสม ‘Mixed Media’ จะเป็นทางออกที่น่าสนใจให้กับแบรนด์ที่ดีที่สุดด้วยเหมาะสมกับผู้บริโภคยุคนี้ มีความหลากหลายและซับซ้อน ซึ่งแบ่งได้ 8 กลุ่มเป้าหมาย ที่ต้องโฟกัส ในปี 2568 ดังนี้   1.แรงงานเกษตร  ‘12 ล้านคน’ กลุ่มแรงงานฐานรากที่แม้จะไม่อยู่ในเมือง แต่เข้าถึงเทคโนโลยีและโซเชียลมากขึ้นผ่านมือถือ กำลังซื้อสำคัญในตลาด FMCG พร้อมเปิดรับนวัตกรรมเกษตรมากขึ้นเรื่อยๆ   ช่องทางแนะนำ: Facebook, TikTok, สื่อท้องถิ่น (ป้าย/วิทยุ), อีเวนต์ชุมชน/งานประเพณี   2.แรงงานบริการ ‘5 ล้านคน’ กลุ่มสำคัญที่สร้างประสบการณ์บริการในชีวิตประจำวัน ทั้ง ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรม ภาคบริการสุขภาพและท่องเที่ยว ที่มีพลังการจับจ่าย และเป็นกลุ่มที่เข้าถึงสื่อผ่านมือถือสูงมาก   ช่องทางแนะนำ: Facebook, YouTube, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/ตลาดเช้า/ห้างฯ), บูธกิจกรรมในบริเวณแหล่งชุมชนและที่ทำงาน   3.Gen Z (13–29 ปี)  ‘13 ล้านคน’ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ ‘Trend Setter’ นิยามโลกในแบบของตัวเอง ทั้งพฤติกรรม การซื้อสินค้า และการเสพสื่อ แรงขับเคลื่อนของทุกแพลตฟอร์ม พฤติกรรมไวต่อกระแส ต้องการการสื่อสารที่สร้างการมีส่วนร่วมและให้คุณค่าความเป็นตัวเอง   ช่องทางแนะนำ: TikTok, IG, YouTube, X, Gaming-Discord, สื่อนอกบ้าน (Transit, ใกล้สถานศึกษา/ห้างฯ)   4.พนักงานบริษัท ‘18 ล้านคน’ กลุ่มชนชั้นกลางที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองเปิดรับข้อมูลเยอะ แต่เลือกเชื่อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และให้คุณค่ากับแบรนด์ที่เข้าใจชีวิตจริง   ช่องทางแนะนำ: Facebook, TikTok, YouTube, LinkedIn, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/Transit/ออฟฟิศ), Roadshow ทดลองใช้/สมัครบริการ   5.กลุ่มใกล้เกษียณ/ผู้สูงวัย ‘18.6 ล้านคน’ ที่มีทั้งเวลาและกำลังซื้อ พร้อมดูแลตัวเองและคนรอบข้าง ต้องการความมั่นใจในแบรนด์และความคุ้มค่าเป็นกลุ่มที่อาจไม่ได้ไวกับเทคโนโลยี แต่ซื่อสัตย์ต่อแบรนด์ที่เชื่อถือได้   ช่องทางแนะนำ: Line, TV, YouTube, Facebook, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/Transit/ห้างฯ/โรงพยาบาล), บูธกิจกรรม (ตรวจสุขภาพ/แจกสินค้าตัวอย่าง)   6.Micro Sellers (พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์/ออฟไลน์) ‘4 ล้านคนขึ้นไป’ พวกเขาใช้ทุกเครื่องมือเพื่อสร้างรายได้ ทั้งไลฟ์สด ขายหน้าร้าน และโซเชียล แบรนด์ที่เข้าถึงและสนับสนุนพวกเขาได้ จะได้พลังจากปากต่อปากที่มหาศาล   ช่องทางแนะนำ: Facebook Group, TikTok, ป้ายตลาด/หน้าร้านขายส่ง, อีเวนต์ฝึกอาชีพ/แจกแพ็กเกจเริ่มต้น   6.แรงงานต่างด้าว ‘มากกว่า 10 ล้านคน’ ผู้ที่เดินทางมาทำงานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจไทย พวกเขาไม่ได้แค่ทำงาน แต่ใช้จ่าย กิน เที่ยว และสร้างชุมชนต้องการสื่อสารผ่านภาษาของเขา และช่องทางที่พวกเขาใช้จริง   ช่องทางแนะนำ: Facebook ภาษาถิ่น, YouTube, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/Transit/โชวห่วย/CVS) ป้ายที่พัก/นิคมฯ/โรงงาน, บูธแจกซิม/สินค้าตัวอย่าง   7. นักท่องเที่ยวต่างชาติ เป้าหมาย 36–39 ล้านคน กลุ่มที่เดินทางเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ พร้อมใช้จ่ายกับสิ่งที่แตกต่าง คุ้มค่า และสร้างความประทับใจ ให้ความสำคัญกับความสะดวก ความต่างเฉพาะถิ่น และประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์   ช่องทางแนะนำ: ป้ายสนามบิน/แลนด์มาร์ก/ แหล่งท่องเที่ยว, Travel Platform, รีวิว   ปี68 ยังมีสัญญาณบวก   ภวัต ย้ำว่า “ปีนี้ไม่ใช่เวลายิงโฆษณากว้างๆ หรือจำกัดวงแคบจนเกินไป แต่ต้อง “เล็งแหลม” และกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ไปยังกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจับจ่ายสินค้าและบริการในหมวดที่แตกต่างกัน   พร้อมทิ้งท้ายว่า แม้เศรษฐกิจไทยต้นปี 2568 มีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย ทั้งนโยบายเศรษฐกิจโลกและความผันผวนภายในประเทศ แต่ยังเห็น ‘สัญญาณบวก’ ในหลายภาคส่วน ที่สะท้อนพลังฟื้นตัวไตรมาสแรกที่ผ่านมาทั้ง   แรงซื้อจากยอดจองรถยนต์ในงาน (ไม่รวมมอเตอร์ไซค์) รวมทั้งสิ้น 77,379 คัน เพิ่มขึ้น 41.6% จากปี 2567 จากความร้อนแรงของตลาด EV จีน มีสัดส่วนยอดจอง EV สูงถึง 65% ของทั้งหมด สงกรานต์ระดับโลก Maha Songkran Festival 2025 ตลอด 5 วัน (11 – 15 เมษายน) ณ ท้องสนามหลวง มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1.1 ล้านคน สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 4,097.17 ล้านบาท ย้ำศักยภาพ Soft Power ไทย ดันสงกรานต์สู่เทศกาลระดับโลกท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแรงต่อเนื่อง รัฐประกาศปี 2025 เป็น Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 จัดอีเวนต์ต่อเนื่องมีนาคม–กันยายน เจาะช่วงโลว์ซีซัน Bangkok Pride Festival 2025 คาดผู้ร่วมงานกว่า 300,000 คน เป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ 39 ล้านคน แรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ ผ่อนคลายชั่วคราว Trump ชะลอขึ้นภาษีนำเข้า 90 วันทั่วโลก ท่าทีที่ผ่อนปรนต่อภาษีสินค้าจีนบางประเภท Trump ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากจีน 145% ช่วงต้นเดือนเมษายน ล่าสุดมีการเลื่อนเก็บภาษีออกไปอีก 90 วัน และส่งสัญญาณว่าความเข้มข้นด้านนโยบายอาจมีการทบทวน   MI = ทุกคำตอบโซลูชั่นธุรกิจ   ภวัต กล่าวอีกว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่อภาพรวมธุรกิจมีเดีย เอเยนซี ต้องปรับตัวเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของตลาดเช่นกัน ทำให้เห็นภาพของการควบรวมเครือข่ายมีเดีย เอเยนซี เกิดขึ้น และคาดว่าจะเหลือราว 5 เน็ตเวิร์คที่เตรียมเปิดตัวกลางปี 2568 นี้   ขณะที่ MI ได้ทบทวนพร้อมวางตำแหน่งการให้บริการจากการเป็น ตัวกลาง Media Agency สู่การเป็นผู้ประกอบร่างโซลูชั่นสำหรับธุรกิจ (Integrated Solutions Provider) ที่นำเสนอทั้ง กลยุทธ์ และ ทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ด้วยเช่นกัน   Alternate-x สรุปให้  พฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลมีความซับซ้อนมากขึ้น การใช้ “ดิจิทัลล้วน” ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการสื่อสารการตลาดอีกต่อไป MI แนะใช้ “สื่อผสม (Mixed Media)” เจาะ 8 กลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายทางพฤติกรรมและช่องทางการเข้าถึง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เชิงยอดขายจริง ปี 2568 คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณารวมกว่า 87,666 ล้านบาท โดย 50% ทุ่มให้กับสื่อดิจิทัล อินเทอร์เน็ต และอินฟลูเอนเซอร์ แนวโน้มธุรกิจสื่อกำลังเข้าสู่ยุคของการควบรวมและปรับตัวเป็นโซลูชันแบบครบวงจร

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

เอมิเรตส์  ดีเดย์ 1 ก.ค. ส่งแอร์บัส A380 เที่ยวบินหรูบินไปกรุงเทพฯ ย้ำเมืองปลายทางสำคัญ

BizKet

สายการบินเอมิเรตส์ เปิดตัวสำนักงานขาย ‘Emirates World’ แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ยกระดับบริการระดับเวิลด์ คลาสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   อัดนัน กาซิม รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินเอมิเรตส์ กล่าวว่า สายการบินเอมิเรตส์ เปิดตัวสำนักงานขาย Emirates แห่งใหม่อย่างเป็นทางการใจกลางกรุงเทพฯ   โดยสำนักงานขายฯ แห่งนี้เป็นพื้นที่ระดับพรีเมียมในรูปแบบเลานจ์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ด้านการเดินทาง พร้อมสินค้าลิขสิทธิ์ภายใต้แบรนด์เอมิเรตส์ และการจัดแสดงแบบเสมือนจริงที่ให้ผู้เยี่ยมชมได้สำรวจผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์ของเอมิเรตส์อย่างใกล้ชิด   “การเปิดตัวสำนักงานขายแห่งใหม่ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นระยะยาวของสายการบินในประเทศไทย และการเติบโตของตลาดการเดินทางระดับพรีเมียมในระดับภูมิภาค” กาซิม กล่าว   พร้อมเสริมว่า การเปิดตัวสำนักงานขาย Emirates World ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการลงทุนครั้งที่สองของสายการบินเอมิเรตส์ในประเทศไทยภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน นับตั้งแต่การเปิดตัวห้องรับรองผู้โดยสารระดับพรีเมียม ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ด้วยงบลงทุนราว 175 ล้านบาท (5 ล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งถือเป็นห้องรับรองที่ใหญ่ที่สุดของสายการบินรองจากห้องรับรองที่สนามบินนานาชาติดูไบ   นอกจากนี้ การลงทุนในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับการประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในไทยผ่านเครือข่ายทั่วโลกของเอมิเรตส์ ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมมือกันในการดำเนินกิจกรรมด้านการตลาดและการส่งเสริมการขาย เพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางชั้นนำอย่างมีประสิทธิภาพ     กาซิม กล่าวว่า “การเปิดสำนักงานขาย Emirates World ณ กรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าในไทยได้มากขึ้น และกรุงเทพฯ ยังคงเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยแนวคิดใหม่ของสำนักงานขายแห่งนี้จะยกระดับประสบการณ์การค้าเฉพาะบุคคลที่เหนือระดับ พร้อมถ่ายทอดจิตวิญญาณของเอมิเรตส์มาสู่กรุงเทพฯ อย่างแท้จริง”     สำนักงานขาย Emirates World แห่งใหม่นี้จะนำเสนอความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ ความเชี่ยวชาญด้านการเดินทาง และการบริการระดับพรีเมียมของเอมิเรตส์สู่ย่านการค้าใจกลางกรุงเทพฯ ณ เกษรเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าระดับสูง โดยความโดดเด่นของสำนักงานขายแห่งนี้ อยู่ที่โซน Onboard Lounge ที่ได้ยกห้องรับรองจากเครื่องบินของสายการบินรุ่น A380 ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสบรรยากาศที่หรูหรา   พร้อมจัดแสดงที่นั่งชั้น Premium Economy ที่กำลังจะเริ่มให้บริการบนเที่ยวบิน EK372/373 ในเส้นทางระหว่างดูไบและกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป   สำนักงานได้ออกแบบในรูปแบบห้องรับรองที่เปิดโล่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 250 ตารางเมตร และสะท้อนถึงการออกแบบที่โปร่งสบายของห้องโดยสารภายในเครื่องบินของสายการบินเอมิเรตส์ ภายในร้านมีเคาท์เตอร์ให้บริการผู้โดยสาร   โดยมีที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเอมิเรตส์พร้อมให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว ทั้งในด้านการสำรองที่ยวบิน การออกบัตรโดยสาร และการให้ข้อมูลการเดินทาง อีกทั้งแนะนำประสบการณ์สุดพิเศษที่ออกแบบเฉพาะบุคคล ครอบคลุมจุดหมายปลายทางทั่วโลกของสายการบิน     นอกจากนี้ ภายในสำนักงานมีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ตู้บริการอัตโนมัติจอดิจิทัลสำหรับตรวจสอบเที่ยวบินและค้นหาเส้นทางปลายทาง ตลอดจนกระจกเซลฟี่อินเตอร์แอคทีฟที่มาพร้อมฉากหลังวิวทิวทัศน์เสมือนจริงสุดอลังการ   สำนักงานขาย Emirates World ในกรุงเทพฯ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายธุรกิจค้าของสายการบินเอมิเรตส์ที่ครอบคลุมทั่วโลก โดยต่อยอดจากความสำเร็จในการเปิดตัวสำนักงานฮ่องกง มะนิลา สิงคโปร์ และเมืองที่สำคัญอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการนำเสนอนวัตกรรมการค้าด้านการเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ทั้งนี้ สายการบินเอมิเรตส์มีแผนการลงทุน 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อเดินหน้าเปิดสำนักงานขาย Emirates World สู่เมืองสำคัญทั่วโลกเพื่อมอบประสบการณ์การบริการระดับพรีเมียมให้แก่ลูกค้า และเข้าถึงนักเดินทางทั่วทุกมุมโลก     อนึ่ง เอมิเรตส์ให้บริการในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2533 และในปีนี้ถือเป็นโอกาสครบรอบ 35 ปีของสายการบินในประเทศไทย ปัจจุบันเอมิเรตส์มีเที่ยวบินระหว่างดูไบและกรุงเทพฯ จำนวน 5 เที่ยวบินต่อวัน และเที่ยวบินไป-กลับดูไบและภูเก็ต 2 เที่ยวบินต่อวัน และเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพฯและฮ่องกง 1 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งเชื่อมโยงประเทศไทยสู่ 140 จุดหมายปลายทางทั่วโลกใน 6 ทวีป   บินกับ A380 โฉมใหม่-ห้องโดยสาร4ชั้น   พร้อมกันนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป สายการบินเอมิเรตส์เตรียมให้บริการเครื่องบินแอร์บัส A380 ที่ปรับโฉมใหม่ พร้อมห้องโดยสารแบบ 4 ชั้นไปยังกรุงเทพฯ   เครื่องบินดังกล่าวประกอบไปด้วยบริการ   Premium Economy ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางระยะไกล ที่นั่งชั้นหนึ่ง (First class) ชั้นธุรกิจ (Business Class) ชั้นประหยัด (Economy Class) ที่ได้รับการยกระดับด้วยเช่นกัน   โดยกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งใน 8 เมืองใหม่ที่จะได้ใช้บริการเครื่องบิน A380 และ Boeing 777 รุ่นใหม่ล่าสุดของเอมิเรตส์ ซึ่งมาพร้อมการปรับปรุงภายในอย่างเต็มรูปแบบ   สำหรับ สายการบินเอมิเรตส์ (Emirates) เริ่มต้นดำเนินงานในปี พ.ศ. 2528 ด้วยเครื่องบินเพียง 2 ลำ ก่อนจะก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการฝูงบิน Airbus A380 และ Boeing 777 ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน   Alternate-X สรุปให้    เอมิเรตส์เปิดตัวสำนักงานขาย Emirates World แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ภายใต้คอนเซ็ปต์พรีเมียมเลานจ์ และบริการเฉพาะบุคคล สำนักงานออกแบบล้ำสมัย พร้อมฟีเจอร์ดิจิทัลและมุมจำลองห้องโดยสาร สะท้อนความมุ่งมั่นลงทุนระยะยาวในไทย  และส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยสู่ทั่วโลก พร้อมเตรียมให้บริการ A380 โฉมใหม่พร้อมห้องโดยสาร 4 ชั้น เริ่ม 1 ก.ค. นี้ ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ด้วยที่นั่ง Premium Economy   

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

หนุนกรุงเทพฯ เมืองเที่ยวเชิงประสบการณ์หรู ผ่านร่างทอง JW Marriott รัชดา

BizKet

หลังจากบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย ใช้งบลงทุนกว่า 8,704 ล้านบาท เข้าซื้อบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด เจ้าของโรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา จากตระกูล ‘มหาดำรงค์กุล’ ไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา   โดยแผนดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้ใช้เงินกว่า 4,415 ล้านบาท เข้าลงทุนใน บริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด และใช้งบอีก 4,289 ล้านบาท เพื่อเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น JW Marriott พร้อมคาดดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายในปี 2571   ความคืบหน้าล่าสุด ‘วัลลภา ไตรโสรัส’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า จากความร่วมมือระหว่างพันธมิตร แมริออท อินเตอร์เนชันแนล ตลอดช่วงที่ผ่านมาในหลายโครงการ รวมทั้งในในครั้งนี้ได้นำหนึ่งในแบรนด์สำคัญของเครือแมริออท สู่การพัฒนาโรงแรม ‘เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก’   โดยโรงแรมแห่งใหม่นี้ วางเป้าหมายเพื่อสร้างนิยามใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมของไทย ภายใต้แนวคิด AWC’s Lifestyle Destination พร้อมสร้างประสบการณ์ในรูปแบบรีสอร์ตใจกลางเมือง ให้ความหรูหรา ด้วยบริการเวลเนส และความทันสมัย ไว้ภายในพื้นที่โครงการเดียวกัน พร้อมส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก และสนับสนุนให้กรุงเทพฯ ก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำ สำหรับการประชุมระดับโลกและประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์    ด้าน ‘มร. ฌอน ฮิลล์’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนา ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก  (ไม่รวมประเทศจีน) แมริออท อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า ความร่วมมือกับ AWC ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งการเดินทางสำคัญของแบรนด์ JW Marriott ในย่านธุรกิจแห่งใหม่ที่มีชีวิตชีวาของกรุงเทพฯ   โดยแบรนด์ JW Marriott ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ มร. J. Willard Marriott ผู้ก่อตั้ง แมริออท อินเตอร์เนชันแนล ด้วยปณิธานยึดมั่นความเป็นเลิศและบริการเหนือระดับ สอดคล้องวิสัยทัศน์ AWC ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกรายละเอียดนั้น และจุดยืนของแบรนด์ JW Marriott  เพื่อส่งมอบประสบการณ์การพักผ่อนระดับหรูหราเหนือระดับอย่างแท้จริง   นอกจากนี้ เมื่อเปิดให้บริการโรงแรมแห่งนี้ยังจะได้รับประโยชน์จากเครือข่าย Marriott Bonvoy ที่แข็งแกร่งในการเข้าถึงฐานลูกค้าคุณภาพพร้อมมอบสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่สมาชิกทั่วโลก   “เครือแมริออทฯ หวังมีส่วนร่วมพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลกแห่งใหม่ ที่สะท้อนความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของย่านรัชดาภิเษกให้กับนักเดินทางทั้งในกลุ่มนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว” มร. ฌอน กล่าว   อนึ่ง AWC ได้เข้าซื้อ อาคาร เลอ คองคอร์ด (Le Concorde Tower) ซึ่งเตรียมเปลี่ยนชื่อเป็น Jubilee Prestige Tower นับเป็นก้าวสำคัญของการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทบนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ   ขณะที่ การพัฒนาโครงการนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มองหาห้องพักหรู สำนักงานเกรดพรีเมียม ห้องประชุม และสิ่งอำนวยความสะดวกในกลุ่ม MICE โดยจะสามารถสร้างรายได้ในทันทีจากการดำเนินงานโรงแรมแบรนด์ JW Marriott ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระแสเงินสดของบริษัทในระยะยาว   Jubilee Prestige Tower เป็นโครงการมิกซ์ยูสระดับพรีเมียม มีพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 120,965 ตารางเมตร โดยมีโรงแรม JW Marriott ที่คาดว่าจะมีขนาด 368 ห้อง และอาคารสำนักงานที่ได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัยเพื่อตอบโจทย์ผู้เช่ารุ่นใหม่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับรีสอร์ตและพื้นที่จัดงานรวมกว่า 10,000 ตารางเมตร สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ผสานการอยู่อาศัยและการทำงานเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน เหมาะสำหรับความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และการดูแลสุขภาวะที่สมดุล   โดยวางตำแหน่ง เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก โรงแรมหรูระดับลักชัวรีภายใต้แบรนด์สากลแรกของรัชดาภิเษก เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับย่านธุรกิจและการลงทุนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ โดยประกอบไปด้วย   พื้นที่จัดงานใหญ่ที่สุดในย่าน สามารถรองรับงานประชุมและอีเวนต์ระดับโลก พื้นที่ Co-living   ในขณะเดียวกัน โครงการ Jubilee Prestige Tower ยังได้รับการออกแบบให้สะท้อนแนวคิดของแบรนด์ JW Marriott ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาวะแบบองค์รวม โดยจะประกอบไปด้วยศูนย์ความงาม Beauty Hub สำหรับการเข้าพักเชิงสุขภาพ และศูนย์เวลเนสใจกลางเมือง Urban Wellness Sanctuary ซึ่งพัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและจิตใจ รวมถึงประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม อาทิ ห้องอาหารรูฟท็อป ห้องอาหารแบบ All-Day Dining ห้องอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับ ห้องอาหารจีนสุดหรู และบาร์ซิการ์และวิสกี้   โดย โรงแรม เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของกรุงเทพฯ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT ห้วยขวาง เชื่อมต่อการเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิได้อย่างสะดวกสบายผ่าน Airport Rail Link สถานีมักกะสัน รายล้อมรอบไปด้วยสถานทูต สถาบันการเงิน และบริษัทข้ามชาติ ด้วยเสน่ห์อันโดดเด่นและศักยภาพไร้ขีดจำกัดของย่านรัชดาภิเษกนี้ จึงสามารถดึงดูดนักเดินทางเชิงธุรกิจและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี   ทั้งนี้ โครงการ Jubilee Prestige Tower ตั้งชื่อตามจุดประสงค์ดั้งเดิมของถนนรัชดาภิเษก ที่ได้รับการสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีรัชดาภิเษก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองราชย์ครบ 25 ปี (Silver Jubilee)   ในขณะที่โรงแรม เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก ถูกพัฒนาขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว   นอกจากโครงการ Jubilee Prestige Tower จะช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอของ AWC ให้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว ยังจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างยั่งยืนพร้อมเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินได้ในระยะยาว หลังจากการพลิกโฉมสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบ   อีกทั้ง ตัวอาคารยังได้รับการตรวจสอบโครงสร้างตามมาตรฐานสามขั้นตอนโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานอิสระเพื่อยืนยันความมั่นคงและความปลอดภัยของโครงการ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการรักษามาตรฐานสูงสุดด้านคุณภาพความปลอดภัยและความเชื่อมั่นสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน     Alternate-X สรุปให้  AWC ทุ่มงบกว่า 8,700 ล้านบาท ซื้อกิจการโรงแรมสวิสโซเทล รัชดา และรีแบรนด์ใหม่เป็น JW Marriott Bangkok Ratchada โครงการตั้งอยู่ในอาคาร Jubilee Prestige Tower พื้นที่มิกซ์ยูสระดับพรีเมียม บนถนนรัชดาภิเษก มุ่งยกระดับย่านเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวและ MICE ระดับโลก ด้วยบริการหรูหราและเวลเนสครบวงจร การร่วมมือกับ Marriott International สะท้อนวิสัยทัศน์สร้างประสบการณ์ระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ คาดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2571 พร้อมดึงดูดทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก     AWC เป็นบริษัทภายใต้กลุ่มทีซีซี (TCC Group)  พัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรมและการบริการ พื้นที่เพื่อการพาณิชย์และสำนักงาน และสถานที่ท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก เช่น แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล, ไอเอชจี, โนบุ ฮอสพิทัลลิตี, โอกุระ, บันยันทรี, มีเลีย โฮเทลส์ อินเตอร์เนชั่นแนล, ฮิลตัน โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท, แอคคอร์ และไฮแอท   ประกอบไปด้วย โครงการพาณิชย์ อาทิ อาคาร ‘เอ็มไพร์’, แอทธินี ทาวเวอร์, เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น และ ฟีนิกซ์ รวมถึงจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่ม เช่น เอ-ย่า รูฟท้อป แอท ดิ เอ็มไพร์ นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารระดับโลก และโครงการอื่นๆ อีกมากมาย   ขณะที่ เจดับบลิว แมริออท หนึ่งในแบรนด์ลักซ์ชูรีของแมริออท อินเตอร์เนชันแนล  ปัจจุบันมีโรงแรมและรีสอร์ทภายใต้แบรนด์เจดับบลิว แมริออท เกือบ 125 แห่ง ในกว่า 40 ประเทศและอาณาเขตต่าง ๆ ทั่วโลก

May 7, 2025 / 0 Comments
read more

ใคร? จะไปเมกาบางนา เตรียมเลยบัตรเคฯกสิกรไทย จัดโปร 51 ร้านฯ อิ่มจนฟินลดน้ำหนักไว้ทีหลัง

Peace&Play

เมกาบางนา จับมือ บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย  เสิร์ฟโปรเด็ด ‘มื้อนี้ K เลย อิ่มคุ้ม X4 ที่เมกาบางนา” อิ่มฟิน รับสิทธิพิเศษแบบจัดเต็ม   ศูนย์การค้าเมกาบางนา ร่วมกับ บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย ส่งแคมเปญสุดพิเศษต้อนรับซัมเมอร์ “มื้อนี้ K เลย อิ่มคุ้ม X4 ที่เมกาบางนา” เอาใจสายกินให้ฟินแบบสุดคุ้ม ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2568 มอบสิทธิพิเศษ 4 ต่อ ให้ผู้ถือบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทยได้อิ่มอร่อยกันแบบเต็มอิ่มคุ้มค่ากับร้านอาหาร และคาเฟ่เครื่องดื่มชื่อดังกว่า 51 ร้านค้าภายในศูนย์การค้าเมกาบางนา   สิทธิพิเศษอิ่มคุ้ม 4 ต่อ ได้แก่   คุ้ม 1 รับส่วนลดสูงสุด 60% จากร้านอาหารชื่อดังในศูนย์ฯ ที่ร่วมรายการ อร่อยจุใจ จ่ายเบาๆ คุ้ม 2 รับ MEGA VOUCHER สูงสุด 300 บาท / วัน* เมื่อมียอดใช้จ่ายที่ร้านอาหารภายในศูนย์ฯ ตามเงื่อนไข ยิ่งทาน ยิ่งได้คืน! คุ้ม 3 รับเครดิตเงินคืน 12%* เมื่อใช้ K Point แลกเท่ายอดใช้จ่าย คุ้ม 4 FRIDAY SPECIAL! รับฟรี! ขนม หรือเครื่องดื่ม* จากร้านอาหารที่ร่วมรายการภายในศูนย์ฯ เฉพาะวันศุกร์ที่ 2, 9, 16, 23, 30 พ.ค. 68 เมื่อช้อปภายในศูนย์ฯ 1,500 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป   พร้อมตอบโจทย์ทุกมื้อความอร่อยของทุกไลฟ์สไตล์ อิ่มฟินตลอดซัมเมอร์นี้กับแคมเปญสุดคุ้ม “มื้อนี้ K เลย อิ่มคุ้ม X4 ที่เมกาบางนา” แหล่งรวมร้านอาหารดังสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ที่พร้อมมอบช่วงเวลาพิเศษให้คุณ ทุกวันตามแนวคิด YOUR EVERYDAY MEETING PLACE   ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี *ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชัน ได้ที่ https://www.kasikornbank.com/k_megabangna-dining      

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘บิ๊กซี’ รับบทผ่อนหนักให้เป็นเบา 0% นาน 10 เดือน สินค้า ‘Back to School’ ดึงแรงซื้อผู้ปกครอง

BizKet

อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่า บิ๊กซี ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ จัดแคมเปญพิเศษ “ช้อปครบคุ้ม รับเปิดเทอมที่บิ๊กซี” ระหว่างวันที่ 14 เมษายน – 21 พฤษภาคม 2568   ทั้งนี้ เพื่อสอดรับกับโครงการ “เปิดเทอม เติมพลัง” ของภาครัฐ รวมถึงกระตุ้นยอดขาย และช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม ผ่านการจัดโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ กว่า 7,000 รายการ ลดสูงสุด 50% ครอบคลุมเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์การเรียน ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น   โดยได้รับเกียรติจาก นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ร่วมเป็นประธานพิธีในงานแถลงข่าว ณ บิ๊กซี เพลส รัชดา   อัศวิน กล่าวว่า ความคึกคักจากช่วงเปิดภาคเรียนในปีนี้จะเป็นอีกปัจจัยบวกสำคัญที่ผลักดันให้เป้าหมายยอดขายของกลุ่มสินค้า Back to School เติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน กว่า 25% หรือมียอดขายมากกว่า 500 ล้านบาท   โดยเฉพาะสินค้า กลุ่มเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์การเรียน ตลอดจนสินค้าที่เกี่ยวข้องที่จำหน่ายผ่านบิ๊กซี   สำหรับไฮไลต์โปรโมชั่นสุดคุ้มนี้ ประกอบด้วย สินค้าราคาพิเศษหลากหลายรายการ อาทิ ชุดนักเรียนทุกระดับชั้น เริ่มต้นเพียง 69 บาท   รองเท้าผ้าใบนักเรียน คู่ละ 99 บาท ถุงเท้านักเรียน Besico 5 คู่ เพียง 100 บาท ชุดนักเรียน ซื้อ 3 จ่าย 2 แบรนด์ดังทุกระดับชั้นคละแบบได้ อุปกรณ์เครื่องเขียน ซื้อ 5 ชิ้น จ่ายเพียง 4 ชิ้น กระเป๋าล้อลากลายลิขสิทธิ์ เริ่มต้น 359 บาท กระเป๋าเป้ ราคา 99 บาท   นอกจากนี้ ยังมี คูปองส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อชุดนักเรียนครบ 299 บาท และโปรโมชั่นผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ทุกชิ้นทั้งห้าง ตลอดจนสิทธิ์แลกของกิน ของใช้ และของเรียนรู้สุดคุ้ม เมื่อซื้อครบ 299 บาทขึ้นไป       ส่งต่อโอกาส–พื้นที่ห่างไกล   โดย บิ๊กซี ยังร่วมกับ มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี และพันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องแบบนักเรียน และอุปกรณ์การเรียน รวม 8 ราย ประกอบด้วย กิจเจริญ, ตราม้า, น้อมจิตต์, แบร์รอน กิ๊ฟ,  มาสเตอร์อาร์ต, ไอคิว สปอร์ต, เอส.ซี.เอส., แอ๊ดด้า จัดกิจกรรม CSR ภายใต้โครงการ “Remote School ปีที่ 22” เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กไทยในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนไกลให้ใกล้ เติมโอกาสสร้างการเรียนรู้”   สำหรับกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการ “Remote School ปีที่ 22” ประกอบด้วย   การบริจาคชุดนักเรียน รองเท้านักเรียนและอุปกรณ์การเรียน ร่วมกับพันธมิตรให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลน กิจกรรม Re-LOGO Charity เชิญชวนนักออกแบบร่วมสร้างสรรค์โลโก้ใหม่ให้โครงการ REMOTE SCHOOL ภายใต้แนวคิด “1 Logo สร้าง 1 โอกาสทางการศึกษา” โดยรายได้จากการจำหน่ายเสื้อโลโก้ใหม่จะนำไปสมทบทุนซ่อมแซมอาคารเรียน พร้อมเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนเพิ่มเติมผ่านกล่องรับบริจาค ณ บิ๊กซี ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 กิจกรรม Re-Learn ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างยั่งยืน ด้วยการบริจาคฟิวเจอร์บอร์ดเหลือใช้ให้โรงเรียนนำไปผลิตสื่อการเรียนรู้ DIY พร้อมเปิดให้รับวัสดุได้ที่ บิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ตทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป บิ๊กซี ขอเชิญลูกค้าทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กไทย พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมายได้แล้ววันนี้ที่ บิ๊กซีทุกสาขาทั่วประเทศ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: BJC Big C Share   Alternate-X สรุปให้  บิ๊กซีจัดแคมเปญ “ช้อปครบคุ้ม รับเปิดเทอม” ระหว่าง 14 เม.ย. – 21 พ.ค. 2568 ลดราคาสินค้า Back to School กว่า 7,000 รายการ สูงสุด 50% พร้อมผ่อน 0% นาน 10 เดือนชุดนักเรียนเริ่มต้น 69 บาท กระเป๋าเป้ 99 บาท พร้อมคูปองและสิทธิพิเศษเมื่อซื้อครบ 299 บาทเสริมโอกาสเด็กไทยผ่านโครงการ “Remote School ปีที่ 22” บริจาคอุปกรณ์เรียน พัฒนาโรงเรียน ชวนลูกค้าร่วมกิจกรรม CSR เพื่อการศึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษที่บิ๊กซีทุกสาขาทั่วประเทศ

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘ไทย’ ขึ้นฮับค้าปลีกหรูอาเซียน ท่องเที่ยว-เศรษฐีโลกหนุนตลาดทะลัก 1.47 แสนล.

BizKet

รายงานแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ของซีบีอาร์อี ประเทศไทย เผยค้าปลีกลักซูรี่ในไทย ปัจจุบันตลาดมีมูลค่าถึง 1.47 แสนล้านบาท และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตราว 5% ต่อปีไปจนถึงปี 2571   จากแนวโน้มดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในแถวหน้าของตลาดค้าปลีกสินค้าลักซูรี่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจัดอยู่อันดับที่ 7 ในเอเชียแปซิฟิก   ทั้งนี้ มาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ดังนี้   ความร่วมมืออย่างแข็งแกร่งระหว่างภาคการท่องเที่ยวและค้าปลีก แรงสนับสนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 35.5 ล้านคนที่เดินทางเข้ามาในปี 2567 การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ศูนย์การค้าในเขตใจกลางกรุงเทพฯ กว่า 410,000 ตารางเมตรช่วงระหว่างปี 2567-2568   จากการขยายตัว ดังกล่าว ได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้ค้าปลีกสินค้าแบรนด์หรู เพื่อรองรับความต้องการจากลูกค้าผู้มีรายได้สูงในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นเพิ่มสูงขึ้น   นอกเหนือจากผลประโยชนี้ที่มาจากการท่องเที่ยวแล้ว ประเทศไทยยังมีความก้าวหน้าได้ด้านอื่นๆ ในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งโครงการวีซ่าระยะยาว รวมถึงประเทศไทยมีชื่อเสียงในฐานะ ‘แหล่งพักพิงที่ปลอดภัย (Safe Haven)’   รวมถึง อุตสาหกรรมสายการบินได้กลับมาให้บริการเที่ยวบินตามปกติและนโยบายวีซ่าที่เอื้ออำนวย คาดว่าจำนวนกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth Individual – HNWI) ทั้งที่เดินทางมาเยือนและอาศัยอยู่ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้พัฒนาพื้นที่ค้าปลีก   ผู้พัฒนาค้าปลีกวางแผนรับ   ขณะที่ ผู้พัฒนาพื้นที่ค้าปลีกได้ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ค้าปลีกระดับชั้นนำในศูนย์การค้าหลักในย่านใจกลางธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับแบรนด์หรู ผ่านการยกระดับประสบการณ์ด้วยการนำเสนอร้านอาหารชั้นเลิศและความบันเทิงระดับพรีเมียม รวมถึงออกแบบผังร้านใหม่สำหรับแฟล็กชิปสโตร์และโซนสินค้าหรูโดยเฉพาะ   นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอบริการอื่น ๆ เช่น ล่ามแปลภาษาที่มีความหลากหลาย และสินค้าปลอดภาษี เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า   โดยปัจจุบัน แบรนด์หรูที่เข้ามาหรือขยายธุรกิจในประเทศไทยนั้นมีความพิถีพิถันในการเลือกสถานที่ โดยนิยมเลือกสถานที่ที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และฐานลูกค้าของตนเองค่อนข้างมาก  ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการดำเนินงานของกลุ่มผู้พัฒนาและผู้บริหารศูนย์การค้า ให้มุ่งเป้าไปยังพื้นที่ที่มีกลุ่ม HNWI หนาแน่นเป็นหลัก   ตัวอย่างเช่น การเติบโตของย่านลุมพินีในกรุงเทพฯ ที่มีการเติบโตจากการลงทุนที่นำมาซึ่งการปรับโฉมและขยายสาขาของเซ็นทรัล ชิดลม รวมถึงเซ็นทรัล เอ็มบาสซี อีกทั้งยังมีตัวอย่างของ DIOR Gold House อันเป็นคอนเซปต์สโตร์ของแบรนด์ Dior ที่ตั้งอยู่ในย่านนี้ด้วย   สำหรับตลาดภูเก็ตเองซึ่งมีกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงนั้นก็มีความคึกคักของการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ไม่แพ้กัน เช่น การปรับโฉมและเพิ่มพื้นที่ค้าปลีกของเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า และการวางแผนเปิดสยามพรีเมียมเอาท์เล็ตแห่งที่สองของสยามพิวรรธน์   ขณะที่ ทำเลที่ตั้ง การเข้าถึง และการมองเห็น ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในโครงการค้าปลีกที่พัฒนาแบบผสมผสาน ตัวอย่างเช่น ดิ เอ็ม ดิสทริค ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ได้อานิสงค์จากการเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน  และการที่สยามพิวรรธน์วางแผนเพิ่มแบรนด์หรูพิเศษอีกกว่า 15 แบรนด์ใหม่ให้กับสยามพารากอนและไอคอนสยามในปี 2568 จึงเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องต่อแหล่งช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์   นอกจากนี้ การจัดสัดส่วนของร้านค้าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมถึงการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่เหนือกว่าในศูนย์การค้าเหล่านี้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความแตกต่าง ดึงดูดแบรนด์หรูรายใหม่ ๆ และยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งสินค้าหรูให้กับโครงการค้าปลีกอย่างมีนัยสำคัญ   ซีบีอาร์อี ระบุถึงแนวโน้มที่น่าสังเกต คือ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่การค้าปลีกแบบเดิมให้กลายเป็นพื้นที่ค้าปลีกเชิงประสบการณ์ เนื่องจากแบรนด์ต่างก็มองหาพื้นที่ที่ยืดหยุ่นและสามารถสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตน เพื่อให้ผู้คนสามารถมีส่วนร่วมและแชร์ประสบการณ์ต่อได้   โครงการ เกษรวิลเลจ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ “LV The Place Bangkok” ของ Louis Vuitton เป็นตัวอย่างของการสร้างพื้นที่แบบหลายมิติ โดยผสานพื้นที่ค้าปลีก ร้านอาหาร และพื้นที่จัดนิทรรศการ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและความตระหนักรู้เกี่ยวกับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี   ท่องเที่ยว-กลุ่มเศรษฐี แรงซื้อหลัก   ด้าน ‘โชติกา ทั้งศิริทรัพย์’ หัวหน้าแผนกที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการและวิจัยตลาด ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “วิวัฒนาการของธุรกิจสินค้าแบรนด์หรูของประเทศไทยขับเคลื่อนโดยการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง จำนวนบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงที่เดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น และความต้องการประสบการณ์ค้าปลีกที่เหนือกว่า” โดย ผู้พัฒนาและผู้ค้าปลีกที่ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้ง นวัตกรรม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าประทับใจ จะสามารถก้าวไปพร้อมการเติบโตรอบใหม่ได้   ขณะที่ การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของพื้นที่ค้าปลีกและฐานผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น คาดว่าการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และในขณะที่ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นตลาดสินค้าแบรนด์หรูชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การผนึกกำลังระหว่างภาคการท่องเที่ยวและการค้าปลีกจึงยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดอนาคตของภาคธุรกิจนี้   Alternate-X สรุปให้    ประเทศไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของแบรนด์หรูจากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง การเติบโตของกำลังซื้อ โครงสร้างพื้นฐานค้าปลีกที่พร้อม และการเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในอาเซียน สอดคล้องกลุ่มผู้พัฒนาและผู้บริหารศูนย์การค้า ต่างมุ่งเป้าพัฒนาโครงการไปยังพื้นที่ที่มีกลุ่ม HNWI หนาแน่นเป็นหลัก  

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘แจ็ค เว่ย’ผู้ก่อตั้ง GWM มาไทย 40 ปีก่อนได้แรงบันดาลใจเห็นตลาดรถกระบะโตแล้วกลับไปทำต่อ

BizKet

GWM หรือ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great) Great Wall Motor เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ เป่าติ้ง มณฑลเหอเป่ย โดยที่มาของชื่อบริษัทมาจาก กำแพงเมืองจีน พร้อมก่อตั้งกิจการขึ้นในปี พ.ศ. 2527   โดย ‘แจ็ค เว่ย’ ผู้ก่อตั้ง GWM ยังได้รับแรงบันดาลใจจากการเติบโตของตลาดรถกระบะหลังจากที่ได้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย จนนำไปสู่การริเริ่มและพัฒนาธุรกิจ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเครื่องยนต์ที่ล้ำหน้าสำหรับรถกระบะเพื่อจัดจำหน่ายในประเทศจีน       กระทั่ง ‘GWM’ ขึ้นครองตำแหน่งแบรนด์ที่มียอดขายรถกระบะสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันถึง 26 ปีซ้อนในที่สุด   จากนั้นในปี 2545 ‘GWM’ ได้รุกตลาดรถยนต์เอสยูวีในรุ่น GWM Safe และ GWM HAVAL H6 จนพัฒนาจาก ‘ผู้นำในตลาดรถยนต์เอสยูวีของจีน’ สู่การเป็น ‘เพื่อนร่วมทางสำหรับบรรดาครอบครัวทั่วทุกมุมโลก’   ทั้งนี้ GWM ได้ขยายแบรนด์เพื่อให้ครอบคลุมในทุกเซกเมนต์มากขึ้น นับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เช่น   GWM WEY เปิดประตู GWM ให้ก้าวเข้าสู่ตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียม GWM ORA เปิดตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว GWM TANK ขึ้นเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ในตลาดออฟโรดระดับโลกที่เต็มไปด้วยคาแรกเตอร์ที่แตกต่าง แข็งแกร่ง และพรีเมียม   โดยตลอดเส้นทางการขับเคลื่อนธุรกิจ GWM ในโลกแห่งยานยนต์ตลอดช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมายังไปพร้อมกับการสร้างระบบนิเวศระดับโลก (Global Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง ทำให้ในปัจจุบัน GWM มีโรงงานผลิตรถยนต์ 13 แห่ง โดยมี 3 แห่งเป็นโรงงานผลิตเต็มรูปแบบมีฐานการผลิตในประเทศ บราซิล, รัสเซีย และ ไทย   และในช่วงที่ผ่านมา GWM ยังขยายฐานการทำตลาดไปยังประเทศปากีสถาน เอกวาดอร์ พร้อมริเริ่มก่อสร้างโครงการใหม่ในมาเลเซีย จากปัจจุบัน มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายและการขาย 700 สาขาทั่วโลกใน 170 ประเทศ โดย GWM ยังสามารถทำตลาดครอบคลุม 9 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้อีกด้วย   ปัจจุบัน GWM เป็นผู้ผลิตรถเอสยูวีและรถกระบะระดับโลก ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ในปี 2546 และ 2565 ตามลำดับ มีพนักงานมากกว่า 70,000 คนทั่วโลก ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศจีนที่มียอดการผลิตและยอดขายมากกว่าหนึ่งล้านคัน   โดยตลอดระยะเวลา 8 ปี มีเครือข่ายการขายครอบคลุมกว่า 1,000 แห่งใน 170 ประเทศในหลายภูมิภาค มียอดขายสะสมในต่างประเทศมากกว่า 1,400,000 คัน และ ยังสามารถทำยอดขายในต่างประเทศได้สูงถึง 300,000 คันในปี 2566         โลกยานยนต์เปลี่ยน ต้อง ‘พึ่งตัวเอง’   ด้าน ‘มู่ เฟิง’ ประธาน GWM กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจ GWM ในปี 2568 นี้มุ่งยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) พร้อมผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) เพื่อตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งาน (All Users)   โดยในงาน Auto Shanghai 2025 ครั้งที่ 21 ที่ผ่านมา GWM ได้รับการตอบรับจากผู้เข้าชมงานทั่วโลกด้วยทัพยนตรกรรมกว่า 40 รุ่น จาก 6 แบรนด์หลัก   พร้อมประกาศ 3 กลยุทธ์สำคัญเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในระดับโลกอีกด้วย ได้แก่   ยกระดับมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ พร้อมตอบความต้องการในทุกตลาดด้วยนวัตกรรมที่หลากหลายและครอบคลุม พัฒนานวัตกรรมระบบขับเคลื่อนที่ล้ำหน้าและหลากหลายของตนเองเพื่อผู้ใช้ทั่วโลก สร้างระบบนิเวศร่วมกับชุมชนทั่วโลก   ขณะเดียวกัน ยังลงทุนกว่า 500 ล้านหยวน (2,300 ล้านบาทโดยประมาณ) เพื่อจัดตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตในระดับสากลของ GWM เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับโลกที่ล้ำหน้าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมมอบประสบการณ์อัจฉริยะในการเดินทางเพื่ออนาคตที่ครอบคลุมในทุกมิติ ให้กับผู้ขับขี่   ล่าสุด GWM ได้เปิดตัวโลโก้ใหม่ ‘GWM Beacon’ ที่สื่อถึงพันธสัญญาอันแน่วแน่ในการขยายตัวสู่ระดับโลก สอดคล้องกับแนวคิด ‘One GWM’ ที่สะท้อนถึง GWM เป็นแบรนด์ที่มีความเชื่อมโยงทั่วโลก พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องผ่าน “การขยายระบบนิเวศควบคู่การเจาะลึกในตลาดท้องถิ่น” (Ecosystem Expansion + Deep Localization) เพื่อส่งมอบยนตรกรรมคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคในตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก   Alternate-X สรุปให้    GWM เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจของ ‘แจ็ค เว่ย’ หลังท่องเที่ยวไทย เห็นโอกาสตลาดรถกระบะโต ปัจจุบัน GWM ครองแชมป์ยอดขายรถกระบะจีน 26 ปีซ้อน และขยายแบรนด์สู่รถ SUV, EV, ออฟโรด มีฐานการผลิตระดับโลก รวมถึงไทย และเครือข่ายใน 170 ประเทศทั่วโลกตั้งเป้าเป็นผู้นำรถยนต์พลังงานหลากหลาย พร้อมนวัตกรรมครอบคลุมทุกผู้ใช้งาน เปิดตัวโลโก้ใหม่ “GWM Beacon” ตอกย้ำกลยุทธ์ One GWM สู่แบรนด์ยานยนต์ระดับโลก            

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘นอมินีจีน’ ลามอสังหาฯพัทยา ห่วงแหล่งทุนตรวจสอบเส้นทางไม่ได้ ทำบ้านขาย/เช่า อยู่กันเอง  

BizKet

วัฒนพล ผลชีวิน นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ชลบุรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนจีน ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้หลั่งไหลเข้าพื้นที่ภาคตะวันออก เป็นจำนวนมาก พร้อมรับสิทธิ์การอยู่อาศัย ทำให้เกิดช่องว่าง นำที่ดินที่รับจัดสรรไปใช้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดมีเนียม หอพัก อพาร์ตเมนต์ และ แนวราบ บ้านเดี่ยว จำนวน 100 ยูนิต ในทำเลหลัก พัทยา และ นาจอมเทียน จังหวัดชลบุรี   “คนจีนก็มีหัวการค้า ใช้ช่องว่างนี้นำที่ดินบางส่วนไปทำโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ทั้งเพื่อขายและให้เช่า รองรับกลุ่มคนจีนด้วยกันเอง”   สำหรับประเด็นที่น่ากังวล คือ รูปแบบการทำธุรกิจในลักษณะศูนย์เหรียญ (0 เหรียญ) ด้วยทั้ง แรงงาน เครื่องจักร และวัสดุก่อสร้าง ต่างนำเข้าจากจีนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งยกเว้นเสาเข็ม และ คอนกรีต ซึ่งนำเข้ายากด้วยเป็นผลิตภัณฑ์ใหญ่มีน้ำหนักมาก   ขณะที่รูปแบธุรกิจที่อยู่อาศัยดังกล่าว ยังเป็นขายให้กับชาวต่างชาติ ทำให้ทั้ง ผลประกอบการและผลกำไร ที่เกิดขึ้นนำส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งในบางครั้งอาจเป็น ‘ทุนที่ไม่รู้ที่มา’ เพราะระบบการเงินไม่ได้ผ่านธนาคารในประเทศไทย   วัฒนพล ย้ำว่า “นอกจากไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ด้วยคนจีนสร้างที่อยู่อาศัยขายกันเอง และส่งผลกระทบต่อ ผู้ประกอบการไทยทั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจที่อยู่อาศัย”   จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นไทยล้มหายไปจำนวนมาก โดยภาครัฐ ควบเร่งคุมการทำธุรกิจลักษณะนอมินีด้วยส่วนใหญ่อ้างตัวเป็นผู้ลงทุนไทย แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นทุนต่างชาติเกือบ 100% แม้จะมีรายชื่อคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 51% ก็ตาม   “หากเป็นคนไทยเป็นผู้ลงทุนที่มีศักยภาพจริงต้องมีความชัดเจน แต่เมื่อไปตรวจสอบชื่อแล้ว เป็นใครไม่รู้” พร้อมเสริมว่า “ทุนจีนที่เข้ามาทำที่อยู่อาศัยในไทย บางครั้งก็ล้มเหลว หรือบางโครงการเมื่อเกิดปัญหาเขาหยุดสร้างทันที และปล่อยโครงการหมู่บ้านร้าง”   อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันโครงการจากทุนจีนในชลบุรีมีสัดส่วนไม่มาก เมื่อเทียบกับทั้งตลาด แต่ก็ปรากฎให้เห็นมากขึ้น รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงอย่างระยองด้วย   อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงมาตรการการป้องกันนอมินีต่างชาติจากผู้เชี่ยชาญ วัฒนพล กล่าวว่า “แท้จริงแล้วการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ถือเป็นเรื่องดี แต่ให้สิทธิ์เฉพาะเรื่องอุตสาหกรรมมากกว่าที่อยู่อาศัย เนื่องจาก ผู้ลงทุน และแรงงานต่างชาติในพื้นที่ จะได้มาซื้อที่อยู่อาศัยจากผู้ประกอบการไทย โดยการที่ชาวต่างชาติ เข้ามาลงทุนด้านนิคมอุตสาหกรรม หรือ อุตสาหกรรม แต่ไทยเปิดโอกาสให้ทำที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งเป็นช่องว่างให้ทุนกลุ่มนี้ สร้างอพาร์ทเม้นท์ หรือ ทำโรงแรมอยู่อาศัยได้เองในพื้นที่ที่ได้รับสิทธิ์” Alternate-X สรุปให้  ทุนจีนรุกอสังหาฯ ชลบุรี ใช้ช่องว่างรับสิทธิ์การลงทุนอุตสาหกรรม และอยู่อาศัยทำโครงการที่อยู่อาศัยขาย-เช่า กันเอง มีการนำเข้าแรงงาน วัสดุ เครื่องจักรจากจีนเกือบทั้งหมด ไม่เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศ ทุนบางรายไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ เสี่ยงเป็นนอมินี ส่งผลกระทบผู้ประกอบการไทย แม้ใช้ชื่อคนไทยถือหุ้น 51% แต่พบว่ามีลักษณะเป็นทุนต่างชาติแทบทั้งหมดรัฐต้องเร่งตรวจสอบและควบคุมธุรกิจอสังหาฯ ที่แฝงด้วยทุนต่างชาติไม่โปร่งใส

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

เซ็นทรัล จัดงานวิ่งระดับโลก ปลุก ศก.เกาะสมุยสะพัดหน้าโลว์ฯ รับ No.1 เกาะเที่ยวดีสุดในเอเชียฯ

BizKet

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ศูนย์การค้า, โรงแรม, อาคารสำนักงาน กล่าวว่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัล สมุย ร่วมกับ Supersports, เซ็นทรัล กรุ๊ป ผนึกกำลังพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ได้แก่ เทศบาลเกาะสมุย, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เกาะสมุย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสุราษฎร์ธานี สมาคมการท่องเที่ยวเกาะสมุย และผู้ประกอบการโรงแรม, บริษัท ซี.พี.คอนซูเมอร์โพรดักส์ จำกัด, บริษัท วันไทยอุตสาหกรรมการอาหาร จำกัด   โดยจัดงาน ‘Central Samui Neon Run 2025’ งานวิ่งกลางคืน (Night Run) ใหญ่แห่งปี ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Fun Run ระยะทาง 5.1 กิโลเมตร เชิญชวนนักวิ่งจากทั่วโลกมาสัมผัสเสน่ห์ของหาดเฉวงใต้ พร้อมปาร์ตี้นีออน Body Paint เรืองแสง, Blacklight Art และโชว์ควงไฟตื่นตา DJ Party โดย DJ. Armando Mendes มอบประสบการณ์ Night Run ระดับโลก พร้อมร่วมยกระดับเกาะสมุยสู่เวทีโลก จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล สมุย   “Central Samui Neon Run เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญช่วยขับเคลื่อนสมุยในฐานะ Sport & Lifestyle Tourism Destination ระดับนานาชาติ โดยเราเน้นสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Amazing Thailand และเป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับพื้นที่และประเทศ” ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าว   ในปีนี้ งาน Samui Neon Run 2025 มีนักวิ่งทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมกว่า 1,500 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว (ปี 2024 มี 1,200 คน) ตอกย้ำความนิยมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง   นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายภาพลักษณ์สมุยในฐานะ Lifestyle Tourism Product ที่ผสานกีฬา ดนตรี และ Nightlife เข้าด้วยกัน เน้น ‘ประสบการณ์’ (experience-driven) เสมือนงานระดับโลกอย่าง Electric Run ที่ซานดิเอโก และ Glow Run ที่ซิดนีย์   ขณะเดียวกันการจัด Samui Neon Run ยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจเกาะสมุยอย่างเป็นรูปธรรม ปัจจุบันเกาะสมุยมีนักท่องเที่ยวกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี และมีเที่ยวบินเข้า-ออกกว่า 40 เที่ยวบินต่อวัน เชื่อมต่อสมุยสู่เมืองสำคัญทั่วโลก ซึ่งกิจกรรมฯ ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น   ล่าสุด เกาะสมุยได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘เกาะที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ปี 2024’ (อันดับ 1) และ ‘อันดับ 9 ของโลก’ จากนิตยสาร Travel + Leisure พร้อมยังเป็นโลเคชันหลักในการถ่ายทำซีรีส์ระดับโลก The White Lotus ซีซัน 3 ตอกย้ำศักยภาพสมุยบนเวทีโลก   สำหรับผลการแข่งขัน Samui Neon Run 2025 ดังนี้   ประเภทชาย   ชนะเลิศอันดับ 1: Bayatae Karki (สัญชาติฝรั่งเศส) อันดับ 2: Eneko Anibarro (สัญชาติญี่ปุ่น) อันดับ 3: อภิชาติ ใจสม (สัญชาติไทย)   ประเภทหญิง   ชนะเลิศอันดับ 1: Olena Nikitas (สัญชาติสหราชอาณาจักร) อันดับ 2: Ekaterina Ustivzhoninu (สัญชาติรัสเซีย) อันดับ 3: อริสา วรพงศ์ (สัญชาติไทย)   ประเภทแฟนซี   รางวัลที่ 1: ดวิน วงศ์ไชยชนะ (สัญชาติไทย) รางวัลที่ 2: พลกฤษณ์ สินภิบาล (สัญชาติไทย   ดร.ณัฐกิตติ์  ย้ำว่า Samui Neon Run 2025 ไม่ใช่แค่งานวิ่ง แต่คืองานใหญ่ประจำปีที่ช่วยเสริมศักยภาพ Sport Tourism และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Sports City ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนโยบาย Amazing Thailand ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)     Alternate-X สรุปให้  เซ็นทรัล สมุย ผนึกพันธมิตรจัดงาน Samui Neon Run 2025 ปีที่ 4 ดึงนักวิ่งทั่วโลก ปลุกเศรษฐกิจเกาะสมุยช่วงโลว์ซีซั่น กระจายรายได้สู่ชุมชน นักวิ่งร่วมกว่า 1,500 คน เพิ่มจากปีก่อน ตอกย้ำความนิยม ชูสมุยเป็น Sport & Lifestyle Tourism Destination ระดับโลก หนุนแคมเปญ Amazing Thailand – ยุทธศาสตร์ Sports City สุราษฎร์ฯ

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

สกู๊ต แจกทริป 5 เดสติเนชั่น เที่ยวเองปลอดภัย เช็คความพร้อมแล้วออกเดินทางได้

Peace&Play

เทรนด์ท่องเที่ยวคนเดียว (Solo Traveller – โซโลทราเวลเลอร์) กำลังมาแรง เพราะทำให้ได้ท่องโลกอย่างอิสระในแบบที่เป็นตัวเอง   ด้าน สกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือของสิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA)  ตอบรับกระแสร้อนแรงนี้ ด้วยเส้นทางบินราคาสบายกระเป๋า พร้อมพานักเดินทางสู่หลากหลายปลายทางทั่วโลกได้ง่ายขึ้น   สกู๊ต คัดมาให้ 5 จุดหมายยอดฮิตที่เหมาะกับสายเที่ยวลุยเดี่ยว พร้อมเคล็ดลับที่จะช่วยให้ทุกการเดินทางสายเดี่ยว ได้อย่างมั่นใจ   5 จุดหมายสำหรับเดินทางคนเดียวสุดปังจาก SCOOT      1.โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น – ความสงบในความวุ่นวาย   โตเกียวเป็นเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีอย่างลงตัว ปลอดภัย มีสีสัน เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ท่องเที่ยวคนเดียว   เริ่มต้นความตื่นเต้นที่ห้าแยกชิบูยะ ทางแยกข้ามถนนที่พลุกพล่านที่สุดในโลก แวะชมรูปปั้นฮาจิโกะ สุนัขผู้ซื่อสัตย์ที่ผู้คนต่างรักใคร่ที่สถานีรถไฟชิบูยะ   พบความเงียบสงบที่ศาลเจ้าเมจิจิงกูซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขียวขจีที่มนุษย์สร้างขึ้น ต้นไม้กว่าแสนต้นในป่าแห่งนี้มาจากการบริจาคของคนทั่วญี่ปุ่น   ย้อนเวลาสัมผัสกับความสุขในวัยเด็กที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์   พักชมสวนสวยแสนสงบในโอเอซิสใจกลางเมืองอย่าง สวนสาธารณะแห่งชาติชินจูกุเกียวเอ็น   ชมสวนแบบญี่ปุ่น แบบฝรั่งเศส และแบบอังกฤษอันงดงาม   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว: ระบบขนส่งสาธารณะที่ตรงเวลาและใช้งานง่ายของญี่ปุ่นทำให้การเดินทางคนเดียวในโตเกียวเป็นเรื่องง่าย     2. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย – เมืองเก๋ริมชายฝั่ง   เมลเบิร์น รวมความเก๋ของเมืองเข้ากับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติได้อย่างนุ่มนวล ตั้งแต่ตรอกทางเดินที่ปูด้วยหินคอบเบิลสโตนไปจนถึงหน้าผาตะหง่านริมทะเล   เริ่มวันใหม่ด้วยการจิบกาแฟในคาเฟ่ท้องถิ่น ชมความงามแบบโกธิคที่อาสนวิหารเซนต์แพทริก ออกทริปเดี่ยวขับรถชมวิวมุ่งไปยังอุทยานแห่งชาติพอร์ตแคมป์เบลล์ ที่ซึ่งจะได้พบกับความงดงามของหินธรรมชาติรูปทรงแปลกตาอย่าง ลอนดอน บริดจ์ ยามเย็น คือ ช่วงเวลาที่ฝูงเพนกวินน้อย (Little Penguins) ว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งที่เกาะฟิลลิป ปิดท้ายความประทับใจด้วยการชมทิวทัศน์เมืองเมลเบิร์นแบบพาโนรามาจากเมลเบิร์น สกายเด็ค ที่สูงเกือบ 300 เมตร   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว: บรรยากาศแสนเป็นมิตรของเมลเบิร์นและผู้คนที่เป็นกันเอง ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน แม้คุณจะมาเพียงลำพัง     3. สิงคโปร์ – เมืองเล็ก มีสไตล์ และเดินทางง่ายเกินคาด   สิงคโปร์คือจุดหมายในฝันของนักเดินทางคนเดียว เมืองเล็ก สะอาด เดินทางง่าย และเต็มไปด้วยสีสันทางวัฒนธรรม   ตื่นตากับความวิจิตรของวัดพระเขี้ยวแก้ว ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระทันตธาตุไว้ภายในสถูปทองคำอันศักดิ์สิทธิ์ เดินเล่นใน การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์ สวนล้ำยุคที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หายากและต้นไม้ยักษ์ ซุปเปอร์ทรี ที่เปล่งแสงระยิบระยับหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ออกตะลุยชิมของอร่อยในย่านไชน่าทาวน์ที่แสนคึกคัก หยุดพักชมความงามของวัดวาอารามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่มีเสน่ห์ ปิดท้ายวันด้วยการเดินเล่นชมวิวริมอ่าว มารีนา เบย์ ที่ซึ่งความทันสมัยของสิงคโปร์เปล่งประกายที่สุดยามค่ำคืน   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว: ระบบรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ทีของสิงคโปร์ช่วยให้การเดินทางรวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบาย     4. เวียนนา ประเทศออสเตรีย – สง่างาม คลาสสิก และเงียบสงบ   สำหรับ ผู้ที่หลงใหลวัฒนธรรมและการจิบกาแฟ เวียนนาคือจุดหมายที่ตอบโจทย์ที่สุด   ชมยอดแหลมสไตล์โกธิคของอาสนวิหารเซนต์สตีเฟน แวะรับประทายเค้กแสนอร่อยพร้อมชวนรำลึกถึงประวัติศาสตร์ ที่ คาเฟ่ เซนทรัล ร้านกาแฟเก่าแก่ซึ่งเคยเป็นแหล่งพบปะของนักปฏิวัติอย่างทรอตสกี นักจิตวิทยาอย่างฟรอยด์ และเหล่านักคิดคนสำคัญแห่งยุโรป แวะ ศาลาว่าการกรุงเวียนนา และหอสมุดแห่งชาติออสเตรีย สถาปัตยกรรมแบบบารอกอันงดงาม ที่รวบรวมหนังสือประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ากว่า 200,000 เล่มไว้ภายใน   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว:: วัฒนธรรมคาเฟ่ของเวียนนาเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางที่เดินทางคนเดียว—ไม่ว่าจะนั่งเขียนบันทึก ปล่อยใจให้ลอยไปกับความคิด นั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา หรือเพียงแค่ดื่มด่ำกับบรรยากาศเงียบสงบก็ลงตัวทุกแบบ     5. เอเธนส์ ประเทศกรีซ –ประวัติศาสตร์โบราณกับพลังของเมืองใหม่   ย้อนเวลากลับไปยังแหล่งกำเนิดอารยธรรมโลก   เดินสำรวจเนินอะโครโพลิสและอัญมณีแห่งโบราณสถานอย่างวิหารพาร์เธนอน เปิดประตูสู่อารยธรรมโบราณกับขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์ที่พิพิธภัณฑ์อะโครโพลิส เดินไปตามลู่วิ่งในสนามกีฬา พานาเธนาอิก สเตเดี้ยม ซึ่งเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างกีฬายุคโบราณกับโอลิมปิกยุคปัจจุบัน ยามเย็นแวะพักผ่อนในย่านพลากา ย่านเก่าแก่ที่สุดและมีชีวิตชีวามากที่สุดของเมืองเอเธนส์ เดินไปตามตรอกซอกซอยคดเคี้ยว ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารเล็ก ๆ แสนอบอุ่น และเสียงดนตรีที่ลอยล่องในอากาศ   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว: เอเธนส์อบอุ่นและเป็นมิตร—อย่าลังเลที่จะถามคนท้องถิ่นถึงสถานที่โปรดของพวกเขา   แรงบันดาลใจมาเต็มแล้วใช่ไหม? ได้เวลาลุยเดี่ยวแบบมือโปรกันแล้ว! การเดินทางคนเดียวมีเสน่ห์เฉพาะตัว แต่อาจมีบางสิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมเช่นกัน   และเพื่อให้ทริปราบรื่น ปลอดภัยไร้กังวลตั้งแต่บินออกจากบ้าน จนกลับมาพร้อมรอยยิ้ม สกู๊ตรวบรวม 5 เคล็ดลับสำคัญไว้ให้แล้ว   5 เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว   1.ทำการบ้านให้ดีก่อนไป หาข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบขนส่ง และสถานที่น่าสนใจของจุดหมายปลายทาง การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างมั่นใจและเต็มที่กับทุกประสบการณ์   2.เลือกบินกับสายการบินที่เชื่อถือได้ บริการที่เป็นมิตรและมาตรฐานความปลอดภัยที่ไว้วางใจได้คือสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเดินทางคนเดียว เลือกสายการบินที่ทำให้คุณรู้สึกอุ่นใจตั้งแต่เช็คอินจนถึงปลายทาง   3. ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกเที่ยวบินตรง เที่ยวบินตรงช่วยลดความยุ่งยากจากการเปลี่ยนเครื่อง ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและเดินทางได้อย่างราบรื่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางที่เดินทางคนเดียว   4. ไม่พลาดทุกการติดต่อ ออนไลน์ให้พร้อมเสมอ เปิดบริการโรมมิ่งจากประเทศต้นทางหรือซื้อซิมการ์ดท้องถิ่นเมื่อเดินทางถึงจุดหมาย เก็บเบอร์ติดต่อฉุกเฉินไว้ในเครื่องให้พร้อม และแจ้งแผนการเดินทางให้คนที่บ้านทราบ เพื่อความสบายใจตลอดทริป   5. จัดสรรเงินอย่างชาญฉลาด พกเงินสดสกุลท้องถิ่นติดตัวเล็กน้อย และใช้บัตรทราเวล การ์ด ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมการใช้จ่ายในต่างประเทศ จะให้ดีควรพกบัตรสำรองอีกใบแยกเก็บไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉินบัตรหายหรือถูกระงับ บัตรทราเวล การ์ด มักให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า มีระบบแจ้งเตือนการใช้จ่าย และปลอดภัยมากกว่า ให้คุณเที่ยวได้อย่างมั่นใจ   พร้อมออกเดินทางโดยไปคนเดียว   สกู๊ตให้บริการด้วยค่าโดยสารที่เป็นมิตร เส้นทางบินที่สะดวก ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างง่ายดาย สกู๊ตพร้อมพานักผจญภัยออกท่องโลกในแบบของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอยากเว้นวรรคจากโลกดิจิทัล ออกเดินทางตามทริปในฝัน หรือแค่อยากมีเวลาส่วนตัวเล็ก ๆ ให้ตัวเอง—การเดินทางคนเดียวครั้งใหม่ของคุณ เริ่มต้นได้ที่นี่ คลิก www.flyscoot.com แล้วจองตั๋วได้เลย!   Alternate-X สรุปให้  สกู๊ตแนะนำ 5 จุดหมายยอดฮิตสำหรับสายเที่ยวคนเดียว ตั้งแต่โตเกียว เมลเบิร์น สิงคโปร์ เวียนนา ไปจนถึงเอเธนส์ พร้อมเคล็ดลับการเดินทางให้ปลอดภัยและสนุกขึ้น เทรนด์ Solo Traveller กำลังมาแรงเพราะให้อิสระและการค้นพบตัวเองมากขึ้น บทความนี้ช่วยให้มือใหม่สายลุยเดี่ยวเตรียมตัวได้มั่นใจก่อนออกเดินทาง สกู๊ตยังเสนอเที่ยวบินตรงและราคาย่อมเยา เพิ่มความสะดวกสบายตลอดทริป            

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

เจาะเทรนด์อยู่อาศัย พบ 5 อินไซด์กำลังซื้อลักซูฯ อยากอยู่บ้านเหมือนนอนรีสอร์ตทุกวัน

BizKet

นายณ์ เอสเตท (NYE ESTATE) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ คอนโด และอาคารสำนักงาน ที่ดำเนินการถึงปัจจุบันร่วม 12 ปี พร้อมแผนขยายการเติบโตธุรกิจมาต่อเนื่อง   ล่าสุด นายณ์ เอสเตท ได้ทำงานร่วมกับสองนักออกแบบชั้นนำ ‘ประภาพร บำรุงไทย’ กรรมการบริหารและสถาปนิก, และ ชัชนิล ซัง กรรมการบริหารและ Landscape Studio Director บริษัท สถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อม ‘อาศรมศิลป์ จำกัด’ ร่วมกันถอดรหัส ‘บ้าน’ ที่ตอบโจทย์ 5 ความต้องการหลักของผู้บริโภคในปี 2025 ผ่านโครงการ “ไอรา เรซสิเดนซ์ งามวงศ์วาน” (IRA Residences Ngamwongwan)   จากโจทย์หลักที่ นายณ์ เอสเตท วางไว้ คือ พัฒนาโครงการฯคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีต่อสุขภาพกายและใจ และเป็นพื้นที่สำหรับมัลติ เจเนอเรชั่น (Multi-generation) และการเป็นกรีนคอมมูนิตี้ ให้ตอบรับกับสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตของคนในสังคมในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยมลภาวะ pm 2.5   โดย ‘นายณ์ เอสเตท’ (NYE ESTATE) ค้นหาความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่ ผ่านการวิจัยแบบสนทนากลุ่ม (Focus Group) และการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เพื่อแก้ไขปัญหาและนำมาซึ่งการพัฒนาแนวคิดใหม่ พร้อมบทสรุป 5 อินไซต์ที่น่าสนใจนี้ คือ   บ้านที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน (Sustainability) เวลบีอิ้ง ซัพพอร์ตสุขภาพกายและใจให้กับผู้อยู่อาศัย (Wellbeing) กรีน คอมมูนิตี้ แวดล้อมด้วยธรรมชาติ (Green Community) มีความเป็นส่วนตัวสูง (Privacy) มัลติ เจเนอเรชัน รองรับไลฟ์สไตล์ของคนทุกวัยในครอบครัว (Multi – Generation)   พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวผลงานมาสเตอร์พีซ ปี 2025 ‘ไอรา เรซสิเดนซ์ งามวงศ์วาน’ บ้านเดี่ยว สุขภาวะดี จำนวน 24 ยูนิต ด้วยแนวคิด Breaking New Ground คิดต่างอย่างสร้างสรรค์ จาก ‘นายณ์ เอสเตท’ (NYE ESTATE) ที่ยังตอบโจทย์ 5 อินไซต์ที่อยู่อาศัยมัดใจผู้บริโภคยุคใหม่ดังกล่าว     คอนเซปต์ คิดให้หมดแล้ว   ด้าน ประภาพร บำรุงไทย กรรมการบริหาร และสถาปนิก กล่าวว่า วิถีชีวิตของคนในปัจจุบันส่วนใหญ่ ต้องเผชิญกับความเครียดจากการทำงานและมลภาวะจากฝุ่นพิษ ขณะที่ “บ้าน” จึงกลายเป็นสถานที่เดียวที่สามารถให้ความผ่อนคลายและหลีกหนีจากความวุ่นวาย เพื่อสร้างบรรยากาศที่แท้จริงของการพักผ่อน   พร้อมกล่าวถึง คอนเซ็ปต์การออกแบบเริ่มตั้งแต่วางผังให้โครงการเป็นกรีน คอมมูนิตี้ (Green community) ออกแบบให้ระบบสัญจรทางเท้าต่อเนื่องเชื่อมกันทั้งโครงการและสามารถเป็นทางวิ่งได้ด้วย   พร้อมกับปลูกต้นไม้ใหญ่ตลอดแนวถนนหลัก ทำให้ในภาพรวมเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวที่มีความต่อเนื่องตลอดทั้งโครงการ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางออกแบบเป็น Universal Design รองรับไลฟ์สไตล์และกิจกรรมของทุกกลุ่มและทุกช่วงวัย   ส่วนการวางผังตัวบ้านดีไซน์ให้มีลักษณะเป็นคลัสเตอร์ โดยบ้านทุกหลังสามารถเชื่อมต่อกับสวนส่วนกลางโดยตรง ทำให้เกิดชุมชนที่ร่มรื่น จำนวนรถยนต์วิ่งผ่านบ้านแต่ละหลังน้อยลง ช่วยลดเสียงรบกวน และเพิ่มความเป็นส่วนตัว   พร้อม ยังวางตำแหน่งบ้านตามแนวทิศเหนือใต้ เพื่อหลบแดดทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เปิดทางให้บ้านรับลมธรรมชาติจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศใต้ได้อย่างเต็มที่ ออกแบบพื้นที่ให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของทุกช่วงวัย (Multi-generation) รวมถึงสัตว์เลี้ยง พร้อมสวนส่วนกลางที่เชื่อมต่อระหว่างบ้าน เพื่อส่งเสริมสุขภาวะที่ดี (Well-being)   ขณะที่แบบบ้าน ดีไซน์ในคอนเซ็ปต์ โอเรียลทัล โมเดิร์น สไตล์ (Oriental modern style) ดีไซน์เรียบง่ายแต่คลาสสิก (Timeless) พร้อมกลิ่นไอตะวันออกด้วยเส้นสาย โทนสีของวัสดุ และสวนส่วนกลางระหว่างบ้าน (Double front courtyard house)   นอกจากนี้ยังกำหนดให้พื้นที่นั่งเล่นของครอบครัวและเพื่อนสนิทที่บริเวณชั้น 2 ดีไซน์ให้แยกจากพื้นที่รับแขกที่ชั้น 1 เพื่อความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันออกแบบหลังคาให้รองรับการติดตั้ง Solar Roof ในตำแหน่งที่มีแสงส่องเพียงพอ แต่ไม่ทำลายดีไซน์ภาพรวมของงานสถาปัตยกรรม   ทำทุกวันให้เหมือนการพักผ่อน   ชัชนิล ซัง กรรมการบริหาร และ Landscape Studio Director กล่าวว่า หัวใจของการออกแบบโครงการนี้ คือการทำให้ทุกวันเหมือนการพักผ่อนในรีสอร์ท และสร้างบ้านที่ช่วยเติมเต็มคุณภาพชีวิตทั้งกายและใจ แตกต่างจากบ้านจัดสรรทั่วไปที่มักออกแบบเป็นกล่องสี่เหลี่ยม พร้อมสวนส่วนกลางสำหรับให้ทุกบ้านใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน   ดังนั้นการออกแบบภูมิทัศน์ (Landscape Concept) สวนส่วนกลาง ออกแบบให้มีพื้นที่ใช้งานทั้งแบบ Passive และ Active กระจายอยู่ทั้งสองสวน เพื่อมุ่งสร้างปฎิสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างลูกบ้าน   ขณะที่การจัดองค์ประกอบของ The terrace and koi pond เป็นพื้นที่นั่งริมน้ำที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย มีเสียงของน้ำ รวมถึงสีสันและการเคลื่อนไหวของปลาคราฟ โอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ   โซนของ Pet Friendly ให้ทุกคนสามารถพาสัตว์เลี้ยงมาทำกิจกรรมในสวนได้ โดยมีประตูรั้วและแนวไม้พุ่มแบ่งแยกจากส่วนอื่นชัดเจน มีที่นั่งพักคอย ที่ผูกสายจูง และถังขยะสำหรับเก็บมูลสัตว์   นอกจากนี้ยังมี Relaxation Area (Co-working space) พื้นที่นั่งพักผ่อนและนั่งทำงานใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ และ Education Playground พื้นที่เล่นและเรียนรู้ธรรมชาติ โดยเน้นสร้างความปลอดภัยที่ส่งเสริมทั้งจินตนาการและพัฒนาการของเด็กรอบด้าน   รวมไปถึง Reflexology path ภายในสวนออกแบบให้มีทางเดินนวดเท้าท่ามกลางธรรมชาติ รองรับผู้อาศัยทุกวัย (Multi-generation)   ‘สำหรับ ไอรา เรซสิเดนซ์ งามวงศ์วาน’ ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ โครงการฯ ตั้งอยู่ในซอย งามวงศ์วาน 6 ห่างจากเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ประมาณ 1.5 กิโลเมตร   ขนาดพื้นที่โครงการ ประมาณ 7 ไร่ แบ่งสัดส่วนพื้นที่สีเขียว 79% ของโครงการ โครงการ มี 24 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 410 และ 380 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 29 ล้านบาท   Alternate-X สรุปให้  NYE Estate เจาะอินไซด์ผู้บริโภคลักซูรี สู่แนวคิดบ้านเดี่ยวเพื่อการอยู่อาศัยแบบ ‘รีสอร์ตทุกวัน’ โครงการ “ไอรา เรซสิเดนซ์ งามวงศ์วาน” ตอบ 5 อินไซด์สำคัญ Sustainability, Wellbeing, Green Community, Privacy, Multi-generation ออกแบบร่วมกับสถาปนิกและนักจัดสวนชื่อดัง สร้างพื้นที่ที่เชื่อมโยงธรรมชาติและความสงบ ทุกดีไซน์รองรับไลฟ์สไตล์ครอบครัวไทยยุคใหม่ พร้อมฟังก์ชันเพื่อสัตว์เลี้ยง เด็ก และผู้สูงอายุ เปิดตัว 24 ยูนิต บ้านหรูสุขภาวะดี เริ่มต้น 29 ล้านบาท ใจกลางงามวงศ์วาน  

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

โดราเอม่อน เกิดค.ศ.2112 แต่ทำไม?ฉลองครบรอบ 90ปี พา 111 คาแรกเตอร์ ‘เวิลด์ ทัวร์’ไทย

Peace&Play

เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการ  ‘100% DORAEMON&FRIENDS TOUR IN THAILAND” นิทรรศการโดราเอมอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างปรากฏการณ์ที่ไอคอนสยาม ระหว่างวันที่ 1 พ.ค. – 22 มิ.ย. 2568 นี้   โดยนิทรรศการฯ นี้ ได้สร้างความประทับใจ พร้อมกวาดกระแสตอบรับอย่างล้นหลามระดับโลกมาแล้ว ด้วย ‘100% DORAEMON & FRIENDS’ นับเป็นโปรเจกต์เวิลด์ทัวร์สุดยิ่งใหญ่ที่เฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปีของโดราเอมอน ได้เดินทางมาสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในประเทศไทย ณ ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กริมแม่น้ำเจ้าพระยา   ภายใต้ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง Creative brand All Rights Reserved (ARR) และ Fujiko Pro พร้อมด้วยพันธมิตรในประเทศไทยอย่าง Japan Anime Movie Thailand ภายใต้การดูแลของ บริษัท ไฟว์สตาร์ เอเจนซี่ จำกัด, Trendic International Limited, Incubase Studio Limited และบริษัท เดกซ์ (ดรีม เอกซ์เพรส) จำกัด   ทั้งนี้ ผู้จัดงานฯ ได้เนรมิตพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ของไอคอนสยามให้กลายเป็นโลกแห่งโดราเอมอนอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างความสุขและความประทับใจครั้งยิ่งใหญ่ให้แฟนๆ ในประเทศไทย ตลอดช่วงระยะเวลาการจัดงาน   นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทย!! ‘100% DORAEMON&FRIENDS TOUR IN THAILAND’ นิทรรศการโดราเอมอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปีของการ์ตูนอมตะที่ครองใจผู้คนทั่วโลก โดยนิทรรศการ ‘100% DORAEMON & FRIENDS’ ได้รับการันตีความสำเร็จมาแล้วจากฮ่องกง ด้วยจำนวนผู้เข้าชมกว่า 400,000 คน และประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ในเวิลด์ทัวร์ครั้งนี้   ‘ม่อน แอนด์เดอะแก๊งค์ 111 คาแรกเตอร์     ในงานฯ พบกับกองทัพหุ่นแมวสีฟ้าและแก๊งค์เพื่อนขนาดเท่าตัวจริงมากถึง 111 ตัว! ที่จะมาสร้างสีสันและความตื่นตาตื่นใจให้หลายคนได้หวนรำลึกถึงความสุขในวัยเด็กอีกครั้ง   นอกจากนี้ ยังมีไฮไลต์ ‘โดราเอมอน’ เป่าลมยักษ์ สูงกว่า 12 เมตร ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม พร้อมจำลอง ภาพวาดต้นฉบับ อันทรงคุณค่าจากปลายปากกาของ ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ ให้แฟนๆ ได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด และพิเศษสุดกับการเปิดตัวของวิเศษชิ้นแรกในประเทศไทย “100% Friends-Calling Bell” กระดิ่งแห่งมิตรภาพที่จะมาเติมเต็มธีมของงานที่ว่า “เพื่อนแท้จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ”     งานฯนี้ มี 2 โซน   โดยนิทรรศการ “100% Doraemon & FRIENDS” ในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักให้ผู้ชมได้เต็มอิ่มกับโลกของโดราเอมอนอย่างจุใจ   Zone 1: 100% Manga Art Exhibition ณ Attraction Hall ชั้น 6   ดื่มด่ำไปกับโลกของโดราเอมอนอย่างเต็มรูปแบบในพื้นที่จัดแสดงกว่า 2,000 ตารางเมตร ตื่นตาตื่นใจกับหุ่นขนาดเท่าตัวจริง, ภาพมังงะ, ชิ้นงานจำลอง และฉากต่างๆ จากในการ์ตูนโดราเอมอนที่คุณคุ้นเคย อาทิ ห้องทำงานของฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ จุดกำเนิดโดราเอมอนเริ่มต้นขึ้นที่โต๊ะทำงานให้ห้องของอาจารย์,   โซนจัดแสดงหนังสือการ์ตูนของเท็นโตมูชิ หนังสือการ์ตูนของเท็นโตมูชิทั้ง 45 เล่ม ยกระดับเรื่องราวการผจญภัยของโดราเอมอนและผองเพื่อนไปสู่ระดับโลก,   โซนจัดแสดงผลงานขาวดำ ผลงานการ์ตูนขาวดำของฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไร้ขอบเขต, ห้องอ่านหนังสือการ์ตูนของโนบิตะ และ โซนจัดแสดงของวิเศษของโดราเอมอน สัมผัสประสบการณ์กับกระเป๋าสี่มิติของโดราเอมอนและของวิเศษมากมาย ฯลฯ     Zone 2: 100% Doraemon River Park Exhibition ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G   พบกับคอลเลกชันหุ่นโดราเอมอนและผองเพื่อนขนาดเท่าตัวจริง กว่า 90 คอลเลกชัน ทั้งในเวอร์ชั่นมังงะและแอนิเมชัน ที่จะมาสร้างความสุขเต็มพื้นที่ริเวอร์ พาร์ค พร้อมสัมผัสความอลังการของ ตุ๊กตาโดราเอมอนเป่าลมยักษ์ สูงกว่า 12 เมตร จุดถ่ายรูปเช็คอินที่ทุกคนไม่ควรพลาด   สำหรับนิทรรศการ ‘100% Doraemon & FRIENDS’ เชื่อว่าจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มแฟนคลับรุ่นเยาว์น แต่ยังเหมารวมทุกเพศทุกวัย ทุกเจเนอเรชั่นที่รู้จักหรือเติบโตมาพร้อมกับเรื่องราวและมิตรภาพของโดราเอมอนและโนบิตะ ซึ่งจะเป็นโอกาสพิเศษ ให้หลายคนได้หวนรำลึกถึงความสุขในวัยเด็ก และสร้างความทรงจำใหม่ๆ ร่วมกัน     ร่วมฉลองพร้อมผู้แต่งโดราเอม่อน   นอกจากนี้ ยังมีความน่าสนใจอยู่ตรงที่ พล็อตเรื่องราวของโดราเอม่อน ถือกำเนิดในปีค.ศ. 2112 และเดินทางจากอนาคต หลัง ‘โนบิ เซวาชิ’ อาศัยอยู่ในศตวรรษที่ 22  ได้ส่งแมวอ้วนหุ่นยนต์สีฟ้ามาหาบรรพบุรุษของเขา (โนบิ โนบิตะ) เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตเด็กประถมจอมขี้เกียจ ไม่ให้สร้างหนี้สินสู่ลูกหลาน กับแต่งงานกับ ไจโกะ   ขณะที่การฉลองครบรอบ 90 ปีของโดราเอมอนในปี 2025 นี้ ยังถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบวันเกิดของ ‘ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะ’ (Fujiko F. Fujio) ผู้สร้างสรรค์โดราเอมอน ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1933 ซึ่งเป็นการนับ ‘ครบ 90 ปีชาตกาล’ ซึ่งนิทรรศการฯ นี้ได้เริ่มจัดตั้งแต่ปลายปี 2023 แล้วต่อเนื่องมาถึงปี 2024–2025 โดยในญี่ปุ่น การจัดงานครบรอบแบบนี้ มักเริ่มล่วงหน้าในช่วงใกล้ครบปี เช่น ‘90th Anniversary Project’ อาจเริ่มปีที่ 90 และต่อยอดกิจกรรมเรื่อยไปอีก 1–2 ปี ซึ่งหากนับอายุของอาจารย์ผู้แต่งโดราเอม่อน ในปีนี้จะมีอายุครบรอบ 92 ปี   แม้ว่าโดราเอมอนจะปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1969 แต่การฉลองนี้เน้นที่การรำลึกถึงผู้สร้างและผลงานของเขา นั่นเอง!!   Fujiko, Fujio ขอขอบคุณภาพจาก Wikipedia   รายละเอียดบัตรเข้าชม   บัตร Weekday (วันจันทร์ – ศุกร์) : ราคา 590 บาท ประกอบด้วย เข็มกลัดอะคริลิคสุดพรีเมี่ยม 1 ชิ้น สุ่มจาก 8 ลายให้สะสม   บัตร Weekend & Holiday (วันเสาร์ – อาทิตย์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์) : ราคา 690 บาท ประกอบด้วย เข็มกลัดอะคริลิคสุดพรีเมียม 1 ชิ้น สุ่มจาก 8 ลายให้สะสม   บัตร Student Admission สำหรับเด็กที่มีความสูง 91-120 ซม. และ บัตร Senior Admission สำหรับผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขี้นไป : ราคา 450 บาท ประกอบด้วย เข็มกลัดอะคริลิคสุดพรีเมี่ยม 1 ชิ้น สุ่มจาก 8 ลายให้สะสมPremium Set (จำนวนจำกัด 3,000 ชุด) : ราคา 1,790   Alternate-X สรุปให้    โดราเอมอนฉลอง “90 ปี” เพื่อรำลึกวันเกิดของผู้เขียน ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะ ผู้ให้กำเนิดการ์ตูนในตำนานจัดนิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS TOUR” ใหญ่สุดในโลกครั้งแรกที่ไทยพบกับโดราเอมอน 111 ตัว หุ่นเป่าลมยักษ์ 12 เมตร และต้นฉบับลายเส้นจริงนิทรรศการแบ่งเป็น 2 โซนทั้งในร่มและริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ไอคอนสยามตอกย้ำพลังแห่งมิตรภาพข้ามวัย พร้อมสร้างความทรงจำใหม่ให้ทุกเจเนอเรชัน

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

‘หวานน้อย’ เทรนด์บริโภคยุคใหม่ และ ‘เบลล่า’ มีผลต่อใจเอเจนต์ร้านค้า กลยุทธ์ตลาด ‘โคโคเลิฟ’

BizKet

อาชวิน โรจนชัยชนินทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิคอร์น คอนซูมเมอร์ กรุ๊ป  จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้าเครื่องดื่มนํ้ามะพร้าวแท้ ‘Cocolove (โคโคเลิฟ)’ เปิดเผยว่า หลังสถานการณ์โควิด19 ผ่านพ้นไป พบว่าเทรนด์การบริโภคของคนไทยเปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญกับการเลือกทานเพื่อสุขภาพมากขึ้น จากก่อนหน้าผู้บริโภคจะเน้นความหวานเป็นหลัก โดยเฉพาะรสชาติเครื่องดื่ม     จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ วางแผนทำตลาดเชิงรุกผลิตภัณฑ์ Cocolove (โคโคเลิฟ) น้ำมะพร้าวแท้ 100% ไม่ใส่น้ำตาล พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ ในปีนี้ เพื่อขยายฐานผู้บริโภคชาวไทย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่รักตัวเองและใส่ใจสุขภาพและการดูแลตัวเองในทุกเจนเนอเรชั่น ทั้ง GenX. GenY, GenZ และ Gen Alpha ตลอดทั้งปี   โดยในปีนี้ Cocolove (โคโคเลิฟ) เปิดตัวแคมเปญ Love yourself , Drink for your health รณรงค์ให้คนไทยดื่มนํ้ามะพร้าวแท้ 100 % ‘เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง’ พร้อมร่วมกับแบรนด์แอมบาสเดอร์ ‘เบลล่า ราณี’ นักแสดงหญิงระดัซูเปอร์สตาร์พร้อมด้วยอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังต่างๆ มาสื่อสารสร้างการรับรู้-เสริมความแข็งแกร่งแบรนด์ ผ่านสื่อทุกแพลตฟอร์ม   “เราจะยังใช้การทำตลาดดิจิทัลในสื่อต่างๆ พร้อมใช้แฮชแทค #hastag  #LoveYourSelfDrinkForYourHealth สื่อสารสร้างการรับรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของแบรนด์และคุณประโยชน์ของการดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100% ให้คนไทยและคนทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกบริโภคเพื่อสุขภาพ” อาชวิน กล่าว     เบลล่า มีผลต่อใจเอเจนต์ร้านค้า   พร้อมเสริมว่า ต่อการเลือก ‘เบลล่า ราณี’ มาร่วมแคมเปญฯ ยังมีผลต่อความมั่นใจให้กับเหล่าบรรดาร้านค้า ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่จะตัดสินใจนำผลิตภัณฑ์ของเราไปจัดจำหน่ายอีกด้วย   โดยนอกจากตลาดในประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของคุณภาพ และรสชาติแล้ว ในกลุ่มตลาดเอเซีย เช่น สิงค์โปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ และตลาดยุโรป ก็ให้การยอมรับในรสชาติและคุณภาพของน้ำมะพร้าวแท้ 100% โคโคเลิฟ   “หลังจาก 1-2 ปี ที่ผ่านมาที่เรามุ่งเน้นการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกช่องทางแล้ว เรามีแผนที่จะเริ่มการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศเพื่อให้คนทั่วโลกซึ่งชื่นชอบน้ำมะพร้าวของไทยอยู่แล้ว ได้ดื่มน้ำมะพร้าวแท้100% ที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้ให้กับสวนมะพร้าวของไทยอีกด้วย” อาชวิน กล่าว   ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ Cocolove (โคโคเลิฟ) น้ำมะพร้าวแท้ 100% พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ ยังได้จัดิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้โปรโมชั่นพิเศษ ในช่องทางค้าปลีกทั้งออฟไลน์ และ ออนไลน์ อาทิ Big C, Lotus’s, Foodland, Villa Market, Thaifoods Fresh Market, Gourmet Market, Watsons, Max Mart, Tops, Tops daily, Jiffy, Lawson108   ด้าน ดร.ณราทิพย์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูนิคอร์น คอนซูมเมอร์ กรุ๊ป  จำกัด กล่าวเสริมว่า จุดเริ่มต้นของโคโคเลิฟ คือพัฒนาสินค้าเพื่อส่งมอบน้ำมะพร้าวแท้ 100%ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จากแหล่งวัตถุดิบสวนมะพร้าวที่ดีที่สุด ภายใต้ขั้นตอนการผลิตแบบ UHT และการบรรจุภัณท์ในระบบสุญญากาศแบบปิด หรือ Aseptic ด้วยกรรมวิธีการผลิตมาตรฐาน ไม่ใส่น้ำตาล ไม่เจือสี หรือ วัตถุกันเสียใดๆ และเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ให้ความอร่อยสดชื่นและดีต่อสุขภาพ   Alternate-X สรุปให้  โคโคเลิฟ (Cocolove) ชูจุดขายน้ำมะพร้าวแท้ 100% ไม่เติมน้ำตาล ตอบเทรนด์ ‘หวานน้อย’ คนรักสุขภาพ วางกลยุทธ์ ‘เบลล่า ราณี’ เป็นมากกว่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ สร้างความมั่นใจทั้งผู้บริโภคและร้านค้า เปิดตัวแคมเปญ Love yourself, Drink for your health พร้อมขยายตลาดต่างประเทศ ดันภาพลักษณ์เครื่องดื่มสุขภาพไทยสู่เวทีโลก พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจสวนมะพร้าวไทย เสริมความแข็งแกร่งด้วยนวัตกรรม UHT และบรรจุระบบ Aseptic ปลอดน้ำตาล สี และสารกันเสีย  

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

KEEN ออกสเต็ปใหม่จากรองเท้าสายลุย สู่โมเดลบนรันเวย์ ‘High Fashion’  

WeView

‘Shoes One’ โฉมรองเท้าแบรนด์ คีน (KEEN) จากสหรัฐอเมริกา ที่นำเข้ามาทำตลาดในไทยยุคแรก อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Totally Failed ด้วยหลักคิดการออกแบบด้วยเชือกถักของเจ้าของแบรนด์ ซึ่งเป็นนักปืนเขาสายแอดเวนเจอร์ ที่ว่าด้วยฟีเจอร์การใช้งานเป็นหลัก ส่วนความสวยเอาไว้ทีหลัง     ในวันนี้ ‘คีน’ อยู่ในตลาดร่วม 25 ปี พร้อมเปลี่ยนตำแหน่งจากรองเท้าสายลุยแนวเออร์เบินสู่มุมมอง High Fashion อย่างสมบูรณ์ ด้วยโมเดลใหม่ KEEN UNEEK PLT COLLECTION   ‘ชาร์ลส ปิณฑานนท์’กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิลีเม้นท์ 72 จำกัด ผู้นำเข้าและทำตลาดสินค้าเออร์เบิน ไลฟ์สไตล์ (Urban Lifestyle) กลุ่มเสื้อผ้า อุปกรณ์ กิจกรรมกลางแจ้ง แคมปิง ฯลฯ  จัดนิทรรศกาล (Exhibition) รองเท้าแบรนด์ KEEN ขึ้นที่ Keen Garage ชั้น 3 โซน Eden ณ ศูนย์การค้า Central World เพื่อเปิดตัวโมเดลใหม่ KEEN UNEEK PLT COLLECTION ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ในมุมมอง High Fashion อย่างสมบูรณ์       ชาร์ลส ให้รายละเอียดโมเดลใหม่ KEEN UNEEK PLT COLLECTION เป็นการผสานระหว่าง DNA ของรุ่น Iconic อย่าง UNEEK ให้เข้ากับกลิ่นอายแฟชั่นระดับไฮเอนด์ ได้อย่างลงตัว   พร้อมย้อนถึงเรื่องราวของ UNEEK เริ่มต้นจากแนวคิด ‘Two cords and a sole’ การออกแบบรองเท้าแบบใหม่ที่ใช้เพียง “เชือก 2 เส้นกับพื้นรองเท้า” สร้างสรรค์เป็นโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและรับกับรูปเท้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ สวมใส่สบาย และระบายอากาศได้ดี จนกลายเป็นรุ่น Iconic ที่ครองใจสายลุยและสายสตรีททั่วโลก   กระทั่งใน 2023 รองเท้ารุ่น UNEEK ได้ก้าวสู่เวทีแฟชั่นระดับโลกผ่านความร่วมมือกับดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่นชื่อดัง Noir Kei Ninomiya ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ภายใต้ Comme des Garçons โดยนำ UNEEK ไปปรากฏบนรันเวย์ที่ Paris Fashion Week 2023 พร้อมการออกแบบที่สร้างเสียงฮือฮาและกลายเป็นไวรัลในแวดวงแฟชั่นทั่วโลก   พร้อมปรับภาพลักษณ์ของ UNEEK ให้เป็นรองเท้าแนว Avant-Garde ด้วยดีไซน์โมเดิร์นจัดจ้าน จุดประกายให้แฟนแฟชั่นหันมาสนใจรองเท้า Performance สาย Outdoor   หลังจากความสำเร็จของการร่วมงานดังกล่าว KEEN ได้พัฒนาต่อยอดแนวคิดแฟชั่นเข้าสู่คอลเลกชันใหม่ UNEEK PLT (Platform)     ชาร์ลส กล่าว่า สำหรับ Collection Spring/Summer ปี 2025 ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ในมุมมอง High Fashion อย่างสมบูรณ์อ โดยมี 3 รุ่นเด่นใน UNEEK PLT Collection ที่สร้างปรากฏการณ์ความนิยมไปทั่วโลก ได้แก่   UNEEK PLT – โมเดลต้นฉบับ ที่อัปเกรดด้วยวัสดุพรีเมียมและดีไซน์ร่วมสมัย UNEEK PLT Mary Jane – แรงบันดาลใจจากรองเท้าสไตล์ Mary Jane ผสมผสานความเฟมินีนกับความลุย UNEEK PLT Tassel – รองเท้าแฟชั่นสุดยูนีค มาพร้อมดีเทลพู่สะดุดตา สำหรับสายสตรีทตัวจริง     สำหรับรองเท้าโมเดลใหม่ ดังกล่าววางจำหน่ายระดับราคา 5,850 บาท มีจำนวน 6 สีให้เลือก   “UNEEK PLT (Platform) จึงถือเป็นก้าวสำคัญของ KEEN ในการขยายภาพลักษณ์จากแบรนด์รองเท้าสายลุย สู่แบรนด์แฟชั่นที่มีสไตล์ ที่พร้อมพาผู้สวมใส่เดินทางจากเส้นทางธรรมชาติสู่รันเวย์ได้อย่างมั่นใจ”  ชาร์ลส กล่าว   Alternate-X สรุปให้  KEEN แบรนด์รองเท้าจากสหรัฐฯ เริ่มจากภาพลักษณ์รองเท้าสายลุย ล่าสุดมาพร้อมโมเดลใหม่ทำตลาดไทย ในคอลเลกชันใหม่ KEEN UNEEK PLT สู่โลกแฟชั่นระดับไฮเอนด์ ผ่านนิทรรศการที่ Central World โมเดล UNEEK PLT ผสาน DNA เชือกถักกับดีไซน์แฟชั่นโมเดิร์น พร้อมรุ่น Mary Jane และ Tassel ต่อยอดความสำเร็จจาก Paris Fashion Week ที่สร้างไวรัลในแวดวงแฟชั่นKEEN มุ่งวางภาพลักษณ์ใหม่ เป็นรองเท้าแฟชั่นที่เชื่อมโลก Outdoor กับโลกของรันเวย์อย่างมั่นใจ

May 2, 2025 / 0 Comments
read more

อาหารแต่ละมื้อแต่ละเดย์ กระจกสะท้อน ‘ร่างกาย’ แค่ปรับพฤติกรรมเล็กๆสุขภาพดีขึ้นง่ายๆ

Peace&Play

หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “You are what you eat” เป็นประโยคฮิตทรงพลังที่สะท้อนความจริงว่า อาหารที่เรารับประทานส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของเรา   และเนื่องในวันอนามัยโลก (World Health Day) เดือนเมษายนของทุกปี ดร.ภญ. วิภาดา แซ่เล้า ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการศึกษาและฝึกอบรมด้านโภชนาการ เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก อยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจถึงบทบาทสำคัญของโภชนาการที่มีต่อชีวิตไปด้วยกัน   มื้ออาหารที่สมดุลหน้าตาเป็นแบบไหน?   สำหรับหลักการง่าย ๆ จำแค่ “Quarter, Quarter, Half  (หนึ่งในสี่ หนึ่งในสี่ และครึ่งหนึ่ง)” เพื่อเป็นแนวทางในการจัดสัดส่วนอาหารที่เหมาะสมในมื้ออาหารที่สมดุล   หนึ่งในสี่ของจาน ควรเป็นธัญพืชเต็มเมล็ด อีกหนึ่งในสี่ของจาน ควรเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ครึ่งหนึ่งของจาน ควรเป็นผักและผลไม้   คาร์โบไฮเดรต แหล่งพลังงานหลักของร่างกาย   ขอเริ่มด้วยสารอาหารสำคัญอย่าง ‘คาร์โบไฮเดรต’ ที่มีความสำคัญต่อร่างกาย เป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับสมองและเม็ดเลือดแดงของเรา โดยแหล่งของคาร์โบไฮเดรตที่ดี ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ผลไม้ และผัก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของไฟเบอร์ วิตามิน แร่ธาตุ และไฟโตนิวเทรียนต์ที่ดีอีกด้วย คาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพต้องอยู่ในรูปแบบธรรมชาติที่ไม่ผ่านการขัดสี ซึ่งยังคงคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน การนำธัญพืชไม่ขัดสีแบบใหม่ ๆ มาใส่ในมื้ออาหารทุกวัน   ถือเป็นการสร้างนิสัยที่เรียบง่ายแต่ได้ผลดี เช่น เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง ควินัว หรือข้าวฟ่าง สร้างนิสัยกินแบบไม่ขัดสีและไม่ผ่านการแปรรูป   โปรตีน ตัวท็อปนักสร้างกล้ามเนื้อ   โปรตีนเป็นสารอาหารที่หลาย ๆ คนสนใจ และเป็นองค์ประกอบหลักของกล้ามเนื้อ กระดูก ผิวหนัง เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ ซึ่งร่างกายของเราย่อยและสลายโปรตีนที่กินเข้าไปให้เป็นกรดอะมิโนแต่ละชนิด   จากนั้นจึงใช้กรดอะมิโนเหล่านี้เพื่อสร้างโปรตีนชนิดใหม่ หากเราไม่ได้รับโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอ ร่างกายจะต้องสลายกล้ามเนื้อเพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการทำงาน โดยโปรตีนคุณภาพสูงมักมาจากสัตว์ เช่น เนื้อไม่ติดมัน สัตว์ปีก ปลา นม และผลิตภัณฑ์จากไข่ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนจากพืชอย่าง ถั่วเหลือง ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ   เราสามารถคำนวณปริมาณโปรตีนที่ร่างกายต้องการได้ง่าย ๆ โดยใช้สูตรน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) × 0.8 = ปริมาณโปรตีน (กรัม) ที่ควรบริโภคต่อวัน   ทั้งนี้ ผู้สูงอายุและผู้ที่ทำกิจกรรมทางกายสูง อาจต้องการโปรตีนมากกว่าค่าเฉลี่ยนี้ และแม้ว่าวิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุด เนื่องจากไม่ได้คำนวณมวลกล้ามเนื้อ แต่ก็เป็นวิธีง่าย ๆ ช่วยให้แบ่งปริมาณอาหารตามขนาดร่างกายได้   ไขมัน เลือกให้เป็น ไม่ใช่ศัตรู   ไขมันไม่ใช่ศัตรูเสมอไป แต่เป็นส่วนสำคัญของสมดุลในมื้ออาหาร เพราะไขมันเหล่านี้ให้พลังงานและช่วยในการดูดซึมวิตามิน แต่เราต้องรู้จักความแตกต่างระหว่างไขมันดีและไขมันไม่ดี เนื่องจากไขมันดีช่วยในการทำงานของหัวใจและสมอง และยังส่งเสริมสุขภาพผิวหนังและระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย   ไขมันไม่อิ่มตัว แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่   ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในถั่ว เมล็ดพืช มะกอก น้ำมันมะกอก และอะโวคาโด ซึ่งดีต่อหัวใจเมื่อบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เช่น โอเมก้า 3 (พบในปลาที่มีไขมัน ถั่ว เมล็ดพืช และผักใบเขียว) และโอเมก้า 6 (ส่วนใหญ่มาจากอาหารทอดและเบเกอรี่) เป็นสิ่งจำเป็นแต่ต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ   แต่บางครั้งเรามักจะบริโภคโอเมก้า 6 มากเกินไปหรือไม่เพียงพอ รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ที่พบในอาหารจากสัตว์ เช่น เนย ชีส นมสด และเนื้อแดง อาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้   วิตามินและแร่ธาตุ ตัวช่วยเสริมสร้างสุขภาพ   ถัดมาคือวิตามินและแร่ธาตุ หัวใจสำคัญที่ช่วยรักษาสุขภาพโดยรวมและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ โดยวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรับวิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลายในปริมาณที่เหมาะสมคือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วน เพราะอาหารในทุกวันมีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดอยู่แล้ว ตอบโจทย์ความต้องการทางโภชนาการในแต่ละวันได้อย่างง่ายดาย และอย่าลืมรับประทานผลไม้และผักหลากสี ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วและพืชตระกูลถั่ว โปรตีนไม่ติดมัน จะช่วยให้ร่างกายได้รับสิ่งที่ต้องการได้ดีขึ้น   น้ำ ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม   ทุกเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะในร่างกายของเราเจริญเติบโตได้ด้วยน้ำ ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยในการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร และการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมสร้างสุขภาพข้อต่อและภูมิคุ้มกัน รวมทั้งยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย ปกติแล้วในเครื่องดื่มจะมีปริมาณของเหลวที่เราบริโภคต่อวันประมาณ 70 – 80% ส่วนอีก 20 – 30% ที่เหลืออาจได้มาจากอาหารที่มีน้ำมาก เช่น ผลไม้และผัก   แต่ปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ สุขภาพก็ดีขึ้นง่าย ๆ   ความเข้าใจเรื่องโภชนาการเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่สิ่งสำคัญคือการนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานอาหารเป็นเวลา เพื่อช่วยให้ร่างกายย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น   จากการศึกษาเรื่องความถี่ในการแบ่งปันอาหารร่วมกันในครอบครัวกับความสัมพันธ์ด้านสุขภาพของเด็กและวัยรุ่น พบว่า การรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัวเป็นประจำช่วยส่งเสริมนิสัยการกินที่ดีและสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับโภชนาการที่สมดุล เด็กๆจะเรียนรู้จากสิ่งที่เห็นและประสบการณ์ภายในครอบครัว และเมื่อการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตครอบครัว เด็กก็มีแนวโน้มที่จะนำแนวทางนี้ไปใช้ในวัยผู้ใหญ่และส่งต่อไปยังคนรอบตัวและเพื่อนของตัวเองอีกด้วย   โภชนาการเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนร่างกาย ทุกคำที่เรากินมีผลต่อความรู้สึก สมาธิ และสุขภาพโดยรวม ซึ่งหากโภชนาการที่ดีมาจับคู่กับไลฟ์สไตล์ที่สมดุล เช่น การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการพักผ่อนที่เพียงพอ จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีทั้งกายและจิตใจไปพร้อมกัน   Alternate-X สรุปให้  โภชนาการมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพในทุกมิติ ทั้งพลังงาน สมอง และระบบต่างๆ ของร่างกาย ด้วยหลัก “หนึ่งในสี่ หนึ่งในสี่ ครึ่งหนึ่ง” ช่วยจัดสัดส่วนอาหารอย่างสมดุลในทุกมื้อ เน้นเลือกคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี โปรตีนคุณภาพ และไขมันดี เพื่อการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพ เติมวิตามิน แร่ธาตุ และน้ำอย่างเพียงพอเพื่อสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและการดูดซึมสารอาหาร การปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันช่วยเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืนและส่งต่อแนวคิดนี้ในครอบครัว    

May 2, 2025 / 0 Comments
read more

Sawasdee ‘การบินไทย’ แผนเทคออฟ สู่น่านฟ้าอนาคต พร้อมวกบินกลับเข้าตลาดฯ เดือนก.ค.ปี 68

BizKet

การบินไทย สายการบินแห่งชาติของไทย กับแผนฟื้นฟูธุรกิจในปี 2567-2568 ภายใต้การปรับโครงสร้างหนี้ มุ่งลดภาระหนี้กว่า 2.3 แสนล้านบาท ผ่านการเจรจาปรับลดหนี้และแปลงหนี้เป็นทุน   นอกจากนี้ยังมีเพิ่มทุนใหม่ โดยออกหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุนทั่วไป รวมกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมลดขนาดองค์กร ปรับลดพนักงานและต้นทุนการดำเนินงาน เพื่อให้คล่องตัวและแข่งขันได้   ขณะเดียวยังเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ทั้งปรับฝูงบินโดยเพิ่มเครื่องบินใหม่ที่ประหยัดพลังงาน และ เลือกบินเฉพาะเส้นทางทำกำไร พร้อมแผนวางเป้ากลับเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2568 หลังฟื้นฐานะการเงินกลับมาแข็งแกร่งได้     ขณะที่ในปีนี้ ‘การบินไทย’ ภายใต้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 65 พร้อมแผนทะยานสู่น่านฟ้าธุรกิจด้วยการส่งต่อเอกลักษณ์ความเป็นไทย ไปยังผู้คนทั่วโลก   ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ณ การบินไทย จัดงาน “THE NEW WORLDS OF TOMORROW”  ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปี โดยมุ่งเน้นการยกระดับการเดินทางทุกด้าน ทั้งประสบการณ์บนเที่ยวบินที่ผสานเสน่ห์ความ เป็นไทยอย่างกลมกลืนกับเทคโนโลยีการบินล้ำสมัย เพื่อตอบโจทย์ผู้โดยสารยุคใหม่ พร้อมตอกย้ำบทบาทในฐานะสายการบินของไทยที่พร้อมแข่งขันในเวทีระดับสากล   ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ การบินไทย กล่าวว่า หลังจากบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการดำเนินแผนฟื้นฟูกิจการ และคาดว่าจะกลับเข้าสู่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งได้ภายในเดือนกรกฎาคมของปีนี้   “ตลอดระยะเวลา 65 ปีที่ผ่านมา การบินไทยได้รับความไว้วางใจจากผู้โดยสารทั่วโลก และพร้อมเดินหน้าสู่อนาคตด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมและชัดเจน เพื่อปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดรับกับความต้องการของนักเดินทางในยุคปัจจุบัน”     สำหรับการบินไทย ภายใต้แนวคิด THE NEW WORLDS OF INSIGHT AND HOSPITALITY จะมอบประสบการณ์การเดินทางพิเศษ พร้อมยกระดับการบริการบนเที่ยวบินในหลายด้าน ดังนี้   โฉมใหม่นิตยสาร “Sawasdee” เป็นการปรับเปลี่ยนสื่อสำคัญที่อยู่คู่กับสายการบินไทยมาอย่างยาวนาน ให้ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มผู้อ่านยุคใหม่ได้อย่างทั่วถึง โดย “Sawasdee” จะกลับมาให้บริการอีกครั้งในรูปแบบครบวงจร ทั้ง ฉบับพิมพ์ (Printed Version), e-Magazine และ เว็บไซต์ Sawasdee Online เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางในโลกดิจิทัล   Amenities Kit รุ่นพิเศษ ซึ่งการบินไทยได้สร้างสรรค์ร่วมกับแบรนด์ SIRIVANNAVARI แบรนด์แฟชั่นระดับลักซูรี่ จากวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรคของแบรนด์   สำหรับกระเป๋า Amenities Kit ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งศิลปะและวัฒนธรรมไทย  นำเสนอใน 2 ลวดลาย ได้แก่   ลวดลายผ้าบาติกโทนขาว-น้ำเงิน ถ่ายทอดมนตร์เสน่ห์ผืนผ้าอันงดงามของภาคใต้ ผสมผสานกับลายดอกรักราชกัญญา ซึ่งเป็นลายผ้าที่องค์ดีไซเนอร์พระราชทานให้กลุ่มบาติกไทย ประดับด้วยสัญลักษณ์ช้าง นกยูง รวมถึงดอกไอริสและกล้วยไม้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ SIRIVANNAVARI และการบินไทย ลวดลายที่สอง อสวนสีสวย เบ่งบานไปด้วยดอกไอริสและดอกกล้วยไม้ บนผืนผ้าลายกราฟฟิกรูปเกือกม้า สัญลักษณแห่งความโชคดี ที่วางสลับกันเป็นลาย S Monogram ของแบรนด์ SIRIVANNAVARI ในโทนสีชมพูและสีม่วงสดใส   โดยภายในกระเป๋าประกอบด้วย Hand Cream กลิ่นกุหลาบ, Lip Balm บำรุงฝีปาก และ Deodorant Spray กลิ่นอายภูมิปัญญาไทย จาก SIRIVANNAVARI Maison และผ้าปิดตาในสีสันและลวดลายเดียวกับกระเป๋า, แปรงสีฟันจากไม้ไผ่, ยาสีฟัน MARVIS, ที่อุดหูกันเสียงรบกวน   สำหรับของใช้ทุกชิ้นคัดสรรมาเป็นพิเศษให้ผู้โดยสารชั้นธุรกิจ ที่เดินทางสู่จุดหมายปลายทาง 4 เมืองแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ได้แก่ มิลาน ปารีส โตเกียว และเซี่ยงไฮ้ ได้สัมผัสกับนิยาม Smooth as Silk อย่างแท้จริง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป     บินพร้อมรสชาติไทย ระดับสากล   สำหรับด้านอาหาร มีการเปิดตัวแคมเปญ “Good Taste for a Good Cause” ที่คัดสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพจากผู้ประกอบการไทย เพื่อส่งเสริมสินค้าไทยสู่ระดับสากล ตอบสนองนโยบาย Soft Power ของรัฐบาล   ประกอบด้วยลูกจุ๊บทีจี ไรซ์แครกเกอร์การบินไทย ช็อกโกแลตกานเวลา กาแฟดอยตุง และขนมหวานจากร้าน After You Dessert Café โครงการ Taste of Thai Tales อาหารไทยเมนูพิเศษรังสรรค์โดยเชพไทยที่มีชื่อเสียง     รวมถึงแคมเปญ ‘Streets to Sky’ ที่คัดสรรอาหารจานเด่นจากร้านดังของไทย อาทิ   ผัดไทยมันกุ้งทิพย์สมัย ก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเลเจ๊ไฝ ข้าวหน้าไก่รสดีเด็ด   พร้อมเสิร์ฟบนเที่ยวบินเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้โดยสาร และยังยกระดับการให้บริการด้วย คาร์เวียร์ระดับพรีเมียม และ เครื่องดื่มสูตรพิเศษ “Oriental Dawn” และ Rose of Royal Voyage ที่รังสรรค์ขึ้นสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง รอยัลเฟิสต์ และชั้นธุรกิจ รอยัลซิลค์     สู่ยุคใหม่ ฝูงบินทันสมัย Wi-Fi ฟรี   ด้าน ชาติ เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าว่า บริษัทฯ ได้ประกาศความพร้อมในการรับมอบเครื่องบินรุ่นใหม่ Airbus A321 Neo ที่จะเข้าประจำการภายในสิ้นปี 2568 นี้ เพื่อเสริมศักยภาพฝูงบินของการบินไทยให้มีความทันสมัย ประหยัดพลังงาน และตอบโจทย์ผู้โดยสารยุคใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ   “บนเที่ยวบินที่ให้บริการโดย Airbus A321 Neo ผู้โดยสารจะได้สัมผัสความสะดวกสบายจากระบบความบันเทิงบนเที่ยวบินที่ติดตั้งในทุกที่นั่ง พร้อม บริการ Wi-Fi ฟรี สำหรับสมาชิก Royal Orchid Plus ทุกระดับสถานะ สะท้อนถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดการเดินทางของเรา” ชาย กล่าว   พร้อมย้ำว่า “THE NEW WORLDS OF TOMORROW” เป็นการฉายภาพการบินไทยในโฉมใหม่ เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคง แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างสง่างาม เพื่อรักษามาตรฐานการบริการระดับสากล   Alternate-X สรุปให้  การบินไทยเดินหน้าแผนฟื้นฟูครั้งใหญ่ ปี 2567–2568 ปรับโครงสร้างหนี้กว่า 2.3 แสนล้านบาท ออกหุ้นเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้าน ลดขนาดองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพและคล่องตัว ปรับฝูงบิน เสริมเครื่องบินใหม่ Airbus A321 Neo เพิ่มเส้นทางทำกำไร เตรียมกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์กลางปี 2568  พร้อมฉลองครบรอบ 65 ปี เปิดตัวแคมเปญ “THE NEW WORLDS OF TOMORROW” ยกระดับบริการ ผสาน Soft Power ไทยสู่สากล

May 1, 2025 / 0 Comments
read more

Work Life Balance มีมา 139 ปีแล้ว คนประท้วงทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน จุดกำเนิด ‘วันแรงงาน’

Peace&Play

เพราะคนงานได้พักผ่อนน้อย ถูกเอาเปรียบจากค่าจ้าง ชนวนสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค2 พร้อมประท้วงนายจ้างขอทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน  กระทั่งถึงในปัจจุบันแนวทางการทำงานเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัล ที่ยังต้องการชีวิตสมดุลการทำงาน   1 พ.ค. ‘วันแรงงานสากล’ May Day เป็นวันสำคัญอย่างยิ่งยวดของชนชั้นคนทำงานนับจากอดีตที่มีจุดเริ่มต้นกว่า 139 ปีก่อน ที่แม้ว่ากาลเวลาจะล่วงมาถึงการทำงานในยุคดิจิทัลในวันนี้ ที่เชื่อว่าใครหลายคนยังมองหา Work Life Balance กันอยู่ และเช่นเดียวกับนายจ้างในแทบทุกยุคสมัยต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่เชื่อมั่นในคำนี้’ แถมยังมีเจ้านายบางคนบอกอีกว่า คำนี้ไม่มีอยู่จริง!!   หากย้อนที่มา จุดเริ่มต้นของวันแรงงาน มาจากการเคลื่อนไหวของกรรมกรในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1886 ซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Era) อย่างเต็มตัว หรือที่เรียกว่า Second Industrial Revolution ซึ่งมีการเติบโตของโรงงาน เกิดระบบสายพานการผลิต (assembly line) ทำให้มีการใช้แรงงานจำนวนมากในเมืองใหญ่   ขณะที่ การตั้งสหภาพแรงงานและเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ อย่าง ‘วันแรงงาน’ เริ่มจากเหตุการณ์ Haymarket Affair ในชิคาโก ปี 1886 จากนักเคลื่อนไหวระดับสากล ‘Peter J. McGuire’ บุคคลที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด และถือเป็นผู้จุดประกาย ในวงการนี้ ภาพ chicagocop.com   ต่อการการรวมกันประท้วงในครั้งนั้นที่เรียกว่า ‘เหตุการณ์เฮย์มาร์เก็ต’ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง และยังนำไปสู่ความรุนแรงมีผู้เสียชีวิตของผู้ชุมนุมหลายคน   เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังได้จุดกระแสแรงงานไปทั่วโลก จนสหภาพแรงงานนานาชาติได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นวันแรงงานสากลเพื่อรำลึกถึงการต่อสู้เพื่อสิทธิพื้นฐานของแรงงาน   จุดเปลี่ยนสู่การยอมรับในระดับโลก   หลังเหตุการณ์เฮย์มาร์เก็ต การเคลื่อนไหวของแรงงานขยายตัวออกไปยังยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับสิทธิแรงงาน เช่น   การกำหนดชั่วโมงการทำงานขั้นต่ำ ค่าจ้างที่เป็นธรรม สวัสดิการที่จำเป็น   ขณะที่ จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ เมื่อรัฐบาลและภาคธุรกิจเริ่มยอมรับว่า ‘แรงงาน’ คือรากฐานของเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้วันแรงงานกลายเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก และมีการจัดกิจกรรมเพื่อยกย่องแรงงานในหลากหลายรูปแบบ   69 ปี ‘วันกรรมกรแห่งชาติ’    สำหรับในประเทศไทย ได้เริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิดวันแรงงานหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทผลักดันแนวคิดนี้เข้าสู่สังคมไทยอย่างเป็นทางการ   โดยรัฐบาลประกาศให้วันที่ 1 พฤษภาคมเป็น ‘วันกรรมกรแห่งชาติ’ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 เพื่อยกย่องแรงงานไทยว่าเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงเป็นการรับรองสิทธิของผู้ใช้แรงงานตามมาตรฐานสากล   Welcome แรงงานยุคใหม่โลกดิจิทัล   อย่างไรก็ตาม ในวันนี้การเดินทางของวันแรงงานสากลล่วงมาร่วม 139 ปีถึงในโลกยุคปัจจุบัน พร้อมเปลี่ยนผ่านจากยุคอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างชัดเจน ขณะที่คนทำงาน ไม่จำกัดแค่ในโรงงานหรือสำนักงานอีกต่อไป   ขณะที่ ‘แรงงาน’ ในวันนี้ ที่ยังรวมถึงนักสร้างสรรค์ นักเขียนโค้ด ฟรีแลนซ์ และ Digital Nomads ผู้เดินทางพร้อมงานในกระเป๋า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ผลักดันแนวคิด Work-Life Balance ให้เด่นชัดขึ้น   โดยแรงงานยุคใหม่เลือก ‘คุณภาพชีวิต’ ความยืดหยุ่นกลายเป็นปัจจัยสำคัญของงาน ขณะที่ความมั่นคงและสวัสดิการ เองยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของแรงงาน ทั้งในระบบและนอกระบบในวันที่โลกเชื่อมถึงกันหมด   Alternate-X สรุปให้  1 พฤษภาคมคือวันแรงงานสากล เริ่มจากการเรียกร้องสิทธิแรงงานในสหรัฐฯ ปี 1886 เหตุการณ์เฮย์มาร์เก็ตนำไปสู่การกำหนดวันแรงงาน เพื่อเรียกร้องชั่วโมงทำงานที่เป็นธรรม ขณะที่ประเทศไทยรับแนวคิดนี้อย่างเป็นทางการในปี 2499 สมัยจอมพล ป. จากยุคอุตสาหกรรมสู่ยุคดิจิทัล แนวคิดเรื่องแรงงานเปลี่ยนจากสายพานสู่ความยืดหยุ่น Digital Nomad และ Work-Life Balance ยังเป็นสิ่งที่แรงงานรุ่นใหม่ในโลก ให้ความสำคัญอยู่ อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง ’13 สิงหาคม’ วันถนัดข้างซ้ายสากล สถิติพบสัดส่วน 7-10% รวมอัจฉริยะ-คนดังโลกอยู่ในกลุ่มนี้

May 1, 2025 / 0 Comments
read more

‘นันยาง’ เข้าใจเศรษฐกิจซึมๆ ส่งรองเท้ารุ่นสวยไม่ผ่านQC แต่ราคา-คุณภาพดี เจาะเปิดเทอม

BizKet,  EcoVative

ในปีนี้เศรษฐกิจชะลอตัว ‘นันยาง’ ห่วงกำลังซื้อผู้ปกครอง ย้ำนวัตกรรมเกินคุ้มเจาะตลาดรองเท้านักเรียนไทยมีมูลค่า 5 พันล. ทำรองเท้าแห่งอนาคต เข้าหาเด็กเจน Alpha เน้นใส่สนุกเชือกไม่ต้องผูก   ชัยพัชร์ ซอโสตถิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตรองเท้านันยาง เปิดเผยว่า จากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัวในช่วงนี้ แต่นันยาง ยังมองเห็นโอกาสสร้างการเติบโตผ่านความเข้าใจเชิงลึกในพฤติกรรมผู้บริโภค พัฒนาสินค้าที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ และสร้างความแตกต่างผ่านนวัตกรรมที่ไม่เหมือนใคร   ด้าน ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ทำตลาดรองเท้านันยาง กล่าวว่า จากแนวคิดการพัฒนารองเท้านันยางตามความต้องการเชิงลึกผู้บริโภคดังกล่าว ยังนำมาต่อยอดสู่การทำตลาดในช่วงเปิดเทอมปี 2568 นี้   โดยนันยาง จะมุ่งนวัตกรรมสินค้าและความคุ้มค่า เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคเศรษฐกิจชะลอตัว  พร้อมพัฒนารองเท้าเพื่อรองรับความต้องการของเด็กนักเรียนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดรองเท้าเด็กกลุ่ม Gen Alpha หรือชั้นประถม   ล่าสุด นันยางได้ออกแบบรองเท้ารุ่น “Nanyang Have Fun”  คุณสมบัติเบา นุ่ม และสวมใส่สบายเหมาะกับสรีระของเด็กเล็ก พร้อมนวัตกรรมสำคัญในช่วงโควิด-19 ด้วยการพัฒนา ‘เชือกยืดหยุ่น’ ทำให้ไม่ต้องผูกเชือกอีกต่อไป ลดการสัมผัสเชื้อโรคจากรองเท้า 10 เท่า   สำหรับการเปิดเทอมปีการศึกษา 2568 นันยางได้เปิดตัว ‘เชือกยืดหยุ่น 2.0’  พร้อมฟังก์ชันพิเศษ ‘ล็อก – ปลดล็อก’ เพิ่มความคล่องตัว ตอบโจทย์ทุกกิจกรรมการเรียนและการเล่น   พร้อมกันนี้ นันยาง ยังได้แนะนำสินค้าเก่าในรูปแบบใหม่ โดยนำรองเท้าที่ไม่ผ่านมาตรฐานด้านความสวยงามแต่ยังคงคุณภาพการใช้งาน 100% กลับมาจำหน่ายใหม่ในราคาพิเศษ ได้แก่   Nanyang Retake (มีตำหนิจากการผลิต) ราคา 269 บาท Nanyang Retry (มีรอยเปรอะเปื้อน) ราคา 169 บาท     ดร. จักรพล กล่าว “เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และตอบโจทย์สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและลดของเสียจากกระบวนการผลิต และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด Circular Economy ในโครงการ Nanyang Reborn” พร้อมเสริมว่า “คาดการณ์ว่าโครงการ Nanyang Reborn จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 140,000 kgCO₂e เสมือนการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ 7,000 ต้นในหนึ่งปี หรือการขับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันระยะทางรอบโลกได้ 20 รอบ”   ทั้งนี้ นอกจากการสร้างทางเลือกที่คุ้มค่าให้ผู้บริโภค ยังเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ขยายวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ สนับสนุนการผลิตและบริโภคที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น และเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิด Circular Economy ของนันยางให้เป็นรูปธรรม อีกด้วย   ดร. จักรพล กล่าวว่า สำหรับช่องทางการขาย นันยาง วางจำหน่ายสินค้าผ่านทั้งร้านค้าทั่วประเทศ ห้างสรรพสินค้า และช่องทางร้านค้าออนไลน์ทุกประเภท เพื่อรองรับพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้สะดวก พร้อมรับสิทธิพิเศษและโปรโมชันตามแต่ละช่องทาง เพื่อเพิ่มประสบการณ์การซื้อที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล   จากแผนดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าหมายเติบโตต่อเนื่องที่ 3-5% ในปีนี้ จากปัจจุบันนันยาง ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ1 ด้วยส่วนแบ่ง 45%  ของตลาดรองเท้านักเรียนคาดมีมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท   ขณะที่ตลาดรองเท้านักเรียนไทยมีผู้เล่นหลักประมาณ 10-15 ราย ใน และมีผู้เล่นรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 5 รายในช่วงปีที่ผ่านมา     Alternate-X สรุปให้ นันยางรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยนวัตกรรมรองเท้านักเรียน “Nanyang Have Fun” เจาะกลุ่มเด็ก Gen Alpha ด้วยเชือกยืดหยุ่นไม่ต้องผูก ลดการสัมผัสเชื้อโรค พร้อมเปิดตัวเวอร์ชัน 2.0 ล็อก-ปลดล็อกได้ เสริมสินค้า Retake และ Retry ราคาประหยัด เพื่อลดของเสียและส่งเสริม Circular Economy คาดลดคาร์บอนกว่า 140,000 kgCO₂e ตั้งเป้าเติบโต 3-5% ปีนี้จากตลาด 5 พันล้านบาท    

May 1, 2025 / 0 Comments
read more

นาราสิริ บางนา กม.10 บ้านหรู4 พันล. พรีเซลล์บ้านสู่คอลเล็กชั่นศิลปะ ‘YOU ARE MY HOME’

WeView

ระหว่างวันที่ 24-25 พ.ค.นี้ ‘แสนสิริ’ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เตรียมเปิดพรีเซลล์ ‘NARASIRI BANGNA KM.10 x PARNARTS’ บ้านหรูมูลค่าโครงการรวมกว่า 4,000 ล้านบาท ภายในแสนสิริ ลักซูรี่ คอมมูนิตี้ SANSIRI 10 EAST 165 ไร่   ในงานพรีเซลล์ครั้งนี้ แสนสิริ ยังได้เนรมิต ‘บ้าน’ สู่งานศิลป์ในแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นครั้งแรกในคอลเลคชั่นพิเศษ ‘YOU ARE MY HOME’                โดยครูปาน–สมนึก คลังนอก ที่มาร่วมตีความความงดงามของคำว่า “บ้าน” ผ่านผลงานศิลปะในแบบฉบับครูปาน มาจัดแสดงอย่างเป็นทางการ   โดยรายได้จากการจำหน่ายผลงานบางส่วนนำเข้าสมทบทุนมูลนิธิเสริมกล้าเพื่อช่วยเหลือเด็กในโครงการ ZERO Dropout     สำหรับผู้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการฯ นี้ได้เป็นอย่างดี คงเป็นใครไม่ได้นอกจาก ‘ศรีอำไพ รัตนมยูร’ ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เล่าถึงความสำเร็จการเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดลักซูรี่ และซูเปอร์ลักซูรี่ของประเทศ พร้อมตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ากลุ่ม HNWIs อย่างต่อเนื่อง   ล่าสุด เปิดตัวโครงการมาสเตอร์พีซแรกแห่งปี NARASIRI BANG NA KM.10    (นาราสิริ บางนา กม.10) ระดับราคา 60-150 ล้านบาท ภายใต้พอร์ตฯ Sansiri Luxury Collection บ้านเดี่ยวระดับลักซูรี่ เอ็กซ์คลูซีฟ ไพรเวท จำนวน 56 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท ภายใน SANSIRI 10 EAST ลักซูรี่ คอมมูนิตี้ บนพื้นที่ 165 ไร่ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท   โครงการฯ มีความโดดเด่นด้านต่างๆ อาทิ   ดีไซน์การออกแบบมาตรฐานด้วยกลิ่นอาย New York Renaissance Revival ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ตั้งอยู่บน The Best & Prime Location ทำเลที่คู่ควรและเหมาะสม Target profile ตอบรับความต้องการลูกค้าบนทำเลดังกล่าว ตลอดจนดีไซน์   สำหรับ NARASIRI BANG NA KM.10 อยู่บนทำเลติดถนนใหญ่บางนา – ตราด กม.10 มาพร้อมกับ Gated Community มอบความส่วนตัวสูงสุด ประกอบด้วย 4 รูปแบบบ้าน ได้แก่   NOHO No.6 พื้นที่ใช้สอย 687 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ และ ที่จอดรถ 4 คัน พร้อมลิฟท์ส่วนตัว NOHO No.5 พื้นที่ใช้สอย 540 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และ ที่จอดรถ 4 คัน พร้อมลิฟท์ส่วนตัว NOHO No.4 พื้นที่ใช้สอย 495 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และ ที่จอดรถ 3 คัน NOHO X แบบบ้าน New Design เปิดตัวครั้งแรกที่โครงการนี้ พื้นที่ใช้สอย 437 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และ ที่จอดรถ 3 คัน     เกี่ยวกับ NARASIRI   แบรนด์ที่แสนสิริ พัฒนาขึ้นและได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้าระดับ HNWIs ตลอดกว่า  20 ปี    เป็นเสมือนสินทรัพย์คอลเล็กชั่นอสังหาฯ ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งแสนสิริ ปรับเปลี่ยนการดีไซน์ให้เข้ากับลูกค้า Young Successors ยุคสมัยใหม่ ที่ประสบความสำเร็จเร็ว รวมทั้งยังมองหาโอกาสในการต่อยอดลงทุนจากสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต   แสนสิริ พัฒนาโครงการ NARASIRI มาแล้วรวมทั้งสิ้น 9 โครงการ ในหลากหลายโลเคชั่น ศักยภาพ อาทิ วัชรพล, กรุงเทพกรีฑา, นวมินทร์, ย่านฝั่งธน    

April 30, 2025 / 0 Comments
read more

เจนฯ 2 ‘ลัคกี้เฟลม’ ขอเป็นมากกว่าแบรนด์เตาแก๊ส ขยายสู่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก

BizKet

เชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัคกี้เฟลม จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดอุปกรณ์ประกอบการทำครัวเตาแก๊ส แบรนด์ ลัคกี้เฟลม (Lucky Flame) เปิดเผยว่าบริษัทฯ วางแนวทางการทำตลาดผลิตภัณฑ์ลัคกี้เฟลม นับจากนี้ไป จะเป็นมากกว่าแบรนด์สินค้าเตาแก๊ส หลังจากอยู่ในตลาดครบรอบ 50 ปีในปีนี้   พร้อมกันนี้ ลัคกี้เฟลม ยังให้ความสำคัญการพัฒนานวัตกรรมสินค้าทั้งด้านการออกแบบและฟังก์ชั่นการใช้งานใน 8 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย   กลุ่มเตาแก๊สและเตาไฟฟ้า กลุ่มเครื่องดูดควัน กลุ่มเตาอบ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เครื่องทำน้ำอุ่น กลุ่มอ่างล้างจานและก็อกน้ำ กลุ่มอุปกรณ์แก๊ส ผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจร้านอาหาร   “แบรนด์ลัคกี้เฟลม เพิ่มไลน์อัปทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก Small Appliance มาตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ซึ่งเป็นโอกาสการขายและขยายฐานผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ จากกลุ่มเดิมที่คุ้นเคยแบรนด์ในฐานะเตาแก๊ส ที่อยู่ในตลาดมานานร่วม 50ปี” เชาว์เลิศ กล่าว สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 นั้น ซึ่งเป็นความท้าทายและเป็นก้าวใหม่ของ ลัคกี้เฟลม ที่ดำเนินธุรกิจมาถึง 50 ปี โดยบริษัทฯ มุ่งสร้างธุรกิจไปในทิศทางเดียวกับโลกที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายสู่การเป็นแบรนด์ไทยที่มีศักยภาพระดับสากล พร้อมวางแผนทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ อาทิ   Nexus ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวอัจฉริยะ (Smart Kitchen Appliances) ประกอบด้วยเครื่องดูดควัน (Smart Hood) เตาแก๊ซแบบฝัง (Smart Built-in Gas Hob) เตาแก๊สอัจฉริยะ i-Hob สามารถเชื่อมต่อ Application บนสมาร์ทโฟน   “บริษัทฯ ให้ความสำคัญการทำสินค้าเน้นฟังก์ชั่นคู่ดีไซน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านได้ด้วย รวมถึงเพิ่มความฉลาดในเตาแก๊สรุ่นไอ-ฮอป ที่เชื่อมกับสมาร์ทโฟนของผู้ใช้งานให้สามารถตรวสสอบสภานะการทำงานของเตาแก๊สได้ หากไม่แน่ใจว่าปิดเตาแก๊สก่อนออกจากบ้านหรือยัง ซึ่งรุ่นนี้วางจำหน่ายราคา 24,900 บาท”   นอกจากนั้นยังเตรียมร่วมกับนักออกแบบดีไซเนอร์ชื่อดัง พัฒนาผลิตภัณฑ์ เตาไฟฟ้ารุ่น พิเศษ (Limited Edition) ฉลอง 50 ปี คาดเปิดตัวในไตรมาสสี่ ปีนี้   สำหรับแนวทางการทำตลาดลัคกี้เฟลม จากนี้ไปจะวางตำแหน่งเป็นแบรนด์สินค้าคุณภาพของคนไทยที่มีดีไซน์ในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมรักษาฐานในกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ (Mass Market) พร้อมให้ความสำคัญกลุ่มลูกค้าในเมืองและคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ประเภท Built-in และสินค้าสำหรับผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม ที่ต้องการความสะดวก ปลอดภัยและเหมาะสมกับพื้นที่จำกัด (Smart Function & Safety Innovation) พร้อมขยายการทำตลาดยุโรปในประเทศเยอรมันนี เป็นครั้งแรกจากก่อนหน้า บริษัทฯ มีตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และ ออสเตรเลีย เป็นหลัก   เชาว์เลิศ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้ใช้งบลงทุนต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทใน 3 ปีก่อนหน้า เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มในโรงงาน 2 แห่งตั้งอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด และ ย่านกิ่งแก้ว เพื่อทำตลาดทั้งในและต่างประเทศสัดส่วน 80% และ 20% ตามลำดับ และวางแผนปรับสัดส่วนเป็น 70% และ 30% ในอีก 5 ปีข้างหน้า   ขณะที่สินค้าภายใต้แบรนด์ลัคกี้เฟลม ทั้งหมดถือเป็นแบรนด์คนไทย ใช้ฐานผลิตประเทศไทย (Made in Thailand) ที่ได้รับมาตรฐานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การรันตีด้านความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค   “เครื่องหมายดังกล่าว มีความสำคัญอย่างมากต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อตั้งรับการเข้ามาของสินค้าประเภทเดียวกันจากประเทศจีน ที่จะทะลักเข้ามาในไทยมากขึ้น จากผลกระทบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ทำให้ประเทศหลังต้องหาตลาดเพื่อระบายการผลิตสินค้าออกจากประเทศจำนวนมาก โดยใช้กลยุทธ์การตัดราคาสินค้าที่ต่ำกว่าผู้เล่นท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ   สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มได้ 10%ในปี 2567 อยู่ที่ 950 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 3ปี จะเติบโตได้ถึง 1,200 ล้านบาท จากปัจจัยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด และร่วมกับพันธมิตรใหม่ พร้อมทำตลาดส่งออกต่างประเทศ มากขึ้น   Alternate-X สรุปให้ ลัคกี้เฟลม ก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ด้วยกลยุทธ์ขยายจากแบรนด์เตาแก๊สสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กครบวงจร พร้อมเน้นนวัตกรรมและดีไซน์ทันสมัย เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และตลาดคอนโดฯ ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรป เข้าตลาดเยอรมันนีเป็นครั้งแรกในปีนี้ พร้อมลงทุนต่อเนื่องเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและพัฒนา Smart Appliances เช่น i-Hob เชื่อมต่อมือถือตรวจสอบสถานะการทำงานของเตาแก๊ส ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 1,000 ล้านบาท และโตต่อเนื่องถึง 1,200 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า          

April 30, 2025 / 0 Comments
read more

เรื่องเล่าจากเตาแก๊ส ‘ลัคกี้เฟลม’ 50 ปีคู่ครัวไทย ถึงวันนี้ส่งไม้ต่อเจนฯ2 พาสู่รายได้พันล้าน

BizKet

Lucky flame  ลัคกี้เฟลม แบรนด์เตาแก๊ส สัญชาติไทย ที่เดินทางสู่ปีที่ 50 ในปี 2568 นี้  พร้อมการบอกเล่าของ ‘อมรรัตน์ ลีลาศวัฒนกุล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท และ หนึ่งในผู้ร่วมตั้งกิจการ ลัคกี้เฟลม ย้อนจุดเริ่มต้นกิจการครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อราวปี 2518 หลังสามี (คุณไชยยงค์ ลีลาศวัฒนกุล) มองเห็นโอกาสทำธุรกิจเตาแก๊ส ที่มีราคาสูงถึง 50-60%  ด้วยเป็นสินค้าที่ถูกบวกภาษีนำเข้าจาก ญี่ปุ่น และ ไต้หวัน  เพื่อนำเข้ามาขายในไทย ยุคนั้น   จากช่องว่างราคาเตาแก๊ส ที่สูงมาก ทำให้ ‘คุณไชยยงค์’ มองเห็นเป็นโอกาส ทางธุรกิจ โดยเสนอไอเดียให้เถ้าแก่โรงงานวัถตุอุตสาหกรรมไทยที่ ‘คุณไชยยงค์’ ทำงานอยู่ในเวลานั้น เป็นผู้ผลิตและขายสินค้าในราคาที่ไม่ต้องบวกภาษีนำเข้า   แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในยุคดังกล่าว ทำให้สินค้าเตาแก๊สที่ผลิตออกมาขายยังไม่ได้รับความนิยม บวกกับสินค้าที่ผลิตออกมามีวอลุ่มไม่มากนัก ทำให้ เถ้าแก่โรงงานฯ ตัดสินใจยกกิจการให้ คุณไชยยงค์ และ คุณอมรรัตน์ เพื่อไปทำต่อกันเอง   4 ปีผ่านไปถึงยุคสร้างแบรนด์    แต่ด้วยความอดทนของทั้งคู่ตลอดช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าในปีแรกจะมียอดขายราว 1 ล้านบาทเท่านั้น แต่ก็เชื่อว่าตลาดเตาแก๊สในไทยยังมีอนาคตรออยู่และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำให้ในอีก4 ปีถัดมา หรือในปี 2522 คุณไชยยงค์ มองว่าธุรกิจเตาแก๊สควรจะมียี่ห้อเพื่อสร้างแบรนด์และทำตลาดอย่างจริงจัง   “คุณไชยยงค์ เขียนคำว่าเปลวไฟเป็นภาษาจีนก่อน แล้วเราก็เอามาขยายต่อเป็นภาษาอังกฤษกับคำว่า Flame หมายถึงเปลวไฟเช่นกัน เลยบอกกับคุณไชยยงค์ ว่าถ้าอย่างนั้น ใช้คำว่า ลัคกี้เฟลม ไปเลยไหม?”   อมรรัตน์ เล่าพร้อมเสริมอีกว่า “ส่วนโลโก้ตอนนั้นเป็นรูปตะเกียง ก็มาจากไอเดียที่เรายังเป็นนิสิต มหาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วเรียนอยู่สายวิทย์ ซี่งต้องทำแล็บมีการใช้อุปกรณ์พวกตะเกียง ใช้เป็นตัวจุดกำเนิดของไฟในการทดลองต่างๆ เลยนำมาใช้เป็นโลโก้ของแบรนด์ ลัคกี้เฟลม”     เรียกได้ว่า จุดกำเนิดทั้งแบรนด์และโลโก้ ล้วนมาจากเรื่องใกล้ตัวของสองสามีภรรยา ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจแทบทั้งหมด     อมรรัตน์ เล่าอีกว่า จากจุดเริ่มต้นในครั้งนั้นพร้อมผู้ก่อตั้งอีก 3 ท่านที่ร่วมผลักดันกิจการให้ดำเนินไปต่อ ทำให้ ‘ลัคกี้เฟลม’ ขยายตัวอย่างต่อเนื่องพร้อมได้พันธมิตรต่างประเทศ โดยวมทุนกับบริษัท รินใน จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น จัดตั้ง บริษัท รินใน ประเทศไทย จำกัด ในปี 2533 เพื่อทำตลาดสินค้าแบรนด์รินใน ร่วมกันในไทยและยังดำเนินการมาถึงในปัจจุบัน   ในวันนี้ อมรรัตน์ ย้ำว่า ‘ลัคกี้เฟลม’ เป็นแบรนด์สินค้าของคนไทยที่ผลิตภายใต้ ‘Made in Thailand’ ที่สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และ เวียดนาม) ซึ่งจากนี้ไปมีแผนขยายการส่งออกไปยังตลาดยุโรป และเตรียมเข้าในประเทศเยอรมันนีในปีนี้   ขณะที่ในปีนี้ การเดินทางของ ลัคกี้เฟลม สู่ปีที่50 พร้อมเริ่มส่งไม้ต่อการบริหารธุรกิจไปยังลูกชาย (เชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล) ที่แม้จะนั่งตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ บริษัทฯ แต่รับบทบาทจริงในการบริหารอย่างเต็มตัวแล้ว   อมรรัตน์ เสริมว่า “คุณเชาว์เลิศ เข้ามารับหน้าที่บริหารลัคกี้เฟลมตั้งแต่ 15 ปีก่อน ถึงในตอนนี้มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะงานด้านพัฒนาและวิจัยโปรดักส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถนัด ทำให้จากนี้ไปลัคกี้เฟลม จะเป็นมากกว่าแบรนด์เตาแก๊ส ด้วยจะขยายไปยังตลาดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กในบ้าน อย่างเตาอบ เตาไมโครเวฟ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในกลุ่มใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ” พร้อมขยายความอีกว่า   “ในช่วงห้าปีแรกที่คุณเชาว์เลิศ เข้ามายังนั่งในโรงงานศึกษาภาพรวมต่างๆ แต่ตอนนี้ผ่านมาอีกสิบปีทำเรื่องพัฒนาธุรกิจมากขึ้น จากเมื่อก่อนเวลาไปคุยธุรกิจกับพาร์ทเนอร์ด้วยกัน แม่จะเป็นคนคุยแล้วลูกนั่งฟัง แต่ในตอนนี้เมื่อหลายอย่างเปลี่ยนไปตามยุคสมัย กลายเป็นว่าแม่ฟังแล้วลูกเป็นคนคุยแทน”      อมรรัตน์ เล่าทิ้งท้ายพร้อมชวนให้รำลึกถึงเส้นทางของลัคกี้เฟลม ก่อนจะมาถึงในวันนี้ว่า “ย้อนไป 50 ปีก่อน ลัคกี้เฟลม เป็นกิจการที่เกิดขึ้นจากห้องแถวเล็กๆในซอยอมรพันธ์ ย่านห้วยขวาง เจอเสียงคนแถวๆนั้นตำหนิบ่อยครั้ง ด้วยทำเสียงดังเกือบทุกวัน จากนั้นเมื่อตั้งโรงงาน คุณเชาวน์เลิศก็ต้องเข้ามาช่วยทำงาน เข้ามานั่งพับกล่อง ทำกล่องๆ ตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งเขาก็มีคำถามตามประสาเด็กๆ บ่อยครั้งว่า ทำไมเขาถึงไม่ได้ออกไปเล่นเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ซึ่งเราก็จะบอกกับเขาว่า เป็นเพราะเรามีหน้าที่ที่ต้องทำ และผลลัพธ์จะสะท้อนคืนกลับมาเมื่อลูกโตขึ้น”   ในวันนี้ ลัคกี้เฟลม ได้พิสูจน์ความสำเร็จตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ด้วยเป้าหมายยอดขาย 1,000 ล้านบาท ในปี 2568 นี้   Alternate-X สรุปให้  ลัคกี้เฟลม แบรนด์เตาแก๊สไทย เริ่มจากโอกาสธุรกิจในยุคถังแก๊สนำเข้าแพงเมื่อปี 2518 โดยผู้ก่อตั้ง ‘คุณไชยยงค์-คุณอมรรัตน์ ลีลาศวัฒนกุล’ ได้สร้างแบรนด์และโลโก้ขึ้นมาปี 2522 ตั้งชื่อ ‘ลัคกี้เฟลม’ และขยายธุรกิจร่วมทุนกับ รินไน ประเทศญี่ปุ่นในปี 2533 ปัจจุบันส่งไม้ต่อให้รุ่นลูก ‘เชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล’ พัฒนาสินค้าจากเตาแก๊สสู่เครื่องใช้ไฟฟ้า มุ่งสู่ยอดขายพันล้านในปี 2568 พร้อมขยายตลาดสู่ยุโรป 

April 30, 2025 / 0 Comments
read more

ปัญหาวนลูปภัยพิบัติน้ำในภาคเหนือทั้งหน้าแล้ง-หน้าฝน แก้ไม่จบเพราะขาดข้อมูลบริหารจัดการน้ำ

EcoVative

จากสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ผ่านมาของประเทศไทย ที่ต้องประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง และเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก รวมถึงการเกิดดินโคลนถล่มอย่างรุนแรงในช่วงฤดูฝน ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากยังขาดแคลนข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะข้อมูลปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำ   ไทยเบฟฯ ตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ   จากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 72 สถานี ให้กับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567   ขณะเดียวกัน ยังเพื่อช่วยเติมเต็มระบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำภาคเหนือ และภาคกลาง ครอบคลุมลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่าน ในการตรวจวัดข้อมูลสภาพอากาศ ปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญต่อการเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำได้อย่างทันท่วงที รวมถึงช่วยป้องกันความสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนจากภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน   โดยมี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วย ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) รับมอบเงินสนับสนุนการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 72 สถานี จาก นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายวิรัช เมฆสัมพันธ์ นางสาวน้ำฝน อังศุธรรังสี นายภัทริศร์ ถนอมสิงห์ และ ดร.นภัส พันธ์พงษ์เจริญ     ดึงข้อมูลจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติน้ำ   สำหรับการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ จำนวน 72 สถานี ประกอบด้วย   สถานีตรวจวัดปริมาณน้ำฝน จำนวน 52 สถานี สถานีตรวจวัดระดับน้ำ จำนวน 20 สถานี   โดยติดตั้งในพื้นป่าต้นน้ำลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคกลาง ปิง วัง ยม  และน่าน ครอบคลุม 11 จังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วย   เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา พิษณุโลก แพร่ ลำปาง ลำพูน สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร   เพื่อนำข้อมูลจากสถานีโทรมาตรอัตโนมัติที่ได้ถูกเชื่อมโยง และแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านเว็บไซต์คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ www.thaiwater.net และแอปพลิเคชัน ThaiWater มาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ เฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัย  และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   โดยคาดว่าโครงการนี้จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งจะสามารถนำไปสู่การขยายผลในระดับประเทศ เพื่อให้ทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสามารถวางแผน และบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม อย่างต่อเนื่อง   นอกจากนี้ ไทยเบฟ และสสน. ยังได้วางแผนจัดอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายในองค์กร รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เสี่ยงการเกิดอุทกภัย ให้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถติดตาม และประเมินสถานการณ์น้ำ เพื่อเป็นการยกระดับองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างยั่งยืน   Alternate-X สรุปให้ จากปัญหาภัยพิบัติน้ำในไทย ไทยเบฟสนับสนุนการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 72 สถานีในพื้นที่ป่าต้นน้ำภาคเหนือและกลาง ครอบคลุม 11 จังหวัด เพื่อเก็บข้อมูลฝนและระดับน้ำแบบเรียลไทม์ผ่านระบบ ThaiWater.net โครงการนี้ช่วยเสริมระบบเตือนภัยและบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมอบรมบุคลากรในพื้นที่เสี่ยง เพื่อยกระดับความรู้ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน  

April 29, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดอสังหาฯไตรมาส2 ‘แผ่นดินไหว-สงครามการค้า’ ทำต้นทุนวัสดุ ‘เหล็ก’ ขึ้นราคา-ค่าก่อสร้าง

BizKet

ครบ 1 เดือนหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลายรายต่างเร่งแผนฟื้นความเชื่อมั่นพร้อมให้การดูแลอย่างเต็มกำลังลูกบ้านในแต่ละโครงการฯ ด้วยวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ยังเป็นบทพิสูจน์การบริหารไครซิส ของธุรกิจอสังหาฯไทย เป็นอย่างดี     เช่นเดียวกับ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวถึงสถานการณ์แผ่นเดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา แม้จะเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่ผลกระทบได้ให้บทเรียนสำคัญในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์   โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ที่ต้องเผชิญแรงกดดันทั้งเชิงจิตวิทยาและจากภาวะเศรษฐกิจรอบด้าน ซึ่งกระทบต้นทุนก่อสร้างและภาพรวมเศรษฐกิจโลก   และในภาวะที่ตลาดกำลังเผชิญความไม่แน่นอนนี้ เสนา ได้ใช้ความได้เปรียบทางความรู้ความสามารถและประสบการณ์จากพันธมิตรญี่ปุ่น ‘บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป’ เร่งปรับกลยุทธ์เชิงรุก นำนวัตกรรมมาปรับใช้ทันที ผ่านแนวคิด Geo fit+ ที่มีขบวนการป้องกันและตั้งรับเหตุภัยพิบัติ จะนำมาใช้กับโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่ได้ทันที เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว   โดยเสนาฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบโครงการทั้งหมด 108 แห่ง ครอบคลุมคอนโดมิเนียม 62 โครงการ และโครงการแนวราบ 46 โครงการ รวมถึงโครงการเก่าที่แม้เสนาฯ จะไม่ได้เป็นนิติบุคคลบริหารโครงการพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทันทีที่ได้รับการติดต่อจากลูกบ้าน ภายใต้การขออนุญาตจากนิติบุคคลตามขั้นตอน   ‘ภาษีทรัมป์’ กระทบอสังหาฯไทยแน่นอน   ดร. ยุ้ย มองต่อถึงอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบในระดับมหภาค คือ การยกระดับสงครามการค้า ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง “ประเด็นนี้ถือว่ามีผลในระดับกว้างกว่าผลจากแผ่นดินไหว เพราะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก ซึ่ง เสนามองว่าในไตรมาส 2/2568 ตลาดคอนโดมิเนียมจะมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มไฮไรส์ แต่ในระยะยาวตลาดจะค่อย ๆ ปรับสมดุลได้เอง ซึ่งสิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และปรับตัวให้เท่าทันสถานการณ์”   ดร. ยุ้ย ย้ำว่า ในมุมของธุรกิจอสังหาฯ ปัจจัยที่น่ากังวล คือ ราคาวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   “ปีนี้เราจึงต้องรับมือกับความท้าทายถึงสองเรื่องในเวลาใกล้เคียงกัน ทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กระทบการท่องเที่ยว และมาตรการภาษีของทรัมป์ การบริหารความเสี่ยงในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น แต่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่เราได้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา” ดร.เกษรา กล่าว   ส่ง ‘LivNex-RentNex’ เจาะคนยุคใหม่   พร้อมกล่าวต่อ การพัฒนาโครงการในปี 2568 ยังคงดำเนินไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยเสนาฯ ใช้ประสบการณ์และองค์ความรู้ในการจัดการกับภัยพิบัติที่ไม่คาดฝัน มายกระดับมาตรฐานโครงการอย่างรอบคอบและทันที โดยระงับการก่อสร้างชั่วคราวจำนวน 6 โครงการ ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนก่อนเริ่มก่อสร้าง เพื่อนำนวัตกรรมและแนวทางการออกแบบด้านความปลอดภัยจากพันธมิตรญี่ปุ่น (HHP) มาปรับใช้ก่อนเดินหน้าก่อสร้างต่อไป โดยในระหว่างนี้ยังคงดำเนินการขายทั้ง 6 โครงการตามแผนงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ว่าโครงการเหล่านี้จะได้รับการพัฒนาในมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด รองรับทุกสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจในระยะยาว   ดร.ยุ้ย เสริมถึงการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวด การเข้าถึงที่อยู่อาศัยจึงกลายเป็นความท้าทายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภค เสนาฯ จึงได้พัฒนา “LivNex เช่าออมบ้าน” นวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถ “จ่ายค่าเช่า เท่ากับมีเงินออม” พร้อมโอกาสเปลี่ยนสถานะเป็นเจ้าของภายใน 3 ปี รองรับกลุ่มลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านในครั้งแรก   โดยมีหน่วยงานภายในของบริษัท ‘เงินสดใจดี’ ให้คำปรึกษาและวิเคราะห์เครดิตอย่างเป็นระบบ รวมถึงความร่วมมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อสร้างประวัติเครดิตและเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต   ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,000 ยูนิต สะท้อนความต้องการในตลาดและความเชื่อมั่นต่อรูปแบบการอยู่อาศัยทางเลือกใหม่นี้   ขณะเดียวกัน เสนาได้เปิดตัวโมเดลการเช่าแบบสมาชิก ‘RentNex’ ซึ่งออกแบบมาเพื่อกลุ่ม Generation Rent ที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น และมองการเช่าเป็นทางเลือกหลัก ‘RentNex’ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถสมัครสมาชิกเพื่อเข้าอยู่อาศัยในคอนโดฯ คุณภาพของเสนา โดยเริ่มต้นเพียง 6,700 บาทต่อเดือน รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารค่าใช้จ่ายและไม่ผูกมัดระยะยาว   แนวทางดังกล่าว ของเสนาฯ ยังเพื่อปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวมที่สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ด้วย   Alternate-X สรุปให้  หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว เสนาฯ เร่งสร้างความเชื่อมั่น ตรวจสอบทุกโครงการ พร้อมรับมือไครซิสอย่างเป็นระบบ ใช้ความร่วมมือกับพันธมิตรญี่ปุ่นพัฒนามาตรฐาน Geo fit+ ยกระดับความปลอดภัยในโครงการใหม่ พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบสงครามการค้า-ภาษีทรัมป์ ว่าเป็นความเสี่ยงเชิงมหภาคที่กระทบตลาดอสังหาฯ ไทย และยังมองหาโอกาสทางธุรกิจผ่านนวัตกรรมทางการเงิน เช่น LivNex เช่าออมบ้าน และ RentNex สำหรับกลุ่ม Gen Rent เสนาฯ เน้นการบริหารความเสี่ยงล่วงหน้า มุ่งสร้างความมั่นใจในทุกมิติของการอยู่อาศัยยุคใหม่

April 29, 2025 / 0 Comments
read more

‘สารัช’ ขยายเที่ยวเชิงเกษตร ทำพิพิทธภัณฑ์มะขามหวาน ชวนจอยโฮมสเตย์วิถีเพชรบูรณ์

BizKet

‘Sarach’ แบรนด์ต้นตำรับมะขามปรุงรสจี๊ดจ๊าด ที่อยู่ในตลาดมานานร่วม 20 ปี พร้อมแผนอนาคตขยายสู่ธุรกิจท่องเที่ยว ในระดับจังหวัดเพชรบูรณ์     ‘สารัช กมลธรไท’ หรือ ‘คุณแฟลช’ วัย 43 ปี ปัจจุบันนั่งเก้าอี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ทำตลาดผลิตภัณฑ์มะขามแปรรูป ‘สารัช’ (Sarach) ร่วมกับคุณแม่-สุภาลักษณ์ กมลธรไท ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจในยุคแรกๆ ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน   คุณแฟลช เล่าโปรไฟล์ส่วนตัวเล็กน้อย ต่อการเข้ามาบริหารธุรกิจร่วมกับคุณแม่ในบริษัทสารัช มาร์เก็ตติ้ง ในเกือบทันที หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการตลาด และการท่องเทื่ยวในระดับปริญญาตรี จากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล MUIC   ด้วยเจ้าตัวเองก็รู้เป็นอย่างดีเช่นกันว่า เส้นทางธุรกิจมะขามแปรรูปที่ครอบครัวสร้างขึ้นมานี้เป็นดั่ง ‘ข้อเสนอ’ ที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้   “ผมถือเป็นทายาทกิจการรุ่น 1.5 ครับไม่ได้เป็นรุ่น 2 เพราะทำงานร่วมกับคุณแม่ตั้งแต่เด็ก ในฐานะเด็กเดินมะขามถุงให้กับที่บ้านมาก่อน” สารัช แฟลช แบ็ค เรื่องราวในวันเยาว์ด้วยความสนุก   ถึงในวันนี้แบรนด์ ‘สารัช’ มะขามแปรรูปที่ผู้บริโภคคุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะสูตรมะขามจี๊ดจ๊าดในช่องทางร้านสะดวกซื้อ ซึ่งในปีนี้ สารัชฯ เตรียมกลับมาทวงแชมป์ยอดขายอันดับหนึ่งในตลาดมะขามแปรรูปมูลค่ากว่า พันล้านบาท   โดยเตรียมใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ปรับโฉมใหม่ (Refresh) แบรนด์ให้มีความสดใสมากขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี พร้อมแตกอีก3แบรนด์สินค้าใหม่ รวมทั้งสิ้นจะมี 4 แบรนด์เพื่อทำตลาดในทุกกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุม ประกอบด้วย   สารัช (SARACH TAMARIND) วางตำแหน่งเป็นแบรนด์หลัก ทำตลาดสินค้ามะขามแปรรูป จับกลุ่มเป้าหมายตลาดวงกว้างทั่วไป (Mass Market) Alisa จับกลุ่มเป้าหมายเด็กลง (Youngster) เพื่อรองรับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มสาวสมัยใหม่ ASHIRA SAN จับกลุ่มเป้าหมายทั่วไป โดยใช้นวัตกรรม และ รสชาติต่างๆ มาเพิ่มความสนุกให้กับแบรนด์ SARACH GOLD สารัช โกลด์ วางตำแหน่งเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์มะขามระดับ พรีเมี่ยม   สารัช บอกว่า ผลิตภัณฑ์ทั้ง 4แบรนด์นี้ จะทำให้สารัช มีสินค้ารวมกันไม่ต่ำกว่า 200 รายการ มากกว่า 30 รสชาติ มีราคาสินค้าแต่ละเอสเคยูเฉลี่ยตั้งแต่ 20-40 บาท ส่วนสารัช โกลด์ วางราคา 120 –  400 บาท   พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังเลือก ‘คุณแม่-สุภาลักษณ์ กมลธรไท’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์สารัช เพื่อตอกย้ำความเป็นตัวจริงในฐานะต้นตำรับมะขามแปรรูปแห่งเมืองเพชรบูรณ์ อีกด้วย   บริษัทฯ จะใช้กลยุทธ์การทำตลาดผ่านคอนเทนต์ (Content Marketing) พร้อมตั้งสำนักงานอีกหนึ่งแห่งในกรุงเทพฯ ย่านพระราม9 เพื่อดูแลการตลาดและทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรได้คล่องตัวมากขึ้น เพื่อผลักดันให้แบรนด์สารัช กลับมาเป็นที่จดจำและสร้างยอดขายขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในตลาดมะขามแปรรูป ทั้งในช่องทางร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store )และ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (Hyper Market) ภายในสิ้นปี 2568 นี้   โดยในปีนี้จะมียอดขาย 200 ล้าน และในปี 2570 คาดมียอดขายมากกว่า 300 ล้านบาท และ ขยับเป็นมากกว่า 500 ล้านบาทต่อปีในปี 2572 ซึ่งหมายความว่า สารัชฯ จะต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 3,000 ตัน/ปี และมีสินค้าใหม่อย่างน้อย 3 SKU พร้อมเป็นป้อนวัตถุดิบให้กับองค์กร และสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน รองรับทั้งห่วงโซ่มะขามสู่ตลาดสากล จากแนวทางนี้ บริษัทฯ ยังได้ทยอยลงทุนไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาทในการปรับปรุงโรงงานเพื่อรองรับทุกตลาดในต่างประเทศ พร้อมผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกตลาด เพื่อผลักดันการเติบโตในตลาดต่างประเทศ มากกว่า 50 %   ปักหมุก ‘หล่มเก่า’ แหล่งเที่ยวเชิงเกษตร   สารัช เล่าต่อถึงแผนธุรกิจใหม่ในอนาคต ของอาณาจักรสารัช ที่จะไม่หยุดแค่ธุรกิจผลไม้แปรรูปมะขามและอื่นๆ ด้วยยังมองไปต่อถึงการสร้างแลนด์มาร์คใหม่ๆ ในเมืองหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นจุดเช็คอินการท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agritourism) ในอนาคต อีกด้วย   โดยนำหลักคิดการเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนมะขามที่มีอยู่มารวมกันเป็นคลัสเตอร์เพื่อจัดเส้นทางการท่องเที่ยวเยี่ยมชมวิถีการเกษตรชุมชนท้องถิ่นที่มี ‘มะขาม’ เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเฉพาะสวนมะขาม GI ที่มีอัตลักษณ์ประจำถิ่น   “ในญี่ปุ่นมีฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมและทำกิจกรรมตัดลูกสตรอว์เบอรี่กินกันสดๆ เราก็อยากทำให้เมืองหล่มเก่า เพชรบูรณ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของไทยที่ทำได้แบบนี้” สารัช บอกอีกถึงโปรเจกต์ส่วนตัว ที่วางไว้ในอนาคต คือ การนำบ้านหลังเก่าที่ครอบครัวเคยอยู่อาศัยร่วมกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ที่ปัจจุบันเป็นหน้าร้านขายสินค้าของฝากของที่ระลึกแบรนด์สารัช มะขามแปรรูป ที่ตั้งอยู่ในอำเภอหล่มเก่า       โดยจะนำบ้านหลังนี้ มาปรับปรุงโฉมใหม่ ด้วยจะเป็นทั้งพิพิทธภัณฑ์ ที่เล่าเรื่องราวทั้งผลไม้เศรษฐกิจ มะขามเมืองเพชรบูรณ์ และ เส้นทางแบรนด์สารัช มะขามแปรรูป จากจุดเริ่มต้นถึงในปัจจุบัน พร้อมเติมพื้นที่ห้องพักในรูปแบบ ‘Home Stay’ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนและต้องการสัมผัสวิถีการใช้ชีวิตท้องถิ่นในจังหวัดเพชรบูรณ์ อย่างลึกซึ้ง อีกด้วย     นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาโรงแรมที่พักในรูปแบบรีสอร์ต ซึ่งจะตั้งอยู่ในที่ดินโครงการ สารัช แทมมาริน ฮิลล์’ (Sarach Tamarind Hill) บนพื้นที่ 12 ไร่ ในอำเภอหล่มเก่า เพชรบูรณ์ ซึ่งวางตำแหน่งให้เป็น ‘แลนด์ มาร์ค’ ที่รวบรวมสินค้าของฝากจากเมืองมะขามหวาน พร้อมด้วยคาเฟ่ BOOGA BOOGA และ ร้านขนมจีนเส้นสดสูตรดั้งเดิม (ย่าสนม) เพื่อต้อนรับทุกคนที่เดินทางมาเมืองเพชรบูรณ์แห่งนี้     “โปรเจกต์ใหม่ทั้งรีสอร์ตและโฮมสเตย์ คาดจะได้เห็นความชัดเจนราว 3-5 ปีหน้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเก็บข้อมูลรายละเอียดด้านต่างๆ ด้วยมองว่าจะสร้างโอกาสทางประสบการณ์ด้านอื่นๆให้กับแบรนด์สารัชในอนาคตได้ด้วย”คุณแฟลช กล่าวทิ้งท้าย Alternate-X สรุปให้  แบรนด์ ‘สารัช’ มะขามปรุงรสในตำนาน เตรียมรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ พร้อมแตกไลน์ 4 แบรนด์รองรับตลาดทุกกลุ่ม พร้อมทุ่มงบลงทุนกว่า 50 ล้านบาททำตลาดและลงทุนโรงงาน พาสู่เป้าหมายยอดขายแตะ 500 ล้านบาทภายในปี 2572 นอกจากนี้ ยังวางแผนขยายธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตรในหล่มเก่า เพชรบูรณ์ สร้างแลนด์มาร์คใหม่ทั้งโฮมสเตย์ พิพิธภัณฑ์ และรีสอร์ต    

April 28, 2025 / 0 Comments
read more

วิมาน (มะ) ขาม ธุรกิจทั้งหวานและเปรี้ยว ก่อนจะเป็น ‘สารัช’ มะขามแปรรูป เพชรบูรณ์

EcoVative

‘แม่หมู-สุภาลักษณ์ กมลธรไท’ อดีตคุณครูสอนเลขโรงเรียนมัธยม จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มองเห็นจังหวะการทำธุรกิจจากสินค้าเกษตรมะขามหวาน’ ‘ตัวตึง’ ของดีประจำจังหวัด   พร้อมนำผลผลิตเข้าสู่กระบวนการแปรรูปมาทำตลาดสินค้าภายใต้แบรนด์ สารัช (Sarach) มะขามแปรรูป เป็นครั้งแรกเพื่อส่งขายในช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น  400 สาขาภาคเหนือ มาตั้งแต้ปี 2547 ถึงปัจจุบันแบรนด์เดินทางมาร่วม 20 ปีแล้ว   สุภาลักษณ์ กมลธรไท ผู้ก่อตั้ง/กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ก่อนจะสร้างแบรนด์-เร่ขายมาก่อน   ‘แม่หมู’ วัย 69 ปี ในวันนี้ เล่าจุดเริ่มต้นธุรกิจยังมาจากประสบการณ์วัยเด็กของตัวเอง มักช่วยแม่ (ย่าสนม) ซึ่งเป็น ‘คนหล่ม’ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ต้องเดินทางไปค้าขายผลไม้ต่างเมืองบ่อยครั้ง จนทำให้รู้จักมะขามสายพันธ์ต่างๆ เป็นอย่างดี   บวกกับความชอบค้นหาข้อมูลต่างๆ จากหน้าหนังสือพิมพ์ยุคนั้น ที่สอนวิธี ‘เกษตรแปรรูป’ มาประยุกต์สูตรเพื่อปรุงรสชาติเพิ่มมูลค่าให้กับ ‘มะขาม’ และสร้างความต่างไปจากมะขามหวานทั่วไป  ก่อนนำไปเร่ขายในแหล่งชุมชนต่างๆ   ถือเป็นจุดเริ่มต้นตำรับกิจการมะขามหวานแปรรูป นับตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา ในกลุ่มพี่น้องของแม่หมูที่ปัจจุบันได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว เหลือเพียง ‘แม่หมู’ คนเดียวที่ยังทำธุรกิจมะขามแปรรูปมาต่อเนื่องในวันนี้   โดยในช่วงนั้น ‘แม่หมู’ ยังเคยเป็นแม่ค้าขนสินค้ามะขามแปรรูป ทั้ง 5 รสชาติ อย่าง มะขามคลุก, มะขามแก้ว, มะขามกวน, มะขามแช่อิ่ม และ มะขามจี๊ดจ๊าด เข้ามาขายที่ ตลาดมหานาค กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ 50 ปีก่อนหน้า พร้อมกับออกร้านขายของในแหล่งชุมชน และจังหวัดใกล้เคียงต่างๆ ของเมืองเพชรบูรณ์ เป็นระยะ   อาจเรียกได้ว่า ธุรกิจมะขามสารัช มีจุดเริ่มต้นจากตลาดงานวัด นั่นเอง!!   กระทั่งกิจการมะขามเริ่มไปได้ด้วยดี ทำให้ แม่หมู ตัดสินใจลาออกจากงานประจำอาชีพครู เข้าสู่ธุรกิจมะขามแปรรูปต็มตัวในปี 2548 โดยนำสินค้าเข้าจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น 400 สาขาในภาคเหนือ ภายใต้แบรนด์ ‘สารัช’ ซึ่งเป็นชื่อของลูกชาย ไปพร้อมกับแผนปรับปรุงโรงงานครั้งใหญ่   โดยก่อนหน้าได้จัดตั้งบริษัทในปี 2545 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และเพิ่มทุนจดฯเป็น 50 ล้านบาทในปี 2559 พร้อมเพิ่มทุนอีกครั้งเป็น 100 ล้านบาทในปี 2562 จนมาถึงในยุคปัจจุบัน   สารัช กมลธรไท ทายาทรุ่น 1.5 สารัช มะขามแปรรูป และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด   แม่หมู แทรกเกร็ดการเลี้ยงลูกชายซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์มะขามแปรรูป ให้ฟังว่า “ตอนที่สารัชยังเรียนชั้นประถมและมัธยม แม่จะไม่ให้ค่าขนมลูกเลย แต่จะให้เอามะขามมัดถุงเล็กๆ ของที่บ้านไปขาย ได้เงินเท่าไหร่ถือเป็นค่าขนมไปเลยแล้วกัน”   เมื่อเพลี่ยงพล้ำต้องกลับมาทบทวน   ในวันนี้ ‘สารัช’ มะขามแปรรูปได้ปรับแผนธุรกิจพร้อมรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ให้มีความรัดกุมและครอบคลุมทั้งกลุ่มเป้าหมายและช่องทางขาย ทั้งในร้านค้าสะดวกซื้อและไฮเปอร์มาร์เก็ต มากขึ้น   เพื่อนำแบรนด์ ‘สารัช’ คืนสู่ผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดค้าปลีกมะขามแปรรูปมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท ให้ได้ในปีนี้   ด้วยปัจจุบันแบรนด์ ‘สารัช’ มะขามแปรรูป อยู่อันดับ ‘ท็อปทรี’ ในภาพรวมตลาดหลังเพลี่ยงพล้ำส่วนแบ่งไปเมื่อช่วงแพร่ระบาดโควิดราว 5 ปีก่อน จากยอดขายที่ลดลงในร้านสะดวกซื้อที่ส่วนใหญ่สาขาถูกควบคุมเวลาเปิดปิดในช่วงดังกล่าว ทำให้แบรนด์คู่แข่งมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งในเวลานั้น ‘สารัช’ ไม่ได้โฟกัสตลาดช่องทางนี้ แต่อย่างใด   จากสถานการณ์ครั้งนั้น ทำให้แบรนด์ต้องหันกลับมาทบทวนแผนการทำตลาดในช่องทางขายใหม่ให้มีความสมดุลในสัดส่วนร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ 50-60% และ 40-50% ในไฮเปอร์ มาร์เก็ต ในปัจจุบัน   พร้อมจัดพอร์ตสินค้าใหม่ทั้ง 4 แบรนด์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ‘สารัช’ (SARACH TAMARIND) Alisa, ASHIRA SAN  และ SARACH GOLD โดยมี ‘สารัช กมลธรไท’ ลูกชายและกรรมการผู้จัดการบริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เป็นผู้ทำตลาด   สร้างระบบนิเวศมะขาม GI   พร้อมกันนี้ แม่หมู ยังเข้ามาทำงานใกล้ชิดกับชาวสวน ‘มะขามหวาน’ ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยหลักคิดการทำมะขามต้นเตี้ย เพื่อไม่ให้ทรงพุ่มชนกันเมื่อต้นมะขามมีอายุมากขึ้น     “หากพุ่มกิ่งก้านต้นมะขามชนกัน ย่อมหมายถึงผลมะขามจะลดลงตามไป ด้วยดอกมะขามที่ให้ผลผลิตมักจะหันหน้าออกตามแสงแดดที่ส่องออกมาเสมอ และหากพุ่มไม้หนาแน่นติดกันจนแสงส่องมาไม่ถึงต้นมะขามก็ย่อมออกดอกและติดผลได้ยากเช่นกัน” ​   ขณะที่การทำมะขามต้นเตี้ย จะต้องทิ้งระยะห่างการปลูกประหว่างต้น 12×12 เมตร เพื่อให้ได้มะขามที่มีคุณภาพและง่ายต่อการเก็บผลผลิตอีกด้วย โดยมะขามต้นเตี้ยที่มีอายุราว 40 ปี จะเริ่มทยอยตัดกิ่งทุกๆ สองถึงสามปี เพื่อให้ต้นเตี้ยลง ซึ่งมะขาม จะใช้ระยะเวลาปลูกราว 3-5 ปีจึงจะสามารถเก็บผลิตได้ต่อครั้งต่อปี ในทุกช่วงปลายเดือนธันวาคม-เมษายน   “สารัช มะขามแปรรูป จะทำงานร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่หลากหลาย รวมถึงชาวสวนมะขาม GI จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีรสชาติเอกลักษณ์ โดยสารัชฯ จะเข้ารับซื้อผลผลิตจากเครือข่ายชาวสวนมะขามในจังหวัดที่ปัจจุบันรับเหมาไปแล้วกว่า 80% ของผลผลิตที่ปลูกได้ทั้งหมด เพื่อรับประกันความแท้ของรสชาติมะขามหวานเพชรบูรณ์ภายใต้แบรนด์สารัช” แม่หมู ย้ำ   พร้อมเสริมว่า ในช่วงที่ผ่านมา สวนมะขามหวานในจังหวัดเพชรบูรณ์ เคยเผชิญกับความท้าทายของกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาตั้งล้งรับซื้อผลผลิตโดยตรงจากชาวสวนและจูงใจด้วยการจ่ายเงินสดให้ ‘ทันที’ ตามราคากลาง หรือเคยมีบางรายที่ใช้กลยุทธ์ตัดราคาขายมะขามหน้าตลาดให้ถูกลงกว่าก็มี   แม่หมู บอกว่า การเข้ามาของทุนต่างชาติในครั้งนั้น ยังทำให้มาตรฐานการตัดเกรดคุณภาพมะขามหวานเพชรบูรณ์เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยแยกขนาดและข้อมะขามตามความสมบูรณ์ของฝัก เพื่อกำหนดราคาด้วยคุณภาพที่แตกต่างออกไป ซึ่งวิธีการของทุนต่างชาติดังกล่าว ส่งผลกระทบให้ตลาดมะขามท้องถิ่นเพชรบูรณ์ในช่วงหนึ่งกลายเป็นมะขามคละเกรดที่ผสมกันทั้งขนาดและฝัก รวมอยู่ในลังเดียว   “สุดท้ายแล้วตลาดจะเป็นคนตัดสินจริงๆ ว่าต้องการคุณภาพสินค้ามากกว่า ที่แม้ว่าบางเจ้าจะทำราคาถูกกว่าหนึ่งบาทต่อกิโลกรัมหน้าตลาด แต่แล้วก็กลับมาหาแบรนด์สารัช ที่ขายคุณภาพแม้จะมีราคาสูงกว่าก็ตาม”     ปัจจุบัน แม่หมู ยังเป็นประธานกลุ่มคลัสเตอร์มะขาม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่มะขามหวานอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 12-13 กลุ่ม รวมกว่าหลายหมื่นไร่ และรวมทั้งจังหวัดมีจำนวนมากกว่าแสนไร่   เพื่อพัฒนาคุณภาพมะขาม จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ได้ราคาดีมีคุณภาพ โดยเฉพาะหากเป็นมะขาม GI เพชรบูรณ์ จะมีราคาสูงกว่ามะขามทั่วไปราว 30%  ที่ปัจจุบันมีเกษตรกรกว่า 100 รายที่รับการันตีสินค้ามะขาม GI เพชรบูรณ์   อาณาจักร Sarach Tamarind Hill   ปัจจุบัน สารัช มะขามแปรรูป มีแผนใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มจากเดิมมีความต้องการอยู่ที่ 2,000-3,000 ตันต่อปี ทำสินค้ามะขามแปรรูปออกมาได้ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านชิ้นต่อเดือน แบ่งเป็นกลุ่มมะขามจี๊ดจ๊าด 6-7 แสนชิ้นต่อเดือน     โดยสินค้า ทำตลาดทั้งในและส่งออกต่างประเทศในรูปแบบการสั่งซื้อเข้ามา (PO) ในประเทศต่างๆ อาทิ  ออสเตรเลีย, ยุโรป , สหรัฐอเมริกา และกัมพูชา เป็นต้น ซึ่งหากรวมตลาดส่งออกด้วยแล้ว คาดมะขามแปรรูปจะมีมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท จากตลาดผลไม้แปรรูปคาดมีมูลค่าราว 4,000-5,000 ล้านบาท     สำหรับโรงงานสารัชฯ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ อําเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเป็นเซ็นเตอร์ดูแลกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในอนาคต รวมถึงยังสร้าง ‘สารัช แทมมาริน ฮิลล์’ (Sarach Tamarind Hill) บนพื้นที่ 12 ไร่ เพื่อเป็น ‘แลนด์มาร์ค’ ใหม่ของเพชรบูรณ์ ที่รวบรวมสินค้าของฝากจากเมืองมะขามหวาน พร้อมด้วยคาเฟ่ BOOGA BOOGA และ ร้านขนมจีนเส้นสดสูตรดั้งเดิม (ย่าสนม) เพื่อต้อนรับทุกคนที่เดินทางมาเมืองเพชรบูรณ์แห่งนี้   แม่หมู ทิ้งท้ายว่า ตลอด 50 ปีของแบรนด์สารัชมะขามแปรรูป เจอกับทั้งความท้าทายและโอกาสของธุรกิจดั่งรสชาติของมะขามที่มีทั้งหวานและเปรี้ยวเช่นกัน ซึ่งในวันนี้ ‘แม่หมู’ ยังสนุกกับการทำงานอยู่พร้อมวางแผนไม่อำลาวงการมะขามแปรรูปอย่างแน่นอน   ด้วยหากจะต้องเกษียณจริงๆ แม่หมู แสดงเจตนารมณ์ไว้ชัดเจนว่า ขอห้องแล็บเพื่อนั่งทำงานวิจัยและพัฒนาสินค้ามะขามหวาน ของดีประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ต่อไปเรื่อยๆ ก็พอใจแล้ว   Alternate-X สรุปให้ ‘แม่หมู-ศุภาลักษณ์ กมลธรไท’ จากครูสอนเลขสู่เจ้าของแบรนด์ ‘สารัช’ มะขามแปรรูป ที่สานต่อธุรกิจจากประสบการณ์วัยเด็กจนเติบโตยาวนานกว่า 50 ปี พร้อมการรีเฟรชแบรนด์ เพื่อขยายตลาดสู่ทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้การบริหารร่วมกับลูกชาย ‘สารัช กมลธรไท’ ด้วยการสร้างระบบเกษตรแปลงใหญ่มะขามหวาน GI จังหวัดเพชรบูรณ์ และปั้น Sarach Tamarind Hill เป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองเพชรบูรณ์ ในปัจจุบันอีกด้วย  

April 27, 2025 / 0 Comments
read more

เกือบเป็นแบรนด์’รักชาติ’มะขามแปรรูปไปแล้ว

Zcreat

‘แฟลช-สารัช กมลธรไท’  MD บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด พาสื่อมวลชนเยี่ยมชมฮาณาจักร ‘สารัช’ มะขามแปรรูป จังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมย้ำว่า ตัวเองเป็นทายาทรุ่น 1.5 ไม่ใช่รุ่น 2 ของกิจการ เพราะเข้ามาช่วยครอบครัวทำธุรกิจจากการเอามะขามแปรรูปไปขายตามแหล่งต่างๆ เรียกว่ามี ‘มะขาม’ เป็นเพื่อนยากมาตั้งแต่วัยเด็ก สารัช บอกแผนใหญ่ในปีนี้ จะลุยการตลาดอย่างหนัก เพื่อสร้างแบรนด์ ‘สารัช’ พร้อมทวงบัลลังค์ No.1 มะขามแปรรูป รสชาติต่างๆ ในช่องทางขายทั้ง ร้านสะดวกซื้อ และ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ให้ได้ภายในสิ้นปี2568 หลังเพลี่ยงพล้ำ ‘มาร์เก็ต แชร์’ ให้กับคู่แข่งไปเมื่อตอนโควิดที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากพอร์ตช่องทางขายสินค้าไม่สมดุล พร้อมส่งซับแบรนด์อย่าง Alisa, ASHIRA SAN และ Sarach Gold เข้ามาเสริมการทำตลาดแบรนนด์หลัก สารัช อีกด้วย เขาเล่าอีกว่า  2 แบรนด์ลูกอย่าง  Alisa และ ASHIRA SAN เป็นชื่อ ลูกสาว และ ลูกชาย ของเขาเอง เช่นเดียวกับที่ ‘แม่หมู’ ศุภาลักษณ์ กมลธรไท’ ผู้ก่อตั้งธุรกิจ และได้ใช้ชื่อของเขามาสร้างแบรนด์ธุรกิจ เช่นกัน สารัช ทิ้งเรื่องเล่าที่เป็นตำนานบนโต๊ะกินข้าวครอบครัว ‘กมลธรไท’ ให้ฟังว่า อันที่จริงเราอาจจะไม่ได้เห็นแบรนด์มะขามแปรรูปใช้ชื่อ ’สารัช‘ เหมือนในวันนี้ก็ได้ ด้วยในตอนจังหวะที่เขาเกิดนั้น เป็นเวลาแปดโมงเช้าพร้อมกับเสียงเพลงเคารพธงชาติดังขึ้น และตัวเขาเองได้ร้องอุแว้ ออกมาพอดี ทำให้ ‘คุณพ่อ’ มุ่งมั่นอย่างมากจะตั้งชื่อให้ลูกชายคนแรกคนเดียวว่า ‘รักชาติ’ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ในวันนี้หลายคนคงได้กิน ‘รักชาติ มะขามจี๊ดจ๊าด’ แทนแบรนด์แทน ‘สารัช’  ไปแทนกันแล้ว

April 26, 2025 / 0 Comments
read more

Brandname Money บอกแบรนด์เนมหรูไม่ใช่แค่ ‘ของมันต้องมี’ แต่เป็นการลงทุนของคนรุ่นใหม่

BizKet

‘ปพน มนัสภากร’ นักธุรกิจที่อยู่ในวงการอะไหล่รถยนต์มานานกว่า 20 ปี กับการหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ หลังหวั่นใจจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเข้ามาดิสรัปต์อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยในอนาคต   จากความกังวลในสถานการณ์ดังกล่าว ได้แปรสู่การบริหารความเสี่ยงธุรกิจเดิมที่มีอยู่ และ เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักทำให้ ‘เขา’ ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยน (Trading) สินค้าลักซูรี่ แบรนด์เนม โดยใช้ความชื่นชอบเป็นทุนเดิม   โดยเฉพาะในหมวดนาฬิกาหรูหรา อย่างแบรนด์ Rolex (โรเล็กซ์) Richard Mille (ริชาร์ด มิลล์) Patek Philippe (ปาเต็ก ฟิลลิปป์) ที่ ‘เขา’ ไล่ซื้อเก็บและลงทุน จนกลายเป็นของสะสมส่วนตัว มาตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมา กระทั่งต่อยอดสู่ความเขี่ยวชาญในการ ‘ดูของ’ แบรนด์เนมนาฬิกาหรู ถึงในระดับ Expert โดยปริยายไปด้วย   เรียกว่า เมื่อเห็นของปุ๊ป หรือแค่เห็นรูปที่ส่งมาให้ดู เขาใช้เวลาแค่ 5 นาทีก็ตีราคาประเมินนาฬิกาหรูแบรนด์นั้นได้แล้ว   จากแพสชั่นบวกกับความชำนาญด้านนี้ ได้นำไปสู่การทำธุรกิจล่าสุดสินเชื่อสินค้าแบรนด์เนมระดับลักซูรี่ Brandname Money ในฐานะ ‘ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร’ (CEO) บริษัท แบรนด์ มันนี่ จำกัด ซึ่งก่อตั้งเมื่อเดือน มิถุนายน ปี2567 ที่ผ่านมา ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท   ปพน บอกว่า ธุรกิจใหม่นี้ นอกเหนือจากแพสชั่นและความชอบเก็บสะสมไอเทมแบรนด์เนมลักซูรี่โดยเฉพาะนาฬิกา ตลอดช่วงที่ผ่านมา ยังทำให้เขามองเห็นโอกาสทางธุรกิจในตลาดนี้ที่พบว่ามีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องอีกด้วย   จากการเก็บข้อมูลพบว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดการซื้อขายสินค้าแบรนด์เนม ลักซูรี่ ในประเทศไทย มีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 4,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และคาดว่าในปี 2567-2571 จะขยายตัว 5.62% ทำให้ประเทศไทย ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของมูลค่าตลาดสินค้าแบรนด์เนมในอาเซียน   ขณะที่สิงคโปร์ มูลค่าตลาดอยู่ที่ 4,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ช้าลงที่ 3.49%  ส่วนมูลค่าตลาดสินค้าแบรนด์เนม ‘ลักซูรี่แฟชั่น’ของโลกอยู่ที่ 145.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2567       “สินค้าแบรนด์เนมลักซูรี่ในไทย ขยายตัวขึ้นตามกลไกความต้องการในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่ขยายตัวสูงในช่องทางธุรกิจออนไลน์ ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา” ปพน กล่าวพร้อมเสริมว่า   ต่อการได้ครอบครองสินค้าแบรนด์เนมลักซูรี่ทั้งในไอเทมหรือคอลเล็กชั่นที่ชื่นชอบในกลุ่มเป้าหมายที่นอกจากให้ผลทางด้านจิตใจและการสะท้อนถึงความสำเร็จทางสังคมแล้ว ในปัจจุบันสินทรัพย์ลักซูรี่แบรนด์เนมประเภมต่างๆ อาทิ กระเป๋า, เครื่องประดับ และนาฬิกา ยังเป็นสินทรัพย์เพื่อใช้เป็นแหล่งทุนสำรองในอนาคต ได้อีกด้วย   “เรายังเห็นเพนพอยต์ ทั้งจากส่วนตัวและคนใกล้ชิดว่าไอเทมลักซูรี่แบรนด์บางชิ้นที่เป็นคอลเล็กชั่นพิเศษ ซึ่งเราต้องการเป็นเจ้าของแต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ต้องการใช้จ่ายในครั้งเดียวให้กับสินค้าชิ้นนั้น เช่น นาฬิกาหรูบางรุ่นมีมูลค่าราว 1.2 ล้านบาท แต่บางครั้งเราอยากใช้เงินเพียงส่วนหนึ่งไว้ก่อนและเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งไว้กับตัวเองเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางสภาพคล่องธุรกิจในช่วงเวลานั้นๆ พร้อมกันด้วย ทำให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากช่องว่างนี้” ปพน ให้รายละเอียด     3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อแบรนด์หรู   ขณะที่ บริษัทแบรนด์เนม มันนี่ จดทะเบียนในหมวดธุรกิจ การให้สินเชื่ออื่นๆซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น โดย บริษัทฯ สามารถดำเนินการด้านบริการสินเชื่อเช่าซื้อและขายฝากแบรนด์เนม สินค้าทั้ง 3 กลุ่ม คือ กระเป๋า นาฬิกา เครื่องประดับ ลักซูรี่ แห่งเดียวในประเทศไทย และแห่งแรกในโลก   ปัจจุบันให้บริการผลิตภัณฑ์สินเชื่อ 3 รูปแบบ  ได้แก่   สินเชื่อแบบ ผ่อนไป ใช้ไป ให้ลูกค้าได้ครอบครองแบรนด์เนมที่ต้องการได้ทันทีหลังได้รับอนุมัติ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต เพียงดาวน์เริ่มต้น 30% ของราคาสินค้า จุดเด่น ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.99% ต่อเดือน ผ่อนนานสูงสุด 24 เดือน อนุมัติไวภายใน 3 วัน กลุ่มเป้าหมาย ผู้ที่ต้องการแบ่งชำระค่าใช้จ่าย และมีรายได้ประจำ สินเชื่อแบบ ผ่อนจบ รับของ เป็นสินเชื่อเพื่อแบรนด์เนม ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์เนม โดยไม่ต้องมีภาระผูกพันทางการเงินมากนัก จุดเด่น เงื่อนไขดาวน์เริ่มต้น 30% ของราคาสินค้า เมื่อผ่อนจบรับสินค้าไปเลยทันที ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.25% ต่อเดือน อนุมัติ ภายใน 1 ชั่วโมง ไม่ตรวจสอบเครดิตบูโร ผ่อนนานสูงสุด 10 เดือน กลุ่มเป้าหมาย ผู้ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการตรวจเช็คเครดิตในการเป็นเจ้าของแบรนด์เนม บริการขายฝาก โดยให้บริการขายฝากนาฬิกา กระเป๋า และเครื่องประดับลักซูรี่แบรนด์เนม จุดเด่น ระบบเก็บรักษาสินค้าของลูกค้าไว้อย่างปลอดภัยในตู้นิรภัยมาตรฐานสากล ลูกค้า จะได้รับเงินทันทีภายใน 1-2 ชั่วโมง   “แบรนด์เนมไม่ใช่แค่ทรัพย์สิน แต่ยังเป็นโอกาสให้ผู้คนสามารถใช้สินทรัพย์ที่มีคุณค่าเหล่านี้ในการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน โดยไม่ต้องเสียของรักไป”  ปพน ย้ำพร้อมเสริมอีกว่า “ในช่วงที่ผ่านมา คนไทยรุ่นใหม่นิยมใช้สินค้าแบรนด์เนมมากขึ้น ทั้งซื้อเพื่อเป็นรางวัลให้ตัวเอง มีคุณค่าทางจิตใจ และยังเป็นการสร้าง ภาพลักษณ์ ที่แสดงถึงความมีรสนิยม และในบางส่วนมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ทั้งกระเป๋า นาฬิกา รวมทั้งเครื่องประดับที่เป็นแบรนด์ลักซูรี่” จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้แบรนด์หรูระดับโลกเหล่านี้ ใช้ดารา นักร้องหรือไอดอลของไทยเป็นพรีเซนเตอร์และแบรนด์แอมบาสเดอร์มากขึ้น พร้อมกับการเข้ามาเปิดช็อปแบรนด์เนมในไทยมากขึ้น   แบรนด์เนม = การลงทุนสินทรัพย์   ปพน กล่าวว่า จุดแข็งของ Brandname Money คือ ดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติไว และขั้นตอนการสมัครไม่ยุ่งยาก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของแบรนด์เนมได้อย่างมั่นใจและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น  ที่สำคัญบริษัทฯ ยังมีความเชี่ยวชาญในสินค้าลักซุรี่ทำให้รู้ราคาตลาด สามารถให้วงเงินสินเชื่อที่สูงกับลูกค้าได้เหมาะสม   “สินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่แค่ทรัพย์สินทั่วไป แต่เป็นโอกาสให้ผู้คนสามารถใช้สินทรัพย์ที่มีคุณค่า ในการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้ โดยแบรนด์เนม มันนี่ มีเป้าหมายที่จะช่วยให้สินค้าแบรนด์เนมกลายเป็นโอกาสทางการเงินสำหรับทุกคน” ปพน กล่าว พร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้  Brandname Money ยังมีพันธมิตร ที่เป็นร้านขายสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำมากกว่า 40 ร้าน  และยังรับสมัครร้านค้าที่ต้องการขยายฐานลูกค้า ไปยังกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อแบรนด์เนมผ่อนได้   โดย แบรนด์เนม มันนี่ จะดูแลเรื่องสินเชื่อให้ลูกค้าของร้าน โดยร้านค้าจะได้รับเงินค่าสินค้าเต็มจำนวน และให้ลูกค้ามาผ่อนสินค้ากับแบรนด์เนม มันนี่ โดยปัจจุบัน บริษัทมีสถาบันการเงิน และนักลงทุน Investor  หลายกลุ่ม สนใจติดต่อเข้ามาขอเป็นพันธมิตร แต่ยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา   เพิ่มพอร์ตสินเชื่อพันล.ใน3 ปี   ปพน กล่าวว่า การทำธุรกิจ Brandname Money ในช่วงไม่ถึง 1 ปี ที่ผ่านมา ได้ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว ประมาณ 100 ล้านบาท แบ่งเป็น   สินเชื่อขายฝากกว่า 80 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อ หรือ ผ่อนไปใช้ไปประมาณ 15 ล้านบาท ผ่อนจบ รับของอีก 4-5  ล้านบาท โดยคาดว่าสิ้นปีนี้มูลค่าพอร์ตสินเชื่อจะจบปีที่ 300 ล้านบาท   โดยวางเป้าหมายภายใน 3 ปีนี้หน้า หรือราวปี 2571 จะเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเป็น 1,000 ล้านบาท  และหลังจากนั้นมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมเงินทุนมาขยายธุรกิจที่คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต   สินค้าแบรนด์เนม โตสวนศก.ซึม   ปพน ย้ำว่า “ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี แต่ธุรกิจสินเชื่อแบรนด์เนมยังสามารถเติบได้  เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะมีความต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนมมากขึ้น ทำให้มีการใช้สินเชื่อเพื่อซื้อแบรนด์เนมหรือสินค้า LUXURY มากขึ้น แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือฝืดเคือง สินเชื่อขายฝากก็มีโอกาสเติบโตขึ้นได้ เพราะมีลูกค้านำทรัพย์สินแบรนด์เนมของตัวเอง มาแปลงเป็นเงินสดเพื่อให้มีสภาพคล่องทางการเงิน โดยใช้บริการสินเชื่อขายฝาก เช่นในภาวะเศรษฐกิจขณะนี้”นายปพนกล่าว   Alternate-X สรุปให้  ‘ปพน มนัสภากร’ เห็นโอกาสเปลี่ยนแบรนด์เนมหรูเป็นแหล่งทุนสำรอง สร้างธุรกิจสินเชื่อ Brandname Money ต่อยอดแพสชั่นนาฬิกาหรูสู่บริการผ่อนแบรนด์เนมและขายฝากครบวงจร ด้วยเห็นโอกาสว่าสินค้าแบรนด์เนมวันนี้ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่เป็นการลงทุนที่เพิ่มสภาพคล่องได้ Brandname Money ชูจุดแข็งดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติไว เก็บรักษาทรัพย์สินปลอดภัย ตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อแตะ 1,000 ล้านบาทใน 3 ปี พร้อมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ

April 26, 2025 / 0 Comments
read more

เคสดาราจำนำเครื่องประดับหรู….ให้เอาสัญญามาคุยกัน

Zcreat

ณัฐจุฑา ปุณณธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ หรือซีโอโอ(COO) บริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด  บอกว่า ในการพิจารณาสินเชื่อ แบรนด์เนม มันนี่ จะมีการจัดการความเสี่ยง Risk Management ทั้ง ระบบสมัครสินเชื่อ ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ด้วยข้อมูลของลูกค้าถูกเก็บอย่างปลอดภัยตามมาตรฐาน PDPA ระบบอนุมัติสินเชื่อ เครดิต สกอริ่ง พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลเครดิตได้เที่ยงตรงแม่นยำ ด้วยระบบอนุมัติสินเชื่อเพื่อสินค้าแบรนด์เนมโดยเฉพาะ   ที่สำคัญยังมีระบบติดตามหนี้ ระบบจัดเก็บหนี้ และ ระบบจัดเก็บสินค้า ด้วยตู้นิรภัยมาตรฐานสากล อีกด้วย   ณัฐจุฑา บอกอีกว่า การที่ Brandname Money ดำเนินการในรูปแบบบริษัทอย่างจริงจัง ทำให้ทุกการทำธุรกรรมทั้ง 3 รูปแบบ สินเชื่อแบบผ่อนไปใช้ไป , สินเชื่อแบบผ่อนจบรับของ และ บริการขายฝาก จะต้องอยู่ภายใต้การทำสัญญาที่มีกฎหมายรองรับ เพื่อความมั่นใจและสบายใจ ให้ทั้งสองฝ่าย   พร้อมยกถึงเคสล่าสุด ที่เกิดขึ้น กรณีอดีตดารานักแสดงหญิง ท่านหนึ่งที่เป็นไวรัลดังในสื่อออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา ได้นำไฮ-จิวเวลรี่ เครื่องประดับแบรนด์หรูมาขายฝาก พร้อมรับเงินไปจำนวนหนึ่งแล้วนั้น แม้ว่าปัจจุบัน อดีตนักแสดงหญิงรายดังกล่าวจะอยู่ต่างประเทศก็ตาม   โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างติดตามพร้อมดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่างๆ พร้อมย้ำว่า บริษัทฯ ยังเก็บเครื่องประดับชิ้นดังกล่าวไว้ตามสัญญาที่ได้ทำร่วมกันไว้กับอดีตนักแสดงหญิงรายนั้น ซึ่งหากมีการนำเงินมาชำระพร้อมดอกเบี้ยตามที่ได้ตกลงไว้ ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทฯ พร้อมส่งมอบทรัพย์คืนกลับไปตามสัญญาฯที่ระบุไว้ชัดเจน เช่นกัน   เธอทิ้งท้ายว่า จากการทำธุรกรรมด้วยสัญญาที่รัดกุมในครั้งนั้น ทำให้ Brand Money มีโอกาสติดตามการทำธุรกรรมในรูปแบบการฝากทรัพย์แล้วรับเงินไปก่อนได้อย่างต่อเนื่องตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งในวันที่เกิดเคสนี้ขึ้นนั้นอดีตดารานักแสดงหญิงรายนี้จะมีบุคลิกที่ดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก และนำไปสู่การอนุมัติสินเชื่อในที่สุด   อย่างไรก็ตาม ด้วยขั้นตอนต่างๆ ที่ล่วงมาถึงในขณะนี้แล้วนั้น บริษัทมั่นใจว่าจากทำธุรกรรมที่ตกลงกันไว้ตามสัญญา จะเป็นสิ่งการันตีความถูกต้องในทุกด้าน ได้ดีที่สุด 

April 26, 2025 / 0 Comments
read more

โรงแรมมณเฑียรติดแกลม ทุนใหม่อิกไนท์ฯซื้อ 2.5 พันล. แต่ไม่ต้องห่วง ‘ข้าวมันไก่’ ในตำนานยังอยู่

BizKet

โรงแรมมณเฑียร (Montien Hotels)  เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 ปัจจุบันมีอายุ 58 ปี ด้วยจุดเด่นเอกลักษณ์การออกแบบอาคารโรงแรม โดยหม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมแห่งแรก ๆ ของประเทศไทยที่บริหารจัดการโดยชาวไทยทั้งหมด   ปัจจุบันโรงแรมมณเฑียรมีทั้งสิ้น 2 สาขา ได้แก่   โรงแรมมณเฑียรกรุงเทพ ตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 4 ตรงข้ามกับสถานเสาวภา และ อีกด้านของที่ตั้งเปิดออกสู่ถนนสุรวงศ์ตรงข้ามกับถนนพัฒน์พงศ์ โรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ ตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 3 ด้านหน้าติดถนนพระราม 3 ด้านหลังติดแม่น้ำเจ้าพระยา   นอกจากความโดดเด่ดเชิงสถาปัตยกรรมของโรงแรมที่ให้กลิ่นอาย ‘Thainess’ แล้ว โรงแรมมณเฑียร ถนนสุรวงศ์ แห่งนี้ยังมีตำนานแห่งความอร่อยอย่างเมนู ‘ข้าวมันไก่’ ที่เปิดให้บริการที่ห้องอาหารเรือนต้น มานานหลายทศวรรษ เช่นกัน   โดยผู้เป็นเจ้าของและบริหารงานโรงแรมมณเฑียร มาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน คือตระกูล ‘ตันตกิตติ์’ ผู้ก่อตั้ง คือ คุณวรรณ ตันตกิตติ์ และเข้าสู่การบริหารของทายาทรุ่นสอง คุณบุญเนตร-คุณหญิงทิพยวรรณ ตันตกิตติ์ และ ทายาทรุ่นสาม  คุณมณเฑียร ตันตกิตติ์   อย่างไรก็ตามล่าสุด โรงแรมมณเฑียร บนถนนสุรวงศ์ มีการซื้อขายครั้งประวัติศาสตร์ หลัง บริษัท อิกไนท์ เวนเจอร์ จำกัด กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ได้เข้าซื้อกิจการโรงแรมมณเฑียรใจกลางสีลม ซึ่งครอบคลุมโรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ โรงแรมระดับตำนานที่มีห้องพักกว่า 500 ห้อง พร้อมด้วยสุรวงศ์ เรสซิเดนซ์ 179 ห้อง มณเฑียร ช้อปปิ้งมอลล์ และพื้นที่จอดรถ ด้วยมูลค่าสูงถึง 2,500 ล้านบาท ในระยะเวลา 25 ปี   ต่อการเข้าซื้อกิจการครั้งสำคัญนี้ นำโดย เจด พาร์ทเนอร์ส (Jade Partners)บริษัทเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาดโดยมีผู้บริหาร ได้แก่ พนล ลีลามานิตย์, ธัญธร ณัฐธัมม์, เอเดรียน ลี ,ธีรภัทร ตั้งจิตนบ และบริษัทลงทุนระดับโลกอย่าง ออร่า กรุ๊ป (Aura Group) โดยเข้าถือสิทธิการเช่าระยะยาวจากสภากาชาดไทย บนพื้นที่ 10 ไร่ใจกลางย่านธุรกิจสีลม   พร้อมกันนี้ อิกไนท์ เวนเจอร์ ยังได้แต่งตั้ง Conduit House ผู้ประกอบการโรงแรมไทยที่มีประสบการณ์ เข้ามาบริหารโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อผสานมุมมองเชิงกลยุทธ์กับความเชี่ยวชาญภาคสนาม เสริมสร้างชื่อเสียงของมณเฑียรในฐานะแบรนด์บริการระดับโลก เพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารจัดการ อีกด้วย   ธัญธร ณัฐธัมม์ หุ้นส่วนจัดการ เจด พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้ดูแลคนใหม่ของแบรนด์มณเฑียร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและความผูกพันที่มีมาอย่างยาวนานกับกรุงเทพฯ เราจะพัฒนาและสานต่อด้วยความใส่ใจ พร้อมทั้งนำพาโรงแรมสู่อนาคตด้วยวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล”     ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่     สำหรับการทำธุรกรรมครั้งนี้ บริษัท ตันตกิตติ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิการเช่ารายเดิมจะยังคงถือหุ้นส่วนน้อยใน อิกไนท์ เวนเจอร์ เพื่อรักษาความต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่ยุคใหม่แห่งการเติบโตเชิงกลยุทธ์ โดยบริษัทฯ ยังยึดมั่นในพันธกิจของสภากาชาดไทย และรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างองค์กรและสืบสานมรดกของโรงแรมมณเฑียร   โดยดีลครั้งนี้ ยังคาดว่าจะช่วยคืนชีวิตชีวาให้กับถนนสุรวงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในย่านการค้าที่สำคัญและดำเนินมาอย่างยาวนานของกรุงเทพฯ อีกด้วย   สู่มาตรฐานบริการ ‘เวริลด์ คลาส’   ด้าน พนล ลีลามานิตย์ กรรมการ อิกไนท์ เวนเจอร์ กล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้น อิกไนท์ เวนเจอร์ จะมุ่งพัฒนาโรงแรมให้มีมาตรฐานระดับโลกในกลุ่มโรงแรม 4.5 ดาว ที่มีการบริหารจัดการโดยองค์กรเอกชนและสามารถแข่งขันกับแบรนด์ชั้นนำทั้งในกรุงเทพฯ และระดับสากล ผ่านการยกระดับการบริการ อาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนการปรับปรุงห้องพักและพื้นที่โดยรอบ   โดยแผนการปรับปรุงโรงแรมและพื้นที่โดยรอบจะเริ่มได้เร็วๆ นี้ โดยในระยะแรกจะเน้นในส่วนของห้องพักแขก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในปลายปีนี้   “การปรับปรุงโรงแรมของเราจะช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าพัก อีกทั้งส่งเสริมให้มณเฑียร สุรวงศ์ เป็นจุดหมายปลายทางด้านการบริการชั้นนำของภูมิภาคนี้” นายพนล กล่าวพร้อมเสริมว่า   “อุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง และไม่เคยทำให้ผิดหวัง พิสูจน์ได้จากความสำเร็จที่ผ่านมา และล่าสุดยังสามารถเติบโตได้ดีเกินคาด”   ต่อความเคลื่อนไหวในธุรกิจโรงแรมครั้งนี้ ยังถือเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ของโรงแรมมณเฑียรซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 58 ปี ชื่อ “มณเฑียร” มีความหมายว่า “เรือนหลวง” สื่อถึงการต้อนรับอันอบอุ่นแบบไทย เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ และความเป็นเลิศด้านการบริการ ซึ่งอิกไนท์ เวนเจอร์ (Ignite Venture) มุ่งมั่นที่จะสืบสานและยกระดับให้ดียิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม ในส่วนของห้องอาหารเรือนต้น พร้อมด้วยเมนูระดับตำนาน อย่างข้าวมันไก่โรงแรมมณเฑียร แน่นอนว่าจะยังคงอยู่พร้อมเสิร์ฟรสชาติแห่งความเป็นไทยให้กับทุกคนที่มาเยือน เช่นเดิม   Alternate-X สรุปให้  อิกไนท์ เวนเจอร์ กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่เข้าซื้อกิจการโรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท พร้อมที่ดิน 10 ไร่ใจกลางสีลม เตรียมยกระดับสู่มาตรฐาน “เวิลด์คลาส” ด้วยแนวคิดบริหารแบบ Smart Hospitality ผนึก Conduit House ดูแลการบริหาร ยังคงเอกลักษณ์อาคารไทยร่วมสมัย และตำนาน “ข้าวมันไก่ห้องอาหารเรือนต้น” ไว้ดังเดิม ดีลครั้งนี้ช่วยปลุกชีพย่านสุรวงศ์ และสะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดย โรงแรมมณเฑียรมีอายุ 58 ปี และเป็นหนึ่งในโรงแรมบริหารโดยคนไทยแห่งแรก ๆ ของประเทศ                          

April 24, 2025 / 0 Comments
read more

Watsons ปรับพอร์ตสินค้ารับ 10 ปีหน้ากำลังซื้อสูงวัยพุ่ง 30% สวยอย่างเดียวไม่พอต้องสุขภาพดีด้วย

BizKet

นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกความงาม วัตสัน (Watsons) ‘วัตสัน’ เข้ามามาทำธุรกิจในไทยสู่ปีที่ 29 ในปัจจุบัน โดยมุ่งให้ความสำคัญการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยและไปพร้อมการทำตลาดด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ทั้งผลิตภัณฑ์แบรนด์ชั้นนำ สินค้าภายใต้แบรนด์วัตสัน (Own brand) พร้อมขยายไลน์สินค้าใหม่ในกลุ่มสุขภาพ เพื่อเข้าถึงความต้องการเชิงลึกในกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด   นอกจากนี้ วัตสัน ยังปรับกลุ่มเป้าหมายการทำตลาดในรูปแบบ แบ่งตามพฤติกรรม (Behavior) ของลูกค้า โดยจัดสินค้าที่เหมาะสมในแต่ละทำเลสาขาที่เข้าไปเปิดให้บริการ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไป อาทิ สินค้าในสาขาวัตสันในหัวเมืองใหญ่ แหล่งชุมชน และ สถานที่ท่องเที่ยว   “การทำตลาดมิกซ์ แบบผสมผสานของวัตสันตลอดช่วงที่ผ่านมากว่า 20 ปี เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สนับสนุนให้ธุรกิจมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง” นวลพรรณ กล่าว พร้อมเสริมว่า   ขณะที่กลุ่มลูกค้าหลักของวัตสัน ในไทยปัจจุบันสัดส่วน 88% เป็นกลุ่มผู้หญิง และ สัดส่วน 12% เป็นกลุ่มผู้ชาย มีอัตราการใช้จ่ายสินค้าเฉลี่ยตั้งแต่ 1,000 บาทต่อเดือน มีสินค้าแบรนด์ชั้นนำวางจำหน่ายราว 5,000 รายการ (SKUs) และมีสินค้าโอนแบรนด์ภายใต้วัตสันราว 800 เอสเคยู และมีแผนเพิ่มสินค้ากลุ่มหลังอีก 150 เอสเคยูในอนาคต เน้นกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ (Health & Welness) เพื่อให้ผู้บริโภคคนไทยมีโอกาสเข้าถึงสินค้าความสุขภาพได้มากขึ้น ซึ่งจะมีราคาต่างกับสินค้าเพื่อสุขภาพแบรนด์ต่างๆ ราว 20-30% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์กลุ่มเพื่อสุขภาพวัตสันเติบโต 30%   นวลพรรณ กล่าวว่า แผนดำเนินงานฯ ดังกล่าวยังเพื่อรองรับการขยายตัวตลาดเพื่อสุขภาพในอนาคต และมีความต้องการดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย คาดการณ์ในอีก 10 ปีหน้า ราวปีคศ. 2035 สังคมสูงวัยจะขยายสัดส่วนเป็น  30% จากในปี 2025 มีสัดส่วน 20%   “การทำธุรกิจตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา วัตสันเป็นแบรนด์ร้านค้าปลีกที่โดดเด่นเรื่องความงาม หรือ บิวตี้ ซึ่งจะยังรักษาจุดนี้ไว้แต่จะขยายไลน์ไปด้านเพื่อสุขภาพมากขึ้น”  นวลพรรณ กล่าว   ขณะที่ในปีนี้ วัตสัน วางแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 55 สาขาจากในปีก่อนอยู่ที่ราว 50 สาขา โดยจะไปพร้อมกับการขยายตัวของผู้พัฒนาโครการศูนย์การค้าต่างๆ ในทำเลกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดสัดส่วนใกล้เคียงกัน 50%  จากปัจจุบัน วัตสัน มีสาขา 750 แห่ง ครอบคลุม 77 จังหวัด   พร้อมกันนี้ วัตวัน จะนำแนวคิด Health is Beauty, Beauty is Health ประกอบด้วย 6 กลยุทธ์หลัก คือ มุ่งขยายเครือข่าย, สร้างนวัตกรรม, ขยายไลน์สินค้าใหม่ เสริมบริการสุขภาพ และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เพื่อรองรับการเติบโตเทรนด์สุขภาพและความงามที่เติบโตแบบก้าวกระโดด และมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ร้านค้าปลีก Smart Beauty & Wellness   โดยวางเป้าหมายการเติบโตธุรกิจต่อเนื่อง สอดคล้องกับตลาดค้าปลีกสินค้าและความงามในไทยในปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตแต่ยังชะลอตัวเมื่อเทียบกับในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่ง วัตสัน มีการเติบโตมากกว่าตลาดในภาพรวม   Alternate-X สรุปให้  วัตสัน ประเทศไทย เดินหน้าปรับพอร์ตสินค้า เน้นสินค้ากลุ่มสุขภาพควบคู่ความงาม วางกลยุทธ์ตลาดตามพฤติกรรมผู้บริโภค พร้อมขยาย Own Brand และสินค้าใหม่กว่า 150 รายการ กลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นผู้หญิง 88% มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 1,000 บาทต่อเดือน เตรียมรองรับการเติบโตของสังคมสูงวัย ซึ่งจะเพิ่มเป็น 30% ในปี 2035 ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่อง พร้อมเปิดสาขาเพิ่มเป็น 55 แห่ง และมุ่งสู่แบรนด์ Smart Beauty & Wellness

April 24, 2025 / 0 Comments
read more

อัปสกิล 200 คอร์ส ‘AI’ ไมโครซอฟท์ ให้เรียนฟรี รับตลาดแรงงาน โลกอนาคต  

BizKet

ไมโครซอฟต์ วาง ‘ไทย’ 1ใน20 ประเทศสำคัญ ยกระดับทักษะเอไอ ให้คนไทย 1 ล้านคนเรียนฟรีในปี68 ลงทุนล้านดอลลาร์ฯ ทำโครงการ THAI Academy   ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ระดับโลก ‘ไมโครซอฟท์’ (Microsoft) กล่าวว่า ไมโครซอฟต์ ให้ความสำคัญต่อการลงทุนในไทยผ่านความร่วมมือด้านเทคโนโลยี โดยร่วมมือกับรัฐบาลไทย สนับสนุนให้ประชาชนในทุกกลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงและรู้เท่าทัน (Literacy) ปัญญาประดิษฐ์ (AI)   โดยไมโครซอฟท์ ใช้งบลงทุนราว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา พร้อมร่วมกับรัฐบาลไทยและพันธมิตรร่วม 35 องค์กร เปิดโครงการ ‘THAI Academy’ เพื่อยกระดับปรับปรุง และเพิ่มทักษาการเรียนรู้ AI รวม 200 หลักสูตรที่ครอบคลุมทุกด้านตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นพื้นฐาน ความชำนาญเฉพาะทาง ไปจนถึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ฯลฯ เนำมาให้คนไทยเรียนรู้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย   “ไมโครซอฟท์ ได้นำโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ เข้าไปทำงานร่วมกับรัฐบาลประเทศต่างๆ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งใน 20 ประเทศที่ทยอยเปิดตัวโครงการพร้อมๆกัน โดยมีเป้าหมายยกระดับทักษะคนไทยมากกว่า 1 ล้านคน ภายในปี 2568 นี้”   โครงการฯ นี้ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผู้สนใจ สามารเข้ามาเรียนรู้ผ่าน AI Skills Navigator แพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้าน AI เพื่อคนไทยทุกคน นับตั้งแต่ผู้เริ่มต้นใช้งาน บุคคลทั่วไป คนทำงานเฉพาะทาง โดยมีหลักสูตรไฮไลท์สำหรับผู้เริ่มเรียนรู้ใน 3 ระดับ ได้แก่   AI Basics – ปูพื้นฐานตั้งแต่ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI ประวัติศาสตร์และที่มาเบื้องหลังนวัตกรรม และพื้นฐานในการเริ่มใช้งาน AI Skills for Everyone – หลักสูตรรวบรัดที่เจาะพื้นฐานการใช้งานเครื่องมือ AI บนแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์ในสถานการณ์ประจำวันอย่างถูกต้อง แม่นยำ และได้ผลจริง Azure AI: Zero to Hero – เปิดประตูให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์และนักศึกษาก้าวสู่โลกของคลาวด์และ AI อย่างเต็มตัว กับพื้นฐานในการสรรสร้างเครื่องมือและโซลูชันพลังงาน AI เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน   ทุนมนุษย์ ตัวแปรโลกอนาคต   ธนวัฒน์ กล่าวว่า “การลงทุนคนในทักษะ AI วันนี้ จะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย”   ทั้งนี้ ข้อมูลจาก LinkedIn ชี้ให้เห็นว่า   70% ของทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานส่วนใหญ่ในอนาคตจะแตกต่างไปจากปัจจุบัน โดยมีตำแหน่งงานที่ต้องการทักษะการใช้งาน AI เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า   สำหรับ ผู้สนใจสามารถเริ่มเรียนรู้ทักษะ AI ด้วยตนเองผ่าน AI Skills Navigator ได้แล้ววันนี้ที่ https://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากเนื้อหาทั้ง 200 หลักสูตรที่รวบรวมไว้ในที่เดียวแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถแนะนำหลักสูตรที่เหมาะสม ตรงตามเป้าหมายและความสนใจที่แตกต่างกันไปของผู้เรียนแต่ละคน   บทสรุป ไมโครซอฟท์เปิดโครงการ “THAI Academy” ยกระดับทักษะ AI ให้คนไทยกว่า 1 ล้านคนภายในปี 2568 โดยไทยเป็น 1 ใน 20 ประเทศเป้าหมายทั่วโลก โดยลงทุน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วมกับรัฐบาลและ 35 องค์กรพันธมิตร พัฒนา 200 หลักสูตรครอบคลุมตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นพัฒนาโปรแกรม เปิดให้เรียนฟรีผ่านแพลตฟอร์ม AI Skills Navigator ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับทุกระดับผู้ใช้งาน ตั้งแต่บุคคลทั่วไปจนถึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ด้วยหลักสูตรเด่น ได้แก่ AI Basics, AI Skills for Everyone และ Azure AI: Zero to Hero ไมโครซอฟท์เชื่อว่าทักษะ AI คือกุญแจสำคัญสู่อนาคตแรงงาน โดย LinkedIn ชี้ว่าทักษะที่จำเป็นในอนาคตจะต่างจากปัจจุบันถึง 70% และ AI เป็นทักษะที่เติบโตเร็วถึง 6 เท่า

April 22, 2025 / 0 Comments
read more

ส่อง ‘บูธไทย’ ใน EXPO 2025 โอซากา – มีไฮไลท์ อะไรว้าว?!? ทำทั่วโลกแห่เช็คอินไม่ขาดสาย

WeView

เริ่มแล้วงานแสดงนิทรรศการระดับโลก EXPO 2025 OSAKA, KANSAI, JAPAN นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ในปีนี้มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมงานจำนวน 158 ประเทศ   สำหรับอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ตั้งอยู่ในพื้นที่ A13 โซน Connecting  Lives เป็นหนึ่งในอาคาร Self-Build Pavilion มีการออกแบบและดำเนินการก่อสร้างเอง     โดยแนวคิดการออกแบบ ‘ไทย พาวิลเลียน’ นำศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณผสานเข้ากับวิธีก่อสร้างสมัยใหม่ที่งามสง่า โดดเด่นด้วยการออกแบบหลังคาที่เป็นลักษณะ ‘ทรงจอมแห’ ให้เป็นทรงครึ่งจั่วประกอบกับการใช้ผนังกระจกขนาดใหญ่   ขนาบข้างอาคารยาวตลอดแนวเป็นการสร้างเทคนิคภาพสะท้อน ทำให้เห็นความเป็นสถาปัตยกรรมของไทย อันสมบูรณ์และงดงามแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา ถือเป็น 1 ในพาวิลเลี่ยนที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก     ในวันแรกของการเปิดตัว ‘อาคารแสดงประเทศไทย’ (Thailand Pavilion ) ได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างท่วมท้นและเนื่อง ด้วยวันที่ 13 เมษายน เป็นวันแรกที่เปิดให้เข้าชมงานตรงกับวันสงกรานต์ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย จึงได้หยิบยก ‘เทศกาลสงกรานต์’ มรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการยกย่องจากยูเนสโก มาเป็นการแสดงสุดยิ่งใหญ่ ชุด “อาทิตย์อุทัย กึกก้องทั่วหล้า มหาสงกรานต์” ผ่านการแสดง ‘นาฏลีลาทุงษะเทวีศรีสงกรานต์’ เพื่อเชื่อมต่อคนทั้งโลกให้เข้าถึงประเทศไทย และได้รับเสียงปรบมือดังจากผู้ชมอย่างกึกก้อง     พร้อมกันนี้ผู้เข้าชมงานส่วนมากได้ให้ความสนใจกับการจัดแสดงนิทรรศการภายในอาคารทั้ง 3 ห้องจัดแสดง ประกอบด้วย   ห้อง THAI WISDOM    โซน 1 หมุดหมายสุขภาพโลก: จุดถ่ายภาพเพื่อแชร์ “ดินแดนแห่งความกินดียู่ดี” ให้ทั่วโลกได้รู้จัก ให้ทั่วโลกได้รู้จักประตูบานแรกที่เปิดให้ก้าวเข้ามาสัมผัสดินแดนแห่งความกินดี อยู่ดีสไตล์ไทยๆ   โซน 10 มนต์เสน่ห์ของประเทศไทย: เข้าถึงภูมิวิถีแบบไทย ๆ  ผ่านวิถีการอยู่กับธรรมชาติ การกินตามฤดูกาล รวมไปถึงแง่งามของวัฒนธรรมประเพณี และยิ้มสยามเอกลักษณ์ที่ทั่วโลกยอมรับและคุ้นเคย     ห้อง THAI MEDICAL AND WELLNESS HUB    โซน 100 ศักยภาพสาธารณสุขไทย: นำเสนอผ่าน Projection Mapping พร้อมวัตถุจัดแสดงรอบห้องกว่า 100 สิ่ง ที่สื่อถึงระบบสาธารณสุขที่ดี โครงการที่ดี ความร่วมมือที่ดี ภายใต้นโยบาย Thailand Medical hub  อาทิ   โครงการศูนย์สุขภาพนานาชาติ งานวิจัยที่โดดเด่น นวัตกรรมทางการแพทย์ของไทยที่โดดเด่น เช่น นวัตกรรม AI คัดกรองเบาหวานที่ตา ฟองน้ำห้ามเลือด จากแป้งข้าวเจ้า ผลิตผลจากเกษตรกรรมไทย กระดูกทดแทนจากเทคโนโลยี 3 มิติ หุ่นยนต์ดินสอ ช่วยดูแลผู้สูงวัย ฯลฯ   โซน 1,000 สถานบริการทางการแพทย์: นำเสนอศักยภาพทางการแพทย์และการบริการ ของไทยที่ได้มาตรฐานในระดับสากล ผ่านทัชสกรีนที่สามารถเข้าถึงการรักษา 15 กลุ่มโรคที่นักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์นิยมมารักษาที่ไทย ในโรงพยาบาลประเทศไทย ที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้านสปา เวลเนส และ บริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ได้รับมาตรฐาน Thai World Class Spa และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของไทย   ภายในส่วนจัดแสดงนี้ ผู้ชมสามารถสัมผัสประสบการณ์ผ่อนคลายผ่านห้องจัดแสดง RHYTHM OF THAI NATURE THERAPY นำเสนอสุขภาพดีแบบไทย ผ่านธาตุทั้ง 4 ตามหลักเเพทย์เเผนไทยที่สื่อถึงการป้องกัน เสริมสุขภาพ เเละการรักษาสมดุลทั้งทางร่างกายเเละจิตใจ ผ่านเสียงเเละทัศนียภาพธรรมชาติจากดินเเดนไทย ด้วยภาพ Visual ธรรมชาติผสมผสานเสียงบรรยากาศทั้ง 3 ฤดูกาลของประเทศไทย เพื่อพาผู้เข้าชมมาผ่อนคลายผ่านประสาทสัมผัส ได้แก่ การมองเห็น, การได้กลิ่น, การได้ยิน และการสัมผัส เสมือนยกเมืองไทยมาไว้ในงาน ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก       นอกจากนี้ รอบห้องจัดแสดงยังนำเสนอศักยภาพทางการแพทย์ของไทยผ่านการจัดอันดับที่ทั่วโลกยอมรับ เช่น ประเทศที่ฟื้นตัวและรับมือสถานการณ์ โควิด-19 ได้ดีที่สุด ประเทศที่มีกิจกรรมเชิงสุขภาพและสถานบริการเพื่อสุขภาพดีติดอันดับโลก ฯลฯ เสมือนข้อพิสูจน์ว่าประเทศไทยเป็นหมุดหมายปลายทางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างแท้จริง   โซน 10,000 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ: เรียนรู้เรื่องราววัตถุดิบและอาหารไทย ผ่านโซนจัดแสดงต่าง ๆ สอดคล้องไปกับแนวทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ส่งเสริมให้ทั่วโลกบริโภคผักและผลไม้ให้หลากหลาย ครบ 5 สี รับชม “อาหารไทยติดอันดับโลก” ซึ่งผู้ชมสามารถเลือกดูเมนูอาหารติดอันดับผ่าน Interactive Table เช่น ผัดกะเพรา ผัดไทย มัสมั่น ฯลฯ   พร้อมรู้จักกับ ‘สำรับอาหารไทย 4 ภาค’ จำลองเมนูสุขภาพของแต่ละภูมิภาคจากวัตถุดิบไทย เช่น น้ำพริกปลาทู (ภาคกลาง) ขนมจีนน้ำเงี้ยว (ภาคเหนือ) แกงอ่อมปลาดุก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) แกงขมิ้นไตปลา (ภาคใต้)   นอกจากนี้ ยังมี ‘Display อาหารแห่งอนาคต’ ที่จัดแสดงนวัตกรรมอาหาร พัฒนาเพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ใหม่ในอนาคต     ห้อง THAI LIVING LAB    โซน 100,000 ผลิตภัณฑ์สร้างภูมิคุ้มกัน: พบกับ Open kitchen Experience โชว์ทำอาหารที่คัดสรรอาหารไทยยอดนิยม อาทิ ส้มตำไทย, ต้มยำกุ้ง, ข้าวเหนียวไก่ย่าง, แกงเขียวหวานไก่, แกงมัสมั่นไก่, ผัดไทยกุ้งสด, ข้าวมันไก่, ข้าวซอยไก่, ต้มข่าไก่, ข้าวกระเพราไก่, แกงแพนงหมู และ ข้าวผัดกุ้ง มาสลับเปลี่ยนหมุนเวียนตลอดการจัดงาน ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก   ในส่วนพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย ได้คัดสรรสินค้าดีเด่นของไทย รวมถึงโปรแกรมท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ และกิจกรรมเวิร์คช็อปทำถุงหอมในแบบฉบับของตนเอง ให้นำกลับไปใช้ หรือเป็นของฝากได้ อีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก   สำหรับกิจกรรมเวิร์คช็อปจะหมุนเวียนมาให้ผู้เข้าชมงานได้เข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น แต่งกายชุดไทย, สาธิต  การทำอาหารไทย, ธรรมชาติไทยบำบัด และนวดไทย   ปิดท้ายด้วยโซน 1,000,000 รอยยิ้มแห่งความประทับใจ: พื้นที่รวบรวมล้านความรู้สึกประทับใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้มีส่วนร่วมแบ่งปันรอยยิ้มให้กับคนทั่วโลก พร้อมลุ้นรับส่วนลดที่พัก สปา&เวลเนส เเละห้องอาหาร ให้ไปสัมผัสวิถีไทยครบทุก 5 สัมผัส   ขณะที่บริเวณด้านหน้าอาคารมีเวทีกิจกรรมจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัยนำเสนอภายใต้แนวคิด ‘ยิ้มสยามงามสู่สังคมโลก’ เผยแพร่วัฒนธรรม ประเพณี และเสน่ห์ที่หลากหลายผ่านการแสดงที่สลับหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน รวมถึงการแสดงแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกับประเทศต่างๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ประเทศไทยกับนานาประเทศ     ทั้งยังมี “น้องภูมิใจ” มาสคอตประจำอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ทำหน้าที่เป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทย พร้อมต้อนรับผู้ชมจากทั่วโลกด้วยยิ้มสยามอย่างเป็นอบอุ่น จริงใจ อีกด้วย    ขอเชิญชวนทุกท่านมาเยี่ยมชมอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ในงาน EXPO 2025 OSAKA, KANSAI, JAPAN ตั้งแต่วันนี้ – 13 ตุลาคม 2568 ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่นสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวได้ที่ Website : Thailand Pavilion 2025 และทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Thailand Pavilion World Expo 2025   บทสรุป งาน EXPO 2025 ที่โอซากา เปิดให้ชม ‘ไทย พาวิลเลียน’ สถาปัตยกรรมร่วมสมัยผสานศิลปะไทยโดดเด่นสะดุดตา พบกับความอลังการด้วยการแสดงวันสงกรานต์ สร้างกระแสตอบรับจากผู้ชมทั้งไทยและต่างชาติ ภายในแบ่งเป็น 3 ห้องนิทรรศการ นำเสนอจุดแข็งไทยด้านสุขภาพ อาหาร และนวัตกรรมแพทย์ ‘ไฮไลต์’ เช็คอินแน่นสุด ห้องบำบัดแบบไทย 4 ธาตุ และโชว์ทำอาหารไทยยอดนิยมแบบสด ๆ พร้อมกิจกรรมเวิร์คช็อป พบกับ ‘น้องภูมิใจ’ มาสคอตประจำอาคารนิทรรศการไทย มาต้อนรับทุกคน        

April 20, 2025 / 0 Comments
read more

เมื่อ Banyan Tree เขาใหญ่ โชว์ความลักซูฯ ที่ต้องจับตาจนคว้ารางวัลระดับโลก!

BizKet

บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ โปรเจกต์ Branded Residence ระดับลักซูรี่ แห่งแรกบนทำเลติดกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติที่รับรองโดยองค์การยูเนสโก เป็นโปรเจกต์มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาทภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ‘บันยันกรุ๊ป’ กลุ่มธุรกิจบริการชื่อดังที่บริหารแบรนด์โรงแรมในเครือต่างๆ และ ‘เครสตั้น โฮลดิ้ง’ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย   โดยโครงการฯ แห่งนี้ถือเป็น Branded Residence ระดับลักซูรี่ แห่งแรกในทำเลเขาใหญ่ที่สะท้อนศักยภาพของพื้นที่ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในการเป็นบ้านพักตากอากาศระดับพรีเมียมในประเทศไทย   ล่าสุด บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ ได้รับรางวัลจากเวที Asia Pacific Property Awards ในหลากหลายสาขา   ผู้ชนะรางวัล Best International Development Marketing Best Development Marketing Asia Pacific Best Development Marketing for Thailand Best Mixed Use Architecture for Thailand Residential Development (20+ Units) Condominium Development Mixed Use Development for Thailand   ทั้งนี้ สะท้อนถึงความโดดเด่นในการรังสรรค์ที่สุดแห่งที่อยู่อาศัยระดับลักซูรี่ ในประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้โครงการฯ ยังได้รับรางวัล Best Developer Website for Thailand ในเวที Asia Pacific Property Awards ประจำปี 2023-2024 จากผลงานเว็บไซต์ที่สวยงามและสะท้อนจุดแข็งของโครงการหรูท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างครบถ้วน   โฮ กวงปิง ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บันยันกรุ๊ป เผยว่า “รางวัลระดับโลกจากเวที International Property Awards และรางวัลในหลายสาขาจากเวที Asia Pacific Property Awards เมื่อปีก่อน เป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทในการทำโครงการใหม่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ที่ผสานความหรูหราเข้ากับธรรมชาติโดยรอบ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน รางวัลเหล่านี้สะท้อนปรัชญาของบันยันทรี ที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับของผู้พักอาศัย ความยั่งยืน และการดีไซน์ที่งดงาม”   ด้าน จิณิณ ตระการสืบกุล ประธานกรรมการ บริษัท เครสตั้น โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “รางวัลทั้งหมดที่เราได้รับ  สะท้อนความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับและพลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซูรี่ในประเทศไทย ที่ดินผืนนี้โอบล้อมด้วยความอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เมื่อผสานเข้ากับการออกแบบระดับเวิลด์คลาส จึงมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่โครงการของเราได้รับการยอมรับไม่เพียงในระดับเอเชีย แต่ยังรวมถึงในระดับนานาชาติ”   สำหรับในงานประกาศรางวัล Asia Pacific Property Awards ประจำปี 2024-25 บันยันกรุ๊ป เรสซิเดนซ์ (Banyan Group Residences) ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 12 รางวัล ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ ถึง 7 รางวัล สร้างสถิติบริษัทที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตอกย้ำมาตรฐานสูงสุดในการพัฒนาโครงการระดับเวิลด์คลาสของบันยันกรุ๊ป เรสซิเดนซ์   บทสรุป  บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ เมกะโปรเจกต์ลักซูรี่ 1.7 หมื่นล้าน ติดอุทยานเขาใหญ่คว้า 7 รางวัลใหญ่ จากเวที Asia Pacific Property Awards 2024-25รวมถึง รางวัลระดับโลก Best International Development Marketingสะท้อนศักยภาพการออกแบบที่ผสาน ความหรูหรา-ธรรมชาติ อย่างลงตัวตอกย้ำการเป็นมาตรฐานใหม่ของ Branded Residence ในไทยและเอเชีย   เกี่ยวกับโครงการ   บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ ตั้งอยู่บนที่ดิน 226 ไร่ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 1.5 ชั่วโมง โอบล้อมทะเลสาบขนาด 30 ไร่ โดยในช่วงเฟสแรก โครงการนำเสนอพูลวิลล่า 4 ห้องนอน ทั้งสิ้น 21 ยูนิตที่ตกแต่งครบขนาด 435 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 70 ล้านบาท และอาคารคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 16 อาคารแบบ 1, 2 และ 3 ห้องนอน รวมถึงเพนต์เฮาส์ตั้งแต่ 64 ถึง 295 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท   ทั้งนี้ เจ้าของที่อยู่อาศัยในเครือบันยันทรี จะได้เอกสิทธิ์ในการเป็นสมาชิก The Sanctuary Club ซึ่งเป็นโปรแกรมซิกเนเจอร์ที่มอบสิทธิประโยชน์และส่วนลดพิเศษสำหรับที่พักในเครือบันยันกรุ๊ปทั่วโลก   พร้อมเปิดเซลล์แกลเลอรีของบันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ เปิดให้เยี่ยมชม ผู้ที่สนใจสามารถนัดหมายเข้าเยี่ยมชมได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.banyantreeresidencescrestonhill.com หรือติดต่อ +66 (0)2-096-6454  

April 20, 2025 / 0 Comments
read more

‘CITIZEN’ เขย่าตลาดข้อมือชาวยูนิเซ็กส์ ส่งรุ่น ‘TSUYOSA’ รับเทรนด์ไซส์เล็กมาแรง

BizKet

จากการเปิดรับกลุ่ม LGBTQ ความหลากหลายทางเพศ ทำให้สินค้าต่างๆในกลุ่ม Unisex เติบโตสูงขึ้นตามมา รวมถึงตลาดนาฬิกายูนิเซ็กส์ ที่แบรนด์ซิติเซ่น มองเห็นช่องว่างในตลาดกลุ่มนี้ เช่นกัน   กฤศณัฏฐ์ กิจวิทยศักดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอลดีไอ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกา CITIZEN (ซิติเซน) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทฯเปิดตัวนาฬิกาซิติเซ่นรุ่นไอคอนิก TSUYOSA หนึ่งในคอลเลกชันที่ได้รับความนิยมที่สุดของแบรนด์ เพื่อสร้างสีสันในหน้าขายช่วงฤดูร้อนปีนี้   “คอลเล็กชั่นฯนี้ มาพร้อมขนาดและสีสันใหม่ในการทำตลาด ด้วยขนาด 37 มม. มีตัวเรือนเล็กลงมาจากขนาด 40 มม. ที่วางจำหน่ายทั่วไปอยู่แล้ว แต่ยังคงสมบูรณ์ไปด้วยเอกลักษณ์ต่าง ๆ ของแบรนด์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวเหมือนเดิม” กฤศณัฏฐ์ กล่าว     โดย ตัวเรือน TSUYOSA 37 mm ยังเป็นแบบขัดเงาให้ความรู้สึกหรูหรา เชื่อมต่อกับสายสเตนเลสสตีลที่ทนทาน กระจกหน้าปัดแซพไฟร์คริสตัลทนต่อการขีดข่วน และเข็มนาฬิกาและสัญลักษณ์แทนชั่วโมงเป็นแบบเรืองแสงได้   ขณะที่ดีไซน์ของนาฬิกาดูไร้รอยต่อ เข้ากับสรีระข้อมือ ภายในเป็นกลไกอัตโนมัติ Caliber 8210 ทันสมัย มีอัญมณี 21 เม็ด ซึ่งสั่นสะเทือนที่ความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง ฝาหลังตัวเรือนใสเผยให้เห็นกลไกภายใน   นอกจากนี้ยังมาพร้อมคุณสมบัติไขลานด้วยมือ ระบบสำรองพลังงานได้นาน 42 ชั่วโมง ฟังก์ชันหยุดวินาทีเพื่อให้ตั้งเวลาได้อย่างแม่นยำ และคุณสมบัติกันน้ำลึกถึง 50 เมตร ทั้งเทคโนโลยีด้านความแม่นยำ วัสดุที่ทนทาน และดีไซน์สวยคลาสสิก   สำหรับหน้าปัดรุ่นฯ นี้มาใน 2 สีใหม่ คือ  Pastel Pink (สีชมพูอ่อน) และ Dark Green (สีเขียวเข้ม) รวมถึงอีก 1 สีฮิตของแบรนด์ Ice Blue (สีฟ้าสว่าง)   กฤศณัฏฐ์ กล่าวว่า “ซิติเซ่นคอลเล็กชั่นนี้ ยังสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดนาฬิกาแบบยูนิเซ็กซ์ขนาดกะทัดรัดกำลังจะเป็นที่นิยมมากขึ้น เลยอยากดึงดูดกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัยที่ให้ความสำคัญกับสไตล์” พร้อมเสริมว่า “คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายนาฬิกาของแบรนด์ให้เพิ่มขึ้นถึง 10-20 % ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้”   สำหรับ CITIZEN TSUYOSA 37 mm วางราคาจำหน่าย 16,600 บาท ในช่องทางขายทั้งออฟไลน์แผนกนาฬิกาห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และออนไลน์ https://shopee.co.th/citizen_thailand, www.lazada.co.th/shop/citizen     บทสรุป CITIZEN เปิดตัวนาฬิการุ่น “TSUYOSA” ไซส์ 37 มม. รับกระแสยูนิเซ็กส์ขนาดเล็กที่มาแรง ดีไซน์หรูหรา ไร้รอยต่อ ตัวเรือนขัดเงา กระจกแซพไฟร์ กันน้ำ 50 เมตร ใช้กลไกอัตโนมัติ Caliber 8210 ไขลานได้ด้วยมือ สำรองพลังงาน 42 ชม. มีให้เลือก 3 สี: Pastel Pink, Dark Green และ Ice Blue วางราคาขาย 16,600 บาท คาดช่วยดันยอดขายโต 10-20% ในไตรมาส 2 ปีนี้ ในร้านและออนไลน์   รู้ไหม?ทำไมถึงชื่อ CITIZEN?   ข้อมูลจากเพจ Citizen Watch เล่าที่มานาฬิกาแบรนด์ CITIZEN เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ.1918) ที่กรุงโตเกียว horological research center (ศูนย์วิชาการเกี่ยวกับการวัดหรือเทียบเวลา) ในฐานะสถาบันวิจัยนาฬิกา Shokosha   ในปี พ.ศ. 2467 สถาบันแห่งนี้ได้ผลิตนาฬิกาพ็อกเก็ตตัวแรกออกมาครั้งแรก และอีก 6 ปีต่อมาได้สร้างสรรค์ผลงานภายใต้ชื่อ บริษัท / ชื่อนาฬิกา CITIZEN  ซึ่งชื่อบริษัทใหม่นี้นายกเทศมนตรีกรุงโตเกียว ‘Shinpei Gotoh’ เป็นผู้ตั้งชื่อว่า Shokosha ซึ่งเป็นนาฬิกาเรือนแรกของ CITIZEN เพื่อที่พวกเขาจะได้ “ใกล้ชิดกับหัวใจของทุกคน”  

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

เหตุเกิดจากแผ่นดินไหว…

Zcreat

ช่วงแผ่นดินไหวกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ในวันนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ Brother (บราเดอร์) ธุรกิจเครื่องพิมพ์ อุปกรณ์สำนักงาน และจักรเย็บผ้า แบรนด์ระดับโลก อยู่ระหว่างรอจัดงานแถลงข่าวใหญ่ประจำปี 2568  บนชั้น 19 ‘Gaysorn Urban Resort’ อีกหนึ่งคอมมูนิตี้หรูในย่านดาวน์ ทาวน์   จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบปุปปัป ในครั้งนั้นทำให้ทุกอย่างต้องยุติและเลื่อนการจัดงานออกไปก่อน ในทันที    หลังผ่านไป 20 วัน  ทีมผู้บริหาร ‘บราเดอร์’ กลับมาจัดงานอีกครั้ง ‘ธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด  เกริ่นเปิดงานว่า เหตุการณ์ในวันนั้นถือเป็นวันโชคร้ายแต่ยังมีความโชคดี ในจังหวะ ‘แคนเซิล’ จัดงานออกไปก่อน   ด้วยหากงานแถลงข่าวเริ่มขึ้นก่อนแผ่นดินไหวในวันนั้น “เราน่าจะได้เห็นภาพพลังความรักระหว่างผู้บริหารและนักข่าวเกือบร้อยชีวิตในงาน ที่ต่างร่วมกุมมือด้วยกันอยู่ใต้โต๊ะ บนตึกสูงบนชั้น 19 ในมหานครกรุงเทพฯ เป็นอย่างแน่แท้”   MD บราเดอร์ บอกว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น ยัง จุดประกายให้ deep in thought ทั้งข้อคิดและทำให้เรียนรู้จากเรื่องร้ายที่ผ่านไป ด้วยทุกอย่างเกิดขึ้นบนความไม่แน่นอน และรวดร็ว ฉะนั้น หากใครอยากทำอะไรก็ให้รีบทำตั้งแต่ตอนนี้….’ธีรวุธ’ ทิ้งท้ายก่อนนำเข้าสู่การแถลงข่าว   

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

จุฬาฯ เปิดคณะใหม่ ‘Extension School’ รับยุค AI เน้นเรียนรู้ตลอดชีวิต Open House ก.ย. 68

BizKet

ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ ‘Alternate-x’ ว่า จุฬาฯ อยู่ระหว่างจัดเตรียมเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาภายใต้คณะวิชา(Faculty) ใหม่ เบื้องต้นกำหนดชื่อ ‘เอ็กซเทนชั่น สคูล’ (Extension School) วางแนวคิดหลักสูตรสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต ‘Lifelong learning’ เพื่อส่งเสริมวิชาการ ทักษะใหม่ ให้ตรงกับตลาดอาชีพและแรงงานในอนาคต   “คณะฯใหม่ อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอน พร้อมแต่งตั้งคณบดีเข้ามารับผิดชอบโดยเฉพาะซึ่งอยู่ภายใต้สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คาดพร้อมเปิดตัวคณะและรับสมัครครั้งแรกในเดือนกันยายน  2568 นี้”  ศ. ดร.วิเลิศ กล่าว   พร้อมเสริมว่า ‘Extension School’ วางแนวคิดให้บริการในตลาดการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้กับประชาชนทั่วไป ศิษย์เก่า ผู้สนใจไม่จำกัดอายุ ฯลฯ ด้วยหลักสูตรการเรียนการสอนที่ออกแบบเพิ่มเติมขึ้นเพื่อสนับสนุนในทุกสาขารายวิชาที่ดำเนินการสอนในคณะต่างๆที่เปิดสอนของจุฬาฯในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มทักษะในแต่ละวิชาชีพให้กับผู้เรียนที่สนใจ และเป็นไปตามความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเข้ามาอยู่ในแทบทุกส่วนของการทำงานแล้วทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งแรงงานยุคปัจจุบันต้องปรับและเสริมทักษะด้านดังกล่าวให้พร้อมต่อกระแสที่เกิดขึ้น   “จุฬาฯ วางหลักคิดให้เป็นเอ็กซเทนชั่น สคูล เป็นคณะไลฟ์ลอง เลิร์นนิ่ง การเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มที่ปลั๊กอินกับสาขาวิชาในแต่ละคณะของมหาวิทยาลัย รองรับความต้องการของผู้ที่สนใจ รวมถึงคนนอก เข้ามาศึกษาได้ทั้งหมด จะมีคณบดีท่านแรกมารับผิดชอบดูแล คาดจะเปิดรับเฟริสต์ คลาส  ราวเดือนกันยายน ปีนี้ เบื้องต้นใช้สถานที่ตั้งคณะในพื้นที่อาคารจามจุรีสแควร์ คิดอัตราค่าเล่าเรียนแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับรายวิชา ซึ่งยังมีห้องแล็บให้กับผู้เรียนด้วย”   แผนงานดังกล่าว ยังพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับบริบทของระบบเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและโลก จากปัจจัยความท้าทายต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา โดยเฉพาะในปีนี้ซึ่งมีทั้งด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล เข้ามาเป็นส่วนร่วมในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งการเงิน การลงทุน ธุรกิจ ซึ่งจุฬาฯ ในฐานะผู้ให้บริการด้านการศึกษาจะต้องปรับตัวรอบด้านเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ใหญ่ในโลกที่เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย   “ประเทศไทย ขับเคลื่อนด้วยระบบทุนนิยม และเป็นประเทศหนึ่งในโลก เราต้องหมุนรอบโลก ไปพร้อมกับสร้างความพร้อมของบุคลากร อย่างเมื่อสามปีก่อนเอไอยังไม่ได้เอไอ แต่ตอนนี้ทุกคนรู้พร้อมกัน จุฬาต้องมีทุนทางปัญญามอบให้ เพื่อเอาชนะให้ได้ นำไปใช้แก้ปัญหาใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า”  ศ. ดร.วิเลิศ ทิ้งท้าย   บทสรุป  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเตรียมเปิด “เอ็กซเทนชั่น สคูล” (Extension School) คณะใหม่เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) โดยเน้นพัฒนาทักษะใหม่ให้ตรงกับตลาดแรงงานอนาคต โดยเฉพาะในยุค AI หลักสูตรเปิดรับประชาชนทั่วไปและศิษย์เก่า ไม่จำกัดอายุ ใช้เนื้อหาต่อยอดจากคณะต่างๆ ของจุฬาฯ พร้อมคณบดีรับผิดชอบเฉพาะทาง คาดเปิดรับนักศึกษาเฟสแรกกันยายน 2568 โดยใช้พื้นที่อาคารจามจุรีสแควร์ พร้อมห้องแล็บรองรับการเรียนการสอน ค่าเล่าเรียนขึ้นอยู่กับแต่ละรายวิชา มุ่งสร้างแพลตฟอร์ม Plug-in เชื่อมโยงความรู้ระหว่างคณะกับผู้เรียนทุกกลุ่ม เป็นส่วนหนึ่งการปรับตัวของจุฬาฯ เพื่อรับมือเทคโนโลยี สร้างทุนปัญญาให้คนไทยแข่งขันได้ในเศรษฐกิจยุคใหม่ของโลก

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

‘แสนสิริ’ เล่นใหญ่ใช้ ‘ละครคุณธรรม’ 4 ตอนจบสื่อสารแบรนด์ หวังเข้าถึงคนรุ่นใหม่-โซเชียล

BizKet

ศรีอำไพ รัตนมยูร ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รายใหญ่ เปิดเผยว่า ‘แสนสิริ’ มุ่งให้ความสำคัญด้านการสร้างการรับรู้แบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่มาอย่างต่อเรื่อง โดยเฉพาะในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผลักดันให้ ‘แสนสิริ’ ครองแชมป์ Thailand Social Award 9ปีซ้อน   สำหรับในปี 2568 นี้ ‘แสนสิริ’ ยังไปต่อในการทำตลาดเพื่อสร้างเอนเกจเมนต์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ Deep กับแบรนด์พร้อมเข้าถึงจุดเด่นของพอร์ตสินค้าต่างๆ ด้วยการหยิบกระแส ‘Micro Drama’ ละครสั้นคุณธรรม มาใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดสื่อสารแบรนด์ผ่านความบันเทิง เพื่อสร้าง ‘ความสนิทใกล้ชิด’ กับคนรุ่นใหม่ มากขึ้น   “ละครสั้น ที่ฉายเพียง 2-3 นาทีต่อตอน ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องในประเทศจีน ซึ่งตลาดละครสั้นมีแนวโน้มเติบโต 35% ภายในปีนี้ปีเดียว หนุนให้อุตสาหกรรมเติบโตมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการชมละครสั้นที่เพิ่มมากขึ้น”   จากกระแสดังกล่าว ‘แสนสิริ’ ร่วมกับ ‘ดอยแม่สลอง สื่อสังคมออนไลน์’ ผลิตละครคุณธรรมเรื่อง ‘ศึกลูกเขยตัวร้ายกับแม่ยายตัวตึง’  ผ่านพล็อตเรื่องราวของคู่รักข้าวใหม่ปลามันในบ้านหลังใหม่ของแสนสิริ  ออกมาจำนวน 4 ตอน  ไปพร้อมกับถ่ายทอดบริการหลังการขายภายใต้ 4 แกนหลัก   QUALITY SECURITY CARING COMMUNITY   ต่อการใช้ ‘ละครคุณธรรม’ มาเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารแบรนด์ร่วมกับผู้บริโภค ในครั้งนี้ ยังเป็นการเกาะเทรนด์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล จากกระแสไมโคร ดราม่า หรือ ละครสั้นที่มีแนวโน้มการเติบโตและได้รับความนิยมอย่างมากในไทย  จากความเข้าใจง่าย ตรงประเด็น ให้ทั้งสาระและความบันเทิง ที่ยังขยายไปสู่แพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย ต่างๆ ทั้ง YouTube, Facebook, TikTok ซึ่งอย่างหลังเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์หลัก ที่มีกลุ่มเป้าหมายใช้งานมากที่สุด   สำหรับ ‘ศึกลูกเขยตัวร้ายกับแม่ยายตัวตึง’ ละครสั้น 4 ตอนจบ จะหยิบจุดขายด้านความโดดเด่นของ After‑Sales Service เป็นตัวชูโรง ให้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัว เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในทุกเซกเมนต์ ด้วยเนื้อหาสั้น กระชับ และเข้าถึงง่าย โดยเริ่มออนแอร์ ในทุกวันศุกร์ ตั้งแต่ม 21 มี.ค. ที่ผ่านมา ในช่องทาง Social Media ของ ดอยแม่สลอง และเพจ Sansiri PLC   บทสรุป  ‘แสนสิริ’ ใช้กลยุทธ์ใหม่ในการสื่อสารแบรนด์ผ่านละครคุณธรรม 4 ตอนจบ ภายใต้ชื่อ ‘ศึกลูกเขยตัวร้ายกับแม่ยายตัวตึง’ ซึ่งผสมผสานสาระเกี่ยวกับบริการหลังการขายและความบันเทิงในรูปแบบไมโครดราม่า เพื่อสื่อถึงจุดเด่น 4 ด้าน ได้แก่ QUALITY, SECURITY, CARING, COMMUNITY ใช้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเครื่องมือการตลาดชิ้นนี้ ยังสะท้อนความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชอบเนื้อหากระชับและเข้าใจง่าย ผ่านละครที่ให้ความบันเทิงและสาระที่ตรงประเด็น    

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

‘เศรษฐกิจซึม’ คนหารายได้เสริม! Brother ชูปรินเตอร์-จักรเย็บผ้า ตอบโจทย์ตลาดทำเงินยุคใหม่

BizKet

จากจุดเริ่มกิจการซ่อมจักรเย็บผ้า ของสองพี่น้องชาวญี่ปุ่น  เมืองนาโกย่า ในปีพ.ศ. 2451 ก่อนเดินทางถึงจุดเปลี่ยนสำคัญสู่การใช้ชื่อ ‘Brother’ เมื่อปีพ.ศ. 2505 เพื่อทำตลาดระดับสากล พร้อมปรับโพสิชั่นแบรนด์เพื่อรุกหนักในอุตสาหกรรม ‘เครื่องพิมพ์’ Printer และอุปกรณ์สำนักงาน อย่างจริงจัง ในช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 ด้วยผลิตภัณฑ์เด่นได้แก่ เครื่องพิมพ์เลเซอร์, อิงค์เจ็ท, มัลติฟังก์ชัน, เครื่องแฟกซ์, และ เครื่องพิมพ์ฉลาก (P-touch) ไปพร้อมกับแผนขยายธุรกิจ ราว 40 ประเทศ ถึงในวันนี้   ส่วนในไทย ‘Brother’ เข้ามาดำเนินกิจการตั้งแต่ปี 2540  มีอายุ 28 ปีแล้วในปัจจุบัน ภายใต้บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด และในปีนี้ บราเดอร์ ได้ออกมาประกาศวิสัยทัศน์และพันธกิจการทำธุรกิจในไทย จะยังขอเติบโตไปพร้อมกับ GDP ของประเทศในปีนี้ จากหลายสำนักคาดการณ์อัตราเติบโตราวๆ 2.9% จากในปี 2567 มีจีดีพีอยู่ที่ 2.7%   ต่อเรื่องนี้ ‘ธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ยังเป็นปีที่บริษัท มีอัตราการเติบโตสูงถึง 9% และยังสูงสุดในรอบ 28 ปี นับแต่ก่อตั้งกิจการในไทย เรียกว่า เติบโตกว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของไทย   ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?   ‘ธีรวุธ’ ให้มุมมองว่า การเติบโตของธุรกิจยังไปพร้อมกับการขยายตัวการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการสื่อสารและดิจิทัล ในกลุ่ม (Sector) ต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล (Digital Tranformation) สอดคล้องกับการสำรวจของ ‘การ์ทเนอร์’ (Gartner, Inc.-บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ) ระบุแนวโน้มตลาดไอที ในประเทศไทย จะมีมูลค่าสูงเกิน 1 ล้านล้าน (Trillion) บาท เติบโตขึ้น 5.8%   จากตัวเลขการเติบโตทั้งการลงทุนไอทีในประเทศ และการเติบโตของ บราเดอร์ ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ วางวิสัยทัศน์ใหม่ เพื่อการเป็นผู้นำในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในตลาด (leading in every business categories) ด้วยยังย้ำจุดยืนตามมอตโต้ ‘at your side’ ของบราเดอร์   ด้วย Brother มองเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจตามการขยายตัวทิศทางเดียวกับ 3 กลุ่มอุตสาหรรมดังนี้   ภาคอุตสาหกรรมภาคการผลิต/โรงงาน (Manufacturing เติบโต 5% ภาคอุตสาหกรรมทางการแพทย์ (Medical Care) เติบโต 7% ภาคธุรกิจขนาดกลางย่อม (SME) เติบโต 4%   “การจะทำให้ธุรกิจเติบโต บราเดอร์จะต้องไปพร้อมกับเซ็กเตอร์ธุรกิจในไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน อย่างในกลุ่มเอสเอ็มอี จะเป็นธุรกิจสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับค้าปลีก” ธีรวุธ กล่าว 4 ปัจจัยหนุนกระตุ้นเติบโต   สำหรับแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจและเศรษฐกิจ ในปี 2568 นี้คาดมาจาก 4 ปัจจัยบวก ดังนี้   ภาคการท่องเที่ยว จากในปี 2567 ที่ผ่านมา มีนักเดินทางต่างชาติมาไทยราว 38 ล้านคน การลงทุนตรงจากต่างชาติ ยังมีโอกาสในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและโรงงาน ภาคการส่งออก ยังมีแนวโน้มขยายตัวคงที่ราว 5-10% การผลักดันแคมเปญต่างของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ   “อย่างไรก็ตามยังมี ปัจจัยลบที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดทั้ง ผลกระทบจากเทรด วอร์ สงครามการค้าผ่านกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกา และความไม่สงบจากภูมิรัฐศาสตร์โลก” ธีรวุธ ให้มุมมองเพิ่ม   ‘ผู้คน’ มองหารายได้เสริม   ด้าน ‘กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์’ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัทบราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าจากภาพรวมดังกล่าว ทำให้ บราเดอร์ วางแผนทำตลาดผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมภาคธุรกิจ กลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย ภายใต้กลยุทธ์ ‘Brother All’ ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์ครบวงจร ทั้ง เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกน เครื่องพิมพ์ฉลาก จักรปัก เครื่องเสียงภายใต้แบรนด์ BMB เครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัล และเครื่องพิมพ์ฉลากดิจิทัลระบบ UV อิงค์เจ็ทความละเอียดสูงภายใต้แบรนด์ Domino   “ในปีนี้ ตั้งเป้าขยายธุรกิจเติบโตไม่ต่ำกว่า 7% เพื่อย้ำความเป็นผู้นำและรักษาตำแหน่งอันดับ 1 ในสินค้ากลุ่มต่าวๆ จากปีที่ผ่านมา”   ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ (Printing Business)   เครื่องพิมพ์เลเซอร์ขาวดำ (45%) เครื่องพิมพ์เลเซอร์มัลติฟังก์ชันขาวดำ (55%) เครื่องพิมพ์เลเซอร์สี (51%) เครื่องพิมพ์เลเซอร์มัลติฟังก์ชันสี (45%)   นอกจากนี้ ยังมี เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท A3 ที่มียอดขายอันดับ 1 ทั่วโลกต่อเนื่อง 17 ปี รวมถึงยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ธุรกิจภาคขยาย (Business Expansion) ทั้งจักรปักสำหรับ SME, จักรเย็บผ้าภายในบ้าน, เครื่องพิมพ์ฉลาก P-touch และ เครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัล Direct-to-Garment GTX ที่ครองส่วนแบ่งในตลาดอันดับ 1 ด้วย   กิตติพงศ์ กล่าวว่า บราเดอร์ จัดกลุ่มสินค้าเพื่อทำตลาดเชิงรุกทั้งในกลุ่มบีทูซี ธุรกิจ-ลูกค้าทั่วไป และ กลุ่มบีทูซี ธุรกิจ-ลูกค้าโปรเจกต์ พร้อมเปิดตัวช่องทางขายอีคอมเมิร์ซเว็บไซต์บราเดอร์ และ Loyalty Program เพื่อเพิ่มโอกาสรองรับทั้งกลุ่มลูกค้าใหม่และรายเดิมที่ยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์เสริม หมึกพิมพ์ ในรุ่นต่างๆ ที่ทำตลาดในช่วงก่อนหน้า   นอกจากนี้ บราเดอร์ จะยังเป็นแบรนด์ที่ปรับตัวให้มีความร่วมสมัยเข้ากับผู้บริโภคคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ในทุกช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ พร้อมใช้กลยุทธ์ SEO & SEM และ Lead Generation เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม   “ในช่วงเศรษฐกิจชะลอการเติบโต จะเป็นจังหวะที่ผู้คนที่มีรายได้ประจำจะเริ่มมมองหาแหล่งรายได้เสริม ทั้งการทำธุรกิจจากงานอดิเรก ปัก เย็บ ซ่อมแซม ไปจนถึงการทำสินค้ากลุ่มเสื้อผ้า พิมพ์ลาย สกรีน หรือ งานพิมพ์ป้ายติดฉลากของธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นต้น ซึ่งบราเดอร์ มองเห็นเป็นโอกาสทั้งหมด”   ทั้งนี้ จากแผนธุรกิจดังกล่าว ในปี2568  บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโต 7% จากในปีที่ผ่านมา   บทสรุป  Brother ประเทศไทยโตสุดในรอบ 28 ปี ปีนี้ตั้งเป้าโตอีก 7% รับตลาดไอทีทะลุ 1 ล้านล้านบาท พร้อมทำตลาดสินค้าครอบคลุมทุกเซกเมนต์ แม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ Brother มองเป็น ‘โอกาส’ ด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆในพอร์ตมาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าธุรกิจโปรเจกต์ พร้อมขยายช่องทางในกลุ่มธุรกิจต่อลูกค้า ที่ต้องการหาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในตลาดทำเงินยุคใหม่  ขณะที่จีดีพีไทย แตะ 2.9 % ในปีนี้        

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

Google พ่ายแพ้อีกครั้ง หลังศาลสหรัฐฯปิดคดีผูกขาดธุรกิจโฆษณาดิจิทัล ‘โดยจงใจ’

BizKet

หลังจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (U.S. Department of Justice – DOJ) และอัยการของหลายรัฐ ได้ยื่นฟ้อง Google ในเดือนมกราคม 2023 โดยกล่าวหาว่า ‘Google’ ใช้อำนาจในตลาดโฆษณาดิจิทัลอย่างไม่เป็นธรรม   ขณะที่ คดีนี้โฟกัสที่ธุรกิจ ‘AdTech’ หรือเทคโนโลยีโฆษณาดิจิทัล ซึ่ง Google เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาด ทั้งในส่วนของเครื่องมือสำหรับผู้ลงโฆษณา (advertisers) และผู้ให้บริการพื้นที่โฆษณา (publishers)   ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า กูเกิล (Google) ผูกขาดตลาดโฆษณาดิจิทัลบนเว็บไซต์แบบเปิด (open-web) ซึ่งละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของบริษัทในคดีฟ้องร้องต่อต้านการผูกขาด   ศาลแขวงสหรัฐฯ เขตตะวันออกของเวอร์จิเนียระบุว่า กูเกิลทำให้เกิดความเสียหายต่อลูกค้าผู้เผยแพร่เนื้อหา รวมถึงการแข่งขันและผู้บริโภคข้อมูลออนไลน์   พาเมลา บอนดี อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ กล่าวว่าคำตัดสินนี้เป็นชัยชนะสำคัญในความพยายามหยุดยั้งไม่ให้กูเกิลผูกขาดพื้นที่ดิจิทัลสาธารณะ   แอบิเกล สเลเตอร์ ผู้ช่วยอัยการสูงสุดในแผนกต่อต้านการผูกขาด กล่าวว่า การครอบงำของกูเกิลทำให้บริษัทสามารถเซ็นเซอร์ข้อมูลและปิดปากชาวอเมริกัน พร้อมทั้งทำลายข้อมูลที่เผยถึงพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายของตนเอง   “คำตัดสินนี้ยืนยันว่า กูเกิลมีอำนาจควบคุมโฆษณาออนไลน์และโลกอินเทอร์เน็ต” สเลเตอร์กล่าว   ขณะที่ กูเกิล ยืนยันว่าจะยื่นอุทธรณ์ โดยลี-แอนน์ มัลฮอลแลนด์ รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของกูเกิล กล่าวว่า ผู้เผยแพร่เนื้อหามีทางเลือกหลากหลาย แต่พวกเขาเลือกใช้กูเกิลเพราะเครื่องมือโฆษณาของกูเกิลใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพ   อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งที่สองที่ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า กูเกิลมีส่วนผูกขาดที่ผิดกฎหมาย โดยก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม 2567 ศาลแขวงสหรัฐฯ เขตโคลัมเบียได้ตัดสินว่ากูเกิลผูกขาดตลาดเสิร์ชเอนจินผิดกฎหมาย   ต่อคำตัดสินในครั้งนี้ คาดส่งผลกระทบ หาก Google แพ้คดี อาจถูกสั่งให้แยกธุรกิจ AdTech ออกจากบริษัทแม่ และ คดีนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัลทั่วโลก และเป็นบททดสอบเรื่องการควบคุมอำนาจผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่   บทสรุป  ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google ผูกขาดตลาดโฆษณาดิจิทัลบนเว็บไซต์แบบเปิด (open-web) ซึ่งละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้เผยแพร่เนื้อหาและผู้บริโภค สร้างแรงกระเพื่อมในอุตสาหกรรมโฆษณาทั่วโลก คดีนี้เน้นธุรกิจ AdTech ที่ Google ครองทั้งฝั่งผู้ลงโฆษณาและผู้ให้บริการพื้นที่โฆษณา แม้ Google ยืนยันจะอุทธรณ์ แต่หากแพ้คดี อาจถูกสั่งให้แยกธุรกิจโฆษณาออกจากบริษัทแม่ นับเป็นบททดสอบสำคัญของการควบคุมอำนาจผูกขาดในโลกดิจิทัล    

April 18, 2025 / 0 Comments
read more

เจาะโอกาสตลาด ‘สินค้าเด็ก’ พบกับ ‘5 เทรนด์’ แห่งปี2025 มาแน่ๆ มีอะไรบ้าง?

BizKet

อัตราเด็กเกิดใหม่ลดลง ทำให้แต่ละครอบครัวมีสมาชิกใหม่ในบ้านน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด การมีลูกเพียง 1-2 คน ในยุคปัจจุบัน กลายเป็น New Normal ของพ่อแม่สมัยใหม่   และยิ่งเมื่อมีลูกน้อยลง ความรัก ความใส่ใจ และ ‘งบประมาณ’ ก็ทุ่มได้เต็มที่ พ่อแม่รุ่นใหม่ ไปจนถึงคนรุ่นใหญ่ในบ้าน  ต่างพร้อมเปย์ขั้นสุดเพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกหลาน และนี่คือโอกาสทองของตลาดสินค้าเด็ก ที่ต้องเกาะ 5 เทรนด์ใหญ่ไว้ให้แน่น เพื่อเจาะกำลังซื้อสายเปย์! แห่งยุค     มาดูกันว่า 5 เทรนด์สินค้าสำหรับเด็กปี 2025 มีอะไรบ้าง?     1.สินค้าปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกสินค้าของพ่อแม่ยุคใหม่ไม่เพียงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยต่อเด็ก ๆ แต่ยังต้องดีต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สร้างสังคมและโลกที่ดีกว่าสำหรับลูกหลานในอนาคต ทำให้ตระหนักถึงผลกระทบทั้งในแง่ของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น   โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ระบบภูมิคุ้มกันที่ยังไม่แข็งแรงและกำลังพัฒนา พ่อแม่จึงเลือกสินค้าที่ปลอดภัยจากสารเคมีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อปกป้องเด็กจากอันตรายทั้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น การเลือกอาหารที่ปลอดสารเคมีและมาจากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายออร์แกนิก ของเล่นที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งการใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยังเป็นการสอนให้เด็กเติบโตขึ้นแบบมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม   2. เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อความสะดวกและปลอดภัย เทรนด์สินค้าเด็กที่มีเทคโนโลยีอัจฉริยะ ตอบโจทย์พฤติกรรมของพ่อแม่ยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกและปลอดภัย รวมถึงการติดตามและควบคุมผ่านเทคโนโลยี ช่วยทำให้พ่อแม่สามารถดูแลและบริหารจัดการการเลี้ยงดูได้ดีขึ้นในทุกด้าน ทั้งในแง่ของสุขภาพ การพัฒนา และความปลอดภัย เช่น   เครื่องมืออัตโนมัติ ที่ช่วยดูแลลูกในขณะที่พ่อแม่ไม่สามารถอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา อาทิ เครื่องตรวจจับคุณภาพอากาศในห้องของเด็ก หรืออุปกรณ์การนอนที่ช่วยให้เด็กนอนหลับได้ดีขึ้น กล้องตรวจจับการนอน กล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว เครื่องฟอกอากาศสำหรับเด็ก   นอกจากนี้ ยังมีเสื้อผ้าและอุปกรณ์ตรวจจับอุณหภูมิและสุขภาพเด็กแบบเรียลไทม์ รถเข็นอัจฉริยะ ตลอดจนแอปพลิเคชันที่ช่วยดูแลพัฒนาการของลูกได้แม่นยำขึ้น เช่น เครื่องวัดการเติบโต   3. ของเล่นเสริมพัฒนาการเฉพาะบุคคล เทคโนโลยีอัจฉริยะสามารถนำมาใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กได้ เช่น ของเล่นอัจฉริยะที่ช่วยฝึกทักษะด้านต่าง ๆ ทั้งการคิด การเรียนรู้ และการปฏิสัมพันธ์ ซึ่งสามารถกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กได้ในรูปแบบที่สนุกสนานและน่าสนใจ เช่น   ของเล่นที่สามารถปรับระดับการเรียนรู้ตามพัฒนาการของเด็กแต่ละคน และเทคโนโลยี VR และ AR ที่ช่วยเสริมการเรียนรู้และทักษะทางสังคม หรือ Subscription Box ที่คัดสรรของเล่นเสริมพัฒนาการส่งถึงบ้านตามช่วงวัย ซึ่งการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการของเด็กไม่เพียงแต่ช่วยให้พ่อแม่มั่นใจในการเรียนรู้ แต่ยังเป็นการส่งเสริมทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตด้วย   4. การชอปปิ้งออนไลน์และการปรับแต่งสินค้าเฉพาะบุคคล เวลาของพ่อแม่ยุคใหม่มีจำกัด การชอปปิ้งออนไลน์ช่วยให้ซื้อสินค้าได้ตลอดเวลาที่สะดวก มีสินค้าให้เลือกหลากหลายประเภท แถมยังเปรียบเทียบราคาได้ ทำให้เลือกซื้อสินค้าได้คุ้มค่า มีบริการจัดส่งสะดวกและรวดเร็ว สอดรับกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวก ปลอดภัย และการเลือกสินค้าที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันได้ตรงจุด   ส่วนการปรับแต่งสินค้าเฉพาะบุคคล (Personalization) ก็เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม โดยสามารถปรับแต่งสินค้าหรือบริการให้เหมาะสมกับความต้องการและรสนิยมได้ ช่วยให้พ่อแม่สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกได้ตามไลฟ์สไตล์ของครอบครัว เช่น เสื้อผ้าที่ใส่ชื่อหรือข้อความส่วนตัว กระเป๋าที่เลือกสีและลายได้ หรือของเล่นและเครื่องมือการเรียนรู้สำหรับเด็กที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับช่วยวัย รวมถึงความสนใจของเด็ก เป็นต้น   5. บริการสมัครสมาชิกสินค้าเด็ก (Baby Subscription Service) เพราะพ่อแม่ยุคใหม่มีชีวิตที่ยุ่งเหยิง การสมัครเป็นสมาชิกจะช่วยประหยัดเวลาในการซื้อสินค้าแบบเดิม ๆ เนื่องจากการจัดส่งถึงบ้าน ทำให้จัดการกับการซื้อสินค้าได้ง่าย สะดวกขึ้น และมั่นใจในคุณภาพของสินค้า รวมถึงจัดการงบประมาณด้วยแผนการเงินที่ยืดหยุ่นเหมาะสม   อีกทั้งยังเพิ่มประสบการณ์การดูแลที่ตรงจุดและเป็นประโยชน์ของทั้งครอบครัว จากการปรับแต่งสินค้าตามความต้องการและช่วงวัยของลูก ๆ ตัวอย่างเช่น บริการจัดส่งของใช้จำเป็น  อาทิ ผ้าอ้อม/ นมผง ผลิตภัณฑ์ดูแลเด็ก หรือ Subscription Box สำหรับเด็กที่คัดสรรสินค้าและของเล่นที่เหมาะสมส่งถึงบ้าน ซึ่งแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มพัฒนาโมเดลธุรกิจแบบสมัครสมาชิกเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภคมากขึ้น   ทั้งหมดนี้คือ 5 เทรนด์สินค้าสำหรับแม่และเด็กมาแรงในปี 2025 ที่เน้นการใช้เทคโนโลยี ความยั่งยืน และสุขภาพเป็นหลัก ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยพฤติกรรมของพ่อแม่ที่เปลี่ยนไป ซึ่งต้องใส่ใจในคุณภาพ ความปลอดภัย และพัฒนาการของลูกน้อยมากยิ่งขึ้น   แนวโน้มดังกล่าว ยังเป็นโอกาสสำหรับ นักธุรกิจ ผู้ประกอบการที่กำลังหานสินค้าใหม่ๆ และพ่อแม่ยุคใหม่ ไม่ควรพลาดในงานมหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมแม่และเด็ก Kind + Jugend ASEAN 2025 (คินอันยูเก้น อาเซียน) มหกรรมงานแสดงสินค้าและนวัตกรรมแม่และเด็กสุดยิ่งใหญ่แห่งเอเชียแปซิฟิก   โดยรวบรวม Top Global Brand กว่า 300 แบรนด์มาไว้ครบจบในที่เดียว  โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 14 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยวันที่ 14 มิถุนายน เป็นวันpublic day ที่พ่อแม่ยุคใหม่และผู้สนใจสามารถเข้ามาร่วมจับจ่ายซื้อสินค้าปลีกได้ในราคาพิเศษ! โดยสามารถลงทะเบียนเข้างานได้ที่เว็บไซต์ kindundjugend.asia   บทสรุป อัตราเกิดลดลง ทำให้ครอบครัวมีลูกน้อยลง แต่พร้อมเปย์ให้เต็มที่กับลูกหลาน เทรนด์สินค้าเด็กปี 2025 จึงเน้นคุณภาพ ปลอดภัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีอัจฉริยะ ของเล่นเสริมพัฒนาการ และบริการแบบ Subscription มาแรง พฤติกรรมพ่อแม่ยุคใหม่เปลี่ยน สินค้าต้องตอบโจทย์เฉพาะบุคคลและสะดวกสบาย พบโอกาสและนวัตกรรมสินค้าเด็กในงาน Kind + Jugend ASEAN 2025 วันที่ 12-14 มิ.ย.นี้

April 18, 2025 / 0 Comments
read more

‘เครียดเรื้อรัง’ กระทบภูมิคุ้มกันทำ ‘ฮอร์โมน’ ปั่นปวนชนวนสู่โรค CVD เหตุสาวเอเชียฯ เสียชีวิตอันดับต้น

Peace&Play

เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก เฮอร์บาไลฟ์ (Herbalife) บริษัทระดับโลกด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ใช้กลยุทธ์การตลาดมีส่วนร่วมกิจกรรมระดับโลก ในโอกาส ‘วันสตรีสากลปี 2025’   โดยนำธีม ‘Accelerating Action’ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองพลังของผู้หญิงทั่วโลก และตอกย้ำความสำคัญของการดูแลสุขภาพของผู้หญิงในทุกมิติ   ด้วยแนวคิด ‘สุขภาพที่ดีคือรากฐานสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน’ โดยเฉพาะในโลกที่ผู้หญิงต้องทำหน้าที่หลากหลาย ทั้ง อาชีพหลัก คนดูแลครอบครัว หรือผู้จัดการชีวิตในบ้าน ดังนั้น การแบ่งเวลาให้ตัวเองเพื่อดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม   และจากการรับหลากหลายบทบาทในเวลาเดียวกัน อาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งกายและใจ โดยเฉพาะ ‘ความเครียดเรื้อรัง’ อาจกระทบระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน นอนหลับไม่สนิท หรือเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ ยังมีโรคบางชนิดที่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เช่น ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และภาวะกล้ามเนื้อพร่อง (Sarcopenia) ทั้งนี้ การเข้าใจร่างกายและปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง   ดร. วิภาดา แซ่เล่า หัวหน้าฝ่ายการศึกษาและฝึกอบรมด้านโภชนาการ เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก ร่วมแบ่งปันคำแนะนำในการดูแลสุขภาพที่เน้นทั้งการป้องกันโรค การเสริมสร้างความแข็งแรง และการดูแลหัวใจที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางของพลังชีวิตผู้หญิง   รู้หรือไม่ว่า โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้หญิงในเอเชีย? ในปี 2019 คิดเป็นถึง 35% ของการเสียชีวิตทั้งหมด   และยังพบว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ในเอเชียสูงที่สุดในโลก การตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจความดัน คอเลสเตอรอล เบาหวาน และน้ำหนักตัว จึงเป็นทางเลือกที่จำเป็นสำหรับการป้องกัน     ‘เช็คลิสต์’ กายใจแข็งแรงห่างไกลโรค   การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว แอโรบิก หรือโยคะ สามารถช่วยลดระดับความเครียด ควบคุมความดันโลหิต และเสริมการไหลเวียนโลหิตได้ดีขึ้น   โภชนาการก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญ ผักผลไม้สด ธัญพืชเต็มเมล็ด ปลาไขมันดี ถั่ว และอาหารที่มีโอเมก้า-3 ล้วนส่งเสริมสุขภาพหัวใจและลดความเสี่ยงของโรคร้าย   ผู้หญิงยังต้องให้ความสำคัญกับ ‘สมดุลของฮอร์โมน’ ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และสุขภาพโดยรวม สารอาหารอย่างธาตุเหล็กมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์หรือช่วงหมดประจำเดือน ซึ่งร่างกายสูญเสียธาตุเหล็กได้มาก   การดูแลอาหารให้เพียงพอในสารอาหารสำคัญ   การตรวจสุขภาพเป็นประจำ จึงมีผลโดยตรงต่อความสมดุลของระบบภายใน   โดยเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผู้หญิงมีแนวโน้มสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อพร่อง (Sarcopenia) และโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง และการรับประทานโปรตีน แคลเซียม และวิตามินดีอย่างเพียงพอ จะช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดความเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกหัก     วิธีดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนสำหรับผู้หญิง คือ การรับประทานอาหารที่หลากหลาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักจัดการความเครียด การมีกลุ่มเพื่อนหรือเข้าร่วมกิจกรรมออกกำลังกายร่วมกับผู้อื่น จะช่วยส่งเสริมความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ลดความโดดเดี่ยว และเสริมสร้างพลังใจได้อย่างมหาศาล   แม้ผู้หญิงยุคใหม่จะตระหนักถึงสุขภาพมากขึ้น แต่ก็ยังมีสิ่งที่เราต้องร่วมผลักดันต่อไป ทั้งด้านความรู้ การดูแลตัวเอง และการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้หญิงมีสุขภาพดี มีพลังใจ และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพในทุกบทบาทของชีวิต บทสรุป  Herbalife Asia Pacific เฉลิมฉลองวันสตรีสากล 2025 ด้วยแคมเปญ “Accelerating Action” เน้นสุขภาพผู้หญิงทุกมิติ ตอกย้ำว่าผู้หญิงยุคใหม่มีบทบาทหลากหลาย จึงต้องดูแลสุขภาพกาย–ใจอย่างสมดุล โรคหัวใจ ภาวะฮอร์โมนแปรปรวน และกล้ามเนื้อพร่อง เป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม วิธีดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนคือ โภชนาการที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้พอ การสร้างสังคมที่สนับสนุนผู้หญิงให้เข้าถึงความรู้และบริการสุขภาพคือหัวใจสำคัญ  

April 18, 2025 / 0 Comments
read more

‘Gambol กล้าแตะ’ กับหนังสั้น 3 ตอนจบ สื่อผ่าน ‘3 ลิง’ แก้ปัญหาโลกล้านปี

BizKet

‘แกมโบล’ แบรนด์รองเท้าสัญชาติไทยของครอบครัว ‘กิจกำจาย’  ที่ช่วยกันสร้างธุรกิจขึ้นเมื่อปี 2512 จนก้าวสู่ความสำเร็จถึงในปัจจุบัน   สำหรับในปี 2568 นี้ ‘แกมโบล’ (Gambol) เลือกทำงานร่วมกับตัวแทนสื่อโฆษณา วาย เอ็มดี ประเทศไทย (YDM Thailand) ในการทำตลาดเพื่อสารแบรนด์ผ่านภาพยนต์โฆษณา ด้วยแคมเปญล่าสุด ‘Gambol กล้าแตะ’ ให้กับแบรนด์รองเท้าแตะ Gambol   วุฒิชัย กิจกำจาย ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ Gambol กล่าวถึงแนวคิดเริ่มต้น จากความเชื่อว่า “รองเท้าที่ดี ไม่ใช่แค่ใส่สบาย แต่ต้องส่งต่อความรู้สึกดีให้ผู้สวมใส่ ซึ่งทำให้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ‘Gambol’ ใส่ใจในทุกรายละเอียดของสินค้าด้วยอยากให้ทุกย่างก้าวของผู้ได้สวมใส่ เปี่ยมด้วยความกล้าและความหมาย จากความไว้วางใจจากผู้คนกว่า 15 ล้านคู่ต่อปีต่อปี   “รองเท้า Gambol จึงเป็นมากกว่าสิ่งที่สวมใส่ แต่คือพลังเล็ก ๆ ที่ผลักดันให้ทุกคนยืนหยัดในสิ่งที่ดี ทั้งเพื่อตัวเองและสังคม”    ขณะที่ ฝ่ายสร้างสรรค์ อนุวรรต นิติภานนท์ Chief Creative Officer, YDM Thailand กล่าวว่า แคมเปญนี้ของ Gambol สะท้อนความจริง และสร้าง Movement จุดประกายความคิด ‘กล้าแตะ’ แค่รองเท้า Gambol หนึ่งคู่ ก็สามารถเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเลือกหยิบประเด็นร้อนแรงของสังคมไทยที่คนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยง มานำเสนอในมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ผ่านภาพยนตร์โฆษณา 3 ตอน ที่ชวนย้อนกลับไปยังโลกยุคดึกดำบรรพ์ พร้อมตั้งคำถามถึงสังคมไทยปัจจุบัน ว่าปัญหาเดิม ๆ เหล่านั้น… ยังอยู่   Gambol กล้าแตะ (Dare to Step): เมื่อ 5 ล้านปีก่อน… ก็ยังเหมือนวันนี้   แนวคิดของแคมเปญเริ่มจากคำถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อ 5 ล้านปีก่อน แล้วพบว่าปัญหาของสังคมไทย… ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย?” จึงเกิดเป็นหนังโฆษณา ‘Gambolกล้าแตะ’ ที่เล่าเรื่องราวของลิงดึกดำบรรพ์ในสังคมที่เงียบเฉย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแตะ แม้จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้น “ไม่ถูกต้อง”   จนกระทั่งลิงตัวหนึ่งได้รับ “รองเท้าแตะ Gambol” ที่ตกลงมาจากฟ้า และเลือกที่จะ ‘ถอดมันออกแล้วปาใส่ปัญหา’ แทนที่จะเดินหนี   3 ตอน 3 ปัญหาสังคม   ตอนแรก คลิกชมตอนแรก ‘ลิงใช้ความรุนแรง’ ขึ้นชื่อว่าเรื่องของผัวเมียคนอื่นอย่ายุ่ง ภาพนี้มีให้เห็นจนชินตาในสังคม ลิงสามีจิกหัวภรรยา ต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม   จนกระทั่งลิงที่ใส่ Gambol ตัดสินใจ Gambol เพื่อหยุดความรุนแรงนั้น เมื่อลิง ที่รุนแรงได้ลองใส่รองเท้า Gambol ได้สัมผัสเทคโนโลยี G-Bold ทำให้เท้าสบาย สมองก็ผ่อนคลาย ความโกรธก็ค่อย ๆ หายไป สติกลับมา พร้อมคำขอโทษที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน   ตอนสอง   คลิกชมตอนสอง ‘ลิงนักเผา’ ความเดือดร้อนที่มักถูกอ้างว่าทำในพื้นที่ของตัวเอง แต่ผลกระทบเป็นวงกว้าง ลิงนักเผา ที่จุดไฟในที่ของตัวเอง โดยไม่แคร์ว่าควันจะลอยไปทำลายสุขภาพของทุกตัวในถ้ำ ทุกคนเงียบได้แต่บ่น   จนกระทั่งมี Gambol ลอยเข้าไปชนปัญหา และหลังจากที่ลิงนักเผาได้ใส่รองเท้า เขาก็เปลี่ยนไป และยอมรับผิดด้วยเสียงที่ทุกคน อยากได้ยิน   ตอนสาม   คลิกชมตอนสาม ‘ลิงนักการเมือง’ คอร์รัปชั่น การโกงกิน ค่าหัวคิว เรื่องผิดที่ใครๆ ก็หลับตาข้างนึง ลิงผู้นำแจกข้าวโพดจากการเก็บเกี่ยวให้พรรคพวกตัวเองเยอะกว่าคนอื่น ลิงชาวบ้านได้แต่มอง แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมา   จนกระทั่งมีลิงตัวหนึ่ง เสนอรองเท้า Gambol ที่ดูดีให้กับลิงผู้นำ และเมื่อลิงนักการเมืองได้สัมผัสร้องเท้า Gambol ความคิดก็เปลี่ยนไป พร้อมสารภาพผิดต่อลิงชาวบ้านทุกตัว   เมื่อเท้าสบาย ความคิดก็เปลี่ยน   พร้อมกับที่ YMD ยังต้องการสะท้อนถึง ‘หัวใจ’ ของแคมเปญนี้ คือ แนวคิดเรียบง่ายแต่ชัดเจน ‘เมื่อเท้าสบาย สมองก็ผ่อนคล้าย พร้อมกล้าแตะในสิ่งที่ควร’ เพราะรองเท้าจาก Gambol มาพร้อม 2 เทคโนโลยีตามที่ ‘เอเยนซี่’ ได้รับโจทย์มาจากแกมโบล ที่ต้องการ ‘ขาย’ นวัตกรรมรองเท้าแตะ อย่าง   G-Bold™: หูหนีบนุ่มทนแรงกระชาก ใส่สบาย พร้อมด้วยพื้นยางกันลื่น G-Reflex™: เบา สะท้อนน้ำ แห้งไว้ ไม่อับชื้น นุ่มใส่สบาย   พร้อมย้ำชัดๆ ว่าทั้งคู่ไม่ใช่แค่เรื่องของความสบายทางกาย แต่คือจุดเริ่มต้นของความกล้าทางความคิด   Tagline ที่ชวนคิด: ‘กล้าแตะ’   ‘กล้าแตะ’ สื่อถึงทั้งความกล้าที่จะใส่รองเท้าแตะ Gambol ไปได้ทุกที่ และความกล้าที่จะ “แตะ” ประเด็นที่สังคมไม่กล้าแตะ เป็นทั้งสัญลักษณ์ของความสบาย และการเปลี่ยนแปลงทางความคิด   โดยแคมเปญนี้ถ่ายทอดผ่านฝีมือของ ‘เอ๋ Suneta’ ผู้กำกับแนวหน้า ที่มีผลงานโฆษณาดัง ๆ มากมาย โดยที่โฆษณาชุดนี้ ผสมผสานความเป็นภาพยนตร์กับอารมณ์ขันและความจริง อย่างลึกซึ้ง อีกด้วย   บทสรุป Gambol เปิดตัวแคมเปญ “กล้าแตะ” ผ่านหนังสั้น 3 ตอน สะท้อนปัญหาสังคมไทยด้วยอารมณ์ขัน ที่หยิบเรื่องราวของลิงดึกดำบรรพ์ที่กล้าลุกขึ้นเปลี่ยนแปลง ด้วยพลังจากรองเท้าแตะ Gambol ทั้งประเด็น ความรุนแรง, การเผาป่า และคอร์รัปชัน มานำเสนออย่างสร้างสรรค์ และขายของไปพร้อมกันด้วยเทคโนโลยี G-Bold™ และ G-Reflex™ ที่ใส่สบายจนเปลี่ยนความคิดได้ “กล้าแตะ” สื่อถึงความกล้าในใจ และการกล้าลงมือเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และ กล้าที่จะสวมใส่แกมโบล เพื่อ ‘แตะ’ ทุกปัญหาที่ยังพบเจอ ในวันนี้

April 18, 2025 / 0 Comments
read more

ETRO แบรนด์แฟชั่นหรูจากมิลาน แลนดิ้ง ‘ภูเก็ต’ เปิดตัว ETRO RESIDENCES แห่งที่ 2 ของโลก

BizKet

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ยังคงความร้อนแรงไม่พัก ล่าสุด ‘ETRO’ แบรนด์แฟชั่นระดับไอคอนจากอิตาลี ที่มีซิกเนอเจอร์ลวดลายหยดน้ำเพสลีย์ ‘Paisley’ ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้ง   ด้วยการประกาศเตรียมเปิดตัวโครงการ ‘ETRO RESIDENCES PHUKET’ ริมหาดลายัน หนึ่งในโลเคชันที่สวยงามและเป็นส่วนตัวที่สุดของเกาะ กับโครงการสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเพียง 8 ยูนิตเท่านั้น   การเข้ามาของ ETRO ในครั้งนี้ยังพร้อมปักหมุดให้เป็น Fashion Branded Residences แห่งแรกของภูเก็ต และเป็นโครงการ ETRO RESIDENCES แห่งที่สองของโลก ต่อจากอิสตันบูล และแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกด้วย   ‘ฟาบริซิโอ คาร์ดินาลี’ (Fabrizio Cardinali) ซีอีโอของ ETRO เปิดเผยเบื้องหลังการเลือก ภูเก็ต เป็นที่ตั้งของโครงการ ETRO RESIDENCES แห่งที่สองของโลก ต่อจากเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยกล่าวว่า   “หลังจากเปิดตัว ETRO RESIDENCES ISTANBUL ซึ่งเป็น Branded Residence แห่งแรกของแบรนด์เมื่อปีที่ผ่านมา ETRO ก็ได้เดินหน้าขยายโลกแห่งไลฟ์สไตล์ลักชัวรีไปยังจุดหมายใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นคือภูเก็ต”   “เราพิจารณาข้อเสนอจากผู้พัฒนาหลายรายในหลากหลายเมืองทั่วโลก  และสุดท้าย ภูเก็ต คือ คำตอบที่ลงตัวที่สุด ทั้งความน่าเชื่อถือของพันธมิตร ความโดดเด่นของตัวโครงการและทำเลโดยรอบ ตลอดจนความสอดคล้องกับจิตวิญญาณของแบรนด์ ETRO ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”   นอกจากนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย และภูเก็ต กำลังเติบโตขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรีทั่วโลก   คาร์ดินาลี กล่าวอีกว่า แม้ ETRO จะอยู่ภายใต้แนวคิด Branded Residence เช่นเดียวกับโครงการแรกในอิสตันบูล แต่ ETRO RESIDENCES PHUKET ก็มาพร้อมบริบทที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ถือเป็นการก้าวออกจากความเป็นมหานคร สู่โลกที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์ รายล้อมด้วยหนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุดในโลก   “ETRO เป็นแบรนด์ที่เต็มไปด้วยมิติและแรงบันดาลใจจากศิลปะและวัฒนธรรม เราเริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตสิ่งทอ และลวดลายซิกเนเจอร์ของเราอย่าง Paisley ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ การนำรากเหง้าของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นผืนผ้า เฟอร์นิเจอร์ หรือแนวคิดด้านศิลปะ มาผสานเข้ากับธรรมชาติอันน่าทึ่งของโครงการ GARDENS OF EDEN ในภูเก็ต ถือเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นของไลฟ์สไตล์ในแบบฉบับ ETRO” คาร์ดินาลี กล่าวเสริม   เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า ETRO RESIDENCES PHUKET แต่ละยูนิต ไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่เป็นการตีความโลกของ ETRO ออกมาในรูปแบบที่จับต้องได้ ถ่ายทอดประสบการณ์ที่หลอมรวมความงดงาม ความสบาย และความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งกับธรรมชาติรอบตัวไว้อย่างกลมกลืน     ‘ยูนิต’ แฟชั่นแห่งความสง่าสาม     ยานา ชูวาโลวา (Yana Chuvalova) ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อมอล กรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการ Gardens of Eden ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีในภูเก็ต เปิดเผยว่า ETRO RESIDENCES PHUKET ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ GARDENS OF EDEN ถือเป็นโครงการ Fashion Branded Residence แห่งแรกของภูเก็ต โดยผสานโลกแห่งไฮแฟชั่นกับอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีบนทำเลที่เต็มไปด้วยความงดงามทางธรรมชาติและความนิยมที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในหมู่ผู้ซื้อระดับโลก   โครงการนี้มีเพียง 8 ยูนิตเท่านั้น พัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียมหรู ขนาด 220–420 ตารางเมตร แบ่งเป็นแบบ 3 ห้องนอน, แบบดูเพล็กซ์ (2 ชั้น) และเพนท์เฮาส์   ขณะที่ทุกยูนิตมาพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว ตั้งอยู่ในอาคารสูง 3 ชั้น จำนวน 2 อาคาร บนทำเลริมชายหาด มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าลงทะเบียนใน waiting list แล้วถึง 10 ราย   “ความต้องการที่อยู่อาศัยระดับลักซูรี่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเราเริ่มเห็นแนวโน้มใหม่ที่ผู้ซื้อมองหา Branded Residences ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแบรนด์โรงแรมอีกต่อไป แต่รวมถึงแบรนด์แฟชั่นระดับโลกด้วย หนึ่งในนั้นคือ ETRO แบรนด์แฟชั่นจากอิตาลีที่มีชื่อเสียงด้านการใช้สีสันอันโดดเด่นและดีไซน์เหนือกาลเวลา ซึ่งเข้ากันได้อย่างลงตัวกับเสน่ห์ของภูเก็ต” ชูวาโลวา กล่าว   เธอกล่าวเสริมว่า ETRO ไม่ใช่เพียงแค่แบรนด์แฟชั่นเท่านั้น หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์ที่มีความสง่างาม โดยนอกเหนือจากเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ แบรนด์ยังขยายโลกแห่งดีไซน์ให้ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ น้ำหอม ของตกแต่งบ้าน แว่นตา และเฟอร์นิเจอร์   สำหรับโครงการ GARDENS OF EDEN ซึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 73 ไร่ บริเวณหาดลายัน ย่านบางเทา ประกอบด้วยที่พักอาศัยระดับลักชัวรีทั้งหมด 1,294 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวม 315 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท   แบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส โดยเฟสแรกในชื่อ EDEN RESIDENCES มีจำนวน 141 ยูนิต ขนาดเริ่มต้น 75 ตารางเมตร เปิดขายในราคาตั้งแต่ 220,000–350,000 บาทต่อตารางเมตร ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70%   ขณะที่เฟสสองมีจำนวน 452 ยูนิต มียอดขายแล้ว 50% โดยโครงการเริ่มก่อสร้างตั้งแต่กลางปี 2567 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2570   “ลูกค้าของเราในโครงการ GARDENS OF EDEN มาจากทั่วโลก โดยกว่า 80% เป็นผู้ซื้อต่างชาติ ทั้งจากสหราชอาณาจักร รัสเซีย อิสราเอล สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ และประเทศในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนคุ้นเคยกับแบรนด์ ETRO เป็นอย่างดี เราจึงคาดว่า ผู้ซื้อของ ETRO RESIDENCES PHUKET จะมาจากรัสเซีย สหราชอาณาจักร และยุโรปเป็นหลัก” ชูวาโลวา กล่าว     สัมผัสเทสต์อยู่อาศัยแฟชั่นหรู ETRO   มิเคเล กัลลี (Michele Galli) ซีอีโอ เดอะ วัน อะเทอลิเยร์ (The One Atelier) ผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบโครงการ Branded Residence และผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบ ETRO RESIDENCES PHUKET รวมถึงความร่วมมือระหว่างแบรนด์ ETRO และอมอล กรุ๊ป เปิดเผยว่า ที่พักทั้ง 8 ยูนิตของโครงการจะได้รับการตกแต่งภายในด้วย ETRO HOME INTERIORS คอลเลกชันเฟอร์นิเจอร์ของแบรนด์ที่ถ่ายทอด DNA อันเป็นเอกลักษณ์ของ ETRO ผ่านการออกแบบที่โดดเด่น ด้วยการผสมผสานลวดลาย สีสัน และพื้นผิวที่หลากหลายอย่างมีชั้นเชิง   ภาพประกอบ- https://etrohomeinteriors.onirogroup.it/   “ETRO RESIDENCES PHUKET เปรียบเสมือนหน้าต่างที่เปิดไปสู่อนาคตของการอยู่อาศัยระดับลักชัวรี เพราะ Branded Real Estate ในปัจจุบันไม่ได้หมายถึงแค่ความงามทางสถาปัตยกรรมอีกต่อไป แต่เป็นการผสานองค์ประกอบของบริการระดับโรงแรม ความเป็นส่วนตัว และประสบการณ์ด้านเวลเนสเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อระดับโลกที่มีรสนิยมเฉพาะตัวอย่างแท้จริง” กัลลี กล่าว   เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า หน้าที่ของผู้ออกแบบไม่ใช่แค่การสร้างพื้นที่ที่สวยงาม แต่คือการรังสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ก้าวข้ามความคาดหวัง มอบทั้งความเป็นส่วนตัวและมุมมองใหม่ของการใช้ชีวิตอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะกับ ETRO RESIDENCES PHUKET ที่ได้รับการออกแบบให้ทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่วิสัยทัศน์ทางสถาปัตยกรรมไปจนถึงรายละเอียดเล็กที่สุดของการตกแต่งภายใน ล้วนสะท้อนตัวตนของแบรนด์ ETRO ได้อย่างสมบูรณ์แบบและแตกต่างอย่างแท้จริง ภาพประกอบ- https://etrohomeinteriors.onirogroup.it/   “ตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นที่จับตามองในระดับโลก โดยเฉพาะในกลุ่มแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี ซึ่งปัจจุบันไม่ใช่แค่แบรนด์โรงแรมเท่านั้นที่เข้ามาในตลาดนี้ แต่ยังรวมถึงแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ชื่อดังด้วย โดย ETRO ถือเป็นแบรนด์แฟชั่นลักชัวรีรายแรกที่เปิดตัวโครงการในภูเก็ตในรูปแบบ Branded Residence และคาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำอย่างน้อยอีก 3 รายตามเข้ามา” กัลลี กล่าวเสริม ภาพประกอบ- https://etrohomeinteriors.onirogroup.it/   ทำความรู้จัก ETRO   ETRO ก่อตั้งขึ้นที่เมืองมิลานโดย เจโรลาโม เอทโทร (Gerolamo Etro) ในปี พ.ศ. 2511 แบรนด์นี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในด้านงานฝีมืออันประณีตและความคิดสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์   โดยมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทั้งเสื้อผ้าสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี เครื่องประดับ ของแต่งบ้าน น้ำหอม และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ยังได้ขยายสู่คอลเลกชันสำหรับเด็กและแว่นตาอีกด้วย   หลังจากดำเนินกิจการภายใต้การบริหารของครอบครัวเอทโทรมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นผู้สร้างอัตลักษณ์และดีเอ็นเอเฉพาะตัวของแบรนด์ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท แอล แคทเทอร์ตัน (L Catterton) ได้เข้าซื้อหุ้นใหญ่ใน ETRO ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 มาร์โก เด วินเชนโซ (Marco De Vincenzo) ได้รับการแต่งตั้งเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ ดูแลภาพรวมของทุกไลน์ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ โดยมีวิสัยทัศน์ในการเฉลิมฉลองความเป็นปัจเจกบุคคลอย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับการให้ความเคารพต่อรากเหง้าของแบรนด์และความงดงามของงานฝีมือแบบอิตาเลียน   ETRO ขยายการดำเนินงานผ่านร้านค้าปลีกกว่า 160 สาขาในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมยุโรป อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยตั้งอยู่ในเมืองสำคัญที่เป็นศูนย์กลางของการช้อปปิ้งระดับโลก อาทิ มิลาน ลอนดอน ปารีส ดูไบ นิวยอร์ก ปักกิ่ง และโตเกียว นอกจากนี้ ETRO ยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ร้านค้าในสนามบิน และตัวแทนจำหน่ายระดับสากลที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน   บทสรุป  ตลาดอสังหาริมทรัพย์ลักซูรีในภูเก็ตยังร้อนแรงไม่หยุด ล่าสุดแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ETRO เตรียมเปิดตัวโครงการ ETRO RESIDENCES PHUKET ริมหาดลายัน ด้วยจำนวนเพียง 8 ยูนิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนแนวคิด Fashion Branded Residence แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดดเด่นด้วยดีไซน์ร่วมสมัยที่ถ่ายทอดตัวตนของแบรนด์อย่างลึกซึ้ง พร้อมเปิดประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ผสานศิลปะ แฟชั่น และธรรมชาติไว้อย่างลงตัว โดยมียอดจองล่วงหน้าแล้วเกินจำนวนยูนิตในโครงการ.      

April 16, 2025 / 0 Comments
read more

ชมอาร์ต แกลฯพร้อมเข้าสู่จักรวาลมูรากามิ บนเคสมือถือ TAKASHI MURAKAMI x CASETiFY

WeView

CASETiFY ชวนสายอาร์ตดื่มด่ำผลงานของ ‘ทาคาชิ มุราคามิ’ ศิลปินชาวญี่ปุ่น ผ่านคอนเซปต์ MURAKAMI WORLD ธีมสวนสนุกหรรษา ในคอลเล็กชั่นเคสสมาร์ทโฟน ที่สร้างสถิติรอคิวซื้อมากที่สุด ทากาชิ มูรากามิ (Murakami Takashi) ศิลปินชาวญี่ปุ่น หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของ ©MURAKAMI เจ้าของผลงานศิลปะแสนขบถในยุคแรกๆของเขาที่ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง อย่างผลงาน ‘HIROPON’ และ ‘My Lonesome Cowboy’ ที่สร้างชื่อให้กับ ‘มูรากามิ’ จนได้รับสมญานามว่า ราชาแห่งโอตาคุ ‘Otaku King’  ที่ต่อมาเขาได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะออกมาอีกมากมาย และต่อยอดสู่การทำงานออกแบบในรูปแบบคอลเล็กชั่นร่วมกับแบรนด์สินค้าต่าง ๆ ส่วน ‘CASETiFY’ (เคสทิฟาย) แบรนด์อุปกรณ์เสริมสำหรับสมาร์ทโฟน ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 โดย ‘Wesley NG’ ในฮ่องกง กับการวางตำแหน่งแบรนด์ธุรกิจไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านเคสโทรศัพท์และอุปกรณ์เทคโนโลยีที่สามารถปรับแต่งได้ ด้วย ที่มาเกิดจากแรงบันดาลใจในแอป Instagram จุดประกายให้ผู้ก่อตั้งนำภาพถ่ายมาสร้างสรรค์ดีไซน์เคสโทรศัพท์ที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยเคสขนาดมาตรฐานและดีไซน์จำเจ ทำให้ CASETiFY โดดเด่นขึ้นมาในฐานะแบรนด์ที่ฉีกกรอบเดิม ๆ ได้อย่างชัดเจน การทำตลาดของ CASETiFY ยังมาพร้อมด้วยโมเดลจำหน่ายผ่านออนไลน์ โดยสิ่งที่สร้างจุดเด่นให้กับแบรนด์ คือ การเปิดให้ลูกค้าออกแบบเคสในแบบของตัวเองได้อย่างอิสระ ทั้งเลือกสี ลวดลาย ไปจนถึงการใส่ข้อความส่วนตัว ปัจจุบัน CASETiFY มีทั้งบริการออนไลน์และหน้าร้าน ‘CASETiFY Studio’ กว่า 18 แห่งทั่วโลก โดยในปี 2020 ทำรายได้กว่า 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตั้งเป้าทะยานสู่รายได้ 3,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดยในปัจจุบัน ยังเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไลฟ์สไตล์และเครื่องประดับตกแต่งอุปกรณ์ไอทีที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สินค้าของ Apple และ Samsung ล่าสุดเมื่อโลกของศิลปะมาพบกับเทคโนโลยีไลฟ์สไตล์ ด้วยการคอลแล็บส์ระหว่าง ทากาชิ มูรากามิ และ CASETiFY ในคอลเลกชั่น TAKASHI MURAKAMI x CASETiFY มาพร้อมกับกระแสไวรัลไปทั่วโลก ด้วยปรากฎการณ์ทุบสถิติรอคิวซื้อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ CASETiFY ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมชวนสายอาร์ตและเทคโนโลยีแก็ดเจ็ต เข้าสุ่โลกของมูรากามิ ‘MURAKAMI WORLD’ ธีมสวนสนุกที่อบอวลไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวา สร้างความตื่นตาตื่นใจกับอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีดีไซน์ใหม่ล่าสุด ไปจนถึงไอเท็ม CASETiFY Travel ที่ศิลปินออกแบบเองเป็นครั้งแรก และ ‘กรอบล้อมกล้องสีขาว’ ไอเท็มหายากที่สร้างสรรค์ขึ้นเฉพาะคอลเลกชั่น iCONS ครั้งนี้เท่านั้น โดยเริ่มต้นการผจญภัยจากไอคอนตัวแรก ‘MR. DOB’ โดยแต่ละคอลเลกชั่นจะเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันในจักรวาลศิลปะของมุราคามิ ที่ถ่ายทอดการเดินทางของเขาให้เป็นประสบการณ์ศิลปะแสนสนุก ที่เต็มไปด้วยพลังงานและความรื่นเริงเหมือนงานคาร์นิวัล ทาคาชิ มุราคามิ กล่าวว่า “ผมดีใจมากที่ MURAKAMI WORLD ได้รับกระแสตอบรับอย่างดี และตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นงานศิลปะของผมกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน ซึ่งผมหวังว่าจะมอบประสบการณ์ศิลปะสุดพิเศษที่ไม่เหมือนใครให้กับทุกคนได้อย่างลงตัว” ด้าน เวส อึ้ง (Wes Ng) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง CASETiFY กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้ไม่ใช่แค่งานร่วมกับศิลปินแบบเดิม ๆ  แต่ก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยมีมา จากกระแสความต้องการสุดท่วมท้นทั่วโลกแสดงให้เห็นชัดว่าผู้คนต้องการสัมผัสศิลปะในชีวิตประจำวันในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งเรากำลังร่วมกับ ทาคาชิ มุราคามิ ปฏิวัติการผสมผสานระหว่างศิลปะ เทคโนโลยี และการแสดงออกส่วนตัวให้น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม” สำหรับงานเปิดตัว MURAKAMI WORLD จัดขึ้นที่ LANDMARK ฮ่องกงไปเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และพร้อมเปิดให้เป็นเจ้าของพร้อมกันทั่วโลกบนแพลตฟอร์มออนไลน์ casetify.com/co-lab/takashi-murakami และ CASETiFY STUDiO สาขาที่กำหนด บทสรุป  CASETiFY จับมือศิลปินดัง “ทากาชิ มุราคามิ” เปิดจักรวาลศิลปะสุดสดใสในคอลเลกชัน TAKASHI MURAKAMI x CASETiFYดึงคาแรกเตอร์สุดไอคอนิกอย่าง MR. DOB มาอยู่บนเคสมือถือและอุปกรณ์เสริมไอทีสุดล้ำ ได้สร้างกระแสไวรัลและปรากฏการณ์รอคิวซื้อสูงสุดในประวัติศาสตร์แบรนด์ มาเติมชีวิตให้เทคโนโลยีด้วยความสนุกแบบสวนสนุกผ่านธีม “MURAKAMI WORLD”วางจำหน่ายทั้งออนไลน์และ CASETiFY STUDIO ทั่วโลก ตั้งแต่ 11 เมษายน 2568  

April 13, 2025 / 0 Comments
read more

รีวิวการเดินทางสไตล์ ‘อาย-กมลเนตร’ พาเที่ยวแบบธรรมชาติให้สุด แล้วหยุดที่ฮ่องกง

WeView

นักแสดงสาวผู้รักการผจญภัย ‘อาย- กมลเนตร เรืองศรี’ อาสาพาผู้ชมชาวไทยไปรู้จักของดีฮ่องกงในอีกมุม กับ hiking ใหม่ล่าสุดในอุทยาน Robin’s Nest Country Park ที่เพิ่งเปิดใหม่ทางตอนเหนือของฮ่องกง โดยอาย-กมลเนตร กล่าวถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติตลอดทุกก้าวเดิน และความประทับใจส่วนตัวจากการได้ขึ้นไปเดินเขาที่ อุทยาน Robin’s Nest Country Park  ไว้ว่า “เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมา Hiking ที่ฮ่องกง เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่สำหรับการเที่ยวฮ่องกงของอายแบบสุดๆ เลยค่ะ” ขณะที่เส้นทางที่อายได้มาเดินครั้งนี้ยังเป็นเส้นทางใหม่ที่เพิ่งเปิดให้คนทั่วไปขึ้นไปเดินด้วย นั่นก็คือ อุทยาน Robin’s Nest Country Park ซึ่งด้านบนมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ มีต้นไม้ ดอกไม้ และนกสวยๆ ให้ชมตลอดทาง และถ้ามองออกไปเราก็จะได้เห็นวิวของเซินเจิ้นอีกด้วยค่ะ อายดีใจและตื่นเต้นมากๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญนี้ที่จะพาคนไทยไปรู้จักฮ่องกงในมุมที่สวยงามแบบที่หลายคนคิดไม่ถึง แคมเปญที่ อาย-กมลเนตรกล่าวถึงเกิดจากการชูจุดเด่นของฮ่องกงที่ผสมผสานความเป็นธรรมชาติเข้ากับความเป็นเมืองได้อย่างลงตัว ของการท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board: HKTB) ที่นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางเว็บไซต์ Hong Kong Great Outdoors ผ่านซีรีส์สี่ภาพยนตร์สั้นล่าสุดภายใต้ชื่อ “สี่มุมแห่งประสบการณ์ใหม่ในฮ่องกง” ซึ่งจะพาผู้ชมผจญภัยแบบเอาท์ดอร์ ขึ้นเขา ลงห้วย ดำน้ำไปทั่วทั้งตอนเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก เผยแพร่ความงามของทัศนียภาพหลากหลาย ประกาศศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในฮ่องกง ปักหมุดกิจกรรม ตามรอยแหล่งเที่ยว จากซีรีส์ภาพยนตร์สั้น “สี่มุมแห่งประสบการณ์ใหม่ในฮ่องกง” ฮ่องกงเหนือ – อัญมณีทางประวัติศาสตร์ กิจกรรม: เดินป่า ขึ้นเขา สถานที่: อุทยาน Robin’s Nest Country Park ‘อาย กมลเนตร เรืองศรี’ พาไปทัวร์อุทยาน Robin’s Nest Country Park ที่เพิ่งเปิดใหม่ทางตอนเหนือของฮ่องกง ในรูปแบบ Vlog ที่เป็นกันเอง โดยอายจะพาไปเจาะลึกประวัติศาสตร์อันยาวนานของพื้นที่ เยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ เช่น เหมืองตะกั่ว Lin Ma Hang Lead Mine ที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งจะพาผู้ชมย้อนกลับไปดูการหาเลี้ยงชีพของผู้คนในอดีต และพาไปดูซากป้อมปราการของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ Ah Kung Kok และ Shan Tsui รวมถึงป้อม MacIntosh Forts (Kong Shan) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ได้รับการยกย่องว่ามีความน่าสนใจทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ในระดับ 2 (Grade II) ตามแนวชายแดนที่เชื่อมต่อกับประเทศจีน นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายของอายในขณะที่เธอวาดภาพดอกกุหลาบพันปีสีแดงอันแสนงดงามและทิวทัศน์สุดประทับใจของภูเขา Shenzhen Wutong ลิงก์วิดีโอ: https://www.youtube.com/watch?v=NVv4zr5SR2o ฮ่องกงตะวันออก – เส้นทางมรดกโลก กิจกรรม: HK100 – การแข่งขันวิ่งเทรลอันดับหนึ่งของเอเชีย ตามรอยเท้านักวิ่งเทรลระดับแนวหน้าจากการแข่งขันมาราธอน Hong Kong 100 Ultra ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตื่นตาตื่นใจไปกับแนวชายฝั่งและอากาศอันบริสุทธิ์ของอ่าวทั้งสี่ของ Tai Long Wan และ Hoi Ha ทำให้ Sai Kung ได้รับการขนานนามว่าเป็นสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบของฮ่องกง ลิงก์วิดีโอ: https://www.youtube.com/watch?v=sCEDHZduoVs ฮ่องกงใต้ – ธรรมชาติใกล้นิดเดียว กิจกรรม: ผจญภัยวันเดียวเที่ยวหลายเกาะ (Island-hopping) พายเรือคายัคที่ Stanley Main Beach ถ่ายเซลฟี่กับหินรูปร่างแปลกตาของเกาะ Po Toi นั่งเรือเฟอร์รี Kaito ไปยัง Ap Lei Chau เพื่อกินอาหารทะเลแสนอร่อยปิดท้ายวัน สถานที่: แนวชายฝั่งฮ่องกง ฮ่องกงตะวันตก – เส้นทางพิชิตยอดเขา กิจกรรม: TransLantau™ by UTMB® – การแข่งขันวิ่งข้ามเกาะที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง นักวิ่งจะต้องข้ามขีดจำกัดของร่างกาย โดยวิ่งไปตามเส้นทางที่ตัดผ่านแลนด์มาร์กที่ไม่ควรพลาด เช่น Big Buddha หรือ Ngong Ping 360 และหมู่บ้านชาวประมง Tai O Fishing Village นับเป็นความท้าทายที่มีทิวทัศน์อันน่าทึ่งของสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดบางแห่งของฮ่องกงเป็นรางวัลตอบแทน ผู้สนใจสามารถรับชมซีรีส์ภาพยนตร์โปรโมต 4 ชุด ได้ทาง Instagram Facebook และ TikTok  รวมถึงแพลตฟอร์ม Xiaohongshu, Douyin และ Weibo ของ HKTB บทสรุป  นักแสดงสาวผู้รักการเดินทาง ‘อาย-กมลเนตร เรืองศรี’ พาเปิดประสบการณ์ใหม่ในฮ่องกง ผ่านแคมเปญ Hong Kong Great Outdoors กับเส้นทางเดินป่าที่เพิ่งเปิดใหม่ใน Robin’s Nest Country Park ที่ผสมผสานธรรมชาติและประวัติศาสตร์ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ซีรีส์ “สี่มุมแห่งประสบการณ์ใหม่ในฮ่องกง” ยังชวนสำรวจเส้นทางอื่น ๆ เช่น การวิ่งเทรล HK100, การพายคายัคตามแนวชายฝั่ง และการแข่งขัน TransLantau™ by UTMB® ชมเรื่องราวและเส้นทางธรรมชาติสวย ๆ ที่หลายคนคาดไม่ถึงได้ทางแพลตฟอร์มออนไลน์ของ Hong Kong Tourism Board

March 22, 2025 / 0 Comments
read more

เลโก้คอลเล็กชั่นพิเศษ LEGO® จำลองรถแข่งระดับตำนานฉลองครบรอบรอบ 75 ปี Formula 1®

Peace&Play

ก่อนอื่นขอพาไปทำความรู้จักกับ LEGO Group บริษัทของเล่นระดับโลกจากเดนมาร์ก ก่อตั้งในปี 1932 โดย โอเล เคิร์ก คริสเตียนเซน (Ole Kirk Christiansen) เป็นที่รู้จักจากตัวต่อ LEGO® อันเป็นเอกลักษณ์ ที่ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ให้กับเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลก   และยังว่ากันว่า เจ้าตัวต่อ LEGO®  ไม่ได้เป็นแค่ของเล่นสำหรับเด็ก แต่ยังสร้างพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทุกวัยทั่วโลก อีกด้วย   ส่วน Formula 1® (F1) คือ การแข่งขันรถยนต์ระดับสูงสุดของโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 1950 ภายใต้การดูแลของ FIA (Fédération Internationale de l’Automobile) โดยเป็นกีฬาความเร็วที่ผสมผสานนวัตกรรม เทคโนโลยี และวิศวกรรมระดับสูงที่สุด   ล่าสุด LEGO และ F1® จับมือเปิดตัว LEGO® F1® คอลเล็กชันปี 2025 เพื่อต้อนรับการครบรอบ 75 ปีของ Formula 1® นำเสนอชุดตัวต่อพิเศษที่จำลองรถแข่งระดับตำนาน รวมถึงสนามแข่งและพิทเลน เพื่อให้แฟน ๆ ได้สัมผัสประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตอย่างสมจริง สำหรับ ชุดตัวต่อหลัก ที่เปิดตัวได้แก่ LEGO® Technic™ 42207 Ferrari SF-24 F1® Car: ชุดตัวต่อ 1,361 ชิ้น พิถีพิถันในการออกแบบที่เทียบเท่ารถต้นแบบ โดดเด่นด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari พร้อมโครงสร้างที่สมจริง เก็บครบทุกรายละเอียด ทั้งระบบแอโรไดนามิก DRS ลดแรงต้านที่ปีกหลัง หรือยางสลิคสกรีนแบรนด์ Pirelli ให้ความตื่นเต้นราวกับอยู่ในสนามแข่ง LEGO® Technic™ 42206 Oracle Red Bull Racing RB20 F1® Car: ถ่ายทอดเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของ Red Bull Racing กับตัวต่อ 1,639 ชิ้น ด้วยสเกล 1:8 พร้อมรายละเอียดเครื่องยนต์ 1,600 cc V6 และเกียร์ 2 สปีดที่ทำให้เห็นกลไกของรถแข่งที่เร็วที่สุดในสนาม ถูกใจทั้งนักสะสมและแฟน F1® LEGO® Speed Champions คอลเลคชั่นรถแข่ง F1® กับครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยคอลเลคชั่นพิเศษ มาครบทุกความเร็วและความแรงในรูปแบบชุดตัวต่อที่น่าสะสมและไม่เคยมีมาก่อน จัดเต็มครบทั้ง 10 ทีม อาทิ LEGO Speed Champions Ferrari SF-24 F1® Race Car – เสริมความแรงด้วยสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari LEGO Speed Champions Oracle Red Bull Racing RB20 F1® Race Car – เจ้าแห่งความเร็วและนวัตกรรม ที่ครองใจแฟนชาวไทยจำนวนมาก LEGO Speed Champions Mercedes-AMG PETRONAS W15 F1® Race Car สะท้อนความเป็นแชมป์โลกด้วยดีไซน์ที่ดุดันและสมจริง LEGO Speed Champions McLaren MCL38 F1® Team Race Car – สีส้มสะกดทุกสายตา สะท้อนเอกลักษณ์ของ McLaren ที่โดดเด่นบนทุกสนามแข่ง LEGO® Technic™ 42207 Ferrari SF-24 F1® Car (1,361 ชิ้น) LEGO® Technic™ 42206 Oracle Red Bull Racing RB20 F1® Car (1,639 ชิ้น) LEGO® Speed Champions คอลเล็กชัน F1® ครบ 10 ทีม   นอกจากนี้ยังมีทีม Aston Martin Aramco, Visa Cash App VCARB 01, KICK Sauber, BWT Alpine, Williams Racing และ MoneyGram Haas มาให้เลือกสะสมรถแข่งของทีมโปรดในดวงใจ หรือเก็บให้ครบทั้งคอลเลคชั่น พร้อมกันนี้ LEGO®  ยังทำคอลเลคชั่นพิเศษที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง   LEGO® DUPLO®  ปลูกฝังความหลงใหลความเร็วด้วยชุดตัวต่อน่ารักสำหรับเด็กเล็ก ที่มาพร้อมจุดปล่อยตัว โพเดียม รถแข่ง 2 คันและนักแข่งตัวจิ๋ว 2 คน LEGO® City F1® Collection ชุดตัวต่อสุดพิเศษที่จะเนรมิตห้องนอนของเด็ก ๆ ให้กลายเป็นสนามแข่งระดับโลก และ LEGO® F1® Collectible Race Cars รถแข่งของนักซิ่งวัยจิ๋ว ที่จะวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมนี้   ต่อการเปิดตัวคอลเล็กชั่นตัวต่อพิเศษในครั้งนี้ ยังเพื่อจุดประกายความหลงใหลใน Formula 1® ให้กับแฟน ๆ รุ่นใหม่ ผ่านการเรียนรู้เรื่องนวัตกรรมและวิศวกรรม พร้อมขยายฐานแฟนมอเตอร์สปอร์ตให้กว้างขึ้นทั่วโลก อีกด้วย   ทั้งนี้ แฟนๆ LEGO®  และ F1® ที่สนใจ สามารถเลือกซื้อคอลเลคชั่น LEGO® F1®  ได้ที่ https://www.bricksthailand.com/f1 และ LEGO Certified Stores ทั้ง 5 สาขา สยามพารากอน, เมกะบางนา, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลเวิลด์ และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป   ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/BricksThailand     Alternate-X สรุปให้   LEGO Group จับมือ Formula 1® เปิดตัวคอลเล็กชัน LEGO® F1® ปี 2025 ฉลอง 75 ปีของการแข่งขัน F1® นำเสนอชุดตัวต่อสุดพรีเมียม เช่น Ferrari SF-24 และ Red Bull RB20 ถ่ายทอดดีไซน์และกลไกรถแข่งสมจริง เปิดตัวคอลเล็กชัน LEGO® Speed Champions ครบ 10 ทีมดัง รวมถึง Ferrari, Red Bull และ Mercedesโปรเจกต์นี้มุ่งขยายฐานแฟนมอเตอร์สปอร์ต และเสริมสร้างการเรียนรู้ด้านวิศวกรรมผ่าน LEGO โดย LEGO F1® เป็นมากกว่าของเล่น แต่เป็นสะพานเชื่อมแฟนความเร็วเข้ากับนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์

March 16, 2025 / 0 Comments
read more

เมื่อสมประโยชน์ร่วมกันสองฝ่าย iPhone 16 ก็ได้ไปต่อในตลาด ‘อินโดนีเซีย’ หลัง Apple จะผลิตชิ้นส่วนในประเทศ

BizKet

เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงการสื่อสารของอินโดนีเซีย ประกาศ ว่าได้ออกใบอนุญาตโทรคมนาคมให้กับ iPhone 16 ทั้ง 5 รุ่นของแอปเปิ้ล ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเปิดทางสู่การจำหน่ายในอินโดนีเซีย หลังจากที่เคยมีการห้ามขายในปีที่ผ่านมา ทั้ง 5 รุ่นที่ได้รับใบอนุญาต ได้แก่ iPhone 16e, iPhone 16, iPhone 16 Plus, iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max การอนุมัติครั้งนี้มีขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่อินโดนีเซียได้ออกใบรับรองสำหรับส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศจำนวน 20 รายการสำหรับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ล ซึ่งรวมถึง iPhone 16 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า แอปเปิ้ลยังคงต้องได้รับใบอนุญาตนำเข้าจากกระทรวงพาณิชย์ เพื่ออนุญาตให้จำหน่าย iPhone 16 ภายในประเทศได้ การห้ามขาย iPhone 16 เมื่อปีที่แล้วเกิดขึ้นหลังจากที่แอปเปิ้ลไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนในประเทศ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการปกป้องทางการค้า เมื่อเดือนที่แล้ว แอปเปิ้ลประกาศแผนลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในอินโดนีเซีย รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนและศูนย์วิจัยและพัฒนา เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ต่อสถานการณ์นี้  หากมองจากสองด้าน ทั้งประเทศอินโดนีเซีย เองได้มีนโยบายส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและลดการพึ่งพาการนำเข้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้ประชาชน เมื่อแอปเปิ้ล ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ อินโดนีเซียจึงสั่งห้ามขาย iPhone 16 ก่อนหน้านี้ แต่หลังจากแอปเปิ้ล  ตกลงที่จะผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศและได้รับใบรับรองสำหรับส่วนประกอบที่ผลิตในอินโดฯ อินโดนีเซียจึงผ่อนปรนนโยบายและออกใบอนุญาตให้ iPhone 16 กลับมาวางขายได้ มาดูกันว่า ทำไมแอปเปิ้ล ยอมที่จะตั้งโรงงานผลิตโดยตัดสินใจลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในอินโดนีเซีย  เข้าถึงตลาดที่มีประชากรมาก – อินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 270 ล้านคน และมีกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ลดอุปสรรคทางการค้า – หาก Apple ไม่ตั้งโรงงาน อาจเผชิญข้อจำกัดด้านภาษีและกฎหมายที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ขายยากขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน – การกระจายฐานการผลิตไปยังหลายประเทศช่วยให้ Apple ลดความเสี่ยงจากข้อพิพาททางการค้า (เช่น ความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ) ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ – การผลิตในประเทศช่วยให้ แอปเปิ้ล ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอินโดนีเซียและเพิ่มความภักดีของผู้บริโภค บทสรุป อินโดนีเซียไฟเขียวให้จำหน่าย iPhone 16 หลังสั่งแบนไปนานกว่าปี โดย แอปเปิ้ลได้รับใบอนุญาตโทรคมนาคมสำหรับ iPhone 16 ทั้ง 5 รุ่น การอนุมัติครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากแอปเปิ้ลลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในประเทศ พร้อมสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนและศูนย์วิจัย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซียย้ำว่า แอปเปิ้ล ยังต้องขอใบอนุญาตนำเข้าเพื่อวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยเรื่องนี้ยังเป็นการเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียกับแอปเปิ้ล ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแอปเปิ้ล ได้ตลาดกลับคืนมา ขณะที่อินโดนีเซียได้รับการลงทุนและการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตอิเล็กทรอนิกส์

March 16, 2025 / 0 Comments
read more

นโยบาย ซีอีโอใหม่ ‘Tinder’ ห่วงภาพแอปปัดหาคู่เกมล่าแต้มสู่แพลตฟอร์มสร้างคอนเนคชั่น-พื้นที่แห่งการเชื่อมต่อ

BizKet

สเปนเซอร์ ราสคอฟฟ์ ซีอีโอคนใหม่ของแมตช์ กรุ๊ป อิงค์ (Match Group Inc.) ผู้ดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มจับคู่ออนไลน์ ‘ทินเดอร์’ (Tinder) และในเครือมากกว่า 45 บริษัท ระบุการปรับกลยุทธ์เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งโดยตรง โดยจะมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การลงทุนในตลาดที่มีการเติบโต และการสร้างช่องทางให้พนักงานสามารถแบ่งปันแนวคิดกับทีมผู้บริหารอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในแอปหาคู่ที่เป็นดาวเด่นของบริษัท ราสคอฟฟ์กล่าว ในบันทึกข้อความถึงพนักงานที่เผยแพร่บนลิงค์อินเมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) ว่า “แอปของเราให้ความรู้สึกเหมือนเกมเก็บแต้มแทนที่จะเป็นสถานที่แห่งการเชื่อมต่อ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเราคำนึงถึงตัวชี้วัดมากกว่าประสบการณ์ ซึ่งสิ่งนี้ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง” การปรับปรุงครั้งนี้ยังรวมถึงการขยายการใช้งาน AI ในแอปหาคู่ทินเดอร์ (Tinder) และฮินจ์ (Hinge) โดยจะเปิดช่องทางให้พนักงานสามารถให้ข้อเสนอแนะที่ตรงไปตรงมา พร้อมทั้งคาดหวังการทำงานร่วมกันในสำนักงานเพื่อช่วยให้บริษัทดำเนินการได้เร็วขึ้นและมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายได้ดีขึ้น ทั้งนี้ โฆษกของแมตช์ กรุ๊ปปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลดตำแหน่งงานหรือการเพิ่มวันทำงานในสำนักงานตามคำกล่าวของซีอีโอคนใหม่ บทสรุป  ซีอีโอใหม่ของ Match Group Inc. สเปนเซอร์ ราสคอฟฟ์ ประกาศปรับกลยุทธ์ Tinder จากแอปหาคู่สู่แพลตฟอร์มสร้างคอนเนคชั่นที่แท้จริง ลดภาพลักษณ์เกมเก็บแต้ม พร้อมขยายการใช้ AI เพื่อพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ ราสคอฟฟ์ย้ำถึงการเปิดกว้างให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดและทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ แม้โฆษกของบริษัทจะไม่ยืนยันเรื่องการลดตำแหน่งงาน แต่มีแนวโน้มเน้นการทำงานในสำนักงานมากขึ้น

March 16, 2025 / 0 Comments
read more

คนรุ่นใหม่ใช้ของอร่อย ‘ฮีลใจ’ ทำให้ อายิโนะโมะโต๊ะ ปรับตัวพร้อมใช้เป็นกลยุทธ์เจาะตลาดอูมามิ ในไทย

BizKet

อายิโนะโมะโต๊ะในไทย อยู่ไทยมา 58 ปีในปัจจุบัน ที่ยังต้องไปต่อในตลาดส่วนผสมอาหารเพิ่มรสชาติ เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ให้จดจำความร่วมสมัยของแบรนด์ต่อเนื่อง ด้วยกระแส ‘รักตัวเอง’ (Self-Love) ผ่านแคมเปญใหม่ พร้อมคอลแล็บส์แบรนด์ทำไอศกรีม มาเรียกร้องความสนใจ ‘กินอร่อย ใจก็ดีขึ้น’ สื่อสารตรงใจผู้บริโภคยุคใหม่ เกศยา ชัยชาญชีพ กรรมการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ทำตลาดภายใต้แนวคิด ‘การสร้างความกินดีมีสุข’ ผ่านแคมเปญ ‘กินอร่อย ใจก็ดีขึ้น’ (Eating is a Miracle) เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันกลับมาใส่ใจตัวเอง โดยเริ่มต้นง่าย ๆ จากมื้ออาหารที่อร่อยและมีคุณค่า พร้อมทำภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์เพื่อสร้างกระแสและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น รุกหมดการตลาดออฟไลน์-ออนไลน์ โดย บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์การตลาดควบคู่ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยจัดกิจกรรมออฟไลน์ในงาน ‘Eating is a Miracle by Ajinomoto’ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งดึงดูดผู้เข้าร่วมงานกว่า 2,000 คน พร้อมไฮไลต์ของงาน คือ ฟู้ดทรัคร้านอาหารตาม (ใจ) สั่ง ที่นำเมนูจากหนังโฆษณามาสู่โลกจริง โดยมีเชฟชานนท์ เรืองศรี จากมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซัน 3 ร่วมสร้างสรรค์เมนูพิเศษ ‘บะหมี่หม่าล่า’ เพื่อเติมความสุขให้ผู้ร่วมงาน นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์และศิลปินกว่า 40 ราย อาทิ ต้าห์อู๋ – พิทยา แซ่ฉั่ว และ ออฟโรด – กันตภณ จินดาทวีผล เพื่อสร้างความไวรัลและขยายการรับรู้ของแคมเปญ พร้อมกิจกรรม ‘ร้านชำตาม (ใจ) สั่ง’ ให้ร่วมเล่นเกมรับผลิตภัณฑ์จากอายิโนะโมะโต๊ะ และมุมฮีลใจผ่านบอร์ดระบายความในใจและ Live Well Photobooth ไอศกรีมอูมามิ 5 รสชาติ ก็มา ขณะเดียวกัน เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ อายิโนะโมะโต๊ะได้ร่วมมือกับ Guss Damn Good พัฒนาไอศกรีมอูมามิ 5 รสชาติสุดพิเศษ ประกอบด้วย ชาไทย (Thai Tea) นม คาราเมล บิสกิต (Milk Caramel Salted Butter Biscuit) ส้มยูซุ (Yuzu) กาแฟคาราเมล ครันช์ (Coffee Caramel Crunch) ซอร์เบต์ เบอร์รี่ สเวิร์ล อะมิโน แอซิด (Sorbet Berry Swirl Amino Acid) นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มบูสต์พลังใจ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างสีสันและกระแสให้กับแคมเปญฯ นี้ด้วย ขยายการรับรู้ทั้ง Roadshow-ออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น อายิโนะโมะโต๊ะได้จัด Roadshow ฟู้ดทรัคร้านอาหารตาม (ใจ) สั่ง เดินทางไปตามจุดสำคัญต่าง ๆ เช่น งาน aminoVITAL Run 2025 และสยามสแควร์ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 2,800 คน ในโลกออนไลน์ บริษัทยังได้เปิดตัวแคมเปญ ‘ร้านอาหารตาม (ใจ) สั่ง’ ด้วยหนังโฆษณาที่เล่าเรื่องราวของคนที่เผชิญกับความกดดันในชีวิต แต่สามารถฮีลใจตัวเองผ่านมื้ออาหารที่ใช่ โฆษณาชุดนี้เผยแพร่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา และมียอดเข้าชมรวมกว่า 10 ล้านครั้งบนแพลตฟอร์ม Facebook, YouTube และ TikTok ย้ำแบรนด์ส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต เกศยา กล่าว ทิ้งท้ายว่า “บริษัทฯ วางเป้าหมายเพื่อตอกย้ำแบรนด์อายิโนะโมะโต๊ะให้ตอบโจทย์การกินและการใช้ชีวิตของผู้บริโภค พร้อมส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ ผ่านกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในทุกมิติ”   บทสรุป อายิโนะโมะโต๊ะ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ให้ความกลมกล่อมรสชาติอาหาร มีอายุ 58 ในไทย ปรับตัวด้วยกลยุทธ์เข้าถึงคนรุ่นใหม่ผ่านแคมเปญ ‘กินอร่อย ใจก็ดีขึ้น’ (Eating is a Miracle) ที่เน้นเทรนด์ Self-Love ผสานออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมสร้างกระแสผ่านอีเวนต์ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และยังครีเอทไอศกรีม 5 รสชาติร่วมกับ Guss Damn Good รวมถึง Roadshow ฟู้ดทรัค เพื่อสร้างประสบการณ์ตรง นอกจากนี้ยังสื่อสารการตลาดให้ชัดขึ้นด้วย โฆษณาชุด ‘ร้านอาหารตาม (ใจ) สั่ง’ ยังได้รับความนิยมสูง ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ที่ใส่ใจสุขภาพกายและใจของผู้บริโภคไทย  

March 10, 2025 / 0 Comments
read more

CK Hutchison ยอมแล้ว!! ขายหุ้นท่าเรือปานามาให้ทุนอเมริกัน หลังทรัมป์กดดันหนัก

BizKet

BlackRock บริษัทด้านการลงทุนสัญชาติสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของ CK Hutchison ซึ่งบริหารท่าเรือทั้งสองฝั่งของคลองปานามา ส่งผลให้บริษัทสหรัฐฯ กลับมาคุมท่าเรือยุทธศาสตร์แห่งนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดอิทธิพลของจีนในภูมิภาค CK Hutchison บริษัทจากฮ่องกง ประกาศขายหุ้นให้กับกลุ่มทุนจากสหรัฐฯ และสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่าราว 22,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งครอบคลุมท่าเรือหลายแห่งทั่วโลก การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นความสำเร็จของนโยบายการทูตเชิงรุกของทรัมป์ที่ต้องการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลก ดีลนี้เปิดทางให้กลุ่มทุนที่ประกอบด้วย BlackRock, Global Infrastructure Partners และ Terminal Investment ถือหุ้น 80% ใน Hutchison Ports คิดเป็นมูลค่า 14,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยพวกเขาจะได้ควบคุมท่าเรือ 43 แห่ง และจุดจอดเรือ 199 จุด ใน 23 ประเทศทั่วโลก รวมถึงถือหุ้น 90% ใน Panama Ports Company (PPC) ซึ่งบริหารท่าเรือ Balboa และ Cristobal ในปานามามากว่า 20 ปี แม้ CK Hutchison จะเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐบาลจีน แต่ด้วยการเป็นบริษัทจากฮ่องกง ทำให้ตกอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของปักกิ่ง ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลต่อสหรัฐฯ มาโดยตลอด ทรัมป์เคยให้คำมั่นว่าจะฟื้นอิทธิพลของสหรัฐฯ เหนือคลองปานามา ซึ่งเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก โดยเขาอ้างว่าจีนกำลังแผ่อิทธิพลผ่านโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคนี้ และเคยไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทางทหารเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มองว่าการที่ CK Hutchison ควบคุมท่าเรือปานามาถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง โดยเฉพาะเมื่อคลองปานามามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก ในปีที่แล้ว มีเรือกว่า 12,000 ลำเดินทางผ่านคลองนี้ เชื่อมโยงกับท่าเรือ 1,920 แห่งใน 170 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ กว่า 75% เป็นเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ข้อตกลงครั้งนี้ไม่เพียงเป็นชัยชนะของทรัมป์ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ กลับมามีอิทธิพลเหนือลู่ทางขนส่งที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกครั้ง   บทสรุป  BlackRock และกลุ่มทุนสหรัฐฯ ซื้อหุ้น 80% ของ Hutchison Ports จาก CK Hutchison มูลค่า 14,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้กลับมาควบคุมท่าเรือคลองปานามา ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของโลก ดีลนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดอิทธิพลจีนในภูมิภาค สหรัฐฯ มองว่าการที่บริษัทฮ่องกงควบคุมท่าเรือปานามาเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง ข้อตกลงนี้ช่วยให้สหรัฐฯ ฟื้นอิทธิพลเหนือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลกอีกครั้ง

March 5, 2025 / 0 Comments
read more

Super March เที่ยวฮ่องกง กับ 10 อีเวนต์อินเตอร์ งานอาร์ต-ป๊อป คัลเจอร์ ที่ ComplexCon

Peace&Play

ฮ่องกง ซูเปอร์ มาร์ช  แจกลิสต์ 10 อันดับอีเวนต์งานศิลปะระดับอินเตอร์ที่ไม่ควรพลาด อีเวนต์ปิกาโซที่ M+, ป๊อป คัลเจอร์ สุดตื่นตาที่ ComplexCon พร้อมโชว์จาก NJZ และ Art Basel ที่เดียวของเอเชีย เดือนมีนาคมนี้ นับเป็นเดือนที่เหมาะกับการจัดทริปตีตั๋วมาฮ่องกงสำหรับนักท่องเที่ยวสายอาร์ตและสายอีเวนต์แบบสุดๆ เพราะฮ่องกงจัดเต็มในฐานะหมุดหมายสำคัญของวงการศิลปะและวัฒนธรรม นำเสนอเทศกาล “ซูเปอร์ มาร์ช (Super March)” อัดแน่นอีเวนต์ศิลปะระดับโลกทุกมุมเมือง ทั้งงานแฟร์ การแสดงผลงานจากสถาบันศิลปะชั้นนำ เทศกาลศิลปะกลางแจ้ง ชิ้นงานจากแกลเลอรีศิลปะ ชิ้นงานเซลจากองค์กรจัดประมูล (Spring Sales) และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายที่แฟน ๆ ผลงานศิลปะไม่ควรพลาดตลอดทั้งเดือนมีนาคมนี้   การกลับมาของ 5 งานจัดแสดงระดับเรือธง   1.Art Basel Hong Kong (28 – 30 มีนาคม 2568) ซึ่งจะกลับมาจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมและจัดนิทรรศการฮ่องกง Hong Kong Convention and Exhibition Centre) ถือเป็นอีเวนต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของแท้ เพราะเป็น Art Basel’s sole show in Asia จัดขึ้นที่ฮ่องกงแห่งเดียวเท่านั้นในปีนี้ งานจะมีแกลเลอรีเข้าร่วมมากถึง 240 แห่ง จาก 42 ประเทศและเขตแดน เพื่อร่วมแสดงผลงานศิลปะที่มีความหลากหลาย และสะท้อนเทคนิคและสไตล์การสร้างสรรค์จากศิลปินทั่วโลก รวมถึงผลงานของคุณจุฬญาณนนท์ ศิริผลเจ้าของผลงานThe Golden Snail Series ซึ่งได้นำผลงานมาจัดแสดงในนิทรรศการปีนี้อีกด้วย 2. Art Central (26 – 30 มีนาคม 2568) ซึ่งจัดมาเป็นปีที่ 10 แล้ว มุ่งนำเสนอผลงานจากแกลเลอรีชื่อดังและศิลปินชั้นนำ รวมถึงแกลเลอรีน้องใหม่ที่เปิดโอกาสให้ศิลปินหน้าใหม่ได้แสดงผลงาน งานนี้จะจัดขึ้นที่ Central Harbourfront จุดประจำ ท่ามกลางวิวเส้นขอบฟ้าที่งดงามของฮ่องกงเป็นฉากหลัง 3. HKwalls Street Art Festival (22 – 30 มีนาคม 2568) จัดมาเป็นปีที่ 10 เช่นกัน นำเสนอผลงานศิลปะบนฝาผนัง และการแสดงผลงานศิลปะตามจุดต่าง ๆ รวมถึงการฉายผลงานบนจอดิจิทัลและเวิร์คช็อปในชุมชน นับเป็นเสาหลักของวงการงานศิลปะสตรีทฮ่องกง สร้างความคึกคักให้กับย่านต่าง ๆ ของเมือง ผ่านผลงานศิลปะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ 4. ComplexCon (21 – 23 มีนาคม 2568) กลับมาจัดที่ฮ่องกงเป็นปีที่สอง โดยฮ่องกงถือเป็นสถานที่เดียวที่งานนี้จะจัดขึ้นนอกสหรัฐอเมริกา ComplexCon จะถ่ายทอดกระแสป๊อปคัลเจอร์สุดฮิตในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมนำเสนอแบรนด์สุดล้ำและศิลปินชั้นนำจากทั่วโลก ไฮไลต์สำคัญของปีนี้คือการแสดงจากกลุ่มศิลปิน K-pop ชื่อดัง NJZ (เดิมคือ NewJeans) และโปรดิวเซอร์ฮิปฮอปและแทร็ปชื่อดังจากสหรัฐฯ Metro Boomin ที่จะมาร่วมสร้างสีสันและความตื่นเต้นให้กับงานด้วยเช่นกัน 5. Hong Kong Arts Festival ที่มีชื่อเสียงจากการนำเสนอศิลปะการแสดงระดับโลกหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นโอเปร่า ดนตรี การเต้นรำ โรงละคร หรืองิ้ว ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนมีนาคมนี้เป็นครั้งที่ 53 โดยนำเสนอการแสดงมากกว่า 125 รายการ และกิจกรรมที่เปิดให้ร่วมสนุกกว่า 300 รายการ อาทิ การแสดงโอเปร่า Carmen ของ Bizet การแสดงจาก Czech National Ballet ในชื่อ La Sylphide การแสดง TIME โดย Ryuichi Sakamoto + Shiro Takatani และการแสดง Nureyev & Friends – A Ballet Gala Tribute พร้อมนำเสนอความหลากหลายและความประทับใจจากศิลปินทั่วทุกมุมโลก สำหรับ 5 งานจัดแสดงต้องห้ามพลาด ณ 3 มิวเซียมระดับท้อปของฮ่องกง  ย่าน WestK ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าววิคตอเรีย เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ระดับโลกสองแห่ง ได้แก่ M+ และ Hong Kong Palace Museum รวมถึงพื้นที่กลางแจ้งที่สวยงามอีกมากมาย โดยในปี 2566 M+ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 20 พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลกจาก The Art Newspaper ส่วนย่าน จิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) บริเวณริมชายฝั่งของฮ่องกงก็มี พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮ่องกง (Hong Kong Museum of Art: HKMoA) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1962 เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งแรกของเมืองที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม   นิทรรศการ The Hong Kong Jockey Club Series: Picasso for Asia—A Conversation (15 มีนาคม – 13 กรกฎาคม 2568) จะจัดขึ้นที่ M+ นำเสนอผลงานชิ้นเอกกว่า 60 ชิ้นของปาโบล ปิกาโซ จาก Musée national Picasso-Paris คอลเลกชันที่ถือเป็นการรวบรวมผลงานปิกาโซไว้มากที่สุดในโลก พร้อมด้วยผลงานกว่า 80 ชิ้นจากศิลปินชาวเอเชียและชาวเอเชียพลัดถิ่นในคอลเลกชันของ M+   ชิ้นงานติดตั้งขนาดใหญ่ Lee Mingwei: Guernica in Sand (8 มีนาคม – 13 กรกฎาคม 2568) ที่ถ่ายทอดผลงานชื่อดัง Guernica (ค.ศ. 1937) ของปิกาโซในรูปแบบใหม่ผ่านการใช้ทราย พร้อมการแสดงพิเศษอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่ M+   นิทรรศการ A Movable Feast: The Culture of Food and Drink in China (19 มีนาคม – 18 มิถุนายน 2568) จัดขึ้นที่ Hong Kong Palace Museum ซึ่งจะพาผู้ชมไปสำรวจวัฒนธรรมอาหารและเครื่องดื่มจีนที่มีอายุกว่า 5,000 ปี   นิทรรศการ The Forbidden City and The Palace of Versailles: China-France Cultural Encounters in the Seventeenth and Eighteenth Centuries (18 ธันวาคม 2567 – 4 พฤษภาคม 2568) ที่เล่าเรื่องราวการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนและฝรั่งเศสในหลากหลายด้าน ทั้งวิทยาศาสตร์ ศิลปะ งานฝีมือ และปรัชญา ผ่านสมบัติตกทอดทางประวัติศาสตร์กว่า 150 ชิ้น ณ Hong Kong Palace Museum   งาน The Hong Kong Jockey Club Series: Cézanne and Renoir Looking at the World—Masterpieces from the Musée de l’Orangerie and the Musée d’Orsay (17 มกราคม – 7 พฤษภาคม 2568) จัดแสดงนิทรรศการผลงานของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์ชาวฝรั่งเศสอย่าง Paul Cézanne และ Pierre-Auguste Renoir เป็นที่แรกในเอเชีย นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยชิ้นงานพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับฮ่องกง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใครให้แก่ผู้ชม ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮ่องกง (Hong Kong Museum of Art: HKMoA) นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นศูนย์กลางสำคัญของแกลเลอรีชั้นนำและเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรจัดประมูลระดับโลกในเอเชีย เช่น Christie’s, Sotheby’s, Phillips และ Bonhams โดยในเดือนมีนาคม แกลเลอรีและองค์กรจัดประมูลเหล่านี้จะเปิดตัวนิทรรศการใหม่และจัดจำหน่ายชิ้นงานในราคาสุดพิเศษสำหรับฤดูใบไม้ผลิ (Spring Sales) ทำให้เดือนมีนาคมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการจับจองผลงานศิลปะเหล่านี้   การเฉลิมฉลองสุดคึกคักใน Super March   ไม่ว่าจะเป็นนักสะสมศิลปะ แฟชั่นฮิปสเตอร์ ผู้ชื่นชอบกีฬา หรือครอบครัวที่รักการผจญภัย “Super March” ในฮ่องกงมีกิจกรรมพิเศษมากมายที่พร้อมตอบสนองทุกความสนใจ อาทิ การเปิดตัว Kai Tak Sports Park สถานที่แห่งใหม่ที่ทุกคนรอคอยก็จะเปิดตัวในเดือนมีนาคมนี้ โดยจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำหรับการแข่งขัน Hong Kong Sevens นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมกีฬาที่น่าตื่นเต้นอย่าง LIV Golf นิทรรศการศิลปะ และเทศกาลสุดเร้าใจที่รอให้ทุกคนได้มาสัมผัส ฮ่องกงจึงกลายเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมและความสนุกสนาน ที่ผู้เยี่ยมชมจากทั่วโลกได้รับเชิญให้มาสัมผัสบรรยากาศสุดพิเศษของเมือง พร้อมค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นในทุกมุมของฮ่องกง สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.discoverhongkong.com/eng/what-s-new/events/super-march.html บทสรุป ฮ่องกงจัดเทศกาล Super March ตลอดเดือนมีนาคม รวบรวมอีเวนต์ศิลปะระดับโลก ทั้ง Art Basel Hong Kong, Art Central, HKwalls Street Art Festival, ComplexCon และ Hong Kong Arts Festival รวมถึงนิทรรศการไฮไลต์จากพิพิธภัณฑ์ชั้นนำ เช่น Picasso for Asia ที่ M+ และ Cézanne & Renoir ที่ HKMoA เดือนมีนาคมจึงเป็นช่วงเวลาทองของนักสะสมและผู้รักศิลปะที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศศิลปะระดับนานาชาติในเอเชีย  

March 5, 2025 / 0 Comments
read more

ทศวรรษใหม่ LINE ประเทศไทย ขยับตัวครั้งใหญ่ ส่ง 3 บริการเติมเต็มอีโคซิสเต็ม อุตฯดิจิทัล

BizKet

แอปพลิเคชั่น ไลน์ (LINE) เข้ามาเปิดให้บริการในไทยตั้งแต่ปี 2557 ถึงในปีนี้เตรียมเข้าสู่ปีที่ 11 พร้อมจัดงานประชุมใหญ่แห่งปีที่เรียกว่า LCT โดยปีนี้งาน LINE CONFERENCE THAILAND 2025  (LCT25) ประจำปี 2568 ยังได้เปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ร่วมกับพันธมิตรระดับโลกและท้องถิ่น เพื่อขยายการเติบโตไปพร้อมยกระดับอีโคซิสเต็มในอุตสาหกรรมดิจิทัล ประเทศไทย   นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ LINE ประเทศไทย ผู้ให้บริการ ดืจิทัล อีโคซิสเต็ม แพลตฟอร์มไลน์ (LINE) กล่าวว่า แนวทางธุรกิจไลน์ในปี 2568 มาพร้อมพันธกิจใหม่ ‘Create an amazing life platform that brings WOW+ to our users’ เพื่อขยายโอกาสการเติบโตธุรกิจร่วมกับพันธมิตรต่างๆ ในการส่งมอบบริการและเทคโนโลยีให้กับผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นไลน์ในไทยกว่า 56 ล้านรายทั่วประเทศ “LINE เข้าสู่ตลาดไทยมา 10 ปี และสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 84% ของประชากร โดย LINE ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทุกช่วงวัย ตั้งแต่การเรียน การทำงาน ไปจนถึงการใช้ชีวิตในครอบครัว ซึ่งทำให้ LINE มองเห็นโอกาสในการขยายบริการเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากขึ้น” โดย แนวทางการทำธุรกิจของ LINE ประเทศไทยในปี 2568 นี้เตรียมเปิดบริการ LINE PREMIUM, LINE GIFT และ LINE HEALTH ขยายแพลตฟอร์ม LINE MINIAPP ให้แบรนด์และนักพัฒนาสามารถสร้างแอปฯ ของตัวเองบน LINE ได้ง่ายขึ้น พร้อม เปิดตัว LINE DEVELOPER PARTNER เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาไทย และยังมีแผนเตรียมเปิดตัว BOT MARKETPLACE เพื่อเป็นศูนย์รวมบอทที่ช่วยตอบโจทย์ทั้งการทำงานและไลฟ์สไตล์ กลยุทธ์การขยายตัวสู่ IP Business ขณะที่ในปี 2568 LINE ประเทศไทย จะใช้กลยุทธ์ระดับโลก IP Business เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้แก่ IPX (LINE FRIENDS) เดิมคือ LINE FRIENDS ที่พัฒนาไปเป็นครีเอทีฟสตูดิโอสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ระดับโลก LINE WEBTOON ที่จะต่อยอดจากแพลตฟอร์มเว็บตูนสู่ IP Business เปิดรับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ เพื่อขยายคอนเทนต์และโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้อง 3 บริการใหม่ในปี 2568 นอกจากนี้ LINE ยังได้พัฒนา 3 บริการใหม่เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้งาน ได้แก่ LINE PREMIUM – บริการสมัครสมาชิกแบบเสียค่าบริการเดือนละ 169 บาท ซึ่งมาพร้อมสิทธิพิเศษ เช่น เปลี่ยนไอคอนแอปฯ LINE เป็นสีฟ้า เปลี่ยนฟอนต์ ให้เลือกขนาดได้และแบบได้ ใช้งาน Multiple Profiles สำหรับสร้างโปรไฟล์ที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม Message Backup จัดเก็บข้อความ รูปภาพ และไฟล์ต่างๆ สูงสุด 100 GB สิทธิพิเศษจาก LINE SHOPPING และ LINEMAN VIP LINE GIFT – บริการส่งของขวัญอิเล็กทรอนิกส์ (e-Gifting) ผ่านหน้าแชท โดยสามารถเลือก e-Voucher จากกว่า 50 แบรนด์พันธมิตร LINE HEALTH – บริการดูแลสุขภาพผ่าน LINE ซึ่งครอบคลุม Health At Work สำหรับให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ โดยสามารถใช้บริการผ่านไลน์บัญชีอย่างเป็นทางการ LINE Official Account @LINEHEALTH เพื่อรับบริการที่ปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ ต่างๆ อาทิ บริการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตผ่าน OOCA การให้ความรู้ด้านสุขภาพ “ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน LINE ในประเทศไทยกว่า 56 ล้านคน ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีการเข้าถึงมากที่สุดในประเทศ” LINE จะได้อะไรจากแผนธุรกิจปีนี้ จากแนวทางดังกล่าว แน่นอนว่าเป็นการเพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากบริการพรีเมียม เช่น LINE PREMIUM และ LINE GIFT พร้อมขยายตลาดสู่กลุ่มธุรกิจสุขภาพ ผ่าน LINE HEALTH มาเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทย โดยการสนับสนุนนักพัฒนาและธุรกิจท้องถิ่นดึงดูดพาร์ทเนอร์ระดับโลกและท้องถิ่น ผ่านกลยุทธ์ IP Business สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ใช้ เพื่อทำให้ LINE เป็นมากกว่าแอปฯ แชท แต่เป็น “Life Platform” ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต บทสรุป LINE ประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ด้วยแนวทางที่ชัดเจนขึ้น ผ่าน3 บริการใหม่ด้านไลฟ์สไตล์ ที่เข้าไปใกล้ชิดกับผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างลึกซึ้ง โดยเน้นการสร้างคุณค่าให้กับทั้งผู้ใช้งานและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้ LINE ยังคงเป็นแพลตฟอร์มสำคัญของคนไทยต่อไป   

March 4, 2025 / 0 Comments
read more

บีเจซี เฮลท์แคร์ x DK Medical Systems หนุนไทย ‘ฮับ’ การแพทย์เอเชีย

BizKet

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี เป็นผู้นำในธุรกิจพาณิชยกรรมและการผลิตสินค้าครบวงจร รวมถึงกลุ่มธุรกิจด้านเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ที่ดำเนินการภายใต้ บีเจซี เฮลท์แคร์ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์และยกระดับมาตรฐานด้านสุขภาพในประเทศไทย ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี กล่าวว่า บีเจซี เฮลท์แคร์ ได้จับมือกับ DK Medical Systems บริษัทชั้นนำจากเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะเครื่องเอกซเรย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีการวินิจฉัยด้วยภาพขั้นสูง เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาและประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระบบเครื่องเอกซเรย์ พร้อมเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค โดย AI จะช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ ระบุตำแหน่งของรอยโรค และช่วยแพทย์วางแผนการรักษาได้ดียิ่งขึ้น โดย บีเจซี เฮลท์แคร์ และ DK Medical Systems ได้ร่วมกันจัดตั้ง ศูนย์ฝึกอบรม X-Cellence Training Center ณ อาคารบีเจซี 2 เพื่อเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ด้าน AI ทางการแพทย์ให้กับบุคลากรในวงการแพทย์ไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่การดำเนินการของ บีเจซี เฮลท์แคร์ ในปีนี้พร้อมแผนขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือในครั้งนี้ คาดผลักดันการเติบโตอยู่ที่ 8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกระแสการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้นตลาดเครื่องมือแพทย์ไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากข้อมูลระบุในช่วงระหว่างปี 2023 – 2025 จะมี อัตราการเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5.5 – 7% ต่อปี บทสรุป การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ แต่ยังสอดคล้องกับนโยบายของไทยที่ต้องการเป็น ศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาค (Medical Hub) และนโยบาย New Southern Policy ของเกาหลีใต้ ซึ่งเน้นการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมระหว่างประเทศ ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับระบบสาธารณสุขและอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในเอเชียต่อไป

March 3, 2025 / 0 Comments
read more

‘คาลเท็กซ์’ กับกลยุทธ์พลิกโฉมแบรนด์ สู่ตลาดคนรุ่นใหม่ ด้วยพลังแห่ง ‘หลิง-ออม’

BizKet

‘CALTEX’ แบรนด์ค้าปลีกน้ำมันสัญชาติอเมริกาที่เข้ามาอยู่ในไทยเกินครึ่งศตวรรษ ล่าสุดกับแผนการตลาดครั้งใหญ่เพื่อพลิกไปสู่แบรนด์ในใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ด้วยคู่จิ้น ‘หลิง-ออม’ ดูโอแบรนด์แอมฯ คาลเท็กซ์ของปี68 เหมินฝัน ธัญสิษฐ์ ผู้บริหารสูงสุดสายการตลาด บริษัทสตาร์ ฟูเอลส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (SEL) ในเครือบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ผู้รับสิทธิรายเดียวในการทำธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้ชื่อ ‘คาลเท็กซ์’ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทวางแผนการทำตลาดเชิงรุกธุรกิจน้ำมัน ‘คาลเท็กซ์’ ในไทย เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคชาวไทยทั้งรักษาฐานลูกค้าเดิมที่คุ้นเคยกับแบรนด์คาลเท็กซ์ ในตลาดมากกว่า 60ปี และ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นฐานกำลังซื้อสำคัญในอนาคตในทุกตลาด ด้วยหากแกะความสำเร็จของน้ำมัน ‘คาลเท็กซ์’ ออกมาจะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคกลุ่มเดิมที่คุ้นแคยกับแบรนด์ดังกล่าวเป็นอย่างดีต่างเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่วางตำแหน่งระดับพรีเมียมที่ให้ความสบายใจและมั่นใจในทุกครั้งที่เปิดฝาน้ำมันเพิ่มเติมขุมพลังให้กับยานยนต์ แต่ในปัจจุบัน ตลาดค้าปลีกน้ำมันในไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ในวันนี้ ‘คาลเท็กซ์’ ยิ่งต้องต้องลุกขึ้นมาตะโกนถึงการมีตัวตนในตลาดค้าปลีกน้ำมันในไทย ท่ามกลางการแข่งขันาสุดร้อนแรงในสมรภูมิโปรโมชั่นและการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ด้วย ลอยัลตี โปรแกรม ต่างๆ โดย ‘คาลเท็กซ์’  จะหยิบผลิตภัณฑ์เด่นอย่าง น้ำมันคาลเท็กซ์ เทครอน (Caltex Techron) มาใช้สื่อสารการทำตลาดด้านประสิทธิภาพของสินค้า ในแคมเปญ ‘เทครอนนนนนนนนน’ ตัวจริงวิ่งไกล   “เป็นอีกหนึ่งความสนุกของการสร้างการจดจำแบรนด์คาลเท็กซ์และเทครอนที่ใช้นอ หนูต่อแถวยาว 9 ตัวเพื่อออกมาตะโกนในตลาดให้ผู้บริโภคได้รับรู้” เหมินฝัน กล่าวพร้อมเสริมว่า และผู้ที่จะทำหน้าที่ตะโกนเรื่องราวนี้ของคาลเท็กซ์ได้ปังมากทีสุดในวินาทีนี้ ต้องยกให้คู่จิ้นสายยูริ อย่าง ‘หลิง-ออม(หลิง-ศิริลักษณ์ คอง และ ออม-กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์) ที่จะมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์สาวคู่ล่าสุดของคาลเท็กซ์ จากก่อนหน้าที่เป็นนักแสดงชาย อย่าง ‘ณเดช  คูกิมิยะ’ และ ‘เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี’ ในช่วงก่อนหน้า “ทำไมวันนี้ ถึงจะไม่ใช่หลิง-ออม ล่ะ?”   เหมินฝัน ย้ำ พร้อมเสริมต่อถึงแนวคิดการเลือกใช้คู่แบรนด์แอมฯ ที่จะอยู่ภายใต้สัญญาของแบรนดฺคาลเท็กซ์ ตลอดระยะเวลา 1 ปีนับจากนี้ว่า “2 นักแสดงสาวดังกล่าว จะสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มแฟนด้อมที่รักในตัวศิลปินทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี ด้วยการทำตลาดในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงและแตกต่างไปจากอดีตอย่างมาก การเลือกพรีเซ็นเตอร์ หรือ แบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่ถูกต้องถูกจังหวะยิ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันการรับรู้ของแบรนด์ด้วยเช่นกัน” โดยเฉพาะพลังแห่งแฟนด้อมของคู่จิ้น ‘หลิง-ออม’ ที่คาลเท็กซ์ มองว่า จะเป็นพลังสำคัญเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการรับรู้แบรนด์ในวงกว้างไปด้วยพร้อมกัน เห็นได้ชัดในช่วงก่อนเปิดตัวแคมเปญ ‘เทครอนนนนนนนนน ตัวจริงวิ่งไกล’ ในวันที่ 1 มี.ค.2568 นี้ ซึ่งบริษัทฯ ได้ปล่อยตัวกิจกรรมและภาพโฆษณาบางส่วนอย่างไม่เป็นทางการไปก่อนหน้า ซึ่งพบว่าได้การตอบรับเป็นอย่างสูงจากแฟนด้อมหลิง-ออม ที่เป็นผู้กระจายคอนเท้นต์ต่อๆไปในวงกว้าง ขณะเดียวกัน คาลเท็กซ์ เองก็ได้ทำการสำรวจการรับรู้ในกลุ่มพันธมิตร ดีลเลอร์ตัวแทนขายปลีกน้ำมันคาลเท็กซ์ ซึ่งต่างให้การตอบรับดีถึงการเลือกใช้ ‘หลิง-ออม’ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ คู่ล่าสุดของแบรนด์ ที่ต่างบอกว่า เป็นความสดใสและสะท้อนความเป็นคนรุ่นใหม่ ย้ำแบรนด์แกร่ง Brandformance เหมินฝัน กล่าวว่า จากแนวทางดังกล่าว บริษัทวางงบการทำตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย (โปรโมชั่น) ราว  200 ล้านบาท แบ่งเป็นงบโฆษณาและแบรนดิ้ง กว่า 110 ล้านบาท ซึ่งจะกระจายไปยังสื่อดั้งเดิม ทั้งการทำภาพยนตร์โฆษณา (TVC) , สื่อนอกบ้าน ป้ายบิลบอร์ด ที่จะตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพที่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ในจุดต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด รวมถึงขยายการทำตลาดผ่านดิจิทัลทีวี และ ในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ โดยในนงบฯ ดังกล่าวยังรวมถึงทำโปรโมชั่นแจกน้ำดื่มทุกการเติม 480 บาทต่อใบเสร็จ ให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการสถานีฯคาลเท็กซ์ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ไปถึง 1 มีนาคม 2569 พร้อมกันนี้คาลเท็กซ์ ยังได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นใหม่เพื่อสื่อสารกลุ่มเป้าหมายทั้งรายเดิมและขยายฐานคนรุ่นใหม่ ด้วยสิทธิพิเศษและกิจกรรมต่างๆ คาดเปิดตัวราวเดือนพฤศจิกายน ปีนี้ พร้อมวางเป้าหมายมีฐานสมาชิกดาวน์โหลดแอปฯ ราว 2 ล้านราย เพื่อต่อยอดจากฐานบัตรสมาชิกคาลเท็กซ์เดิม ที่มีกว่า 6 แสนราย  “กลยุทธ์การทำตลาดทั้งหมดจะอยู่ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า ‘Brandformance’ (Brand + Performance)” เหมินฝัน กล่าวพร้อมเสริมว่า  ปัจจุบัน คาลเท็กซ์ มีสถานีบริการ(ปั๊ม)น้ำมัน กระจายอยู่ทั่วประเทศราว 528 สาขา โดยมีสัดส่วนสาขาในต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพฯ และนอกเหนือจากแผนการตลาดครั้งใหญ่ในปีนี้ คาลเท็กซ์ ยังวางแผนผลักดันให้สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ขนาดเล็กขยายสู่ขนาดกลางมากขึ้นในอนาคต และจากแคมเปญการตลาดในปีนี้คาลเท็กซ์ คาดผลักดันเชิงรายได้สูงขึ้น 15%  พร้อมวางเป้าหมายมีส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกน้ำมันเชิงปริมาณ (volume) เป็นอันดับ 4 ของตลาด ทั้งนี้ข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรงพาณิชย์ ระบุส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันเชิงปริมาณ ในปี 2567 ดังนี้ อันดับ 1  ปตท. (PTT) ราว 35. 93 % อันดับ 2 บางจาก  ราว 30.94% อันดับ 3 พีที (PT) ราว 17.93% อันดับ 4 เชลล์ (Shell) 7.75% อันดับ 5 คาลเท็กซ์  (Caltex) 5.78% อันดับ 6 ซัสโก้ (Susco) 1.85% บทสรุป  คาลเท็กซ์ดำเนินธุรกิจในไทยมากว่า 60 ปี และปรับกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกในปี 2568 เพื่อขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดค้าปลีกน้ำมัน โดยเน้นจุดเด่นผลิตภัณฑ์ “คาลเท็กซ์ เทครอน” พร้อมแคมเปญ “เทครอนนนนนนนนน ตัวจริงวิ่งไกล” เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์ ต่อการเลือก “หลิง-ออม” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ช่วยดึงดูดแฟนด้อมรุ่นใหม่ และเสริมพลังการตลาดทุกรูปแบบและผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ โดยคาลเท็กซ์ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาทสำหรับโฆษณา โปรโมชั่น และแอปพลิเคชันใหม่ ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 15% และขยับขึ้นเป็นผู้ค้าปลีกน้ำมันอันดับ 4 ในไทย        

March 1, 2025 / 0 Comments
read more

เพราะโลกนี้ช่างกว้าง ดังนั้น ‘คนข้างๆ’ จึงสำคัญ และ ‘ตัวเรา’ คือ คนๆ นั้น

Peace&Play

ทุกคนเกิดมาพร้อมกับเรื่องราวของตัวเอง เติบโตขึ้นท่ามกลางครอบครัว ได้รับความรัก ความอบอุ่น หรือบางครั้งอาจต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยว แต่ทุกช่วงเวลาที่ผ่านเข้ามาค่อยๆ หล่อหลอมให้เราเป็น ‘เรา’ ในวันนี้ จากเด็กคนหนึ่งที่เรียนรู้โลกใบนี้ ผ่านอ้อมกอดของพ่อแม่ ผ่านมิตรภาพของพี่น้อง หรือการอยู่ร่วมกับผู้คนรอบตัว เรียนรู้ทั้งความ ‘สุข’ และ ‘เจ็บปวด’ เมื่อเราเติบโตขึ้น เส้นทางชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้ ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุข ที่ทำให้เราหัวเราะ และช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ที่หล่อหลอมให้เราเข้มแข็งขึ้น ไม่มีชีวิตของใครราบรื่นไปตลอด ทุกคนต้องพบกับการเปลี่ยนแปลง ต้องเจอกับการสูญเสีย ผิดหวัง ล้มเหลว และต้องลุกขึ้นใหม่เสมอ แบ่งปันโมเมนต์ ‘ทัชใจ’ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีสีสันและมีความหมาย คือ ‘คนข้างๆ’ ไม่ว่าจะเป็นแฟน คนรัก เพื่อนสนิท หรือครอบครัว คนเหล่านี้คือคนที่อยู่ข้างๆ เราในวันที่เราต้องการกำลังใจ และในวันที่เราพร้อมจะมอบความสุขให้ใครสักคน การได้มีใครสักคนที่รับฟัง แชร์ความรู้สึกกัน เป็นเรื่องที่ “ทัชใจ” และทำให้เราไม่รู้สึกว่าโลกนี้กว้างเกินไป ถ้าไม่มีคนข้างๆ เราจะเหงา หรือเปล่า? แต่หากวันหนึ่งเรามองไปรอบตัวแล้วพบว่า ไม่มีใครอยู่ข้างๆ เราเลย ชีวิตอาจเงียบเหงาลง ความรู้สึกโดดเดี่ยวอาจแทรกซึมเข้ามาแบบไม่รู้ตัว หลายครั้งที่เราอยากเล่าเรื่องราวของวันนั้นให้ใครฟัง หรืออยากให้ใครมารับรู้ว่าตอนนี้เรากำลังเศร้า แต่กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ความเหงาค่อยๆ กัดกินหัวใจ และอาจทำให้เราตั้งคำถามว่า “ฉันมีความหมายสำหรับใครบ้างหรือเปล่า?” ปลดล็อกความเหงา แม้ว่าโลกนี้จะกว้าง แต่เราก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพังจริงๆ วิธีปลดล็อกความเหงา อาจเริ่มจากการเปิดใจให้กับสิ่งใหม่ๆ ลองออกไปพบปะผู้คน ทำกิจกรรมที่ชอบ หรือลองทักทายเพื่อนเก่าที่ห่างหายกันไป ที่สำคัญคือการเป็น “คนข้างๆ” ให้ตัวเอง ให้เวลากับตัวเองมากขึ้น ดูแลหัวใจตัวเองเหมือนที่เราดูแลคนอื่น สุดท้าย ‘เรา’ คือ คนสำคัญที่สุดในโลก ถึงแม้วันนี้เราอาจยังไม่มีใครอยู่ข้างๆ แต่เรายังมีตัวเองเสมอ เราสามารถเป็นที่พึ่งให้ตัวเอง เป็นคนที่รักและให้กำลังใจตัวเองในวันที่อ่อนแอ และเมื่อถึงวันที่พร้อม คนข้างๆ ที่เหมาะสมจะเข้ามาเอง เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่อยู่กับเราไปตลอดชีวิต ก็คือ ‘ตัวเรา’ นั่นเอง บทสรุป ชีวิตของคนเราถูกหล่อหลอมจากครอบครัว การเติบโต และประสบการณ์ทั้งสุขและทุกข์ สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมายคือ ‘คนข้างๆ’ ไม่ว่าจะเป็นแฟน เพื่อนสนิท หรือครอบครัว ที่อยู่เคียงข้างในช่วงเวลาสำคัญ ทำให้เรารู้สึกว่ามีคนเข้าใจและแบ่งปันความรู้สึกกัน หากไม่มีคนข้างๆ ความเหงาอาจเข้ามาแทนที่ แต่เราสามารถปลดล็อกมันได้ด้วยการเปิดใจ พบปะผู้คน และให้เวลากับตัวเอง แต่กระนั้นสิ่งสำคัญที่สุดต่อให้วันนี้ไม่มีใคร เราก็ยังมีตัวเองเป็นที่พึ่งและเป็นคนที่ควรรักมากที่สุดเสมอ ใช่ไหมล่ะ?              

February 24, 2025 / 0 Comments
read more

ทำความรู้จัก MUNIE แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ ESG ที่มาก่อนกาลของคนไทย สู่มาตรฐาน EU รายแรก

EcoVative

จากวัชพืชสู่เส้นใยยั่งยืน ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน ‘วิลาสินี ชูรัตน์’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ‘มูนี่’ (MUNIE) ได้มองเห็นคุณค่าของวัชพืชที่เอ่อล้นลอยอยู่ในแม่น้ำลำคลองเมืองไทยมาเนิ่นนานอย่าง ผักตบชวา แทนที่จะปล่อยให้เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ ‘เธอ’ กลับคิดว่าวัชพืชชนิดนี้สามารถนำกลับมาเพิ่มมูลค่าได้ด้วยการพัฒนาให้กลายเป็นเส้นใยสำหรับสิ่งทอ และต่อยอดสู่สินค้าแฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยแนวคิดนี้ ‘มูนี่’ จึงได้เติบโตมาเป็นแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ที่มุ่งเน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติ ไปพร้อมทำงานร่วมกับชุมชน 5 ในจังหวัดภาคอีสาน เพื่อเชื่อมโยงการทำงานและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ระหว่างกัน “ข้อดี คือ เราได้ช่วยกระจายรายได้และสร้างงานให้ท้องถิ่นอย่างแท้จริง มีชาวบ้านที่ทำงานร่วมกับมูนี่ราว 30 ราย ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนโดยการจ่ายค่าแรงเป็นชิ้นงาน อย่างถ้าเป็นการย้อมสีธรรมชาติจะจ่ายเป็นกิโลๆ 250-600 บาท แล้วแต่ สีเข้มอ่อน และวัตถุดิบที่ใช้ย้อมสี ถ้าทอผ้า จ่ายเป็นราคาต่อเมตร ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของลวดลาย โดยมูนี่จะใช้วิธีให้คนทอเป็นผู้กำหนดราคา เพราะเป็นงานฝีมือ เหมือนเป็นงานศิลปะ” วิลาสินี กล่าว   MUNIE x STAY ปัจจุบัน มูนี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่สินค้าแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังขยายไลน์สินค้าสู่ หมวดของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ โดยยังคงใช้แนวคิดหลักคือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยหนึ่งในโปรเจกต์สำคัญของปีนี้คือการ Co-Project ร่วมกับ ฮันส์ เคงเกน นักออกแบบชาวเนเธอร์แลนด์ เพื่อสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่และผ้าทอมือจากเส้นใยผักตบชวา ภายใต้คอลเลคชัน “Stay” ซึ่งเปิดตัวไปในงาน Bangkok Design Week 2025  ระหว่างวันที่ 8-16 ก.พ.ที่ผ่านมา และเตรียมนำไปอวดโฉมผลิตภัณฑ์อีกครั้งในงาน Style Bangkok 2025 จัดขึ้น ณ ศูนย์สิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 2-6 เม.ย. นี้ ไปต่อขยายตลาดโรงแรมที่พัก  วิลาสินี บอกว่า จากเส้นทางของเส้นใยผักตบชวา ด้วยการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์มูนี ยังได้สะท้อนถึงความตั้งใจจริงของการเป็น Eco Lifestyle Branding อย่างแท้จริง ด้วยในปี 2567 ที่ผ่านมา ‘MUNIE’  ได้รับรางวัล ‘UN wep award’ ซึ่งเป็นรางวัลระดับสากลเป็นเครื่องหมายว่า มูนี่ จริงจังอย่างมากในเรื่องความยั่งยืน สอดคล้องกับในปัจจุบันตลาดสหภาพยุโรป (EU) ได้ออกกฎระเบียบ EUDR ควบคุมการนำเข้าไม้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ ทำให้ SME ไทยหลายแบรนด์ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ไม้ไผ่ไม่เข้าข่ายข้อจำกัดดังกล่าว เนื่องจากเป็นพืชโตเร็วและสามารถปลูกทดแทนได้ง่าย นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่มูนี่จะพัฒนาเฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่เพื่อตอบโจทย์ตลาดยุโรปที่ต้องการสินค้าที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ตลาดโรงแรม รีสอร์ต และบูทีคโฮเตล ที่เน้นการออกแบบภายใต้แนวคิด Sustainable Living ก็เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มูนี่กำลังขยายเข้าไป บทสรุป  มูนี (MUNIE) เป็นแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ที่เน้นความยั่งยืน (ESG) โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาเส้นใยจาก ผักตบชวา สู่อุตสาหกรรมแฟชั่นและของตกแต่งบ้าน ล่าสุดได้ขยายไลน์สินค้าไปสู่ เฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในยุโรปที่มีกฎระเบียบ ด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เข้มงวด ซึ่งไม้ไผ่เป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน มูนี ยังทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อสร้างรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมวางแผนขยายตลาดไปยังกลุ่มโรงแรม รีสอร์ต และบูทีคโฮเตล ที่ให้ความสำคัญกับ Sustainable Living

February 22, 2025 / 0 Comments
read more

ฮอนด้าพร้อมคืนโต๊ะเจรจา! แต่มีข้อแม้ ‘ซีอีโอนิสสัน’ ต้องลาออก ดีลควบรวม 5.8 หมื่นล้านยังมีลุ้น

BizKet

ไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า ฮอนด้า อาจกลับมาเจรจาควบรวมกิจการกับ นิสสัน อีกครั้ง หาก มาโกโตะ อูชิดะ ซีอีโอของนิสสัน ตัดสินใจลงจากตำแหน่ง ก่อนหน้านี้ การเจรจาควบรวมระหว่าง ฮอนด้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น และ นิสสัน ผู้ผลิตอันดับสาม ต้องยุติลง ทำให้แผนสร้างบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีศักยภาพขึ้นเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสี่ต้องล้มไป อุปสรรคในการควบรวมครั้งนี้ส่งผลให้ นิสสัน ตกอยู่ในภาวะไม่แน่นอน และสะท้อนถึงความกดดันที่อุตสาหกรรมยานยนต์ดั้งเดิมกำลังเผชิญจากคู่แข่งจีนที่กำลังมาแรง ตามรายงานของ FT ฮอนด้า พร้อมพิจารณากลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา หาก นิสสัน มีผู้นำคนใหม่ที่สามารถจัดการปัญหาภายในได้ดีกว่าเดิม แม้ว่าตัว อูชิดะ เองจะเคยประกาศว่าจะดำรงตำแหน่งซีอีโอไปจนถึงปี 2026 แต่แรงกดดันให้เขาก้าวลงจากตำแหน่งกลับทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากคณะกรรมการบริษัทและ เรโนลต์ พันธมิตรสำคัญของนิสสัน หลังจากเขาล้มเหลวในการเจรจาควบรวมมูลค่า 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ รายงานยังระบุว่า คณะกรรมการนิสสันได้เริ่มหารือกันอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนตัวผู้นำ บทสรุป  การควบรวมระหว่าง ฮอนด้า และ นิสสัน อาจกลับมาเป็นไปได้ หาก ‘มาโกโตะ อูชิดะ’ ซีอีโอของนิสสันลงจากตำแหน่ง หลังจากที่การเจรจาเดิมต้องล้มไป ส่งผลให้นิสสันเผชิญความไม่แน่นอนและแรงกดดันจากคู่แข่งจีน ปัจจุบัน คณะกรรมการนิสสันกำลังพิจารณาแนวทางเปลี่ยนตัวผู้นำเพื่อเปิดทางสู่การเจรจาใหม่

February 18, 2025 / 0 Comments
read more

Mixue โตแรง ครองเชนร้านเครื่องดื่มใหญ่สุดในโลก สาขาแซงหน้ายักษ์ McDonald’s – Starbucks

BizKet

Mixue (มี่เสวี่ย) แบรนด์ชานมไข่มุกและไอศกรีมจากจีน กลายเป็นเชนร้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลก  โดยมีร้านมากถึง 45,300 แห่งทั่วโลก แซงหน้า McDonald’s และ Starbucks ตามข้อมูลที่ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ Mixue เตรียมเปิดขายหุ้น IPO เป็นครั้งแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในอนาคต จากข้อมูลของMcDonald’s พบว่า ณ วันที่ 1 มกราคม มีสาขาทั่วโลกราว 43,000 สาขา ส่วน Starbucks มี 40,200 สาขา โดยตามมาด้วย Subway และ KFC ตามรายงานของ Momentum Works บริษัทวิเคราะห์ตลาดจากสิงคโปร์ จำนวน 70% ของสาขาทั้ง 45,300 ของ Mixue ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของแบรนด์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีจำนวนร้านค้ามากที่สุด แต่ Mixue ยังอยู่อันดับที่ 4 ของโลกในแง่ของมูลค่าธุรกรรมรวม (GMV) ที่ 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Starbucks นำมาเป็นอันดับหนึ่งที่ 55.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วย Inspire Brands ซึ่งเป็นเจ้าของ Dunkin’ Donuts ที่ 14.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Tim Hortons ที่ 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวจากรอยเตอร์ระบุว่าในปี 2024 Mixue วางแผนระดมทุน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการเสนอขายหุ้น IPO และเตรียมเปิดการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงต้นเดือนหน้า บริษัทมีกำไรสุทธิ 3.5 พันล้านหยวน (479 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 เพิ่มขึ้น 42.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยอ้างว่าในแต่ละวันสามารถขายเครื่องดื่มได้ถึง 5.8 พันล้านแก้ว สำหรับประวัติของ Mixue ก่อตั้งโดย Zhang Hongchao นักธุรกิจชาวจีนที่เกิดในปี 1977 ซึ่งเริ่มสร้างแบรนด์ตั้งแต่อายุ 21 ปี โดยต่อมา Zhang Hongfu น้องชายของเขาได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นร่วม Forbes ประเมินมูลค่าของ Mixue ที่ 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2023 ขณะที่ในการระดมทุนรอบก่อนหน้าเมื่อมกราคม 2021 บริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้สองพี่น้องตระกูล Zhang กลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีของจีน อินโดนีเซียและเวียดนามเป็นสองตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ Mixue โดยมีจำนวนร้าน 2,667 แห่งในอินโดนีเซีย และ 1,304 แห่งในเวียดนาม ในปี 2023 Mixue เผยว่ามีรายได้จากตลาดเวียดนามเกือบ 1.26 ล้านล้านดอง (49.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.6 เท่า จากปี 2022 ตามข้อมูลจาก Vietdata ส่วนประเทศไทย Mixue เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน 2565 ภายใต้การบริหารของบริษัท มี่เสวี่ย (ประเทศไทย) จำกัด โดยสาขาแรกตั้งอยู่ที่ซอยรามคำแหง 53 แบรนด์ชานมและไอศกรีมสัญชาติจีนนี้ตั้งเป้าขยายสาขาในไทยให้ได้ 2,000 แห่งภายใน 3 ปี การเติบโตของ Mixue ในไทยเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยในเดือนพฤษภาคม 2566 มีเพียง 21 สาขา แต่ภายในเดือนมกราคม 2567 จำนวนสาขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 200 สาขา นอกจากนี้ บริษัทมีแผนสร้าง คลังสินค้าและโรงงานแปรรูปผลไม้ ในประเทศไทย เพื่อนำผลไม้คุณภาพสูงของไทยมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในร้าน Mixue ทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ บทสรุป  Mixue ขึ้นแท่นเชนร้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีสาขามากที่สุดในโลก ด้วยจำนวน 45,300 แห่ง แซงหน้า McDonald’s และ Starbucks โดย 70% ของสาขาอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะมีสาขามากที่สุด แต่ยังอยู่อันดับ 4 ของโลกในแง่ของมูลค่าธุรกรรมรวม (GMV) Mixue วางแผน IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง พร้อมตั้งเป้าขยาย 2,000 สาขาใน3 ปี  

February 18, 2025 / 0 Comments
read more

สัมผัส 7 แบรนด์สกินแคร์พรีเมี่ยม ที่ ‘Konvy Boutique’ เดสติเนชั่นความงามจากออนไลน์สู่ออนกราวด์

WeView

คิงก้วย หวง ประธานคณะผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท คอนวี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Konvy’ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้านความงามของไทย ด้วยผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ต่างๆ จากทั้งในและต่างประเทศ กล่าวว่า ล่าสุด ได้เปิดตัว Konvy Boutique บนทำเลสาขา เดอะมอลล์ บางกะปิ  เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความงามแบบอินเตอร์แอคทีฟ ให้ลูกค้าสามารถสัมผัสและทดลองผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเมคอัพระดับพรีเมียมด้วยตนเอง ” Konvy Boutique เป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่สำหรับผู้รักความงาม ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและทดลองผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ ด้วยนวัตกรรมที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของอีคอมเมิร์ซ บูติคแห่งนี้เป็นมากกว่าร้านค้า แต่เป็นสถานที่ที่จะมอบประสบการณ์ O2O (Online to Offline) มาเชื่อมโยงแบรนด์และลูกค้าเข้าด้วยกัน พร้อมรับบริการพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญด้านความงามของเรา” หวง กล่าว สำหรับ Konvy Boutique คัดสรรผลิตภัณฑ์จาก 7 แบรนด์สกินแคร์และเมคอัพระดับพรีเมียมอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบประสบการณ์ความงามสุดพิเศษด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด Murad – แบรนด์สกินแคร์อันดับ 1 จากแพทย์ผิวหนังในสหรัฐฯ โดดเด่นด้วยสูตรที่ผ่านการทดสอบทางคลินิก Nu Formula – แบรนด์สกินแคร์ของไทยที่ได้รับความไว้วางใจ ด้วยสูตรที่อ่อนโยน เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย Pramy – สเปรย์ล็อกเมคอัพยอดนิยมของไทย ช่วยให้เมคอัพติดทนนาน มอบผิวสวยไร้ที่ติ Judydoll – แบรนด์เมคอัพสุดจี๊ดจากเอเชีย มาพร้อมเฉดสีโดดเด่นและคุณภาพระดับพรีเมี่ยม Joocyee – ดาวรุ่งในวงการความงามเอเชีย โดดเด่นด้วยเมคอัพเม็ดสีแน่นและติดทนนาน Cosrx – แบรนด์สกินแคร์จากเกาหลี ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยสูตรเรียบง่ายแต่ทรงประสิทธิภาพ Oni – แบรนด์อุปกรณ์แต่งหน้าจากญี่ปุ่น ที่ออกแบบมาเพื่อการแต่งหน้าที่สมบูรณ์แบบทุกครั้ง Mlen Diary – แบรนด์ขนตาพรีเมียม ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับดีไซน์ ตอบโจทย์ทุกสไตล์ โดย Konvy มีแผนที่จะเพิ่มแบรนด์สกินแคร์และเมคอัพพรีเมียมชั้นนำอีกมากมายในอนาคตเพื่อเสริม ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ใน Konvy Boutique พร้อมมอบประสบการณ์ความงามที่น่าสนใจและตรงใจลูกค้าแต่ละท่านให้สามารถทดลองผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง พร้อมรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านความงามของ Konvy และเพลิดเพลินกับการแต่งหน้าแบบเฉพาะบุคคล ผู้ที่รักความงามได้สัมผัสเทรนด์ใหม่ๆ อย่างมั่นใจ จากความตั้งใจที่จะผสมผสานนวัตกรรมออนไลน์เข้ากับประสบการณ์ในการทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในรูปแบบออฟไลน์ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสเทรนด์ความงามอย่างมั่นใจ หวง  กล่าวว่า “Konvy Boutique เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมวงการค้าปลีกความงามของบริษัท ด้วยการผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้ผู้ที่รักความงามเข้าถึงผลิตภัณฑ์ เทรนด์ และเทคโนโลยีล่าสุดได้ง่าย ๆ ในที่เดียว” พร้อมเสริมว่า “เราเชื่อว่าอนาคตของธุรกิจค้าปลีกความงามไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางของเรา ในการนำเสนอประสบการณ์ความงามที่แปลกใหม่ ล้ำสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละท่านมากยิ่งขึ้น” บทสรุป Konvy เปิดตัว “Konvy Boutique” ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ เพื่อมอบประสบการณ์ความงามแบบอินเตอร์แอคทีฟ ให้ลูกค้าได้ทดลองผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเมคอัพระดับพรีเมียมจาก 7 แบรนด์ชั้นนำ โดยผสานนวัตกรรม O2O (Online to Offline) เชื่อมโยงแบรนด์และลูกค้า พร้อมบริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ‘คิงก้วย หวง’ ซีอีโอ Konvy ระบุว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมค้าปลีกความงาม ที่จะขยายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคต

February 18, 2025 / 0 Comments
read more

เมื่อสิงห์ ร่วมกับ ‘วันแชมเปียนชิพ’ เวทีศิลปะการต่อสู้ที่ถ่ายทอดใน 195 ประเทศทั่วโลก กลยุทธ์สู่โกลบอลแบรนด์  

BizKet

วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ผู้อยู่เบื้องหลังการเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตรกีฬาระดับโลกมากมาย เผยว่า “นับเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งที่ ‘สิงห์’ เป็นออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์กับ ‘วัน แชมเปียนชิพ’ องค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหนึ่งในรายการที่เผยแพร่ไปยังผู้ชมกว่า 195 ประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับ “สิงห์” ที่เป็นแบรนด์ของคนไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ในคุณภาพของผลิตภัณฑ์มาตลอดกว่า 90 ปี “เราเชื่อว่าการร่วมมือกันครั้งนี้ จะต่อยอดความแข็งแกร่งแบรนด์สิงห์ในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย และยุโรป นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ศิลปะการต่อสู้ โดยเฉพาะมวยไทยได้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับการสร้างนักกีฬามวยไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกเพิ่มมากขึ้น” วรวุฒิ กล่าว ล่าสุด สิงห์ เดินหน้าเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการกับรายการกีฬา “วัน แชมเปียนชิพ” ที่นำเสนอศิลปะการต่อสู้หลากหลายรูปแบบทั้งมวยไทยการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) คิกบ็อกซิ่ง ฯลฯ จนได้รับความนิยม โดยติดอันดับ 1 ใน 5 กีฬาต่อสู้ที่มีมูลค่าทางธุรกิจสูงสุดของโลก และมียอดเอนเกจเมนต์สูง รวมถึงยอดการรับชมหรือยอดวิวรวมกันหลักหมื่นล้านวิว ส่วนในไทยยังรั้งผู้นำด้วยเรตติ้งสูงสุดมายาวนาน จากการถ่ายทอดสดทางช่อง 7HD สูงเป็นในช่วงนาทีทองหรือซูเปอร์ไพร์มไทม์ โดยมียอดผู้ชมเฉลี่ยถึง 13.6 ล้านคนต่อวัน จากที่ผ่านมา สิงห์ เป็นแบรนด์เครื่องดื่มแบรนด์แรก ๆ ของประเทศไทยที่ได้ให้การสนับสนุน F1 ที่เปรียบเสมือนการเปิดประตูโอกาสของสิงห์ในการทำ Sport Marketing กับพาร์ตเนอร์ระดับโลกแบบเต็มตัวกับทีม Infiniti Red Bull Racing, Scuderia Ferrari, Alfa Romeo F1 Team, Stake F1 Team KICK Saubar และยังเป็นพาร์ตเนอร์กับรายการกีฬาใหญ่ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างเชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ MotoGP, การแข่งขันกอล์ฟรายการเก่าแก่ที่สุดรายการหนึ่งของโลกอย่าง ดิ โอเพ่น เป็นต้น ทั้งนี้ สิงห์ได้ประเดิมการเป็นออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์ และผู้บริโภคได้เห็นแบรนด์ในศึกใหญ่ ONE170 ไฟต์การต่อสู้แรกของปีที่ไทย ซึ่งมีดาวดัง “ตะวันฉาย VS ซุปเปอร์บอน” ขึ้นชกเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี บทสรุป  “สิงห์” จับมือ “วัน แชมเปียนชิพ” ดันแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก โดยเป็น ออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์ กับองค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก หวังขยายตลาดในเอเชียและยุโรป พร้อมผลักดันมวยไทยให้เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สิงห์ยังเป็นพันธมิตรกับกีฬาใหญ่ระดับโลก เช่น F1, พรีเมียร์ลีกอังกฤษ, MotoGP และ The Open ล่าสุด เปิดตัวความร่วมมือในศึก ONE170 ตะวันฉาย VS ซุปเปอร์บอน ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี     4o

February 18, 2025 / 0 Comments
read more

SC กับแนวคิดใหม่คอนโด สร้างประสบการณ์อยู่อาศัยทั้งของกิน/ใช้-ประกันภัย-เดินทาง เข้าถึงเจนฯY

BizKet

กนกอร หลิมกำเนิด Chief Operating Officer Property Development – High Rise บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “โครงการ ‘เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่’ นอกจากจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่มีการออกแบบทันสมัยตอบโจทย์คนรุ่นใหม่แล้ว ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกบ้าน ผ่านความร่วมมือจากพันธมิตรชั้นนำ เพื่อมอบความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกๆ ด้าน ลูกบ้านจะได้สัมผัสกับการอยู่อาศัยที่ครบวงจร และทำให้ชีวิตในเมืองใหญ่ของลูกบ้านสะดวกสบายและเต็มไปด้วยความสุขทุกวัน” ทั้งนี้การผนึกกำลังร่วมกับ 3 พันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำ ได้แก่  “ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต” และ “ร้านถูกและดี” ที่ให้บริการเมนูอาหารพร้อมทาน ภายใต้ชื่อ ฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์ (Foodland Grocerant) มาอำนวยความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านสอดคล้องกับแนวคิดการตอบโจทย์ Insight ของคน Gen Y อย่างแท้จริง และ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ที่มอบแผนความคุ้มครองด้านสุขภาพและอุบัติเหตุ พร้อมกับทุนประกันชีวิตให้กับลูกบ้านฟรี 2 ปี รวมทั้ง มูฟมี (MuvMi) บริการรถรับ-ส่ง ด้วยรถพลังงานไฟฟ้า ด้าน อธิพล ตีระสงกรานต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด กล่าวว่า ฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์ (Foodland Grocerant) “เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของบริษัท ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด ที่ต้องการมอบสิ่งดีๆให้กับลูกบ้านโครงการ ‘เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ ด้วยวิถีชีวิตของสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ และเวลาอันจำกัด ความสะดวกเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ฟู้ดแลนด์ขอมอบให้กับลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไป ฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์ เป็นการรวมมินิฟู้ดแลนด์ และร้านอาหารถูกและดีไว้ด้วยกัน โดยคอนเซ็ปต์ยังคงเหมือนกับ   ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต คือได้ของคุณภาพ ครบ จบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ในชีวิตประจำวัน หรืออาหารปรุงสดใหม่ หลากหลายเมนูจากร้านอาหารถูกและดี  ซึ่งเป็นการเปิดให้บริการเป็นแห่งแรกที่โครงการคอนโดมิเนียม เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านภายในโครงการ และชุมชนใกล้เคียง ทั้งนี้เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์จะเป็นจุดหมายแห่งใหม่ในย่านวงเวียนใหญ่ที่ลูกค้านึกถึงในทุกๆ วัน โครงการ ‘เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่’ (Reference Sathorn – Wongwianyai) คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 2 อาคาร ความสูง 32 ชั้น และ 51 ชั้น รวม 789 ยูนิต พร้อมพื้นที่เชิงพาณิชย์จำนวน 3 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ตั้งอยู่ในซอยกรุงธนบุรี 2 ห่างจากถนนเส้นหลักเพียง 90 เมตร ประกอบด้วยห้องชุด 4 แบบ คือ ห้องแบบ Studio (24-27 ตารางเมตร), ห้องชุดแบบ 1 Bedroom (31-32 ตารางเมตร), ห้องชุดแบบ 1 Bedroom Plus (32.5-53 ตารางเมตร) และ ห้องชุดแบบ       2 Bedrooms ( 63-72 ตารางเมตร) มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เลานจ์ส่วนตัว, ฟิตเนส, โคเวิร์คกิ้งสเปซ, สระว่ายน้ำ, ออนเซ็น  ในราคาขายเริ่มต้นเพียง 3.69 ล้านบาท โดดเด่นด้วยทำเลโครงการอยู่ใกล้ BTS สถานีวงเวียนใหญ่ เพียง 130 เมตร รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า ไอคอนสยาม, เดอะ มอลล์ ท่าพระ และยังอยู่ใกล้สถานที่สำคัญหลายแห่งอย่าง อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวชธนบุรี, โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา,โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์,โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย,โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน,โรงเรียนอัสสัมชัญบางรักเป็นต้น อีกทั้งการเชื่อมต่อการเดินทางได้อย่างง่ายดายผ่านรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีทอง (สถานีกรุงธนบุรี) อีกทั้งเส้นทางการเดินทางใหม่ในอนาคตอย่างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และสายสีแดงเข้ม ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตและทุกไลฟ์สไตล์สำหรับคนที่ใช้ชีวิตในเมือง นอกจากนั้นยังมีการให้บริการจาก เอสซี แอสเสท ผ่านทีมบริการหลังการขาย SC Able ที่พร้อมดูแลและอำนวยความสะดวกประจำโครงการ อีกทั้งการให้บริการพิเศษ Concierge Service ที่ช่วยให้การอยู่อาศัยไร้กังวลในทุก ๆ วัน รวมถึงแอปพลิเคชัน Ruejai ที่รวมบริการและโซลูชั่นสำหรับการอยู่อาศัย ช่วยตอบโจทย์เรื่องการดูแลบำรุงรักษาห้องชุด  รวมถึงระบบ Home Automation ที่สามารถสั่งการควบคุมการเปิด-ปิดแอร์ และไฟภายในบ้าน หรือแจ้งสถานะ EV Charger รวมถึงจองใช้บริการพื้นที่ส่วนกลางผ่านแอปฯได้ทันที บทสรุป  จุดเด่นของโครงการ ‘เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่’ (Reference Sathorn – Wongwianyai) ด้วยพันธมิตรธุรกิจ ฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์ ร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารถูกและดี,  อลิอันซ์ อยุธยา มอบประกันชีวิตฟรี 2 ปี, MuvMi บริการรถรับ-ส่งพลังงานไฟฟ้า สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ฟิตเนส, โคเวิร์คกิ้งสเปซ, สระว่ายน้ำ, ออนเซ็น และบริการพิเศษ  SC Able & Concierge Service  ห้องชุดมี 4 แบบ Studio 24-27 ตร.ม.,  1 Bedroom 31-32 ตร.ม., 1 Bedroom Plus 32.5-53 ตร.ม.,  2 Bedrooms 63-72 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท  

February 18, 2025 / 0 Comments
read more

‘นิโอ ทาร์เก็ต’ ทำสำรวจผู้บริโภคยุคใหม่ พบ 3 ปัจจัยสำคัญมีผลต่อความไว้วางใจและตัดสินใจซื้อของลูกค้า

BizKet

นิโอ ทาร์เก็ต เผยผลสำรวจองค์กรที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุด พร้อม ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจและ การตัดสินใจซื้อ วรรณี ลีลาเวชบุตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด ที่ปรึกษาการสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดมีการแข่งขันสูง การสร้างชื่อเสียงองค์กรให้มีความน่าเชื่อถือ (Trust) และ สร้างตราสินค้า (แบรนด์) ให้เป็นที่ชื่นชอบ ชื่นชมในกลุ่มเป้าหมายจนสามารถครองตำแหน่งผู้นำทางการตลาดได้นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยหลายองค์กรจึงจำเป็นต้องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ  โดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่น เพื่อให้เป็นตัวเลือกในของการตัดสินใจซื้อ ควบคู่ไปกับการสร้างผู้นำองค์กรให้เป็นที่รู้จัก ถึงบทบาทและวิสัยทัศน์ในการบริหารองค์กร การทำกิจกรรมเพื่อสังคม ตลอดจนไลฟ์สไตล์ในการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่องค์กรและแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ‘นิโอ ทาร์เก็ต’ ได้ทำการสำรวจความเห็นผู้บริโภคมาหลายปีติดต่อกัน ในปีนี้ ได้ทำการสำรวจความเห็นผู้บริโภคอีกครั้ง โดยการสำรวจดังกล่าวครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น คือ ตั้งแต่กลุ่ม Gen Z ไปจนถึง กลุ่ม Baby Boomer ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 14-78 ปี ทั่วประเทศ จำนวน 2,000 คน เป้าหมายหลัก คือ หาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างชื่อเสียงขององค์กร และ ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ รวมทั้งการตัดสินใจซื้อ  คืออะไร ผลการสำรวจพบว่า คนไทยทุก Gen กว่าร้อยละ 80 (80.87%) ต่างให้ความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า ผู้บริหาร หรือ ผู้นำองค์กร เป็นคนที่สำคัญมากที่สุดต่อการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ (Trust) กับองค์กร โดยผลสำรวจพบว่า บริษัทที่ได้รับความเชื่อมั่นหรือไว้วางใจมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เหตุผลสำคัญ มาจากความเชื่อมั่นในความสามารถขององค์กร มากถึงร้อยละ 22.29 รองลงมา คือความน่าเชื่อถือขององค์กร ร้อยละ 17.92 และ ร้อยละ 17.77 มีความเชื่อมั่นในผู้บริหารองค์กร ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการมากที่สุด ร้อยละ 87.80 อยู่ที่คุณภาพของสินค้า ร้อยละ 73.80 ชื่อเสียงของแบรนด์สินค้า และร้อยละ 73.19 คือเรื่องราคา อย่างไรก็ตาม  กลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มต่างให้ความเห็นว่า ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุด คือ เรื่องราคาของสินค้า ที่มีราคาแพง ขณะที่รายได้ที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับรายจ่าย นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ปัญหาสังคมที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติ มาจาก ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทุจริตคอร์รัปชัน  โอกาสและการพัฒนาการศึกษา และยาเสพติด ซึ่งเป็น 4 อันดับแรก ที่คนทุกกลุ่มให้ความเห็นในสัดส่วนใกล้เคียงกัน โดยกลุ่ม Gen Z ร้อยละ 51.24 และ Gen Y ร้อยละ 58.14 มองว่าปัญหาโอกาสและพัฒนาการศึกษาส่งผลกระทบต่อประเทศชาติมากที่สุด โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้ ให้ความสำคัญกับปัญหาทางไซเบอร์มากด้วยเช่นกัน ส่วนกลุ่ม Gen X และ Gen Baby Boomer มองว่าปัญหาคอร์รัปชันมีผลกระทบต่อประเทศชาติมากที่สุด วรรณี กล่าวเสริมว่า เพื่อเป็นกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวกับการให้ความสำคัญในการสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์องค์กร ควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด จึงได้ร่วมกับ อินฟลูเอ็นเชี่ยลแบรนด์ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ในเอเชีย จัดงานมอบรางวัลสุดยอดแบรนด์ชั้นนำในเอเชีย 2024 Asia CEO Summit & Award Ceremony ซึ่งได้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ในประเทศสิงคโปร์ และปีที่ 7 ในประเทศไทย มอบรางวัลอินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ อะวอร์ด ประจำปี 2024 (Influential Brand Award 2024) ให้กับแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด ต้นเดือนมีนาคมนี้ โดยรางวัลแบ่งออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ รางวัลแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด (Top Influential Brand) มาจากผลวิจัยจากผู้บริโภค รางวัลแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจสูงสุดต่อเนื่อง (Outstanding Brand) รางวัลผู้บริหารองค์กรชั้นนำ (Top CEO) และรางวัลผู้นำดีเด่น (Outstanding Leader) “รางวัลดังกล่าวที่จัดขึ้น เป็นบทพิสูจน์ว่า ทุกองค์กร และแบรนด์ต่าง ๆ ได้ก้าวสู่ความเป็นเลิศจนสามารถมีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายได้นั้น ต้องมาจากพื้นฐานของความเป็นจริง ด้วยชื่อเสียงขององค์กร ความสามารถของผู้บริหาร และ คุณภาพของสินค้าที่เป็นจริง  ไม่ใช่เป็นเพียงการใช้กลยุทธ์การสร้างภาพ ด้วยกลยุทธ์วิธีทางการสื่อสารเท่านั้น” วรรณี กล่าวทิ้งท้าย บทสรุป  นิโอ ทาร์เก็ต เผยผลสำรวจองค์กรที่ได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุดในไทยจากความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วประเทศ (14-78 ปี จำนวน 2,000 คน) พบว่า “ผู้นำองค์กร” มีอิทธิพลสูงสุดต่อการสร้างความเชื่อมั่น (Trust) และความไว้วางใจในองค์กร โดย ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ คุณภาพสินค้า (87.80%),  ชื่อเสียงแบรนด์ (73.80%), ราคา (73.19%) Gen Z & Gen Y กังวลเรื่องการศึกษาและปัญหาทางไซเบอร์ ส่วน Gen X & Baby Boomer มองว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด

February 18, 2025 / 0 Comments
read more

‘แดน บิวต์เนอร์’ นักสำรวจ National Geographic ชวนรู้จัก 5 พื้นที่โลก ‘Blue Zone’

Peace&Play

แดน บิวต์เนอร์ (Mr. Dan Buettner) หนึ่งในสมาชิกนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และยังเป็นสื่อมวลชนที่ได้รับรางวัลอีกทั้งยังเป็นผู้ดำเนินรายการและโปรดิวเซอร์ร่วมของรายการ “อยู่ถึง 100:ความลับของบลูโซน” (Live to 100: Secrets of the Blue Zones) ทางเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งได้รับรางวัลเอ็มมี่ถึง 3 รางวัล และยังเป็นนักเขียนที่เคยมีผลงานติดอันดับขายดีที่สุดของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ถึง 5 ครั้งด้วยกัน   บิวต์เนอร์ค้นพบพื้นที่ 5 แห่งทั่วโลกซึ่งเรียกว่า ‘บลูโซน’ โดยพื้นที่ทั้ง 5 แห่งนี้เป็นที่ที่ผู้คนมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงที่สุด บทความหลายบทความของเขาเกี่ยวกับสถานที่เหล่านี้ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารเดอะนิวยอร์กไทมส์และเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกนั้นเป็นบทความที่ได้รับความนิยมอย่างมาก   ทั้งในรูปแบบสิ่งตีพิมพ์และในรูปแบบรายการ ‘อยู่ถึง 100: ความลับของบลูโซน’ ทางเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ถึง 6 รางวัล ปัจจุบัน บิวต์เนอร์ทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ องค์กรเอกชนขนาดใหญ่ และบริษัทประกันสุขภาพเพื่อดำเนินโครงการบลูโซนทั้งในชุมชน สถานที่ทำงาน และมหาวิทยาลัย   โครงการบลูโซนเป็นโครงการด้านสุขภาวะซึ่งนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพื้นที่บลูโซนมาประยุกต์ใช้กับชุมชนต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในท้องที่นโยบายสาธารณะ และเครือข่ายทางสังคม   ปัจจุบันโครงการนี้ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับชาวอเมริกันกว่า 5 ล้านคน ในหนังสือของเขาชื่อ ‘The Blue Zones Secrets for Living Longer’ บิวต์เนอร์ได้เล่าถึงการเดินทางกลับไปยังพื้นที่บลูโซนทั้ง 5 แห่ง คือ ซาร์ดิเนีย (อิตาลี), อิคาเรีย (กรีซ), โอกินาวา (ญี่ปุ่น), คาบสมุทรนิโคยา (คอสตาริกา) และโลมา ลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย (สหรัฐฯ)   เพื่อตรวจสอบผู้ที่มีอายุขัยยืนยาวในพื้นที่เหล่านี้และศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ทั้งเป้าหมายของชีวิต ความเชื่อ ชุมชน เวลาพักผ่อนการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวัน และการรับประทานอาหารแบบแพลนท์เบสซึ่งช่วยให้ผู้คนในพื้นที่บลูโซนมีช่วงอายุขัยของชีวิตที่มีสุขภาพดียาวนานขึ้นสูงสุดถึง 10 ปี   นอกจากนี้ บิวต์เนอร์ ยังเปิดเผยพื้นที่บลูโซนแห่งใหม่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่บลูโซนที่มนุษย์สร้างขึ้นแห่งแรก ซึ่งยังไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน และ ยังเป็นผู้ครองสถิติการขี่จักรยานทางไกล 3 รายการในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์   ในโอกาสที่  บิวต์เนอร์ เดินทางมายังประเทศไทย พร้อมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘บลูโซน’ กับความมหัศจรรย์แห่งการใช้ชีวิตของผู้คนที่มีอายุยืนยาวและสุขภาพดีที่เขาได้พบเจอมาได้อย่างน่าสนใจ   รู้จัก ‘Blue Zone’ ทำไมคนในพื้นที่นี้ถึงมีชีวิตยืนยาว?   คำว่า ‘Blue Zone’ หรือโซนสีฟ้า หมายถึงพื้นที่ที่มีผู้คนอายุยืน และสุขภาพดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป คือมีอายุประมาณ 90-100 ปี2 โดยมีที่มาจากการตั้งข้อสังเกตของ Dan Buettner ซึ่งเป็นนักสำรวจ นักเขียน และช่างภาพ จาก National Geographic   ในงานวิจัยเกี่ยวกับการศึกษากลุ่มประชากรที่มีอายุยืนทั่วโลกของ Gianni Pes และ Michel Poulain1 จึงทำให้เขาเริ่มโครงการออกเดินทางไปสำรวจวิถีชีวิตของคนในพื้นที่เหล่านี้ในปี 2004 หลังจากการสำรวจที่โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ในปี 20003   ตัวอย่าง 5 เมืองใน Blue Zone ได้แก่   โอกินาวา (ญี่ปุ่น) ซาร์ดิเนีย (อิตาลี) อิคาเรีย (กรีซ) โลมา ลินดา (สหรัฐอเมริกา) นิโคยา (คอสตาริกา)   ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ มีวัฒนธรรม และพฤติกรรมที่ส่งเสริมการมีสุขภาพดี และอายุยืนยาวที่คล้ายคลึงกัน เช่น การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการมีความสัมพันธ์ที่ดีทางสังคม   9 เคล็ดลับวิธีการดูแลสุขภาพแบบคนใน Blue Zone   ลองเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคุณ เพื่อให้มีสุขภาพดี และอายุยืนยาว ด้วยเคล็ดลับจากคนใน Blue Zone ดังนี้   1.ปรับเปลี่ยนการกินอาหาร   อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับทุกคน เพราะอาหารเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพโดยตรง เพื่อการกินอาหารที่สมดุล ควรลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ไข่ และนม ลดการบริโภคน้ำตาล เน้นอาหารแพลนต์เบส (Plant-Based) ผัก ผลไม้ (ยกเว้นมันฝรั่ง) และอาหารจากธรรมชาติ กินถั่วทุกวัน และเลือกกินขนมปังชนิดโฮลวีต   จากการศึกษาวิถีชีวิตของคนใน Blue Zone จะพบว่า แต่ละพื้นที่จะมีเคล็ดลับในการกินอาหารที่ต่างกัน4 ดังนี้   กินให้อิ่ม 80% : เกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ชาวโอกินาวาส่วนใหญ่จะกินอาหารให้รู้สึกอิ่มแค่ 80% โดยจะเน้นไปที่อาหารจำพวกผัก ปลา และอาหารทะเล รวมถึงอาหารที่ทำมาจากถั่วเหลือง เช่น ซอสถั่วเหลือง ซุปมิโซะ เต้าหู้ เต้าเจี้ยว และถั่วหมัก อีกทั้งยังดื่มน้ำต่อวันมากกว่า 2 ลิตร ดื่มนมแพะ ชา ไวน์ : เกาะอิคาเรีย ประเทศกรีซ โดยทั่วไปชาวอิคาเรียนมักกินพืชประเภทฟัก และผักใบเขียว ที่ปลูกเองตามบ้านเรือน เน้นดื่มนมแพะมากกว่านมวัว รวมถึงยังมีการดื่มชา และไวน์สูตรเฉพาะที่อิคาเรีย เพราะเป็นเครื่องดื่มที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะชอบกินน้ำผึ้งครั้งละ 1 ช้อน ในช่วงตอนเช้า และตอนเย็นด้วย ไม่กินอาหารแปรรูป : คาบสมุทรนิโคยา ประเทศคอสตาริกา คนในพื้นที่นี้นิยมกินข้าวโพด และถั่ว โดยไม่นิยมกินอาหารจำพวกแปรรูป จำกัดการกินอาหารมื้อเย็นในปริมาณน้อย โดยเป็นวัฒนธรรมการกินที่มาจากชนเผ่าตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งยังดื่มน้ำในปริมาณมาก ซึ่งน้ำในแถบนิโคยาจะมีแคลเซียมสูง จึงช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยที่มาจากกระดูกได้ กินถั่ววันละ 1 กำมือ : โลมา ลินดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ‘โลมา ลินดา’ เมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีวิถีชีวิตแบบชาวเมือง แต่กินเนื้อหมู และเนื้อวัว เฉลี่ยไม่เกินเดือนละ 2 ครั้ง หรือบางครั้งก็ไม่กินเลย มักกินอาหารที่มาจากพืช โปรตีนถั่ว ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัท และอัลมอนด์ วันละ 1 กำมือ ไม่กินอาหารที่มีรสเค็ม และรสหวานจัดเกินไป เน้นปลาและผัก : ซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี คนที่ซาร์ดิเนีย เป็นชาวเกาะที่กินอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน โดยเลือกกินเนื้อสัตว์ที่ไม่มีขา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อปลา หรือกินสัตว์ที่มีขาน้อยที่สุด อย่างเช่น สัตว์ปีก เพราะมีความเชื่อว่า การกินเนื้อหมู และเนื้อวัว จะทำให้มีสารพิษเข้าไปในร่างกายได้ เน้นการปรุงอาหารโดยใช้น้ำมันมะกอก และน้ำมันจากถั่วเปลือกแข็ง ที่มีวิตามินอีสูง มีไขมันอิ่มตัว ที่ช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลลดลง ดื่มไวน์ Cannonau ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าไวน์อื่นๆ ในมื้อเย็น โดยปริมาณที่ดื่มต่อวัน ผู้ชายจะดื่มไม่เกิน 2 แก้ว และผู้หญิงดื่มไม่เกิน 1 แก้ว รวมถึงใช้เวลากินข้าวมื้อละประมาณ 30 นาที เพื่อให้ไม่มีความเร่งรีบ และมีความสุขกับการกินมากที่สุด   2.ไม่ปล่อยให้ร่างกายอยู่เฉยๆ   การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของคนในพื้นที่Blue Zone ได้เผยให้เห็นว่า คนในพื้นที่เหล่านี้ มักมีวิถีชีวิตที่กระตือรือร้น และเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ โดยพวกเขามักทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงงานในชีวิตประจำวัน เช่น ผู้สูงอายุชาวโอกินาวาขยับร่างกายด้วยการทำสวนพืชผักสมุนไพร ชาวซาดิเนีย และชาวโลมา ลินดาที่ชอบเดินออกกำลังกายมากกว่านั่งรถ ผู้สูงอายุชาวนิโคยาที่เดินจ่ายตลาด ผ่าฟืน และทำงานบ้านในทุกวัน เป็นต้น1,2   3.รับแดดบ้าง   คนใน Blue Zone มักใช้เวลาในช่วงกลางวันอยู่กลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอ พวกเขามักได้รับแสงแดดที่เพียงพอซึ่งช่วยในการผลิตวิตามินดี และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม การสัมผัสแสงแดดในระดับที่เหมาะสม เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้คนในพื้นที่เหล่านี้มีสุขภาพดี และอายุยืนยาว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Dr.Greg Plotnikoff ที่ทำงานร่วมกับ Dan Buettner บอกว่า แสงแดดช่วยให้ร่างกายผลิตวิตามินดี ซึ่งมีประโยชน์ในการเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยควบคุมการเติบโตของเซลล์ หากขาดวิตามินดี อาจส่งผลให้กระดูก และฟันไม่แข็งแรง กล้ามเนื้ออ่อนแรง เสี่ยงต่อการหกล้ม และกระดูกหัก โดยเฉพาะในผู้สูงวัย ที่เมื่อกระดูกสะโพกหัก จะยิ่งทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น รวมถึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายหลายชนิด เช่น มะเร็ง ความดันเลือดสูง เบาหวาน และโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ สำหรับผู้ป่วยโรคไต การขาดวิตามินดีอาจเร่งให้เกิดโรคหัวใจได้2   4. นอนเป็นเวลา   ผลจากการสำรวจวิถีชีวิต และพฤติกรรมการนอนของคนในพื้นที่Blue Zone พบว่า มีการนอนหลับที่มีคุณภาพ และเพียงพอ เพราะพวกเขามักมีตารางเวลานอนที่สม่ำเสมอ และให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ การนอนหลับที่มีคุณภาพ หมายถึงการเข้านอนตามตารางเวลาที่เหมาะสม เช่น ก่อน 4 ทุ่ม หรือไม่เกินเที่ยงคืน โดยไม่ตื่นกลางดึก และไม่ใช้ยานอนหลับ การหยุดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน 60-90 นาที และหลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนหลังบ่ายสอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมการนอนหลับที่ดี และต่อเนื่องยิ่งขึ้น5   5.เลี่ยงแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่   พฤติกรรมหลักของคนในพื้นที่ Blue Zone มักมีการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และใช้สารเสพติด โดยชาวโลมา ลินดา นับถือคริสตจักรเซเวนธ์เดย์แอดเวนีทิสต์ (Seventh-day Adventist Church) ที่มีข้อห้ามด้านการกินอาหารที่เคร่งครัด จึงไม่สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์1 แต่อาจมีบางที่ อย่างอิคาเรีย และซาร์ดิเนีย ที่ดื่มไวน์เล็กน้อยในระหว่างมื้ออาหาร หรือดื่มฉลองกับเพื่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าสังคม และช่วยส่งเสริมสุขภาพด้านจิตใจด้วย   6.ตั้งเป้าหมายในการใช้ชีวิต    การใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ Blue Zone มักมีเป้าหมาย และความหมายในชีวิตที่ชัดเจน ซึ่งช่วยให้พวกเขามีแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เช่น ทุกเช้าชาวโอกินาวาจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับหลักการที่เรียกว่า ‘อิคิไก’ ส่วนชาวนิโคยาเรียกว่า ‘ปลัน เด ปีดา’ หรือเป้าหมายชีวิต2 ซึ่งช่วยกระตุ้นให้พวกเขามีแรงบันดาลใจ และเป้าหมายของตัวเองตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงแค่เรื่องธรรมดาแต่มีความหมายของแต่ละคน   7.ใช้ชีวิตแบบ Slow Life   การศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์ของชาว Blue Zone เผยให้เห็นว่า คนในพื้นที่เหล่านี้ มักมีการดำเนินชีวิตอย่างช้าๆ และตั้งใจ ให้ความสำคัญในปัจจุบัน ทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และมีสุขภาพดี การให้ความสำคัญกับการผ่อนคลาย การมีเวลาอยู่กับครอบครัว และเพื่อนๆ หรือการทำกิจกรรม เช่น ผู้สูงอายุในโอกินาวามักละจากงานชั่วครู่ เพื่อมองดูท้องฟ้า ชาวซาร์ดิเนีย พื้นที่ที่นิยมเลี้ยงแกะ มักหยุดมองทุ่งหญ้าเขียวขจีจากบนพื้นที่ราบสูง หรือชาวโลมา ลินดา ที่จะใช้ช่วงเวลาสะบาโตหรือช่วงที่พระอาทิตย์ตกดินวันศุกร์ จนถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดินในวันเสาร์ เพื่อการพักผ่อนกับครอบครัว ธรรมชาติ และพระเจ้า   8. มองโลกในแง่ดี คิดบวกเสมอ   การศึกษาพฤติกรรม และความคิดของคนใน Blue Zone เผยให้เห็นว่า พวกเขามีทัศนคติที่เป็นบวก และมองโลกในแง่ดี ซึ่งช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาว และเต็มไปด้วยความสุข ซึ่งการดูแลสุขภาพจิตของพวกเขา รวมถึงการไม่เครียด มีอารมณ์ขัน และการอยู่กับปัจจุบัน เช่น ชาวซาร์ดิเนียเป็นเจ้าแห่งอารมณ์ขัน แม้จะมีปัญหาในชีวิต พวกเขาก็สามารถมองเป็นเรื่องตลก และพบปะสังสรรค์กันในช่วงบ่าย เพื่อหัวเราะกับมุกตลกอยู่เสมอ หรือผู้สูงอายุในโอกินาวา แม้จะมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก และความทรงจำเลวร้ายจากสงคราม แต่พวกเขามักมีทัศนคติที่จะปล่อยให้อดีตผ่านไป และมีความสุขเรียบง่ายกับปัจจุบันมากกว่า   9.อยู่ในสังคมที่ไม่ Toxic   พฤติกรรมการเข้าสังคมของคนใน Blue Zone เผยให้เห็นว่า การมีครอบครัว และเพื่อน ที่สามารถพูดคุยแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต พวกเขามักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้ความสำคัญกับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ที่ช่วยสร้างความสุข และสุขภาพดี เช่น โอกินาวามีประเพณี ‘โมอิ’ หรือการรวมกลุ่มเพื่อพูดคุย และช่วยเหลือกัน ทั้งเรื่องการเงิน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ขณะที่ชาวซาร์ดิเนียมีสถาบันครอบครัวที่แข็งแรง อาศัยอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ และให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูหลาน และเหลน ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตมากขึ้นไปอีก   Alternate-X สรุปให้   Blue Zone คือพื้นที่ที่มีการบันทึกว่ามีประชากรมีอายุยืนยาว และสุขภาพดี พื้นที่เหล่านี้ ได้แก่ โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี อิคาเรีย ประเทศกรีซ นิโคยา ประเทศคอสตาริกา และโลมา ลินดา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการศึกษาพบว่า คนใน Blue Zone มีลักษณะการใช้ชีวิตที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ และอายุยืนยาวเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพให้ดี และอายุยืน คือการกินอาหารที่ดี มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี การฝึกตัวเองให้มีจิตใจที่สงบ และการตั้งเป้าหมายในชีวิต เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันได้

February 17, 2025 / 0 Comments
read more

‘คลองฟูนันเตโช’ ส่อแววล่ม แม้นายกฯกัมพูชายันไร้ปัญหาเรื่องเงินกับจีน แต่เริ่มก่อสร้าง 3 เดือนไร้คืบ

BizKet

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ปฏิเสธรายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่า โครงการเมกะโปรเจกต์คลองฟูนันเตโช ซึ่งกัมพูชาร่วมทุนกับจีน และเริ่มการก่อสร้างไปเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว กำลังเผชิญปัญหาการเงินจากการที่รัฐบาลจีนลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในจีนที่อ่อนแอลง แม้กัมพูชาจะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีน ฮุน มาเนต ระบุว่า โครงการนี้ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางการดำเนินงานได้ และรัฐบาลของเขากำลังดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยปฏิบัติตามคำสั่งที่ชัดเจนเพื่อจำกัดผลกระทบต่อประชาชนในระดับรากหญ้า กัมพูชายังมีหุ้นส่วนสำรองหลายรายที่พร้อมจะช่วยดูแล หากโครงการใดล้มเหลว พร้อมทั้งยืนยันว่ากลุ่มทำงานยังคงดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต สอดคล้องกับคำยืนยันของรองนายกรัฐมนตรีซุน จันทอล ประธานคณะกรรมาธิการพิเศษโครงการก่อสร้างคลองฟูนันเตโช ซึ่งกล่าวว่าโครงการยังคงดำเนินไปตามแผน และได้ปฏิเสธรายงานจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่าโครงการล่าช้าเนื่องจากปัญหาทางการเงินของจีน โครงการคลองฟูนันเตโชมีแผนจะเริ่มเปิดใช้งานในช่วงต้นปี 2028 โดยมีงบการลงทุนมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 58,000 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของจีดีพีกัมพูชา โดยในตอนแรกรัฐบาลกัมพูชาประกาศว่าจีนจะเป็นผู้ช่วยเหลือการลงทุนทั้งหมด แต่ภายหลังมีการแก้ไขเป็นจีนจะออกเงินช่วยเหลือ 49% และบริษัทต่าง ๆ ของกัมพูชาจะเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนที่เหลือ 51% แม้โครงการเริ่มต้นด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แต่ความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะสถานที่จัดพิธีที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง และมีการรายงานถึงปัญหาด้านเงินทุนที่ไม่ตรงกันระหว่างจีนและกัมพูชา รวมถึงความกังวลของจีนที่มีต่อโครงการนี้ ก่อนหน้านี้ รอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า เนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา รัฐบาลจีนได้ลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศลง แม้ในประเทศที่จีนมองว่าเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เช่น กัมพูชา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากัมพูชามีหนี้สินกับจีนถึงหนึ่งในสามของหนี้ทั้งหมด คาดว่าในปี 2026 จีนจะระดมทุนให้กับกัมพูชาน้อยลง โดยลดจาก 240 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 เหลือเพียง 35 ล้านดอลลาร์ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ ซึ่งในครึ่งแรกของปี 2024 กัมพูชายังไม่ได้รับเงินกู้ใหม่จากจีนเลย สำหรับโครงการคลองฟูนันเตโชถือเป็นเมกะโปรเจกต์สำคัญที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตต้องการผลักดัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากแม่น้ำโขงผ่านกรุงพนมเปญไปยังอ่าวไทย ลดการพึ่งพาการขนส่งทางทะเลจากเวียดนาม คลองนี้จะมีความกว้าง 100 เมตร ลึก 5.4 เมตร และยาว 180 กิโลเมตร คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 16% โครงการนี้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2024 ด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยตรงกับวันคล้ายวันเกิดของฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ผู้ริเริ่มโครงการนี้และถูกสานต่อมาในรัฐบาลรุ่นลูก   บทสรุป  นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ปฏิเสธข่าวโครงการ คลองฟูนันเตโช เผชิญปัญหาด้านเงินทุน ยืนยันยังดำเนินตามแผน กัมพูชามีแผนสำรองหากเกิดปัญหา โครงการมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ มุ่งเชื่อม แม่น้ำโขง-พนมเปญ-อ่าวไทย ลดพึ่งพาการขนส่งผ่านเวียดนาม อย่างไรก็ตาม จีนลดการลงทุนในกัมพูชา ซึ่งอาจกระทบความคืบหน้าโครงการ     4o

January 29, 2025 / 0 Comments
read more

Ralph Lauren ครองตลาดแบรนด์หรูในจีน โตสวนทางไฮเอนด์ สะท้อนคนแผ่นดินใหญ่นิยม Quiet Luxury

BizKet

ในช่วงเวลาที่ตลาดสินค้าหรูหราในจีนกำลังซบเซา แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง ‘LVMH’ และ ‘Kering’ ต่างต้องเผชิญกับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปของชาวจีน แต่ในท่ามกลางกระแสนี้ กลับมีหนึ่งแบรนด์ที่โดดเด่นและสวนทางกับกระแสความท้าทายเหล่านั้น นั่นคือ ‘Ralph Lauren’ แบรนด์หรูจากสหรัฐฯ ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแดนมังกร เมื่อไม่นานมานี้ Ralph Lauren รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2025 โดยมียอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10% และภูมิภาคเอเชียเป็นผู้นำการเติบโต ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 11% แม้รายได้จากจีนยังคงเป็นเพียงสัดส่วนเล็กน้อย (ประมาณ 8% ของยอดขายทั้งหมด) แต่แบรนด์มองว่านี่คือก้าวแรกที่สำคัญสำหรับการขยายตลาดในประเทศนี้ นีล ซอนเดอร์ส กรรมการผู้จัดการของ GlobalData Retail ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Ralph Lauren ยังคงครองใจผู้บริโภคในจีนได้ นั่นคือ ‘ความเรียบหรูและความคลาสสิก’ ที่แตกต่างจากแบรนด์สินค้าหรูหราทั่วไป ในยุคที่ชาวจีนบางส่วนเริ่มลดความสนใจในสินค้าหรูที่แสดงถึงความมั่งคั่งเกินจำเป็น Ralph Lauren กลับนำเสนอสไตล์ที่ไม่โอ้อวด แต่ยังคงสะท้อนถึงคุณภาพและความคงทน ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาด มาร์ติน โรล นักยุทธศาสตร์ธุรกิจจาก McKinsey อธิบายเพิ่มเติมว่า แนวคิด ‘วิถีชีวิตแบบอเมริกันคลาสสิก’ ของแบรนด์นี้ สอดรับกับความสนใจของผู้บริโภคชาวจีนที่กำลังมองหาความหรูหราที่ประณีตและยั่งยืน คุณภาพและประวัติศาสตร์ของแบรนด์กลายเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่าง และทำให้แบรนด์สามารถยืนหยัดในตลาดจีนได้อย่างมั่นคง Ralph Lauren ไม่ได้หยุดอยู่แค่การนำเสนอสินค้าคลาสสิก แต่ยังใช้กลยุทธ์ Omnichannel อย่างชาญฉลาดในการเข้าถึงผู้บริโภคชาวจีน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยม เช่น Tmall, JD.com และ WeChat รวมถึงการเปิดร้านป๊อปอัปเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า อีกทั้งยังเจาะกลุ่ม Gen Z ชาวจีน ที่มีแนวโน้มซื้อสินค้าหรูผ่านช่องทางดิจิทัล นอกจากนี้ การเน้นความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมความสำเร็จ Ralph Lauren สื่อสารถึงความมุ่งมั่นในการรักษ์โลกอย่างชัดเจน ซึ่งตรงกับความสนใจของผู้บริโภครุ่นใหม่ในจีน ที่เริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกใช้สินค้าที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้ Ralph Lauren จะสามารถฝ่ากระแสและทำตลาดได้อย่างแข็งแกร่งในจีน แต่อนาคตยังคงมีความท้าทายรออยู่ ทั้งเรื่องภาษีศุลกากรและกระแสชาตินิยมในจีน ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของแบรนด์ อย่างไรก็ตาม นี่คือบทพิสูจน์สำคัญว่า Ralph Lauren สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และจะรักษาความนิยมในตลาดจีนได้อย่างยั่งยืนแค่ไหน บทสรุป  ในขณะที่ตลาดสินค้าหรูในจีนซบเซา Ralph Lauren กลับเติบโตสวนทาง ด้วยยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10% และในเอเชียเพิ่มขึ้น 11% ปัจจัยสำคัญคือสไตล์ เรียบหรู คลาสสิก และยั่งยืน ซึ่งตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคจีนที่เปลี่ยนไป แบรนด์ใช้กลยุทธ์ Omnichannel และเน้นความยั่งยืนเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z อย่างไรก็ตาม ยังต้องเผชิญความท้าทายจากภาษีและกระแสชาตินิยมในจีน

January 29, 2025 / 0 Comments
read more

เปิดจดหมายปู่บัฟเฟตต์ ตั้งใจบริจาค 1.1 พันล้านดอลลาร์ สานต่อการกุศล ไม่หวังลูกหลานบริหารความรวยต่อ

BizKet

วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกและผู้ก่อตั้งบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) แสดงจุดยืนของเขาในฐานะที่มีแนวคิดต่างจากมหาเศรษฐีทั่วไปอีกครั้ง โดยการยืนยันว่าจะไม่ส่งต่อทรัพย์สินที่มีอยู่มหาศาลให้กับลูกหลานทายาท แต่เลือกที่จะบริจาคให้การกุศลแทน พร้อมแต่งตั้งดูแลทรัพย์สินอิสระ 3 คน เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินของเขาจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด   ในจดหมายของบัฟเฟตต์ ที่เขียนถึงกลุ่มผู้ถือหุ้น นักลงทุนระดับตำนาน วัย 94 ปี ได้สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของชีวิตเขาในช่วงบั้นปลาย โดยกล่าวว่า ครั้งหนึ่งที่เขาหวังว่าภรรยาคนแรกของเขาจะมีชีวิตยืนยาวกว่าและตัดสินใจเรื่องการกระจายทรัพย์สินหลังจากเขาจากไป “เวลาชนะเสมอ แต่สำหรับเขามักจะไม่แน่นอน แน่นอนว่ามันไม่ยุติธรรมและโหดร้ายมาก บางครั้งถึงขั้นจบชีวิตตั้งแต่แรกเกิดหรือหลังจากนั้นไม่นาน ในขณะที่บางคนก็ต้องรอเป็นศตวรรษก่อนเวลาที่พลัดพรากจะมาเยี่ยมเยียน”  ในจดหมายที่มีความยาวเกือบ 1,300 คำ บัฟเฟตต์กล่าวว่าเขาหวังว่าลูกๆ ทั้งสามของเขา ได้แก่ ซูซี ฮาวเวิร์ด และปีเตอร์ บัฟเฟตต์ ซึ่งมีอายุ 71, 69 และ 66 ปี จะมีชีวิตอยู่นานพอที่จะตัดสินใจได้ว่าทรัพย์สมบัติของพ่อของพวกเขาจะบริจาคให้กับองค์กรการกุศลใด เมื่อบัฟเฟตต์เสียชีวิต พวกเขาจะได้รับมอบหมายให้ การตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติของพ่ออย่างไร “ผมไว้ใจลูกทั้ง 3 อย่างสมบูรณ์ แต่สำหรับคนรุ่นต่อไป ผมไม่อาจคาดเดาความสามารถและความซื่อสัตย์ในการบริหารทรัพย์สินได้”  บัฟเฟตต์ วางแผนไว้ว่า หากในกรณีที่ลูกๆ ทั้งสามคนของเขา ไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ หรือไม่สามารถดูแลทรัพย์สินของเขาตามเจตนารมณ์ได้ เขาได้แต่งตั้งผู้ดูแลทรัพย์สินที่อาจสืบทอดตำแหน่งอีก 3 คน (กองทรัสตี้ 3 คน)  แต่ไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นใคร ในจดหมายบัฟเฟตต์ยังระบุอีกว่า  เขาจะเปลี่ยนหุ้น Class A จำนวน 1,600 หุ้นของบริษัทให้เป็นหุ้น Class B จำนวน 2.4 ล้านหุ้น ซึ่งมีสิทธิในการลงคะแนนน้อยกว่า โดย 1.5 ล้านหุ้นจะถูกบริจาคให้กับมูลนิธิซูซาน ทอมป์สัน บัฟเฟตต์ ซึ่งตั้งชื่อตามภรรยาคนแรกของเขาที่เสียชีวิต และอีก 300,000 หุ้นจะถูกแบ่งให้กับสามมูลนิธิที่บริหารโดยลูกๆ ทั้ง 3 คน รวมมูลค่าเกือบ 1.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 41,500 ล้านบาท)  “อายุขัยของลูกๆ ของผมลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2006 ผมไม่เคยต้องการสร้างอาณาจักรความมั่งคั่งหรือแผนการใดๆ ที่ยาวไปเกินลูกๆ ของผม” บัฟเฟตต์ ระบุในจดหมายว่า หากในวันที่เขาลาโลกและลูกๆ ยังคงมีความสามารถในการจัดการทรัพย์สิน เขาตั้งใจให้ลูกๆ กระจายหุ้น Berkshire ทั้งหมดของเขาซึ่งคิดเป็น 99.5% ไปในการบริจาคด้านการกุศลตามองค์กรต่างๆ “ผมไม่เคยต้องการสร้างอาณาจักรความมั่งคงหรือดำเนินการตามแผนเพื่อความร่ำรวยใดๆ ที่จะขยายออกไปไกลเกินกว่าลูกๆของผมจะบริหารได้” ทั้งนี้ ตามรายงานของฟอส์บส์ระบุว่า ตลอดชีวิตของบัฟเฟตต์ น่าจะมหาเศรษฐีเป็นผู้ใจบุญมากที่สุดตลอดกาล โดยเขาได้บริจาคเงินมากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ ตลอดชีวิตของเขา จากการประเมินของฟอส์บส์ บัฟเฟตต์เป็นมหาเศรษฐีที่มีความร่ำรวยสุทธิราว 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เขาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 6 ของโลก บทสรุป  วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกประกาศว่าจะไม่ส่งมรดกให้ลูกหลาน แต่จะบริจาคทรัพย์สินให้กับองค์กรการกุศล พร้อมตั้งผู้ดูแลทรัพย์สิน 3 คนเพื่อให้แน่ใจว่าทรัพย์สินจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เขาหวังว่าลูกๆ ของเขาจะตัดสินใจการบริจาคอย่างมีเอกฉันท์ หากลูกๆ ไม่สามารถทำได้ เขาจะมอบหมายให้ผู้ดูแลทรัพย์สินแทน โดยให้บริจาคหุ้น Berkshire 99.5% ให้กับองค์กรการกุศล เมื่อเขาเสียชีวิต บัฟเฟตต์บริจาคเงินกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ให้กับการกุศลตลอดชีวิต

January 29, 2025 / 0 Comments
read more

ลุ้นเข้าไทย! Skoda รถสัญชาติเช็ก โผล่วิ่งทดสอบในไทย หลังโรงงานในเวียดนามเริ่มผลิต เล็งเจาะขายอาเซียน

BizKet

ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนหนึ่งได้โพสต์ภาพและข้อความในกลุ่ม EV Club Thailand Group หลังพบรถยนต์แบรนด์ใหม่ไม่คุ้นเคย ติดป้ายทะเบียนรถทดสอบ กำลังวิ่งอยู่ในจังหวัดภูเก็ต หลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ มีผู้แสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ระบุว่ารถยนต์ดังกล่าวคือ Skoda แบรนด์รถยนต์จากสาธารณรัฐเช็ก รุ่นที่กำลังทดสอบคือ Skoda Superb รถเก๋ง 4 ประตู D-segment ที่มีขนาดใกล้เคียงกับ Toyota Camry หรือ Honda Accord   หาก Skoda เข้าสู่ตลาดไทยจริง คาดว่าจะดำเนินการผ่านตัวแทนจำหน่ายของ Audi ซึ่งอยู่ในเครือ Volkswagen Group   ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีรายงานข่าวจากสื่อเวียดนามว่า Skoda Auto เตรียมเปิดโรงงานผลิตแห่งแรกในเวียดนาม เพื่อรองรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดกวางนิญทางภาคเหนือของเวียดนาม ซึ่งสร้างเสร็จแล้ว 90% และเริ่มทดลองใช้งานบางส่วนในเดือนพฤษภาคม คาดว่าโรงงานขนาด 36.5 เฮกตาร์แห่งนี้จะมีกำลังการผลิตสูงถึง 120,000 คันต่อปี โดยการประกอบรถยนต์จะเริ่มในช่วงปลายปี 2024 และวางจำหน่ายในปี 2025   ในช่วงแรก โรงงานจะผลิตรถซีดานและ SUV ระดับ B ก่อนขยายสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อรุกตลาดอาเซียน Skoda เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเวียดนามเมื่อกันยายน 2023 และตั้งเป้าขยายตัวแทนจำหน่ายเป็น 20 รายภายในปี 2025 และ 30 รายภายในปี 2028 พร้อมตั้งเป้ายอดขายปีละ 40,000 คันในปี 2030 โดยมองว่าเวียดนามเป็นประตูสำคัญสู่ภูมิภาคอาเซียน อนึ่ง ก่อนหน้า Skoda เคยทำตลาดในไทยโดยมีดีลเลอร์ผู้จัดจำหน่ายคือ ยนตรกิจ เมื่อหลายสิบปีก่อนจะออกจากตลาดประเทศไทยไป ที่มาเพจกลุ่ม EV Club Thailand Group บทสรุป  ผู้ใช้เฟซบุ๊กในกลุ่ม EV Club Thailand ได้โพสต์ภาพรถทดสอบที่คาดว่าเป็น Skoda Superb ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับ Toyota Camry และ Honda Accord หาก Skoda เข้าสู่ตลาดไทยจะผ่านตัวแทนจำหน่ายของ Audi ในกลุ่ม Volkswagen Group ก่อนหน้านี้ Skoda เตรียมเปิดโรงงานในเวียดนามเพื่อรองรับตลาดอาเซียน โดยเริ่มผลิตรถในปลายปี 2024 และมีกำหนดจำหน่ายในปี 2025 พร้อมตั้งเป้าขยายตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคนี้

January 29, 2025 / 0 Comments
read more

อินโดบอกปัดแผนลงทุนจากแอปเปิล ระบุน้อยไปเมื่อเทียบไทย-เวียดนาม

BizKet

รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซียเผยว่า ข้อเสนอการลงทุนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์จาก Apple ยังไม่เพียงพอที่จะยกเลิกคำสั่งห้ามขาย iPhone 16 ในประเทศ หลังบริษัทไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% ซึ่งบังคับใช้กับสมาร์ทโฟนทุกแบรนด์ รวมถึง Google   Apple ยื่นข้อเสนอเงินลงทุนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้รัฐบาลทบทวนคำสั่งแบน แต่รัฐมนตรีอากัส กุมิวัง ระบุว่าข้อเสนอนี้ “ไม่เป็นธรรม” เมื่อเทียบกับการลงทุนในไทยและเวียดนาม หรือคู่แข่งอย่าง Samsung และ Xiaomi ที่ลงทุนในอินโดนีเซียถึง 8 ล้านล้านและ 55 ล้านล้านรูเปียห์ตามลำดับ   Apple เคยให้คำมั่นลงทุน 1.7 ล้านล้านรูเปียห์ โดยได้ดำเนินการไปแล้ว 1.5 ล้านล้านรูเปียห์ แต่ยังเหลืออีก 10 ล้านดอลลาร์ที่ต้องส่งมอบตามสัญญาเดิม และต้องปรับแผนลงทุนเพิ่มสำหรับปี 2567-2570   ทั้งนี้ อินโดนีเซียมีมาตรการปกป้องเศรษฐกิจในประเทศมาโดยตลอด เช่น บังคับให้ TikTok แยกฟีเจอร์ช็อปปิ้งออกเพื่อปกป้องค้าปลีกจากสินค้าจีน   ตลาดอินโดนีเซียเป็นที่จับตามองของบริษัทยักษ์ใหญ่ ด้วยประชากรหนุ่มสาวและผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนกว่า 350 ล้านเครื่อง การเจาะตลาดระยะยาวในประเทศที่กำลังเติบโตนี้จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับ Big Tech ทั่วโลก บทสรุป  รัฐบาลอินโดนีเซียปฏิเสธข้อเสนอการลงทุน 100 ล้านดอลลาร์จาก Apple เพื่อยกเลิกคำสั่งห้ามขาย iPhone 16 เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 40% ซึ่งบังคับใช้กับทุกแบรนด์ เช่น Google โดยรัฐมนตรีอากัส กุมิวังชี้ว่า ข้อเสนอนี้ “ไม่เป็นธรรม” เมื่อเทียบกับการลงทุนของคู่แข่งอย่าง Samsung และ Xiaomi Apple เคยให้คำมั่นลงทุน 1.7 ล้านล้านรูเปียห์ และยังต้องปรับแผนลงทุนเพิ่มเติมในปี 2567-2570 อินโดนีเซียมีมาตรการปกป้องเศรษฐกิจในประเทศอย่างเข้มงวด

January 29, 2025 / 0 Comments
read more

ถ้าลำไส้ดี สุขภาพของเราก็ดีไปด้วย  อย่าปล่อยให้สาย เช็คก่อน รู้ก่อน เป็น ‘มะเร็งลำไส้ใหญ่’ 

Peace&Play

ข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์  พบว่าทุกวันนี้มีคนไทยเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่เฉลี่ย 15 คนต่อวันหรือปีละกว่า 5,476 คน และมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นถึงปีละ 15,000 คน  จากตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความอันตรายของ ‘มะเร็งลำไส้ใหญ่’ โรคร้ายที่มักเจอตอนที่มีอาการหนักแล้ว เพราะบ่อยครั้งที่กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัว ก้อนเนื้อในลำไส้ก็ใหญ่มากจนทำให้ระบบขับถ่ายมีปัญหา ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นอุจจาระเป็นเลือด  พญ.สาวินี จิริยะสิน แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหาร ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ รพ.วิมุต ได้เล่าถึงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ พร้อมแนะนำการปรับไลฟ์สไตล์เพื่อป้องกันโรคง่าย ๆ และย้ำเตือนถึงความสำคัญในการตรวจคัดกรองเพื่อหาสัญญาณของโรคก่อนพบเนื้อร้ายในวันที่สาย 4 ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในลำไส้ ทำให้เกิดติ่งเนื้อเล็ก ๆ ที่โตขึ้นจนทำให้ลำไส้ตีบ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายผิดปกติ โดยมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค  พันธุกรรม เพราะหากคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อหรือแม่ มีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ เราจะเสี่ยงเป็นเช่นเดียวกัน  อายุ แน่นอนว่าเมื่ออายุมากขึ้น ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้น  อาหารและไลฟ์สไตล์ เช่น ชอบกินอาหารแปรรูปบ่อย ๆ ไม่กินอาหารที่มีกากใย ไม่ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ซึ่งเสี่ยงทำให้ท้องผูก รวมถึงพฤติกรรมอย่างการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้  ผู้ที่เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease – IBD) ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่เช่นกัน ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้ขับถ่ายผิดปกติ ดังนั้นอาการที่สังเกตได้ชัด ได้แก่ ท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระลำเล็กลงหรือเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายกระสุน ถ่ายเป็นเลือดเนื่องจากก้อนมะเร็งเกิดแผลและมีเลือดออก นอกจากนี้ยังมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด คล้ายกับอาการของมะเร็งอื่น ๆ ร่วมด้วย พญ.สาวินี จิริยะสิน เล่าต่อว่า “สิ่งที่น่ากังวลคือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะแรกจะไม่แสดงอาการเลย กว่าเราจะรู้ตัวก็มักจะมีอาการหนัก เพราะก้อนเนื้อในลำไส้โตมากแล้ว หัวใจสำคัญในการป้องกันคือควรมาตรวจคัดกรองตั้งแต่ยังไม่มีอาการ โดยเฉพาะในผู้ที่อายุ 45 ปีขึ้นไป” ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ตรวจคัดกรองมะเร็งได้แม่นยำที่สุด ปัจจุบันมีวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่หลายวิธี ได้แก่ การตรวจเม็ดเลือดแดงแฝงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test – FOBT) การตรวจเลือดหาค่าบ่งชี้มะเร็งลำไส้ CEA (Carcinoembryonic Antigen) และการตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Colonography) แต่ทุกวิธีอาจมีความไวและความจำเพาะไม่มากพอที่จะตรวจหาติ่งเนื้อขนาดเล็กในลำไส้ใหญ่  หรือหากตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบติ่งเนื้อก็จำเป็นต้องส่องกล้องเพื่อตัดออกอยู่ดี  ดังนั้นการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบันคือการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ เพราะตรวจเจอติ่งเนื้อขนาดเล็กได้ และถ้าเจอติ่งเนื้อก็สามารถตัดออกได้ทันที  เตรียมตัวอย่างไรก่อนส่องกล้อง พญ.สาวินี จิริยะสิน อธิบายเสริม “คนส่วนมากเวลาได้ยินถึงการส่องกล้องก็จะกังวลว่ามันจะเจ็บและอันตราย แต่จริง ๆ แล้วการส่องกล้องลำไส้ใหญ่นั้นปลอดภัยมาก ใช้เวลาไม่นาน ความเสี่ยงต่ำ และแม่นยำที่สุด การเตรียมตัวก่อนการส่องกล้องก็ไม่ยุ่งยาก แค่งดอาหารที่มีไฟเบอร์จำพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช ทานยาระบาย และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อล้างลำไส้ใหญ่ เวลาตรวจก็มีการให้ยาระงับความรู้สึกทำให้ไม่เจ็บ และไม่รู้สึกตัวขณะที่ส่องกล้อง  หลังส่องกล้องอาจมีอาการแน่นท้องได้ เนื่องจากมีการเป่าลมเข้าไประหว่างส่องกล้อง ซึ่งอาการจะหายเองภายใน 24 ชั่วโมง การตรวจใช้เวลาประมาณ 30 นาที ระหว่างการตรวจหากพบติ่งเนื้อระหว่างการตรวจ แพทย์สามารถตัดออกและนำไปวินิจฉัยต่อได้ทันที เครื่องมือทางการแพทย์ปัจจุบันมีความทันสมัย อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าการส่องกล้องไม่น่ากลัว ไม่เจ็บ และช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง” ป้องกันก่อนเป็นทะเร็งลำใส้ใหญ่ “มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคอันตรายที่สังเกตได้ยาก เพราะกว่าจะมีอาการก้อนเนื้อมะเร็งก็โตมากแล้ว ส่วนคนที่อยากลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการปรับไลฟ์สไตล์ เริ่มจากทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น งดอาหารแปรรูปซึ่งอาจมีสารก่อมะเร็ง หันมาออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่เพิ่มการเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมถึงหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ และที่สำคัญต้องมาตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ”  ส่วนใครที่อายุ 45 ปีขึ้นไป ก็ควรมาตรวจคัดกรองด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แม้จะยังไม่มีอาการ หากปกติแนะนำตรวจคัดกรองทุก 10 ปี สำหรับคนที่มีญาติสายตรงลำดับหนึ่ง เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นโรคนี้ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยแนะนำมาส่องกล้องตั้งแต่อายุ 40 ปี หรือ 10 ปีก่อนหน้าที่ญาติอายุน้อยที่สุดได้รับการวินิจฉัย เช่น ถ้าพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อายุ 45 ปี ลูกควรส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ตอนอายุ 35 ปี  อยากย้ำว่าส่องกล้องไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และการพบเจอโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้รักษาทันก่อนจะสายเกินแก้” พญ.สาวินี จิริยะสิน กล่าว ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 5 หรือโทรนัดหมาย 02-079-0054 เวลา 8.00-20.00 น. หรือใช้บริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน ViMUT App คลิก https://bit.ly/372qexX   บทสรุป  มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคร้ายที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงในไทย โดยเฉลี่ย 15 คนต่อวัน หรือ 5,476 คนต่อปี การตรวจคัดกรองเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดโรค เนื่องจากอาการมักปรากฏเมื่อก้อนมะเร็งโตมากแล้ว ปัจจัยเสี่ยงประกอบด้วยพันธุกรรม, อายุ, ไลฟ์สไตล์ และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง การส่องกล้องลำไส้ใหญ่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจพบมะเร็งและติ่งเนื้อ การปรับพฤติกรรม เช่น การทานผักผลไม้, ออกกำลังกาย, และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

January 29, 2025 / 0 Comments
read more

ชวนไปเที่ยว ‘ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ’ ญี่ปุ่น ขยายโซน ‘SUPER NINTENDO WORLD (TM)’ ธีมดองกิแห่งแรกของโลก

Peace&Play

ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน  (Universal Studios Japan) ภายใต้การบริหารโดยบริษัท ยูเอสเจ แอลแอลซี (USJ LLC) กำลังขยายโซนซูเปอร์ นินเทนโด เวิลด์ (SUPER NINTENDO WORLD) โซนยอดนิยมที่มีผู้มาเยือนมากมายในทุกวัน นับแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2564  ล่าสุดได้เพิ่มพื้นที่ ‘ดองกีคอง คันทรี’ (Donkey Kong Country) ซึ่งเป็นพื้นที่ธีมดองกีคองแห่งแรกของโลก โดยเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันพุธที่ 11 ธันวาคม 2567  เพื่อยกระดับและเพิ่มพูนคุณค่าเชิงประสบการณ์ของ SUPER NINTENDO WORLD ซึ่งการเพิ่มพื้นที่ใหม่นี้จะทำให้ SUPER NINTENDO WORLD มีพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 70% จากขนาดปัจจุบัน ด้วยพื้นที่ใหม่หมดจดที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะส่งเสริมประสบการณ์ของผู้มาเยือนไปสู่ระดับที่สูงยิ่งกว่าเดิม เครื่องเล่น  เผยโฉมภายใน ‘วิหารทองคำ’ อันโอ่อ่า ด้วยคุณภาพอันน่าทึ่ง วิหารทองคำ (The Golden Temple) คือสิ่งก่อสร้างส่องประกายแวววาวที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของป่าทึบ โดยปรากฏอยู่ในด่านหนึ่งของเกมดองกีคอง เมื่อก้าวเข้าไปภายในวิหารทองคำแล้ว ผู้มาเยือนจะรู้สึกราวกับว่าได้ก้าวเข้าสู่โลกของดองกีคอง และทั่วสรรพางค์กายจะได้สัมผัสบรรยากาศของซากปรักหักพังอันลึกลับ นอกจากนี้ ภายในวิหารทองคำยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน พื้นที่อันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งนี้ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับความตื่นเต้นของเครื่องเล่นก่อนที่จะได้ขึ้นเครื่องเล่นเสียอีก ความคิดเห็นจากแดเนียล กรีเออร์ (Daniel Greer) โปรดิวเซอร์ของยูนิเวอร์แซล ครีเอทีฟ (Universal Creative) “ในพื้นที่ Donkey Kong Country ผู้มาเยือนสามารถดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์ป่าเขตร้อนอันอุดมสมบูรณ์แบบที่เห็นในซีรีส์วิดีโอเกมยอดนิยม และได้สำรวจสถานที่สมจริงที่ตั้งอยู่ในป่าลึก ซึ่งรวมถึงวิหารทองคำ นอกจากนั้นยังมีเครื่องเล่นใหม่อย่างไมน์คาร์ต แมดเนส (Mine Cart Madness) ซึ่งเป็นรถไฟเหาะแบบใหม่สุดสร้างสรรค์ที่ไม่ยึดติดกับแนวคิดเดิม ๆ และจะมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายที่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกระโดดข้ามช่องว่าง เราตั้งตารอต้อนรับผู้มาเยือนให้มาร่วม ‘PLAY WILD!’ ผ่านประสบการณ์สุดตื่นเต้นเร้าใจที่จะกระตุ้นทั้งการมองเห็นและสัญชาตญาณของคุณ” ผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ สัมผัสประสบการณ์สุดตื่นเต้นเหนือความคาดหมายไปกับรถไฟเหาะเจนเนอเรชันใหม่สุดล้ำ ‘MINE CART MADNESS’ เครื่องเล่นและพื้นที่สำหรับขึ้นเครื่องเล่น ‘Mine Cart Madness’ ซึ่งเป็นเครื่องเล่นใหม่สุดสร้างสรรค์ที่แหวกแนวคิดเดิม ๆ ได้เผยโฉมให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส เครื่องเล่นนี้เป็นรถไฟเหาะแบบใหม่ที่ตื่นเต้นเร้าใจ พร้อมปลุกเร้าสัญชาตญาณทั้งทางร่างกายและการมองเห็นของผู้มาเยือน เครื่องเล่นนี้ได้รับการพัฒนาด้วยความร่วมมือจากทีมงานสร้างสรรค์ของนินเทนโด ซึ่งรวมถึงชิเงรุ มิยาโมโตะ (Shigeru Miyamoto) กรรมการตัวแทนและนักวิจัย บริษัทนินเทนโด ผู้มาเยือนจะกระโดดขึ้นเครื่องเล่นและพุ่งทะยานผ่านป่าเพื่อช่วยดองกีคองและดิดดีคอง (Diddy Kong) ปกป้องกล้วยทองคำที่ใคร ๆ ก็ต้องการให้พ้นจากเงื้อมมือของชนเผ่าติกิตัก (Tiki Tak Tribe) ระหว่างนั่งรถไฟเหาะสำหรับครอบครัวที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งมีระบบเครื่องเล่นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และการออกแบบรถไฟเหาะที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร โดยจะพาผู้โดยสารไปสัมผัสกับการผจญภัยสุดตื่นเต้นด้วยการเคลื่อนที่ที่จะทำให้อ้าปากค้าง ทั้งความรู้สึกเหมือนถูกยิงออกจากถังไม้แบบในเกม การกระโดดข้ามช่องว่างขณะเร่งความเร็วไปตามรางที่โยกเยก และอีกมากมาย ดองกีคอง เป็นซีรีส์วิดีโอเกมที่สร้างสรรค์โดยนินเทนโด ภายใต้การนำของชิเงรุ มิยาโมโตะ กรรมการตัวแทนและนักวิจัย บริษัทนินเทนโด โดยเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลกมาหลายรุ่นแล้ว ‘DONKEY KONG COUNTRY’ พร้อมนำเสนอเครื่องเล่นสุดล้ำสมัยพร้อมเซอร์ไพรส์เหนือความคาดหมาย ซึ่งรวมถึงอาหารและการชอปปิง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ครอบคลุมอันถือเป็นการเดินทางครั้งใหม่สำหรับ Universal Studios Japan โดยข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ใหม่และประสบการณ์มากมายที่รอคอยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสนั้น จะมีการประกาศก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ สำหรับนักเดินทาง/นักท่องเที่ยวสายตะลุยโลกแฟนตาซีมหัศจรรย์ หากพร้อมแล้วที่จะไปเพลิดเพลินไปกับโลกของ ‘Donkey Kong’ ได้อย่างง่ายดายได้ด้วยตั๋วพิเศษใหม่! และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการขยายตัวของ SUPER NINTENDO WORLD ขณะนี้มีการจำหน่ายตั๋ว ‘Universal Express Pass: Donkey Kong Special’ ซึ่งรวมถึงเครื่องเล่นยอดนิยมที่สุด ที่สำคัญยังเพลิดเพลินไปช่วงเวลารอที่สั้นลง สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ล่าสุด ข้อมูลตั๋ว: รวมถึงเครื่องเล่นใหม่ ‘Mine Cart Madness’ และตัวเลือกจากรายการต่อไปนี้เลือกหนึ่งสิทธิประโยชน์จากสามตัวเลือกต่อไปนี้: รูปถ่ายรถ Mine Cart Madness รูปภาพเครื่องเล่น Yoshi’s Adventure™ Ride คูปองช้อปปิ้งมูลค่า 2,200 เยน สำหรับสินค้า SUPER NINTENDO WORLD เท่านั้น * คูปองสามารถใช้ได้ที่ร้านค้าและรถเข็นนอกพื้นที่ SUPER NINTENDO WORLD * ตั๋วนี้ไม่รวมการเข้าสถานที่ท่องเที่ยว Yoshi’s Adventure ระยะเวลาการขาย: วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2024 เริ่มเวลา 12.00 น ราคาตั๋ว: 4,200 เยน – 8,400 เยน (รวมภาษี) วันที่มีสิทธิ์ใช้งาน: วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2567 – วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2567 *ยกเว้นช่วง NO LIMIT! นับถอยหลังปี 2025 จุดจำหน่ายบัตร: เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปนhttps://www.usj.co.jp/web/en/us *บัตร Universal Express Pass ประเภทอื่นๆ (สำหรับใช้ในและหลังเดือนมกราคม) จะมีจำหน่าย โปรดตรวจสอบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Universal Studios Japan บทสรุป  ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน เปิดพื้นที่ “ดองกีคอง คันทรี” ในโซน SUPER NINTENDO WORLD เพิ่มขึ้น 70% จากเดิม พร้อมเครื่องเล่นใหม่ “Mine Cart Madness” ที่มอบประสบการณ์รถไฟเหาะสุดตื่นเต้น ผู้มาเยือนจะได้สำรวจป่าลึกและวิหารทองคำที่เหมือนโลกในเกม ดองกีคอง พร้อมทั้งกิจกรรมและการช้อปปิงในธีมเดียวกัน เพื่อยกระดับประสบการณ์การเยี่ยมชมที่ไม่เหมือนใคร การเปิดตัวจะเกิดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม 2567

January 29, 2025 / 0 Comments
read more

King ต่อยอดความแกร่ง ‘รำข้าว’ มุ่งนวัตกรรมสุขภาพ-ความงาม สู่ธุรกิจอนาคตใหม่ที่ยั่งยืน

BizKet

King ย้ำความเป็นที่ 1 ตลาดน้ำมันรำข้าวไทยตลอด 47 ปี เดินหน้าขยายตลาดน้ำมันเพื่อสุขภาพเกรดพรีเมี่ยม พร้อมสานต่อคุณค่าของรำข้าวไทย สู่นวัตกรรมส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน  ประทีป สันติวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง ผู้ผลิตและทำตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวคิง (King) ย้อนที่มากลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงเริ่มก่อตั้งกิจการในปี 2520 ภายใต้วิสัยทัศน์ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารที่เชื่อมั่นในคุณค่าของ ‘รำข้าวไทย’ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุดในเมล็ดข้าว ภายใต้การวิจัยและพัฒนา(R&D) ด้วยกระบวนการผลิตสินค้าตามมาตรฐานระดับสากล เป็นระยะเวลาร่วม 47 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของ ‘คิง’ (King) ในตลาดน้ำมันพืชประกอบการอาหารระดับพรีเมี่ยม ถึงในปัจจุบัน  ในโอกาสที่กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงเข้าสู่ปีที่ 48 ในปี 2568 นี้บริษัท ได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค พร้อมสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยสานต่อการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด ‘Limitless Innovation’ การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดนิ่ง จากการนำคุณค่าของ ‘รำข้าวไทย’ มาสู่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มากด้วยคุณประโยชน์และยังสอดคล้องกับกระแสการดูแลและใส่ใจสุขภาพของคนรุ่นใหม่ ในปัจจุบัน  “เทรนด์การดูแลสุขภาพยังเป็นที่นิยมเสมอมาทำให้เรามองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างความแตกต่างในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยม เช่นเดียวกับน้ำมันรำข้าวคิงที่มีคุณภาพสูงเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่าวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่รักการดูแลสุขภาพได้เป็นอย่างดี” นายประทีป กล่าวพร้อมเสริมว่า กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงยังได้เตรียมแผนพัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่ออนาคต ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ : พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับวัตถุดิบและการขนส่ง เพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงสัตว์และลดต้นทุนการผลิต ด้วยการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม น้ำมันรำข้าว : ใช้ความเชี่ยวชาญในการผลิตน้ำมันรำข้าวมาเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์นี้ ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆ : โดยใช้ครีมเทียมน้ำมันรำข้าวเป็นส่วนผสมพื้นฐาน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และได้รับรสชาติของความอร่อย ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอางและความงาม : โดยอยู่ระหว่างสำรวจตลาดด้านความงามเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับแบรนด์ในการก้าวเข้าสู่ตลาดนี้  โดย ปัจจุบันกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงมี 7 ผลิตภัณฑ์ภายใต้กลุ่มธุรกิจอาหาร ประกอบด้วย 1. น้ำมันรำข้าวคิง ฝาเขียว โอรีซานอล 8,000 ppm, 2. น้ำมันรำข้าวคิง ฝาทอง โอรีซานอล 12,000 ppm, 3.น้ำมันรำข้าวRicely โอรีซานอล 15,000 ppm, 4. เนยขาวน้ำมันรำข้าวคิง, 5. ครีมเทียมน้ำมันรำข้าวคิง, 6. แป้งรำข้าวคิง และ 7.ไรซ์บัตเตอร์ คิง  ทั้งนี้ จากความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้า ยังผลักดันให้น้ำมันรำข้าวคิงเป็นแบรนด์ Top of mind ของคนไทยอีกด้วย (อ้างอิงผลสำรวจด้านทัศนคติและพฤติกรรมผู้บริโภคน้ำมันประกอบอาหาร ในปี 2560 ของบริษัท Research Matters)  ขณะเดียวกัน บริษัทได้วาง 3 กลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้   ตั้งงบการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านบาท เพื่อช่วยเสริมสร้างฐานการผลิตและขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในตลาด และเตรียมพร้อมกับการเติบโตในอนาคต เพิ่มแหล่งรับวัตถุดิบ โดยจะตั้งโรงงาน TRJ สาขานครสวรรค์ เพื่อสร้างความมั่นคงในด้านวัตถุดิบและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบ ลงทุนในเครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาคุณภาพและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้ตอบสนองต่อมาตรฐานคุณภาพที่สูงขึ้น  “เรามีความมั่นใจในแผนการเติบโตนี้ และพร้อมที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงเทคโนโลยีที่จำเป็นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่ และมุ่งมั่นในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นผู้นำในตลาดน้ำมันรำข้าว”   ประทีป กล่าวพร้อมเสริมอีกว่า บริษัทยังมีแผนนำธุรกิจเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบและแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายการลงทุนธุรกิจอย่างโปร่งใสและยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเติบโต เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคงในอนาคต  จากแนวทางดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตของกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง มุ่งสู่รายได้ 10,000 ล้านบาทในปี 2573 โดยในปี 2568 ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 8,000 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น  ขณะที่ ปัจจุบัน ตลาดน้ำมันพืชในประเทศไทย  คาดมีมูลค่ารวมประมาณ 25,000-26,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกลุ่มน้ำมันปาล์ม ราว 70 % กลุ่มน้ำมันถั่วเหลือง 20% กลุ่มน้ำมันรำข้าว สัดส่วน 4-5% และที่เหลือราว 5% จะเป็นกลุ่มน้ำมันพืชอื่นๆ โดย King ยังครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ1 ตลาดน้ำมันรำข้าวในประเทศไทย      บทสรุป  กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง ย้ำความเป็นผู้นำตลาดน้ำมันรำข้าวไทยตลอด 47 ปี พร้อมขยายตลาดน้ำมันเพื่อสุขภาพเกรดพรีเมี่ยม มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสุขภาพและนวัตกรรมเพื่ออนาคต เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ น้ำมันรำข้าว และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอาง โดยบริษัทตั้งงบลงทุน 1,300 ล้านบาท เพื่อเสริมสร้างฐานการผลิตและขยายกำลังการผลิต รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีและเครื่องจักรทันสมัย เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนและก้าวสู่รายได้ 10,000 ล้านบาทในปี 2573.

January 29, 2025 / 0 Comments
read more

เปิดแฟ้มลับปี 2007 พนง.’Nokia’ ผวา ‘iPhone’ เปิดตัวมือถือจอสัมผัส เตือนผู้บริหารจุดเริ่มต้นยุคตกต่ำ

BizKet

เว็บไซต์ Fahad X ได้เผยแพร่ไฟล์เอกสารพาวเวอร์พอยต์ เมื่อปี 2007 ที่เป็นความลับของบริษัท Nokia โดยข้อมูลดังกล่าวถูกเปิดเผยจากเอกสารภายในของ Nokia ซึ่งจัดเก็บอยู่ในโครงการ Nokia Design Archive ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัย Aalto ประเทศฟินแลนด์ ข้อมูลในไฟล์ดังกล่าวเป็นการหารือภายในของพนักงาน Nokia ที่มองการเปิดตัว iPhone 2G ที่เปิดตัวเมื่อปี 2007 โดยไฟล์ดังกล่าวเป็นการนำเสนอของพนักงาน Nokia เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ปี 2007 ในรูปแบบของสไลด์ โดยพนักงาน Nokia ทั้งหมด 9 คน นำเสนอผู้บริหารระดับสูงว่า “iPhone” คือภัยคุกคามของ Nokia สไลด์ดังกล่าวมีทั้งหมด 22 หน้า โดยเนื้อหาในสไลด์ชี้ว่า “iPhone” ของ Apple ซึ่งเปิดตัวในปีเดียวกันนั้น เป็นภัยคุกคามที่อาจส่งผลกระทบต่อ Nokia หัวข้อสไลด์เริ่มต้นด้วยข้อความว่า “Apple เพิ่งเปิดตัว iPhone” โดยยืนยันว่า Apple สามารถใช้ชื่อ “iPhone” ได้หลังการเจรจากับ Cisco ซึ่งก่อนหน้านี้มีข้อพิพาทเรื่องสิทธิในชื่อดังกล่าว ในขณะนั้น Nokia ครองส่วนแบ่งตลาดมือถือโลกกว่า 50% และมีความมั่นใจในว่ายังคงสามารถรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดได้ จนกระทั่ง ‘สตีฟ จ็อบส์’ ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ได้ประกาศเป้าหมายไว้ในงานเปิดตัว iPhone ว่า Apple ขอเพียง 1% ของตลาดมือถือ หรือยอดขาย 10 ล้านเครื่องในปี 2008 เท่านั้น แม้ผู้บริหาร Nokia จะยังไม่เห็นถึงความร้ายแรงของ iPhone ในทันที แต่ทีมงาน Nokia กลับมองเห็นจุดเด่นหลายประการที่อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ จุดเด่นของ iPhone ที่พนักงาน Nokia ในเวลานั้น นำเสอนต่อผู้บริหารมีหลายประเด็น อาทิ UI แบบจอสัมผัส ที่ไม่มีคีย์บอร์ดหรือปุ่มกดตัวเลข ซึ่งเป็นจุดเด่นใหม่ที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ของ Nokia การเจาะตลาดไฮเอนด์ ที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน ทำให้ iPhone กลายเป็นสินค้า “ที่ต้องมี” และอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลิตภัณฑ์ตระกูล N-Series ของ Nokia และภาพลักษณ์ที่น่าดึงดูด ซึ่งช่วยให้ iPhone สร้างความนิยมในกลุ่มผู้ใช้งานอย่างรวดเร็ว เอกสารนี้ยังพูดถึงฟีเจอร์เด่นของ iPhone เช่น การใช้งานเบราว์เซอร์ที่ง่ายขึ้น, ฟังก์ชันการสไลด์เพื่อปลดล็อกหน้าจอ, แอปพลิเคชันรูปภาพที่ออกแบบมาให้ใช้งานสะดวก และความสามารถในการเชื่อมต่อกับ iPod เพื่อฟังเพลงทุกที่ทุกเวลา แม้ Nokia จะมีมุมมองที่รอบคอบต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาด แต่ท้ายที่สุด iPhone กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟน ซึ่ง Nokia เองไม่สามารถปรับตัวได้ทัน เอกสารนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการมองเห็นโอกาสและความท้าทาย แต่ยังขาดการลงมือปรับตัวอย่างทันท่วงที บทสรุป  ในปี 2007 เอกสารภายในของ Nokia ถูกเผยแพร่โดยเว็บไซต์ Fahad X ซึ่งเปิดเผยการหารือของพนักงาน Nokia เกี่ยวกับการเปิดตัว iPhone 2G โดยพนักงาน Nokia มองว่า iPhone เป็นภัยคุกคามที่อาจส่งผลกระทบต่อการครองตลาดของบริษัท แม้ Nokia จะครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% แต่ทีมงานก็เห็นจุดเด่นของ iPhone เช่น UI แบบจอสัมผัส, การเจาะตลาดไฮเอนด์, และฟีเจอร์ที่สะดวกสบาย ซึ่งทำให้ iPhone กลายเป็นสินค้าที่ต้องมีในกลุ่มผู้ใช้ แต่ Nokia ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน.

January 27, 2025 / 0 Comments
read more

DeepSeek แอป AI ต้นทุนต่ำสัญชาติจีน ยอดโหลดแซงหน้า ChatGPT ขึ้นอันดับ 1 บน App Store สหรัฐฯ

BizKet

เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แอปพลิเคชัน AI ใหม่ที่ชื่อว่า DeepSeek ได้เปิดตัวบน App Store และกลายเป็นที่สนใจอย่างรวดเร็ว จนสามารถทำยอดดาวน์โหลดแซงหน้า ChatGPT ขึ้นเป็นแอปพลิเคชันอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างกระแสฮือฮาในวงการเทคโนโลยีและ AI DeepSeek เป็นผลงานของสตาร์ทอัพจากจีน โดยบริษัทได้พัฒนาโมเดล AI ชื่อว่า R1 ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ AI ด้วยประสิทธิภาพที่โดดเด่น แม้ว่าจะมีขนาดเล็กเพียง 1.5 พันล้านพารามิเตอร์ (1.5B) แต่กลับมีความสามารถที่เหนือกว่าโมเดลคู่แข่งอย่าง OpenAI o1-mini และสำคัญที่สุดคือ ต้นทุนการฝึกฝนโมเดลนี้ต่ำมากเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทนี้ก่อตั้งโดย เหลียง เหวินเฟิง อดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์และนักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลในวงการ AI ของจีน โดย DeepSeek เริ่มต้นเข้าสู่วงการ AI ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2023 ด้วยการพัฒนาโมเดล Generative AI ที่เน้นงานด้านการให้เหตุผล (Reasoning Tasks) และสามารถแข่งขันกับโมเดลของ OpenAI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในเดือนพฤศจิกายน 2023 DeepSeek เปิดตัว DeepSeek Coder ซึ่งเป็นโมเดล Open-Source สำหรับการเขียนโค้ด และยังได้เปิดตัว DeepSeek LLM เพื่อแข่งขันในตลาดโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) โดยเฉพาะ ต่อมาในปี 2024 บริษัทเปิดตัว DeepSeek-V2 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เนื่องจากประสิทธิภาพสูงและต้นทุนที่ต่ำ ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้เกิดสงครามราคากับบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการ AI ของจีนอย่าง ByteDance, Tencent, Baidu และ Alibaba ที่ต้องลดราคาบริการของตนลงเพื่อแข่งขัน ในปีเดียวกันนั้น DeepSeek ได้พัฒนา DeepSeek-Coder-V2 ซึ่งสามารถรองรับการเขียนโค้ดที่ซับซ้อน และให้บริการผ่าน API ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยคิดค่าบริการเพียง 0.14 ดอลลาร์สหรัฐต่อโทเคนสำหรับข้อมูลนำเข้า และ 0.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อโทเคนสำหรับผลลัพธ์ ล่าสุด โมเดล DeepSeek-R1 ได้ยกระดับความสำเร็จของบริษัทไปอีกขั้น ด้วยความสามารถในการให้เหตุผลที่โดดเด่นและต้นทุนการฝึกฝนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง โดยในการทดสอบตามเกณฑ์มาตรฐาน AI หลายรายการ โมเดล R1 มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่า OpenAI o1 อีกทั้งยังใช้งบประมาณเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการพัฒนา ต่างจากบริษัทในสหรัฐฯ ที่ใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการฝึกฝนโมเดล กระแสความสำเร็จของ DeepSeek ทำให้แอปนี้กลายเป็นแอปยอดนิยมอันดับ 1 บน App Store ในสหรัฐอเมริกา แซงหน้า ChatGPT ไปได้อย่างน่าประทับใจ แม้จะมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของต้นทุนที่ต่ำมากขนาดนี้ แต่หลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่าหาก DeepSeek ทำได้จริง จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการ AI และช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดเล็กสามารถพัฒนาโมเดลใหม่ๆ ได้เร็วขึ้นในราคาที่เอื้อมถึง ยันน์ เลอคุน หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ AI ของ Meta กล่าวชื่นชมว่า โมเดล Open-Source อย่าง DeepSeek สามารถแซงหน้าโมเดลแบบปิดได้ และช่วยให้ผู้เล่นในวงการทุกคนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาครั้งนี้ ส่วน มาร์ก แอนเดรียสเซน นักลงทุนชื่อดังยังกล่าวเสริมว่า DeepSeek ถือเป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่งที่สุดในวงการ AI โดยเฉพาะในบริบทที่รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ของจีน ทั้งนี้ ความสำเร็จของ DeepSeek อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่สำคัญในตลาด AI และเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทในสหรัฐฯ ต้องเร่งพัฒนาและปรับตัวเพื่อแข่งขันในระดับโลก

January 27, 2025 / 0 Comments
read more

Kidzooona Thailand สวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

WeView

พบกับ Kidzooona Thailand สวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ยกระดับความสนุกเปิดตัว Kid’s Box Jumbo กล่องแห่งความสุขกล่องใหญ่กว่าเดิม อัดแน่นด้วยความสนุกเต็มทุกพื้นที่ สาขาใหม่ที่ The Street Ratchada ชั้น5 เครื่องเล่นมีทั้งสไลเดอร์ลม บ่อบอล แทรมโพลีน ของเล่นจำลอง ตู้เกม และอื่น ๆ อีกมากมายจากทั่วทุกมุมโลก จัดเต็มด้วยบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน พร้อมของเล่นที่สามารถส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ที่บอกได้เลยว่าคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ไม่ควรพลาด! Kid’s Box Jumbo by Kidzooona Thailand เป็นดินแดนแห่งความสุขของเด็ก ๆ ที่จัดเต็มด้วยอุปกรณ์เครื่องเล่น ของเล่นเสริมสร้างพัฒนาการเด็ก ที่คัดสรรมาจากทั่วทุกมุมโลก รวมไปถึงยังช่วยส่งเสริมกิจกรรมเสริมสร้างทักษะทางสังคมให้กับเด็ก ๆ ให้มีความสุขและสนุกสนานไปด้วยกัน ดูแลโดยพนักงานที่ให้บริการด้วยใจ เป็นกันเอง และเข้าใจถึงความต้องการของเด็ก ๆ มากที่สุด ทั้งนี้ Kidzooona เป็นสนามเด็กเล่นในร่มที่ได้ต้นแบบจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ลูกได้เติบโต ที่จะเปลี่ยนการเล่นสนุกให้ได้ประโยชน์มากกว่าเดิม เพราะทุกการเล่น ทุกของเล่น คัดมาแต่กิจกรรมที่มอบความสนุกและเสริมทักษะสำคัญต่างของเด็ก ๆ และอยากให้ผู้ปกครองและเด็กได้มีความทรงจำในการทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างมีความสุข ส่งผลให้ทางคิดส์ซูน่าได้รับความไว้วางใจจากคนญี่ปุ่นและทั่วโลกมาอย่างมากมาย เรียกได้ว่า Kid’s Box Jumbo by Kidzooona Thailand ถือเป็นสวรรค์บนดินของเด็กๆ ภายในมีของเล่นในฝันของเด็กๆ รวบรวมไว้อย่างครบครัน ในราคาสบายกระเป๋าเริ่มต้นเพียง 290 บาท และสำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่สนใจอยากพาน้อง ๆ มาร่วมสนุกกับ Kid’s Box Jumbo และ Kid’s Box เปิดให้บริการถึง 7 สาขาแล้ว ดังนี้   Kid’s Box Jumbo สาขา The Street Ratchada  ชั้น 5 Kid’s Box Jumbo สาขาบิ๊กซีลพบุรี1 ชั้น 2 Kid’s Box สาขาพาราไดซ์พาร์ค ชั้น 3 Kid’s Box สาขาบิ๊กซีรัชดา ชั้น 2 Kid’s Box สาขาเซ็นทรัลชลบุรี ชั้น 3 Kid’s Box สาขาแพชชั่นระยอง ชั้น 3 Kid’s Box สาขาโรบินสันฉลอง ชั้น 2   สำหรับค่าบริการ Kid’s Box Jumbo  สาขาใหม่ที่ The Street Ratchada  ชั้น 5 ดังนี้   2 ชั่วโมง ราคา 290 บาท 3 ชั่วโมง ราคา 350  บาท ทั้งวัน ราคา 540 บาท ผู้ใหญ่คนแรกเข้าฟรี ผู้ใหญ่คนที่ 2 2 ชั่วโมง ราคา 40 บาท 3 ชั่วโมง ราคา 60 บาท ทั้งวัน ราคา 100 บาท        

February 29, 2024 / 0 Comments
read more
Royal Elementor Kit Theme by WP Royal.