‘ยิบอินซอย’ และ ‘โรบินฮู้ด’ ร่วมกับ ‘สถาบันอาหาร’ ยกระดับร้านอาหารไทยและบริการจัดส่งสู่มาตรฐานใหม่ มองไกลหนุนธุรกิจอาหารไทยเติบโตมีคุณภาพ-ยั่งยืนบนเวทีโลก หลังจาก ยิบอินซอย ปิดดีลเข้าซื้อธุรกิจ โรบินฮู้ด แพล็ตฟอร์มเดลิเวอรี จาก SCB X ผ่านข้อตกลงการซื้อหุ้นทั้งหมดของ Purple Ventures ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์ของ Robinhood ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวมสูงสุดกว่า 2,000 ล้านบาท ไปเมื่อช่วงเดือนกันยายน 2567 ล่วงมากว่า 9 เดือนล่าสุดบริษัท ยิบอินซอย จำกัด และ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโรบินฮู้ด กับความคืบหน้าล่าสุดประกาศความร่วมมือกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จัดโครงการ ‘Food x Platform x People’ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยอย่างเป็นระบบ พร้อมพัฒนาผู้ประกอบการและไรเดอร์ให้มีความสามารถแข่งขันทั้งในประเทศและเวทีโลก สำหรับความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี โดยทั้งสามหน่วยงานจะร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม และหลักสูตรอบรมด้านอาหาร บรรจุภัณฑ์ สุขอนามัย การบริหารจัดการธุรกิจ รวมถึงระบบบริการจัดส่งอาหารให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และเป็นธรรม ด้าน ‘มรกต ยิบอินซอย’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ม่งใช้แพลตฟอร์มโรบินฮู้ดเป็นเครื่องมือสนับสนุนผู้ประกอบการไทย พร้อมยกระดับไรเดอร์ให้มีความรู้ ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีในอาชีพ ภายใต้ระบบที่เป็นธรรม สอดคล้อง ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวเสริมว่า “สถาบันอาหารพร้อมเป็นฐานสนับสนุนองค์ความรู้ เพื่อให้ธุรกิจอาหารไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนบนเวทีโลก” โดย พิธีลงนามจัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัท ยิบอินซอย จำกัด โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสามหน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมหารือแนวทางพัฒนาหลักสูตรและการขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์ในอนาคตร่วมกัน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของระบบ “Food x Platform x People” ที่ผสานจุดแข็งของเทคโนโลยี องค์ความรู้ และบุคลากร เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานใหม่อย่างยั่งยืน Alternate-X สรุปให้ ยิบอินซอย และโรบินฮู้ด จับมือสถาบันอาหาร เปิดโครงการ “Food x Platform x People” ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทย หลังปิดดีลซื้อ Robinhood จาก SCB X มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ไปเมื่อเดือนกันยายน 2567 โดยโครงการมีระยะเวลา 3 ปี เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ ร้านอาหาร และไรเดอร์ ทั้งในด้านมาตรฐาน บรรจุภัณฑ์ สุขอนามัย และระบบจัดส่ง ชูแพลตฟอร์ม Robinhood เป็นเครื่องมือผลักดันเศรษฐกิจอาหารไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ตั้งเป้าเสริมความสามารถแข่งขันบนเวทีโลก พร้อมวางรากฐานอาชีพไรเดอร์อย่างยั่งยืน
ตลาดแว่นสายตา จะเป็นธุรกิจอนาคต 5 ปีหน้ามูลค่า 1.24 แสนล.บาทในไทย
ตลาดแว่นตาของอาเซียนในอีก 10 ปีหน้าจะเติบโตราว 4 แสนล้านบาท ส่วนในไทยมีมูลค่า 1.24 แสนล้านบาทภายในปี 2573 ด้วยอัตราการเติบโต 11.6% ต่อปี และเป็นโอกาสธุรกิจแว่นตา มร.เว่ย พาน ประธานคณะกรรมการจัดงาน บริษัท ดอนเนอร์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้จัดงานแสดงสินค้ามืออาชีพระดับนานาชาติที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานกว่า 23 ปี ในอุตสาหกรรมแว่นตา ล่าสุดเตรียมจัดงานครั้งแรกในประเทศไทย ‘ASEAN Int’l Optics Fair’ งานแสดงสินค้าและสัมมนาระดับนานาชาติด้านแว่นตาและสายตาที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยงานฯ จะรวบรวมแบรนด์ ผู้ประกอบการด้านแว่นตา เลนส์ บรรจุภัณฑ์ และอุปกรณ์ชั้นนำทั่วโลกกว่า 200 ราย เพื่ออัปเดต เทรนด์และนวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงเวทีเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้อุตสาหกรรมสายตาและแว่นตาในภูมิภาคอาเซียนให้แข็งแกร่งและเติบโตยิ่งขึ้น โดยจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 – 11 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร คาดมีผู้เข้าร่วมงานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศกว่า 5,000 ราย “ในปีนี้ ได้ร่วมกับบริษัท บรอด อินเตอร์เนชันแนล จำกัด พร้อมจัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่ตลาดแว่นตาในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบรับกับการเติบโตทางธุรกิจและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาค และยังมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแว่นตาของภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างรายได้ผ่านการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการจ้างงานอีกด้วย” มร.เว่ย กล่าว มร.เว่ย เสริมว่าในปี 2546 บริษัทฯ ได้เปิดตัวงาน Wenzhou Int’l Optics Fair (WOF-Wenzhou) ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเวทีสำคัญของอุตสาหกรรมแว่นตาในประเทศจีน และยังเป็นงานแสดงสินค้างานแรกในมณฑลเจ้อเจียงตอนใต้ที่ได้รับการรับรองจากสมาคมอุตสาหกรรมแสดงสินค้าระดับโลก (The Global Association of the Exhibition Industry หรือ UFI) ปัจจุบัน Wenzhou Int’l Optics Fair ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดสามอันดับแรกของโลก ขยายการค้าไทย-จีน ด้าน มร.เจี้ยนหมิน อู๋ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมแว่นตาแห่งมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และผู้สนับสนุนหลักของงาน ASEAN Int’l Optics Fair กล่าวถึงภาพรวมของการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนว่า ปี 2568 เป็นปีครบรอบ 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยจีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยติดต่อกันถึง 12 ปี ตั้งแต่ปี 2556 ถึง 2567 โดยในปี 2567เพียงปีเดียว มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศอยู่ที่ 94,919.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2% และด้วยศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการจัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย หนุนอุตฯแว่นตา ขยายตัว ด้าน ดร.ดนัย ตันเกิดมงคล ประธานสภาทัศนมาตรศาสตร์แห่งเอเชีย และทำหน้าที่นายกสมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ASEAN Int’l Optics Fair เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของหน่วยงานทางวิชาชีพ องค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมแว่น และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ดอนเนอร์ เอ็กซิบิชั่น บรอด อินเตอร์เนชันแนล สมาคมอุตสาหกรรมแว่นตาแห่งมณฑลเจ้อเจียง สมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย สมาพันธ์อุตสาหกรรมแว่นตาเกาหลี (KOIC) สถาบันการจัดการสายตาแห่งเอเชีย (AOMA) อาย แวลลีย์ (Eye Valley) ทั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสทางการเติบโตทั้งในทางวิชาการและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครั้งสำคัญให้กับอุตสาหกรรมดังกล่าวในประเทศไทยขยายตลาดสู่อาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตสูงสุดในโลก ตลอดจนมีความต้องการแว่นตา การดูแลสายตา และเทคโนโลยีด้านสายตาอัจฉริยะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดการจัดงานตั้งเป้ามีผู้เข้าร่วมกว่า 5,000 คน จากทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ภายในงานแถลงข่าว ยังมีเวทีเสวนา ‘ทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมแว่นตาในอาเซียน : นวัตกรรม การบูรณาการ และความสามารถในการแข่งขันระดับโลก’ จากผู้ทรงคุณวุฒิด้านอุตสาหกรรมแว่นตามาร่วมพูดคุย โอกาส-อนาคตตลาดแว่นตาไทย สมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ISOPTIK ได้พูดถึงภาพรวมของมูลค่าตลาดแว่นตาของอาเซียนว่า มูลค่าตลาดแว่นตาของอาเซียนในปี 2567 มีมากกว่า 200,000 ล้านบาท และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีการเติบโตอยู่ที่มากกว่า 400,000 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าตลาดแว่นตาของประเทศไทยในปี 2567 อยู่ประมาณ 63,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่า จะเพิ่มเป็น 124,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 ด้วยอัตราการเติบโต 11.6% ต่อปี “การเติบโตดังกล่าว มาจากจำนวนผู้มีปัญหาทางสายตาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีสายตายาวตามวัย และวัยทำงานที่ใช้อุปกรณ์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ทำให้มีความต้องการแว่นตาโปรเกรสซีฟ และแว่นตากึ่งโปรเกรสซีฟคุณภาพสูง ที่สบายตาเพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายตัวของชนชั้นกลาง ทำให้มีความต้องการแว่นตาแฟชั่นและแว่นสายตาคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น” สมบูรณ์ กล่าว ต้องเพิ่มบุคลากรเฉพาะทาง ด้าน ดร.วุฒิพงษ์ พึงพิพัฒน์ อาจารย์พิเศษ สาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ กล่าวถึงทิศทางของอุตสาหกรรมแว่นตาในอาเซียนว่ามีการเติบโตที่ดีตามความต้องการของผู้บริโภคที่มีปัญหาด้านสายตาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตบุคลากรสำคัญอย่างนักทัศนมาตรให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด เช่น ในประเทศไทยตอนนี้มีนักทัศนมาตรเพียง 800 คน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคหนึ่งของการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ ดังนั้น จึงควรเร่งผลิตนักทัศนมาตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจเร่งสร้างแบรนด์ ดร.ลักษณรินทร์ คานิเยาว์ ผู้จัดการฝ่ายวิชาการ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน(ไทย) จำกัด กล่าวว่า การผลักดันให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแว่นตาโลกเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐในการออกกฎเกณฑ์สร้างมาตรฐานและควบคุมคุณภาพให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเองจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับสร้างแบรนด์ เพื่อสร้างความมั่นใจและการยอมรับในเวทีระดับโลก สำหรับ ASEAN Int’l Optics Fair งานแสดงสินค้าด้านแว่นตาและสายตาที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ยังมีการประชุม Asia-Pacific Eye Health Summit, การอัปเดตข้อมูลเชิงลึกด้านอุตสาหกรรม เรียนรู้แนวโน้มตลาด ผ่านงานสัมมนาและเวิร์คชอปจากสมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย โซนพิเศษในการโชว์นวัตกรรมจากประเทศจีน ฮ่องกง เกาหลี ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงเวทีเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://asean.opticsfair.com/ และสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ http://donnor.cn/J6F2 Alternate-X สรุปให้ ตลาดแว่นตาอาเซียนเติบโตแตะ 4 แสนล้านบาทใน 10 ปีข้างหน้า ส่วนไทยโตเฉลี่ยปีละ 11.6% แตะ 1.24 แสนล้านในปี 2573 เป็นโอกาสของธุรกิจผ่านการจัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ครั้งแรกในไทย 9–11 ต.ค. 2568 ดึงผู้ประกอบการแว่นตาทั่วโลกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแว่นตาไทยสู่อาเซียน พร้อมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตฯ แว่นตา รับความต้องการแว่นตาเพิ่มขึ้นจากดิจิทัลไลฟ์สไตล์และสังคมสูงวัย กระตุ้นดีมานด์ทั้งเชิงสุขภาพและแฟชั่น งานนี้ยังชี้ช่องว่างบุคลากรทัศนมาตรในไทย และแนะธุรกิจเร่งสร้างแบรนด์แข่งขันในเวทีโลก
ไทยเบฟฯหนุนเยาวชนไทย รวบสกิลองค์ความรู้ทุกศาสตร์ สร้างพลังเปลี่ยนแปลงสู่เวทีโลก
ดึงสกิลอนาคตคนรุ่นใหม่ แข่งขัน Rakkaew Enactus National Exposition 2025 ปีนี้จุฬาฯคว้าแชมป์ เตรียมเป็นตัวแทนประเทศไทยสู่เวทีโลก ผศ. นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ประธานกรรมการ มูลนิธิรากแก้ว กล่าวว่ามูลนิธิรากแก้ว ร่วมกับ Enactus ประเทศไทย พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรจากภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหากำไร โดยมี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลัก โดยจัดการแข่งขัน Rakkaew Enactus National Exposition 2025 เวทีสำหรับเยาวชนทั่วประเทศที่ร่วมขับเคลื่อนพลังคนรุ่นใหม่ผ่านการลงมือทำโครงการจริงที่บูรณาการความรู้จากหลากหลายศาสตร์ ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และธุรกิจ เพื่อสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิดผู้ประกอบการเพื่อสังคม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ โดยการแข่งขันในครั้งนี้มีตัวแทนจาก 21 สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยพลังของนวัตกรรมและความคิดแบบผู้ประกอบการ เพื่อสังคม โดยทีมที่ได้รับรางวัล มีดังนี้ รางวัลชนะเลิศ คือ “โครงการ Cocoa Go Green” จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร ที่พัฒนาและยกระดับโกโก้ไทยด้วยนวัตกรรม เพิ่มรายได้เกษตรกร แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้างโมเดลธุรกิจเพื่อสังคมที่ยั่งยืน รางวัลรองชนะเลิศ คือ “โครงการสานศิลป์ ถิ่นภูมิปัญญา บุรีรัมย์” จาก ทีม Young ผการันดูล มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปลุกพลังภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ชุมชนกว่า 30 แห่งทั่ว จ.บุรีรัมย์ ให้มีชีวิตใหม่ โดยเชื่อมโยงงานผ้าไหมและจักสานไม้ไผ่กับนวัตกรรม สร้างผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย ขยายช่องทางการตลาด รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 คือ “โครงการ Agro-Power พลังเกษตรเปลี่ยนขยะเศษอาหารเป็นทุนชีวิต” จาก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ดัดแปลงขยะอาหารและเศษวัสดุทางการเกษตรกว่า 14 ตัน มาสร้างคุณค่าใหม่ แปรรูปขยะอาหาร และของเสียสู่โปรตีน อาหารสัตว์ และปุ๋ยอินทรีย์ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 คือ “โครงการฟังใจ เห็ดเยื่อไผ่ เพื่อชุมชนที่ยั่งยืน” จาก มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ พัฒนาการเพาะเห็ดเยื่อไผ่ ร่วมกับชุมชนครบทุกมิติ ขยายตลาดโดยใช้นวัตกรรม AI ผสมผสานกับ ภูมิปัญญาชุมชน จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้มาตรฐาน อย. สำหรับทีมชนะเลิศจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับโลก Enactus World Cup 2025 ซึ่งปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2568 ในงาน Sustainability Expo 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยการแข่งขัน Enactus World Cup คือ เวทีระดับนานาชาติที่รวบรวมสุดยอดทีมเยาวชนจากกว่า 34 ประเทศทั่วโลก มานำเสนอโครงการธุรกิจเพื่อสังคม ที่สร้างผลกระทบจริงในชุมชนโดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านพลังของคนรุ่นใหม่ นับเป็นงานที่ได้รับการจับตามองจากทั้งภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา และองค์กรระดับโลก “นับเป็นอีกก้าวสำคัญของเยาวชนไทย คนรุ่นใหม่ที่เก่งด้านวิชาการ มีจิตสาธารณะ มีความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างแท้จริง ให้ก้าวสู่เวทีโลกแห่งนวัตกรรมเพื่อทำประโยชน์ให้สังคมยั่งยืนต่อไป Alternate-X สรุปให้ การแข่งขัน Rakkaew Enactus National Exposition 2025 ปลุกพลังคนรุ่นใหม่สู่การเปลี่ยนแปลงสังคม จุฬาฯ คว้าแชมป์จากโครงการ “Cocoa Go Green” เตรียมเป็นตัวแทนไทยสู่เวทีโลก ชูแนวคิด “ผู้ประกอบการเพื่อสังคม” ผสานนวัตกรรมและภูมิปัญญาในโครงการจริง ในปีนี้มีเยาวชนกว่า 21 สถาบัน ร่วมนำเสนอโมเดลธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ รับประเทศไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพ Enactus World Cup 2025 กันยายนนี้ ณ ศูนย์ฯ สิริกิติ์
มีใครให้มากกว่านี้ไหม? เปิดประมูลทะเบียนเลขสวย ‘3 ขข’ เลขรหัสทรัพย์-สำเร็จทุกเส้นทาง
หลังจากกรมการขนส่งทางบก เปิดประมูลทะเบียนเลขสวยมานานกว่า 20 ปีเพื่อหารายได้เข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ภายใต้การดูแลของกรมขนส่งฯ พร้อมใช้ ‘กิมมิค’ ของทะเบียนเลขสวยมาเพิ่มมูลค่า ด้วยการวางตำแหน่งให้เป็นสินค้ามงคลมาเสริมทั้งกำลังใจและภาพลักษณ์ให้กับผู้ได้ครอบครองหรือเจ้าของรถ เช่น คนทำธุรกิจ, ผู้บริหาร, หรือ แม้แต่เหล่าคนดังผู้ทรงอืทธิพล (influencer) ในวงการต่างๆ ฯลฯ ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบก ได้เปิดประมูลทะเบียนเลขสวยในปี 2546 เป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานตัวเลขที่ชัดเจนออกมาจากประมูล แต่มีความเป็นไปได้สามารถทำรายได้จากการประมูลมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท หากคำนวณรายได้แต่ละปีอยู่ที่หลัก 700-800 ล้านบาท จากการเปิดประมูลฯทั่วประเทศ ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา โดยทะเบียนเลขสวย ที่ทำราคาสูงสุด เช่น ‘9กก 9999’ 45 ล้านบาท (เปิดประมูลปี 2565) ‘8กก 8888’ 28 ล้านบาท (เปิดประมูลปี 2563) ขณะเดียวกัน กรมการขนส่งทางบก ยังใช้ ‘คำ’ มาร่วมวางเป็นส่วนหนึ่งของป้ายทะเบียนเลขสวย โดยในปี2565 ยังได้เปิดให้มีการประมูลทะเบียนพิเศษ ‘รวย 9999’ ราคาสูงถึง 18.56 ล้านบาท และ ‘รวย 8888’ ราคา 11.1 ล้านบาท ซึ่งนำเงินเข้ากองทุนฯ กว่า 100 ล้านบาท จากการประมูลครั้งแรกของทะเบียนพิเศษ 84 หมายเลข อีกด้วย ถัดมาในครั้งที่ 2 สำหรับทะเบียนพิเศษ ‘เฮง 9999’ สามารถทำเงินเข้ากองทุนรวมกว่า 126 ล้านบาท และการประมูลทะเบียนสวยปกติในช่วงปี 2567 ยังสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 61 ล้านบาท จาก 49 หมายเลข ‘3 ขข’ เลขแห่งเทพเจ้า-สำเร็จทุกเส้นทาง ล่าสุดในปี 2568 นี้ กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนร่วมประมูลหมายเลขทะเบียนรถ ‘หมวดอักษร 3ขข’ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ ‘ขุมทรัพย์ล้ำค่า ส่งเสริมดวงชะตา” ในวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2568 สามารถลงทะเบียนได้ที่ทางเว็บไซต์ www.tabienrod.com ด้าน จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก โดยกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) กล่าวว่า กรมขนส่งทางบกจัดกิจกรรมเปิดประมูลหมายเลขทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน “หมวดอักษร 3ขข” ในวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2568 เวลา 9.00 น. ณ กรมการขนส่งทางบก อาคาร 6 โดยความพิเศษของการประมูลครั้งนี้ มาในคอนเซ็ปต์ “ขุมทรัพย์ล้ำค่า ส่งเสริมดวงชะตา” ซึ่งเลข 3 เปรียบเสมือน เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ฮก ลก ซิ่ว ทั้งสามองค์ คุ้มครอง ช่วยเสริมดวงชะตา มีโชคลาภ, ขข เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง อักษร ข ตัวแรกจะเป็นการขอพรหรือหวังสิ่งใดสมหวังก็สำเร็จ อักษร ข ตัวหลังก็เป็นตะขอคอยเกี่ยวทรัพย์ “ดังนั้น 3ขข ไม่ใช่แค่ป้ายทะเบียน แต่คือขุมทรัพย์แห่งพลังชีวิต ผู้ที่ได้ครอบครองคือผู้ที่ได้พลังแห่งโชคลาภและความสำเร็จ ทั้งนี้ รายได้จากการประมูล” จิรุตม์ กล่าว สำหรับรายได้จากการประมูลฯ จะนำเข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) และนำไปใช้ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการ ใช้รถใช้ถนน สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัยด้านความปลอดภัยทางถนน รวมทั้งสนับสนุนเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน โดยการจัดบูธประชาสัมพันธ์การประมูลทะเบียนรถเลขสวย ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 1 โซน C ยังจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-18 มิถุนายน 2568 ซึ่งภายในงานแต่ละวันจะมีโหราจารย์ หมอดูที่มีชื่อเสียงมาร่วมพูดคุย ถึงศาสตร์ตัวเลข การเสริมความเป็นสิริมงคล หมายเลขที่ใช่ ที่เหมาะกับคุณ อาทิ หมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา อาจารย์คฑา หมอต๊อกแต๊กA4 โดยผู้ที่สนใจร่วมประมูล และวางหลักประกันภายในงานจะยังได้รับของที่ระลึก แล้วยังมีสิทธิ์ลุ้นร่วมพูดคุยส่วนตัวกับผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ตัวเลข เพียงวันละ 1 ท่าน นอกจากนี้ยังมีดาราชื่อดังอีกหลากหลายท่าน อาทิ วุ้นเส้น-วิริฒิพา ภักดีประสงค์, จูเนียร์-ปณชัย ศรีอาริยะรุ่งเรือง, แก้มบุ๋ม-ปรียาดา สิทธาไชย และ โก้-วศิน อัศวนฤนาท มาร่วมแชร์ความปังด้านความเชื่อเรื่องศาสตร์ตัวเลขสลับสับเปลี่ยนกันไปแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง 3 ช่องทางเปิดให้ประมูล จิรุตม์ เสริมว่า การประมูลหมายเลขทะเบียนรถ“หมวดอักษรพิเศษ 3ขข” มีหมายเลขที่นำออกมาประมูลทั้งสิ้น 301 หมายเลข ผู้สนใจสามารถร่วมประมูลได้ในวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2568 โดยมีการประมูลด้วยกัน 3 ช่องทาง คือ ทางวาจาในห้องประมูล ณ อาคาร 6 ชั้น 7 กรมการขนส่งทางบก สามารถร่วมประมูลได้ตั้งแต่เวลา 00 น. เป็นต้นไป หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาประมูลแทน ประมูลผ่านระบบทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์ tabienrod.com โดยสามารถลงทะเบียน และเสนอราคาประมูลล่วงหน้าได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถเสนอราคาแข่งขันกับทางวาจาและโทรศัพท์ ในวันประมูลได้ ประมูลทางโทรศัพท์ จะเป็นการประมูลไปพร้อมกับการประมูลทางวาจา โดยก่อนที่จะถึงหมายเลขที่ท่านลงทะเบียนไว้ เจ้าหน้าที่จะติดต่อไปหาท่าน เพื่อให้ท่านได้เสนอราคาแข่งกับห้องประมูล โดยเจ้าหน้าที่จะขานราคาตามที่ท่านระบุ นอกจากการประมูลหมายเลขทะเบียนรถหมวดอักษรพิเศษ 3ขข แล้ว ในสัปดาห์ถัดไป วันที่ 28 มิถุนายน ทางกรมการขนส่งทางบก จะจัดประมูลป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ เป็นป้ายที่มีการเสนอคำ/ข้อความเข้ามา เช่น รวย789, ขุมทรัพย์ 4 , สำเร็จ9 , สง่า 9999 , มังกร 123 และหมายเลขอื่นๆ รวม 120 หมายเลข ผู้ที่สนใจร่วมประมูล สามารถร่วมประมูล ได้ในวันที่ 28 มิถุนายน 2568 ผ่าน 2 ช่องทาง คือ ทางวาจาในห้องประมูล ณ อาคาร 6 กรมการขนส่งทางบก และทางอินเทอร์เน็ตที่ www.tabienrod.com ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพื่อลงทะเบียนได้ที่บูธประชาสัมพันธ์ ของกรมการขนส่งทางบก ณ บริเวณลานโปรโมชั่น ชั้น 1 โซน C เซ็นทรัลลาดพร้าว ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2568 หรือสำนักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โทร. 0-2272-5937 หรือสายด่วนกรมการขนส่งทางบก โทร. 1584 หรือ 0-2271-8888 หรือเว็บไซต์ www.tabienrod.com Alternte-X สรุปให้ กรมการขนส่งทางบกเปิดประมูลทะเบียนเลขสวยมานานกว่า 20 ปี สร้างรายได้สะสมหลักหมื่นล้านบาท พร้อมวางจุดขายทะเบียนเลขสวยให้เป็น “สินค้ามงคล” เสริมดวง ล่าสุดเตรียมเปิดประมูลหมวดใหม่ ‘3ขข’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ขุมทรัพย์ล้ำค่า ส่งเสริมดวงชะตา” ผู้สนใจร่วมประมูลได้ 21-22 มิ.ย. นี้ ทั้งออนไลน์และออนไซต์ พร้อมบูธให้คำปรึกษาสายมูฯ โดยหมอดูชื่อดัง
‘ชาบูชิ’ ทวงแชมป์ ‘Top of Mind’ คนรุ่นใหม่ ทุ่มหมดหน้าตักเจาะตลาดฟู้ด 7 แสนล.
‘ชาบูชิ’ แบรนด์ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่อยู่ในตลาดอาหารไทยมากว่า 20 ปี กำลังเข้าสู่ยุคใหม่หลังสองผู้บริหารกลุ่มโออิชิ โฮลดิ้ง แซม-ไพศาล อ่าวสถาพร และ ศสัย ตังเดชะหิรัญ ประกาศแผน ‘รีเฟรช’ แบรนด์ พร้อมทุ่มหมดหน้าตัก เพื่อเป้าหมายสู่การเป็นแบรนด์ร้านอาหารที่เข้าไปนั่งในใจอันดับแรกๆ ของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ‘ไพศาล อ่าวสถาพร’ ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารพอร์ตธุรกิจร้านอาหารในเครือโอชิ โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางร้านอาหารสไตล์ญีปุ่น ‘ชาบูชิ’ (Shabushi) เป็นแบรนด์ยุทธศาสตร์สำคัญในการทำธุรกิจร้านอาหาร เพื่อปรับภาพจำจากแบรนด์รุ่นใหญ่สู่การเป็นรุ่นใหม่ นับจากนี้ไป โดย ‘ชาบูชิ’ จะเติมความใหม่ในทุกด้านตั้งแต่ตัวแบรนด์ เมนูวัตุถุดิบอาหาร ไปจนถึงการเลือกเครื่องมือการสื่อสารการตลาดใหม่หมด เรียกว่าเป็นการขยับตัวครั้งใหญ่ของชาบูชิ ในรอบกว่า 20 ปี ก็ว่าได้ “ชาบูชิ เองก็เป็นแบรนด์คนรุ่นใหม่ในตอนนั้นที่มีอายุกว่า 20 ปี เมื่อเวลาผ่านไปถึงตอนนี้คนกลุ่มนั้นก็มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปแล้ว ซึ่งแบรด์ถือว่าได้ฐานกลุ่มนี้แล้วและจากนี้ไปคือการทำให้แบรนด์ชาบูชิเป็นท็อป ออฟ มายด์ ที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ในปัจจุบัน นึกถึงเป็นอันดับแรกๆ” ไพศาล กล่าว อย่างไรก็ตาม ไพศาล ไม่กล่าวถึงงบลงทุนการรีเฟชรแบรนด์‘ชาบูชิ’ ที่ชัดเจนว่าเตรียมไว้เท่าใด? แต่ย้ำว่า “การรีเฟรชแบรนด์ชาบูชิในครั้งนี้จัดหนักทุกด้าน เรียกว่า มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถ เพื่อการนี้เลยทีเดียว” ‘ชาบูชิ’ ไม่ห่วงสงครามหม้อไฟเดือด ด้าน ศสัย ตังเตชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารในเครือโออิชิ กล่าวว่าบริษัทฯ วางตำแหน่งทางการตลาดใหม่แบรนด์ ‘ชาบูชิ’ ที่ให้ความคุ้มค่าและตอบโจทย์ทั้งในกลุ่มอาหารประเภทหม้อไฟ (Hot Pot) และ ซูชิ ซึ่งสอดคล้องกับการรับรู้ของผู้บริโภคทั่วไปรวมถึงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มองว่า ชาบูชิ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีทั้งหม้อไฟและซูชิ สายพาน ในที่เดียว โดยใช้กลยุทธ์การตลาดภายใต้แนวคิด อีโมชันนัล เอ็กซพีเรียนซ์ (Emotional Experience) ด้วยนำจุดแข็งหลักของแบรนด์ ‘รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด’ (Good Taste Great Time Never End) ต่อยอดสู่ประสบการณ์เชื่อมโยงทั้งอารมณ์และการรับประทานอาหาร ผ่าน 3 แกนหลัก ประกอบด้วย Shabushi ALL-STAR SERIES เมนูชาบู-ชาบู พรีเมียม และวัตถุดิบคุณภาพ ให้ความคุ้มค่าและความอร่อย Shabushi SUSHI-MASTER SERIES ยกระดับประสบการณ์ซูชิ ข้าวปั้นหลากหลายหน้า และเมนูใหม่ที่ทำอย่างพิถีพิถัน Shabushi Great Moment สร้างความประทับใจด้วยบริการ และ กิจกรรทในร้านเพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมกันตามไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ “ชาบูชิ จะไม่ได้เป็นแค่ร้านอาหาร แต่คือแพลตฟอร์มของคนรุ่นใหม่ที่สร้างโซเชียล บอนดิง ความผูกพันธ์ร่วมกันของยังเจนฯในสังคม” ศสัย กล่าว ขณะเดียวกัน ชาบูชิ ยังวางแผนสื่อสารการตลาดแบบครบวงจรผ่านเครื่องมือต่างๆ รวมถึงผลิตภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ พร้อมทำงานร่วมกับ #สกายนานิ ‘สกาย-วงศ์รวี นทีธร’ และ ‘นานิ-หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ’ เป็นตัวแทนความสดใส มิตรภาพ และพลังบวก ในฐานะพรีเซ็นเตอร์คู่แรกของชาบูชิ ซึ่งมีบุคคลิกในทิศทางเดียวกับแบรนด์ พร้อมเปิดตัวแคมเปญ ชาบูชิ x สกาย – นานิ : ALL YOU CAN กรี๊ด เพื่อขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วย พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังสร้างประสบการณ์ใหม่จากการรีเฟรชแบรนด์ ชาบูชิให้กับผู้บริโภค โดยนำมาสเตอร์เชฟ ร่วมพัฒนาเมนูซูชิระดับพรีเมียมบนสายพาน โดยนำร่องเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าซีคอน สแควร์ ศรีนครินทร์ ก่อนทยอยให้บริการในสาขาอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการตอกย้ำความคุ้มค่าของชาบูชิ ตามแนวทางการตลาดที่วางไว้ “ชาบูชิ โฟกัสความคุ้มค่า ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก และไม่ได้วางตำแหน่งทางการตลาดในกลุ่มหม้อไฟเพียงอย่างเดียว แต่เราอยู่ในเซ็กเมนต์หลักที่วางไว้แต่แรกคือเป็นฮอตพอทและซูชิ บนสายพานรายเดียวที่ผู้บริโภคต่างนึกถึงและยังเป็นจุดแข็งสำคัญในการทำตลาด” ศสัย กล่าว โดยร้านชาบูชิ ให้บริการรูปแบบบุฟเฟต์ต่อคน แบ่งเป็น 3 ราคา คือ ราคา 399 บาท, 499 บาท และ 599 บาท และยังไม่มีแผนปรับราคาสินค้าขึ้นในขณะนี้ โดยปัจจุบันเปิดให้บริการ 190 สาขาทั่วประเทศ บนทำเลหลักขยายสาขาร่วมกับศูนย์การค้าเปิดใหม่ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด โดยในปีงบประมาณของบริษัท (2568-2569) วางแผนขยายสาขาใหม่ราว 10 แห่ง ศสัย กล่าวว่า จากการเปิดสาขาชาบูชิที่จะไปพร้อมกับการขยายสาขาใหม่ของศูนย์การค้าที่ต้องเปิดปิดในเวลาเดียวกันกับศูนย์ฯ ทำให้ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ 24 ชั่วโมงในทำเลดังกล่าว แต่ก็มีบางสาขาอย่างศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ที่เปิดให้บริการได้ 24 ชั่วโมงที่ตรงกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่น โดยปัจจุบัน ‘ชาบูชิ’ ครองสัดส่วนรายได้ 80% ในพอร์ตสินค้าอาหารทุกแบรนด์ในเครือโออิชิ จากแนวทางดังกล่าว แบรนด์ชาบูชิ ยังมองว่าเป็นการปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันในตลาดอาหารทุกกลุ่ม (Segment) ทั้งสาขาร้านอาหารและสตรีท ฟู้ด มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาทและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุกปี จากจำนวนทั้งผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาและผู้เล่นรายเดิมที่หายไปในสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ทำให้ตลาดยังมีมูลค่าดังกล่าว ส่วนตลาดอาหารประเภทหม้อไฟคาดมีมูลค่าราว 3 แสนล้านบาท Alternate-X สรุปให้ ‘ชาบูชิ’ รีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบกว่า 20 ปี เพื่อเจาะใจคนรุ่นใหม่ วางภาพลักษณ์ใหม่ ‘คุ้มค่า-ครบเครื่อง’ ทั้งหม้อไฟและซูชิสายพาน เดินหน้าด้วย Emotional Experience เสริมเมนูพรีเมียม พร้อมกิจกรรมในร้าน จับมือดูโอพรีเซ็นเตอร์ ‘สกาย–นานิ’ สื่อสารแบรนด์สดใส–พลังบวก เตรียมขยาย 10 สาขาใหม่ รองรับตลาดอาหาร 7 แสนล้านบาทที่เติบโตต่อเนื่อง
เมล็ดกาแฟ ‘เกอิชา’ กับคาแรกเตอร์ ‘โปร่งใส-ซับซ้อน’ สู่ไวรัลรสชาติพรีเมียม-ราคาจับต้องได้
ปรากฎการณ์ร้านกาแฟ ‘UNO! Coffee’ มาเปิดใหม่ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ในรูปแบบคิออสค์หน้ากว้าง ที่กำลังเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียด้วยเมนู ‘พรีเมียม อเมริกาโน’ จากการใช้วัตถุดิบเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ ‘เกอิชา’ ที่มีราคาค่าตัวที่ดีที่สุดจากการประมูลได้สูงถึง 35,000 บาทต่อกิโลกรัม!! เลยทีเดียว จากความว้าว! ของวัตถุดิบระดับพรีเมียมนี่เอง น่าจะเป็นหนึ่งในแรงส่งให้เหล่า ‘คอฟฟี เลิฟเวอร์’ ต่างพร้อมใจออกไปหาประสบการณ์ดื่มด่ำรสชาติเครื่องดื่มจากสวรรค์ที่สร้างสรรค์โดยบาริสตา เพื่อต่อแถวซื้อเครื่องดื่มอเมริกาโนเมล็ดกาแฟเกอิชา ในราคาแก้วละ 85 บาท ในช่วง Soft Opening ร้านกาแฟ ‘UNO! Coffee’ ที่ยังมีคิวล้นลากแถวยาวอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดขายทะลุมากกว่า 500-800 แก้วต่อวัน ในตอนนี้ สำหรับร้าน ‘UNO! Coffee’ เป็นหนึ่งในธุรกิจเครือบริษัทร็อคส์ พีซี จำกัด (ROCKS PC) ผู้บริหารแฟรนไชส์ Potato Corner ร้านเฟรนฟรายส์คลุกผงปรุงรสชื่อดังจากฟิลิปปินส์ และร้านอาหารพื้นเมืองภาคเหนือในชื่อ Khao-Sō-i ข้าวโซอิ ทีนี้มาทำความรู้จักกับเมล็ดกาแฟเกอิชากันบ้าง ว่าทำไม ‘น้อง’ ถึงหายากจนทำให้มีค่าตัวแรงขนาดนี้!! เชื่อว่าหลายๆคนอาจทราบกันมาบ้างแล้วว่า เมล็ดกาแฟเกอิชา (Geisha Coffee) เป็นสายพันธุ์กาแฟอาราบิก้า (Arabica) ที่มีต้นกำเนิดจากภูเขา ‘Gesha’ ในประเทศเอธิโอเปีย และได้รับความนิยมอย่างมาก หลังจากมีการนำไปปลูกในฟาร์มชื่อดังของปานามา จากจุดเริ่มต้นของเมล็ดกาแฟ ที่ค้นพบในประเทศเอธิโอเปีย แหล่งกำเนิดและเป็นที่มาของชื่อเมล็ดกาแฟเกอิชา ที่ปัจจุบันได้ขยายการเพาะปลูก และพบได้ตามแหล่งๆ ต่าง อาทิประเทศปานามา ที่การันตีด้านคุณภาพสูงสุดจากไร่ Hacienda La Esmeralda ด้วยคว้าแชมป์หลากหลายรางวัลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหรือในไร่กาแฟระดับสูงในประเทศ โคลอมเบีย, คอสตาริกา รวมถึงในไทยที่ได้เริ่มปลูกมากขึ้นในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ขณะที่เมล็ดกาแฟเกอิชา มีการบอกเล่าถึงคุณสมบัติและรายละเอียดที่เป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์สะท้อนความพรีเมียม ทั้งกลิ่นและรสชาติ ที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้และผลไม้ อย่าง กลิ่นมะลิ, ลิ้นจี่, เบอร์รี่, ซิตรัส, ชาเขียว ส่วนบุคลิกหรือคาแรกเตอร์ของเมล็ดกาแฟเกอิชานั้นมีความโปร่งใส, ซับซ้อน, มีแอคซิดิตี (acidity) สูงแบบผลไม้ และให้รสสัมผัสความเข้ม (body) เบา-กลาง ตัดภาพมาที่ความหายากของวัตถุดิบ ด้วยต้องปลูกบนที่สูง (1,700–2,000 เมตร) มีผลผลิตน้อย และต้องใส่ใจดูแลอย่างละเอียดมาก เป็นหนึ่งในเหตุผลทำให้ราคาเมล็ดเกอิชาที่ดีที่สุดอาจประมูลได้ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อปอนด์ หรือมากกว่า 35,000+ บาทต่อกิโลกรัม เลยทีเดียว นอกจากนี้เมล็ดกาแฟเกอิชาจาก Panama Esmeralda ยังเคยทำลายสถิติ กาแฟที่แพงที่สุดในโลก (Cup of Excellence และ Best of Panama) ด้วยคว้าแชมป์มาแล้วบ่อยครั้งในการแข่งขันกาแฟระดับโลก เช่น World Brewers Cup และ World Barista Championship อีกด้วย ด้วยความ ‘แรร์’ ของวัตุดิบระดับพรีเมียม เช่นนี้เองที่สร้างความน่าสนใจและชวนให้ลองสัมผัสในกลุ่มคอกาแฟ สาย สเปชียลตี คอฟฟี รวมถึงคนที่ชอบกาแฟรสชาติ ‘ซับซ้อน’ ไปจนถึงผู้ที่ต้องการประสบการณ์กาแฟเหนือระดับ (และพร้อมจ่ายเพิ่ม) และกลุ่มบาริสต้าที่ต้องการเมล็ดพิเศษ สำหรับการแข่งขัน ด้วยเช่นกัน !! ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ต่อการเข้ามาเปิดขาย อเมริกาโน่ พรีเมียม ด้วยวัตถุดิบเมล็ดกาแฟเกอิชา ที่ร้าน UNO! Coffee’ ด้วยการเปิดเปิดราคาดีต่อใจในแก้วละ 85 บาท ถึงสร้างกระแสจนกลายเป็นไวรัลจากโลกออนไลน์ถึงออฟไลน์ ได้เป็นอย่างมาก ในเวลานี้ Alternate-X UNO! Coffee ร้านกาแฟเปิดใหม่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว สร้างไวรัลเพราะขายกาแฟเมล็ดเกอิชาในราคาเข้าถึงได้ เริ่มต้นแค่ 85 บาทต่อแก้ว ด้วยเมล็ดกาแฟเกอิชา เป็นหนึ่งในแรร์วัตถุดิบจากสภาพการเพาะปลูกและการได้มาพร้อมรสชาติซับซ้อน หอมดอกไม้-ผลไม้ ถือเป็นความหายากระดับโลก เมล็ดนี้จึงเป็นที่ต้องการในวงการกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่ท้าทายให้เหล่า คอฟฟี่ เลิฟเวอร์ ชวนค้นหาประสบการณ์ดื่มด่ำเครื่องดื่มจากเมล็ดกาแฟหายากนี้
ไปรษณีย์ไทยไม่แผ่ว เปิดสงครามส่งด่วนกลุ่มใหม่ เจาะตลาดรักษาสัตว์ 6.64 แสนล.บาท
ชาวทาสทั่วไทยหายห่วง!! ตอนนี้พี่ไปรษณีย์ ร่วมสัตวแพทย์ จุฬาฯ ให้บริการส่งด่วนยาสัตว์เลี้ยง เจาะตลาดดูแลสัตว์ 6.64 แสนล้านบาท รับแนวโน้มสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกครอบครัวโตขึ้น 6% จากปีก่อน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของประเทศไทยมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นโดยประชาชนส่วนใหญ่นิยมการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว โดยในปี 2567 พบว่าตลาดสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะในกลุ่มบริการรักษาสัตว์มีมูลค่าตลาดสูงถึง 6.64 แสนล้านบาท และปี 2568 นี้คาดการณ์ว่าจำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาราว 6% โดยคิดเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของประมาณ 5.38 ล้านตัว ซึ่งสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ สุนัข และแมว ทั้งนี้ บริษัทฯ มองเห็นโอกาสทางธุรกิจให้บริการจัดส่งพัสดุจากแนวโน้มดังกล่าว พร้อมร่วมมือกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬา เปิดแคมเปญ “พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์ จุฬาฯ ส่งรัก” นำระบบส่งด่วน EMS ส่งต่อยาและเวชภัณฑ์ของสัตว์ให้กลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงผ่านโซลูชันให้บริการ 2 ช่องทาง คือ บริการส่งยาถึงบ้านสำหรับผู้มาใช้บริการที่โรงพยาบาลสัตว์ กรุงเทพฯ แ บริการส่งยาถึงบ้านสำหรับผู้ใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ (Televet) สำหรับแคมเปญฯ นี้เพื่อลดระยะเวลารอคอยในการรอรับยา และลดความแออัดในโรงพยาบาลที่มีผู้เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าในปี 2568 จำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาราว 6% สะท้อนถึงโอกาสเติบโตการขนส่ง ระบบการรักษา และโลจิสติกส์ในกลุ่มดังกล่าว ดร.ดนันท์ กล่าว่า บริการนี้ได้ต่อยอดการขนส่งด้วยแนวคิด ‘Parcel Defined Logistics’ ที่ออกแบบระบบขนส่งให้เหมาะสมกับสิ่งของ ทุกประเภท รวมทั้งการขนส่งยาและเวชภัณฑ์ที่ไปรษณีย์ไทยได้เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2555 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วย และโรงพยาบาล ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่ใช้บริการส่งยาและเวชภัณฑ์ผ่านไปรษณีย์ไทยกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดยมีการขนส่งไปแล้วกว่า 2.32 ล้านชิ้น ขณะที่ บริการส่งด่วน EMS การันตีมาตรฐานการจัดส่งภายใน 1-2 วันทำการ ส่งตรงถึงบ้านถึงบ้านด้วยบรรจุภัณฑ์ และวิธีการขนส่งที่เหมาะสมในการช่วยรักษาประสิทธิภาพของยาและเวชภัณฑ์ นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเครือข่ายกว่า 50,000 จุด ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และบุรุษไปรษณีย์กว่า 25,000 คน ที่มีความชำชาญทุกเส้นทาง บริการจัดส่งในอัตราค่าบริการเริ่มต้นเพียง 120 บาทต่อครั้ง ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าความร่วมมือโครงการฯ ในมุมของจุฬาฯ เล็งเห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่ควรจำกัดบทบาทเพียงการสอนหรือวิจัย แต่ต้องเป็นแรงผลักดันที่สามารถสร้างระบบนิเวศใหม่ให้กับสังคม ขณะที่ไปรษณีย์ไทยยังได้แสดงถึงบทบาทการเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณค่า ทั้งการรับส่งพัสดุ และสามารถเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการสุขภาพที่เท่าเทียมทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นสำหรับประชาชนทุกภูมิภาค และขยายผลไปถึงสัตว์เลี้ยง “ความร่วมมือนี้ไม่ใช่แค่การอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการและสัตว์เลี้ยง แต่ยังช่วยเปิดประตูให้กับแนวคิดใหม่ ๆ ในการบูรณาการบริการภาครัฐและวิชาการอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมวางรากฐานให้ระบบสุขภาพสัตว์เลี้ยงไทยมีความแข็งแรง คล่องตัว และต่อยอดสู่การเป็นโครงสร้างถาวรในระบบสุขภาพสัตว์เลี้ยงของประเทศต่อไป” ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล กรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ ‘พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์ จุฬาฯ ส่งรัก’ เป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่มีพลังขับเคลื่อนทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว นอกจากนี้ยังตอกย้ำให้ ‘ไปรษณีย์ไทย’ ก้าวสู่บทบาทโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพของประเทศ ทั้งจากการเป็นผู้นำการขนส่งพัสดุ การเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงการรักษา-บริการและเวชภัณฑ์ได้ถึงหน้าบ้าน รวมถึงมาตรฐานการขนส่งที่ไว้วางใจได้ ซึ่งสะท้อนหน่วยงานสื่อสารและขนส่งของชาติที่ยืนอยู่เคียงข้างคนไทยในทุกมิติ นอกจากนี้ เมื่อโครงการนี้สามารถขยายผลไปยังภูมิภาคอื่น ๆ หรือกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ในเครือข่ายเพิ่มเติม ก็จะยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของไปรษณีย์ไทยในฐานะแบรนด์ที่ขับเคลื่อน Well-being ของสังคมไทยอย่างแท้จริง พร้อมสะท้อนบทบาทของจุฬาฯ ในฐานะผู้สร้างระบบสุขภาพสัตว์ที่มีมาตรฐาน เข้าถึงได้ และต่อยอดไปสู่ระดับนโยบายประเทศต่อไปในอนาคต Alternate-X สรุปให้ ไปรษณีย์ไทย ร่วมกับสัตวแพทย์ จุฬาฯ เปิดบริการส่งด่วนยาสัตว์เลี้ยงถึงบ้าน รองรับตลาดรักษาสัตว์โตแรง มูลค่ากว่า 6.64 แสนล้านบาท ใช้ระบบ EMS ส่งภายใน 1–2 วัน พร้อมแพ็คเกจรักษาคุณภาพยา ลดความแออัดในโรงพยาบาลสัตว์ เพิ่มความสะดวกผู้ใช้บริการทั่วประเทศ พร้อมเดินหน้าสู่บทบาทใหม่ในระบบสุขภาพสัตว์เลี้ยงไทยอย่างยั่งยืน
ส่องงาน ‘ProPak Asia 2025’ โชว์เทรนด์บรรจุภัณฑ์โลก จะปลุกมูลค่าการค้าฯกว่า 5.5 พันล.บาท
‘ProPak Asia 2025’ งานแสดงเทคโนโลยีกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย โชว์ล้ำนวัตกรรมเทรนด์แพคเกจจิงโลก ปลุกอุตสาหกรรมระบบนิเวศสร้างมูลค่าการค้าฯ กว่า 5.5 พันล้านบาท ดร.ฟุคุยะอิ อี้โนะ ผู้แทนองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ สำนักงานอนุภูมิภาค ประเทศไทย มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม ลาว และเมียนมา (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) กล่าวว่า UNIDO เป็นหนึ่งในหน่วยงานเฉพาะทางของสหประชาชาติ ที่ทำงานร่วมกับรัฐบาล ภาคเอกชน และองค์กรอื่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค การสร้างขีดความสามารถ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ขณะที่ UNIDO ยังร่วมมือกับ ProPak Asia งานแสดงเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ระดับภูมิภาคเอเชีย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พร้อมให้ความสำคัญในการทำงานเพื่อส่งต่อความรู้และโอกาสเข้าสู่ตลาด การสร้างการรับรู้ การดึงดูดพันธมิตรใหม่ๆ และการเข้าถึงห่วงโซ่อุประทานระหว่างประเทศ “ในปีนี้ โครงการของ UNIDO อาทิ สมาชิกจากจีน กัมพูชา ปากีสถาน มองโกเลีย ฯลฯ เข้ามาร่วมงาน เพื่อสร้างความร่วมมือและกำหนดบทบาทร่วมกันทั้งเรื่องบรรจุภัณฑ์อาหารที่ยั่งยืน การลดการสูญเสียอาหารและของเสีย การจำกัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบรรลุความมั่นคงทางอาหาร” ดร.ฟุคุยะอิ กล่าว ด้าน ลูเซียนา เปลเลกรีโน ประธานองค์กรบรรจุภัณฑ์โลก (World Packaging Organization : WPO) กล่าวว่า อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์โลกวันนี้ ขับเคลื่อนด้วย 2 แก่นหลัก คือ การผสานปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะเพิ่มความแม่นยำ ประสิทธิภาพ และเปิดทางสู่การผลิตที่ปรับให้เหมาะกับผู้บริโภคแต่ละราย (mass personalization) พร้อมลดของเสียและเพิ่มความยืดหยุ่นในสายการผลิต ความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจของการออกแบบและนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อดินหน้าไปสู่การลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ การสร้างบรรจุภัณฑ์หมุนเวียน รวมถึงการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับ WPO เป็นองค์กรระดับสากลที่มีสมาชิกกว่า 62 ประเทศทั่วโลก มีเป้าหมายส่งเสริมความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ทั่วโลก เชื่อมโยงชุมชนบรรจุภัณฑ์ระดับนานาชาติ และแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรจัดกิจกรรมและร่วมงานแสดงสินค้าที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคต่างๆ ซึ่ง ProPak Asia เป็นงานที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคอาเซียนที่ทางองค์กรฯ สนับสนุนมาโดยตลอด และเป็นหมุดหมายที่องค์กรบรรจุภัณฑ์จากนานาชาติรอคอยที่จะได้มาร่วมงานในทุกปี โดยไฮไลท์ สำคัญของปีนี้ คือ การสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกที่ได้รับเกียรติจาก ดร.โยฮันเนส เบิร์กไมร์ เลขาธิการ WPO และ นางเนอริดา เคลตัน รองประธานฝ่ายความยั่งยืน โดยจะเจาะลึกในประเด็นสำคัญ อาทิ มุมมองโลกด้านบรรจุภัณฑ์ (Global Packaging Perspective) ความปลอดภัยของวัสดุบรรจุภัณฑ์อาหาร ความย้อนแย้งระหว่าง “ขยะจากบรรจุภัณฑ์” และ “ขยะอาหาร” รวมถึงการเสวนากลุ่ม ‘Asia Sustainable Packaging Roundtable’ โดยองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) เป็นเจ้าภาพ ที่จะแลกเปลี่ยนแนวทางพัฒนาความยั่งยืนกับองค์กรบรรจุภัณฑ์จากทั่วเอเชีย ด้าน มนู เลียวไพโรจน์ ประธาน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงานฯ กล่าวว่า งาน ProPak Asia ในปีนี้มีแนวคิดที่มุ่งสู่เป้าหมายการเป็น “เส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในอุตสาหกรรมการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” (Carbon-Neutral Pathways to Sustainable Processing and Packaging Ecosystem) ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อโลก สำหรับงานฯ ปีนี้จัดระหว่างวันที่ 11-14 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค จากบริษัทชั้นนำของไทยและต่างประเทศกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 42 ประเทศทั่วโลก พร้อม 15 พาวิลเลี่ยนจากประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ บาวาเรีย, จีน, ฝรั่งเศส, อิตาลี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, อเมริกาเหนือ, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, สเปน, ไต้หวัน เต็มพื้นที่จัดแสดง 5.5 หมื่นตร.ม. โดยผู้ร่วมจัดแสดงงานได้ร่วมกันนำเสนอความล้ำสมัยล่าสุดที่ครอบคลุมในทุกกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติ การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น “คาดว่างาน ProPak Asia 2025 จะดึงดูดผู้เข้าเยี่ยมชมงานจากทั่วโลกได้มากว่า 80,000 คน สร้างมูลค่าการค้าและการเจรจาธุรกิจสูงกว่า 5.5 พันล้านบาท” มนู กล่าว Alternate-X สรุปให้ ProPak Asia 2025 โชว์เทคโนโลยีการผลิตและบรรจุภัณฑ์ล้ำสมัยระดับเอเชีย มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม ขณะที่ AI และความยั่งยืนคือ 2 แกนหลักของบรรจุภัณฑ์โลก งานฯ จัดแสดงโดย 2,000 แบรนด์ จาก 42 ประเทศ คาดผู้ชมกว่า 80,000 คน พร้อมเวทีสัมมนาระดับโลก วางเป้างานฯสร้างมูลค่าการค้าและเจรจาธุรกิจกว่า 5.5 พันล้านบาท
พฤติกรรมชอปออนไลน์ คนไทยชอบ ‘ชอปก่อนนอน’ 3 ทุ่ม เวลาทองกดของใส่ตระกร้า
วัตสัน เปิดสถิติสกิลการช้อปคนไทยทุกเจนช่วงแคมเปญวันเกิด เจอเทรนด์ลงทุนให้กับตัวเองมาแรง เปย์หนักสกินแคร์-ดูแลผิว ได้ช้อปปิงก่อนนอนคือช่วงพักผ่อนฮีลใจคนรุ่นใหม่ วัตสัน (Watsons) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกพิเศษเพื่อสุขภาพและความงาม รายใหญ่ เผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยในแคมเปญ Watsons Online Birthday Sale มหกรรมชอปออนไลน์ต่อเนื่อง 10 วัน 10 คืนเต็ม พร้อมจัดโปรโมชันดึงดูดผู้บริโภคชาวไทย นอกจากนี้แคมเปญฯ ยังพบพฤติกรรมเชิงลึก (อินไซต์) นักชอปไทยต่อการคลิก เลือกสินค้าใส้ตะกร้าชอป ซึ่งมีทั้งสินค้าลดราคาและกิมมิกลับยอดนิยมของคนทั้งประเทศที่แฝงไว้อย่างน่าสนใจ นักช้อปทุกเจนฯ ลงทุนให้ตัวเอง โดยพบว่า สินค้าสุขภาพและความงามที่ดี เป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมในทุกช่วงวัย ดังนี้ กลุ่มเจนเนอเรชันซี (Gen Z) อายุต่ำกว่า 20 ปี ให้ความสำคัญกับสกินแคร์และเครื่องสำอางอย่างจริงจัง ด้วยแนวคิดการลงทุนให้กับผิวตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนกับตัวเองในอนาคต ครอบคลุมทั้งรูปลักษณ์และสุขภาพ กลุ่มวัยทำงาน อายุ 21–45 ปี ให้ความสำคัญกับทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเครื่องสำอาง พบว่า 15% ให้ความสนใจในการซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพและอาหารเสริมซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสุขภาพในชีวิตประจำวันอย่างสมดุล กลุ่ม Middle Age อายุ 46–55 ปี ให้ความสำคัญกับการดูแลผิวอย่างลึกซึ้ง ผ่านผลิตภัณฑ์กลุ่มเวชสำอาง (Derma Skincare) สะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์การดูแลตัวเองไม่ใช่แค่เรื่องของวัยหนุ่มสาว แต่กลายเป็นพฤติกรรมที่ทรงอิทธิพลในทุกช่วงวัย สำหรับแบรนด์ที่ครองใจนักชอปจากทุกสาย ทั้งสกินแคร์ บิวตี้ และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ได้แก่ L’oreal Cerave In2it Eucerin Anessa สินค้าตราวัตสัน ‘กันแดด’ ตลอดไป ทั้งนี้ จาก Top Search Trend เทรนด์การค้นหายอดนิยม ของผู้บริโภคชาวไทยยังพบว่าไม่ลังเลกับไอเทม ‘กันแดด’ สะท้อนว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการปกป้องผิวจากทุกสภาวะอากาศ ส่วนตามมาจะเป็น ‘ลิป’ เพื่อเติมลุคสดใสได้ทันที และใช้ได้ทุกวัน นอกจากนี้ ผู้คนยังให้เลือกค้นหาและเลือกชอปสินค้าเกี่ยวกับการป้องกันและดูแลสุขภาพ เนื่องจากความกังวลกับ Covid-19 ที่กลับมาอีกครั้ง และต้องการสินค้ากลุ่มนี้มีไว้ติดบ้านเพื่อความอุ่นใจ และรับผิดชอบต่อคนรอบข้าง สะท้อนถึงความต้องการดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่คนไทยไม่เคยละเลย คนกรุงเทพฯ No.1 สายช้อป สำหรับช่วงเวลายอดนิยม (ไพรม์ไทม์) ในการชอปออนไลน์สูงสุดช่วงเวลา 21.00 น. สะท้อนถึงเทรนด์และพฤติกรรมของนักชอปยุคปัจจุบันที่ชอบ ‘ชอปก่อนนอน’ เพราะเป็นช่วงเวลาที่หลายคนได้เวลาพักผ่อนหลังเลิกงานหรือภารกิจประจำวัน เป็นโมเมนต์ส่วนตัวที่ได้ใช้เวลาเลือกของที่ชอบในราคาที่ใช่ ทำให้ ‘ก่อนนอน’ กลายเป็นเวลาทองของการชอป! ขณะที่ งจังหวัดที่เป็นแชมป์นักชอปในครั้งนี้ได้แก่ กรุงเทพฯ ตามด้วย นนทบุรี เชียงใหม่ และขอนแก่น ตามลำดับชี้ให้เห็นว่าตลาดนอกเมืองใหญ่กำลังเติบโตและมีพลังซื้อไม่แพ้เมืองหลวง โดยทั้งหมดนี้ สะท้อนพฤติกรรมที่ชัดเจนของนักชอปไทยยุคใหม่ ในปัจจุบันที่มองหาสินค้าราคาดีและโปรดึงดุดใจ และมีเป้าหมายในการเลือกซื้อชัดเจนที่รู้ตัว รู้ใจ และรู้จักดูแลตัวเองมากขึ้น ส่งผลให้เรื่อง สุขภาพ ความงาม และความคุ้มค่า เป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์สำคัญของผุ้คนในทุกช่วงวัยในปัจจุบัน ที่พร้อมลงทุนให้กับสินค้าเพื่อดูแลตัวเองในแบบที่คุ้มค่า มากที่สุด Alternate-X วัตสัน เผยพฤติกรรมช้อปของคนไทยทุกเจนฯ ในแคมเปญวันเกิด เน้นลงทุนดูแลตัวเองเป็นหลัก Gen Z เน้นสกินแคร์-เครื่องสำอาง วัยทำงานสนใจสุขภาพ-อาหารเสริม ส่วน Middle Age ให้ความสำคัญกับเวชสำอาง แบรนด์ดังครองใจทั้ง L’oreal, Eucerin, Anessa ฯลฯ โดยเทรนด์ไอเทมยอดนิยม ‘กันแดด’ มาแรงสุด รองลงมาเป็นลิป และสินค้าสุขภาพ ช่วงพีคคือก่อนนอน และ กรุงเทพฯ ครองแชมป์นักช้อป สะท้อนเทรนด์รักสุขภาพ-ชอบความคุ้มค่า
ห้างฯเซ็นทรัล แผนใหม่Q2 รับนักท่องเที่ยวมุสลิมทั่วโลก ดึงพันธมิตรฉลอง ‘ตรุษอีฎิ้ลอัฎฮา
ห้างเซ็นทรัล จับมือพาร์ทเนอร์ระดับโลก ต้อนรับตรุษอีฎิ้ลอัฎฮา ปลุกฤดูกาลท่องเที่ยวไตรมาส 2 ดึงนักท่องเที่ยวมุสลิมทั่วโลกสู่ไทย รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ห้างเสรรพสินค้าซ็นทรัล จัดแคมเปญ ‘Central EID Mubarak’ เป็นครั้งแรกของห้างฯเซ็นทรัล เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลอีฎิลอัฎฮา และต้อนรับฤดูกาลเดินทางของชาวตะวันออกกลาง โดยร่วมกับพันธมิตรสำคัญ อาทิ มาสเตอร์การ์ด (Mastercard) โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ (Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok) โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล กรุงเทพ (The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel, Bangkok) โรงแรม อัล มีรอซ (Al Meroz Hotel Bangkok) สายการบินเอมิเรตส์ (Emirates Airlines) เอไอเอส (AIS) ท็อปส์ (Tops) รวมถึงร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำที่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ มอซซ่า บาย โคคอต (Mozza by Cocotte), TIENGNA Patisserie และ % ARABICA THAILAND สาขาเซ็นทรัล ชิดลม นอกจากนี้ ยังเพื่อย้ำตำแหน่งห้างฯเซ็นทรัล ชิดลม ในฐานะ The Store of Bangkok จุดหมายของการช้อปปิ้งระดับเวิลด์คลาส เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าที่มองหาประสบการณ์ทั้งการจับจ่ายใช้สอย และการได้รับการบริการชั้นเลิศระดับลักซูรีและเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมให้ความสำคัญในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการปฏิบัติตามหลักของศาสนา รวมถึงความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวมุสลิม “เรามีบริการ Personal Shopper ที่สามารถสื่อสารภาษาอาหรับและอังกฤษได้ รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิเช่น ห้องละหมาด สำหรับการปฏิบัติกิจทางศาสนา และ Personal Shopping Suite เพื่อรองรับความเป็นส่วนตัว รวมไปถึงร้านอาหาร Halal-friendly ที่มีให้บริการอย่างครบครัน พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนทุกท่านอย่างอบอุ่น” รวิศรา กล่าว สำหรับแคมเปญ Central EID Mubarak ครั้งนี้ ยังมีเป้าหมายในการสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลไตรมาสที่สองของปี โดยส่งมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งและความลักซูรี รวมถึงกิจกรรมที่เป็นการเปิดประตูต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากประเทศต่างๆในช่วงเวลาสำคัญของทางศาสนาอิสลาม และยังเป็นช่วงเวลาที่เป็นที่นิยมในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศภูมิภาคตะวันออกกลาง ถือเป็นการสนับสนุนแคมเปญของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ในปีนี้ โดยแคมเปญฯ ยังมอบมีสิทธิพิเศษและข้อเสนอต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 16 มิถุนายน 2568 ดังนี้ Alternate-X สรุปให้ ห้างเซ็นทรัล ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก จัดแคมเปญ “Central EID Mubarak” รับเทศกาลอีฎิ้ลอัฎฮา ดึงดูดนักท่องเที่ยวมุสลิมจากตะวันออกกลาง เสริมการท่องเที่ยวไตรมาส 2 พร้อมให้บริการหรูระดับเวิลด์คลาส รองรับวัฒนธรรมมุสลิม ทั้งห้องละหมาด ร้านอาหารฮาลาล และพนักงานพูดภาษาอาหรับ ตอกย้ำความเป็น ‘The Store of Bangkok’ แหล่งช้อปปิ้งระดับลักซูรี โดยแคมเปญจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 พ.ค. – 16 มิ.ย. 2568 สนับสนุนปีท่องเที่ยวแห่งชาติ 2025
‘การตลาดแบบไม่มีผู้แพ้’ หลัง ‘มาม่า’ รับบท ‘ใจป๋า’ เปลี่ยนโปรไฟล์ให้เป็นแบรนด์คู่แข่ง
ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจ ‘Pride Month’ นี้ ที่มาพร้อมความไวรัลของ ‘มาม่า’ หัวแถวในตลาดบะหมี่กึ่งฯ ออกมาขยับบนโซเชียลพร้อมซัพพอร์ตความหลากหลายแบรนด์ไทยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วงสงครามอินสแตนท์ นู้ดเดิล 2.8 หมื่นล.บาทที่มี กลุ่มพรีเมี่ยม เป็นหัวหอกพาตลาดโต เรียกความสนใจให้กับชาวโซเชียลไปไม่น้อย หลังจากแบรนด์ ‘มาม่า’ พี่ใหญ่ของวงการบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูป ออกมาเปลี่ยนโปรโฟล์เพจเฟซบุ๊คเป็นไวไว มาพร้อมกับสร้างความสงสัยเป็นอย่างมากในเหล่าผู้บริโภคที่พร้อมใส่ใจในเกือบทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ สำหรับ ผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า ในฐานะแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอันดับหนึ่งของไทย ภายใต้การผลิตโดย บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) และจัดจำหน่ายโดย บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) โดยเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. เพจเฟซบุ๊ค Mamalover ได้เปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นโลโก้ของ ไวไว ซึ่งเป็นของบริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ซึ่งสองรายต่างเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จมานานกว่า 50 ปี ในปัจจุบัน และจากความเคลื่อนไหวของ ‘มาม่า’ ในครั้งนี้ได้จุดประกายให้เกิดความสงสัย จนมีคนคาดเดากันว่าอาจเกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการหรือกลยุทธ์อื่น ๆ ตลาดเป็นของผู้บริโภค กระทั่ง ‘พันธ์ พะเนียงเวทย์’ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า ได้ออกมาโพสข้อความบนเฟซบุ๊ก ต่อปรากฎการณ์นี้ด้วยตัวเองว่า “การแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้ทุกคนต้องแข่งกันพัฒนา สุดท้ายประโยชน์สูงสุดก็จะเป็นของผู้บริโภค” ด้วยในวันเดียวกัน (10มิ.ย.) หลังแอดมินเพจ Mamalover เปลี่ยนโปรไฟล์เป็นไวไวแล้ว ถัดจากนั้นเพจดังกล่าว ก็ขึ้นรูปโปรไฟล์ใหม่เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรุปตรา ‘รุสกี’ (Ruski) ที่ได้เครื่องหมายรับรองฮาลาล (Halal) อีกหนึ่งแบรนด์สินค้าบะหมึ่ฯ ภายใต้การจัดจำหน่ายของสหพัฒน์ เพิ่มความหลากหลาย ล่าสุดช่วงเช้าของวันนี้ (11 มิ.ย.) เพจเฟซบุ๊ค Mamalover ได้ออกมาเปลี่ยนโปรไฟล์อีกครั้งเป็นยี่ห้อบะหมี่มาเฟีย (BAMEE MAFIA) ของไฮโซ ‘เป๊ก-สัณณ์ชัย เองตระกูล’ ที่เจ้าตัวได้ออกมาเปิดตัวพร้อมทำตลาดสินค้า ‘บะหมี่มาเฟีย’ บะหมี่อบกึ่งสำเร็จรูปรสสไปซี่ชิคเก้นพลัส ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เช่นกัน ซึ่งการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ของเพจมาม่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้มีจำนวน 3 แบรนด์ แบ่งเป็น2 แบรนด์คู่แข่งอย่าง ‘ไวไว’ และ ‘บะหมี่มาเฟีย’ และอีกหนึ่งแบรนด์ ‘รุสกี’ อีกหนึ่งสินค้าในเครือสหพัฒน์ โดยทั้งหมดต่างมีจุดร่วมเดียวกันตามที่ ‘พันธ์’ ออกมาแสดงความเห็นผ่านโซเชียล ถึงภาพรวมการแข่งขันในปัจจุบันทำให้ สินค้าต่างเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวเองออกมา ซึ่งก็สอดคล้องกับแฮชแทค #แวะกินยี่ห้ออื่นบ้างนะงับ ตามที่แอดมิน ใช้เป็นคีย์เวิร์ดกำกับไว้ในแต่ละโปรไฟล์ที่เปลี่ยนใหม่ ยกเว้น ‘รุสกี’ ที่แอดมินเลือกโพสสเตตัสว่า แบรนด์นี้ มีสระอุ อ่านว่า รุสกี นะงับ ไม่ใช่ รสกี พร้อมแฮชแทค #รสกีรสชาติเป็นไงงับ ในการนี้ก็น่าจะเพื่อสร้างเอนเกจเมนต์กับชาวโซเชียล ให้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ ตลาดซอง7 บาทหดแต่พรีเมียมโต อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่การตลาดในอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งในกลุ่มสินค้าแบบซองราคา 7 บาท ไม่มีอัตราการเติบโต แต่ก็ไม่ติดลบเพราะผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ แต่ก็ยังลุ้นว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีเติบโตราว 4-5% จาก ‘บะหมี่พรีเมี่ยม’ ที่ทำได้ดีในแง่ยอดขายในช่วงที่ผ่านมา ที่ปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนราว 10% ของตลาดรวม หรืออยู่ที่ 2,800 ล้านบาท ขณะที่พอร์ตแบรนด์ ‘มาม่า’ ครองส่วนแบ่งกว่า 50% ในตลาด ขณะที่ การทำตลาดเพื่อสร้างไวรัลด้วยการใช้พื้นที่สื่อของตัวเอง (Own media) ออกมาพูดถึงแบรนด์คู่แข่ง ซึ่งในต่างประเทศเองก็มีกรณีลักษณะแคมเปญคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นมาแล้ว อย่าง Burger King เปลี่ยนโลโก้เป็น McDonald’s บนวัน April Fools’ แบรนด์คู่แข่งหยอกล้อกันในโฆษณา เช่น Pepsi vs Coke ด้วยการหยอกล้อกันแบบนี้ มักเป็น ‘การตลาดแบบไม่มีผู้แพ้” (no lose game) ถ้าทำให้คนพูดถึงได้ จนเกิดการแชร์ต่อๆ กัน และยังทำให้สื่อเกิดความสนใจและพร้อมติดตามและหยิบความไวรัลนี้ขึ้นมาพูดถึงบนพื้นที่ของตัวเองที่ และนำไปสู่ การได้ฟรีมีเดีย (Free Media) ไปโดยปริยาย เช่นกัน ทั้งนี้จากมูลค่าการตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ที่ปัจจุบันมีสินค้าทั้งแบรนด์ในประเทศและนำเข้ามากกกว่าสิบแบรนด์ในตลาด โดยเฉพาะเมื่อเร็วๆนี้ Nongshim แบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียมรายใหญ่จากเกาหลี ได้เปิดตัว SHIN Ramyun Toomba ในงาน THAIFEX 2025 ได้เปิดตัวรสชาติใหม่ล่าสุดควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ชื่อดังของเกาหลีที่บูธงานดังกล่าว ด้วยเช่นกัน นั้นย่อมหมายความว่า ตลาดบะหมี่ฯ ในไทยจะมีผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศมาทำตลาดอย่างจริงจังมากขึ้นในกลุ่มบะหมี่พรีเมี่ยม ที่เป็นโอกาสการเติบโตของตลาดในปีนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน พร้อมกันนี้ล่าสุด สหพัฒน์ฯ วางแผนรักษาแชมป์ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พร้อมทำตลาดเชิงรุกกลุ่มพรีเมียม ‘MAMA OK’ พร้อมเปิดตัวแบบซอง 2 รสชาติ ‘ทงคตสึ’ และ ‘กิมจิซีฟูด’ มายกระดับมื้ออาหารให้อร่อยเหมือนนั่งอยู่ในร้านดัง ด้วยรสชาติเข้มข้น เส้นหนานุ่ม และส่วนผสมคุณภาพที่ผ่านการรังสรรค์ จำหน่ายทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ในขนาด 85 กรัม ราคาซองละ 15 บาท ตามมาติดๆ อย่างไรก็ตาม หากตัดภาพมาที่การตลาดไวรัลจากความปั่นของเพจ Mamalover ในครั้งนี้ ซึ่งยังอยู่ในช่วงเดือนแห่งความภาคภูมิใจ (Pride Month) ที่ ‘มาม่า’ ยังเปลี่ยนปกเพจ (Page Cover) ใหม่ลวดลายสีรุ้ง พร้อมข้อความ สนับสนุนความหลากหลายทางแบรนด์ ออกมาในช่วงวันเดียวกันอีกด้วย ซึ่งยังสะท้อนถึงความใจใหญ่ของแบรนด์มาม่าในฐานะพี่ใหญ่ในวงการแถมยังเข้ากระแสความหลากหลายในเดือนมิถุนายน นี้อีกด้วย Alternate-X บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ‘มาม่า’ สร้างไวรัลบนโซเชียลช่วง Pride Month ด้วยการเปลี่ยนโปรไฟล์เป็นแบรนด์บะหมี่คู่แข่ง กระตุ้นความสนใจผู้บริโภคและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง กลยุทธ์นี้สื่อถึงการแข่งขันในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท ที่กลุ่มพรีเมียมเติบโตแรง มาม่าใช้ Own Media อย่างสร้างสรรค์ คล้ายแคมเปญระดับโลกแบบ ‘no lose game’ พร้อมแฮชแทค #แวะกินยี่ห้ออื่นบ้างนะงับ ชูภาพลักษณ์เปิดกว้างและสนับสนุนความหลากหลาย สะท้อนจุดยืนแบรนด์ใหญ่ที่กล้าเล่น สนุก และเข้าใจผู้บริโภครุ่นใหม่
โอกาสธุรกิจอาหารไซส์เล็ก รับเทรนด์บริโภคกระชับงบฯ กำลังซื้อร้านกลุ่มท็อปเทียร์สะดุด
เทรนด์ผู้บริโภค ‘กระชับกำลังซื้อ’ ตามภาวะเศรษฐกิจไหลสู่ธุรกิจร้านอาหารรายย่อย โอกาสธุรกิจกิจการเอสเอ็มอีปรับระบบการชำระเงินรับความคล่องตัว กนกพร จูฑา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในไทยในกลุ่มร้านค้าขนาดกลางย่อมและเล็ก มีแนวโน้มขยายตัวตามกำลังซื้อบริโภคในปัจจุบัน ที่หันมาประหยัดงบประมาณการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นโอกาสของธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็ก ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับ ผลวิจัย ttb analytics ประเมินธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 แตะ 6.12 แสนล้านบาท ขยายตัว 5% เติบโตเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและเอสเอ็มอี ที่ได้รับแรงหนุนจากแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี ส่งผลให้สัดส่วนมูลค่าตลาดของกลุ่มนี้เพิ่มเป็น 62% ในปี 2567 จากสัดส่วน 57% ในปี 2562 “ภาพรวมเศรษกิจมีผลต่อผู้บริโภคปรับกำลังซื้อให้ลดลงตาม ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการใช้จ่ายในร้านอาหารระดับท็อปเทียร์ โดยสเปนดิงจะไหลลงสู่กิจการไซส์เล็กและกลางทดแทน” กนกพร กล่าวพร้อมเสริมว่า จากแนวโน้มดังกล่าว ทีทีบี มองเห็นโอกาสร่วมสนับสนุนธุรกิจร้านอาหารขนาดกลางและเล็ก ผ่านบริการความร่วมมือระหว่างไลน์ เพย์ (Line Pay) พัฒนาโซลูชันการรับชำระเงินแบบครบวงจร บนระบบ Wongnai POS เพื่อยกระดับเครื่องมือการจัดการธุรกิจร้านอาหารให้พร้อมรองรับการชำระเงินทุกรูปแบบ ทั้ง QR Code บัตรเครดิต บัตรเดบิต และ e-Wallet ช่วยให้การบริหารจัดการธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยความร่วมมือครั้งนี้ ยังเป็นการต่อยอดให้บริการร่วมกันจากก่อนหน้าในปี 2566 ในโซลูชันการรับชำระเงินผ่าน QR บนแพลตฟอร์ม LINE MAN รองรับการชำระเงินจากทุกธนาคารผ่าน Mobile Banking ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการรับชำระเงิน สำหรับความร่วมมือระหว่าง Line Pay ผ่านบริการล่าสุดในครั้งนี้ ทีทีบี วางเป้าหมายเติบโตอัตรา 2 หลัก หรือมีจำนวนกิจการร้านอาหารเพิ่มเป็น 10,000 ราย จากในช่วงที่ผ่านมามีธุรกิจร้านอาหารร่วมใช้บริการในช่วงก่อนหน้าราว 3,000-4,000 ราย ด้าน ณ หทัย ภูพิชญ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ LINE Pay กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างทีทีบี ยังเป็นการสร้าง ‘อีโคซิสเต็มทางธุรกิจ’ ที่ครบวงจร พร้อมยกระดับการจัดการร้านอาหารผ่าน Merchant Solutions และระบบบริหารร้านอาหารอันดับ 1 อย่าง Wongnai POS เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยและเร่งการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จากปัจจุบันมีกิจการร้านอาหารกว่า 50,000 รายใช้ระบบ line pay Wongnai POS Alternate-X สรุปให้ ผู้บริโภคปรับพฤติกรรม “กระชับกำลังซื้อ” ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลดีต่อธุรกิจร้านอาหารไซส์เล็ก-กลาง กลุ่มเอสเอ็มอีได้รับอานิสงส์จากฟู้ดเดลิเวอรี หนุนสัดส่วนตลาดเติบโตต่อเนื่อง ทีทีบีร่วม LINE Pay ยกระดับระบบชำระเงินผ่าน Wongnai POS รองรับทุกช่องทาง เพิ่มประสิทธิภาพบริหารธุรกิจ ตั้งเป้าขยายร้านค้าใช้บริการแตะ 10,000 ราย สร้างอีโคซิสเต็มดิจิทัลครบวงจร
ครั้งแรกในไทย URDU WISHER Pop-up Store ‘สติทช์’ ไซส์ยักษ์ ริมน้ำ ไอคอน สยาม
ลานริมน้ำ ‘ไอคอนสยาม’ ว้าวอีกแล้วกับเหล่าคาแรกเตอร์ดิสนีย์คอลเล็กชัน ‘Disney Wisher Series’ พร้อมสติทช์ สูง 7 เมตร ในดินแดนมหัศจรรย์ครั้งแรกในไทย ‘Wisher: Where Miracles Happen’ ศูนย์การค้า ‘ไอคอนสยาม’ ร่วมกับ URDU แบรนด์สร้างสรรค์งานศิลปะและ Art Toy ชั้นนำจากฮ่องกง ซึ่งนำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท บีบีทอยส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ภายใต้ชื่อแบรนด์ BBKidult ร่วมเนรมิตดินแดนมหัศจรรย์แห่งการอธิษฐาน ‘Wisher: Where Miracles Happen’ เปิด URDU WISHER Pop-up Store เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยนำเหล่าคาแรกเตอร์ดิสนีย์ในซีรีส์ Disney Wisher Series และของสะสมพิเศษกว่าร้อยรายการมาให้แฟน ๆ ได้เลือกซื้อมี Disney Wisher Series – Mickey Mouse , Donald Duck และ Stitchพร้อมกับ 7-Inch Standing Stitch (Movie Version) ลิมิเต็ดอิดิชันเปิดตัวครั้งแรกในไทย และไฮไลท์ ‘Wisher Stitch’ ขนาดยักษ์สูง 7 เมตร ให้ทุกคนได้ร่วมขอพรจากดวงดาวไปด้วยกันริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G ไอคอนสยาม ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2568 สำหรับ พิธีเปิดงานจัดขึ้นอย่างคึกคักเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีเหล่าเซเลบริตี้และแฟนดิสนีย์ตัวยงเข้าร่วมงานคับคั่ง พร้อมต้อนรับ Mickey Mouse, Donald Duck และ Stitch จากคอลเลกชัน URDU Disney Wisher Series อย่างอบอุ่น โดยเฉพาะการปรากฏตัวของนักแสดงหนุ่มชื่อดัง คุณวิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร ที่มาร่วมอธิษฐานกับตัวละครที่ชื่นชอบ สำหรับความร่วมมือของไอคอนสยามกับ URDU และ BBKidult ในครั้งนี้ สะท้อนถึงแนวคิด ‘Global Experiential Destination’ ที่ไอคอนสยามยึดมั่นเสมอมา ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์กิจกรรมระดับโลกที่มอบประสบการณ์แปลกใหม่ น่าจดจำ และสามารถเชื่อมโยงผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ตอกย้ำบทบาทของไอคอนสยามในฐานะจุดหมายปลายทางด้านประสบการณ์ระดับโลก นอกจากนี้ ‘Wisher: Where Miracles Happen’ ยังจัดกิจกรรมและโปรโมชั่นพิเศษ อาทิ รับสิทธิ์แลกซื้อกระเป๋าผ้า URDU Disney Wisher SERIES WASHED FABRIC DRAWSTRING BAG – STITCH ในราคาเพียง 499 บาท เพียงซื้อสินค้าใดก็ได้ภายในงาน (สินค้ามีจำนวนจำกัด) รับเพิ่ม Voucher มูลค่า 500 บาท เมื่อซื้อสินค้าภายในงานครบ 10,000 บาท/ใบเสร็จ กิจกรรมถ่ายรูปกับ Stitch เพียงโพสท่า “Wish Pose” คู่กับ Stitch แล้วแชร์รูปลงโซเชียลมีเดีย พร้อมติดตาม @URDU @BBKidult และใส่แฮชแท็ก #URDUWisher #URDU #BBKidult รับทันที! พวงกุญแจดาวเรืองแสง Wishing Star Glow in the Dark 1 ชิ้น (ของมีจำนวนจำกัดในแต่ละวันจนกว่าของจะหมด) Alternate-X สรุปให้ URDU WISHER Pop-up Store ครั้งแรกในไทย ที่ลานริมน้ำ ไอคอนสยาม เนรมิตดินแดนแห่งการอธิษฐานกับตัวละครดิสนีย์คอลเล็กชัน Disney Wisher Series พบกับ ‘Wisher Stitch’ ขนาดยักษ์ 7 เมตร ไฮไลท์สุดพิเศษ พร้อมสินค้าลิมิเต็ดและกิจกรรมสุดสนุก ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568
บี.กริม-สิงคโปร์ ลงทุน ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ มูลค่า 24,520 ล. หนุนไทย ‘ฮับ’ ดิจิทัล
บี.กริม ร่วมมือเชิงกลยุทธ์สิงคโปร์ ลงทุนศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกล และ AI ในไทย มูลค่าโครงการ 24,520 ล้านบาทในเขต EEC รับสิทธิประโยชน์การลงทุนกว่าแสนล้านบาทของรัฐบาลหนุนไทย ‘ฮับ’ ดิจิทัลภูมิภาค จอห์น ฟรีแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ดิจิทัล เอดจ์ (สิงคโปร์) โฮลดิ้งส์ จำกัด (‘ดิจิทัล เอดจ์’) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำในเอเชีย ได้รับการสนับสนุนจาก Stonepeak นักลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก เปิดเผย แนวทางการประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (‘บี.กริม เพาเวอร์’) ผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ของไทย เพื่อพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลและรองรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว สำหรับ ความร่วมมือภายใต้ Digital Edge B.Grimm (TH) Holding Pte. Ltd, ครั้งนี้มีแผนการลงทุนมูลค่าโครงการ 24,520 ล้านบาท โดยจะเริ่มด้วยโครงการเรือธงขนาด 100 เมกะวัตต์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับผู้ให้บริการ AI และคลาวด์ที่ต้องการขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ตลาดโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีการบริโภคข้อมูล การใช้บริการคลาวด์ และการประมวลผล AI /แมชชีนเลิร์นนิ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” สอดคล้องรายงานอุตสาหกรรมล่าสุด คาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยจะเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 25% ต่อปีจนถึงปี 2573 ขณะที่ความต้องการด้าน AI จะเป็นตัวเร่งสำคัญในการผลักดันความต้องการศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่สามารถขยายตัวได้และมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน จากการที่รัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาค สำหรับ โครงการ 100 เมกะวัตต์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะนำเสนอการให้บริการ โคโลเคชั่นความหนาแน่นสูง การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ และโซลูชั่นคลาวด์แบบผสมผสาน เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มไฮเปอร์สเกล กลุ่ม AI และองค์กรที่ต้องการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล โดยมีแผนเร่งก่อสร้างเพื่อรองรับความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ต้องการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตั้งเป้าเปิดให้บริการภายในไตรมาส 4 ปี 2569 “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดดิจิทัลที่มีศักยภาพสูงสุดในเอเชีย” จอห์น กล่าวพร้อมเสริมว่า “ความร่วมมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ ในโครงการสำคัญนี้ เรากำลังนำโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดมาสู่ไทย ในขนาดไฮเปอร์สเกลและความเร็วที่เร่งรัด ซึ่งจะช่วยรองรับความต้องการด้าน AI และแมชชีนเลิร์นนิ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” นอกจากนี้ยังเป็นโครงการฯความร่วมมือ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของไทย โดย ดิจิทัล เอดจ์ เป็นที่รู้จักในฐานะแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปิดดำเนินการและอยู่ระหว่างก่อสร้างรวม 24 แห่ง ครอบคลุม 9 ประเทศ และมีกำลังไฟฟ้าสำรองกว่า 1.1 กิกะวัตต์ สำหรับ การเข้ามาลงทุนในไทยครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจในการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและการผลักดัน AI ในตลาดเกิดใหม่ของเอเชีย ขณะที่ บี.กริม ก่อตั้งมานานกว่า 147 ปี เป็นผู้บุกเบิกด้านพลังงานที่ยั่งยืน และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรม (SPP) รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในภาคพลังงาน ด้วยการมีที่ดินในครอบครองจำนวนมากและประสบการณ์เชิงลึกในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ (Greenfield Infrastructure) ผสานกับพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและพลังงานหมุนเวียน ช่วยให้ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านประสิทธิภาพและความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับ บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งเสริมสร้างศักยภาพองค์กรผ่านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค ทั้งนี้ Natixis ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ บี.กริม เพาเวอร์ สำหรับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ Alternate-X สรุปให้ บี.กริม ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Digital Edge (สิงคโปร์) ลงทุนศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลและ AI มูลค่า 24,520 ล้านบาท ในเขต EEC โครงการนำร่องขนาด 100 เมกะวัตต์ ตั้งเป้ารองรับตลาด AI, คลาวด์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เติบโตในไทย รับสิทธิประโยชน์การลงทุนกว่าแสนล้านบาท หนุนไทยสู่ ‘ฮับ’ ดิจิทัลภูมิภาค ตอบโจทย์ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาดและประสิทธิภาพสูง ตั้งเป้าเปิดให้บริการภายใน Q4 ปี 2569 รองรับการขยายตัวของเทคโนโลยีระดับโลก
‘ฮาร์ดแวร์เฮาส์’ สาขาใหม่บนพื้นที่ 1 หมื่น ตร.ม. ใน ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต’ โฟกัสวัสดุช่างมืออาชีพ
‘ฮาร์ดแวร์เฮาส์’ ขยายสาขาใหม่พื้นที่กว่า 1 หมื่นตร.ม.ในโครงการ ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต’ เหนือ ทำเลศักยภาพกรุงเทพฯตอนเหนือ เจาะดีมานด์กลุ่มลูกค้าช่าง-ผู้รับเหมา-ผู้ต้องการสินค้าคุราคาเดียวกับช่างมืออาชีพ ภานวิชญ์ อนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮาร์ดแวร์เฮาส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ฮาร์ดแวร์เฮาส์ คือ ศูนย์จำหน่ายสินค้าช่าง สินค้าอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง สำหรับมืออาชีพ ล่าสุดเปิดตัว ‘ซุปเปอร์แมท’ อย่างเป็นทางการ (GRAND OPENING) สาขา ในชื่อ ‘ซุปเปอร์แมท’ ในโครงการ ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต’ ไปเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยมีสินค้ามากกว่า 150,000 รายการ ครอบคลุมทุกการใช้งานกว่า 21 แผนก อาทิ เครื่องมือช่าง เครื่องมืออุตสาหกรรม งานระบบน้ำ งานระบบไฟฟ้า สี วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับโรงงานและบ้าน ปั๊มและวาล์ว น็อตสกรู เครื่องเขียนและของใช้สำนักงาน รวมทั้งของใช้ทั่วไป เป็นต้น บนพื้นที่ขายกว่า 10,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย 2 อาคาร คือ อาคารสินค้าช่างและอุตสาหกรรม และอาคารวัสดุก่อสร้าง สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของฮาร์ดแวร์เฮาส์ เป็นช่างในระบบอุตสาหกรรม รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้รับเหมา และเจ้าของบ้านที่ต้องการซื้อสินค้าคุณภาพและราคาเดียวกับช่างมืออาชีพ “สินค้าของฮาร์ดแวร์เฮาส์ จึงเป็นเกรดอุตสาหกรรมแตกต่างจากสินค้าทั่วๆไป ด้วยแนวคิดตั้งใจทำฮาร์ดแวร์เฮาส์ ให้เป็นที่สำหรับช่างโดยรวมสินค้าคุณภาพแบรนด์อินเตอร์หลากหลาย ครอบคลุมการใช้งานของช่าง เน้นสินค้าคุณภาพดี จำหน่ายในราคาช่างทุกชิ้น ทุกวัน เพื่อเป็นการลดต้นทุนสำหรับผู้ประกอบการ คุ้มค่าและประหยัดทุกวันโดยไม่ต้องรอโปรโมชั่น” ภานวิชญ์ กล่าว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีบริการสั่งซื้อสินค้าสำหรับโรงงานและผู้ประกอบการในรูปแบบของ B2B พร้อมบริการจัดส่งฟรีในพื้นที่บริการในทุกๆ วัน ปัจจุบัน ฮาร์ดแวร์เฮาส์ เป็นหนึ่งในผู้นำของสินค้าประเภทนี้ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 35 ปี และสาขาที่ครอบคลุมในพื้นที่อุตสาหกรรมอีกมากกว่า 10 สาขา ได้แก่ บางนา ศรีราชา ระยอง บ่อวิน อมตะ เทพารักษ์ ปราจีนบุรี แหลมฉบัง อนันตภัณฑ์บางพลี ปลวกแดง บ่อวิน อมตะซิตี้ อยุธยา ล่าสุด สาขารังสิต ใน ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต (Future City Rangsit)’ โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุดในโซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 500 ไร่ Alternate-X สรุปให้ ‘ฮาร์ดแวร์เฮาส์’ เปิดสาขาใหม่ใน ‘ฟิวเจอร์ซิตี้ รังสิต’ บนพื้นที่กว่า 10,000 ตร.ม. ครอบคลุมสินค้า 150,000 รายการ เจาะกลุ่มช่าง ผู้รับเหมา และเจ้าของบ้าน เน้นสินค้าคุณภาพเกรดอุตสาหกรรม ราคาช่างทุกวัน พร้อมบริการ B2B และจัดส่งฟรี ขยายเครือข่ายรองรับดีมานด์โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ
AWC แปลงโฉม ‘ล้ง1919-ทรงวาด’ ทำห้องพักแพงสุดในไทย The Ritz-Calrton คืนละ 3 แสนบาท
AWC ลงทุน 5 พันล้าน ปั้น The Ritz-Calrton สองฝั่งทำเล ล้ง1919-ทรงวาด เชื่อมโปรเจกต์ท่องเที่ยวสายน้ำเจ้าพระยา ลงเรือต่อรถรางไฟฟ้า ย่านการค้าคลาสสิคกรุงเทพฯ วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก, อาคารสำนักงาน, โรงแรม รายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนราว 5,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการท่องเที่ยวทางสายน้ำเชื่อมการเดินทางเรือ-รถรางไฟฟ้า (Tram) นอกจากนี้ ยังวางแผนพัฒนาที่ดิน 3 แปลงรวมพื้นที่ 50,400 ตร.ม.สร้าง โรงแรม The Ritz-Calrton Bangkok, The Riverside จำนวน 191 ห้อง ประกอบด้วย 1.โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เดอะริเวอร์ไซต์ (อยู่ฝั่งล้ง 1919) จำนวน 167 ห้อง ประกอบด้วย 2 อาคาร อาคารขนาดเตี้ย(Low-rise building) วางตำแหน่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาคารสูง (High-rise building) วางตำแหน่งหลังสถาปัตยกรรมโบราณรูปตัว U ของ ล้ง 1919 2.โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เดอะริเวอร์ไซต์ ตั้งบนทำเลฝั่งถนนทรงวาด มีจำนวน 24 ห้อง รูปแบบห้องพักแบบเอ็กคลูซีฟ 3.ศูนย์ประชุม (Convention Hall) ขนาด 420 ตร.ม. และที่จอดรถของโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เดอะริเวอร์ไซต์ (อยู่ฝั่งถนนทรงวาด) วัลลภา กล่าวเสริมรายละเอียดโครงการฯ วางแนวคิดเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมไทย-จีน ผ่านพื้นที่โครงการ ‘ล้ง 1919’ ที่เน้นความสงบ และ ถนนทรงวาด แหล่งกิจกรรมยอดนิยมในกรุงเทพฯ เข้าไว้ด้วยกัน โดยวางกลุ่มเป้าหมายหลักเป็น ‘นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง’ และ ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ ที่ต้องการประสบการณ์เที่ยวเชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ รวมถึงมองหาที่เที่ยวที่มีเรื่องราว (Story) และสร้างแรงบันดาลใจได้ ขณะที่โรงแรมวางแนวคิดการพัฒนาให้เป็นมากกว่าซิตี้ โฮเทล (City Hotel) แบบเดิมทั่วไป โดยโครงการ The Ritz-Calrton Bangkok, The Riverside ถูกออกแบบสไตล์จีน และคงสถาปัตยกรรมโบราณในล้ง 1919 ไว้ครบถ้วน “โรงแรมฯ The Ritz-Calrton Bangkok, The Riverside ห้องสวีตกำหนดอัตราห้องพักสูงกว่า 300,000 บาท/คืน และจะขึ้นเป็นห้องพักที่มีราคาแพงสุดในไทย” วัลลภา กล่าวพร้อมเสริมว่า “พร้อมแบ่งสัดส่วนห้องพัก 20% ของโครงการฯ จะเป็นรูปแบบ 2-3 ห้องนอน สำหรับรองรับครอบครัวใหญ่ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักในไทยระยะยาว” โดยในเบื้องต้น โครงการฯ ผ่าน EIA เป็นที่เรียบร้อยพร้อมลงเสาเอกแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาโครงการราว 3-4 ปี ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 2571 ฟื้นเชื่อมั่นเที่ยวไทย วัลลภา กล่าวต่อถึงภาพรวมตลาดโรงแรมในไทยในไตรมาส 1 ปีนี้ที่ผ่านมา ยังมีสถานการณ์เป็นบวก โดยโรงแรมเครือ AWC มีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) มากกว่า 70% “สิ่งที่น่าห่วง คือ นักท่องเที่ยวจีน ยังไม่มีวี่แววกลับมาเที่ยวไทย แต่ยังมีกลุ่มตะวันออกกลางเข้ามาทดแทน ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยมีรูปแบบผสมผสานมากขึ้น จากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีน อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมียนมา และขยายมายังอาคารสูงในไทย ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าประชุมและสัมมนามียอดจองเข้ามาใหม่ (New Booking) ชะลอตัวในช่วงที่ ส่วนยอดจองใช้บริการเดิมไม่ได้มีการยกเลิก “ประเทศไทยต้องใช้สรรพกำลังฟื้นความเชื่อมั่นของต่างชาติเพิ่มขึ้น” วัลลภา กล่าว “ยังต้องประเมินสถานการณ์เพิ่มเติมเพราะช่วงไตรมาส 2 ปกติเป็นช่วงโลว์ซีซั่นอยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้เราหันไปเปิดพื้นที่ที่มีดีมานด์แข็งแกร่ง เช่น พัทยา ได้เปิดตัวโรงแรม Meliá Pattaya และต่อด้วย Marriott Pattaya ซึ่งได้ดีมานด์จากต่างชาติ บวกกับโลคอลดีมานด์ที่แข็งแกร่ง” Alternat-X สรุปให้ AWC ทุ่มงบ 5,000 ล้านบาท พัฒนา The Ritz-Calrton Bangkok, The Riverside สองฝั่งทำเล ล้ง 1919-ทรงวาด เชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวทางน้ำเจ้าพระยา-รถรางไฟฟ้า พร้อมศูนย์ประชุม ขยายฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง-กลุ่มคนรุ่นใหม่ โรงแรมออกแบบผสมผสานวัฒนธรรมไทย-จีน คาดเปิดกลางปี 2571 ท่ามกลางภาพรวมการท่องเที่ยวไทยที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากตลาดจีน
เทรนด์ไอทีครึ่งหลังปี68 อุปกรณ์สินค้า มุ่งใช้ชิป AI ความต้องการ ‘เกม-แก็ดเจ็ต’ ดันตลาดโต
เออาร์ไอพี มองตลาดไอทีโลกฟื้น สู่ยุคคอมพิวเตอร์ เอไอ-ความต้องการเพิ่มหลังไมโครซอฟท์ไม่ซัพพอร์ตวินโดว์ 10 ในเดือนต.ค.ปีนี้ จะทำคนเปลี่ยนคอมใหม่หลัง PC กว่า 240 ล้านเครื่องไม่สามารถอัปเกรด Windows 11 ได้ บุญเลิศ นราไท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อ การจัดงาน และ บริการดิจิทัล เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดไอทีทั่วโลกมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากยอดจัดส่งคอมพิวเตอร์ (PC) ทั่วโลกในไตรมาสแรก ปี 2568 มาจากปัจจัยสนับสนุนหลักและที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีสู่ AI PC ซึ่งมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น จากการอัปเดตเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง การยกเลิกสนับสนุน Windows 10 ของไมโครซอฟท์ (Microsoft) ในช่วงเดือน ต.ค. 68 นี้ “ปัจจัยหลังคาดส่งผลให้มีเครื่อง PC กว่า 240 ล้านเครื่องทั่วโลก ที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ มีโอกาสต้องเปลี่ยนคอมใหม่” บุญเลิศ กล่าวพร้อมเสริมว่า สำหรับเทรนด์ไอทีในครึ่งปีหลังของ 2568 นี้ เริ่มเห็นชัดขึ้นในงาน COMMART UNLIMIT ครั้งนี้ ได้แก่ โน้ตบุ๊ค ที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพรองรับการใช้งาน AI เต็มรูปแบบ ทั้งชิป CPU Intel Core Ultra 200 Series และ AMD Ryzen AI 300 Series มากับการ์ดจอใหม่ล่าสุด ให้เลือกทั้ง RTX 5080 และ 5090 มีให้ลองและเป็นเจ้าของได้ในงาน ขณะที่กลุ่มคอมพิวเตอร์แบบประกอบ มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่ออัปเกรดสู่ประสิทธิภาพการใช้งาน AI ที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะฝั่ง GPU ที่เปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ และมีสต๊อกสินค้าพร้อมขายเพิ่มขึ้นในงานคอมมาร์ตครั้งนี้ เช่นกัน ประกอบด้วย Nvidia 5000 Series intel arc Series AMD Radeon RX 9000 Series ด้านอุปกรณ์ DIY เทรนด์การตกแต่งหน้าจอแสดงผลขนาดเล็กลงบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มีความชัดเจนมากขึ้น ในคอนเซ็ปต์ Everything has a screen จากเคสติดจอ จะเริ่มเห็นจอติดพัดลม ที่ช่วยตรวจสอบประสิทธิภาพระหว่างทำงานและเพิ่มความสวยงาม ด้านจอมอนิเตอร์ แบบ OLED กำลังมาแทนที่หน้าจอ LED ด้วยความละเอียดและภาพที่ดีขึ้น แถมประหยัดพลังงาน และมีตัวเลือกเพิ่มขึ้น ในราคาที่ถูกลง ซึ่งในงานสามารถเทียบสีจอของจริงได้ก่อนตัดสินใจซื้อ ขณะที่ ปัจจุบันตลาดไอทีมีทิศทางการเติบโตที่ดีในกลุ่ม Gaming และ Gadget ที่เพิ่มความสามารถของ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม PC รวมถึงเครื่องเล่นเกมคอนโซลรุ่นใหม่ อย่าง Nintendo Switch2 ที่เริ่มวางขายในช่วงนี้ด้วย สำหรับอุปกรณ์เกมมิ่ง Gaming Handheld กำลังได้รับความนิยม และมีให้เลือกมากขึ้น ในคอมมาร์ตถือจะเป็นโอกาสดีที่เปิดให้ทดลองใช้งานจริง ด้าน พรชัย จันทรศุภแสง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อไอซีทีและการจัดงาน บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งาน COMMART UNLIMIT ปีนี้ยังร่วมกับพันธมิตรเตรียมข้อเสนอ เฉพาะช้อปสินค้าในงานเท่านั้น รวมถึงกิจกรรมพิเศษไว้มากมาย ทั้งก่อนและระหว่างงาน ประกอบด้วย คอมมาร์ต Big Bonus ช้อปครบทุก 3,000 ได้ลุ้นโชค 2 ต่อ ต่อที่ 1 ลุ้นโชคหน้างานทุกวัน Big Bonus ของรางวัลสุดปัง จับแจกตลอด 4 วัน ต่อที่ 2 อัปโหลดใบเสร็จผ่าน LINE COMMART ได้ลุ้น ของรางวัลเพิ่ม คอมมาร์ต on Top ช้อปครบ 50,000.- รับคูปองลดเพิ่ม 500.- (เฉพาะวันพฤหัสบดี-ศุกร์) คอมมาร์ต วัดดวง ร่วมสนุกหมุนวงล้อ ลุ้นคูปองส่วนลดสูงสุด 10,000.- (แค่สมัครสมาชิกที่บูธคอมมาร์ต) คอมมาร์ต ช่วยจ่ายค่าจอดรถ เพียงซื้อสินค้าในงานคอมมาร์ตครบ 30,000.- แลกสิทธิ์จอดฟรี ได้ 3 ชั่วโมง ร่วมสนุกกับกิจกรรมออนไลน์ ที่ Facebook Commart มีสิทธิ์ลุ้นรับถุงผ้า PIXMAxCOMMART และ คูปองใช้แทนเงินสดใช้ซื้อสินค้าในงานคอมมาร เข้ากลุ่มคอมมาร์ตบอกโปร LINE OPEN CHAT พูดคุยกับนักช้อปตัวตึง พร้อมอัปเดตโปรชั่นจากหน้างานก่อนใคร โดยงาน COMMART UNLIMIT จัดโดย เออาร์ไอพี พร้อมพันธมิตรธุรกิจ อาทิ ACE, ASUS, AMD, AppleSheep, Ascenti, Banana, Bewell, Ergotrend, E-Quip, Epson, iStudio by SPVI, Studio7, IT City, J.I.B, Lenovo, MSI, Secretlab, SPEED Computer , Honeywell และ เครดิตบูโร ร่วมด้วย Media Partner ได้แก่ techhub, Business+, CeeMeAgain, ChargeSPOT, eLeader, Beartai, ExtremeIT, iT24Hrs., Notebookspec, Overclockzone และ ชอบโปร เข้าชมงานฟรี! เดินทางสะดวกด้วย รถไฟฟ้า BTS สถานีบางนา 3-6 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. – 21.00 น. ณ EH 98 – 99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Alternate-X ตลาดไอทีโลกเริ่มฟื้นตัว รับเทรนด์ AI PC และการเปลี่ยนเครื่องใหม่ หลัง Microsoft เตรียมเลิกซัพพอร์ต Windows 10 เดือน ต.ค. 68 PC เก่ากว่า 240 ล้านเครื่องทั่วโลกไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ แนวโน้มคอมใหม่เน้นรองรับ AI ทั้ง CPU Intel Core Ultra, AMD Ryzen AI และ GPU ใหม่จาก Nvidia, Intel, AMD DIY PC และหน้าจอ OLED กำลังเป็นกระแสนิยมใหม่ กลุ่ม Gaming & Gadget เติบโตสูง โดยมี Gaming Handheld และ Nintendo Switch2 เป็นไฮไลต์งาน COMMART UNLIMIT ปีนี้
มูลนิธิสิริวัฒนภักดี และ ไทยเบฟ สนับสนุน โครงการเข็มวันอานันทมหิดล ปี 2568
มูลนิธิสิริวัฒนภักดี และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดย คุณภาวินี ไชยสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักประสานงานภายนอก เป็นผู้แทนร่วม งานเปิดตัวเข็มวันอานันทมหิดล ประจำปี พ.ศ.2568 ภายใต้แนวคิด Air We Share, Lungs We Care ห่วงใยทุกลมหายใจ โดยมอบเงินสนับสนุนจำนวน 1,000,000 บาท แก่โครงการเข็มวันอานันทมหิดล ปี 2568 ที่จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ เข็มวันอานันทมหิดลสู่สาธารณชนให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแก่ประชาชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมในการบริจาคเงินเพื่อสร้างกุศล นับเป็นกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณอันมีเป็นอเนกประการของพระองค์ที่หารายได้สมทบทุนมูลนิธิอานันทมหิดล, มูลนิธิสงเคราะห์เล็ก สภากาชาดไทย, ช่วยเหลือพระภิกษุสงฆ์อาพาธ ผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โครงการ “Happy Home Respiratory Care โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ ภาควิชาอายุรศาสตร์ สาขาวิชาโรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกิจกรรมจิตอาสา สโมสรนิสิตคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี รศ.นพ.ฉันชายสิทธิพันธุ์ คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.นพ.สิทธิศักดิ์ หรรษาเวก รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้แทนรับมอบ ณ โถงตึกจักรพงษ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
คนไทยยังซื้อรถใหม่ ยอดขาย GWM โค้งแรกปี68 โต 50% YoY-สวนตลาดรวมหดตัว
GWM (Thailand) สู่ปีที่ 5 ตลาดรถยนต์ในไทย หลังฉลองยอดขายโตสุดในรอบ 4 ปี รู้อินไซด์คนไทยชอบรถใหญ่-เครื่องดีเซล แผนเพิ่มผลิต NEW GWM TANK 300 DIESEL รับดีมานด์แรง พร้อมมุ่งสู่ Top 3 กลุ่ม PPV ไทย เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด GWM (Thailand) กล่าวว่า GWM (Thailand) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง พร้อมความสำเร็จยอดขายรายเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา กว่า 1,731 คัน เป็นผลมาจากการนำ NEW GWM TANK 300 DIESEL เทคโนโลยีดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด เข้ามาสู่ตลาด และสามารถครองใจผู้ใช้งานชาวไทยภายในระยะเวลาอันรวดเร็วหลังเปิดตัวได้ไม่นาน สำหรับยอดขาย 1,731 คัน ในเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ ยังเติบโตจากเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมาถึง 225% แบ่งออกเป็น สัดส่วน 50% ของยอดขายรวมทั้งหมด หรือจำนวน 877 คัน มาจาก NEW GWM TANK 300 DIESEL สัดส่วน 50% เป็นรถยนต์พลังงานใหม่ โดยสัดส่วนดังกล่าว ยังสอดคล้องกับโครงสร้างโดยรวมของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ที่มีสัดส่วนรถยนต์สันดาปภายในและรถยนต์พลังงานใหม่โดยเฉลี่ย 50:50 “สะท้อนถึงแนวทาง GWM ได้นำเสนอทางเลือกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีระบบพลังงานที่หลากหลายและเหมาะสม ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างดี” นอกจากนี้ ใน 2567 GWM มียอดขายในระดับหลักร้อยคัน ไปจนถึงต้นปี 2568 ยังมีอัตราการเติบโตยอดต่อเนื่อง และเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับมากกว่า 1,000 คันต่อเดือนในเดือนมีนาคม 2568 “จนถึงในเดือนพฤษภาคม เราสามารถทำยอดขายที่สูงเป็นประวัติการณ์สู่ระดับ 1,731 คัน จากความสำเร็จของการนำ NEW GWM TANK 300 DIESEL เข้ามาสู่ตลาดประเทศไทย” เวย์น ย้ำ สำหรับยอดขายของรถยนต์ GWM ในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม – พฤษภาคม) ของปี 2568 GWM มียอดขายสะสมอยู่ที่ 5,439 คัน เติบโตจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2567 ถึง 50% ซึ่งสวนกระแสกับตลาดรถยนต์โดยรวมที่มีอัตราการเติบโตที่ลดลง จากความสำเร็จด้านยอดขาย สะท้อนถึงกลยยุทธ์ระดับโลกและความมุ่งมั่นของ GWM ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพที่หลากหลายและครอบคลุมทุกพลังงาน (Multi Powertrains) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ทั่วโลกและคนไทยได้ โดยเฉพาะการนำ NEW GWM TANK 300 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย และกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงหลักของ GWM ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้บริโภคชาวไทย และมีการเติบโตของยอดสั่งจองและยอดขายอย่างมั่นคง ในเดือนพฤษภาคม “คาดว่า NEW GWM TANK 300 DIESEL จะขึ้นสู่อันดับ Top 3 ในกลุ่ม PPV โดย GWM ได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง” เวย์น กล่าวต่อ สำหรับเซกเมนต์รถยนต์ไฟฟ้า ที่มีการแข่งขันด้านสงครามราคาที่รุนแรง โดย GWM จะยึดถือการแข่งขันด้านคุณภาพและคุณค่าในระยะยาว ขณะที่ GWM ORA Good Cat ยังสามารถสร้างยอดขายได้อย่างคงที่ จากผู้ใช้ชาวไทยและติดอันดับแบรนด์ BEV ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปรัชญาการดำเนินธุรกิจของ GWM ไม่สนับสนุนการแข่งขันโดยใช้สงครามราคา แต่จะเน้นการแข่งขันด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การสร้างและพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่ายที่แข็งแกร่งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลลูกค้าและพัฒนาด้านการบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดี สร้างคุณค่า และสร้างความเชื่อมั่นและความอุ่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว โดย GWM Thailand มีผู้ใช้งานชาวไทยกว่า 40,000 รายตั้งแต่ในปีแรกที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 4 ปี และมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเป่าติ้ง ประเทศจีน และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ในปี 2546 และ 2565 ตามลำดับ อีกทั้งยังมีพนักงานมากกว่า 70,000 คนทั่วโลก ปัจจุบัน GWM เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศจีนที่มียอดการผลิตและยอดขายมากกว่าหนึ่งล้านคันในตลอดระยะเวลา 8 ปี มีเครือข่ายการขายครอบคลุมกว่า 1,000 แห่งใน 170 ประเทศในหลายภูมิภาค โดยมียอดขายสะสมในต่างประเทศมากกว่า 1,400,000 คัน และ ยังสามารถทำยอดขายในต่างประเทศได้สูงถึง 300,000 คันในปี 2566 Alternate-X สรุปให้ GWM Thailand ก้าวสู่ปีที่ 5 ด้วยยอดขายโตสุดในรอบ 4 ปี โค้งแรกปี 68 ยอดขายสะสม 5,439 คัน เติบโต 50% สวนตลาดรวม เดินหน้าเพิ่มผลิต NEW GWM TANK 300 DIESEL รับดีมานด์สูง พร้อมเป้าหมายขึ้น Top 3 กลุ่ม PPV ไทย กลยุทธ์บาลานซ์ตลาดรถสันดาป-อีวี เน้นคุณค่า-คุณภาพ ไม่แข่งสงครามราคา
KFC หนุนเด็กนอกระบบศึกษาเป็น’ศูนย์’ แผนกระตุ้น GDP ไทยเพิ่ม 1.7%
หลัง ‘เคเอฟซี’ เข้ามาในตลาด QSR และคุ้นเคยกับเด็กไทยมานานร่วม 40 ปี แถมครองแชมป์ No.1 ไก่ทอดมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทมายาวนาน ที่นอกจากการทำธุรกิจแล้วยังขยายความผูกพันแบรนด์ในกลุ่มเด็กเปราะบาง ได้มีโอกาสทัดเทียมเพื่อนในเจนฯเดียวกัน ด้วย ซูเฮล ลิมบาดะ Market Lead & Chief Marketing Officer เคเอฟซี ประเทศไทย ผู้ให้บริการร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant-QSR) กล่าวว่า ในการเปิดเทอมภาคการศึกษาใหม่นี้ เคเอฟซี เดินหน้าโครงการ KFC Bucket Search ต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 2 ภายใต้แนวคิดที่ว่า ‘ทุกศักยภาพไม่ควรถูกทอดทิ้ง’ จุดประกายความหวังด้านการศึกษา และเปิดประตูสู่อาชีพที่ดีในอนาคต โดยขยายความช่วยเหลือเยาวชนทั่วประเทศ จากเยาวชนกลุ่มสถานพินิจ สู่เยาวชนกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มฅนวัยใส จากข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า ในช่วงเปิดเทอมภาคการศึกษาใหม่ มีเด็กไทยจำนวนมากที่ไม่ได้กลับไปเรียนหนังสือโดยในปี 2568 มีเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 3-24 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษา จำนวนถึง 880,463 คน “ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษานั้นถือเป็นหนึ่งในปัญหาเร่งด่วนของระบบการศึกษาไทยที่ต้องได้รับการแก้ไข” ซูเฮล กล่าว ทั้งนี้ หากประเทศไทยยุติปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจนทำให้จำนวนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษากลายเป็นศูนย์ได้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 1.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) เนื่องจากรายได้ตลอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นของเด็กที่มีการศึกษาสูงขึ้น ซูเฮล กล่าวว่า ที่ผ่านมาโครงการ KFC Bucket Search ภายใต้ความร่วมมือกับ กสศ. มุ่งยกระดับชีวิตของเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ผ่านการออกแบบหลักสูตรการศึกษาที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิต โดยเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับทางเลือกที่เรียกว่า work & study ที่ช่วยในการจัดสรรเวลาและรายได้ ผ่านการเรียนและทำงานกับเคเอฟซี หรือรับการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อวิชาชีพ โดยโครงการจะมอบองค์ความรู้และเงินทุนตั้งต้น สำหรับการเรียนจะเน้นการสร้างระบบนิเวศของการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เยาวชนกลุ่มนี้สามารถเรียนรู้ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ และกลไกการเป็นผู้ประกอบการ ผ่านประสบการณ์ทำงานจริง และประสบการณ์เหล่านี้จะถูกแปลงเป็น ‘หน่วยกิต’ การศึกษา เพื่อสะสมเป็นวุฒิการศึกษานำไปต่อยอดการทำงานในอนาคตได้ ซูเฮล กล่าวว่า โครงการ KFC Bucket Search ไม่ใช่แค่กิจกรรม CSR แต่เป็นภาพสะท้อนของความเชื่อและความตั้งใจที่เรายึดมั่นมาตลอดกว่า 40 ปีในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม และสนับสนุนให้ทุกคนได้รับโอกาสที่เท่าเทียม “โครงการฯ ทำต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 2 ช่วยเยาวชนอีก 300 คน และตั้งเป้าภายในปีนี้อีก 1,000 คน” ด้าน ภัทรา ภัทรสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายบริหารแบรนด์ เคเอฟซี ประเทศไทย กล่าวว่าโรงเรียนนอกกรอบของเคเอฟซี กับหลักสูตรทักษะอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ ที่สามารถนำประสบการณ์ทำงานจริงมาเป็นหน่วยกิตเรียนจบ ม.6 ได้ โดยผสานการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ชีวิตและประสบการณ์การทำงานจริงกับเคเอฟซี สำหรับโครงการฯ เริ่มตั้งแต่ปี 2566 ได้ส่งมอบโอกาสให้เด็กและเยาวชนจำนวนทั้งสิ้น 430 คน โดยในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสถานพินิจ นอกเหนือจากการสนับสนุนในด้านการเรียนและทักษะการประกอบอาชีพแล้ว ทางเคเอฟซียังได้นำวิทยากรจากหลากหลายสาขาอาชีพ อาทิ อินฟลูเอ็นเซอร์ ช่างตัดผม นักดนตรี และบาร์เทนเดอร์ เข้ามาแบ่งปันความรู้ประสบการณ์ เพื่อเปิดกว้างเกี่ยวกับโลกการทำงานและเส้นทางอาชีพที่หลากหลายอีกด้วย ด้าน เอิร์ท-กฤษณะภัส เรืองฤทธิ์ เยาวชนจากโครงการ KFC Bucket Search รุ่นแรก กล่าวว่า ตนเองได้มีโอกาสมาเล่นดนตรีในงานเปิดตัวโครงการ Bucket Search เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว หลังวงชนะการประกวดวงดนตรีของ DJOP Music Contest ของทางกรมพินิจฯ และได้รับโอกาสจากเคเอฟซีไปออกงาน ได้ร้องเพลงเล่นดนตรี “ผมรู้สึกมีความสุขเวลาคนเห็นเราร้องเพลง เลยอยากทำมันให้ดี เป็นอาชีพได้ ผมเลือกทำให้ทุกคนเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ ผมไม่ได้กังวลกับการใช้ชีวิตข้างนอกเพราะได้รับโอกาสจากหลายๆ คนที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางการศึกษาหรือการได้ทำในสิ่งที่ชอบ” ทั้งนี้ โครงการ Bucket Search มุ่งสนับสนุนเยาวชนในโครงการให้ค้นหาศักยภาพของตนเองในสาขาวิชาชีพต่างๆ โดยไม่จำกัดโอกาสการทำงานเฉพาะกับทางเคเอฟซีเท่านั้น ปัจจุบัน น้องๆ รุ่นแรกจำนวน 130 คนนั้น เกือบครึ่งหนึ่งเลือกเรียนและทำงาน (work & study) ไปพร้อมกัน ทั้งการศึกษาต่อในสายอาชีวศึกษา สายสามัญ หรือในระดับปริญญาตรี ส่วนน้องๆ กลุ่มที่เหลือเลือกประกอบอาชีพตามความถนัดและความสนใจของตนเอง เช่น การทำธุรกิจส่วนตัว งานช่าง งานบริการ ไปจนถึงงานในสายดนตรี โดย เคเอฟซี มุ่งเน้นพัฒนาทักษะทั้งด้าน hard skills เช่น การเป็นผู้ประกอบการ ภาษาอังกฤษ หรือการตลาด ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในโลกการทำงานยุคใหม่เท่านั้น พร้อมสร้าง soft skills ทักษะการสื่อสาร การปรับตัวและอยู่ร่วมกับผู้อื่น การวางแผนชีวิต (life plan) การตระหนักรู้ในตนเอง และการเข้าใจผู้อื่น ด้วยเป้าหมายสูงสุด คือ การให้เด็กนอกระบบสามารถกลับคืนสู่สังคม และนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมจากโครงการไปต่อยอดศักยภาพ สร้างรายได้เลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เคเอฟซีได้เปิดตัวภาพยนตร์สั้น 3 ตอน ซึ่งบอกเล่าหลักสูตร work & study ของโรงเรียนนอกกรอบเคเอฟซี หลักสูตรที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้แบบบูรณาการจากการทำงานที่ร้านเคเอฟซี และนำประสบการณ์มาแลกเป็นหน่วยกิต เพื่อช่วยให้น้องๆ ได้กลับมาเรียนต่อ และกล้าที่จะฝันอีกครั้ง สามารถรับชมภาพยนตร์โฆษณาทั้งสามตอน และติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของโครงการ KFC Bucket Search ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก KFC Foundation TH K เกี่ยวกับ เคเอฟซี เคเอฟซี หนึ่งในแบรนด์ร้านอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมทั่วโลก ก่อตั้งโดยผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ส่วนในประเทศไทย ร้านเคเอฟซี สาขาแรกก่อตั้งขึ้นในปี 2527 ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ปัจจุบันมีร้านเคเอฟซี 1,157 สาขาทั่วประเทศ (ณ เมษายน 2568) บริหารแบรนด์และแฟรนไชส์โดย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริหารร้านเคเอฟซีโดยแฟรนไชส์ซี่ จำนวน 3 ราย บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (RD) บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA) Alternate-X สรุปให้ เคเอฟซี เดินหน้าโครงการ KFC Bucket Search รุ่นที่ 2 หนุนเยาวชนนอกระบบการศึกษา สร้างโอกาสใหม่ผ่านการเรียนรู้และทำงานจริง ตั้งเป้า ‘Thailand Zero Dropout’ หวังยกระดับ GDP ไทย 1.7% เปิดหลักสูตรยืดหยุ่น work & study แปลงประสบการณ์เป็นวุฒิการศึกษา พร้อมพัฒนาเยาวชนกว่า 1,000 คนภายในปีนี้
‘แมนซั่ม’ แต่งตัวใหม่ ปรับแบรนด์ให้ทัชใจเจนฯZ ขาย ‘ความดูดี’ เจาะตลาด 1.2 พันล.
‘แมนซั่ม’ ขยับลุคใหม่รอบ 10 ปี เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเจนฯ Z รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ 1.2 พันล้านบาท มัลลิกา เหลืองนิมิตรมาศ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องดื่มรายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ทำตลาดเครื่องดื่มให้คุณประโยชน์สำหรับผู้ชาย แบรนด์ ‘แมนซัม’ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาพร้อมวางแนวคิดใหม่แบรนด์ส่งพลังบวก ให้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ดเจนเนอเรชั่น Z โดยแบรนด์แมนซั่ม วางหลักคิดให้ผลิตภัณฑ์รองรับทุกความต้องการของทุกคนในทุกมุมมอง ภายใต้ความเชื่อ ‘ความดูดี’ ไม่มีสูตรสำเร็จ และไม่ควรถูกจำกัดด้วยกรอบใด ๆ “แมนซั่ม เป็นแบรนด์ที่อยู่เคียงข้างคนรุ่นใหม่ในทุกความเป็นไป และเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เปิดรับความหลากหลาย เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างความมั่นใจทั้งภายนอกและภายใน” มัลลิกา กล่าวพร้อมเสริมว่า โดยตลอดระยะเวลาการทำตลาดแบรนด์แมนซั่ม และเป็นผู้นำเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลสำหรับผู้ชายไทย ยังวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมสื่อสารแบรนด์ให้สอดรับกับยุคที่ผู้บริโภคมีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการปรับดีไซน์ใหม่ พร้อมร่วมกับครีเอเตอร์ สร้างสรรค์คอนเทนต์ ให้มีความสนุก ทั้งนี้เพื่อรองรับการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ และรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องดื่มฟังค์ชันนัล มีมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สำหรับ ดีไซน์ใหม่แมนซั่ม ยังตอกย้ำความเข้าใจทุกไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ด้วยความเชื่อมั่นว่า ‘ความดูดี’ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกรอบใดกรอบหนึ่งในยุคแห่งความหลากหลาย การปรับลุคครั้งนี้จึงมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ใหม่ที่มีความทันสมัยและขยายขนาดให้โดดเด่นขึ้น นอกจากนี้ ยังมีคาแรคเตอร์รูปแบบใหม่บนฉลากที่ได้แรงบันดาลใจจากสไตล์อนิเมะ สื่อถึงความร่วมสมัย ความคิดสร้างสรรค์ และสะท้อนความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน ภายใต้แนวคิด ‘ดูดีให้สุดในแบบคุณ’ ปัจจุบัน เครื่องดื่มแมนซั่มโฉมใหม่ยังคง 4 รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง ได้แก่ สีน้ำเงิน: สูตรคอลลาเจน เพื่อการดูแลผิวพรรณ สีแดง: สูตรแอล-กลูตาไธโอน เพื่อความกระจ่างใส สีเหลือง: สูตรคอลลาเจน กลิ่นฮันนีเลมอน อร่อย ดื่มง่าย เพื่อบูสผิวดี สีฟ้า: สูตรคอลลาเจน แบบน้ำตาลน้อย ฝาเทา เอาใจสายเฮลตี้ “การเปลี่ยนโฉมใหม่ครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนครั้งใหญ่ ที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงและตอบโจทย์วัยรุ่นมากขึ้น แต่ยังคงคุณประโยชน์อัดแน่นเต็มขวดเหมือนเดิม” มัลลิกา กล่าวพร้อมเสริมว่า นอกจากนี้ ‘แมนซั่ม’ ยังให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้บรรจุภัณฑ์ขวด rPET (Recycled Polyethylene Terephthalate) ซึ่งเป็นพลาสติกรีไซเคิลที่สามารถนำกลับมาผลิตใหม่ได้อีกครั้ง ควบคู่ไปกับการนำเสนอเครื่องดื่มที่ช่วยเสริมสร้างความดูดีให้กับผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยในงานเปิดตัวแมนซั่มลุคใหม่ ยังได้สร้างสรรค์ประสบการณ์สุดพิเศษในรูปแบบทอล์กโชว์ครั้งแรกในประเทศไทย โดยยกรายการชื่อดัง ‘กตัญญู ทูไนท์’ มาไว้ใจกลางสยามสแควร์ นำทีมโดย กตัญญู สว่างศรี พร้อมด้วยแขกรับเชิญสุดคูลอย่าง อูโน่ หลาวทอง และ จอร์จ Rubsarb มาร่วมส่งต่อแรงบันดาลใจให้ทุกคนค้นพบและแสดงออกถึงความดูดีในแบบของตัวเอง พร้อมพูดคุยในหัวข้อที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และปิดท้ายค่ำคืนสุดพิเศษด้วยมินิคอนเสิร์ตจากTilly Birds วงดนตรีขวัญใจเจน Z ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่มีความดูดีและมั่นใจในสไตล์ตัวเอง Alternate-X สรุปให้ ‘แมนซั่ม’ รีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ปรับลุคใหม่พร้อมสื่อสารถึงเจน Z ด้วยแนวคิด ‘ความดูดีไม่มีกรอบ’ ผสมผสานดีไซน์สไตล์อนิเมะทันสมัย บรรจุภัณฑ์ใหม่ใช้ขวด rPET รักษ์โลก พร้อมคงจุดขาย 4 สูตรตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หลากหลาย รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลไทย
แฟชั่น ‘แสนสิริ’ โอตกูตูร์ สร้างโมเมมตัมแบรนด์ ผ่านยูนิฟอร์มใหม่พนักงาน
แสนสิริ ขยับแบรนด์สู่โลกแฟชั่น ร่วมงานกับ ‘วิคธีร์รัฐ’ แบรนด์ดีไซเนอร์ไทย ใช้แสงเงาโครงสร้างสถาปัตย์ สู่ ‘ยูนิฟอร์ม’ ใหม่ให้พนักงาน SANSIRI บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กับความเคลื่อนไหวด้านแบรนด์การตลาดอีกครั้ง และเป็นครั้งแรกโดยทำงานร่วมกับนักออกแบบแบรนด์ชาวไทย ‘VICKTEERUT’ (วิคธีร์รัฐ) สร้างสรรคชุดยูนิฟอร์มใหม่ ‘แสนสิริ’ สำหรับยูนิฟอร์มใหม่แสนสิริ ถ่ายทอดแนวคิดการออกแบบสะท้อนจากแกนหลักธุรกิจอสังหาฯ ในงานก่อสร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรมและแสงเงา และองค์ประกอบทางศิลปะมาสู่ภาษาแฟชั่นสะท้อนความเป็น ‘แสนสิริ’ ประกอบด้วย รูปทรงเรขาคณิตล้ำสมัย ในฐานะผู้นำด้านการออกแบบ (Design Lead การตัดเย็บระดับโอตกูตูร์ (Haute Couture) ประณีตทุกเส้นด้าย การใช้สีโทนเดียวแบบโมโนโครเมติก (Monochromatic) เรียบหรูและทันสมัย การใช้ลายเส้นสายเฉียง และการกุ๊นผ้าแบบ Precision Cut สร้างความโดดเด่นและแตกต่างในการออกแบบ สำหรับการพัฒนายูนิฟอร์มใหม่ แสนสิริใช้เวลาศึกษาและรวบรวมข้อมูลรอบด้าน ผ่านการพูดคุยและรับฟังความคิดเห็นจากพนักงาน เพื่อเข้าใจความต้องการและประสบการณ์ในการทำงานอย่างแท้จริง และนำมาสู่แรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างยูนิฟอร์ม ที่ไม่ใช่แค่ชุดทำงาน แต่เป็นชุดแห่งความมั่นใจ พร้อมยกระดับมาตรฐานการบริการในระดับสากล สู่การทำงานทุกฟังค์ชันของบุคลากรแสนสิริ นอกจากนี้ ยังสะท้อนปรัชญาสถาปัตยกรรมผ่านในชุดยูนิฟอร์ม ความง่ายที่ซ่อนความซับซ้อน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของยูนิฟอร์มใหม่ที่ออกแบบให้ครอบคลุมในด้านต่างๆ ดังนี้ Freedom of Movement – เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่จำกัดการทำงาน Comfort Revolution – สวมใส่สบายตลอดวัน ไม่เหนื่อย ไม่อึดอัด Inclusive Design – ออกแบบเพื่อทุกเพศ ทุกสรีระ ทุกไลฟ์สไตล์ Confidence Booster – เสริมสร้างความมั่นใจและความสุขในการทำงาน จากแนวคิดการทำงานผ่านการออกแบบสู่ยูนิฟอร์มแสนสิริ เพื่อส่งต่อไปยังผลลัพธ์ผ่านพนักงานองค์กร ที่พร้อมให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความมั่นใจที่แท้จริง พร้อมส่งต่อประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้าได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ต่อการสร้างสรรค์ยูนิฟอร์มครั้งนี้ ยังสะท้อนความโดดเด่นด้านการออกแบบ ‘แสนสิริ’ ที่ไม่เหมือนใครทั้งในโครงการอสังหาฯ เป็นบ้าน คอนโด ทาวน์โฮม รวมไปถึงยูนิฟอร์ม เพื่อสื่อถึงจุดเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจและความต้องการของคนก่อนเสมอ โดยแสนสิริ มุ่งให้ความสำคัญทั้งผลิตภัณฑ์ และ Well-being ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบนิเวศ ตั้งแต่ พนักงาน ลูกค้า และคนในชุมชน เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นพื้นที่ที่ให้ทุกคนได้เป็นตัวเองอย่างมั่นใจ มีความสุข และเติบโตไปด้วยกันอย่างภูมิใจ ปัจจุบันแสนสิริ มีพนักงานราว 4 พันคนโดยชุดยูนิฟอร์ม ดังกล่าวสำหรับทีมฝ่ายขายและพนักงานให้การดูแลลูกค้าในทุกโครงการ Alternate-X สรุปให้ แสนสิริ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอสังหาฯ ร่วมงานกับแบรนด์ดีไซน์เนอร์ไทย ‘วิคธีร์รัฐ’ ออกแบบยูนิฟอร์มพนักงานใหม่ ถ่ายทอดปรัชญาสถาปัตยกรรมสู่แฟชั่น ผ่านการตัดเย็บระดับโอตกูตูร์ เน้นเสริมความมั่นใจและการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ พร้อมยกระดับประสบการณ์บริการในทุกมิติ สะท้อนแบรนด์ที่เข้าใจทุกความต้องการของผู้คน
บางจากแจกฟรี ‘มะม่วง’ เติมน้ำมันทุกชนิด 300 บาท ดีต่อใจหนุนผลผลิตเกษตรไทย
บางจากฯ ดีต่อใจช่วยชุมชนเกษตรกรไทยให้ฟรีมะม่วงแฟนซี 1 ถุง เติมครบ 300 บาท น้ำมันทุกชนิด วิ่งรถให้ฉิวหิวแล้วเปิดถุงกินผลไม้ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสถานีน้ำมันบางจาก ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ปลูกมะม่วงที่มีผลผลิตตามฤดูกาลจำนวนมาก ด้วยการรับซื้อมะม่วงแฟนซีคละสายพันธุ์นำมาสมนาคุณลูกค้า โดยสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ เติมน้ำมันชนิดใดก็ได้ตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป รับฟรีมะม่วงแฟนซี 1 ถุง น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม มูลค่า 30 บาท ตั้งแต่วันที่ 6 – 8 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าของจะหมด ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ที่ร่วมรายการ ดูรายละเอียดได้ที่ www.bcpgreenmiles.com โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บางจากฯ ได้ร่วมช่วยเหลือกลุ่มชุมชนเกษตรกรมาอย่างต่อเนื่องด้วยการคัดสรรผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตร เช่น กล้วยอบกรอบ ลูกหยีกวน ลูกไหนอบแห้ง เป็นต้น มาเป็นของสมนาคุณลูกค้า และยังร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรที่ออกมาพร้อมกันจำนวนมากตามฤดูกาล เช่น ส้ม มะนาว ไข่ไก่ มังคุด สับปะรด ลำไย กระเทียม หอมแดง เป็นต้น ฯลฯ นำมาเป็นของสมนาคุณลูกค้าผู้ใช้น้ำมัน เพื่อร่วมดูดซับผลผลิตและพยุงราคา และช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน ทั้งนี้ บางจากฯ ดำเนินงานไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยแนวคิด Greenovative Destination ของสถานีบริการน้ำมันบางจากที่มีเป้าหมายให้ผู้บริโภคได้ใช้พลังงานคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีธุรกิจเสริมต่างๆ หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน ตลอดจนเป็นจุดหมายของการแบ่งปันและสร้างสรรค์สังคมไทยที่น่าอยู่
ไม่ไหวขอไปก่อน พนักงานลาออกงานเดิม 70% เพราะอยากได้บอสมี ‘Empathy’
เมื่อความจริงใจสำคัญกว่าตำแหน่ง หนึ่งในเหตุผลหลักของพนักงานกว่า 63% ขอลาออกจากงานเดิม เพราะไร้ความรู้สึกผูกพันกับผู้บริหารองค์กร แกริต บุคกาต ซีอีโอ บริษัทโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลก เผยผลสำรวจพบว่าพนักงานกว่า 2 ใน 3 (63%) ระบุหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขาลาออกจากงานเดิมคือการไม่มีความผูกพันหรือความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมบริหารหรือผู้นำองค์กร และยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ดังนี้ 68% พนักงาน ให้สาเหตุการลาออกมาจากคำมั่นสัญญาที่ไม่เป็นจริงของผู้บริหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพนักงานรู้สึกไม่เชื่อมั่นเมื่อผู้นำไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้ และสิ่งนี้ส่งผลให้ความไว้วางใจถูกทำลาย จากข้อค้นพบเหล่านี้มาจากรายงานฉบับใหม่ที่ชี้ให้เห็นว่า ‘ภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญกับคนเป็นศูนย์กลาง’ (human-centric leadership) คือ แนวโน้มสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ หากต้องการให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในปี 2025 และต่อไปในอนาคต ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ความสำเร็จของผู้นำจะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น หากผู้นำให้ความสำคัญกับ ”คน”เป็นอันดับแรก โดยเฉพาะในยุคที่พนักงานหลายคนเริ่มกังวลเรื่องบทบาทของ AI และสงสัยว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์หรือไม่ ขณะที่ มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในที่ทำงานเสมอ เช่นเดียวกับที่องค์กรลงทุนในเทคโนโลยีผ่านการค้นคว้าและพัฒนา (R&D) ฉะนั้นการลงทุนกับพนักงานในองค์กรก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยผู้นำ ที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางจิตใจ ความยืดหยุ่นในการทำงาน และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่ง สร้างพนักงานที่ผูกพันกับองค์กร และขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้” แกริต เสริมว่า “ผู้นำที่ไม่สร้างความสัมพันธ์ที่จริงใจกับทีมงาน ไม่เพียงเสี่ยงต่อการสูญเสียความจงรักภักดี แต่ยังพลาดโอกาสในการรับฟังข้อมูลเชิงลึกและแนวคิดใหม่ ๆ ที่อาจพาองค์กรไปสู่การเติบโตในอนาคต” ภาวะผู้นำที่ไม่จริงใจ จากการสำรวจ เมื่อถามถึงลักษณะทั่วไปของผู้นำที่ไม่ดีหรือไม่จริงใจ พนักงานแสดงความเห็นดังต่อไปนี้ ขาดความโปร่งใส (72%) – พนักงานจะสูญเสียศรัทธาในผู้นำที่ปกปิดข้อมูลหรือไม่อธิบายเหตุผลของการตัดสินใจ ความไม่สม่ำเสมอ (66%) – ผู้นำที่พูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่าง มักไม่สามารถสร้างความเคารพในระยะยาวได้ยาก หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ (44%) – ผู้นำที่ไม่ยอมรับความผิดพลาด หรือไม่รับผิดชอบจะนำไปสู่ วัฒนธรรมในองค์กรที่ไม่ดี ที่กล่าวโทษกันไปมา เพิกเฉยต่อความเป็นอยู่ของพนักงาน (30%) – ผู้นำที่ให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าคนจะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ การจัดการที่ควบคุมมากเกินไป (28%) – การขาดความไว้วางใจในความสามารถของพนักงาน อาจส่งผลให้พนักงานขาดแรงจูงใจและจำกัดนวัตกรรมได้ ความลำเอียง/การเล่นพรรคเล่นพวก (22%) – การปฏิบัติต่อทีมอย่างไม่เท่าเทียมกัน ทำให้เกิดความไม่พอใจและขาดความผูกพัน เส้นทางสู่ความสำเร็จ รายงานฯ ยังระบุอีกว่าองค์กรที่มีผู้นำแบบ “ยึดคนเป็นศูนย์กลาง” มีแนวโน้มรักษาบุคลากรคุณภาพสูงได้มากกว่า 1.5 เท่า และมีโอกาสบรรลุเป้าหมายขององค์กรได้มากกว่าถึง 2.6 เท่า แกริต กล่าวว่า สำหรับแนวทางที่องค์กรและผู้นำสามารถปรับใช้ ในการสร้างผู้นำแบบยึดคนเป็นศูนย์กลางไว้ดังนี้ การพัฒนาผู้นำผ่านการโค้ชและการฝึกอบรม: ผู้นำควรได้รับการพัฒนาเรื่องการสร้างความเข้าใจผู้อื่น (empathy) การสร้างความฉลาดทางอารมณ์ ความจริงใจ การฟังอย่างลึกซึ้ง และการสร้างทีม หากองค์กรไม่มีผู้เชี่ยวชาญภายใน อาจพิจารณาใช้บริการจากบริษัทภายนอก การสื่อสารที่โปร่งใสและชัดเจน: การสื่อสารที่เปิดเผย โปร่งใส และสม่ำเสมอ ถือเป็นหัวใจสำคัญของแนวทางการบริหารที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง องค์กรควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างให้ไอเดียต่าง ๆ ถูกแลกเปลี่ยนและได้รับการรับฟัง พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการให้ข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ ตัวอย่าง เช่น การจัดช่วงถามตอบ (Q&A) ที่เปิดให้พนักงานได้สอบถามอย่างตรงไปตรงมา หรือการมีนโยบายเปิดกว้างในการรับคำถามตลอดเวลา ไม่ว่าจะพบกันตัวต่อตัวหรือผ่านอีเมลก็ตาม การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร: การปรับเปลี่ยนสู่วิธีการบริหารที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง อาจจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ ซึ่งอาจรวมถึงการทบทวนวัฒนธรรมองค์กร การปรับเกณฑ์วัดผลการทำงาน และการปรับระบบการให้รางวัลให้สอดคล้องกับหลักการที่ให้ความสำคัญกับ “คน” เป็นศูนย์กลาง การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน: องค์กรควรมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจความต้องการของพนักงาน เพื่อนำมาพัฒนากลยุทธ์ในการเพิ่มระดับความผูกพันและการมีส่วนร่วมของพนักงาน ซึ่งอาจรวมถึงการสร้างโอกาสในการทำงานร่วมกันมากขึ้น การส่งเสริมสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน รวมถึงการนำระบบการยกย่องและให้รางวัลมาใช้อย่างเหมาะสม สกิลผู้นำยุคใหม่ต้องเห็นอกเห็นใจ ด้าน ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการประจำประเทศไทย ของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในบริบทขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในประเทศไทย ผู้นำที่ได้รับการยอมรับ ไม่ใช่ผู้ที่เพียงแค่มีอำนาจตามตำแหน่ง แต่เป็นผู้ที่สร้างความเชื่อมโยงกับผู้คนได้อย่างแท้จริง จากข้อมูลพบว่า พนักงานถึง 70% เชื่อว่า ความเข้าใจผู้อื่น (empathy) เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้นำ ตามด้วยการสื่อสาร และความยืดหยุ่น เมื่อผู้นำให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านการพัฒนาหรือการดูแลสุขภาพจิตสะท้อนให้เห็นถึงความชัดเจนว่า ‘คุณคือคนที่สำคัญที่นี่’ ผู้นำที่เป็นผู้ฟังอย่างแท้จริง รักษาคำมั่นสัญญา และสนับสนุนการเติบโตของพนักงานจะเป็นผู้ที่สามารถรักษาคนเก่งและสร้างความภักดีในระยะยาวได้” ความสัมพันธ์แบบทางธุรกิจ รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึง ผลกระทบเชิงลบเมื่อผู้นำขาดความจริงใจ โดย พนักงานถึง 62% ระบุว่าพวกเขาไม่รู้สึกผูกพันกับผู้นำ เมื่อผู้นำติดต่อสื่อสารมาเฉพาะในเวลาที่ต้องการบางสิ่งจากพวกเขาเท่านั้น พนักงาน 71% รู้สึกได้ หากผู้นำใช้น้ำเสียงเชิงบวกที่ไม่จริงใจ โดยหลายคนมองว่าเป็น “การแสดงออกแบบฝืนใจ” หรือ forced enthusiasm ปุณยนุช สรุปว่า “การให้ความสำคัญกับปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ผู้นำจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทั้งของพนักงานและองค์กรไปพร้อมกันได้ แนวโน้มในปี 2025 และอนาคต ความสำเร็จขององค์กรจะถูกขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจผู้อื่น การสร้างทีม และความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับ ‘คน’ เป็นอันดับแรก” สามารถดาวน์โหลดรายงานการสำรวจเงินเดือนของโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ได้ที่ www.robertwalters.co.th Alternate-X สรุปให้ เมื่อความสัมพันธ์และความจริงใจสำคัญกว่าตำแหน่ง พนักงานกว่า 63% เลือกลาออกเพราะขาดความผูกพันกับผู้บริหาร ขณะเดียวกัน 70% ต้องการผู้นำที่มี Empathy เป็นคุณสมบัติหลัก การสื่อสาร โปร่งใส ความยืดหยุ่น และการฟังอย่างลึกซึ้ง คือกุญแจสำคัญ องค์กรที่นำแนวคิด human-centric leadership มาใช้ มีแนวโน้มรักษาบุคลากรเก่งๆ ได้มากกว่า และบรรลุเป้าหมายองค์กรสูงกว่าเกือบ 3 เท่า
แฟรนไชส์ปี 68 เทรนด์ใหม่กำลังมา ‘TFBO 2025’ งานแฟร์รวมเชนอาหาร-เครื่องดื่มใหญ่สุด
ตลาดธุรกิจแฟรนไชส์มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท โต 18% อีกหนึ่งโอกาสนักลงทุนธุรกิจในงาน TFBO 2025 จัดที่ไบเทค 4-7 มิ.ย.นี้ คาดเงินสะพัด 100 ล้านบาท กวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้จัดงาน TFBO 2025 เปิดเผยว่า จากข้อมูลธุรกิจแฟรนไซส์ในไทยมีอัตราเติบโต 18% มูลค่าตลาดรวมกว่า 300,000 ล้านบาท แยกเป็นธุรกิจแฟรนไซส์ได้ถึง 661 กิจการ โดยกลุ่มแฟรนไซส์ที่มีจำนวนมากที่สุด 1-5 อันดับแรก ได้แก่ อาหารและเบเกอรี่ 217 กิจการ เครื่องดื่มและไอศกรีม 168 กิจการ การศึกษา 105 กิจการ บริการ 76 กิจการ อสังหาและค้าปลีก 48 กิจการ สำหรับปี 2025 คาดการณ์ตลาดแฟรนไซส์ในไทย จากภาวะเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว จะเกิดเทรนด์แฟรนไซส์ใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่น่าสนใจ จากปัจจัยดังกล่าวทางบริษัทฯ ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน จัดงานแฟรนไชส์และโอกาสทางธุรกิจ Thailand Franchise & Business Opportunities หรือ TFBO 2025 งานแสดงแฟรนไซส์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 21 โดยกำหนดจัดงานตั้งแต่วันที่ 4-7 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00-19.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา ภายในงานได้รวบรวมแบรนด์แฟรนไซส์ชั้นนำกว่า 150 แบรนด์ จากทั้งไทยและต่างประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย รัสเซีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา เข้ามาร่วมจัดแสดงและเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเริ่มต้นทำธุรกิจเยี่ยมชมสินค้าและเจรจาธุรกิจแบบครบจบในงานเดียว สำหรับแฟรนไซส์ที่นำเสนอครอบคลุมใน 12 ประเภทธุรกิจที่น่าสนใจ อาทิ อาหารและเบเกอรี่ เครื่องดื่มและไอศรีม เทคโนโลยีและระบบอัจฉริยะ แฟรนไซส์ร้านสะดวกซื้อ การศึกษา สัตว์เลี้ยง สินค้าและการบริการ อุปกรณ์และสินค้าสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและการแพทย์ เครื่องเขียนและของใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเหมาะกับผู้ที่สนใจลงมือทำธุรกิจ เป็นก้าวแรกของการเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง หรือต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่เดิม ทั้งกลุ่มอาหาร เบเกอรี่ ขนมหวาน กาแฟ ชานมไข่มุก ไอศรีม ร้านค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ เครื่องหยอดเหรียญ ร้านสะดวกซักและงานบริการ นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรม Franchise Business Clinic เปิดโอกาสให้รับคำปรึกษาเชิงลึกจากกูรูแฟรนไชส์ และอีกโซนใหม่ล่าสุดที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ประสงค์จะขยายแฟรนไชส์เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในมุมกิจกรรม Make Over & Scale Up Biz Opportunity รวมถึงการจัดฝึกอบรมและจัดงานเสวนาเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างธุรกิจ การสร้างรายได้ในหลากหลายหัวข้อน่าสนใจให้เลือกติดตามได้อย่างใกล้ชิดตลอด 4 วันของการจัดงาน ซึ่งคาดว่าจะมียอดผู้เข้าร่วมงาน 8,500 คน และสร้างมูลค่าการเจรจาธุรกิจรวม 100 ล้านบาท ด้าน สุทธิชัย พนิตนรากุล นายกสมาคมแฟรนไชส์ และไลเซนส์ กล่าวเสริมถึงข้อมูลเทรนด์ธุรกิจแฟรนไซส์ในปี 2025 จากการวิเคราะห์พบว่า แฟรนไซส์ที่เป็นขาขึ้น และอยู่ในความนิยมของผู้บริโภค 10 อันดับ ได้แก่ 1..ธุรกิจการแพทย์และดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 2.ธุรกิจบริการความงาม สปา 3.ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง 4.ธุรกิจอาหารและเบเกอรี่ 5.ธุรกิจเครื่องดื่มและไอศกรีม 6.ธุรกิจค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา 7.ธุรกิจการศึกษา 8.ธุรกิจบริการ สะดวกซัก ตู้หยอดเหรียญ คาร์แคร์ 9.ธุรกิจบริการชาร์จรถ EV 10.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่วนธุรกิจที่มีแนวโน้มขาลง อยู่ในกลุ่ม 1.ธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่ 2.ธุรกิจร้านหมาล่าชาบู 3.ธุรกิจร้านหมูกระทะ 4.ธุรกิจขนส่งพัสดุ Drop Off งานพิมพ์ 5.ธุรกิจร้านค้าโชห่วย 6.ธุรกิจจำหน่ายและให้เช่า CD หรือ VDO 7.ธุรกิจถ่ายเอกสารและงานพิมพ์ 8.ธุรกิจตัวแทนจำหน่าย 9.ธุรกิจรถเช่า รถยนต์มือ2 10.ธุรกิจบริการถ่ายรูปโฟโต้แลป เป็นต้น สุทธิชัย กล่าวต่อไปว่า สมาคมฯ พร้อมสนับสุนการจัดงานฯในครั้งนี้อย่างเป็นทางการ พร้อมร่วมออกบูธให้คำปรึกษาและร่วมส่งวิทยากรให้ความรู้ในงานสัมมนาหลายๆ หัวข้อ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ร่วมผลักดันให้เกิดการจัดงานที่ครบวงจร เพื่อการขับเคลื่อนและส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไซส์นั่นเอง สำหรับงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2025 จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 4-7 มิถุนายน นี้ ณ ไบเทค บางนา Alternate-X สรุปให้ ตลาดแฟรนไชส์ไทยปี 68 โตแรง คาดแตะ 300,000 ล้านบาท เติบโต 18% พร้อมจัดงาน TFBO 2025 งานแฟร์รวมธุรกิจแฟรนไชส์ใหญ่สุด จัด 4-7 มิ.ย. ที่ไบเทค รวมกว่า 150 แบรนด์ดังใน 12 ประเภทธุรกิจ พร้อมเจรจาธุรกิจในงาน ด้วยไฮไลต์เทรนด์ใหม่มาแรง เช่น แฟรนไชส์สุขภาพ ผู้สูงอายุ ความงาม สัตว์เลี้ยง คาดเงินสะพัดกว่า 100 ล้านบาท หนุนผู้ประกอบการใหม่สู่ตลาดแฟรนไชส์
‘บางละมุง’ พัทยา ทำเลฮอตเชื่อมกรุงเทพฯ-EEC กานดาฯ ทำบ้านเจาะดีมานด์อยู่จริง
กานดาฯ เห็นโอกาสอสังหาฯ พัทยาทำเลเชื่อมต่อเศรษฐกิจ-อีอีซี ใช้5 จุดแข็งแนวคิดส่งบ้านราคาเริ่มต้น 3.49-6.9 ล้านบาท รับความต้องการจริงอยู่อาศัย-พักผ่อน ลดหนักหลังละล้านบาท ช่วงพรีเซล 12-13 ก.ค.นี้ หัสกร บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ดินในทำเลบางละมุง ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงเมืองพัทยากับกรุงเทพฯ และยังอยู่ระหว่างเมืองพัทยากับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มขึ้น จากปัจจัยพื้นที่ขยายตัวของเมืองและรองรับรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคต จากปัจจุบัน พื้นที่ดังกล่าวยังเดินทางสะดวกด้วยถนนสุขุมวิท มอเตอร์เวย์สาย 7 และสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นทำเลที่เหมาะสำหรับคนทำงานในพัทยา, นิคมอุตสาหกรรม, ท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงการทำงานในกรุงเทพฯแล้วเดินทางกลับบ้านในวันหยุดได้ นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญ คือ โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการอยู่อาศัยระยะยาว ทั้งโรงเรียนระดับนานาชาติ โรงพยาบาลเอกชน แหล่งจับจ่าย และสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ระบบน้ำ ไฟ ถนน และอินเทอร์เน็ตที่มีความเสถียร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ลงตัวระหว่างคุณภาพชีวิตและศักยภาพการเติบโต “ทำเลดังกล่าวยังเป็นพื้นที่ที่มีบรรยากาศน่าอยู่ ใกล้ธรรมชาติ แต่ยังมีไลฟ์สไตล์ที่เป็นเมืองท่องเที่ยว มีชายหาด เช่น หาดจอมเทียน บ้านอำเภอ ซึ่งเป็นย่านที่เงียบสงบกว่าพัทยาเหนือ เหมาะกับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว ซึ่งบ้านในบางละมุงยังมีราคาที่จับต้องได้เทียบกับใจกลางเมืองพัทยาที่มีราคาสูง ขณะที่บางละมุงยังมีโครงการบ้านแนวราบในราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งเหมาะกับคนในพื้นที่และครอบครัวใหม่” หัสกร กล่าวพร้อมเสริมว่า จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทฯ มองเห็นโอกาสพร้อมเปิดตัวบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด โครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน เป็นบ้านดีไซน์ใหม่สไตล์ English Garden วางราคาเริ่มต้น 5.49 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 129-211 ตาราเมตร บ้านเดี่ยวฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 3-4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2-3 คัน สำหรับบ้านแฝด ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน หัสกร กล่าวว่า โครงการฯใหม่นี้ ต่อเนื่องจากการเปิดตัวโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ทาวน์โฮมดีไซน์อบอุ่นในสไตล์ English Garden ไปก่อนหน้าและประสบความสำเร็จในด้านการขาย ซึ่งพบว่าลูกค้าจำนวนหนึ่งมีความต้องการซื้อบ้านที่มีขนาดใหญ่ “หลังจากเข้ามาพัฒนาโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ซึ่งพบว่าคนชลบุรีมีความต้องการซื้อบ้านในพื้นที่อำเภอบางละมุง ซึ่งพัทยา-จอมเทียน ก็เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ดังกล่าว” หัสกร กล่าว ขณะที่โครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนและจองภายในงานวันที่ 12-13 กรกฏาคม 2568 จะได้โปรโมชั่นพิเศษรับส่วนลดมูลค่า 1 ล้านบาท สำหรับการจองบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด โดยราคาเริ่มต้นบ้านเดี่ยว จาก 5.49 ล้านบาท เหลือราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท สำหรับบ้านแฝด จากราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท เหลือราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้สิทธิ์ลุ้นรับเครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมี่ยม ได้แก่ 1.เครื่องซักอบรีด 2.ตู้เย็น 16.1 คิว 3.ทีวี 55 นิ้ว 4.เครื่องฟอกอากาศ 5.เครื่องดูดฝุ่น สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/40rqdxm สำหรับบ้านทุกหลังภายในโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ถูกออกแบบด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี ภายใต้แนวคิด 5 Kanda Concept เพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ที่ตอบโจทย์ทั้งชีวิตวันนี้และในอนาคต ได้แก่ Eco Smart บ้านที่ช่วยลดภาระค่าไฟ Easy Maintenance ออกแบบเพื่อง่ายต่อการซ่อมบำรุงรักษา Multi-Generation รองรับสมาชิกทุกวัยในครอบครัว Space Matter ให้ความสำคัญกับการออกแบบทุกพื้นที่ใช้สอย Flood Protection จัดทำระบบป้องกันอุทกภัย ออกแบบรั้วและแนวล่างให้มีสภาพทึบน้ำและคำนึงถึง ระดับถมดิน ระดับตัวบ้าน รวมถึงเตรียมพื้นที่สำหรับ ระบบสูบน้ำ เพื่อให้สามารถพึ่งพาตรเองได้ ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเปิดให้จอง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดโซนไพรเวท สัมผัสบรรยากาศความร่มรื่นและใกล้ชิดธรรมชาติ ด้วยพื้นที่สีเขียวภายในโครงการที่ช่วยสร้างความผ่อนคลายในทุกๆ วัน รวมถึงยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สนามบาส Jogging track รองรับทุกกิจกรรมสำหรับทุกครอบครัว และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เข้า-ออกโครงการด้วยระบบ Easy Pass, กล้อง CCTV หน้าโครงการ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมั่นใจในทุกวัน พร้อมทั้งโปรโมชั่นพิเศษส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท และยังได้รับสิทธิ์จับ Lucky draw ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีแอร์ ฟรีค่าโอนฯ สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนเข้าชมโครงการเฉพาะในวันที่ 12-13 ก.ค.68 2 วันนี้เท่านั้น Alternate-X กานดาฯ เปิดโอกาสตลาดอสังหาฯ พัทยา-อีอีซี ส่งโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด ราคาเริ่ม 3.49-6.9 ล้านบาท รับดีมานด์จริงอยู่อาศัย-พักผ่อน พรีเซล 12-13 ก.ค. ลดสูงสุด 1 ล้านบาท พร้อมของแถมพรีเมี่ยม เน้นแนวคิด 5 Kanda Concept รองรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่และอนาคต
‘เจ้าสัวสหพัฒน์’ แจกสูตรฝ่าวิกฤตเศรษกิจ ‘อย่าฝืนธรรมชาติ’ เน้นธุรกิจปลอดภัย
‘บุณยสิทธิ์’ เจ้าสัวเครือสหพัฒน์ ย้อนทุกวิกฤตเศรษกิจผ่านมาได้ ‘ปีไหนไม่ดีแค่โตช้า ปีไหนดีก็โตเร็ว’ แต่เน้นฐานองค์กรแข็งแรงไว้ก่อน ปีนี้ไปต่องาน ‘สหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส ครั้งที่ 29 กับเป้ารายได้ปี’68 แตะ 5 หมื่นล้านบาท โต10% บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่วนประเทศไทยเติบโตต่ำสุดในระดับภูมิภาคด้วยก่อนหน้าไทยเคยเติบโตสูงสุดมาแล้ว เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซีย และ เวียดนาม ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเติบโตดี ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจคาดจะถดถอยเพียงระยะหนึ่ง ด้วยต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยทั้ง แนวทางของไทยที่มีต่อนโยบายภาษีทางการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งในสุดท้ายแล้วน่าจะใช้ระยะเวลาราว 2-3 ปี “ที่สำคัญ ไทยมีจุดแข็ง คือ ความเป็นกลางไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่งระหว่างจีนหรือสหรัฐอเมริกาจึงน่าผ่านไปได้” บุณยสิทธิ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า ขณะที่ สหพัฒน์ ดำเนินธุรกิจมาตลอดกว่า 80 ปีที่ผ่านมาได้ต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ขึ้นลงมากมาย “หากปีไหนเศรษฐกิจไม่โตเราก็แค่เติบโตช้า ปีไหนเศรษฐกิจดีเราก็เติบโตได้เร็ว” โดยสหพัฒน์ มุ่งแนวทางสร้างความปลอดภัยให้บริษัทมากกว่า ซึ่งแม้ว่าธุรกิจจะโตช้าแต่จะเน้นสร้างฐานภายในให้แข็งแกร่งแทน และสำคัญสุดคือไม่คิดว่าหากเศรษฐกิจไม่ดีแล้วต้องจะต้องทำอะไรให้มากขึ้น โดยไม่ไปฝืนธรรมชาติ ด้วยหากเศรษฐกิจโตช้า เราก็แค่เดินช้าลง เป็นสิ่งที่ยังคงทำให้ สหพัฒน์ ดำเนินการมาได้ถึงในปัจจุบัน “สภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปีนี้ เปรียบเหมือนรถยนต์ที่เหลือเพียง 3 ล้อจากที่เคยมี 4 ล้อ หากเศรษฐกิจดีก็เปรียบเหมือนเป็นรถยนต์อีวี ซึ่งแม้จะเหลือเพียง 3 ล้อแต่รถยนต์ก็ยังเป็นรถยนต์ ก็ยังอยู่ได้ เปรียบกับเมื่อก่อนที่เรายังเป็นเพียง 2 ล้อก็ผ่านมาแล้ว จึงมองว่าแต่ละยุคเหตุการณ์ไม่เหมือนกัน บางยุคเศรษฐกิจไม่ดีแต่มีโอกาส ส่วนยุคนี้ปีนี้เศรษฐกิจไม่ดีแต่หากปรับตัวได้ก็ยังอยู่รอด” บุณยสิทธิ์ กล่าว พร้อมเสริมกล่าวต่อว่า ขณะที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับนโบายเกี่ยวกับภาคการผลิตและการพัฒนาด้านต่างๆ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจและจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากกว่า โดยเฉพาะโครงการแลนด์บริดจ์’ (Land Bridge) และ EEC ที่ควรมีมากกว่าที่เดียว เป็นต้น “แจกเงินดิจิทัลที่ผ่านมาเป็นเพียงโครงการนโยบายหาเสียง ไม่สนับสนุนให้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่หากเป็นนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากกว่า” บุณยสิทธิ์ ย้ำ เศรษฐกิจปีนิ้ ไม่แย่ไปกว่าช่วงโควิด ด้าน บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวที่เกิดขึ้น หากวิเคราะห์แล้วพบว่าในปีนี้ไม่ได้แย่กว่าช่วงปีที่เกิดโควิด (2563-2565) “ในปีนั้นเศรษฐกิจติดลบแต่ปีนี้ยังไม่ติดลบ แม้ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังสูง แต่เป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว แก้ยาก ส่วนปัญหาที่เกิดจากความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ เชื่อว่ายังไงประเทศไทยก็รอด จะกระทบเพียงกลุ่มส่งออกกับเรื่องของกำแพงภาษีสหรัฐ แนะว่าอย่าตื่นตระหนกตกใจ แต่ควรหาวิธีในการส่งสินค้าเข้าไปสหรัฐและประเทศอื่นๆ ต่อจะดีกว่า เพราะเชื่อว่าคนสหรัฐยังไงก็ต้องบริโภค จึงไม่อยากให้กังวลไปเอง สำคัญที่สุดอยากให้รัฐบาลมุ่งสื่อสารสร้างกำลังใจแก่ประชาชนไม่ให้ท้อถอย หากไม่ตกงานก็อยากให้ใช้จ่ายเหมือนเดิม ดีกว่านำเสนอด้านลบ” บุญชัย กล่าวพร้อมเสริมว่า อย่างไรก็ตามภาคกำลังซื้อเกิดจากความเชื่อมั่นของประชาชน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ยอดขายตก และหากไม่มีกำลังใจแล้วจะยิ่งทำให้การใช้จ่ายชะลอตัวมากยิ่งขึ้น ขณะที่สหพัฒน์ ไม่เคยหยุดนิ่ง พร้อมตั้งรับการเปลี่บนแปลงตลอดเวลาด้วยการลงมือทำก่อนปัญหาจะเกิด เช่น การบริหารต้นทุนหากทำแล้วต้องทำต่อไป เพื่อให้กำไรยังคงอยู่ ไปพร้อมปรับเปลี่ยนวิธีคิดของพนักงาน เปลี่ยนทัศนคติมุ่งสร้างการเติบโต (Growth Mindset) ให้มียอดขายเพิ่ม “แม้เศรษฐกิจไม่ดีแต่เมื่อเรามีเป้าหมายการเติบโตก็ต้องหาวิธีไปให้ถึง ไม่ใช่หาทางแก้ปัญหาตามหลัง แต่ต้องทำก่อนที่ปัญหาจะเกิด” บุญชัย ย้ำ จากแนวทางดังกล่าวในปีนี้ สหพัฒน์ยังคงวางเป้าหมายการเติบโตอยู่ที่ 10% คิดเป็นมูลค่ารวมที่ 50,000 ล้านบาท จากในไตรมาสแรกปีนี้มีอัตราเติบโตรายได้ 4.8% ส่วนกำไรเติบโต 20% คิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท จากการจำหน่ายสินค้าที่มีกำไรสูงได้เยอะ และการออกสินค้าใหม่กระตุ้นยอดขาย สำหรับแนวทางธุรกิจครึ่งปีหลังนี้ วางแผนสร้างยอดขายเติบโตเพิ่มจากการหาโอกาสขยายช่องทางจำหน่ายร้านเอเย่นต์ใหญ่ให้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันมีร้านค้าหน่วยรถ 32,000 ร้านค้า เป็นต้น “จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น มองว่าการทำธุรกิจปีนี้ต้องมีการปรับเปลี่ยน แก้ไขอยู่ตลอดเวลา ใช้เงินให้น้อยลง ฟุ่มเฟือยให้น้อยลง ดูแลลดต้นทุน อย่ารอให้แย่แล้วมาลด และทำช่องทางขายที่อ่อนแอให้แข็งแรงขึ้นมา” บุญชัย กล่าว ด้าน ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ประธานจัดงานสหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส กล่าวว่า ปีนี้เครือสหพัฒน์ยังคงเดินหน้าจัดงานสหกรุ๊ป แฟร์ขึ้น โดยยกระดับการจัดงานสหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส ภายใต้คอนเซปต์ Big Shop Big Show โดยรวมสินค้าราคาพิเศษนำมาให้ช็อป พร้อมมอบประสบการณ์พิเศษกว่าเดิม โดยจะจัดขึ้นวันที่ 26-29 มิถุนายน 2568 นี้ เวลา 10.00 – 21.00 น. ที่ฮอลล์ 98-100 ไบเทค บางนา โดยในส่วนของ Big Shop คือ การยกระดับประสบการณ์การช็อปให้สะดวก สนุก ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ด้วย 2 แอปพลิเคชั่น คือ 1. BIGXSHOW แพลตฟอร์มไลฟ์คอมเมิร์ซรูปแบบใหม่ ที่ผสานความบันเทิงจากการถ่ายทอดสดกับการช็อปแบบเรียลไทม์ และ 2.FRIDAY FAIR แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ที่พัฒนาโดยคนไทย 100% ประเดิมเปิดจำหน่ายสินค้าจากงานสหกรุ๊ปแฟร์ปีนี้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ยังมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างเครือสหพัฒน์กับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ รวม 10 ฉบับ ครอบคลุมทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์,เทคโนโลยี, การศึกษา อีคอมเมิร์ซ และธุรกิจบริการ อาทิ การเปิดตัวโรงแรมหรูใจกลางราชดำริร่วมกับไทยโอบายาชิ การพัฒนาเทคโนโลยี AI และ Cloud ร่วมกับบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด การสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินร่วมกับบางกอกแอร์ เอวิเอชั่น เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ การพัฒนาบุคลากรด้าน AI ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีปทุม และความร่วมมือเพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือในธุรกิจอัญมณี การขยายช่องทางการตลาดสินค้าฮาลาล รวมถึงความร่วมมือในการเปิดร้านขายสินค้าไลฟ์สไตล์สำหรับคนรักแมว Alternate-X สรุปให้ องค์กรธุรกิจรายใหญ่ของไทยเครือสหพัฒน์ มองเศรษฐกิจไทยปีนี้แม้ชะลอ แต่ไม่แย่กว่าช่วงโควิด โดยสหพัฒน์ยังคงเดินเกมธุรกิจด้วยฐานที่แข็งแรง พร้อมเป้ารายได้ปี’68 โต 10% แตะ 5 หมื่นล้านบาท เน้นปรับตัว-ลดต้นทุน-ขยายช่องทางขายล่วงหน้า ไม่รอให้ปัญหาเกิด หนุนรัฐบาลพัฒนาภาคการผลิตมากกว่าแจกเงินดิจิทัล พร้อมเดินหน้าจัด ‘สหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส ครั้งที่ 29’ พร้อม MOU กับพันธมิตรหลากหลายกลุ่มธุรกิจ
‘ออริจิ้น’ หวนใช้ ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ แบรนด์แอมฯ เรียกเชื่อมั่นแบรนด์ ครึ่งหลังปี68
ออริจิ้น ใช้บริการ ‘ณเดช คูกิมิยะ’ แบรนด์แอมบาสเดอร์อีกครั้งในรอบ 8 ปี ฟื้นเชื่อมั่นแบรนด์คอนโด-บ้าน แถมเซอร์ไพรส์อาจได้เจอ ‘แบรี่’ อยู่แถวบ้าน กฤษณ์ เตชะสัมมา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จํากัด หรือ ORIGIN VERTICAL ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทฯ วางแผนการทำตลาดสื่อสารแบรนด์คอนโดออริจิ้น ผ่าน ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ ในฐานะ ‘แบรนด์ แอมบาสเดอร์’ (Brand Ambassador) อีกครั้งหลังจากเคยร่วมงานด้วยกันเมื่อ 8 ปีก่อน “ไม่ใช่แค่การเลือกเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ แต่ยังเป็นการสานต่อความผูกพันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่ง ‘ณเดชน์’ คือตัวแทนความจริงใจ ความอบอุ่น และความมั่นคง” กฤษณ์ กล่าว จากคาแรกเตอร์ดังกล่าว ยังสะท้อนถึงคุณค่าหลัก และความมั่นใจแบรนด์ ‘ออริจิ้น’ ที่ต้องการสื่อสารในทุกโครงการทั้งคอนโดฯและบ้าน ผ่านรอยยิ้ม และ ความจริงใจของณเดชน์ ที่ทุกคนไว้วางใจจาก My Life. My Origin ในวันนั้น สู่ Creative living for All ในวันนี้ ด้วยให้ทุกวัยและไลฟ์สไตล์มี ‘ชีวิตที่ดีขึ้น’ ถ้าเริ่มต้นกับ ‘ออริจิ้น’ พร้อมกันนี้ ออริจิ้น ยังเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ โดยสื่อสารผ่าน Brand Ambassador ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ ชวนทุกคนเข้าร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับ ‘คอนโดฯ ออริจิ้น’ ผ่านแคมเปญ ‘ฟิ นกว่าที่คิด’ ภาคต่อนิยามการใช้ชีวิตที่สร้างสรรค์ และความสุขในแบบที่ตามหา และ ‘บ้านบริทาเนีย’ พร้อมเปิดสัมผัสประสบการณ์จริงของการอยู่อาศัย สําหรับภาพยนตร์โฆษณา ‘อยู่ออริจิ้น ฟิ นกว่าที่คิด’ ถ่ายทอดข้อมูลเจาะลึก Insight จากลูกค้าที่ได้เข้ามาชมโครงการจริง และนํามาสู่ไอเดียสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาเล่าความรู้สึก ความฟิน ความเซอร์ไพรส์ เมื่ออยู่ในโครงการคอนโดฯ ของ ออริจิ้น พร้อมถ่ายทําจากสถานที่จริง บรรยากาศจริงทั้งหมดภายในโครงการ สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของ Origin Vertical ได้พบกับความฟินในทุกส่วนคอนโดฯ ‘ออริจิ้น’ ด้าน สิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท บริทาเนีย จํากัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า บริษัทฯ สําหรับการสื่อสารแบรนด์ ผ่านภาพยนตร์โฆษณา ‘ฟิ นกว่าที่คิด อยู่…บริทาเนีย’ ที่เล่าผ่าน ‘ณเดชน์’ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ยังสะท้อนตัวตน และเอกลักษณ์ของ บริทาเนียอย่างชัดเจน ทั้งราคาที่เข้าถึงได้ การออกแบบตกแต่งที่สวยงาม ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์ สไตล์ในทุกช่วงวัย “ไม่ว่าคุณจะนั่งเล่นอยู่ในสวน หรือจูงน้องหมาเดินเล่น ก็อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นณเดชน์ มาเซอร์ไพรซ์ มาเสร้างความฟิน ได้อีก เชื่อว่าแคมเปญนี้จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างการจดจําและกระตุ้นยอดขายให้กับแบรนด์ และตอกยํ้าจุดยืนในฐานะบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเข้าใจผู้บริโภคมากที่สุด” สิริพงศ์ กล่าว ชมภาพยนตร์โฆษณา ‘อยู่ออริจิ้น ฟิ นกว่าที่คิด’ และ ‘ฟิ นกว่าที่คิด อยู่…บริทาเนีย’ ได้ทาง https://oriurl.com/3kp8cxm7 สําหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจ 1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 168 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2568) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) เป็นต้น รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 254,967 ล้านบาท โดย กลุ่มโครงการบ้านจัดสรร หรือที่อยู่อาศัยแนวราบ ดําเนินการภายใต้บริษัท บริทาเนีย จํากัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ส่วนกลุ่ม โครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม ดําเนินการภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จํากัด หรือ ORIGIN VERTICAL 2.กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจํา (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.กลุ่มธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ 4.กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร Alternate-X สรุปให้ ออริจิ้น ดึง ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ กลับมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อีกครั้งในรอบ 8 ปี ย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ที่จริงใจ อบอุ่น และมั่นคง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ทุกเจนฯ ผ่านแคมเปญ ‘ฟิ น กว่าที่คิด’ ทั้งคอนโดออริจิ้นและบ้านบริทาเนีย พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาจากบรรยากาศจริงในโครงการ สื่อถึงชีวิตที่ดี แถมเซอร์ไพรส์แฟนๆ ด้วยไอเดีย อาจ ‘เจอ ณเดชน์แถวบ้าน’ เพิ่มความใกล้ชิดแบรนด์
เฟสติวัลสีรุ้ง กรุงเทพ ตะวันออก ‘MEGA PRIDE 2025’ สร้างแลนด์มาร์คศิลปะร่วมสมัย
ตลอดทั้งเดือนแห่งความหลากหลายสีสัน ‘มิถุนายน’ Pride Month ในปีนี้ ‘เมกาบางนา’ ร่วมฉลองทุกความงดงาม พร้อมเปิดพื้นที่แลนด์มาร์คศิลปะร่วมสมัยที่ออกแบบโดย 4 ศิลปินรุ่นใหม่ มาริส อโบลตินส์ กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเมกาบางนา กล่าวถึงการวางตำแหน่งทางการตลาดศูนย์ฯ เมกาบางนา เป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้งใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก เพื่อให้บริการประสบการณ์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายและแตกต่าง ด้วยแนวคิด YOUR EVERYDAY MEETING PLACE นอกจากนี้ ยังสอดคล้องในโอกาสเดือนแห่งความภาคภูมิใจ (Pride Month) ศูนย์ฯ เมกาบางนา ได้จัดกิจกรรมการตลาดสัมผัสประสบการณ์ความหลากหลายในแคมเปญ ‘MEGA PRIDE 2025’ ภายใต้แนวคิด EMBRACE EVERY IDENTITY, CELEBRATE EVERY MOMENT เพื่อเฉลิมฉลองเดือนแห่งความหลากหลายสีสัน พร้อมเปิดพื้นที่ที่ทุกตัวตนสามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ เฉลิมฉลองในแบบของตนเอง “MEGA PRIDE 2025 ยังสะท้อนหัวใจสำคัญของวัฒนธรรมองค์กรของเมกาบางนา ซึ่งมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่ยอมรับในทุกความแตกต่าง ทั้งความหลากหลายเพศสภาพ เชื้อชาติ ภาษา ไลฟ์สไตล์ หรือแนวคิดการใช้ชีวิตของทุกคนมีสิทธิ์แสดงออกถึงตัวตนของตนเองอย่างเสรี และร่วมกันสร้างสรรค์สังคมการทำงานที่ สนับสนุน และเปิดกว้างต่อความหลากหลายอย่างแท้จริง” มาริส กล่าว สำหรับ แคมเปญ “MEGA PRIDE 2025” เมกาบางนา ยังได้สร้างสรรค์แลนด์มาร์คศิลปะร่วมสมัยที่ออกแบบโดย 4 ศิลปินรุ่นใหม่ ได้แก่ me.museums หรือ ออย–คนธรัตน์ เตชะไตรศร 22t หรือ มะเหมี่ยว – ฐิติพร กลิ่นทโชติ shittak หรือ ชายแดน เทียมไสย์ Fluffy Omelet หรือ เภรย – ณัชริญา เหล่าศรีสิน โดยแคมเปญฯ นี้เป็นการต่อยอดจากผลงานที่จัดแสดงภายในงาน MEGA ART JOURNEY 2025 ด้วยการผสานสีรุ้งอันเป็นสัญลักษณ์ของ PRIDE MONTH เพื่อร่วมเฉลิมฉลองถึงความงดงามของอารมณ์ ความรู้สึก และความหลากหลายของผู้คนในสังคม ผลงานเหล่านี้จะจัดแสดงอยู่ในพื้นต่างๆ ของเมกาบางนาถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 นอกจากนี้ ภายในงานเปิดตัวแคมเปญ “MEGA PRIDE 2025” ยังมีการแสดงจากกลุ่ม RANDOM DANCE ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้มีใจรักการเต้นที่มาจากพื้นฐานที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศ สถาบัน หรืออายุ แต่มารวมพลังกันบนเวทีเพื่อส่งต่อความสนุก ความภาคภูมิใจ และแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมทุกคนอีกด้วย “แคมเปญ MEGA PRIDE 2025 คือ อีกก้าวสำคัญที่สะท้อนบทบาทของเมกาบางนาในการขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความเท่าเทียมและยั่งยืน ผ่านการสร้างพื้นที่ที่เปิดรับทุกความแตกต่าง และให้คุณค่ากับทุกตัวตนอย่างแท้จริง เราเชื่อว่าการยอมรับและเฉลิมฉลองในความหลากหลาย จะนำไปสู่ความเข้าใจ ความเคารพ และการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ในระยะยาว” มาริส กล่าว Alternate-X สรุปให้ เมกาบางนา เปิดตัวแคมเปญ ‘MEGA PRIDE 2025’ ต้อนรับเดือน Pride Month สร้างแลนด์มาร์คศิลปะร่วมสมัย โดย 4 ศิลปินรุ่นใหม่ สื่อถึงความหลากหลายทางตัวตน ด้วยกิจกรรมตลอดเดือนมิถุนายน ส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกของทุกเพศ ทุกวัย พร้อมการแสดงจากกลุ่ม RANDOM DANCE รวมพลังคนรักการเต้นอย่างเท่าเทียม สะท้อนบทบาทเมกาบางนาในการสนับสนุนสังคมหลากหลายและยั่งยืน
‘5 มิ.ย.’ วันสิ่งแวดล้อมโลก ‘Adaptation’ ปรับเปลี่ยน กลยุทธ์ #SaveWorld
5 มิถุนายน ของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้กำหนดให้เป็น ‘วันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day)’ ซึ่งได้มีการสถาปนครั้งแรกในปี พ.ศ.2515 จุดเริ่มต้นครั้งนั้น ทำให้ได้รับความร่วมมือจาก 113 ประเทศทั่วโลก และจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมจำนวน 1,500 คน จึงเกิดเป็นการลงนามข้อตกลงให้จัดตั้ง โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP: United Nations Environment Programme) ขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักและร่วมกันแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทย ได้ก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2518 ปัจจุบันเป็นที่รู้กันดีว่า สิ่งแวดล้อมของโลกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เห็นได้ชัดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติ ความรุนแรงของภัยพิบัติที่มากขึ้น ฯลฯ และจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสถานการณ์สิ่งแวดล้อมทั้งของประเทศไทยและทั่วโลกแปรปรวนสูงขึ้น จากภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น พายุถล่ม น้ำท่วม ไฟป่า แผ่นดินไหว ตั้งแต่ พ.ศ. 2567 ที่ประเทศไทยได้เผชิญกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมหลายด้าน ตั้งแต่น้ำท่วมรุนแรง ปรากฏการณ์เอลนีโญ ปัญหามลพิษที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น และในปี พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมก็ยังเกิดขึ้นให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อาทิ พายุ Alfred, Rae และ Seru เกิดขึ้นพร้อมกันในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยากในรอบ 27 ปี แผ่นดินไหวที่เมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 ซึ่งส่งผลถึงประเทศไทยและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก น้ำท่วมฉับพลันที่เนปาล รวมไปถึงไฟป่าครั้งใหญ่ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และ ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ ซึ่งผลกระทบภาพรวมตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2568 จนถึง เดือนพฤษภาคม 2568 รวมทั้งหมด 19 ครั้ง ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐิจทั่วโลกเป็นอย่างมาก Adaptation รับโลกรวน จากวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น การปรับตัว (Adaptation) ให้เท่าทันกับสภาวะโลกรวน เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบไม่มีสูตรสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อให้เราทุกคนได้อยู่รอดในสภาวะวิกฤตต่างๆ และรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไป ดังนั้น Adaptation อาจจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่พวกเราทุกคนต้องลงมือทำในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม ขณะที่ SUSTAINABILITY EXPO 2025 หรือ SX 2025 ปีนี้ เล็งเห็นความสำคัญเรื่องปรับตัวให้เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในระบบนิเวศ เพราะ Climate Change Adaptation ไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยภายในงานฯ นำเสนอเรื่องราวของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในรอบ 10 ปี สัมผัสประสบการณ์ Immersive แบบ 4 มิติของภัยพิบัติในประเทศไทย พร้อมวิธีปรับตัวที่ช่วยรับมือกับสถานการณ์ พบกับการจำลองบ้านอนาคตที่สามารถรับมือกับภัย พิบัติต่างๆ กับ ‘บ้านอยู่รอด’ นอกจากนี้ยังพบกับโซนนิทรรศการต่างๆ ที่นำเสนอความสำคัญของด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม อาทิ โซน Better Me นำเสนอเรื่องอายุยืนยาวอยู่อย่างไรให้มีคุณภาพและมีความสุข โซน Better Community นำเสนอเรื่องการปรับตัวของเมือง ด้วยพลังของคนอาสา เป็นต้น รวมถึง กิจกรรมที่ทำเรื่องสิ่งแวดล้อมมากมาย อาทิ SX FOOD FESTIVAL มีการแยกทิ้งอาหารอย่างถูกวิธีผ่าน “Food Waste Station” ซึ่งขยะที่ถูกแยกจะถูกนำไปจัดการอย่างเหมาะสม SX REPARTMENT STORE ที่เปิดให้คนที่อยากนำของที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแบ่งปันเพื่อส่งต่อ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีและสังคมไร้ขยะที่ยั่งยืน ฯลฯ งาน SUSTAINABILITY EXPO ปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เป็นมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือขององค์กรชั้นนำระดับภูมิภาคและระดับโลก นำโดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายพันธมิตรทุกภาคส่วนทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศที่จะมาร่วมกันสร้างพลัง และปลุกกระแสด้านความยั่งยืนในมิติต่างๆ มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลง เพื่อโลกที่อยู่อย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ เพื่อความยั่งยืนได้ตลอดทั้งปีได้ที่ www.sustainabilityexpo.com , Facebook : Sustainability Expo และแอปพลิเคชัน SX Alternate-X สรุปให้ ‘5 มิถุนายน’ วันสิ่งแวดล้อมโลก กว่า 5 ทศวรรษที่ผ่านมากับหลายเหตุการณ์ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นสะท้อนวิกฤตสิ่งแวดล้อมทั่วโลกและประเทศไทยที่รุนแรงขึ้น ขณะที่แนวคิด ‘Adaptation’ หรือการปรับตัวเป็นกลยุทธ์สำคัญในการอยู่รอด โดยปีนี้งาน SX 2025 ชูแนวคิดการปรับตัวรับมือโลกรวน พร้อมนิทรรศการ 4 มิติ และโซนจัดการสิ่งแวดล้อม มีโครงการจำลองบ้านอยู่รอด-เมืองปรับตัว-ชุมชนยั่งยืน และกิจกรรมลดขยะ จัดขึ้น 26 ก.ย. – 5 ต.ค. 2568 ณ ศูนย์สิริกิติ์ โดยองค์กรชั้นนำของไทยและอาเซียน
ออกแบบเมืองแห่งอนาคต จุฬาฯทำหลักสูตรพัฒนาอสังหาฯ หนุนระบบนิเวศใหม่เศรษฐกิจไทย
จุฬาฯ ร่วมเอกชนค้าปลีก-อสังหาฯ ทำหลักสูตรอบรม ‘WORLD CLASS DESTINATION DEVELOPMENT’ ออกแบบเมืองอสังหาฯ รับโครงการในศตวรรษที่ 21 ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับพันธมิตรเอกชน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (Siam Piwat Academy) นอกจากนี้ยังมี ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุมโครงการด้านการบริการและการท่องเที่ยว โครงการที่พักอาศัยระดับพรีเมียม ศูนย์การค้าและพื้นที่ค้าปลีกเชิงประสบการณ์ และโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) โดยเปิดตัวหลักสูตร World Class Destination Development เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างเป็นระบบ ทั้งต่อเศรษฐกิจของเมือง คุณภาพชีวิตของผู้คน และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ทั้งนี้ ยังผลักดันส่งเสริมการพัฒนาทักษะและศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และยกระดับความสามารถของคนไทยให้พร้อมแข่งขันบนเวทีโลก ผ่านการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากไทยและต่างประเทศ พร้อมกิจกรรมศึกษาดูงานกรณีศึกษาระดับโลก ณ สถานที่จริง ในระหว่างวันที่ 19 ก.ค. – 30 ส.ค 2568 จัดกิจกรรมโดยศูนย์ออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU D4S) โดยการจัดหลักสูตรในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการอบรม ‘World Class Shopping Mall Ecosystem Development: Managing Urban and Facility for Sustainable Society of the Future ในปี 2567’ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าร่วมอบรมทั้งจากภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคการศึกษา ที่ต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง “การพัฒนาโครงการในศตวรรษที่ 21 ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการบูรณาการข้ามศาสตร์ ความเข้าใจเชิงระบบ และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง” ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรายุทธ กล่าว โดย จุฬาฯ มุ่งสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่มีชีวิต (Living Learning Platform) ที่ตอบโจทย์ทั้งการออกแบบและบริหารโครงการระดับโลก พร้อมสร้างคน สร้างแนวคิด และสร้างอนาคตของเมืองไทยบนเวทีนานาชาติอย่างสง่างามและยั่งยืน ด้าน ณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทร่วมมือพัฒนาหลักสูตรกับทางคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากปีที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับอย่างดียิ่งและประสบความสำเร็จอย่างมาก ขณะที่ทุกโครงการของสยามพิวรรธน์ ได้ถูกพัฒนาด้วยวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัยนำเสนอคอนเซปต์และประสบการณ์แปลกใหม่ จนกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของประเทศที่มีผู้มาเยี่ยมเยือนกว่า 100 ล้านคนต่อปี ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์ พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะและศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ตอกย้ำบทบาทการเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาส (Opportunity Platform) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วน ภายใต้โครงการสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (SIAM PIWAT Academy) สถาบันการเรียนรู้และการบริหารจัดการที่นำองค์ความรู้ด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีก แลกเปลี่ยนกับภาคการศึกษาไทย ขณะที่ ดร.สิทธิพร อิสระศักดิ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรโครงการ WORLD CLASS DESTINATION DEVELOPMENT เผยไฮไลต์การเรียนรู้ผ่านสถานที่จริงจาก 5 โครงการชั้นนำ โดยอธิบายถึงแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรพิเศษครั้งนี้ว่า หลักสูตรนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากการพัฒนาร่วมกันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่หลากหลาย โครงสร้างเนื้อหาสาระของหลักสูตรจะช่วยให้ผู้อบรมเข้าใจถึง แนวการออกแบบธุรกิจ การกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินธุรกิจ การกำหนดรายละเอียดการออกแบบโครงการ การบริหารโครงการเชิงกลยุทธ์ แนวคิดการจัดการโครงการ การบริหารทรัพยากรกายภาพ จากการเรียนรู้เชิงลึกจากศึกษาดูงานจริง (Site visiting) จากกรณีศึกษาชั้นนำที่หลากหลายประเภทประโยชน์ใช้สอยทั้ง ศูนย์การค้า สำนักงาน ที่พักอาศัย โรงแรม และโครงการ Mixed-use ที่เป็นโครงการระดับ Mega project และการเรียนรู้ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติงาน (Project based leaning) จากสถานการณ์และประเด็นปัญหาจริงในแต่ละช่วงของการพัฒนาโครงการตลอดอายุ (Project life cycle) จากผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านและร่วมเรียนรู้ผ่านการะบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design thinking) เพื่อแก้ปัญหาสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ “หลักสูตรนี้เหมาะกับบุคลากรจากหลายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการบริหารโครงการสถาปัตยกรรม การดำเนินธุรกิจเพื่อการท่องเที่ยวและบริการ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเกณฑ์หรือมีความประสงค์จะการเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น ต้องการความรู้ความเข้าใจเชิงบริหารและจัดการแบบองค์รวมมากขึ้น” ขณะที่ สายงานที่เหมาะกับหลักสูตร ได้แก่ นักพัฒนาโครงการ นักบริหารโครงการ นักพัฒนาธุรกิจ สถาปนิก ผู้จัดการอาคาร วิศวกรโครงการ และประชาชนทั่วไปที่สนใจ โดยผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมอบรม WORLD CLASS DESTINATION DEVELOPMENT ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้ ด้าน นาฎฤดี อาจหาญวงศ์ หัวหน้าคณะสายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า ผู้เข้าร่วมโครงการฯ นี้จะมีโอกาสเรียนรู้โมเดล AWC’s Lifestyle Destination ผ่านโครงการระดับแฟลกชิปที่กำลังพัฒนาอย่าง The Aquatique ที่ผสานการท่องเที่ยว โรงแรม การค้าปลีก และความบันเทิงเข้าด้วยกันเพื่อเป็น Destination รวมประสบการณ์หลากหลายที่พัทยา รวมทั้งได้ประสบการณ์ตรงจากการศึกษาดูงานที่โรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย โดยจะเห็นถึงแนวคิดการพัฒนาในมิติต่างๆ ทั้งการออกแบบ การดำเนินงาน การบริการ และ การเชื่อมโยงกับบริบทของเมืองอย่างยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเสริมสร้างขีดความสามารถของ บุคลากรในอุตสาหกรรมไทยให้พร้อมแข่งขันบนเวทีโลกอย่างมีคุณภาพ รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านนวัตกรรมยั่งยืน ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) โดยบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า หลักสูตร World Class Destination Development ยังสอดคล้องกับการดำเนินงานของศูนย์ RISC ที่มีเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านงานวิจัยและนวัตกรรม ด้าน ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานคณะกรรมการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นว่าเมืองและชุมชนในอนาคตจำเป็นต้องได้รับการออกแบบและพัฒนาอย่างมีคุณภาพ บนพื้นฐานของความยั่งยืน ความคิดสร้างสรรค์ และการเข้าใจบริบทของพื้นที่ “การสนับสนุนหลักสูตรนี้ถือเป็นการร่วมสร้างบุคลากรคุณภาพ เพื่อสร้างนักออกแบบและนักพัฒนาที่พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับโลก” ดร.ประทีป กล่าวพร้อมเสริมว่า “จากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะช่วยจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ ที่สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกและความต้องการของสังคมยุคใหม่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบเมืองที่ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” ไฮไลต์หลักสูตร ฟังการบรรยายและเสวนาจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เยี่ยมชมกรณีศึกษารูปแบบการดำเนินธุรกิจและแนวทางการบริหารจัดการโครงการชั้นนำระดับโลก เรียนรู้จากนักออกแบบ Flagship Store ระดับโลก ทำ Workshop – Project based leaning ภายใต้คำปรึกษาของผู้ทรงคุณวุฒิรับเชิญพิเศษ ประสานองค์ความรู้จากภาควิชาการและภาคธุรกิจจากหลากหลายวิชาชีพ ยกระดับและพัฒนาสายงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการสถาปัตยกรรมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน แบ่งปันและเรียนรู้นวัตกรรมโครงการการที่หลากหลายเตรียมพร้อมต่อความท้าทายในอนาคต ส่งเสริมแนวคิดการบริหารโครงการสถาปัตยกรรมเพื่อสร้างคุณค่าองค์กรสู่การแข่งขันระดับโลก รู้เท่าทันสถานการณ์และพร้อมรับมือปัญหาการบริหารโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้จัดอบรม ทุกวันเสาร์ ในระหว่างวันที่ 19 ก.ค. – 30 ส.ค. 2568 เวลา 9:00 – 16:00 น. จำนวนรวม 8 วัน ระยะเวลา 64 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการอบรม 49,500 บาท/ท่าน สำหรับผู้ที่สนใจเปิดรับสมัครแล้ว ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 Alternate-X สรุปให้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับสยามพิวรรธน์และพันธมิตรอสังหาฯ เปิดหลักสูตรอบรม World Class Destination Development เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการออกแบบและบริหารโครงการระดับโลก โดยหลักสูตรเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมศึกษากรณีจริงจากโครงการชั้นนำในไทย มุ่งเสริมศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ให้สามารถแข่งขันในระดับสากล ตอบโจทย์การพัฒนาเมืองแห่งอนาคต ด้วยแนวคิดบูรณาการและความยั่งยืน เปิดรับสมัครถึง 30 มิ.ย. 2568 โดยอบรมทุกวันเสาร์ระหว่าง 19 ก.ค. – 30 ส.ค. 2568
‘คิดให้แตกต่าง’ เจาะ 5 เทรนด์ธุรกิจ 2025 มุมมองจาก ‘ซีเค เจิง’ ฟาสต์เวิร์ค
‘ซีเค เจิง’ ซีอีโอฟาสต์เวิร์คมองภาคธุรกิจไทยจะต้อง ‘คิดให้แตกต่าง’ จาก 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญ พร้อมแนะอย่าทำ ‘แบรนดิง’ เพื่อหวังความดังต้องมีสิ่งที่อยากแก้ปัญหาบางอย่างให้คนดู เพื่อสร้างแบรนให้ตัวเอง ในงานมอบรางวัล ‘เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2025’ จัดโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และ 3 พันธมิตร กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ความรู้แก่เอสเอ็มอีที่เข้าร่วมฟังทั้งหน้างานและช่องทางออนไลน์ โดย ‘ซีเค เจิง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ตัวกลางระหว่างธุรกิจ/ผู้ว่าจ้างและฟรีแลนซ์ได้บรรยายพิเศษ (Special Talk) ในงานฯ กล่าวถึงประเทศไทยมีความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ได้อย่างรวดเร็ว อาทิ สมาร์ทโฟน ChatGPT แต่กลับไม่ค่อยมีวัฒนธรรมว่าเราต้องคิดค้นหรือสร้างเอง “สมมติเราเปรียบเทียบประเทศต่างๆ กับเรื่องดินสอ อเมริกาก็คือประเทศที่คิดค้นดินสอ ญี่ปุ่นคือประเทศที่คิดค้นดินสอกด เพื่อแก้ Pain Point ของดินสอที่ต้องคอยเหลา จีนผลิตดินสอได้ถูกที่สุด อิตาลีทำดินสอให้สวยที่สุด สบายที่สุด แพงที่สุด ขณะที่ไทยเราเป็นเพียงผู้บริโภค” โดยตั้งแต่อดีต ไทยคุ้นชินกับการเป็นศูนย์กลางทางการค้า (Trading Hub) ดังนั้น ปัจจุบันเราต้องปรับวิธีคิดใหม่ ไม่ใช่มุ่งแข่งขันการผลิตและขายสินค้าราคาถูก สิ่งที่ไทยทำได้ คือ “คิดให้แตกต่าง” โดยยกตัวอย่างพลิกธุรกิจด้วยการคิดให้แตกต่าง จาก 5 เทรนด์ธุรกิจสำคัญ (Key Business Trends) ในปี 2025 ดังนี้ 1.Niche products are winning สินค้าที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม คือ สินค้าที่กำลังได้รับชัยชนะ Hoka เลือกทำตลาดเฉพาะ เช่น การขายรองเท้าปีนเขาที่ดีที่สุด ส่วนรองเท้าแบรนด์ On เน้นตลาด Customization เป็นรองเท้าเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคล ผ่านเทคโนโลยีการผลิตแบบล้ำ ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ดาวรุ่ง มัดใจผู้บริโภคในยุคที่พฤติกรรมเปลี่ยน และชิงส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์ใหญ่ได้ กระทั่ง แก้วเก็บอุณหภูมิแบรนด์ Stanley ที่ตอนแรกชูฟังก์ชันเก็บความเย็น เก็บความร้อนได้ พร้อมลวดลายที่ดูหนักแน่น เพื่อเจาะตลาดผู้ชายตกปลา ปีนเขา แคมปิ้ง ผจญภัย แต่พอพบว่าผู้ชายไม่ค่อยซื้อแก้วแบรนด์ Stanley จึงปรับมาทำแก้วแบบสีพาสเทล พร้อมทั้งเปลี่ยนมุมมองจากการขายแก้ว มาเป็นการ “ขายแรงบันดาลใจให้แก่ผู้หญิงที่ต้องการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพผิวที่ดี” ด้วยการมีแก้วสวยๆ ทำให้บริษัทมีรายได้ถึง 750 ล้านเหรียญสหรัฐ พลิกวิธีการเจาะตลาดสินค้าที่ทุกคนต่างเคยมองว่าเป็น “Red Ocean” ขายยังไงก็ไม่รวย 2.Small luxury หรูหราแบบเล็กลง หากเทียบวันนี้กับ 50 ปีที่แล้ว คนยุคใหม่ทำงานมากขึ้น แต่มีความสามารถในการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น บ้าน ลดน้อยลง เพราะหากจะซื้อบ้านหนึ่งหลัง ต้องเป็นหนี้ถึง 30 ปี พร้อมมีดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ผู้คนยังคงต้องการแสวงหา “ของขวัญ” ที่สามารถให้เป็นรางวัลตอบแทนการทำงานหนักของตัวเองแบบเป็นชิ้นเป็นอัน เราจึงเริ่มเห็นเทรนด์ Small Luxury หรือความหรูหราที่ยังพอเข้าถึงได้ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่น กระเป๋าเดินทางใบละ 60,000 บาท มื้ออาหารแบบ Fine Dining ครีมกระปุกละ 25,000 บาท ไปจนถึงน้ำยาล้างมือขวดละ 1,200 บาทในช่วง COVID-19 3.Out of the box product variation strategy เป็นการตลาดที่นอกกรอบจากสินค้าของตัวเอง เช่น กรณี AirBNB แพลตฟอร์มจองที่พัก ที่ว้าวมากในปี 2012 แต่ผู้บริโภคเริ่มไม่ว้าวเหมือนเดิม บริษัทจึงตัดสินใจนำกำไรตัวเองไปสร้างบ้านแบบว้าวๆ ปล่อยเช่าผ่าน AirBNB เช่น บ้านบาร์บี้ บ้าน Shrek ห้องเฟอร์รารี บ้านที่ลอยได้จริงๆ แบบในเรื่อง Up หรือกรณีของ Burger King ที่ทำ The Real Cheese Burger ที่มีแต่ชีสล้วนๆ ออกมาให้ลูกค้าลอง ก็สามารถสร้างกระแสการตลาดให้คนจดจำ 4.Making boring products interesting ทำให้สินค้าที่คนมองข้ามน่าสนใจมากขึ้น เช่น น้ำยาซักผ้า ที่ทุกแบรนด์มักสื่อสารแบบตะโกนด้วยสีสดๆ ฝาใหญ่ๆ เหมือนกันหมด แต่มีแบรนด์ในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Mozi Wash ที่เลือกสร้างความแตกต่างด้วยการ “กระซิบ” บอกแค่ว่าเป็นน้ำยาซักผ้า ใช้แพ็กเกจจิ้งที่เรียบง่าย แต่พอวางอยู่บนชั้นวางสินค้าเทียบกับแบรนด์อื่นที่แข่งกันตะโกน ก็ดูกลายเป็นสินค้าที่แตกต่างและโดดเด่นขึ้นมา หรือแบรนด์น้ำดื่มในสหรัฐอเมริกา Liquid Death ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับต้น ๆ ด้วยการทำแพ็กเกจจิ้งเหมือนกระป๋องเบียร์สีดำ ขายความเท่ตอนดื่มน้ำให้แก่เหล่าเด็ก ๆ 5.Personal brand actually makes a huge difference เช่น Salt Bae ที่ขายความแตกต่างด้วยท่าโรยเกลืออันเป็นเอกลักษณ์ หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง ที่ปัจจุบันมียอดการเข้าถึงใน Tiktok กว่า 47 ล้าน Instagram กว่า 40 ล้าน Youtube 32 ล้านและ Facebook กว่า 30 ล้าน โดยที่ไม่ได้ซื้อโฆษณา “แบรนดิ้ง คือสิ่งที่สร้างความลำเอียง และคือสิ่งที่คนดูหรือลูกค้ามอบให้กับเรา ตอนขายสินค้า ต้องไม่ขายแค่ฟังก์ชันอย่างเดียว แต่ต้องขายความลำเอียงนี้ให้ได้ด้วย ความลำเอียงจะทำให้เราโดดเด่น และที่สำคัญต้องอย่าทำ แบรนดิ้งเพื่อหวังความดัง คุณต้องมีคอนเทนท์หรือสิ่งที่อยากแก้ปัญหาบางอย่างให้คนดู ถึงจะมีโอกาสสร้างแบรนดิ้งให้ตัวเอง” Alternate-X สรุปให้ ‘ซีเค เจิง’ ซีอีโอ Fastwork ชี้ธุรกิจไทยต้อง ‘คิดให้แตกต่าง’ สู่อนาคต ยก 5 เทรนด์มาแรง: Niche, Small Luxury, Product Variation, Make Boring Interesting และ Personal Brand ย้ำไม่ควรทำแบรนดิ้งเพื่อความดัง แต่ต้องเริ่มจากสิ่งที่อยาก ‘แก้ปัญหา’ ให้คน เผยคนไทยถนัดใช้นวัตกรรมแต่ยังไม่ชินกับการสร้างธุรกิจให้โต ต้องเริ่มจากความเข้าใจพฤติกรรม-ความต้องการของผู้บริโภค
‘พันธุ์ไทย’ ลงทุน 1.5 พันล. เปิด 600 สาขาใหม่ พากลุ่ม PTG สู่เป้าหมาย 6 พันล.บาท
ด้วยแนวคิดแบรนด์กาแฟพันธุ์ไทย ที่ชัดเจนพร้อมกับแผนการตลาดผ่านเมนูสร้างสรรค์ทุกไตรมาส ทำให้มียอดขายสูงถึง 30% ล่าสุดชวน ‘กระทิงแดง’ พัฒนา 4 เมนูใหม่ให้พลังดีด ด้วยหวังเข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ชาวเจนฯZ สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มในไทยมีหลายปัจจัยผลักดันให้มีความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ โดยเฉพาะเทรนด์เครื่องดื่มชูกำลัง ด้วยผู้บริโภคต้องการพลังงาน (Energy) ควบคู่กับคุณประโยชน์ (Benefit) รวมถึงเทรนด์เครื่องดื่มผสมวิตามิน ที่ผู้บริโภค มักเลือกดื่มเพื่อเสริมความงาม (Beauty) ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำแนวคิดแบรนด์ ‘พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้ ทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้” โดยไม่หยุดสร้างสรรค์และเป็นผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ล่าสุดบริษัทฯ ร่วมกับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลังให้พลังงาน ‘กระทิงแดง’ เปิดตัวแคมเปญ ดีดศาสตร์ (Energology Drinks) มาสร้างสีสันและความสนุกในตลาดเครื่องดื่ม โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกันภายใต้ 4 เมนูศาสตร์แห่งเครื่องดื่มเพิ่มพลังงานสายพันธุ์ใหม่ ด้วยชื่อเมนูสไตล์ยาดองเอนเนอร์จี ดริงค์ แบบไทย เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มผู้ต้องการพลังงาน คนรุ่นใหม่ หนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศ และนักศึกษา ที่มองหาเครื่องดื่มที่ให้ทั้งรสชาติและพลังงาน และส่วนผสมที่มีประโยชน์ “ความร่วมมือครั้งนี้ ยังเพื่อสร้างประสบการณ์ความดีดขั้นสุดให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้รู้สึกตื่นตัว สดชื่น และกระปรี้กระเปร่า คาดจะเพิ่ม Traffic ในร้านพันธุ์ไทยอย่างน้อย 20% ขึ้นไป” สุขวสา กล่าว โดยเครื่องดื่มดีดศาสตร์ทั้ง 4 เมนู ได้แก่ ช้างยกกำลังทิง (Espresso Energy Boost with Kratingdaeng) – เมนูดีดขั้นสุดแบบเต็ม ราคา 79 บาท ทิงซ่าโดดกำแพง (Lime Soda with Kratingdaeng) – ความซาบซ่าสุดคลาสสิค ได้ฟีลสดชื่น บูสท์เอนเนอร์จียามบ่าย ราคา 69 บาท กำลังช้างสาว (Lychee Yogurt Smoothie Plus Collagen with Kratingdaeng) – เครื่องดื่มผสมคอลลาเจน สำหรับสาวๆ สายบิวตี้ ปลุกความเฟรช อ่านหนังสือดีกได้สบาย ราคา 89 บาท ช้างกระทีบงาน (Apple Yogurt Smoothie Plus Vitamin B12 with Kratingdaeng) -โยเกิร์ตสมูทตี้ ทั้งอร่อย ทั้งสดชื่น พร้อมลุยงานได้ทั้งวัน ราคา89 บาท สุขวสา เสริมว่า การคอลแล็บส์กับทางกระทิงแดงครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแผนการสร้างสรรค์ตามเทรนด์ผู้บริโภคโดยเฉพาะเจน Z ที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ ชอบ ดี.ไอ.วาย (DIY) เมนูเครื่องดื่มใหม่ๆ ออกมาซึ่งสอดคล้องกับพันธุ์ไทยและกระทิงแดงที่ต้องการขยายฐานลูกค้าเจนเนอเรชั่นซี (Z Generation) ให้มากขึ้นเช่นกัน จากปัจจุบันฐานลูกค้าใหญ่ของพันธุ์ไทย คือ เจน X และ Y ราว 60% เจน Z ประมาณ 10-15% และที่เหลือเป็นกลุ่มสูงวัย ขณะที่ในแต่ละปี กาแฟพันธุ์ไทย จะมีเครื่องดื่มเมนูพิเศษออกมา 4 แคมเปญหลัก โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นเมนูที่สร้างสรรค์จากขนมไทย และเมนูที่ส่งเสริมผลผลิตจากเกษตรไทย โดยในปีที่ผ่านมา กาแฟพันธุ์ไทย มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 30% ทั้งในแง่ของยอดขายและทราฟฟิก “จากมียอดขาย 150 แก้วต่อวันต่อสาขา เพิ่มเป็น 200 แก้วต่อวันต่อสาขาในปัจจุบัน ถึงสิ้นปีนี้เชื่อว่าจะเพิ่มเป็น 300 แก้วต่อวันตาอสาขาให้ได้” สุขวสา กล่าวพร้อมเสริมว่า สำหรับการเติบโตดังกล่าว มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปีก่อนอยู่ที่ 1,580 สาขา ในปีนี้วางแผนเพิ่มอีก 600 สาขา ใช้งบลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 2.5 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการลงทุนอย่างน้อย 1,500 ล้านบาท ยอดขายจากสาขาเดิมที่เติบโตขึ้น การเปิดตัวพรีเซนเตอร์คู่ล่าสุด ‘พี่จอง-คัลแลน’ ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจพันธุ์ไทย เป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันรายได้รวมของธุรกิจไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) ภายใต้บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ในปีนี้ส่ามารถทำรายได้ 6,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ ‘กระทิงแดง’ ขยายเจนฯZ ด้าน วรวุฒิ พงศ์ชินภัค ประธานผู้บริหารสายงานขายและการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า กระทิงแดง วางแนวทางขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์การตลาดร่วมกับพันธมิตรใหม่อย่างต่อเนื่อง สำหรับความร่วมมือระหว่างกาแฟพันธุ์ไทยครั้งนี้ เป็นการรวมพลังข้ามสายพันธุ์ของสองแบรนด์ไทยที่แข็งแกร่ง ในแคมเปญดีดศาสตร์ ดังกล่าวยังเน้นความผุกพันธ์(Engagement) ในกลุ่มเป้าหมายเจนฯ Z โดยรวมพลังความดีดผ่าน 4 เมนูเครื่องดื่มดีดศาสตร์ พร้อมจัดกิจกรรม Road Show เสิร์ฟประสบการณ์ความดีด อาทิ ตลาดนินจา ชลบุรี ตลาดเซฟวัน โคราช ”ฐานลูกค้าหลักของกระทิงแดงคือกลุ่มคนวัยทำงาน หรือ กลุ่มเจนฯ X และ Y เป็นหลัก ซึ่งการคอลแล็บส์กาแฟพันธุ์ไทย ยังเป็นครั้งแรกที่ร่วมมือกันในส่วนของกลุ่มเครื่องดื่มที่ต้องการสร้างความแปลกใหม่ และสร้างฐานลูกค้ากลุ่มเจนฯ Z ให้กับแบรนด์กระทิงแดง” ขณะที่ภาพรวมรายได้ของกระทิงแดง ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับตลาดเครื่องดื่มให้พลังงานมูลค่า 22,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตราว 3% จากที่คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีว่าจะโตได้ 6% Alternate-X สรุปให้ พันธุ์ไทยลงทุน 1.5 พันล้านบาท เปิด 600 สาขาใหม่ในปี 2568 ผนึกกำลัง ‘กระทิงแดง’ เปิดตัวเมนู ‘ดีดศาสตร์’ 4 สูตรใหม่ ขยายฐานพร้อมสร้างเอนเกจเมนต์คนรุ่นใหม่ ชาวเจนฯ Z ทั้งเสริมพลัง-เติมคอลลาเจน คาดดึงทราฟฟิกเพิ่ม 20% หนึ่งในกลยุทธ์หนุนรายได้ธุรกิจ Non-Oil ของ PTG แตะ 6 พันล้านบาทในปีนี้
หนังส่งคน-คนส่งของ ซีรีส์ไทย ‘สงครามส่งด่วน’ พาชื่อ ’คมสันต์ ลี‘ กลับสู่จอเรดาร์
กลายเป็นไวรัล ที่ถูกพูดถึงอย่างรวดเร็วในสื่อโซเชียลแทบทุกแฟลตฟอร์ม หลัง Netflix ปล่อยซีรีส์ไทย ‘สงครามส่งด่วน’ หรือ Mad Unicorn ออกมาให้รับชมวันแรก 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา และเป็นที่นิยมของคนไทยจนขึ้นเป็นอันดับ 1 ภายในเวลา 24 ชั่วโมง หลังเปิดตัว สำหรับซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน’ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Netflix ที่ผลิตโดย GDH ฝีมือการกำกับของ ‘ไก่-ณฐพล บุญประกอบ’ กับพล็อตเรื่องเส้นทางธุรกิจขนส่งของ ‘ซีอีโอเด็กดอย‘ เมืองไทยที่พาธุรกิจสตาร์ทอัป ที่เขาและทีมสร้างขึ้นเดินไปได้ไกลถึงระดับ ’ยูนิคอร์น‘ ตัวแรกที่จะต้องมีมูลค่าธุรกิจระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 30,000 ล้านบาท All In ‘เทหมดหน้าตัก’ ความสนุกและน่าสนใจของซีรีส์ สงครามส่งด่วนชิ้นนี้ ได้หยิบเค้าโครงเรื่องจากชีวิตจริงของ ‘คมสันต์ ลี’ ที่ผ่านความยากลำบากมาตั้งแต่วัยเด็ก แต่ด้วยแพสชั่น ‘อยากเป็นคนมีเงิน’ ทำให้เขาถีบตัวเองขึ้นมาจากหลุมแห่งต้นทุนชีวิตชาวดอยที่มีน้อยนิด แต่กลับมีราคาค่ากินอยู่ที่ต้อง ‘จ่ายสูง’ กว่าคนเมือง ในซีรีส์ชิ้นนี้ ยังสะท้อนคาแรกเตอร์ของ ’คมสันต์ ลี‘ เป็นอย่างดีว่าเขาพร้อมจะ All In ‘เทหมดหนัาตัก’ กับไพ่ที่มีอยู่ในมือของเขา ถือเป็นความกล้าต่อการเดิมพันสูงในเกมที่เขาพร้อมจะเสี่ยง ซึ่งรวมถึงการสร้างธุรกิจขนส่ง ในคอนเซปต์ ‘เอ็กซ์เพรสราคาประหยัดที่ทุกคนเข้าถึงได้’ ซึ่งเขาได้แนวคิดนี้มาจากธุรกิจขนส่งรายหนึ่งในประเทศจีน ที่คิดค่าส่งเริ่มต้นราคา 5 หยวนเท่านั้นแต่ส่งไกลทั่วประเทศ และในฐานะสตาร์ทอัป แน่นอนว่าจะต้องใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนธุรกิจ ซึ่งเขาได้หุ้นส่วนสายเทคโนโลยีชาวจีน มาร่วมงานพร้อมพัฒนาแอปพลิเคชั่น ทั้งสำหรับ ผู้ใช้งาน ไรเดอร์ทีจัดส่งพัสดุ และทีมขายแฟลชฯ ที่เคลมว่าแอปฯเดียว มีครบจบทุกอย่าง ทั้ง Flash Radar ตัวช่วยสรุปภาพรวมการขายและวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า Parcel Tracking ติดตามสถานะพัสดุ Door to Door เรียกเข้ารับฟรี กี่ชิ้นก็เข้ารับไม่มีขั้นต่ำ Flash Family ส่งพัสดุ สะสมพอยต์ แลกของพรีเมียม Live Chat ติดต่อเจ้าหน้าที่ สอบถามบริการ ขณะที่ เรื่องราวชีวิตจริงของ ‘คมสันต์ ลี’ ได้ถูกถ่ายทอดเส้นทางธุรกิจไว้ค่อนข้างละเอียดผ่านการสัมภาษณ์ในพอดแคสต์ The Secret Sauce เมื่อ 4 ปีก่อน ในช่วงไทม์ไลน์เดียวกับที่ Flash Express ประกาศปิดดีลระดมทุนรอบซีรีส์ D+ และซีรีส์ E ไปเมื่อกลางปี 2564 แรงหนุนสำคัญที่พาให้บริษัทมีมูลค่าแตะ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33,500 ล้านบาท) และทะยานสู่การเป็นสตาร์ตอัปยูนิคอร์น ‘รายแรกของไทย’ ได้สำเร็จ ทิ้งช่วง 4ปีผ่านไปในเดือนเดียวกันนี้เองที่ ซีรีส์ ’สงครามสงด่วน‘ ถูกปล่อยสตรีมมิ่งบน Netflix พอดีในปีนี้ เช่นกัน ปัจจุบัน ’คมสันต์ ลี‘ นั่งในตำแหน่ง ซึอีโอ แฟลช กรุ๊ป (Flash Group)ผู้ให้บริการ E-commerce สัญชาติไทยแบบครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทแม่ Flash Express ซึ่งปิดการระดมทุนรอบซีรีส์ F ไปเมื่อเดือน ธันวาคม 2565 ไปได้กว่า 15,000 ล้านบาท (ส่วนหนึ่งมากจากผู้ถือหุ้นเดิมลงทุนเพิ่ม) ทำให้มูลค่า Flash Group แตะ 70,000 ล้านบาท ไปแล้ว คมสันต์ บอกผ่านในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ว่า “ธุรกิจนี้ถ้าไม่ออลอินผมจะมีทางถอย แต่ถ้าไม่มีทางถอยผมจะสู้หมดหน้าตัก” ใช้ทุกโอกาสที่มี ขณะที่เนื้อหาในซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน’ ผู้กำกับยังสะท้อนความชัดของคาแรกเตอร์ ’คมสันต์ ลึ’ ที่ ‘กล้าเสี่ยงและเอาจริง’ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับเส้นเรื่องการเริ่มทำธุรกิจของเขาผ่านการสัมภาษณ์พิเศษในพอดแคสต์ ชิ้นนี้ด้วยเช่นกัน โดยในบางส่วนของการสนทนาระหว่าง เขา และ ผู้ดำเนินรายการ (เคน- นครินทร์ วนกิจไพบูลย์) ‘คมสันต์’ ยังเล่าถึงที่มาแบรนด์ Flash Express ซึ่งใช้โลโก ‘สายฟ้า’ เป็นสัญลักษณ์บริษัท ซึ่งอาจทำให้หลายคนเข้าใจว่าต้องการสื่อถึงความรวดเร็วในการจัดส่งพัสดุ ขณะที่ คมสันต์ บอกว่า สัญลักษณ์นี้ยังมึอีกนัยหนึ่งที่ซ่อนไว้คือ ‘สายฟ้า’ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีพายุฝนฟ้า คะนอง เช่นเดียวกับธุรกิจ Flash Express ก็เข้ามาในช่วงที่ไม่ราบเรียบและเต็มไปด้วยปัญหา แต่ธุรกิจก็ยังเกิดและเติบโตขึ้นมาได้จนไปสู่เส้นทาง ‘ยูนิคอร์น’ ตัวแรกของไทย ได้ในที่สุดเช่นกัน “ธุรกิจนี้ดุกว่าที่คิด ด้วยผมเปิดราคาที่ยี่สิบห้าบาท ตอนแรกไม่มีใครใช้ คนกลัวว่าทำราคานี้จะเอาของเขาหนี เพราะเป็นบริษัทโนเนม ในตอนนั้นเรายังให้บริการแต่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่โชคดีที่เราได้ไปรษณีย์ไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งร่วมให้บริการจัดส่งสินค้าทั่วไทยตั้งแต่ในวันนั้นจนถึงปัจจุบัน” คมสันต์ บอก และจากไมตรีที่ได้รับจากพี่ใหญ่ ‘ไปรษณีย์ไทย’ ให้การสนับสนุนธุรกิจคนตัวเล็กอย่าง Flash Exprress ในครั้งนั้น ยังทำให้เขาใช้โมเดลเดียวกันนี้เป็นโอเปเรชั่นระบบให้กับธุรกิจบริษัทขนส่งรายเล็กอื่นๆที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น อีกด้วย จากการสัมภาษณ์ในครั้งนั้น คือ เรื่องราวของ Flash Express บนเส้นทางสู่ยูนิคอร์นรายแรกของไทยที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน และในวันนี้ Netflix ได้นำซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน’ มาเผยแพร่ผ่านสตรีมมิง ที่ชวนให้หลายคนต่างนึกถึงชื่อ ‘คมสันต์ ลี’ ในฐานะผู้ก่อตั้งธุรกิจขนส่งหมื่นล้าน ให้กลับมาอยู่ในจอเรดาร์ของชาวโซเชียล ได้อีกครั้ง และเป็นที่น่าสนใจว่า ‘บิ๊ก มูฟ’ จากนี้ไปของ Flash Express จะไปต่อในทิศทางใด ท่ามกลางสมรภูมิส่งด่วนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค ที่อาจทะยานให้ Flash Express ไปสเต๊ปต่อไปในระดับโลก จากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564–2566) บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด มีรายได้รวมและผลประกอบการดังนี้ ในปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 17,607 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5.6 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2565 รายได้ลดลงเหลือ 14,805 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 2,186 ล้านบาท และในปี 2566 รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 20,093 ล้านบาท แต่ยังคงขาดทุนสุทธิ 559 ล้านบาท Alternate-X สรุปให้ หลังจาก Netflix ปล่อยซีรีส์ไทย ‘สงครามส่งด่วน’ ได้สร้างกระแสฮิตในเวลาเพียงช่วงข้ามคืน ด้วยพล็อตเรื่องเล่าเส้นทางชีวิตจริงของ ‘คมสันต์ ลี’ ผู้ก่อตั้ง Flash Express จากเด็กดอย สู่ซีอีโอสตาร์ทอัปยูนิคอร์น รายแรกของไทย กับแนวคิดธุรกิจขนส่งราคาประหยัดที่ทุกคนเข้าถึงได้ จากแพสชั่น ‘All In’ เทหมดหน้าตัก ที่พาเรื่องราวและชื่อของเขากลับมาอยู่ในเรดาร์สังคมอีกครั้ง
‘แม็กซ์ฟู้ด’ ครั้งแรกในโลกไอศกรีมลูกแตงโมมินิ คนไทยไม่ได้กินส่งออกเท่านั้น
แม็คซ์ฟู๊ด ไอศกรีม 1,000 ล้าน คว้าเบอร์ 9 ผู้ส่งออกส่งออกไอศกรีมผลไม้ไทยกว่า 3.4 พันล้านบาทโตปีละ 11% ครองตลาดเอเชียและเป็นอันดับสี่ของโลก ทำออเดอร์ล้นเร่งแผนเพิ่มผลิตกำลังผลิตขยายโรงงาน ฐานพงศ์ จุ้ยประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ตลาดการส่งออกไอศกรีมและความนิยมผลิตภัณฑ์ไอศกรีมผลไม้ไทยในตลาดต่างประเทศ มีแนวโน้มได้รับการยอมรับอย่างสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ไอศกรีมผลไม้ไทยที่มีรสชาติดี มีความหลากหลายและแปลกใหม่ โดยล่าสุด ประเทศไทยครองอันดับ 1 ประเทศผู้ส่งออกไอศกรีมของภูมิภาคเอเชีย และเป็นอันดัน 4 ของโลกได้อย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ผ่านมา (2563-2567) อยู่ที่ปีละ 106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.486 พันล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ย 11% ต่อปี จากแนวโน้มดังกล่าว ยังสอดคล้องการเติบโตของ ‘แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป’ ธุรกิจขยายตัวต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผลักดันให้บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและส่งออกไอศกรีมอันดับ 9 ของไทย โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็น ไอศกรีมซอร์เบในลูกผลไม้มีสัดส่วนถึง 70% โมจิไอศกรีม 20% ไอศกรีมซอร์เบผลไม้ชนิดถ้วย 10% “บริษัทฯ แบ่วสัดส่วนการขายในต่างประเทศ 99% และในประเทศเพียง 1%” ฐานพงศ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า อย่างไรก็ตามจากปัญหาด้านภูมิอากาศและภัยแล้ง ทำให้ผลไม้ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตมีไม่เพียงพอ ทำให้แม้จะมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถผลิตส่งให้กับลูกค้าได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แก้ไขปัญหาและป้องกันความเสี่ยงด้านวัตถุดิบไม่เพียงพอ รวมถึงเพิ่มศักยภาพและกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้นในทุกปี โดยดำเนินการพร้อมกันใน 2 ทาง คือ แนวทางแรก บริษัทฯ ลงทุนกว่า 30 ล้านบาท เพื่อกพัฒนาพันธุ์และปลูกสับปะรดวัตถุดิบสำคัญของผลิตภัณฑ์หลักในจังหวัดเชียงรายกว่า 1,300 ไร่ และ สระบุรี กว่า 100 ไร่ ซึ่งจะให้ผลผลิตรวมตั้งแต่ปลายปี 2567 ถึงสิ้นปี 2568 ที่ประมาณ 10 ล้านชิ้น นอกจากนี้ ยังทำสัญญารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร (Fame Contact) อีก 30 ราย คิดเป็นพื้นที่ปลูกอีกประมาณ 1,000 ไร่ โดยเป็นผลไม้ชนิดต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตไอศกรีม เพื่อเก็บเข้าห้องเย็นของโรงงานที่มีความจุถึง 1,000 ตัน ซึ่งจะทำให้สามารถผลิตไอศกรีมให้แก่ลูกค้าได้ตลอดปี แก้ทั้งปัญหาการขาดวัตถุดิบและได้ต้นทุนที่ลดลง “เพือจัดการแก้ไขปัญหาและป้องกันความเสี่ยงด้านวัตถุดิบ” ฐานพงศ์ กล่าว ส่วนแนวทางที่สอง ด้านการผลิต แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป ลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ในการขยายและก่อสร้างโรงงานใหม่ จาก 2,000 ตรม. เป็น 5,000 ตรม. โดยเป็นการเพิ่มทั้งศักยภาพ ประสิทธิภาพ และกำลังการผลิตให้สูงขึ้นถึง 3 เท่าตัว จากเดิมวันละ 30,000 ชิ้น เป็น 90,000 ชิ้น หรือ จาก 350 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี เป็น 800 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี พร้อมสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ไอศกรีมใหม่ให้กับบริษัทฯ ที่มีทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัสที่โดดเด่นเป็นจุดแข็งที่แตกต่างและเป็นที่ต้องการบริโภคจากลูกค้าทั่วโลก โดยโรงงานใหม่ของ แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป ถือเป็นโรงงานผลิตไอศกรีมสมัยใหม่ที่อัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยระบบนิเวศน์ในการผลิตและกำจัดของเสียอย่างสมบูรณ์ มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงและมุ่งเน้นในการสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง อาทิ นวัตกรรมใหม่ที่เปลี่ยนการใช้ไฟฟ้าเพื่อแช่แข็งไอศกรีมมาใช้ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซน์หมุนเวียนแทน เพื่อย่นระยะเวลาการผลิตจาก 4 วัน เหลือ 12 นาที สามารถประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้าจากเดือนละกว่า 1 ล้านบาท เหลือ 2 แสนบาทต่อเดือน นอกจากนี้ ยังติดตั้งโซล่าร์เซลล์ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อเป็นพลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน การจัดการขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) การหมุนเวียนน้ำเสียแบบ 100% ฯลฯ จากการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้จัดการกระบวนการผลิต โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ทำให้บริษัทฯ ได้รับรางวัล CEO Economass Award 2024 จากนายกรัฐมนตรี และรางวัลบุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจแห่งปี 2024 ภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จากมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยอีกด้วย ฐานพงศ์ กล่าวต่อ สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของปีนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ไอศกรีมซอร์เบในลูกแต่งโมไซน์มินิ (Mini Watermelon Sorbet Ice Cream) ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ความพิเศษของผลิตภัณฑ์ใหม่นี้คือ การพัฒนาพันธุ์และผลผลิตของแตงโมให้มีขนาดเล็ก แบบไม่มีการตัดต่อพันธุกรรม เพื่อใช้เป็นภาชนะลูกแตงโมสดสำหรับใส่ไอศกรีม โดยหลังจากมีการนำเสนอกับลูกค้าในหลายประเทศก็ได้รับความสนใจมีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก โดยส่งออกไปยังประเทศเกาหลีก่อนเป็นประเทศแรก สำหรับแผนการทำตลาด ยังมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยส่งออกและจัดจำหน่ายอยู่ 7 ประเทศ คือ เกาหลี จีน ซาอุดิอาระเบีย ฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรเลีย เวียดนาม พร้อมวางเป้าหมายในการขยายตลาดใหม่เพิ่มเติม คือ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง อาฟริกา และสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องรอความชัดเจนของผลการเจรจาข้อตกลงด้านภาษีระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐอีกครั้ง “มาตรฐานโรงงานใหม่ถือเป็นแต้มต่อที่สำคัญอย่างยิ่งในการขยายตลาดต่างประเทศเนื่องจากผู้จัดจำหน่ายและผู้บริโภคต่างให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ ที่ต้องใส่ใจในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน” ฐานพงศ์ กล่าว นอกจากการรับจ้างผลิต (OEM) และขยายตลาดในประเทศแล้ว ในปีนี้ทางบริษัทฯ ยังได้มีการเปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองในชื่อ แม็คซ์ เฟรช (MaxFresh) อีกด้วย โดยจะรุกตลาดยุโรปและอเมริกา ซึ่งคาดว่ารายได้รวมทั้งรับจ้างผลิต (OEM) ตลาดในประเทศ และตลาดการส่งออก ภายใต้ผลิตภัณฑ์ในแบรนด์ แม็คซ์ เฟรช ปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาศ์ ณ 10% Alternate-X สรุปให้ แม็คซ์ฟู๊ด โตแตะพันล้านรับผู้ส่งออกไอศกรีมผลไม้ไทยอันดับ 9 ของประเทศ และไทยยังครองอันดับหนึ่งตลาดเอเชีย และอันดับ 4 ของโลก พร้อมแผนขยายกำลังผลิตเพิ่มเน้นนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน รับออเดอร์ล้น-รับดีมานด์ต่างประเทศ ปีนี้เปิดตัว ‘ไอศกรีมในลูกแตงโมมินิ’ ครั้งแรกของโลก ส่งออกเกาหลี วางแผนขยายตลาดตะวันออกกลาง-ยุโรป-อเมริกา เพิ่มด้วยแบรนด์ใหม่ แม็คซ์ เฟรช
‘สหพัฒน์’ ขยับ ตลาดส่งออกอาหาร ’ไฟน์ ฟู้ด’ รับเทรนด์ผู้บริโภคพรีเมียม
จบงาน THAIFEX–Anuga Asia 2025 ไปแล้ว อีกหนึ่งเวทีใหญ่ที่ สหพัฒนพิบูล หรือ SPC ร่วมจัดแสดงในโซน Fine Food เพื่อขยายตลาดครั้งใหญ่ในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ บริษัทสพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ ร่วมแสดงสินค้าในงาน THAIFEX–Anuga Asia 2025: BEYOND Food Experience จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่ผ่านมา สำหรับงานฯ ในปีนี้ เป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญ เพื่อโชว์ศักยภาพ SPC ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมเปิดโอกาสหารือความร่วมมือทางธุรกิจ และนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับโลกภายใต้แบรนด์ชั้นนำต่างๆ ในเครือ ในปีนี้ SPC ได้นำผลิตภัณฑ์ไฮไลต์เข้าร่วมจัดแสดงภายในโซน FINE FOOD ที่พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ในตลาดอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อขยายตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะ โดยมีสินค้าทำตลาด หมวดอาหาร 2 แบรนด์ ‘iMee’ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป: เปิดตัวสินค้าใหม่ รสชาติ Hot N’ Spicy Chicken บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสไก่เผ็ด เส้นหนานุ่มสไตล์เกาหลี ‘South Sea’ : ปลาซาบะในซอสสไตล์ญี่ปุ่น 3 รสชาติ และปลาซาร์ดีนกระป๋องในซอสมะเขือเทศรสเข้มข้น และสินค้าหมวดเครื่องดื่ม 3 แบรนด์ ‘Mont Fleur’ : น้ำแร่ธรรมชาติ 100% ‘BSC SOY’ : เครื่องดื่มน้ำนมถั่วเหลืองสูตรสุขภาพ ‘Maxi’ : เครื่องดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว เติมความสดชื่นด้วยโซดา โดยภายในบูธ SPC ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ ทั้งการทดลองชิมสินค้าใหม่ก่อนใคร รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายที่มีโปรโมชัน ซึ่งได้การตอบรับอย่างดีในวันจำหน่ายปลีก ขณะที่ การร่วมงานฯ ของ SPC ในปีนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก และการผลักดันนวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค ด้วย รู้จัก!! ตลาดอาหาร ไฟน์ฟู้ด (Fine Food) หมายถึง ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูง ที่คัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน มีกระบวนการผลิตที่เฉพาะตัว หรือผลิตในรูปแบบแฮนด์เมด (handcrafted) โดยมีจุดเด่นที่รสชาติ ความเป็นเอกลักษณ์ และสร้างประสบการณ์การบริโภค ซึ่งสินค้าในตลาดนี้ ครอบคลุมตั้งแต่อาหารนำเข้า อาหารเฉพาะถิ่น อาหารออร์แกนิก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหารจากงานฝีมือ ตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มพรีเมียมที่มีรสนิยมและพร้อมจ่ายในราคาสูงเพื่อคุณภาพที่ดีกว่า อ้างอิง สมาคมอาหารเฉพาะทางแห่งสหรัฐอเมริกา (Specialty Food Association). What is specialty food? Euromonitor International. (2566), Premium and Fine Foods Market Overview Alternate-X สรุปให้ สหพัฒนพิบูล (SPC) ร่วมแสดงสินค้าในงาน THAIFEX–Anuga Asia 2025 โซน Fine Food เน้นขยายตลาดสินค้าคุณภาพสูง ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยงานฯนี้ มีไฮไลต์สินค้าอาหาร ‘iMee’, ‘South Sea’ และเครื่องดื่ม ‘Mont Fleur’, ‘BSC SOY’, ‘Maxi’ พร้อมโชว์นวัตกรรมอาหารและกิจกรรมทดลองชิมและโปรโมชันในบูธ สะท้อนบทบาท SPC ในการผลักดันแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก
โมเดลใหม่ ‘เพาเวอร์บาย 3.0’ เปิด ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’ รับกำลังซื้อยุคดิจิทัล
เพาเวอร์บาย พลิกโฉมสาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เปิดตัวโมเดล “Power Buy 3.0” เป็นมากกว่าร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว สู่ยุคใหม่ไลฟ์สไตล์เทคโนโลยี-ดิจิทัล สุวิณ โกษีอำนวย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า เพาเวอร์บาย ดำเนินการปรับโฉมครั้งใหญ่สาขา ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’ ด้วยโมเดลรูปแบบใหม่ ‘Power Buy 3.0’ ด้วยแนวคิดหลัก ‘ศูนย์รวมเทคโนโลยีเพื่อชีวิต’ (Technology for Life) ด้วยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมล้ำสมัย และบริการคุณภาพ พร้อมดิจิทัลโซลูชันแบบครบวงจร “โมเดลนี้ เพื่อยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ และมั่นใจช่วยกระตุ้น ทราฟฟิกภายในร้านเพิ่มขึ้น 20%” สุวิณ กล่าวพร้อมเสริมว่า สำหรับ การปรับโฉมเพาเวอร์บาย สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าดังกล่าว ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจครึ่งปีหลัง 2568 โดยโมเดลรูปแบบใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ Power Buy 3.0 นี้ จะเน้นจุดเด่นด้านความเป็น ‘ศูนย์รวมเทคโนโลยีเพื่อชีวิต’ มุ่งตอบโจทย์ทุกด้านให้กับห้กับลูกค้า ทั้งคุณภาพสินค้าและการบริการที่คุ้มค่า ขณะเดียวกัน ยังเป็นการยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ Omni-channel แบบไร้รอยต่อ ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ภายใต้แนวคิดหลัก ‘เช็คของที่ชอบ ช้อปของที่ใช่’ ซึ่งสะท้อนความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล อีกด้วย สุวิณ กล่าวต่อถึงกลยุทธ์ Customer-Centric Experience ยังได้นำข้อมูลลูกค้าเชิงลึกในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกมาวิเคราะห์อย่างรอบด้าน พบว่า สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เป็นหนึ่งในสาขาที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น มียอดทราฟฟิกดีเป็นอันดับ 2 รองจากสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ นอกจากนี้ ยังพบว่าทำเลนี้ยังยังมีกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ประกอบกับจุดแข็งของพื้นที่ ‘ปิ่นเกล้า’ เป็นศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ และแหล่งเศรษฐกิจสำคัญของฝั่งตะวันตก รายล้อมด้วยชุมชนขนาดใหญ่ หมู่บ้านระดับไฮเอนด์ ศูนย์การค้า และสถานศึกษาชั้นนำ เป็นศูนย์กลางของกลุ่มเป้าหมายสำคัญ อาทิ ครอบครัวเมือง (Urban Family), คนวัยทำงานระดับกลางถึงสูง และนักศึกษารุ่นใหม่ “ด้วยองค์ประกอบดังกล่าว ทำให้สาขานี้จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็น สาขานำร่อง สำหรับการปรับโฉมครั้งสำคัญ” สุวิณ กล่าว สำหรับบรรยากาศภายในร้าน ได้มีการขยายพื้นที่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นครอบคลุมกว่า 2,200 ตารางเมตร พร้อมออกแบบฟังก์ชันการใช้งานให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การช้อปปิ้งของผู้บริโภคยุคใหม่ ทุกกล่ม ทุกเจนเนอเรชั่นย่านปิ่นเกล้า-ฝั่งธน โดยมีไฮไลต์สำคัญอย่าง Experience Zone ให้ลูกค้า สามารถทดลองใช้สินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ เสริมด้วยโซนสินค้าเฉพาะทางที่กำลังได้รับความนิยม อาทิ Smart Home Game & Gadget Health Tech ตลอดจนกลุ่มสินค้า Eco Friendly ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเปิดตัว AIS Shop ในรูปแบบ Shop-in-Shop ครั้งแรกของเพาเวอร์บาย ที่รวบรวมบริการและโซลูชันด้านการสื่อสารไว้อย่างครบถ้วน เพิ่มความน่าสนใจด้วยโซนไลฟ์สไตล์เทคโนโลยีจากแบรนด์ชั้นนำ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสนวัตกรรมล่าสุดอย่างใกล้ชิด พร้อมนำสินค้าครบทุกประเภททั้ง ทีวี เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน เพื่อตอบสนองทุกความต้องการในชีวิตประจำวันได้อย่างครบวงจร อาทิ Samsung LG SharkNinja Toshiba สุวิณ กล่าวว่า เพาเวอร์บาย ยังวางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 โดยเตรียมเปิดสาขาใหม่ที่ เซ็นทรัล กระบี่ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี พร้อมวางแผนทยอยปรับโฉมใหม่ในสาขาเดิมเพิ่มเติมอีก 9 แห่งทั่วประเทศ อาทิ เซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่, แฟชั่นไอซ์แลนด์, โรบินสัน ถลาง และเซ็นทรัล โคราช เพื่อต่อยอดการยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งของลูกค้าให้ครอบคลุมทุกมิติ และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ในโอกาสเปิดโฉมใหม่สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดด้วยโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ – 25 มิ.ย. 2568 กับดีลคุ้มค่า อาทิ สินค้าราคาพิเศษลดสูงสุด 51% ช้อปครบ 1,000 บาทขึ้นไป รับคูปองส่วนลดมูลค่า 200 บาท ช้อปครบ 8,000 บาท รับฟรี หูฟัง Pioneer สินค้าเก่าแลกใหม่ รับส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท สมาชิก The 1 ใช้คะแนนแลกรับส่วนลดสูงสุด 25% ผ่อน 0% นานสูงสุด 15 เดือน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 40,000 บาท กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ Alternate-X สรุปให้ เพาเวอร์บาย เปิดตัวโมเดลใหม่ “Power Buy 3.0” ที่สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า พลิกโฉมเป็นศูนย์รวมเทคโนโลยีเพื่อชีวิต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล พร้อมเพิ่ม Experience Zone ให้ทดลองสินค้า และโซน Smart Home, Game & Gadget ผสาน Omni-channel อย่างไร้รอยต่อ และยังเปิด AIS Shop-in-Shop ครั้งแรกในสาขา วางเป็นต้นแบบสาขานำร่อง ก่อนขยายโมเดลสู่สาขาอื่นทั่วประเทศในครึ่งปีหลัง
งานใหม่ใกล้ฉัน!! ไทยเบฟฯ หนุนโอกาส เปิด 700 อัตราให้คนไทยมีงานทำ
เตรียมพอร์ตโฟลิโอ และ รีซูเม ให้พร้อมส่ง ‘ไทยเบฟ’ เปิดรับสมัครงานกว่า 20 สายงาน 700 อัตรา ใน JOB EXPO THAILAND 2025 ตั้งแต่ 6 – 8 มิ.ย. นี้ โอกาสมาถึงแล้ว สำหรับผู้ที่กำลังมองหางาน!! โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการมีงานทำอย่างมีศักยภาพ ภายใต้นโยบายและยุทธศาสตร์ ‘หลักประกันทางสังคมเด่น เน้นทักษะทันสมัย คนไทยมีงานทำ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เศรษฐกิจ แรงงานไทยมั่นคง’ ได้ดำเนินการจัดงาน มหกรรมหางานที่มากกว่าการหางานระดับประเทศ ในงาน ‘JOB EXPO THAILAND 2025’ ครั้งแรกของงานที่สร้างงาน สร้างโอกาส และสร้างรายได้ ที่มีตำแหน่งงานมากกว่า 6 แสนอัตรา จากผู้ประกอบการและระบบออนไลน์กว่า 173 บริษัท และตำแหน่งงานในต่างประเทศกว่า 1 แสนอัตรา จาก 16 บริษัทจัดหางาน จัดส่งโดยภาครัฐ นอกจากนี้ ตลอด 3 วันของการจัดงาน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เพื่อใช้สำหรับให้บริการประชาชนที่มาร่วม งาน JOB EXPO THAILAND 2025 ระหว่างช่วงการจัดงานฯ ในครั้งนี้ ด้วย พร้อมกันนี้ ไทยเบฟ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดรับสมัครงานในครั้งนี้ ด้วยการเปิดรับสมัครกว่า 20 สายงาน อาทิ สายงานการขาย สายงานการเงิน สายงานทรัพยากรมนุษย์ สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สายงานการบริหารจัดการและงานเลขา รวมรับสมัครมากกว่า 700 อัตรา พร้อมเปิดโอกาสให้คนไทย ร่วมมหกรรมหางานระดับชาติที่ครบวงจรและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี JOB EXPO THAILAND 2025ภายใต้แนวคิด “มหกรรมหางาน ที่มากกว่าการหางาน” ตั้งแต่วันที่ 6 – 8 มิถุนายนนี้ เวลา 10.00 – 19.00 น. ณ ฮอลล์ 5 – 6 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (บูทสมัครงาน ไทยเบฟ บูท C19) Alternate-X สรุปให้ ไทยเบฟ เปิดรับสมัครงานกว่า 700 อัตรา ครอบคลุมมากกว่า 20 สายงาน ในงาน JOB EXPO THAILAND 2025 โดยงานจัดระหว่างวันที่ 6 – 8 มิ.ย. 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นโอกาสครั้งใหญ่สำหรับผู้ที่กำลังมองหางานหรือเปลี่ยนสายงาน ผู้สมัครเตรียมพอร์ตโฟลิโอและเรซูเมให้พร้อม เพื่อยื่นสมัครตรงกับทีม HR พบไทยเบฟได้ที่บูท C19 พร้อมสิทธิพิเศษจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในงาน
เศรษฐกิจซึม หนุนตลาดแบรนด์เนมมือสอง คนแห่ปล่อยของเติมสภาพคล่อง
‘แบรนด์เนม มันนี่’ ดึง 40 ร้านค้าพันธมิตร พร้อมปล่อยสินเชื่อสินค้าลักซูรี่แบรนด์เนมหรูทั่วไทย เชื่อสิ้นปีมียอดทะลุ 300 ล้านบาท ปพน มนัสภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ก่อตั้งบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด (Brandname Money) ในฐานะผู้นำด้านบริการสินเชื่อเช่าซื้อและขายฝากแบรนด์เนม กระเป๋า นาฬิกา จิวเวลรี่ Luxury แห่งเดียวในประเทศไทย และสินเชื่อเช่าซื้อแบรนด์เนมแห่งแรกของโลก เปิดเผยว่า บริษัทร่วมเป็นพันธมิตรกับ ร้านขายสินค้าลักซูรี (Luxury) แบรนด์เนมมือ2 รายใหญ่ทั่วไทยมากกว่า 40 ราย ทั้งนี้ เพื่อให้บริการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้า แบรนด์เนมทั้ง กระเป๋า เครื่องประดับแบรนด์ไฮเอนด์ และนาฬิกาหรูของร้านค้าเหล่านี้ รวมกันมีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาท สำหรับพันธมิตรรายล่าสุด คือ ร้าน Bagnifique.brandname ศูนย์ซื้อขายแบรนด์เนมมือ 2 รายใหญ่ชั้นนำ โดยนายธานี สามสีเจริญลาภ CFO ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเงินและบัญชี ผู้ร่วมก่อตั้ง Bagnifique.brandname บริษัท ดิเอลิสต์กรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีสินค้าแบรนด์เนมหลากหลายมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 500 ล้านบาท “บริษัทยังคงเป้าหมายเดิมที่ภายใน 3 ปี หรือภายในปี 2571 จะเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเป็น 1,000 ล้านบาท และมั่นใจว่ายอดปล่อยสินเชื่อปีนี้จะได้ตามเป้าหมาย 300 ล้านบาท” ปพน กล่าว อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะกระตุ้นให้มีการนำสินค้าแบรนด์เนมมาขายฝากมากขึ้น หนึ่งในปัจจัยให้บริษัทมีส่วนช่วยสร้างสภาพคล่องทางการเงินและเงินสดในกระเป๋าให้กับผู้มีสินค้าไฮเอนด์เหล่านี้ ขณะเดียวกันผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของหรือใช้สินค้าแบรนด์เนมก็จะตัดสินใจซื้อสินค้ามือ2 สภาพดี ที่มีราคาลดลงต่ำกว่าราคาซื้อของใหม่ในช็อปมากกว่า30-60% ทั้งนี้ แบรนด์เนม มันนี่ฯ ให้บริการสินเชื่อแบรนด์เนมใน 3 รูปแบบ ได้แก่ สินเชื่อแบบ ผ่อนไป-ใช้ไป ให้ลูกค้าได้ครอบครองแบรนด์เนมที่ต้องการได้ทันทีหลังได้รับอนุมัติ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต เพียงดาวน์เริ่มต้น 30% ของราคาสินค้า พร้อมดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.99% ต่อเดือน ผ่อนได้นานสูงสุด 24 เดือน อนุมัติไวภายใน 3 วัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแบ่งชำระค่าใช้จ่าย และมีรายได้ประจำ สินเชื่อแบบ ผ่อนจบ-รับของ เพียงดาวน์เริ่มต้น 30% ของราคาสินค้า ผ่อนจบรับสินค้าไปเลยทันที ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.25% ต่อเดือน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง ไม่ต้องเช็คเครดิตบูโร ผ่อนสบายๆ ได้นานสูงสุด 10 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการตรวจเช็คเครดิตในการเป็นเจ้าของแบรนด์เนม บริการขายฝาก โดยให้บริการขายฝากนาฬิกา กระเป๋า และจิวเวลรี่แบรนด์ Luxuryโดยเรามีระบบเก็บรักษาสินค้าของลูกค้าไว้อย่างปลอดภัยในตู้นิรภัยมาตรฐานสากล ซึ่งลูกค้าจะได้รับเงินทันทีภายใน 1-2 ชั่วโมง สำหรับรายชื่อพันธมิตรร้านค้าแบรนด์เนมทั้งมือ1 และมือ 2 ที่ร่วมเป็นคู่ค้า แนะนำลูกค้าเพื่อให้ แบรนด์เนม มันนี่ให้บริการสินเชื่อ ที่ลูกค้าสามารถติดต่อเข้ามารับบริการได้โดยตรง มีดังนี้ ร้านพาร์ทเนอร์ นาฬิกาไฮเอนด์ นำโดย THONG PATEK, Bagnifique, MM Swiss Watch, The Cog Watch, Conrad Time ,Cherry naliga, Watch mania Thailand ,@dear_watchtrader, Madamekik, Time collection , Fabulous_time24, De Carat, Watchberryandco และ Mukky Watch เป็นต้น สำหรับร้านพาร์ทเนอร์ สินค้ากระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับและสินค้า Luxury อื่นๆ มีดังนี้ Brandnamevoyage, SF Brandname, Dearbrandshop.official ,Bagnifique, BRANDBYDAY, Numfonshop, NanoBrandname, Pbrandshops, Time Collection By sloane, ETCstores, Nalinbrands, Bobby Brand, Top Trend, Brandnamemaiiam, Panisa_brandname, BBB.Brandname เป็นต้น Alternate-X ตลาดแบรนด์เนมมือสอง มีโอกาสเติบโตทั้งจากผู้ครอบครองสินค้าไฮเอนด์ และ ความต้องการสินค้าลักซูรีในราคาที่ปรับลงมาจากราคาปกติ จากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้เกิดการเปลี่ยนมือสินค้า กระเป๋า นาฬิกา และแบรนด์เนม เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินแทนการกู้เงินจากสภถาบันการเงิน ปัจจัยหลักที่จะหนุนตลาดมือสองยังคงแข็งแรง โดยเฉพาะแบรนด์ไฮเอนด์ที่มีมูลค่าคงที่ จากกลุ่มนักสะสมและนักลงทุนยังคงมองหาไอเทมสภาพดี ในราคาน่าลงทุน ที่แม้ว่าเศรษฐกิจชะลอ แต่กลับเป็นแรงหนุนให้ตลาดนี้ขยายตัวต่อเนื่อง
‘สินค้า’ ปรับตัวรับเทรนด์โลก ‘Loud Budgeting’ เจาะรุ่นใหม่ใช้เงินตามงบฯ
เทรนด์ ‘Loud Budgeting’ ไม่ได้ ‘งก’ แต่ ฉลาดใช้เงิน แถมยังแสดงจุดยืน ‘พูดดังชัดๆ’ ยังไม่ซื้อเพราะเกินงบ เหตุผลใหญ่และใหม่ที่ทำให้แบรนด์สินค้า/เอสเอ็มอี ต้องเข้าไป ‘อินเซปชั่น’กำลังซื้อยุคใหม่ให้ได้ หลังหลายสำนักบอกเศรษฐกิจปี 2568 ทรงฝืดๆ ทำกำลังซื้อลด ปัจจัยหลักให้ผู้บริโภคยุคนี้โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หันมาทบทวนวิธีการใช้เงินแบบสมเหตุสมผลกับสถานการณ์ของตัวเอง และนำไปสู่แนวคิด ‘Loud Budgeting’ พูดตรง-พูดดัง ว่ายังไม่ใช้เงินตอนนี้เพราะเกินงบประมาณ ที่อาจส่งผลต่อยอดขายสินค้า/แบรนด์ ในบางกลุ่มสินค้า นับจากนี้ไป ต่อแนวคิด ‘Loud Budgeting’ ได้ถูกนำมาพูดถึงอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปลายปี 2566 ถึงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีจุดเริ่มชัดเจนหลังแพลตฟอร์มโซเชียล TikTok จากบัญชีผู้ใช้ชื่อ @loganrcohen (Logan Cohen) นักวางแผนการเงินในสหรัฐฯ โพสต์อธิบายแนวคิดนี้ จนทำให้คลิปวิดีโอสั้นของกลายเป็นไวรัล หลังให้คำจำกัดความถึง ‘Loud Budgeting is in, quiet luxury is out.” ที่เราขอแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘ยุคนี้โชว์ประหยัด ส่วนรวยเงียบน่ะอยู่นอกกระแสไปแล้ว! 4 แรงหนุนทำให้คนตะโกน ‘ยังไม่ซื้อ’ จากไทม์ไลน์ของกระแส ‘Loud Budgeting’ ดังกล่าว อาจเป็นผลมาจากแรงเหวี่ยง 4 ด้านหลัก ดังนี้ เกิดขึ้นมาในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสูง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก และรวมถึงไทยที่ว่า ‘ผู้คนในตอนนี้ เริ่มรู้สึกไม่อายที่จะพูดว่า ‘เงินไม่พอสำหรับสิ่งนั้น’ กระแสการต่อต้านวัฒนธรรมอย่าง ‘รวยเงียบ’ หรือ ลักซูรีแบบไม่โอ้อวด (Quiet Luxury) และ Overconsumption การบริโภคเกินจำเป็น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดเป็นกระแสพอสมควรในกลุ่มที่ใช้ของหรูหรา มีราคาแต่ไม่ต้องตะโกนออก ขณะที่ ‘Loud Budgeting’ คือ สิ่งที่ผู้บริโภคจะพูดออกมาตรงๆ เลยว่า ‘ไม่ซื้อเลย เพราะไม่มีงบ หรือไม่จำเป็น’ (ในตอนนี้) สื่อโซเชียลทำให้เกิดแรงกดดันทางการเงิน และอาจกลายเป็นสิ่งที่มีผลต่อใจในบางกลุ่มผู้บริโภค ที่อยากแสดงตัวตนว่า ‘ฉันไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะเพื่อยืนยันคุณค่า’ คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพทางการเงินมากขึ้น โดยแฉพาะในชาวมิลเลนเนียล เจนเนอเรชั่นวาย และ กลุ่มเจนฯ Z ที่เข้ามาเป็นกำลังซื้อหน้าใหม่ในตลาด ที่กำลังเผชิญกับ ‘หนี้สิน-ค่าใช้จ่ายสูง’ และเลือกที่จะหันมา ‘พูดตรงๆ’ และ ขอใช้เท่าที่จำเป็นแทน ด้าน ‘ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส ศูนย์การค้าเซ็นทรัล กล่าวถึงกระแสนี้ว่า “วันนี้เราอยู่ในยุคที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้จ่ายมากกว่าที่เคย โดยมีเทรนด์ระดับโลกอย่าง ‘Loud Budgeting’ ที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม Gen Z และคนรุ่นใหม่ ซึ่งเลือกใช้เงินอย่างมีเป้าหมาย โชว์ความคุ้มค่า” ทำให้ เซ็นทรัลพัฒนา มองเทรนด์นี้พร้อมทำแคมเปญ ‘Summer Grand Sale 2025’ ออกมากระตุ้นการจับจ่ายช่วงกลางปี ของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกและเป็นแรงส่งไปยังเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะสามารถสร้างทราฟฟิกทั่วประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 25–30% ในช่วงไตรมาส 2–3 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นตัว แบรนด์โลก สร้างความคุ้มค่ามัดใจ ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศ ต่างจับตาเทรนด์ที่เกิดขึ้นพร้อมปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับกระแส ‘Loud Budgeting’ กันมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแฟชั่นและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับผลกระทบโดยตรง อย่าง ‘Patagonia’ ปาตาโกเนีย แบรนด์สินค้าไลฟ์แวร์ เน้นกิจกรรมกลางแจ้งที่มี อายุในตลาดโลดมาร่วม 50ปี ด้วยการวางตำแหน่งทางการตลาดแบรนด์ที่เน้นการบริโภคอย่างมีสติ ทำให้ Patagonia เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคลดการบริโภคเกินจำเป็น ด้วยแคมเปญ ‘Don’t Buy This Jacket’ ที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคคิดก่อนซื้อ และเน้นการใช้สินค้าที่ทนทานและยั่งยืน H&M และ Zara ที่แม้ว่าจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแฟชั่นรวดเร็ว (Fast Fashion) ยอดนิยมของผู้คนในหลายประเทศทั่วโลก แต่ในวันนี้ H&M และ Zara ได้เริ่มปรับตัวโดยการเปิดตัวคอลเลกชันที่ใช้วัสดุรีไซเคิลและส่งเสริมการรีไซเคิลเสื้อผ้าเก่า เพื่อรับมือกับกระแสต่อต้านการบริโภคเกินจำเป็น Unilever ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลก กับแนวทางธุรกิจยุคใหม่ที่ออกมาสื่อสารความยั่งยืนในผลิตภัณฑ์อาหารให้กับผู้บริโภค เพื่อส่งเสริมการบริโภคอย่างมีสติและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังธุรกิจรายย่อยขนาดเล็กกลางอย่าง ‘เอสเอ็มอี’ (SME) ที่มองเห็นโอกาสจากเทรนด์นี้ พร้อมปรับรูปแบบการทำธุรกิจให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุค ‘Loud Budgeting’ ที่เน้น ‘คุ้มค่า โปร่งใส และสมเหตุสมผล’ มากกว่า ‘หรูหราเกินจริง’ ธุรกิจที่เริ่มจากหนี้ก้อนโตและตกงาน อย่างกรณีศึกษาธุรกิจในต่างประเทศ อย่าง Jasmine Taylor และ Baddies and Budgets โดยในปี 2565 ‘Jasmine Taylor’ พบว่าตนเองมีหนี้สินกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ และตกงาน ทำให้เธอเริ่มใช้วิธีการบริหารงบประมาณแบบ ‘Cash Stuffing’ ซึ่งเป็นการแบ่งเงินสดใส่ซองตามหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อควบคุมการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้น เธอเริ่มแชร์ประสบการณ์นี้ผ่าน TikTok เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและสร้างความรับผิดชอบให้กับตนเอง และโดยไม่คาดคิด คอนเท้นต์ นี้ของเธอได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนเป็นไวรัล และนำไปสู่ไอเดียให้ก่อตั้งธุรกิจชื่อ Baddies and Budgets จำหน่ายอุปกรณ์สำหรับการบริหารงบประมาณ เช่น สมุดบันทึกและซองเงินที่มีการออกแบบเฉพาะตัว เธอ ใช้ช่วงเวลาไม่นาน ธุรกิจของเธอเติบโตอย่างรวดเร็วสร้างรายได้ถึง 630,000 ปอนด์ต่อปี และมีลูกค้าที่รอซื้อสินค้าเมื่อมีการเติมสต็อกใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ประกอบการธุรกิจสินค้าแบรนด์ไทย หรือ ‘เอสเอ็มอี’ เชื่อว่ายังสามารถเกาะกระแส ‘Loud Budgeting’ พร้อมปรับแนวทางการทำตลาดทในรูปแบบ การโปรโมตความคุ้มค่าอย่างภาคภูมิใจ เน้น ‘Value for Money’ ในการสื่อสาร ไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ต้อง ‘คุ้มจริง’ พร้อมสื่อสารการทำตลาดอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา SME มีความโปร่งใสเรื่องต้นทุนและราคาสามารถบอกเล่าที่มาของต้นทุน เช่น “เราเลือกบรรจุภัณฑ์เรียบง่าย เพื่อให้คุณได้สินค้าคุณภาพ โดยไม่ต้องจ่ายค่าแพ็คเกจหรู” สอดคล้องพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่มีความรอบรู้และฉลาดเลือก ต้องการความโปร่งใส ปรับแพ็กเกจสินค้าให้ ‘ดูดีแต่ราคาไม่แรง’ หรือเลือกเลือกดีไซน์มินิมอล เรียบเท่ ดูมีรสนิยมแต่ไม่อวดรวย รวมไปถึงเน้น ‘Affordable Aesthetic’ เช่นใช้วัสดุธรรมชาติ, สีเอิร์ธ โทน เป็นต้น การจัดโปรโมชัน เน้นความภูมิใจในการประหยัด ด้วยชื่อโปรโมชันอย่าง ‘โปรฉลาดใช้’ แต่ ‘บัดเจ็ตจัดเต็ม’ หรือ ตั้งงบไว้แค่ไหนแล้วช้อปได้เลย ขณะที่การสร้างชุมชน หรือ Community ที่สนับสนุนแนวคิด Budget-Conscious โดยใช้โซเชียลมีเดียในการแชร์เทคนิคประหยัดอย่างมีสไตล์ในหัวข้อต่างๆ จากสินค้า/แบรนด์ สุดท้ายร่วมมือกับ Micro-influencer สายฉลาดใช้คนรีวิวของดีในราคาคุ้ม ควบคุมงบได้ ไม่เน้นโชว์แบรนด์หรู แนวทางดังกล่าว เป็นการต่อยอดจาก ‘Loud Budgeting’ ให้กลายเป็น ‘Smart Spending Lifestyle’ ที่สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ด้วย Loud Budgeting อาจไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นการแสดงจุดยืนของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ภูมิใจในความฉลาดใช้จ่าย หาก SME ที่เข้าใจสิ่งนี้ก่อน ย่อมได้เปรียบในการเข้าถึงใจลูกค้าอย่างแท้จริง Alternate-X สรุปให้ Loud Budgeting คือ แนวคิดที่ผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เลือกแสดงออกอย่างภาคภูมิใจว่า ‘ตอนนี้ยังไม่ซื้อ’ เพื่อควบคุมงบประมาณให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ตามแรงผลักดันจากเงินเฟ้อ สภาพคล่องทางการเงิน, กระแสต้านความหรูหราเกินจริง และการใส่ใจสุขภาพทางการเงิน ทำให้เทรนด์นี้เติบโต ทำให้ในเวลานี้ ทั้ง SME และแบรนด์ระดับโลกปรับตัวด้วยกลยุทธ์ ‘ความคุ้มค่าโปร่งใส’ เช่น Patagonia, H&M, และธุรกิจ Baddies and Budgets โดย ผู้ประกอบการไทยสามารถต่อยอดเทรนด์นี้ด้วยการปรับดีไซน์ บรรจุภัณฑ์ สื่อสารตรง และใช้ micro-influencer สายฉลาดใช้ Loud Budgeting คือมากกว่าการประหยัด แต่คือไลฟ์สไตล์แห่งการภูมิใจใน ‘การใช้เงินอย่างฉลาด’
‘ทิพย์สมัย’ ผัดไทยแห่งชาติ ‘เทคออฟ’ แบรนด์เสิร์ฟบนเครื่องการบินไทย
ผัดไทยทิพย์สมัย ภายใต้การบริหารในรูปแบบธุรกิจของเจนเนอเรชั่น 3 ‘ดร.ศีขรเชษฐ์ และ รศ.พญ.ธัญนันท์ ใบสมุทร” สองผู้บริหารธุรกิจที่กำลังพาแบรนด์ ‘ทิพย์สมัย’ เป็นให้มากกว่าผัดไทยและบินให้สูงขึ้นในรอบ 86 ปี ดร.ศีขรเชษฐ์ ใบสมุทร หรือ ‘คุณหนุ่ย’ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือทิพย์สมัย กรุ๊ป และ บริษัท สยาม รอยัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่าร้านผัดไทย ‘ทิพย์สมัย’ เข้าสู่การบริหารสู่รุ่น 3 จากจุดเริ่มต้นรุ่นแรกเมื่อ 86 ปีก่อน ที่มีคุณยายเป็นผู้บุกเบิก และส่งต่อสูตรให้คุณแม่ได้ก่อตั้งกิจการในรูปแบบหน้าร้านตึกแถวย่านแยกสำราญราษฎร์ บริเวณสี่แยกจุดตัดถนนบำรุงเมืองและถนนมหาไชย หรือที่ชาวพระนครในยุคนั้น เรียกกันคุ้นปากว่า ‘ประตูผี’ และยังเป็นที่มาของชื่อ ทิพย์สมัย ผัดไทย ประตูผี ในเวลาต่อมา ก่อนที่แบรนด์ ‘ทิพย์สมัย’ ผัดไทย’ จะส่งต่อมายังรุ่นเขาที่ค่อยๆ แทรกซึมมาตั้งแต่วัยเด็กจากจุดเริ่มการเป็น ‘เด็กล้างกระทะผัดไทยริมถนน’ ประจำร้าน จากธุรกิจรุ่นสู่รุ่นที่ผ่านมาแล้วในหลาย ‘ความท้าทาย’ แต่ก็ยังผลักดันให้แบรนด์ ทิพย์สมัย ผัดไทย เดินมาร่วมกว่า 8 ทศวรรษ ที่ ‘คุณหนุ่ย’ บอกว่า มาจากการปรับตัวทางธุรกิจ พร้อมรักษาคุณภาพที่ให้ความสำคัญ ‘ความสะอาด’ รองลงมา คือ รสชาติ ที่จะต้องไม่ต่ำกว่า 80% ของความคาดหวัง จาการเดินทางของ ทิพย์สมัยผัดไทย ถึงในปัจจุบัน ได้เปิดแล้ว 5 แห่ง ดังนี้ สาขาประตูผี (ต้นตำรับ) เปิดบริการ: 09:00–24:00 น. (หยุดทุกวันอังคาร) สาขาไอคอนสยาม (ICONSIAM) เปิดบริการ: 10:00–21:00 น. สาขาคิงพาวเวอร์ รางน้ำ (King Power Rangnam) เปิดบริการ: 10:00–20:00 น. สาขาสยามพารากอน (Siam Paragon) เปิดบริการ: 10:00–22:00 น. สาขาพุทธมณฑลสาย 4 เปิดบริการ: 11:00–20:00 น. โดยในเกือบทุกสาขา ล้วนต่างเป็นทำเลที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางหมุนวียนเข้ามา ซึ่งเท่ากับว่าใช้สาขาเหล่านี้สร้างให้แบรนด์ทิพย์สมัย ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ไปโดยปริยายด้วย พร้อมกับล่าสุดในปี 2568 นี้ บริษัทในเครือทิพย์สมัย กรุ๊ป และ บริษัท สยาม รอยัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ขยายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ‘ทิพย์สมัย’ กลุ่มใหม่ อาหารไทยแปรรูปกว่า 20 รายการในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้า อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27–31 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็น 2 แบรนด์หลัก เพื่อทำตลาด คือ แบรนด์ ‘ทิพย์สมัย’ ครอบคลุมทั้งกลุ่มอาหารปรุงสุกพร้อมปรุงพร้อมทาน และอาหารพร้อมปรุง (Ready Meal , Ready to Eat และ Ready to Cook เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ มีสินค้าหลัก ดังนี้ ผัดไทยแช่งแข็ง (Padthai Frozen) 6 รสชาติ ได้แก่ ผัดไทยมันกุ้ง (Signature ของทางร้าน) สูตรเข้มข้น/ ผัดไทยโบราณ สูตรเผ็ด/ ผัดไทยโบราณ สูตรมังสวิรัติ/ ผัดไทยโบราณ สูตรต้นตำรับ/ ผัดไทย สูตรโครา เมนูอาหารทานเล่น เช่น ปอเปี๊ยะผัดไทยมันกุ้ง กุ้งสด กลุ่มกึ่งสำเร็จรูปและชุดพร้อมปรุง ‘เส้นจันท์ผัดไทยกึ่งสำเร็จรูป’ (Instant Rice Noodle Padthai), วุ้นเส้นผัดไทยกึ่งสำเร็จรูป (Instant Glass Noodle Padthai), ชุดพร้อมปรุงเส้นจันท์ผัดไทย (Padthai Set Rice Noodle) ชุดพร้อมปรุงวุ้นเส้นผัดไทย (Padthai Set Glass Noodle) น้ำปลาหวาน ตราทิพย์สมัย (Nam Pla Wan Thipsamai) สำหรับจิ้มผลไม้ เส้นจันท์ (Rice Noodle) มีให้เลือก 4 ขนาด: 1 มม., 3 มม., 5 มม., และ 10 มม. น้ำซอสปรุงรส (Chili Paste & Dipping Sauce) เช่น ซอสผัดไทย, น้ำจิ้มไก่, น้ำจิ้มลูกชิ้น, น้ำจิ้มสุกี้, น้ำจิ้มบ๊วยเจี่ย น้ำพริกเผา ชุดน้ำยำ ตราทิพย์สมัย (Thai Spicy Salad Set) แบรนด์ที่สอง ‘แบรนด์ไทย’ มีสินค้าหลัก ดังนี้ เมนูเส้นจันท์แช่แข็ง (Rice Noodle Frozen) 6 รสชาติ ได้แก่ กะเพราหมู/ กะเพราทะเล/ /กะเพราไก่/ ผัดขี้เมาไก่/ ผัดขี้เมาทะเล/ ผัดขี้เมากุ้ง เมนูข้าวแช่แข็ง (Rice Frozen ) 4 รสชาติ ได้แก่ ข้าวผัดต้มยำมันกุ้ง/ ข้าวผัดโคราชหมูตุ๋น/ ข้าวคลุกกะเพราไก่/ ข้าวคลุกกะเพราหมู เมนูวุ้นเส้น และเส้นหมี่ฮ่องกง (Glass Noodles & Hong Kong – Style) 4 รสชาติ ได้แก่ ยำวุ้นเส้นทะเล/ ยำวุ้นเส้นหมูสับหมูยอ/ วุ้นเส้นสุกี้แห้งทะเล/ หมี่ฮ่องกง สูตรมังสวิรัติ ขนมไทยโบราณแช่แข็ง ได้แก่ ปอเปี๊ยะข้าวเหนียวสังขยา ปอเปี๊ยะข้าวเหนียวมะม่วง ปอเปี๊ยะข้าวเหนียวทุเรียน ปอเปี๊ยะข้าวเหนียวถั่วดำ เป็นต้น อาหารทานเล่น ปอเปี๊ยะกุ้ง/ไก่/ผัก เทคออฟแบรนด์ ผัดไทยแห่งชาติ ด้าน รศ.พญ.ธัญนันท์ ใบสมุทร, รองประธานกรรมการ บริษัทในเครือทิพย์สมัย กรุ๊ป และ บริษัท สยาม รอยัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า จากกลุ่มสินค้าใหม่ดังกล่าว บริษัทวางกลยุทธ์ราคาผลิตภัณฑ์ในราคาจับต้องได้ เริ่มตั้งแต่ 50-80 บาท พร้อมทำตลาดในช่องทางขายร้านทิพย์สมัยทุกสาขา, ซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมทำตลาดส่งออกไปยัง เกาหลี, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์ และ สหรัฐอเมริกา และขยายการส่งออกไปยังทั่วโลก ทั้งในภูมิภาค เอเชีย, ออสเตรเลีย, ยุโรป, และ ตะวันออกกลาง “ล่าสุดไทยทิพย์สมัย ยังได้ให้บริการเสิร์ฟบนสายการบินไทยในโอกาสครบรอบ 65 ปีสายการบินแห่งชาติ และเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือซอฟต์เพาเวอร์ด้านอาหารไทยที่ออกไปแนะนำให้ทั่วโลกได้รู้จักรสชาติของเมืองไทย ได้มากขึ้น” รศ.พญ.ธัญนันท์ กล่าวว่าสำหรับการให้บริการทิพย์สมัยผัดไทย บนสายการบินไทย จะนำเมนูผัดไทยต่างๆ ที่เป็นซิกเนอเจอร์ เมนู ทั้ง ผัดไทยเส้นจันทร์ ผัดไทยมันกุ้ง ให้บริการผู้โดยสาร ในเส้นทางนอกประเทศ (Outbound) เที่ยวบินต่างๆ ทั้งในเอเชีย และ ยุโรป “การบริการใหม่ครั้งนี้ยังตอกย้ำ รสชาติความเป็นไทยในฐานะประเทศไทยไปสู่ครัวโลกอีกด้วย” รศ.พญ.ธัญนันท์ กล่าวพร้อมเสริมต่อว่า จากการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการเพิ่มช่องทางแนะนำสินค้าบนสายการบินไทย ในครั้งนี้ บริษัทยังได้วางแผนการผลิตสินค้าในโรงงาน จังหวัดนครปฐม ที่ปัจจุบันยังมีกำลังการผลิตเพียงพออยู่ที่ 1,000 กล่องต่อวันและสามารถขยายเพิ่มได้มากถึง 2,000 กล่องต่อวัน ได้ตามความต้องการตลาด และในกลุ่มซอส มีกำลังการผลิตอยู่ที่ราว 6,000 กิโลกรัมต่อวัน จากปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 3,000 กิโลกรัมต่อวัน ต่อแนวทางที่วางไว้ ‘ทิพย์สมัย’ ในมือการบริหารของรุ่น 3 กับแผนส่งรสชาติไทยเนสด้วยเมนูผัดไทย ในฐานะอีกหนึ่งซอฟต์เพาเวอร์ไทย เพื่อบินไปต่อได้ไกลและให้สูงขึ้น นับจากนี้ไป Alternate-X สรุปให้ ‘ทิพย์สมัย’ ผัดไทยในตำนาน ก้าวสู่เจน 3 สู่มือ ดร.ศีขรเชษฐ์–รศ.พญ.ธัญนันท์ ใบสมุทร กับการแตกไลน์สินค้าใหม่ ทั้งกลุ่มแช่แข็ง-กึ่งสำเร็จรูป พร้อมส่งออกทั่วโลก พร้อมร่วมมือสายการบินไทย เสิร์ฟผัดไทยบนเที่ยวบินนานาชาติ หลังเปิดตัวพร้อมโชว์ศักยภาพในงาน THAIFEX 2025 เป็นครั้งแรก ด้วยเมนูไทยพร้อมทานกว่า 20 รายการ เพื่อเดินหน้าใช้ Soft Power ผลักดันอาหารไทยสู่ครัวโลก
IF น้ำมะพร้าวไทย ย้ำ No. 1 ตลาดจีน หลังใช้ ‘Xiao Zhan’ โกลบอล แบรนด์ แอมฯ
IF น้ำมะพร้าวไทย ขวัญใจผู้บริโภคชาวจีนกับกลยุทธ์การตลาดจนพาเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ส่งแผนปี68 ใช้พอร์ตเครื่องดื่ม สตรีท ดริงค์-‘นมชมพู-ชาไทย เจาะตลาดจีนต่อ วิภาดา กาญจนศร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อินโนเวทีฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดน้ำมะพร้าวพร้อมดื่มภายใต้แบรนด์ ‘IF’ กล่าวว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปี 2567 ประสบความสำเร็จอย่างมาก หลังแบรนด์ร่วมงานกับ ‘เซียวจ้าน (Xiao Zhan)’ ซูเปอร์สตาร์ระดับท็อปของจีน ในฐานะ โกลบอล แบรนด์ แอมบาสเดอร์ (Global Brand Ambassador) คนแรกของแบรนด์ IF นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจับมือ ‘POP MART’ บริษัทอาร์ตทอยมูลค่าแสนล้านจากจีน เพื่อสร้างสรรค์ฉลากคาแรคเตอร์พิเศษ ‘CRYBABY’ ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้เฉพาะกับผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวและนมมะพร้าวของอีฟ (IF) เท่านั้น และยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานผลักดันซอฟต์แวร์ของไทย ในตลาดสากลด้วย ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้ยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญธุรกิจ และสะท้อนถึงความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดลงทุนระดับสากล เพื่อเสริมสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ สนับสนุนการพัฒนาและนวัตกรรม ต่อยอดการเติบโต และยกระดับความสำเร็จสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน “การยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง คือจุดเริ่มต้นบทบาทใหม่ของบริษัท IFBH ที่จะเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพจากประเทศไทย อร่อย และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลก” วิภาดา กล่าว พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้เข้าร่วม THAIFEX – Anuga Asia 2025 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในเอเชีย ระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมเสนอวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นผ่านแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ประจำปี 2568 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสูตรใหม่ที่มีส่วนผสมจากผักและผลไม้มากขึ้น ขยายเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันและขนมเพื่อสุขภาพ รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้โปรตีนจากพืช (Plant-based Snack) และซูเปอร์ฟู้ด (Superfood) เพื่อตอบรับความต้องการด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “Thai Street Drink Series” – อีฟ นมชมพู และ อีฟ ชาไทย ที่กำลังบุกตลาดจีน ‘Fruit Tea Series’ – ชาผลไม้แท้ระดับพรีเมียม 4 รสชาติ ที่เปิดตัวไปในตลาดฮ่องกง เมื่อเร็วๆนี้ โดยทั้งสองซีรีส์ชูความเป็นไทยร่วมสมัย ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพทั่วโลก และอีกหนึ่งแบรนด์น้ำมะพร้าวในเครือ คือ อินโนโคโค่ (INNOCOCO) เพื่อตอบโจทย์คนรักสุขภาพและสนใจการออกกำลังกาย มาพร้อมคอนเซ็ปต์ เครื่องดื่มชูกำลังทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะก่อน/หลังการออกกำลังกาย หรือ ระหว่างวันที่รู้สึกอ่อนเพลีย วางจำหน่ายตลาดจีนเป็นหลัก สำหรับ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ยังคงสะท้อนตัวตนของแบรนด์และบริษัทฯ ที่ยึดมั่นในความเป็นธรรมชาติ ดีต่อสุขภาพ และเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจจากรสชาติแบบไทย พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอ และขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต ปัจจุบัน บริษัทฯ ทำตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากประเทศไทยไปมากกว่า 30 ตลาดทั่วโลก อาทิ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา และครองส่วนอันดับ 1 ตลาดน้ำมะพร้าว ในจีนแผ่นดินใหญ่ (ประมาณ 34%) และ ฮ่องกง (ประมาณ 60%) ต่อเนื่อง 9 ปี ซึ่งมากกว่าคู่แข่งอันดับถัดไปถึง 7 เท่า โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สร้างยอดขาย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 80.3% Alternate-X สรุปให้ IF น้ำมะพร้าวไทย รุกตลาดจีน-ฮ่องกง ครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง 9 ปี หลังดึง ‘เซียวจ้าน’ (Xiao Zhan) นั่ง Global Brand Ambassador พร้อมจับมือ POP MART สร้างฉลากคาแรกเตอร์พิเศษ CRYBABY เจาะใจคนรุ่นใหม่ จนยื่น IPO เข้าตลาดหุ้นฮ่องกง หนุนภาพแบรนด์ระดับโลก และเตรียมทำตลาดกลุ่มสินค้า “Thai Street Drink” และ “Fruit Tea” พร้อมนมชมพู-ชาไทย บุกจีนต่อ
จัดCARBหนักแต่ดื่มศูนย์แคลฯ กลยุทธ์ เป๊ปซี่ x พิซซ่า ฮัท ส่งเมนู เมลทส์รสชาติใหม่เจาะเจนฯZ
ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคฯ คอลแล็บส์ พิซซ่า ฮัท ทำการตลาดผ่านประสบการณ์เข้าถึงเจนฯZ ที่ยังชอบของอร่อยคู่กับความซ่าแบบศูนย์แคลฯ ในแคมเปญ ‘Melts New Flavor x Pepsi” บุญชัย อัศวฤทธิพรหม์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์สินค้าของซันโทรี่และเป๊ปซี่โคในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ร่วมกับ ‘พิซซ่า ฮัท 1150’ แบรนด์พิซซ่าระดับโลก ภายใต้การบริหารงานในประเทศไทย โดยบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด ฉลองเปิดตัวเมนูเมลทส์ 2 รสชาติใหม่ ภายใต้แคมเปญพิเศษ ‘Melts New Flavor x Pepsi’ สำหรับแคมเปญฯ นี้จับคู่รสชาติพรีเมียม สโมคแฮมแอนด์ชีส (Premium Smoked Ham and Cheese) ราคา 169 บาท และ เมลทส์ แบล็ค ทรัฟเฟิล (Melts Black Truffle) ราคา 189 บาท พร้อมรับฟรีเครื่องดื่ม ขนาด 16 ออนซ์ 1 รายการ (เป๊ปซี่ เป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาล เซเว่นอัพ หรือลิปตัน ไอซ์ที) เพิ่มความอร่อยแต่ยังซ่า อยู่ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม ถึง 15 มิถุนายน 2568 นี้ บุญชัย กล่าวว่า แคมเปญฯ นี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการทำธุรกิจบริษัทฯ มุ่งสร้างความสำเร็จร่วมกับคู่ค้าภายใต้แนวคิด Win with Customers โดยวางกลยุทธ์การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำต่างๆ พร้อมขยายฐานคู่ค้าทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ พิซซ่า ฮัท เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพสูง ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมอาหาร (Innovation Leader) ในตลาดร้านอาหารบริการด่วน (QSR – Quick Service Restaurant) ที่อยู่ในตลาดมากว่า 66 ปี “ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมาย เพื่อเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภค Gen Z ผ่านการจับคู่เมนูเมลทส์ (Melts) ที่อร่อย ถูกปาก ถูกใจ ลูกค้าในประเทศไทย จนติดอันดับหนึ่งเมนูยอดนิยม เข้ากับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคฯ” บุญชัย กล่าวพร้อมเสริมว่า ความร่วมมือระหว่างแคมเปญฯ คาดผลักดันให้ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้มากยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับแผนก้าวสู่การเป็น ‘บริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทยโดยมุ่งเน้นความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง (the Most Beloved Beverage Company in Thailand with True Gemba Centricity) Alternate-X สรุปให้ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคฯ จับกับ พิซซ่า ฮัท เปิดตัวแคมเปญพิเศษ ‘Melts New Flavor x Pepsi’ ส่งเมนูเมลทส์ 2 รสชาติใหม่พรีเมียม เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มฟรี 0 แคลฯ เจาะกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ที่ชื่นชอบเมนูอร่อยและไลฟ์สไตล์สุขภาพ เริ่มตั้งแต่ 26 พ.ค. – 15 มิ.ย. 2568 ทั่วประเทศ เพื่อตอกย้ำกลยุทธ์ Win with Customers และเป้าหมายเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภครักที่สุดในไทย
‘Ichitan ReCircle’ เชียงใหม่ โครงการคืนชีพขวด PET ไม่หยุดแค่ฝังกลบ แต่รีไซเคิลใช้ตลอดไป
อิชิตัน ชวนตั้งคำถาม? ขวดน้ำ PET ถ้าดื่มหมดแล้วจะไหนต่อ? หลังพบ 14% นำกลับไปรีไซเคิล สัดส่วนนื้ยังน้อยไปเพราะส่วนใหญ่นำไปฝังกลบตัวการทำโลกเดือดขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นที่มาโครงการ ‘Ichitan ReCircle’ ระบบรีไซเคิลหมุนเวียนแบบปิดนำร่องก่อนที่ ‘เชียงใหม่’ ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและทำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มกลุ่มอิชิตัน (Ichitan) กล่าวว่า บริษัทฯ ร่วมกับพันธมิตร ประกอบด้วย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) , GC YOUเทิร์น, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ และ วันนิมมาน เชียงใหม่ ร่วมเปิดตัว ‘Ichitan ReCircle’ โครงการเก็บ-กลับระบบรีไซเคิลหมุนเวียนแบบปิด (Closed-Loop Circular) สำหรับขวดพลาสติก PET นำร่องแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ สำหรับโครงการฯ นี้ เพื่อมีส่วนร่วมสนับสนุนการสร้างวงจรของขวดพลาสติก PET ให้มีชีวิตใหม่ได้ไม่รู้จบ โดยไม่หยุดที่หลุมฝังกลบซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก และภาวะโลกร้อน เพื่อสังคมไทยที่สะอาดยิ่งขึ้น “จากข้อมูลพบว่า 86% ถูกทิ้งไว้ที่หลุมฝังกลบ มีแค่ 14% ได้รับการนำกลับไปรีไซเคิล แต่วันนี้ขวดพลาสติก PET ที่ถูกทิ้งจะไม่สร้างภาระ สร้างมลภาวะอีกต่อไป” ตัน กล่าวพร้อมเสริมว่า สำหรับโครงการ ‘Ichitan ReCircle’ (อิชิตัน รีเซอเคิล) ไม่ใช่แค่การรีไซเคิลทั่วไป แต่เป็นการสร้างระบบการจัดการขวดพลาสติก PET ครบวงจร ตั้งแต่รวบรวม คัดแยก ฆ่าเชื้อ ปั่นเป็นชิ้น ไปจนถึงการขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยการคงคุณภาพพลาสติกให้ดีอยู่เสมอ โดยทั้งหมดใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่มั่นใจได้ถึงความสะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ทำให้ขวดที่ผ่านกระบวนการใช้บรรจุเครื่องดื่มได้ไม่รู้จบ ไม่จบลงที่หลุมฝังกลบหรือเป็นขยะในทะเลจะต่างจากระบบ Open Loop (การแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิลตามปกติ) ที่ขยะพลาสติกเมื่อนำไปรีไซเคิลเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น เช่น เสื้อผ้า ถังพลาสติก ถุงขยะ ฯลฯ “ด้วยข้อจำกัดของระบบเปิดจะทำให้คุณภาพของพลาสติกที่ถูกนำไปรีไซเคิลลดลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็จะไปจบที่หลุมฝังกลบไม่ช้าก็เร็ว” ตัน อธิบายเพิ่ม โดย ‘Ichitan ReCircle’ ได้เปิดตัวโครงการนำร่องที่จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเมืองหลักที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากยุโรป ญี่ปุ่น สแกนดิเนเวีย และนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อม พร้อมติดตั้งจุด ‘Ichitan ReCircle’ ในพื้นที่ถนนคนเดินวัวลายเป็นแห่งแรก เพื่อสนับสนุนนโยบาย Green Tourism ของเชียงใหม่ ให้กลายเป็นพื้นที่เก็บ-กลับระบบรีไซเคิลหมุนเวียนแบบปิด (Closed-Loop Circular) ขณะเดียวกัน อิชิตัน ยังมีแผนขยายโครงการ ‘Ichitan ReCircle’ ให้มากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายว่าภายปี2570 จะสามารถติดตั้งเพื่อเก็บกลับและแปรรูปพลาสติกได้สูงสุด 9,000 ตันต่อปี นอกจากนี้ อิชิตัน ยังได้พัฒนาพื้นที่ One ChiChan ซึ่งเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตท่ามกลางธรรมชาติ ขนาด 5,000 ที่นั่งให้เป็น sustainable concert space พร้อมเชิญชวนผู้ชมคอนเสิร์ตให้ร่วมกันนำขวดน้ำที่ดื่มขณะสนุกกับคอนเสิร์ตแล้วกลับเข้าสู่ Ichitan ReCircle รวมถึงสร้างสัญลักษณ์มาสคอต ‘Melt Man’ ตัวแทนจากธรรมชาติพร้อมเทคนิคการนำเสนอแบบ projection mapping บอกเล่าเรื่องราวน่ารักเพื่อชวนทุกคนเห็นคุณค่าของการบริโภคอย่างยั่งยืน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ด้าน กิจชัย เฉลิมสุขสันต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและการขาย กลุ่มลูกค้าแพลตฟอร์มอุตสาหกรรม บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้พัฒนา ‘GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์มบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Ichitan ReCircle” จากที่ผ่านมา ได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรมากกว่า 140 องค์กร ขยายจุดทิ้งพลาสติก หรือ GC YOUเทิร์น Drop Point ไปแล้ว 400 จุด พัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ มีความพร้อมสู่การเป็นเมืองต้นแบบด้านการท่องเที่ยวยั่งยืน และการได้รับเลือกเป็นเมืองนำร่องของโครงการ Ichitan ReCircle ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะสามารถเปลี่ยนจุดท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างถนนคนเดินวัวลาย และ One Nimman ให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม “เรามองว่า Green Tourism ต้องไม่ใช่แค่แนวคิด แต่ต้องเป็นประสบการณ์จริง โดยนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ให้ความสำคัญกับการเลือกสถานที่เที่ยวที่เป็นมิตรต่อโลก” พัศลินทร์ กล่าว Alternate-X สรุปให้ อิชิตันเปิดโครงการ “Ichitan ReCircle” นำร่องที่เชียงใหม่ จัดการขวดพลาสติก PET แบบครบวงจรในระบบปิด พร้อมร่วมกับพันธมิตรพัฒนาแนวทางรีไซเคิลที่ไม่จบที่ฝังกลบ ลดปัญหาโลกร้อน ด้วยเทคโนโลยีระบบปิดแปรรูปเป็นขวดใหม่ ใช้ซ้ำได้ไม่รู้จบ และยังเสริมจุดท่องเที่ยวอย่างถนนคนเดินวัวลายและ One Nimman เป็นพื้นที่เรียนรู้ ตั้งเป้ารีไซเคิลพลาสติกได้ 9,000 ตันต่อปี ภายในปี 2570
GWM แผน 3 ปีขยายธุรกิจดูแลโรคไตครบลูป รับมือ ‘ความท้าทาย’ คนไทยป่วยพุ่ง No. 5 โลก
ปัจจุบันคนไทยป่วยโรคไตติดอันดับ 5 ของโลก เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสไปพร้อมกัน หลังพบเทรนด์ธุรกิจดูแลผู้ป่วยโรคไต ในไทยขยายตัว ทำให้ ‘GWM’ เตรียแผนปั้นธุรกิจครบวงจร ธงชัย ปามิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด (มหาชน) (GWM) ดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตน้ำยาฟอกไต ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยโรคไตผ่านคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมไตเทียมและศูนย์ไตเทียมในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนแบบครบวงจร และจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับคลีนิคฟอกไต เปิดเผยว่าบริษัทฯมีแผนในการขยายธุรกิจให้เติบโตรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการที่มีสัญญาณเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยข้อมูลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไตในประเทศไทยว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคไตสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 11.6 ล้านคน และมีคนไทยกว่า 1.12 ล้านคนมีภาวะโรคไตเรื้อรัง ขณะที่ประเทศไทยมีเครื่องฟอกเลือดด้วยไตเทียม ประมาณเกือบ 5 หมื่นเครื่อง ซึ่งกระจายอยู่ที่คลินิกประมาณ 1,151 แห่ง และรถฟอกไตเคลื่อนที่อีกบางส่วน ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้น GWM จึงมีแผนที่จะขยายการให้บริการให้เติบโตรองรับความต้องการผู้ป่วย ผ่านธุรกิจทั้ง 4 ประเภท ดังนี้ ธุรกิจน้ำยาไตเทียมและน้ำยาทำความสะอาด โดยผลิตภัณฑ์ทุกชนิดผ่านการรับรองตามมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่มีคุณภาพสูง โดยกำลังการผลิตปัจจุบันสำหรับการผลิตน้ำยาฟอกไตอยู่ที่ประมาณ 180,000 แกลลอนต่อเดือน ซึ่งมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 240,000 แกลลอนภายในไตรมาส4 ปี 2568 ธุรกิจการจัดจำหน่ายและให้เช่าเวชภัณฑ์ในหน่วยไตเทียม ดำเนินธุรกิจด้วยการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ได้มาตรฐานระดับสูง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1.) วัสดุสิ้นเปลืองสำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ได้แก่ สายส่งเลือด เข็มฟอกไต ตัวกรองเลือดไตเทียม น้ำเกลือสำหรับฉีดเข้าเส้นเลือดชนิดนอร์มัลซาไลน์ เป็นต้น ซึ่งจำหน่ายควบคู่กับน้ำยาเข้มข้นสำหรับฟอกเลือด 2.) เครื่องไตเทียมกลุ่มบริษัทยังเป็นตัวแทนจำหน่ายและให้เช่าเครื่องฟอกไต ที่มีจุดเด่นด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเครื่องฟอกไตที่บริษัทนำมาจัดจำหน่ายผ่านการวิจัยและพัฒนามากว่า 10 ปี ธุรกิจการให้บริการออกแบบ และติดตั้งระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการบำรุงรักษาระบบ (“ธุรกิจระบบน้ำ RO”) ดำเนินการภายใต้ บริษัท วารี เมดิคอล จำกัด (WRM) เป็นบริษัทย่อย โดยบริษัทฯถือหุ้น 100% ให้บริการครบวงจรตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ ออกแบบติดตั้ง ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และเป็นไปตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกำหนด รวมทั้งการออกแบบและผลิตตู้ควบคุมและระบบไฟฟ้าที่ได้คุณภาพ และบำรุงรักษาเชิงป้องกันระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ธุรกิจการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเวชสำอางสำหรับผู้ป่วยโรคไต เพื่อให้การบริการของกลุ่มบริษัทครอบคลุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยโรคไตมากยิ่งขึ้น จึงได้เริ่มต้นขยายธุรกิจไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเวชสำอางสำหรับผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่ายกายโดยเฉพาะโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด จากการรับการบำบัดรักษาด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รวมทั้งผลข้างเคียงของการรักษาและยา ทำให้เกิดผิวแห้งและคันได้ง่าย บริษัทซึ่งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ร่วมมือกับบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“JSP”) (บริษัทแม่และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท) ซึ่งมีความโดดเด่นด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเวชสำอางสำหรับผู้ป่วยโรคไต เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยโรคไตได้อย่างครอบคลุมครบวงจร ด้าน ธนวรรธน์ พีระวีระภัทร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้รวม 142ล้านบาท รายได้หลักมาจากธุรกิจการผลิตน้ำยาฟอกไตสำหรับเครื่องไตเทียม คิดเป็น 70 % ของรายได้ทั้งหมด ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีข้างหน้ารายได้รวมจะเติบโตขึ้นเป็น 200 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 10 % ซึ่งปัจจัยที่จะสนับสนุนการเติบโตของรายได้จะมาจากการขยายศูนย์ฟอกไต และการอัตราที่เพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคไตในแต่ละปี ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ดังนั้นบริษัทฯ จึงมีแผนในการเข้าระดมทุนด้วยการจำหน่ายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีแผนจะยื่นไฟลิ่งในช่วงไตรมาส 3 ปี2568 นี้ Alternate-X สรุปให้ GWM มุ่งขยายธุรกิจดูแลผู้ป่วยโรคไตแบบครบวงจร รองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยดำเนินธุรกิจหลัก 4 ประเภท ได้แก่ น้ำยาฟอกไต อุปกรณ์การแพทย์ ระบบน้ำ RO และอาหารเสริม พร้อมมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตและเปิดศูนย์บริการใหม่ในอนาคต ตั้งเป้าเติบโตรายได้เฉลี่ยปีละ 10% ภายใน 3 ปี และ เตรียมยื่น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 3 ปี 2568
5 เรื่องชวนเตรียมตัว วางแผนซ่อม/ปรับปรุงบ้าน ใช้ตัวช่วยสำรองเงินจากบัตรเครดิต/สินเชื่อ
‘ที่อยู่อาศัย’ คือ หนึ่งในปัจจัยสำคัญของชีวิต เมื่อถึงเวลาต้อง ซ่อมแซมหรือตกแต่งบ้าน-คอนโด มักต้องใช้เงินก้อน ด้วยเหตุผลอาจมาจากภัยธรรมชาติ ความปลอดภัย เพื่อเพิ่มมูลค่า หรือปรับให้เหมาะกับครอบครัว ขณะที่การวางแผนการเงิน อย่างมีระบบจึงช่วยลดความกังวลและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี กรุงศรี คอนซูมเมอร์ แนะนำวิธีจัดการงบประมาณเพื่อซ่อมหรือตกแต่งบ้านให้ราบรื่น พร้อมแนวทางบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเป็นขั้นตอน ไม่ซับซ้อน และเหมาะกับทุกความจำเป็น กับ 5 วิธีน่าลอง พร้อมนำไปปรับใช้ 1.กำหนดเป้าหมาย เพื่อให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสมกับงบประมาณที่มี ควรให้ผู้เชี่ยวชาญหรือวิศวกรเข้ามาดูบ้านเพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่ก่อน เช่น โครงสร้างภายใน-ภายนอก, ระบบไฟฟ้า, ระบบประปา, ส่วนผนังและพื้น เป็นต้น จากนั้นวางแผนปรับปรุงหรือตกแต่งบ้านด้วยการจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลัง แยกเป็น ‘งานจำเป็น’ และ ‘งานที่อยากทำการปรับปรุง’ โดยให้เน้นคำนึงถึงงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยมาเป็นลำดับแรก ตามด้วยงานที่ส่งผลกระทบหลักต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนงานอื่น ๆ จัดเป็นความสำคัญรองที่อาจทยอยทำเพิ่มเติมในภายหลังตามงบประมาณที่มีได้ 2.ประเมินค่าใช้จ่าย กำหนดงบประมาณโดยเริ่มจากการรวบรวมข้อมูลการซ่อมแซม ทำการประเมิน และหาข้อเสนอจากผู้รับเหมาหรือร้านวัสดุก่อสร้างโดยให้เปรียบเทียบราคาและคุณภาพงานอย่างน้อย 2-3 แห่ง จากนั้นให้คำนวณค่าใช้จ่ายโดยละเอียด พร้อมเตรียมงบสำรองฉุกเฉินประมาณ 10-20% ของงบประมาณ รวมเผื่อกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือเกิดเปลี่ยนแปลงงานกลางคัน 3. หาแหล่งทุน ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือตกแต่งบ้านมักจะเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ แหล่งทุนก็มักจะมาจาก เงินออมหรือรายได้ประจำ โดยควรทยอยเก็บออมล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายประจำในแต่ละเดือน แต่หากใช้งบประมาณสูง อาจพิจารณาขอสินเชื่อปรับปรุงและตกแต่งบ้านจากสถาบันการเงิน โดยสามารถเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขในการชำระเงินก่อนตัดสินใจ ขั้นตอนขอสินเชื่อมี 3 วิธีง่าย ๆ คือ พิจารณาเลือกสินเชื่อที่ใช่ เช่น สินเชื่อปรับปรุงบ้าน, สินเชื่อที่ใช้บ้านเป็นหลักประกัน เป็นต้น เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เช่น งบประมาณที่ใช้ปรับปรุงและตกแต่ง, หลักฐานรายได้ผู้กู้ เป็นต้น จะทำให้ขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อผ่านได้ง่ายขึ้ วางแผนการชำระเงินคืน คิดคำนวณดูว่า จากรายได้ในแต่ละเดือนจะมีเงินพอที่จะจ่ายคืนได้เท่าไหร่ โดยหากอยากหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่สูง แนะนำให้เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจากหลายสถาบันการเงินเพื่อหาเงื่อนไขที่ดีที่สุดก่อนทำเรื่องกู้ และควรวางแผนไม่ให้เงินที่ต้องชำระคืนสูงกว่า 20% ของรายได้ในแต่ละเดือน นอกจากนี้ ในกรณีที่ต้องซ่อมแซมบ้านเนื่องจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว หรือน้ำท่วม อาจตรวจสอบสิทธิประโยชน์จากประกันภัยหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่ากรมธรรม์บ้านหรือคอนโดที่ทำไว้ว่ามีความคุ้มครองหรือไม่ และรีบทำเอกสารส่งเคลมเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม เป็นต้น 4. ลงมือ เมื่อได้ผู้รับเหมาที่น่าเชื่อถือแล้วให้ทำสัญญาก่อนเริ่มงานและตรวจสอบรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงงานและการจ่ายเงินเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง จากนั้นจึงเริ่มตามลำดับ ได้แก่ งานด่วน (เช่น โครงสร้างบ้าน, โครงสร้างเหล็ก, โครงสร้างคอนกรีต เป็นต้น) งานพื้นฐาน (เช่น ระบบไฟฟ้า, ระบบประปา, ระบบสุขาภิบาล เป็นต้น) 3. งานตกแต่ง (เช่น ทาสี, ติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์, งานตกแต่งภายใน เป็นต้น) พร้อมทั้งติดตามและปรับแผนงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามงบที่วางไว้ และสามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด 5.บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ตัวช่วยเรื่องบ้านที่ไม่ควรมองข้าม บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล นับเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเมื่อต้องใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องบ้าน เนื่องจากบัตรเครดิตบางประเภทให้สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการเกี่ยวกับการดูแลและตกแต่งบ้านที่คุ้มค่า เช่น ส่วนลด, โปรโมชันพิเศษต่าง ๆ, คะแนนสะสม หรืออาจเลือกผ่อน 0% ได้นานหลายเดือนตามเงื่อนไขของแต่ละสถาบันการเงิน ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้บริการจัดการการใช้จ่ายได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น บัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ที่มอบส่วนลด 3% หากทำครบตามเงื่อนไขเมื่อรูดใช้จ่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านที่โฮมโปรทุกสาขา หรือเมื่อใช้บริการ Home Service ดูแลทุกบริการเรื่องบ้าน, หรือบัตรโฮมโปร เฟิร์สช้อยส์ ที่มอบสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 24 เดือน เมื่อใช้จ่ายตามเงื่อนไขที่โฮมโปรทุกสาขาและโฮโปร ออนไลน์ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด) ทั้งนี้ บัตรเครดิต : ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี, สินเชื่อส่วนบุคคล : อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 15%-25% ต่อปี Alternate-X สรุปให้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ แนะนำ 5 วิธีวางแผนซ่อม-แต่งบ้านแบบมือโปร คุมงบไม่บานปลาย เริ่มจากตั้งเป้าหมาย ประเมินค่าใช้จ่าย และหาแหล่งทุนอย่างเหมาะสม และพิจารณาใช้สินเชื่อหรือบัตรเครดิตที่มีโปรโมชันบ้านโดยเฉพาะ พร้อมควรจัดลำดับงานและติดตามแผนงานให้สอดคล้องกับงบที่ตั้งไว้ โดยบัตรเครดิตและสินเชื่อคือเครื่องมือช่วยผ่อนแรง เมื่อใช้อย่างมีวินัย
ล้วงกำลังซื้อเจนฯZ รู้ความต้องการตัวเองดี ขอ ‘เสิร์ชก่อนซื้อ’ ต้องทำคอนเทนต์ ‘ดูไว เข้าใจง่าย’
Kantar เปิดผลวิจัยเทรนด์การซื้อสินค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเจาะลึกอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย เน้นกลุ่ม Gen Z อายุระหว่าง 18–24 ปี สรุปภาพรวมการเสพสื่อของ Gen Z เน้น Multi-Format คอนเทนต์ต้องเข้าถึงได้ง่าย และสามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนและครีเอเตอร์ โดย รูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ 71% คอนเทนต์วิดีโอสั้นแนวตั้ง ตอบโจทย์พฤติกรรมแบบเสพคอนเทนต์แบบ Mobile First ที่เน้น ‘ดูไว เข้าใจง่าย 56%) คอนเทนต์วิดีโอยาว ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่คนต้องการศึกษารายละเอียดเชิงลึก อาทิ วิดีโอสอนการใช้งาน (Tutorial) วิดีโอถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ (Vlog) วิดีโอให้สาระ-ความรู้ (Documentary) 32% ไลฟ์สตรีม อาทิ เกมสตรีมสด สะท้อนความชอบ Gen Z ที่เน้นคอนเทนต์สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ ดูที่ไหน เมื่อไรก็ได้ มากกว่าคอนเทนต์เรียลไทม์ นอกจากนี้ Gen Z ยังเปิดรับสื่อวิดีโอที่หลากหลาย สั้น-ยาว สลับกันไปมา การใช้วิดีโอสั้นเข้ามาดึงดูดความสนใจ เพื่อนำไปสู่การรับชมคอนเทนต์วิดีโอยาว กำลังจะกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ โดยนักการตลาด จึงควรวางกลยุทธ์การสื่อสารที่ครอบคลุมรูปแบบของเนื้อหาและช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับช่องทางสื่อที่ครองใจ Gen Z มากที่สุด คือ 78% Youtube 66% Tiktok 41% Instagram 39% Facebook 21% X 18% Line ขณะเดียวกัน Gen Z ยังเลือกเสพคอนเทนต์จาก YouTube สำหรับวิดีโอยาว เพราะแพลตฟอร์มนี้ ช่วยให้อินฟลูเอนเซอร์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถอธิบายข้อมูลได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง โดย 97% ของผู้บริโภค Gen Z มองว่า ‘ครีเอเตอร์ที่น่าเชื่อถือ’ มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ ซึ่ง Gen Z ให้ความสำคัญจากรีวิวที่เชื่อถือได้จากความเชี่ยวชาญของผู้ใช้งานจริง สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับ YouTube ทั้งนี้ นักการตลาดควรพิจารณาให้ดีว่า ควรให้ใครพูดแทนแบรนด์ถึงจะทำให้รีวิวนั้นน่าเชื่อถือมากพอ” ควรขายอะไรให้ Gen Z และกลุ่มนี้ชอบอะไร ? ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง (36%) อาหารและเครื่องดื่ม (35%) แฟชั่นผู้หญิง (33%) ความงาม (30%) เครื่องประดับแฟชั่น (28%) สแกนพฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z ‘เสิร์ช’ ก่อนซื้อ สาวเจนฯ Z มีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยที่หลากหลายมากกว่า ให้ความสำคัญกับสินค้าที่แสดงออกถึงตัวตนอย่างชัดเจน นักการตลาดอาจพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ตัวตนและส่งเสริมภาพลักษณ์ในแบบที่ผู้หญิง Gen Z ต้องการ หนุ่มเจนฯ Z นิยมซื้อสินค้าประเภทแฟชั่นผู้ชาย ชอบอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก โดยหลังจาก Gen Z รู้ว่าตนเองต้องการอะไร พวกเขาชอบมีพฤติกรรม ‘เสิร์ชก่อนซื้อ’ โดยแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ตอบโจทย์การซื้อของคนกลุ่มนี้มากสุด ได้แก่ Shopee (52%) Lazada (22%) Tiktok (16%) Facebook (8%) Shein (2%) สำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ‘Shopee’ ครองใจผู้บริโภค Gen Z มากกว่าครึ่ง มาจากด้าน UX/UI ที่ใช้งานง่าย โปรโมชั่นและส่วนลดที่น่าดึงดูดใจ รวมไปถึงประสบการณ์ด้านขนส่งที่น่าเชื่อถือ ปัจจัยกระตุ้นกลุ่ม Gen Z ซื้อของผ่านออนไลน์ คือ การส่งฟรี (40%) โปรโมชั่นที่น่าสนใจ (29%) ส่วนลดที่คุ้มค่า (28%) ขณะที่ พฤติกรรมนี้อาจจะกำลังบอกนักการตลาดว่า การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้เล่นที่ ‘ราคาถูกที่สุด’ อาจไม่ใช่วิธีที่เวิร์คเสมอไป แต่ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าในแง่ของประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเป็นสำคัญ Alternate-X สรุปให้ Kantar เผยเทรนด์พฤติกรรมการซื้อของ Gen Z ไทย (18–24 ปี) ผ่านคอนเทนต์วิดีโอสั้นและยาวบน YouTube, TikTok โดย Gen Z เน้นเสพคอนเทนต์ Mobile First, เข้าใจง่าย, มีปฏิสัมพันธ์ และรีวิวที่น่าเชื่อถือจากผู้เชี่ยวชาญ ขณะที่ Shopee ครองใจการซื้อสินค้าออนไลน์ ตามด้วย Lazada และ TikTok ส่วนสินค้ายอดนิยม ได้แก่ สกินแคร์, อาหาร, แฟชั่น, เครื่องสำอาง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยปัจจัยตัดสินใจซื้อ คือ ส่งฟรี, โปรแรง, ความคุ้มค่า ไม่ใช่แค่ราคาถูกที่สุด
เนสท์เล่ฯ ฟ้องกลับ ‘มหากิจศิริ’ เรียก 577 ล.บาท ค่าเสียหายหยุดขาย8 วันในไทย
เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ได้มีนัดไกล่เกลี่ย ระหว่างคู่กรณี จากการที่บริษัทในเครือ เนสท์เล่ เอส. เอ. ที่สวิตเซอร์แลนด์ในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้า เนสกาแฟ และเนสท์เล่ ไทย ในฐานะผู้ได้รับสิทธิใช้เครื่องหมายการค้าเนสกาแฟในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว ได้ยื่นฟ้องนายประยุทธ มหากิจศิริ และนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ จากการกระทำที่กระทบสิทธิในเครื่องหมายทางการค้าเนสกาแฟ โดยเนสท์เล่เรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 577 ล้านบาท ซึ่งคำนวณจากค่าเสียหายจากการที่เนสท์เล่ต้องหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟไป 8 วัน ซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวยืนยันว่า เนสท์เล่ ไทย เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafe” และ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้มาศาลเพื่อร่วมขั้นตอนไกล่เกลี่ย โดยนายเฉลิมชัย มหากิจศิริและตัวแทนของเนสท์เล่ ไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ จึงให้คู่ความเข้ากระบวนการพิจารณาคดีและกำหนดประเด็นข้อพิพาทต่อไปในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นี้ ก่อนหน้านี้ เนสท์เล่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกกิจการบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด(QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายได้รับส่วนแบ่งสินทรัพย์ของตนและสามารถนำสินทรัพย์ดังกล่าวไปลงทุนตามความต้องการของตนเองได้ เนื่องจากกรรมการบริษัทและผู้ถือหุ้นไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของบริษัท QCP และบริษัท QCP ได้หยุดการดำเนินงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นมา นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังได้ขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีหรือผู้จัดการทรัพย์สินเพื่อทำหน้าที่ดูแลภาระทางการเงินของบริษัท QCP และปกป้องทรัพย์สินของบริษัท จนกว่าศาลจะมีคำตัดสินเกี่ยวกับการเลิกกิจการบริษัท QCP โดยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้สืบพยานฝ่ายโจทก์จำนวน 3 ปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และศาลได้นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยในวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ เนสท์เล่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ให้การเลิกกิจการบริษัท QCP เป็นไปอย่างราบรื่น และลดผลกระทบที่อาจมีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยเนสท์เล่ยังคงเป็นบริษัทที่รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดของไทย และจะเดินหน้าลงทุนเพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย ระหว่างปี 2533 ถึง 2567 ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศไทยเคยผลิตโดยบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ โดยนายประยุทธ และนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ไม่ใช่เจ้าของเนสกาแฟ แต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นในโรงงาน QCP ส่วนแบรนด์เนสกาแฟและเทคโนโลยีการผลิตที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นของเนสท์เล่ และเนสท์เล่เป็นผู้บริหารงานบริษัท QCP ทั้งหมดด้วยตนเองมาโดยตลอด Alternat-X สรุปให้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญานัดไกล่เกลี่ยคดีระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ กรณีใช้เครื่องหมายการค้า “เนสกาแฟ” เนสท์เล่เรียกร้องค่าเสียหาย 577 ล้านบาทจากการหยุดขาย 8 วัน ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลนัดพิจารณาคดีต่อในวันที่ 9 มิ.ย. 2568 เนสท์เล่ยังยื่นขอเลิกกิจการ QCP บริษัทร่วมทุนกับตระกูลมหากิจศิริ หลังหยุดดำเนินการตั้งแต่ต้นปี ยืนยันสิทธิในแบรนด์-เทคโนโลยี “เนสกาแฟ” เป็นของเนสท์เล่แต่เพียงผู้เดียว
‘มิดเยียร์ เซล’ ระดับชาติแมปเมืองไทย ปลายทางช้อปโลก หนุนนทท.เปย์หนักดัน ‘Tourist Mall’ โต
เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่ม 1,000 ล.บาทจัดแคมเปญ “Summer Grand Sale 2025” มหกรรมมิดเยียร์เซลล์ระดับชาติ รับเทรนด์ ‘Loud Budgeting’ คนรุ่นใหม่เจนฯZ ใช้จ่ายอย่างมีความหมาย ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร (มิกซ์ยูส) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล กล่าวว่า เซ็นทรัลพัฒนา วางแนวทางร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านกิจกรรมการตลาดภายใต้แคมเปญระดับชาติตลอด 16 ปีที่ผ่านมา อาทิ ในช่วงโควิด-2019 ในแคมเปญ ‘ช้อปช่วยชาติ’ อีกหนึ่งคีย์ ไดร์ฟเวอร์ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงโลว์ซีซั่นและช่วยฟื้นฟูประเทศ ล่าสุด บริษัทฯร่วมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Global Shopping Destination ที่แข่งขันได้ทั้งในเอเชียและเวทีโลก ด้วย Midyear Sale Campaign พร้อมลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ร่วมกับพันธมิตรกลุ่มเซ็นทรัล, เอกชนและภาครัฐ จัดแคมเปญ ‘Summer Grand Sale 2025” ประจำกลางปีมีสินค้าครบทุกหมวด รวมกว่า 28,000 แบรนด์ และ 12,000 ร้านค้า ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลก ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้จ่ายมากกว่าที่เคย โดยมีเทรนด์ระดับโลกอย่าง ‘Loud Budgeting’ ที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม Gen Z และคนรุ่นใหม่ ซึ่งเลือกใช้เงินอย่างมีเป้าหมาย โชว์ความคุ้มค่า “กระแสดังนี้ยังสอดคล้องกับแคมเปญSummer Grand Sale 2025 ของเซ็นทรัลพัฒนา โดยมุ่งให้เป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศผ่านพลังของค้าปลีก การท่องเที่ยว และการจับจ่ายของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งต้องการจุดกระแสการใช้จ่ายให้เกิดขึ้นจริง พร้อมชวนคนไทยออกมาช้อปอย่างคุ้มค่า เพื่อช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้” โดยแคมเปญฯ นี้ คาดว่าจะสามารถสร้างทราฟฟิกทั่วประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 25–30% ในช่วงไตรมาส 2–3 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นตัวและหวังให้ส่วนหนึ่งในภาคการท่องเที่ยว และการหมุนเวียนรายได้ในทุกภูมิภาคเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Top of Mind Shopping Destination ของเอเชีย เป็นจุดหมายปลายทางนักช้อป สำหรับแคมเปญ ‘SUMMER GRAND SALE 2025’ #ช้อปดีชีเสิร์ฟที่เซ็นทรัล ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. – 13 ก.ค. 2568นี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ, เอสพละนาด รัชดาภิเษก, กลุ่มเซ็นทรัล และเซ็นทรัล รีเทล นำโดย ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ในเครือเซ็นทรัล รีเทล, เซ็นทรัลออนไลน์ (เซ็นทรัลแอป), ซูเปอร์สปอร์ต, เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป (CMG), ท็อปส์ ฟู้ด ฮอล์, ท็อปส์, ท็อปส์แคร์, โก โฮลเซลล์, เพาเวอร์บาย, ออฟฟิศเมท, บีทูเอส, ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์, เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา, โรงแรม โก โฮเทล, ยูบิลลี่ ไดมอนด์, อีโวลท์ เทคโนโลยี, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, เอส เอฟ ซีเนม่า และ The 1 พร้อมด้วยพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน, บัตรเครดิตอิออน, บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ, บัตรเครดิตคาร์ดเอกซ์ และบัตรเครดิตไทยพาณิชย์, บัตรเครดิตธนาคารออมสิน, บัตรเครดิตกสิกรไทย, บัตรเครดิต กรุงศรี, บัตรเครดิตเคทีซี และบัตรเครดิต ทีทีบี (บัตรเครดิตทีเอ็มบี บัตรเครดิตธนชาต) Alternate-X สรุปให้ เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท จัด “Summer Grand Sale 2025” แคมเปญมิดเยียร์เซลล์ระดับชาติ ตอบรับเทรนด์ ‘Loud Budgeting’ คนรุ่นใหม่เน้นใช้จ่ายอย่างมีเป้าหมายและคุ้มค่า จับมือพันธมิตรภาครัฐ-เอกชน รวม 28,000 แบรนด์ และ 12,000 ร้านค้า กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังผ่านพลังช้อปปิ้งและท่องเที่ยว ตั้งเป้าดึงทราฟฟิกทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 25–30% พร้อมผลักดันไทยสู่ Global Shopping Destination
เทรนด์ความงามมาแรง ‘ดูแลผิว’ แบบไม่ผ่าตัด ‘ผู้ชาย-สูงวัย’ ลูกค้าใหม่เติมอุตฯบิวตี้ 7.5 หมื่นล.
เศรษฐกิจชะลอตัว แต่อุตฯความงามปีนี้ยังแตะ 7.5 หมื่นล้านบาท ได้ลูกค้าใหม่ ‘ผู้ชาย-สูงวัย’ เข้ามาเติมตลาด วอนเทค เอเชีย ย้ำ ‘Oligio’ โปรแกรมความงามจากเกาหลีเจาะเทรนด์สกินแคร์ดูแลผิวแบบไม่ผ่าตัดในไทย ไอแซค จาง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วอนเทค เอเชีย จำกัด ผู้ใหบริการนวัตกรรมความงาม และการแพทย์จากประเทศเกาหลีใต้ โปรแกรมกระชับผิวหน้าและลำคอ Oligio (โอลิจิโอ้) เปิดเผยว่า ข้อมูลจาก ‘ttb analytics’ ระบุ อุตสาหกรรมความงามในปี 2025 คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดประมาณ 75,000 ล้านบาท เติบโต 2.7% จากปี 2024 โดยมีกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เช่น ผู้ชายและผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันเริ่มหันมาใส่ใจการดูแลรูปลักษณ์มากขึ้น “อุตสาหกรรมความงามของไทยได้การยอมรับว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีศักยภาพสูงในปี 2025 โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา” ขณะที่ ภาพรวมตลาดความงามของไทยในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์และบริการที่ไม่ต้องผ่าตัด (non-invasive) ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาวิธีการดูแลตัวเองที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ1 จากแนวโน้มดังกล่าว ล่าสุดบริษัทฯ วางแผนการตลาดเชิงรุกในไทยจัดงาน ‘The Way of Lift with Oligio’ พร้อมให้ความรู้เทรนด์ความงาม ‘The Ordinary Natural’ Look จากผู้เชี่ยวชาญ ‘แพทย์หญิงวรนรี วินะยานุวัติคุณ’ เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปปรับให้สวยในแบบธรรมชาติได้ ขณะเดียวกันยังได้ปิดตัวสองพรีเซนเตอร์ตัวท็อประดับประเทศ ‘บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล’ และ ‘พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร’ มาร่วมถ่ายทอด สะท้อนตัวตน สู่ The Best Version of You ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้า สยามพารากอน ไอแซค กล่าวว่า สำหรับ สองพรีเซ็นเตอร์คู่ดังกล่าว เพื่อย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ภายใต้แนวคิด ‘The Best Version of You’ ถ่ายทอดถึงกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุดแบบธรรมชาติ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น พร้อมเสริมต่อ ทิศทางการดำเนินธุรกิจบริษัทฯ มุ่งให้ความสำคัญด้าน Skin Quality โดยใช้งบลงทุนด้านวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยี ราว 70% เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และตอบโจทย์ลูกค้าและแพทย์ด้านสกินแคร์ และอีก 30% ใช้ในการทำตลาดให้มีประสิทธิภาพ รอบด้าน ปัจจุบัน Oligio มีให้บริการแล้วกว่า 400 คลินิกทั่วประเทศ โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และในสิ้นปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายการเติบโตทางธุรกิจ เพิ่มขึ้นอีก 100% หรือแตะที่ 800 ล้านบาท เพื่อตอบรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจน โดยไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน Alternate-X สรุปให้ แม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่อุตสาหกรรมความงามปี 2025 ยังเติบโต คาดแตะ 75,000 ล้านบาท โดยมีลูกค้าใหม่คือผู้ชายและผู้สูงวัย โดย ‘Oligio’ ยังมุ่งนำเสนอนวัตกรรมกระชับผิวจากเกาหลี เจาะเทรนด์ดูแลผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ ‘บิวกิ้น-พีพี’ ถ่ายทอดแนวคิด ‘The Best Version of You’ โดยแนวทางบริษัทเน้นลงทุน 70% ในวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านคุณภาพผิว พร้อมตั้งเป้าขยายรายได้แตะ 800 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2568 ผ่านเครือข่ายคลินิกทั่วไทย