Skip to content

alternate-x

  • Home
  • What’s Up
  • About Us

3 ปัจจัยเสี่ยงฉุดอสังหาฯไทยปี68 หลัง2 เดือนแรกยอดโอนติดลบ 13% แต่ ‘ภูเก็ต’ ยืนหนึ่ง โตเดี่ยว

BizKet

อสังหาฯไทย ในปี68 ยังเหนื่อยอยู่ เหนื่อยต่อ ซัพพลายล้นรอระบายไม่ต่ำกว่า 3 ปี สวนดีมานด์ซึม-กำลังซื้อแผ่ว   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 หดตัวต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 3 สะท้อนจากตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย (อ้างอิง REIC) ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค. – ก.พ.) ยังคง “ติดลบถึง 13%“ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน (YoY) ดังนี้   ปี 2568 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 38,824 หน่วย ปี 2567 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 44,635 หน่วย   ขณะที่ หลายจังหวัดใหญ่ มียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงเช่นกัน ยกเว้น ‘ภูเก็ต’ ที่ยังเติบโตได้ดี โดยพบว่า   กทม. และปริมณฑล จำนวน 17,727 หน่วย ลดลง -14.6% ชลบุรี จำนวน 3,931 หน่วย ลดลง -9.6% เชียงใหม่ จำนวน 1,696 หน่วย ลดลง -10.7% ภูเก็ต จำนวน 1,272 หน่วย เพิ่มขึ้น +8.5% ระยอง จำนวน 1,226 หน่วย ลดลง -3.4%   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ปี 2568 หดตัว -15.2% (YoY) แม้จะมีมาตรการรัฐ ทว่าตลาดเผชิญแรงกดดันจากกำลังซื้อแผ่วลง สวนทางซัพพลายที่ยังมีสูง   อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยสนับสนุน และปัจจัยกดดัน 3 ประการ ดังนี้   ปัจจัยบวก   1.มาตรการการลดค่าธรรมเนียมที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท (22 เม.ย. 68 – 30 มิ.ย. 69) ค่าจดจำนอง จาก 1% เหลือ 0.01% ค่าโอนกรรมสิทธิ์ จาก 2% เหลือ 0.01%   มาตรการผ่อนคลาย LTV ทุกสัญญา โดยซื้อบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไปไม่ต้องวางเงินดาวน์ กู้เต็มได้ 100% (1 พ.ค. 68 – 30 มิ.ย. 69)   อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง   ปัจจัยเสี่ยง   ความต้องการที่อยู่อาศัยยังซบเซา จากกำลังซื้อและหนี้สูง   เหตุการณ์แผ่นดินไหวกระทบดีมานด์ความต้องการคอนโดตึกสูงบางโครงการ   ซัพพลายเหลือขายของที่อาศัยมีมากกว่า 300,000 หน่วย ต้องใช้เวลาระบายอย่างต่ำ 3 ปี Alternate-X สรุปให้  อสังหาฯ ไทยปี 2568 ยังเผชิญแรงกดดัน ยอดโอน 2 เดือนแรกติดลบ 13% ซัพพลายล้นตลาดกว่า 300,000 หน่วย ใช้เวลาเคลียร์ไม่ต่ำกว่า 3 ปี กำลังซื้อหด ความต้องการซบ ภาพรวมเข้าสู่ปีที่ 3 ของการชะลอตัว ‘ภูเก็ต’ เป็นจังหวัดเดียวที่เติบโตสวนทางตลาด เพิ่มขึ้น 8.5% แม้รัฐออกมาตรการกระตุ้น แต่ยังมี 3 ปัจจัยเสี่ยงฉุดตลาดฟื้นตัว

May 12, 2025 / 0 Comments
read more

ไมโครซอฟท์ ครบ 50ปี กับแผน 20 ปีหน้า ‘บิล เกตส์’ ยกมรดกกว่า 2 แสนล.ดอลลาร์ให้มูลนิธิ

BizKet

คนที่ตายโดยยังร่ำรวยอยู่ คือ คนที่ตายอย่างน่าอับอาย วรรคทองที่ทำให้ ‘บิล เกตส์’ ยกมรดก99% ให้มูลนิธิฯ ใช้ 3 เรื่องหลัก ก่อนปิดตัวถาวรในปี 2045   ‘Bill Gates” (บิล เกตส์) มหาเศรษฐีโลกติดอันดับโลกเบอร์ต้นๆ ถึงในปัจจุบัน (เดือน พ.ค. 68) เขามีทรัพย์สินราว 1.08-1.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.9-4.1 ล้านล้านบาท   ล่าสุด ‘เกตส์’ ประกาศยกทรัพย์สิน 99% ให้กับมูลนิธิ Gates Foundation ภายใน 20 ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้าใช้จ่ายมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 20 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จากที่เคยบริจาคมา 1 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วง 25 ปีมานี้ เพื่อหวังแก้ไขปัญหาสุขภาพและความยากจนทั่วโลก   หลังจากนั้นมูลนิธิจะปิดตัวลงอย่างถาวรในปี 2045   เกตส์ กล่าวว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจจากบทความ The Gospel of Wealth ของ Andrew Carnegie ที่กล่าวว่า ‘คนที่ตายโดยยังร่ำรวยอยู่ คือคนที่ตายอย่างน่าอับอาย’   เกตส์ไม่ต้องการให้คำว่า ‘เขาตายทั้งที่ยังรวย’ เป็นสิ่งที่คนจดจำ นำมาสู่แผนบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดในวันนี้ โดย เป้าหมาย 20 ปี ของมูลนิธิจะเน้นไป 3 ส่วนหลัก ได้แก่   1.ยุติการเสียชีวิตของแม่และเด็กจากสาเหตุที่ป้องกันได้   ลดการตายของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีลงอีกครึ่ง ส่งเสริมโภชนาการ การดูแลแม่ตั้งครรภ์ และเข้าถึงวัคซีนที่จำเป็น   2.สร้างโลกที่ปลอดจากโรคติดเชื้อร้ายแรง   ตั้งเป้ากำจัดโรคโปลิโอ มาลาเรีย และหัด สนับสนุนนวัตกรรม เช่น ยีนบำบัด HIV และวัคซีนวัณโรคใหม่ ลดต้นทุนให้ยารักษาเข้าถึงได้ในประเทศยากจน   3.ยกระดับคนหลายร้อยล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจน   เน้นด้านการศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนรัฐของสหรัฐฯ สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยด้วยเมล็ดพันธุ์ทนภัยแล้งและมีสารอาหารมากขึ้น พัฒนาเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรหญิง   ขณะที่ เกตส์ ยังมองเห็นข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการ มาจากสาเหตุหลายประการ เช่น การสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งของสหรัฐฯ และยุโรป กำลังลดลง, ประเทศในแอฟริกาบางแห่งใช้งบจ่ายหนี้มากกว่างบสาธารณสุข   โดยเขายืนยันว่า มูลนิธิจะยังคงช่วยเหลือประเทศยากจนให้ลุกขึ้นได้ด้วยตัวเอง   เกตส์ กล่าวว่า ต้นแบบการเป็นผู้ให้ของเขาล้วนได้รับอิทธิพลมาจากคนรอบข้าง   ‘แม่’ เป็นคนปลูกฝังแนวคิดเรื่องการ ‘ตอบแทนสังคม’ ให้เขา เธอเชื่อว่า ‘เมื่อเรามีมาก เราก็มีหน้าที่มาก’ และสอนให้เกตส์เข้าใจว่าทรัพย์สินที่เขามี เป็นสิ่งที่เขามีหน้าที่ดูแล ไม่ใช่ครอบครองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว   ‘พ่อ’ ถือเป็นผู้วางรากฐานค่านิยมของมูลนิธิ เขาเป็นคนทำงานร่วมกับคนอื่นเก่ง รอบคอบ และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ 3 คุณสมบัตินี้ยังคงเป็นหัวใจของทุกอย่างที่เราทำจนถึงวันนี้ ทุกปี เรามีรางวัล ‘Bill Sr. Award’ ให้กับพนักงานที่สะท้อนค่านิยมของเขามากที่สุด   ขณะที่ ‘Chuck Feeney’ ก็เป็นฮีโร่ของเกตส์อีกคน เขาเชื่อว่า คนรวยควรบริจาคในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แนวคิดนี้ส่งผลต่อมุมมองเรื่องการกุศลของเกตส์อย่างมาก   ต่อ การประกาศแผนวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของ ‘บทสุดท้าย’ ในอาชีพของผม ซึ่งผมมาไกลจากวันที่เริ่มก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์กับเพื่อนตอนเป็นเด็กนักเรียน และในปีที่ Microsoft ครบรอบ 50 ปี ผมคิดว่าเป็นช่วงเหมาะสมดีที่ผมจะฉลอง ”ด้วยการคืนทรัพยากรที่ผมหาได้จากบริษัทนั้นกลับคืนให้กับโลก บิล เกตส์ กล่าวทิ้งท้าย   Alternate-X สรุปให้    บิล เกตส์ ประกาศบริจาคทรัพย์สิน 99% ให้มูลนิธิ Gates Foundation ภายใน 20 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าใช้เงินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ ยากจน และการศึกษา มูลนิธิจะเน้นลดการตายของแม่และเด็ก กำจัดโรคติดเชื้อ และลดความเหลื่อมล้ำ เกตส์ได้รับแรงบันดาลใจจากแม่ พ่อ และ Chuck Feeney ผู้เชื่อในการให้ในขณะยังมีชีวิตเขาย้ำว่านี่คือ “บทสุดท้าย” ของชีวิตการทำงาน — คืนทรัพย์สินคืนโลกที่สร้างเขามา ภาพปก ขอบคุณ Wallpaper Cat 

May 11, 2025 / 0 Comments
read more
การศึกษาในอนาคต

ตลาดการศึกษาไทย จะปรับตัวยังไง? เมื่อเด็กเกิดใหม่ลด-ใบปริญญาไม่สำคัญเท่าทักษะใหม่

BizKet

แนวโน้มเด็กเกิดใหม่ลดลงทั่วโลก ที่มีผลต่อหลายธุรกิจนับจากนี้ไป ทำให้ตลาดการศึกษาในไทย ทั้งรัฐและเอกชนต่างปรับตัวเพื่อผลิต ‘คน’ มารองรับแรงงานแห่งอนาคต   สอดคล้องกับ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เผยข้อมูลประชากรไทย ปี 2567 มีรวมทั้งสิ้น 65,951,210 คน พร้อมระบุอัตราการเกิดของประชากร มีตัวเลขอยู่ที่ 462,240 คน ถือว่าต่ำกว่า 5 แสนคน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 มีแนวโน้มการเกิดที่สูงขึ้นราว 519,000 กว่าคน   ด้าน พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า อัตราการเกิดของประชากรไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นแนวโน้มเดียวกับทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดใหม่ของปประชากรลดลงเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนในอาเซียนมีประเทศสิงคโปร์ เช่นเดียวกัน   “แนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นความท้าทายประกาศสำคัญของการให้บริการทางการศึกษาทั้งในภาครัฐและเอกชน” พิเชฐ กล่าว   จากปัจจุบันมีโรงเรียนราว 30,000 แห่งในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ส่วนระดับอาชีวศึกษาหรือสายอาชีพ จำนวน 400 แห่ง และโรงเรียนขนาดเล็ก (มีจำนวนผู้เรียนราว 120 คน) ประมาณ 15,000 แห่ง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีแผนยุบจำนวนโรงเรียนในสังกัด สพฐ แต่จะมุ่งวางแผนใช้เทคโนโลยีต่างๆ เป็นเครื่องมือเพื่อพัฒนาทักษะต่างๆ ในระบบการศึกษาของไทย ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการบริการรูปแบบใดต่อไปในอนาคต   พิเชฐ กล่าวว่าที่ผ่านมา ศธ. ได้วางนโยบายสร้างโรงเรียนคุณภาพประจำอำเภอ ‘1 อำเภอ 1 แห่ง’ ให้ครอบคลุม 1,800 อำเอทั่วประเทศ ที่ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 900 อำเภอ เพื่อเป็นต้นแบบดึงดูดเด็กไทยให้เข้าถึงระบบการศึกษาคุณภาพใกล้บ้าน   สำหรับความร่วมมือระหว่าง ศธ.และ  didacta asia 2025 ในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเครือข่ายพันธมิตรนานาชาติทางการศึกษา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีบทบาทในอนาคตด้วย ภายใต้ 6 ความท้าทาย ดังนี้   1.การเรียน การสอน ในทุกที่ทุกเวลา ผ่านสื่อสมัยใหม่, 2บทบาทครูผู้สอนจะเปลี่ยนเป็นผู้กระตุ้นและอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดความต้องการเรียนรู้ จากเดิมที่เป็นผู้บอกเล่าถ่ายทอดความรู้, 3.การเข้ามาของเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทในระบบการศึกษามากขึ้น   4. แนวทางการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกกลุ่มวัย, 5.ทักษะด้านภาษา อาทิ จีน, อังกฤษและ สเปน ที่จะมีความเข้มข้นในระบบการศึกษาไทยมากขึ้น, 6. การเปลี่ยนผ่านสู่การเรียนการสอนที่ยั่งยืน หรือ กรีน เอ็ดดูเคชัน ที่ทั้งผู้เรียนและผู้สอนให้ความสำคัญด้านจริยธรรมและคุณธรรม ไปพร้อมกัน   “แนวทางเหล่านี้ จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการในระบบการศึกษาของคนรุ่นใหม่อาจมองว่าไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญา แต่จะต้องมีทักษะที่จำเป็นในการทำงานในอนาคต” พิเชฐ กล่าว   เรียนควบ Diploma ขยายตัว   ด้าน ผศ.ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รักษาการรองอธิการบดีจุฬาฯ และ เลขาธิการสมาคมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และเลขานุการสมาคมสถาบันการศึกษาขั้นอุดมแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศไทย (สออ.ประเทศไทย)  กล่าวว่า การเรียนรู้ตลอดชีวิต ‘long life learning’ เป็นแนวคิดสำคัญที่ผลักดันให้ ตลาดการศึกษาโดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัย ต่างๆในไทย ต่างเร่งปรับตัว เพื่อดึงดูดและเข้าถึงฐานกลุ่มผู้เรียนคนรุ่นใหม่ให้เกิดการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ในหลากหลายสาขา ทักษะวิชาชีพต่างๆที่ตนเองสนใจ โดยไม่จำกัดช่วงวัยเพื่อเข้ารับการศึกษา อีกต่อไป   “แนวโน้มคาดว่าตลาดการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย จะมีผู้สนใจเรียนในรูปแบบควบดิโพลม่า ประกาศนียบัตร ระหว่างคณะการศึกษ่าต่างๆ ที่ในปัจจุบันเริ่มมีมหาวิยาลัยบางแห่งได้นำคณะฯ พร้อมขยายหลักสูตรเพื่อนำรายวิชาการเรียนการสอน เปิดให้บริการรับผู้สนใจทั้งคณะอื่นๆ และจากภายนอกที่สนใจให้เข้ามาเรียนเพื่อเสริมทักษะใหม่ได้มากขึ้น”   อนึ่ง จากแนวโน้มดังกล่าว ผลักดันให้พันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนเครือข่ายการศึกาษานานาชาติ เตรียมการจัดงาน didacta asia 2025 งานมหกรรมการศึกษาและประชุมสัมมนา ครั้งที่ 2 ภายใต้แนวคิด Gateway to Tomorrow’s Education เพื่ออัปเดทเทคโนโลยีพร้อมสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา     Alternate-X สรุปให้  แนวโน้มเด็กเกิดใหม่น้อยลงส่งผลกระทบต่อระบบการศึกษาไทยทั้งรัฐและเอกชน ทำให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเน้นพัฒนาทักษะมากกว่าใบปริญญา รองรับแรงงานอนาคต การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น มหาวิทยาลัยเริ่มเปิดหลักสูตรควบประกาศนียบัตรเพื่อยืดหยุ่นในการเรียนรู้พร้อมจัดงาน didacta asia 2025 จะเป็นเวทีสร้างเครือข่ายการศึกษาเพื่ออนาคตของภูมิภาค    

May 11, 2025 / 0 Comments
read more

คนรุ่นใหม่ถูกใจสิ่งนี้ ลงทุนทองเริ่ม 100 บาทผ่านแอปฯ YLG แนะทำกำไรระยะสั้นรับผันผวน

BizKet

วายแอลจี มองราคาทองคำระยะสั้นผันผวนค่อนข้างสูง แนะนักลงทุนทำกำไรระยะสั้น ‘ทองไทย’ เคลื่อนไหวในกรอบ 51,200-53,200 บาท/บาททองคำ   นพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการสะสมทอง และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย   สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ด้วยสมาร์ตโฟน มีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง   โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold   ทองคำ เทขายทำกำไรระยะสั้น   นพวรรณ์ กล่าวว่า ขณะที่สถานการณ์ทองคำช่วงก่อนปลายสัปดาห์ โดยเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นวันที่สองที่ทองคำถูกแรงขายทำกำไรในระยะสั้นสลับเข้ามากดดัน หลังจากที่เริ่มเกิดกระแสข่าวและความคาดหวังถึงการเจรจาทางการค้า   โดยเฉพาะสหรัฐ-จีน ที่มีกำหนดมาเจรจากันที่สวิตเซอร์แลนด์สุดสัปดาห์นี้ พร้อมส่งตัวแทน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ส่วนทางจีนส่ง เหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีมาเป็นตัวแทน   พร้อมกับ ‘โดนัลด์ ทรัมป์” ปธน.สหรัฐฯ ได้โพสต์ Truth Social ถึงการจัดแถลงข่าวในเวลา 10.00 น. (เวลาไทย 21.00 น.) เกี่ยวกับ “ข้อตกลงการค้าที่สำคัญกับประเทศขนาดใหญ่”  โดยสื่อตีข่าวว่าเป็นสหราชอาณาจักร   อย่างไรก็ตาม การเจรจาทางการค้าดังกล่าว ไม่อาจกลับมาสงบลงได้ทุกประเทศทั่วโลกในระยะเวลาสั้นๆ  ดังนั้น วายแอลจี จึงประเมินว่าแม้ระยะสั้นทองคำจะเริ่มถูกขายทำกำไรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในระยะกลางการเจรจาจะยังดำเนินการไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป   อาทิ ระหว่างสหรัฐ-จีน ที่กำลังจะเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ช่วงสุดสัปดาห์ อาจมีการผ่อนปรนภาษีที่เคยตอบโต้กับไปมาในอัตราที่สูงเกิน 100% ลงมาบ้างเพื่อเป็นการเปิดทางนำไปสู่การเจรจาขั้นถัดไป  และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีฝ่ายใดที่ยอมแสดงความอ่อนข้อลง จากเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จีน เผยว่า สหรัฐเป็นฝ่ายติดต่อเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทาง “ทรัมป์” กลับได้กล่าวในวันนี้ว่า จีนเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาระหว่างสองชาติ ไม่ใช่สหรัฐอย่างที่จีนกล่าวอ้าง     ทองไทย ลุ้น 56,000–57,500 บาท   ดังนั้น วายแอลจีจึงมองว่าการพักตัวของราคาทองคำจะไม่ได้ลงลึก เนื่องจากในท้ายที่สุดแล้วก็จะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจโลกไม่มากก็น้อย  และในทางกลับกัน หากการเจรจาระหว่างสหรัฐกับจีนไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จะกลับมากระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง   โดยแม้ว่าปีนี้ทองคำจะเคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์แล้ว แต่มองว่าเมื่อจบรอบการพักฐาน จะมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบได้อีกครั้ง  โดยหากการปรับตัวขึ้นครั้งถัดไปสามารถทำระดับสูงสุดใหม่ได้ จะมีเป้าหมายในปีนี้ที่ 3,600-3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์   ส่วนทองคำแท่งในประเทศหากผ่าน 54,400 บาทต่อบาททองคำได้ จะมีโอกาสขึ้นทดสอบเป้าหมายระยะยาวที่ 56,000–57,500 บาทต่อบาททองคำ    อย่างไรก็ดีการแกว่งตัวของราคาทองคำในตลาดโลกครั้งนี้ อาจสร้างแรงกดดันให้กับทองไทยมากกว่าทองโลก เนื่องจากค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทองคำในช่วงนี้ระยะสั้นสามารถหาจังหวะทำกำไรจากการเข้าซื้อขายภายในกรอบ โดยมองกรอบแนวรับ 3,320-3,292 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้าน 3,400-3,415 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนทองไทยมองเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 51,650-51,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์  และกรอบแนวต้าน 52,900-53,200 บาทต่อบาททองคำ   โดยนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่มีเงินลงทุนเริ่มต้นจำกัด YLG ได้เปิดให้บริการ Gold Wallet บริการซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ด้วยราคาเรียลไทม์ ซื้อขายทองต่อครั้งด้วยขั้นต่ำ 0.1 ออนซ์ สูงสุดแบบเต็มเพดาน ได้สูงสุดถึง 700 ออนซ์ หรือ 20 กิโลกรัม   Alternate-x สรุปให้   รiาคาทองผันผวน วายแอลจีแนะเทรดสั้นทำกำไรในจังหวะขึ้นลง ชี้ช่องคนรุ่นใหม่เริ่มลงทุนทองได้ง่ายผ่านแอปฯ ด้วยเงินแค่ 100 บาท ผ่านแอป Get Gold by YLG ซื้อ-ขายทองแบบเรียลไทม์ 24 ชม. ส่วนสายลงทุนระยะยาวแนะนำใช้วิธี DCA สะสมทองทีละน้อย คาดราคาทองยังมีแนวโน้มขึ้น หากเจรจาการค้าโลกไม่คืบหน้า

May 9, 2025 / 0 Comments
read more

พอร์ตโรงแรม AWC รุ่ง นทท.จ่ายห้องกว่า6 พันบ./คืน เปิดแม่เหล็กใหม่เอเชียทีคฯ Jurassic World

BizKet

พอร์ตโฟลิโอ AWC โต 2 เท่าจากปี 2562 มูลค่าสินทรัพย์Q1/68 ที่ 209,374 ล. หลังเติม 3 โครงการใหม่ห้องพักเพิ่ม 10% สร้างกระแสเงินสดเสริมรายได้ทันที   วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์โรงแรม, อาคารสำนักงาน, ค้าปลีก เปิดเผย ผลดำเนินงานAWC ไตรมาส 1 ปี 2568 มีรายได้รวม 6,191 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% (YoY) มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3% (YoY) และมีกำไรสุทธิ 1,969 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% (YoY)   พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้นจากผลการดำเนินงานปี 2567 ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 อัตรา 0.075 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนหน้า ตามแผนการเติบโตต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์การเร่งผลักดันศักยภาพของทรัพย์สินเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและยั่งยืน     ขณะที่พอร์ตโฟลิโอ AWC มีอัตราเติบโตก้าวกระโดด 2 เท่าจากปี 2562 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวม (Gross Asset Value) โดยสิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ 209,374 ล้านบาท เพิ่ม 3 โครงการเข้าพอร์ต คือ   โรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย การลงทุนในโครงการเวิ้งนครเกษม เยาวราช โครงการเลอ คองคอร์ด รัชดาฯ เพื่อพัฒนาเป็น Jubilee Prestige Tower ที่มีทั้งสำนักงานและโรงแรม เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก   “นับเป็นไตรมาสที่สร้างการเติบโตก้าวกระโดดด้วยจำนวนห้องกว่า 641 ห้อง เพิ่มขึ้น 10% สร้างกระแสเงินสดทันทีเสริมผลประกอบการ” วัลลภา กล่าว พร้อมเสริมว่า   สำหรับ กลุ่มโรงแรมดึงจุดแข็งเสริมพลังพันธมิตรทั่วโลก พานักท่องเที่ยวคุณภาพด้วยรายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) เติบโตโดดเด่นต่อเนื่องที่ 6,663 บาทต่อคืน เพิ่มขึ้น 5.8% (YoY) พร้อมอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้นสร้างนิวไฮต่อเนื่อง   นอกจากนี้ AWC ยังเตรียมเปิดโครงการใหม่รับกลุ่มครอบครัวที่โรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา และตามด้วย Jurassic World: The Experience ครั้งแรกของโลกที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก     Alternate-X สรุปให้  AWC โชว์กำไรไตรมาส 1/2568 พุ่ง 1,969 ล้านบาท (+23% YoY) พร้อมปันผลเพิ่ม 50% เป็น 0.075 บาท/หุ้น มีรายได้รวม 6,191 ล้านบาท (+13.6% YoY) จากการขยายพอร์ตทรัพย์สินมูลค่า 209,374 ล้านบาท (+2 เท่าจากปี 2562) พร้อมเพิ่ม 3 โครงการใหม่ ได้แก่ โรงแรม มีเลีย พัทยา, Jubilee Prestige Tower (JW Marriott) และโครงการ เวิ้งนครเกษม ขณะที่ กลุ่มโรงแรมเติบโตแข็งแกร่ง ด้วย ADR 6,663 บาท/คืน (+5.8% YoY) และอัตราการเข้าพักพุ่ง พร้อมเปิด 2 โครงการ โรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ต และ Jurassic World: The Experience ที่ เอเชียทีค ดึงนักท่องเที่ยวระดับโลก    

May 9, 2025 / 0 Comments
read more

เคเอฟซี มีเซอร์ไพรส์ อิ่มไก่แล้วแจกของอีก ขนกลับได้หมด ชาม ช้อน เก้าอี้ ในร้าน

BizKet

เคเอฟซี ไทย กับกลยุทธ์การตลาดผ่านประสบการณ์เข้าถึงเจนฯใหม่สายแชร์สายไวรัล กินไก่อิ่มกันแล้วเอาของในร้านกลับบ้านด้วย 10 พ.ค.วันเดียวสาขาเดียว ‘ศรีสมาน’    ซูเฮล ลิมบาดะ Market Lead & Chief Marketing Officer KFC ประเทศไทย ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) เคเอฟซี (KFC) เปิดเผยว่า KFC ตอกย้ำแบรนด์ไก่ทอดอันดับหนึ่งด้วยบุคลิกให้ทั้งความอร่อย และ ประสบการณ์ความสนุก ตื่นเต้น เพื่อสร้างการจดจำในผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่   ล่าสุด เคเอฟซี จัดกิจกรรมการตลาดแคมเปญพิเศษครั้งใหญ่ ผ่านเมนูคุ้มค่าพร้อมกิจกรรมให้ลูกค้าร่วมสนุกและรับของสมนาคุณกลับบ้านกับกิจกรรม ‘โปรอิ่มคุ้มที่สุดที่คุณเคยเจอ’ ที่ KFC สาขาโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ศรีสมาน ในวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2568 นี้เท่านั้น   “หลังจากเปิดตัว โปรโมชันชุดอิ่มคุ้ม ในราคาเริ่มต้นเพียง 69 บาท พร้อมจัดแคมเปญฯ ครั้งนี้ KFC เสิร์ฟทั้งรสชาติความอิ่มท้องพร้อมให้ลูกค้าได้เลือกของสมนาคุณเอง ให้ขนกลับบ้านแบบไม่มีกั๊ก! กับโปรโมชันอิ่มคุ้มที่สุดที่คุณเคยเจอ อิ่มไก่แถมได้ของกลับ ใครอยากได้อะไร ของชิ้นไหน มาขนกลับบ้านไปได้เลยที่ KFC สาขาโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ศรีสมาน วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม วันเดียวเท่านั้น” ลิมบาดะ กล่าว   นอกจากนี้ ของสมนาคุณในครั้งนี้ยังมีความพิเศษไม่ใช่ของพรีเมี่ยมธรรมดาทั่วไป แต่เป็นแบบเดียวกับข้าวของเครื่องใช้ในร้าน KFC และหาไม่ได้จากที่ไหน ทั้ง เก้าอี้, ร่มผ้าใบ, ถาดเสิร์ฟอาหาร, เสื้อกันฝน, หมวกพนักงาน, ซอสพริกและซอสมะเขือเทศ ฯลฯ ซึ่งเป็นของใหม่ทั้งหมด ที่ผู้พันตั้งใจมอบเป็นของขวัญให้กับเหล่าคนคลั่งไก่ให้ได้มาร่วมสนุกกัน   ด้วยกติการ่วมสนุกง่าย ๆ เพียงซื้อชุดอิ่มคุ้ม 1, ชุดอิ่มคุ้ม 2, ชุดอิ่มคุ้ม 3 หรือชุดพอใจบักเก็ต ในราคาเริ่มต้นเพียง 69 บาท ที่หน้าร้าน KFC สาขาโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ศรีสมาน   จากนั้นนำใบเสร็จไปยื่นที่หน้าโซนกิจกรรม เพื่อเข้าสู่โซนของสมนาคุณสุดคุ้มจาก KFC เลือกของที่อยากได้มากที่สุด 1 ชิ้น ภายในเวลา 30 วินาที (1 ใบเสร็จสามารถแลกรับของสมนาคุณได้ 1 ชิ้น ต่อ 1 คนเท่านั้น) งานนี้ช้าไม่ได้แล้ว! กิจกรรมจัดขึ้นตั้งแต่เวลา 10.00 – 17.00 น. (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด)   สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของกิจกรรม พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษที่คุ้มค่ากว่าใคร และไม่พลาดทุกข่าวสารและกิจกรรมสนุกๆ จาก KFC Thailand ได้ที่ Facebook KFC Thailand, TikTok @kfcthailand, Instagram @kfcthailand และ X @KFCThailand   Alternate-X สรุปให้ KFC ประเทศไทย สร้างกระแสการทำตลาดผ่านประสบการณ์ดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ใช้ความแปลกใหม่ด้วยการให้ ‘ขนของในร้านกลับบ้าน’ เพื่อสร้างความตื่นเต้นและไวรัล ในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เจนฯซีและมิลเลนเนียล ที่ชอบประสบการณ์แชร์ได้ เพื่อย้ำแบรนด์สนุกและทันสมัย ใช้ของในร้านแจกเเป็นไอเทมเอ็กซคลูซีฟ หวังเพิ่มมูลค่าทางจิตใจ พร้อมกระตุ้นยอดขายช่วงสั้น เมนู ‘ชุดอิ่มคุ้ม’  

May 9, 2025 / 0 Comments
read more

UHG มองทำเลใหม่ ‘ไข่ขาว’ ขยายโรงแรมเดอะควอเตอร์-ออฟฟิศให้เช่า

BizKet

ซีอีโอ ‘UHG’ วางแผนขยายธุรกิจกับดีลใหญ่ในมือทำเล ‘ไข่ขาว’ ที่กำลังจะกลายเป็นขุมทรัพย์ใหม่อสังหาฯ ในอนาคต   วุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG เจ้าของและผู้พัฒนาโรงแรมแบรนด์ ‘เดอะ ควอเตอร์’ และอาคารสำนักงานแบรนด์ ‘ฮิลล์’ เปิดเผยว่า UHG ได้วางแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากปี 2568 นี้เป็นต้นไป โดยจะให้ความสำคัญในทำเล ‘ไข่ขาว’ หรือทำเลรอบใจกลางเมืองหรือทำเล ‘ไข่แดง’ เพื่อขยายธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงาน บนที่ดินเช่า ซึ่งเป็นกลยุทธ์การบริหารตามแนวถนัดของบริษัทฯ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา   สำหรับทำเลไข่ขาวดังกล่าวที่บริษัทฯ จะเลือกพัฒนาโครงการฯ จะประกอบด้วยจุดเด่น ดังนี้   ความสะดวกในการเดินทางคมนาคม โดยอยู่ใกล้หรือติดแนวรถไฟฟ้าสายเดิมและสายใหม่ที่จะแล้วเสร็จในอนาคต พร้อมเชื่อมต่อชุมชนรอบนอกกรุงเทพฯ บริเวณย่านใกล้เคียง (Neighborhood) สิ่งดึงดูด (Attraction) โดยรอบ เช่น สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารริมทาง (Street food) ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ ตลาดนัด สะท้อนการจับจ่ายของชุมชนในทำเลนั้นๆ ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า บริการซูเปอร์มาร์เก็ต และ ศูนย์อาหาร (Food Court)   “บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจากับเจ้าของที่ดิน 2 รายในทำเลที่น่าสนใจ คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนใน 2-3 เดือนนี้ จากนั้นพร้อมเริ่มพัฒนาโครงการได้ในทันที” วุฒิพล กล่าวพร้อมเสริมว่า   “แนวรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตลอดทั้งเส้นเป็นอีกหนึ่งทำเลไข่ขาวที่น่าสนใจ เช่นเดียวกับแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ถือเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ของ UHG ในอนาคตที่อยู่นอกซีบีดี ซึ่งเป็นทำเลไข่แดงของโครงการอสังหาฯ และมีซัพพลายโรงแรมจำนวนมากแล้วในปัจจุบัน”   ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้ใช้ราคาประเมินใหม่ เป็นปัจจัยเร่งให้เจ้าของที่ดิน อาคารสำนักงาน อพาร์ทเมนท์หรือโรงแรมที่เปิดมานานและไม่ได้มีการปรับปรุงตัดสินใจปล่อยเช่าที่ดินในทำเลรอบนอกเพื่อบริหารสภาพคล่องไว้ด้วยเช่นกัน   วุฒิพล กล่าวว่า บริษัทฯ วางงบลงทุนราว 1,500 ล้านบาทในปี 2569 เพื่อพัฒนาโครงการฯ ตามทำเลใหม่ที่วางไว้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงแรมภายใต้แบรนด์เดอะควอเตอร์และแบรนด์อื่น ๆ และพื้นที่สำนักงานให้เช่าภายใต้โครงการมิกซ์ยูสภายใต้แบรนด์ฮิลล์ รวมทั้งสิ้น 18 แห่ง เป็นห้องพักจำนวนกว่า 3,000 ห้อง และพื้นที่สำนักงานให้เช่ารวม 50,000 ตารางเมตร   ล่าสุดเมื่อต้นปีนี้ ได้เปิดโรงแรมแห่งใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ เดอะ ควอเตอร์ สะพานควาย จำนวน 200 ห้อง ซึ่งใช้งบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ปรับปรุงโฉมใหม่ของโรงแรมกานต์มณีพาเลซ – KAYAK บริเวณซอยประดิพัทธ์ 15 ซึ่งได้เช่ามาจากเจ้าของเดิมระยะเวลา 30 ปี อีกแห่ง ซึ่งเปิดเมื่อช่วงสงกรานต์ คือ โรงแรมเดอะ ควอเตอร์ รามคำแหง จำนวน 338 ห้อง ซึ่งใช้งบลงทุนราว 1,800 ล้านบาท   ขณะเดียวกันในปี 2568 นี้ บริษัทยังได้ปรับกลยุทธ์การทำการตลาดด้านการให้บริการธุรกิจโรงแรมเดอะควอเตอร์ ครั้งใหญ่เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมาย นักเดินทางต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มชาวยุโรป ที่จองเข้าพักเพื่อท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น ซึ่งเห็นสัญญาณชัดมาต่อเนื่องจากปลายปีจนถึงในช่วงต้นปีนี้ที่ผ่านมา ซึ่งทดแทนกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่หายไปจำนวนหนึ่ง จากหลายปัจจัยลบที่กระทบต่อความเชื่อมั่นการท่องเที่ยวในไทย   โดย UHG ได้ปรับรูปแบบการให้บริการรอบด้าน ทั้งการปรับปรุงโรงแรมเดอะ ควอเตอร์ 9-10 แห่ง อาทิ ศาลาแดง, อารีย์, ร่วมฤดี, นานา, ทองหล่อ เป็นต้น ให้มีห้องพักสำหรับครอบครัว (Family Room) โดยรวมห้องขนาดแสตนดาร์ดหรือสตูดิโอและห้องแบบ 1 ห้องนอน บริเวณมุมในแต่ละชั้นของโรงแรม และเพิ่มประตูใหญ่ เพื่อขยายโซนดังกล่าวให้กลายเป็นห้องแบบ 2 ห้องนอนสำหรับครอบครัว   นอกจากนี้ ยังได้เพิ่ม ซอฟต์ เซอร์วิส ต่างๆ อาทิ บริการอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ทั้งเมนูและสัดส่วนอาหาร การเพิ่มกิจกรรมต่าง ๆ ฯลฯ เพื่อรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุโรป และความต้องการของกลุ่มครอบครัวที่นิยมพักผ่อนในห้องระยะยาว 4-7 คืนต่อทริป ขณะที่นักเดินทางเอเชียรวมทั้งคนไทยพักเฉลี่ยอยู่ที่ 1-2 คืนต่อทริป และเน้นออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ในสถานที่ท่องเที่ยวหรือช้อปปิ้ง มากกว่า   ปัจจุบันโรงแรมเดอะควอเตอร์ มีราคาห้องพักเฉลี่ย 1,800-3,000 บาทต่อคืน และมีอัตราการเข้าพัก (Occupancy) เฉลี่ยทั้งหมด 80% แบ่งสัดส่วนลูกค้าเป็นกลุ่มคนไทย 40% และชาวยุโรป 30% ส่วนที่เหลือ 30% เป็นกลุ่มประเทศสหรัฐอเมริกา, เอเชีย อาทิ จีน, ไต้หวัน และ เกาหลี รวมถึงประเทศต่างๆ ในอาเซียน   “ตอนนี้ เวียดนามกำลังแย่งตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งหากไทยไม่มีข่าวเชิงลบมาซ้ำเติมกับข่าวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คาดว่า นักท่องเที่ยวจีนจะมีแนวโน้มกลับมาไทยในกลางปีนี้ หรือในช่วงวันฉลองวันชาติจีนในเดือนตุลาคม” วุฒิพล กล่าว   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายโซนใหม่โรงแรมเดอะควอเตอร์ ลาดพร้าว ซึ่งจะใช้อาคารเดิมที่เป็นพื้นที่สำนักงานให้เช่ารวม 7,000 ตร.ม. ปรับปรุงเป็นห้องพักจำนวน 200 ห้อง หลังจากสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัล (DEPA) ซึ่งเป็นผู้เช่าพื้นที่ทั้งหมดเตรียมย้ายสำนักงานไปยังที่ทำการใหม่ในเร็วๆนี้ โดยเมื่อแล้วเสร็จจะทำให้มีรายได้จากห้องพักโรงแรมประมาณปีละ 160 ล้านบาท เมื่อคำนวณจากค่าห้องพักคืนละ 2,500 บาทและอัตราเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีของโรงแรมเดอะควอเตอร์ ลาดพร้าวที่ 90%   “นับว่าคุ้มกว่าการปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงานที่สร้างรายได้ปีละประมาณ 50 ล้านบาท ในอัตราค่าเช่า 600 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน ท่ามกลางตลาดอาคารสำนักงานที่อยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย โดยคาดว่า จะใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท และพร้อมเปิดให้บริการในปี 2569”   ปัจจุบัน UHG มีพื้นที่สำนักงานให้เช่ารวม 6 แห่ง พื้นที่รวม 50,000 ตร.ม. พร้อมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ คือ ฮิลล์ รัชโยธิน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่า 40%, ฮิลล์ รามคำแหง ซึ่งมีอัตราการเช่า 10% และ ฮิลล์ สุขุมวิท 60% ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า รายได้ในปีนี้จะเติบโต 2-5% จากปี 2567 ซึ่งมีรายได้ 3,000 ล้านบาท และกำไร 668 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 20%   Alternate-X สรุปให้  UHG (Urban Hospitality Group) เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมและพื้นที่สำนักงานเช่าเตรียมเปิดทำเลใหม่ย่าน “ไข่ขาว” บริเวณศูนย์กลางกรุงเทพฯ ที่มีศักยภาพเติบโตสูงมุ่งพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ The Quarter รองรับนักเดินทางรุ่นใหม่และกลุ่มธุรกิจชูแนวคิด Hybrid Hospitality ผสานที่พักและพื้นที่ทำงานเพื่อไลฟ์สไตล์ยุคใหม่พร้อมใช้กลยุทธ์เลือกทำเลศักยภาพ เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมและย่านเศรษฐกิจ

May 9, 2025 / 0 Comments
read more

รถอีวีขยายตัว หนุนดีมานด์ใช้ไฟบ้านพุ่ง ปีนี้ตลาดโซลาร์เซลล์ไทย แตะ 6.7 หมื่นล้านบาท

BizKet

EnergyLIB  คาดตลาดโซลาร์เซลล์ ไทยปี 68 มูลค่ากว่า 6.7 หมื่นล.บาท รับรถอีวีขยายตัวดันความต้องการใช้พุ่ง เปิดตัว “LIB Solar Townhome” ระบบโซลาร์ออกแบบเฉพาะทาวน์โฮม   ทวนทอง ศรีวิเชียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอเนอร์จี้ลิบ (ประเทศไทย) ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์โซลูชันสำหรับที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า ตลาดโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยมีการเติบโตอัตราสองหลักต่อเนื่องทุกปี   โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดโซลาร์เซลล์ไทยจะสูงกว่า 67,000 ล้านบาท จากความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงมากขึ้น มีปัจจัยสำคัญ อาทิ ความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การทำงานที่บ้าน การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้าน และ สิ่งสำคัญคือ สภาพอากาศที่ร้อนมากขึ้น   โดยคาดการณ์ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.0-6.0% ต่อปี ตั้งแต่ปีนี้ – 2570 เมื่อความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมากขึ้น โซลาร์เซลล์ เทคโนโลยีช่วยเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าจึงเริ่มมีความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มที่พักอาศัย   อย่างไรก็ตาม โซลาร์โซลูชันสำหรับครัวเรือนในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังตอบโจทย์เฉพาะผู้อยู่อาศัยบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ส่วนบ้านทาวน์โฮม การติดตั้งโซลาร์เซลล์ยังถือเป็นความท้าทายเนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่และราคาที่เอื้อมถึงได้ยาก   “แนวโน้มดังกล่าว EnergyLIB  มองเห็นโอกาส ในการนำเสนอโซลาร์โซลูชันที่ออกแบบเฉพาะสำหรับทาวน์โฮม โดยเล็งเห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้อยู่อาศัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความแตกต่างในตลาดพลังงานทดแทน” ทวนทอง กล่าวพร้อมเสริมว่า   ปัจจุบันการรับรู้ของ เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ ในกลุ่มครัวเรือนยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเข้าถึงยาก แต่สำหรับ EnergyLIB มุ่งทำให้พลังงานสะอาดเป็นเรื่องง่ายและทุกครัวเรือนเข้าถึงได้ ด้วยความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ที่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคไทย ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในบ้านรูปแบบใด   สำหรับ LIB Solar Townhome ผลงานจากการระดมความคิดที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยที่อาศัยอยู่ในบ้านทาวน์โฮม ซึ่งได้ออกแบบโซลูชันเฉพาะทางกับเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ครั้งแรกในไทย มาพร้อมแนวคิด “เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง” ยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนที่คุณรัก ไม่ต้องทนร้อนในบ้านอีกต่อไป โดยมาพร้อมนวัตกรรมและดีไซน์ใหม่ล่าสุด ดังนี้   ปลดล็อกอิสระด้านพลังงาน ให้เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง พลิกโฉมวงการโซลาร์เซลล์ ด้วยไมโครอินเวอร์เตอร์ดีไซน์ใหม่ แผงโซลาร์ทาวน์โฮมสุดล้ำ บางและน้ำหนักเบา ติดตั้งได้แม้กระทั่งบนหลังคาโรงจอดรถทาวน์โฮม ติดตั้งง่าย พร้อม LIB Home แอปพลิเคชันจัดการพลังงานอัจฉริยะ Plug-and-Play ใช้คนเพียง 2 คน ทั้งการติดตั้งเอง หรือ ใช้ช่างไฟ/ช่างหมู่บ้าน รวมถึงสามารถติดตั้งได้แบบไม่ต้องเจาะหลังคา   นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชัน LIB Home สามารถมอนิเตอร์ระบบได้แบบเรียลไทม์ทุกที่ทุกเวลา โดยวางกลยุทธ์ราคา LIB Solar Townhome อยู่ที่ 69,900 บาท พร้อมโปรโมชันสำหรับพรีออเดอร์ รับส่วนลดพิเศษ 5,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 7 – 21 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น โดยโปรโมชันมีจำนวนจำกัด สามารถพรีออเดอร์ได้แล้วผ่านช่องทางออนไลน์ร้านค้า EnergyLIB Official ที่ Shopee, Lazada และ NocNoc รวมถึงร้านค้า BaNANA, HomePro, Power Buy และผู้จัดจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ   Alternate-X สรุปให้  ตลาดโซลาร์เซลล์ไทยปี 2568 คาดแตะ 6.7 หมื่นล้านบาท รับดีมานด์พลังงานพุ่งจากรถ EV และพฤติกรรมในบ้าน EnergyLIB เปิดตัว “LIB Solar Townhome” ระบบโซลาร์เจาะตลาดทาวน์โฮมโดยเฉพาะ ชูจุดขายเปิดแอร์ได้ 8 ชั่วโมง, แผงบางเบาติดตั้งง่าย ไม่ต้องเจาะหลังคา รองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองด้วยแอป LIB Home บริหารพลังงานแบบเรียลไทม์ ตั้งราคาจับต้องได้ พร้อมพรีออเดอร์ผ่านทั้งออนไลน์และร้านค้าชั้นนำ    

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

กำลังซื้อสภาพ(ไม่)คล่อง ทำความต้องการเงินด่วนพุ่ง กรุงศรีฯเปิด 3 หมวดสินค้าคนใช้จ่ายสูง

BizKet

กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ เห็นช่องตลาดสินเชื่อบุคคลขยายตัวต่อเนื่อง ส่งแคมเปญฯใหม่พร้อมโปร ดอกเบี้ย 0% นาน30 วันเติมสภาพคล่อง คาดได้บัญชีใหม่โต14% สิ้นปี68   อธิป ศิลป์พจีการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบรนด์กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ กล่าวว่า  ในปีนี้ บริษัทฯ มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้มีสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ และยกระดับบริการให้สะดวก รวดเร็ว ตอบรับความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมความต้องการสินเชื่อส่วนบุคคล ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ  อาทิ บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด, สินเชื่อเงินสด และสินเชื่อผ่อนชำระ เตรียมรุกตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล   “พร้อมจัดแคมเปญสื่อสารการตลาดเพื่อสื่อสารจุดเด่นของแบรนด์ และนำเสนอโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าที่สมัครบัตรใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ต่อเนื่อง” อธิป กล่าว   โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ มียอดบัญชีลูกค้าใหม่ เติบโต +9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยจากพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่อนชำระผ่านบัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง   ขณะที่ หมวดใช้จ่ายผ่อนชำระที่มีอัตราเติบโตสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่   ไลฟ์สไตล์และนันทนาการต่าง ๆ (เติบโต +41%) เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในบ้าน (เติบโต +29%) ประกันภัยและประกันชีวิต (เติบโต +19%)   “แสดงให้เห็นถึงความต้องการของลูกค้าที่ต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มอบความยืดหยุ่นในการบริหารค่าใช้จ่าย และสามารถตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ”  อธิป กล่าวพร้อมเสริมว่า   สอดคล้องกับข้อมูลจากการทำวิจัยการตลาดที่พบว่าหนึ่งในจุดเด่นของผลิตภัณฑ์สินเชื่อเงินสดที่โดนใจลูกค้ามากที่สุด คือ ความสะดวก รวดเร็วและอนุมัติไว     ทั้งนี้ กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ได้สร้างสรรค์แคมเปญโฆษณาชุดใหม่ “บัตรกดเงินสดเฟิร์สช้อยส์ อนุมัติไว…เข้าใจคนรอ” เพื่อตอกย้ำจุดเด่นความเป็นแบรนด์ที่เข้าใจความรู้สึกของลูกค้าที่ไม่ต้องการรออะไรนาน ๆ ถ่ายทอดผ่านโฆษณาที่หยิบเอาสถานการณ์การรอคิว   โดยมีตัวละครเอกอย่าง ”พี่ไกรทอง” ที่ต้องไปต่อคิว หลังจากถูกจระเข้งับ เป็นตัวแทนผู้บริโภคที่รู้สึกทรมานจากการรอคอย แต่กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์พร้อมมอบความสะดวก รวดเร็ว สมัครบัตรได้ง่าย ๆ ผ่านหลากหลายช่องทาง อาทิ แอปพลิเคชัน UCHOOSE หรือเว็บไซต์ www.firstchoice.co.th หรือที่สาขาเฟิร์สช้อยส์ทั่วประเทศ ยื่นเอกสาร ทราบผลอนุมัติไว และเมื่ออนุมัติก็รับวงเงินแบบโอนเงินทันใจ ได้เงินทันที พร้อมใช้ในเรื่องเร่งด่วน ทุกความจำเป็นของลูกค้า   ทั้งนี้ ในช่วงเปิดตัวแคมเปญ บริษัทยังได้ออกโปรโมชันพิเศษเพื่อขยายฐานลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 – 30 มิถุนายน 2568 เพียงสมัครบัตรใหม่สามารถเลือกรับไอเทมโดนใจสูงสุด 4,990 บาท พร้อมรับสิทธิ์เบิกถอนเงินสด ไม่มีดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 30 วัน เมื่อมียอดใช้จ่ายตามเงื่อนไข   อธิป กล่าวว่า ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ที่มอบสองบริการในบัตรเดียว ทั้งบริการกดเงินสด โอนเงินทันใจ ได้เงินทันที และบริการสินเชื่อผ่อนชำระ ซึ่งมีบริการผ่อนชำระกับพันธมิตรร้านค้ากว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศในหลากหลายหมวด รวมถึงบริการที่สะดวก รวดเร็ว สมัครง่าย อนุมัติไว และแคมเปญสื่อสารการตลาดใหม่ น่าจะช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโต พร้อมกับคุณภาพสินเชื่อที่ดีภายใต้กรอบการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม   “โดยตั้งเป้าจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่กว่า 200,000 บัญชี เติบโต 14% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และตั้งเป้ายอดสินเชื่อส่วนบุคคลแตะ 52,000 ล้านบาท ภายในปี 2568” อธิป กล่าวสรุป ทั้งนี้ บัตรเครดิต: ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี, สินเชื่อส่วนบุคคล: อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 3% – 25% ต่อปี   Alternate-X สรุปให้ กำลังซื้อฝืดทำดีมานด์เงินด่วนพุ่งต่อเนื่อง กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์รุกตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล เปิดแคมเปญ “อนุมัติไว…เข้าใจคนรอ” ดอกเบี้ย 0% นาน 30 วัน เจาะลูกค้ากลุ่มเร่งด่วน หมวดใช้จ่ายผ่อนชำระเติบโตสูงสุดคือ ไลฟ์สไตล์ เฟอร์นิเจอร์ และประกันชีวิต บริษัทตั้งเป้าบัญชีใหม่โต 14% ในปี 2568 ด้วยบริการกดเงิน-ผ่อนชำระในบัตรเดียว เน้นความเร็ว สะดวก สมัครง่าย อนุมัติไว พร้อมสิทธิพิเศษช่วงแคมเปญถึงมิถุนายนนี้

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

แสนสิริ ทำหนังขาวดำ สื่อสารแบรนด์ผ่าน ‘Cinematic’ เล่า 12 เรื่องย้ำแบรนด์ทรงพลัง

BizKet

ด้วยสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในรอบปีที่ผ่านมา ถึงในปีนี้ ผู้พัฒนาอสังหาฯ หลายค่ายล้วนต่างเจอบททดสอบความแข็งแกร่งในตลาด จากหลายปัจจัยที่กระทบทั้งกำลังซื้อตลาดกลาง-ล่าง ที่หายไปต่อเนื่องจากปีก่อน   ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่ต่างปรับแผนมาทำลักซูรี่ โปรดักส์ เพื่อเจาะกำลังซื้อกลุ่มมั่งคั่ง ที่ค่อนข้างไร้ผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้น   ล่าสุดภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวเขย่ากรุงเทพฯ เมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ได้สั่นคลอนตลาดอสังหาฯระลอกใหม่ โดยเฉพาะโปรดักส์คอนโดมีเนียมสูงของผู้ประกอบการเกือบทุกราย ทำให้หลายค่ายอสังหาฯ ต่างคาดว่าตลาดในไตรมาสสองปีนี้ อาจมีทรงซึมๆ ตามมู้ดผู้บริโภคในภาพรวมที่จะยังลังเลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้   แม้บรรยากาศจะไม่เป็นใจ แต่ฝั่ง ‘แสนสิริ’ กลับมองว่าเป็นจังหวะที่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานานร่วม 40 ปี อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดอสังหาฯ ที่แข่งขันสูง   รวมถึงใช้ช่วงจังหวะนี้สร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ (Brand Awareness & Recall) ด้วยการสื่อสารซ้ำ ๆ ผ่านแคมเปญการตลาดให้ผู้บริโภคจดจำ ไปพร้อมปรับตัวให้เข้ากับบริบทเศรษฐกิจและผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป     ต่อแนวทางดังกล่าว สอดคล้องกับด้าน ‘ศรีอำไพ รัตนมยูร’ ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ปี 2568 แสนสิริได้เปิดตัวแบรนด์แคมเปญครั้งสำคัญ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี’ พร้อมสะท้อนความแข็งแกร่งแบรนด์ตลอดกว่า 40 ปี พัฒนาโครงการมากว่า 500 โครงการ 130,000 ยูนิต ดูแลลูกบ้านกว่า 130,000 ครอบครัว   “ไม่ง่ายที่องค์กรแห่งหนึ่งจะก้าวข้ามหลายวิกฤติเผชิญกับความท้าทายในหลากหลายด้านมาอย่างต่อเนื่อง” ศรีอำไพ กล่าวพร้อมเสริมว่า “ซึ่งแสนสิริ” ยังคงเป็นผู้นำตลาด และพิสูจน์ความแข็งแกร่งของแบรนด์ พร้อมรักษาผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ”   ทั้งนี้ ยิ่งทำให้แสนสิริ ต้องย้ำความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของแบรนด์ เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ รวมถึงเน้นคุณค่าทางอารมณ์ (Emotional Value) มากกว่าตัวสินค้า   ล่าสุด ในไตรมาสสอง ปีนี้ แสนสิริ ได้เปิดตัวแบรนด์แคมเปญใหญ่แห่งปี ‘Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี’ ตอกย้ำผู้นำอสังหาฯ ไทย กว่า 40 ปีแห่งความสำเร็จ พร้อมสื่อสารผ่านเรื่องราวอันประทับใจทุกวันชีวิตดี กับ 12 Brand Films ถ่ายทำแบบ Cinematic ในโทนขาว-ดำที่ทรงพลัง พร้อมตัดกับเสียงเพลงสนุกๆ Don’t Wait Up แนว Electro Funk จากวง Midnight Generation ที่ช่วยเติมชีวิตชีวาและปลุกอารมณ์ให้อยากลุกขึ้นมาสนุกในทุกวัน   เพื่อสะท้อนปรัชญาการสร้างบ้านที่มากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน ผ่าน 4 แกนหลัก   ไทม์เลสดีไซน์ คุณภาพและบริการอย่างไม่มีวันสิ้นสุด คอมมูนิตี้การอยู่อาศัย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี การสร้างความยั่งยืน   ศรีอำไพ กล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่ทำให้แสนสิริ ประสบความสำเร็จได้ คือ เราเชื่อมั่นในเรื่องการสื่อสารแก่นแท้ของแบรนด์ ที่ยึดมั่นในปรัชญาของ Constructing Life, Not Just Building ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างบ้านที่มากกว่าที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างความสุขให้กับทุกคน   พร้อมสะท้อนความทรงพลังของแบรนด์แสนสิริ ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ด้วยผ่าน ‘12 Brand Films’ นำเสนอผ่านภาพขาว-ดำที่เป็นเอกลักษณ์ สะท้อนถึง DNA ของแบรนด์แสนสิริที่ไม่เหมือนใคร   โดยทุกฉากถ่ายทำในโครงการจริงของแสนสิริ นำเสนอไลฟ์สไตล์และประสบการณ์การใช้ชีวิตผ่านมุมมองของกลุ่มคนที่หลากหลาย ทั้งครอบครัวหลายเจเนอเรชั่น คู่รัก คนโสด โมเมนต์กับสัตว์เลี้ยง กลุ่มเพื่อน และคอมมูนิตี้   ศรีอำไพ ย้ำว่า ด้วยความเข้าใจในสภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับไลฟ์สไตล์ และความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันในแบบเฉพาะตัว ทำให้แสนสิริมุ่งศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ในทุกรายละเอียด เพื่อออกแบบและสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล ด้วยแนวคิดนี้ สะท้อนผ่าน Brand Films 12 เรื่อง ถ่ายทอด 12 โมเมนต์ ออกมา   ใช้ชีวิตในทุกวันให้ดี   สำหรับแบรนด์แคมเปญ Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี มาพร้อมกับการออกแบบภาพลักษณ์ใหม่ที่สดใส ทันสมัย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยโทนสีหลัก Navy Blue ผสานกับ Red และ White สะท้อนความเป็นทางการ ความมั่นคง ความมีพลังในแบบร่วมสมัยและเข้าถึงทุกคนได้   โดยเตรียมเผยแพร่ผ่านสื่อหลากหลายช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้แนวคิด “Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี” ถูกนำเสนอไปยังผู้คนในวงกว้าง ตอกย้ำจุดยืนของแสนสิริในฐานะผู้นำตัวจริงในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เข้าใจความต้องการของผู้คนอย่างแท้จริง   ศรีอำไพ กล่าวว่า “หากหลายๆ คน ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย แสนสิริจะเป็นแบรนด์ในดวงใจที่เขานึกถึงและเราขอชวนให้ทุกคนให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่ดีในทุกวัน กับแบรนด์แคมเปญล่าสุดจากแสนสิริ Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี มุ่งถ่ายทอดปรัชญาการสร้างบ้านที่มากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคนในทุกวัน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ และขณะเดียวกัน แสนสิริพร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 ด้วยการนำเสนอคุณค่าของการอยู่อาศัยที่มากกว่าบ้านหลังใหญ่ แต่คือชีวิตที่ดีในทุกวัน เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่วันพิเศษแต่อยู่ที่ “ทุกวัน” ที่มีคุณภาพ”     Alternate-x สรุปให้  แสนสิริ เปิดตัวแคมเปญใหม่ “Every day… Life is good ทุกวัน ชีวิตดี” ผ่านหนังขาวดำ 12 เรื่องในสไตล์ Cinematic มุ่งสื่อสารภาพลักษณ์แบรนด์แข็งแกร่งและมีอัตลักษณ์ แม้ตลาดอสังหาฯ จะชะลอตัว เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมผ่านการเล่าเรื่องจากชีวิตจริงของผู้คนในโครงการจริงของแสนสิริ โดยเน้น Emotional Branding เพื่อสร้างการจดจำและเชื่อมโยงทางใจกับผู้บริโภค เพื่อตอกย้ำจุดยืนการเป็นแบรนด์ที่สร้าง “บ้านเพื่อคุณภาพชีวิต” ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

เม็ดเงินโฆษณายุคใหม่ ปี68 อยู่ในสื่อดิจิทัลแล้ว 50% อินฟลูฯ ครอง 30% แซงอินเทอร์เน็ต

BizKet

ผู้บริโภคยุคใหม่ สุดซับซ้อน ‘ดิจิทัล’ เพียวๆไม่ใช่คำตอบสุดท้าย MI แนะใช้สื่อผสมเจาะ 8 กลุ่มเป้าหมาย   จากจุดเริ่ม Technology Disruption ที่คำนี้เกิดขึ้นเมื่อราวปี 2551-2552 ได้สั่นคลอนในแทบทุกอุตสาหกรรมโดยเฉพาะวงการสื่อต่างเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล และมีผลต่อภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภค บริโภค ที่นักการตลาด และ เจ้าของแบรนด์ หันมาพิถีพิถันการใช้เม็ดเงินซื้อสื่อโฆษณา เพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายด้วยหวังรีเทิร์นกลับมาสู่ยอดขายให้ได้มากที่สุด   ทำให้ในช่วงตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนภาพชัดการเติบโตของเม็ดเงินในอุตสาหกรรมสื่อที่ถูกเปลี่ยนผ่านจาก สื่อหลัก(ในอดีต) หรือสื่อดั้งเดิมโดยเฉพาะ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือ สื่อนอกบ้าน ไปยัง สื่อใหม่ (New Media) รวมถึง สายอาชีพใหม่​ทั้ง ยูทูบเบอร์ เคโอแอล (KOL) อินฟลูเอ็นเซอร์ ต่างเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก   ส่งผลให้อุตสาหกรรมสื่อในดิจิทัล ในปัจจุบัน กลายเป็นสมรภูมิน่านน้ำสีแดง (Red Ocean) ที่แข่งขันจนทะเลเดือดจัด ไปแล้ว   ขณะที่ในปี 2568 นี้ ‘MI Group’ คาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรม-การตลาดจะมีมูลค่าราว 87,666 ล้านบาท เติบโตขึ้น 2% ซึ่งปรับลดจากคาดการณ์เดิมจะเติบโต 4.5%จากปีก่อน 2567 และแน่นอนว่า เม็ดเงินการใช้สื่อโฆษณาของนักการตลาด แบรนด์สินค้า ต่างทุมน้ำหนักให้กับสื่ออินเทอร์เน็ตรูปแบบต่างๆ มากขึ้น   โดยตัวเลขน่าสนใจ คือ การปรับสัดส่วนระหว่างสื่อดั้งเดิม (ทีวี, สื่อนอกบ้าน, Bangkok Radio,สื่อโรงภาพยนตร์, หนังสือพิมพ์ และ นิตยสาร) รวมกันอยู่ที่ 50%   และแน่นอนว่าอีก 50% หรือกว่า 43,500 ล้านบาท เป็นของสื่อใหม่ซึ่งในสัดส่วนนี้เป็นของอินเทอร์เน็ต และ อินฟลูเอ็นเซอร์ (สัดส่วน 20% และ 30% ของภาพรวมตามลำดับ)     ด้าน ‘ภวัต เรืองเดชวรชัย’ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI กรุ๊ปในเครือ Hakuhodo และ Far East Fame Line DDB หนึ่งในมีเดียเอเยนซี่ชั้นนำของไทย เล่าถึงสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ซึ่งมีผลต่อการดำเนินธุรกิจในภาพรวมทั้งตัวเอเยนซี และ นักการตลาด และแบรนด์สินค้า ตลอดช่วงที่ผ่านมา เช่นกัน   จากแนวโน้มการใช้เม็ดเงินในอุตสาหกรรม-การตลาด ที่ให้น้ำหนักมายัง นิว มีเดีย เป็นจำนวนมากขึ้นนั้นถึงในปัจจุบันนี้ ‘ภวัต’ บอกว่า แม้วิธีการนี้จะตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ในปัจจุบันที่ใช้เวลาอยู่กับสื่อออนไลน์ แพล็ตฟอร์มต่างๆและเชื่อถือเคโอแอล มากขึ้นก็ตาม   ทว่าแนวทางดังกล่าวอาจยังไม่ใช่คำตอบที่สุดจริง และนำผลลัพธ์กลับมาสู่ภาพรวมทั้งการรับรู้แบรนด์ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายสินค้า ที่นำมาสู่การปิดยอดขายที่แท้จริงในที่สุด   จัดกลุ่มเป้าหมายชัด–ซัดด้วย Mixed Media   ภวัต มองว่า กลยุทธ์การตลาดการใช้สื่อผสม ‘Mixed Media’ จะเป็นทางออกที่น่าสนใจให้กับแบรนด์ที่ดีที่สุดด้วยเหมาะสมกับผู้บริโภคยุคนี้ มีความหลากหลายและซับซ้อน ซึ่งแบ่งได้ 8 กลุ่มเป้าหมาย ที่ต้องโฟกัส ในปี 2568 ดังนี้   1.แรงงานเกษตร  ‘12 ล้านคน’ กลุ่มแรงงานฐานรากที่แม้จะไม่อยู่ในเมือง แต่เข้าถึงเทคโนโลยีและโซเชียลมากขึ้นผ่านมือถือ กำลังซื้อสำคัญในตลาด FMCG พร้อมเปิดรับนวัตกรรมเกษตรมากขึ้นเรื่อยๆ   ช่องทางแนะนำ: Facebook, TikTok, สื่อท้องถิ่น (ป้าย/วิทยุ), อีเวนต์ชุมชน/งานประเพณี   2.แรงงานบริการ ‘5 ล้านคน’ กลุ่มสำคัญที่สร้างประสบการณ์บริการในชีวิตประจำวัน ทั้ง ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรม ภาคบริการสุขภาพและท่องเที่ยว ที่มีพลังการจับจ่าย และเป็นกลุ่มที่เข้าถึงสื่อผ่านมือถือสูงมาก   ช่องทางแนะนำ: Facebook, YouTube, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/ตลาดเช้า/ห้างฯ), บูธกิจกรรมในบริเวณแหล่งชุมชนและที่ทำงาน   3.Gen Z (13–29 ปี)  ‘13 ล้านคน’ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ ‘Trend Setter’ นิยามโลกในแบบของตัวเอง ทั้งพฤติกรรม การซื้อสินค้า และการเสพสื่อ แรงขับเคลื่อนของทุกแพลตฟอร์ม พฤติกรรมไวต่อกระแส ต้องการการสื่อสารที่สร้างการมีส่วนร่วมและให้คุณค่าความเป็นตัวเอง   ช่องทางแนะนำ: TikTok, IG, YouTube, X, Gaming-Discord, สื่อนอกบ้าน (Transit, ใกล้สถานศึกษา/ห้างฯ)   4.พนักงานบริษัท ‘18 ล้านคน’ กลุ่มชนชั้นกลางที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองเปิดรับข้อมูลเยอะ แต่เลือกเชื่อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และให้คุณค่ากับแบรนด์ที่เข้าใจชีวิตจริง   ช่องทางแนะนำ: Facebook, TikTok, YouTube, LinkedIn, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/Transit/ออฟฟิศ), Roadshow ทดลองใช้/สมัครบริการ   5.กลุ่มใกล้เกษียณ/ผู้สูงวัย ‘18.6 ล้านคน’ ที่มีทั้งเวลาและกำลังซื้อ พร้อมดูแลตัวเองและคนรอบข้าง ต้องการความมั่นใจในแบรนด์และความคุ้มค่าเป็นกลุ่มที่อาจไม่ได้ไวกับเทคโนโลยี แต่ซื่อสัตย์ต่อแบรนด์ที่เชื่อถือได้   ช่องทางแนะนำ: Line, TV, YouTube, Facebook, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/Transit/ห้างฯ/โรงพยาบาล), บูธกิจกรรม (ตรวจสุขภาพ/แจกสินค้าตัวอย่าง)   6.Micro Sellers (พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์/ออฟไลน์) ‘4 ล้านคนขึ้นไป’ พวกเขาใช้ทุกเครื่องมือเพื่อสร้างรายได้ ทั้งไลฟ์สด ขายหน้าร้าน และโซเชียล แบรนด์ที่เข้าถึงและสนับสนุนพวกเขาได้ จะได้พลังจากปากต่อปากที่มหาศาล   ช่องทางแนะนำ: Facebook Group, TikTok, ป้ายตลาด/หน้าร้านขายส่ง, อีเวนต์ฝึกอาชีพ/แจกแพ็กเกจเริ่มต้น   6.แรงงานต่างด้าว ‘มากกว่า 10 ล้านคน’ ผู้ที่เดินทางมาทำงานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจไทย พวกเขาไม่ได้แค่ทำงาน แต่ใช้จ่าย กิน เที่ยว และสร้างชุมชนต้องการสื่อสารผ่านภาษาของเขา และช่องทางที่พวกเขาใช้จริง   ช่องทางแนะนำ: Facebook ภาษาถิ่น, YouTube, สื่อนอกบ้าน (ป้าย/Transit/โชวห่วย/CVS) ป้ายที่พัก/นิคมฯ/โรงงาน, บูธแจกซิม/สินค้าตัวอย่าง   7. นักท่องเที่ยวต่างชาติ เป้าหมาย 36–39 ล้านคน กลุ่มที่เดินทางเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ พร้อมใช้จ่ายกับสิ่งที่แตกต่าง คุ้มค่า และสร้างความประทับใจ ให้ความสำคัญกับความสะดวก ความต่างเฉพาะถิ่น และประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์   ช่องทางแนะนำ: ป้ายสนามบิน/แลนด์มาร์ก/ แหล่งท่องเที่ยว, Travel Platform, รีวิว   ปี68 ยังมีสัญญาณบวก   ภวัต ย้ำว่า “ปีนี้ไม่ใช่เวลายิงโฆษณากว้างๆ หรือจำกัดวงแคบจนเกินไป แต่ต้อง “เล็งแหลม” และกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ไปยังกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจับจ่ายสินค้าและบริการในหมวดที่แตกต่างกัน   พร้อมทิ้งท้ายว่า แม้เศรษฐกิจไทยต้นปี 2568 มีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย ทั้งนโยบายเศรษฐกิจโลกและความผันผวนภายในประเทศ แต่ยังเห็น ‘สัญญาณบวก’ ในหลายภาคส่วน ที่สะท้อนพลังฟื้นตัวไตรมาสแรกที่ผ่านมาทั้ง   แรงซื้อจากยอดจองรถยนต์ในงาน (ไม่รวมมอเตอร์ไซค์) รวมทั้งสิ้น 77,379 คัน เพิ่มขึ้น 41.6% จากปี 2567 จากความร้อนแรงของตลาด EV จีน มีสัดส่วนยอดจอง EV สูงถึง 65% ของทั้งหมด สงกรานต์ระดับโลก Maha Songkran Festival 2025 ตลอด 5 วัน (11 – 15 เมษายน) ณ ท้องสนามหลวง มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1.1 ล้านคน สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 4,097.17 ล้านบาท ย้ำศักยภาพ Soft Power ไทย ดันสงกรานต์สู่เทศกาลระดับโลกท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแรงต่อเนื่อง รัฐประกาศปี 2025 เป็น Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 จัดอีเวนต์ต่อเนื่องมีนาคม–กันยายน เจาะช่วงโลว์ซีซัน Bangkok Pride Festival 2025 คาดผู้ร่วมงานกว่า 300,000 คน เป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ 39 ล้านคน แรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ ผ่อนคลายชั่วคราว Trump ชะลอขึ้นภาษีนำเข้า 90 วันทั่วโลก ท่าทีที่ผ่อนปรนต่อภาษีสินค้าจีนบางประเภท Trump ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากจีน 145% ช่วงต้นเดือนเมษายน ล่าสุดมีการเลื่อนเก็บภาษีออกไปอีก 90 วัน และส่งสัญญาณว่าความเข้มข้นด้านนโยบายอาจมีการทบทวน   MI = ทุกคำตอบโซลูชั่นธุรกิจ   ภวัต กล่าวอีกว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่อภาพรวมธุรกิจมีเดีย เอเยนซี ต้องปรับตัวเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของตลาดเช่นกัน ทำให้เห็นภาพของการควบรวมเครือข่ายมีเดีย เอเยนซี เกิดขึ้น และคาดว่าจะเหลือราว 5 เน็ตเวิร์คที่เตรียมเปิดตัวกลางปี 2568 นี้   ขณะที่ MI ได้ทบทวนพร้อมวางตำแหน่งการให้บริการจากการเป็น ตัวกลาง Media Agency สู่การเป็นผู้ประกอบร่างโซลูชั่นสำหรับธุรกิจ (Integrated Solutions Provider) ที่นำเสนอทั้ง กลยุทธ์ และ ทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ด้วยเช่นกัน   Alternate-x สรุปให้  พฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลมีความซับซ้อนมากขึ้น การใช้ “ดิจิทัลล้วน” ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการสื่อสารการตลาดอีกต่อไป MI แนะใช้ “สื่อผสม (Mixed Media)” เจาะ 8 กลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายทางพฤติกรรมและช่องทางการเข้าถึง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เชิงยอดขายจริง ปี 2568 คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณารวมกว่า 87,666 ล้านบาท โดย 50% ทุ่มให้กับสื่อดิจิทัล อินเทอร์เน็ต และอินฟลูเอนเซอร์ แนวโน้มธุรกิจสื่อกำลังเข้าสู่ยุคของการควบรวมและปรับตัวเป็นโซลูชันแบบครบวงจร

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

เอมิเรตส์  ดีเดย์ 1 ก.ค. ส่งแอร์บัส A380 เที่ยวบินหรูบินไปกรุงเทพฯ ย้ำเมืองปลายทางสำคัญ

BizKet

สายการบินเอมิเรตส์ เปิดตัวสำนักงานขาย ‘Emirates World’ แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ยกระดับบริการระดับเวิลด์ คลาสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   อัดนัน กาซิม รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินเอมิเรตส์ กล่าวว่า สายการบินเอมิเรตส์ เปิดตัวสำนักงานขาย Emirates แห่งใหม่อย่างเป็นทางการใจกลางกรุงเทพฯ   โดยสำนักงานขายฯ แห่งนี้เป็นพื้นที่ระดับพรีเมียมในรูปแบบเลานจ์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ด้านการเดินทาง พร้อมสินค้าลิขสิทธิ์ภายใต้แบรนด์เอมิเรตส์ และการจัดแสดงแบบเสมือนจริงที่ให้ผู้เยี่ยมชมได้สำรวจผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์ของเอมิเรตส์อย่างใกล้ชิด   “การเปิดตัวสำนักงานขายแห่งใหม่ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นระยะยาวของสายการบินในประเทศไทย และการเติบโตของตลาดการเดินทางระดับพรีเมียมในระดับภูมิภาค” กาซิม กล่าว   พร้อมเสริมว่า การเปิดตัวสำนักงานขาย Emirates World ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการลงทุนครั้งที่สองของสายการบินเอมิเรตส์ในประเทศไทยภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน นับตั้งแต่การเปิดตัวห้องรับรองผู้โดยสารระดับพรีเมียม ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ด้วยงบลงทุนราว 175 ล้านบาท (5 ล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งถือเป็นห้องรับรองที่ใหญ่ที่สุดของสายการบินรองจากห้องรับรองที่สนามบินนานาชาติดูไบ   นอกจากนี้ การลงทุนในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับการประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในไทยผ่านเครือข่ายทั่วโลกของเอมิเรตส์ ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมมือกันในการดำเนินกิจกรรมด้านการตลาดและการส่งเสริมการขาย เพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางชั้นนำอย่างมีประสิทธิภาพ     กาซิม กล่าวว่า “การเปิดสำนักงานขาย Emirates World ณ กรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าในไทยได้มากขึ้น และกรุงเทพฯ ยังคงเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยแนวคิดใหม่ของสำนักงานขายแห่งนี้จะยกระดับประสบการณ์การค้าเฉพาะบุคคลที่เหนือระดับ พร้อมถ่ายทอดจิตวิญญาณของเอมิเรตส์มาสู่กรุงเทพฯ อย่างแท้จริง”     สำนักงานขาย Emirates World แห่งใหม่นี้จะนำเสนอความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ ความเชี่ยวชาญด้านการเดินทาง และการบริการระดับพรีเมียมของเอมิเรตส์สู่ย่านการค้าใจกลางกรุงเทพฯ ณ เกษรเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าระดับสูง โดยความโดดเด่นของสำนักงานขายแห่งนี้ อยู่ที่โซน Onboard Lounge ที่ได้ยกห้องรับรองจากเครื่องบินของสายการบินรุ่น A380 ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสบรรยากาศที่หรูหรา   พร้อมจัดแสดงที่นั่งชั้น Premium Economy ที่กำลังจะเริ่มให้บริการบนเที่ยวบิน EK372/373 ในเส้นทางระหว่างดูไบและกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป   สำนักงานได้ออกแบบในรูปแบบห้องรับรองที่เปิดโล่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 250 ตารางเมตร และสะท้อนถึงการออกแบบที่โปร่งสบายของห้องโดยสารภายในเครื่องบินของสายการบินเอมิเรตส์ ภายในร้านมีเคาท์เตอร์ให้บริการผู้โดยสาร   โดยมีที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเอมิเรตส์พร้อมให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว ทั้งในด้านการสำรองที่ยวบิน การออกบัตรโดยสาร และการให้ข้อมูลการเดินทาง อีกทั้งแนะนำประสบการณ์สุดพิเศษที่ออกแบบเฉพาะบุคคล ครอบคลุมจุดหมายปลายทางทั่วโลกของสายการบิน     นอกจากนี้ ภายในสำนักงานมีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ตู้บริการอัตโนมัติจอดิจิทัลสำหรับตรวจสอบเที่ยวบินและค้นหาเส้นทางปลายทาง ตลอดจนกระจกเซลฟี่อินเตอร์แอคทีฟที่มาพร้อมฉากหลังวิวทิวทัศน์เสมือนจริงสุดอลังการ   สำนักงานขาย Emirates World ในกรุงเทพฯ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายธุรกิจค้าของสายการบินเอมิเรตส์ที่ครอบคลุมทั่วโลก โดยต่อยอดจากความสำเร็จในการเปิดตัวสำนักงานฮ่องกง มะนิลา สิงคโปร์ และเมืองที่สำคัญอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการนำเสนอนวัตกรรมการค้าด้านการเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ทั้งนี้ สายการบินเอมิเรตส์มีแผนการลงทุน 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อเดินหน้าเปิดสำนักงานขาย Emirates World สู่เมืองสำคัญทั่วโลกเพื่อมอบประสบการณ์การบริการระดับพรีเมียมให้แก่ลูกค้า และเข้าถึงนักเดินทางทั่วทุกมุมโลก     อนึ่ง เอมิเรตส์ให้บริการในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2533 และในปีนี้ถือเป็นโอกาสครบรอบ 35 ปีของสายการบินในประเทศไทย ปัจจุบันเอมิเรตส์มีเที่ยวบินระหว่างดูไบและกรุงเทพฯ จำนวน 5 เที่ยวบินต่อวัน และเที่ยวบินไป-กลับดูไบและภูเก็ต 2 เที่ยวบินต่อวัน และเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพฯและฮ่องกง 1 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งเชื่อมโยงประเทศไทยสู่ 140 จุดหมายปลายทางทั่วโลกใน 6 ทวีป   บินกับ A380 โฉมใหม่-ห้องโดยสาร4ชั้น   พร้อมกันนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป สายการบินเอมิเรตส์เตรียมให้บริการเครื่องบินแอร์บัส A380 ที่ปรับโฉมใหม่ พร้อมห้องโดยสารแบบ 4 ชั้นไปยังกรุงเทพฯ   เครื่องบินดังกล่าวประกอบไปด้วยบริการ   Premium Economy ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางระยะไกล ที่นั่งชั้นหนึ่ง (First class) ชั้นธุรกิจ (Business Class) ชั้นประหยัด (Economy Class) ที่ได้รับการยกระดับด้วยเช่นกัน   โดยกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งใน 8 เมืองใหม่ที่จะได้ใช้บริการเครื่องบิน A380 และ Boeing 777 รุ่นใหม่ล่าสุดของเอมิเรตส์ ซึ่งมาพร้อมการปรับปรุงภายในอย่างเต็มรูปแบบ   สำหรับ สายการบินเอมิเรตส์ (Emirates) เริ่มต้นดำเนินงานในปี พ.ศ. 2528 ด้วยเครื่องบินเพียง 2 ลำ ก่อนจะก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการฝูงบิน Airbus A380 และ Boeing 777 ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน   Alternate-X สรุปให้    เอมิเรตส์เปิดตัวสำนักงานขาย Emirates World แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ภายใต้คอนเซ็ปต์พรีเมียมเลานจ์ และบริการเฉพาะบุคคล สำนักงานออกแบบล้ำสมัย พร้อมฟีเจอร์ดิจิทัลและมุมจำลองห้องโดยสาร สะท้อนความมุ่งมั่นลงทุนระยะยาวในไทย  และส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยสู่ทั่วโลก พร้อมเตรียมให้บริการ A380 โฉมใหม่พร้อมห้องโดยสาร 4 ชั้น เริ่ม 1 ก.ค. นี้ ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ด้วยที่นั่ง Premium Economy   

May 8, 2025 / 0 Comments
read more

หนุนกรุงเทพฯ เมืองเที่ยวเชิงประสบการณ์หรู ผ่านร่างทอง JW Marriott รัชดา

BizKet

หลังจากบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย ใช้งบลงทุนกว่า 8,704 ล้านบาท เข้าซื้อบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด เจ้าของโรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา จากตระกูล ‘มหาดำรงค์กุล’ ไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา   โดยแผนดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้ใช้เงินกว่า 4,415 ล้านบาท เข้าลงทุนใน บริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด และใช้งบอีก 4,289 ล้านบาท เพื่อเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น JW Marriott พร้อมคาดดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายในปี 2571   ความคืบหน้าล่าสุด ‘วัลลภา ไตรโสรัส’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า จากความร่วมมือระหว่างพันธมิตร แมริออท อินเตอร์เนชันแนล ตลอดช่วงที่ผ่านมาในหลายโครงการ รวมทั้งในในครั้งนี้ได้นำหนึ่งในแบรนด์สำคัญของเครือแมริออท สู่การพัฒนาโรงแรม ‘เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก’   โดยโรงแรมแห่งใหม่นี้ วางเป้าหมายเพื่อสร้างนิยามใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมของไทย ภายใต้แนวคิด AWC’s Lifestyle Destination พร้อมสร้างประสบการณ์ในรูปแบบรีสอร์ตใจกลางเมือง ให้ความหรูหรา ด้วยบริการเวลเนส และความทันสมัย ไว้ภายในพื้นที่โครงการเดียวกัน พร้อมส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก และสนับสนุนให้กรุงเทพฯ ก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำ สำหรับการประชุมระดับโลกและประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์    ด้าน ‘มร. ฌอน ฮิลล์’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนา ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก  (ไม่รวมประเทศจีน) แมริออท อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า ความร่วมมือกับ AWC ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งการเดินทางสำคัญของแบรนด์ JW Marriott ในย่านธุรกิจแห่งใหม่ที่มีชีวิตชีวาของกรุงเทพฯ   โดยแบรนด์ JW Marriott ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ มร. J. Willard Marriott ผู้ก่อตั้ง แมริออท อินเตอร์เนชันแนล ด้วยปณิธานยึดมั่นความเป็นเลิศและบริการเหนือระดับ สอดคล้องวิสัยทัศน์ AWC ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกรายละเอียดนั้น และจุดยืนของแบรนด์ JW Marriott  เพื่อส่งมอบประสบการณ์การพักผ่อนระดับหรูหราเหนือระดับอย่างแท้จริง   นอกจากนี้ เมื่อเปิดให้บริการโรงแรมแห่งนี้ยังจะได้รับประโยชน์จากเครือข่าย Marriott Bonvoy ที่แข็งแกร่งในการเข้าถึงฐานลูกค้าคุณภาพพร้อมมอบสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่สมาชิกทั่วโลก   “เครือแมริออทฯ หวังมีส่วนร่วมพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลกแห่งใหม่ ที่สะท้อนความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของย่านรัชดาภิเษกให้กับนักเดินทางทั้งในกลุ่มนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว” มร. ฌอน กล่าว   อนึ่ง AWC ได้เข้าซื้อ อาคาร เลอ คองคอร์ด (Le Concorde Tower) ซึ่งเตรียมเปลี่ยนชื่อเป็น Jubilee Prestige Tower นับเป็นก้าวสำคัญของการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทบนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ   ขณะที่ การพัฒนาโครงการนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มองหาห้องพักหรู สำนักงานเกรดพรีเมียม ห้องประชุม และสิ่งอำนวยความสะดวกในกลุ่ม MICE โดยจะสามารถสร้างรายได้ในทันทีจากการดำเนินงานโรงแรมแบรนด์ JW Marriott ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระแสเงินสดของบริษัทในระยะยาว   Jubilee Prestige Tower เป็นโครงการมิกซ์ยูสระดับพรีเมียม มีพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 120,965 ตารางเมตร โดยมีโรงแรม JW Marriott ที่คาดว่าจะมีขนาด 368 ห้อง และอาคารสำนักงานที่ได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัยเพื่อตอบโจทย์ผู้เช่ารุ่นใหม่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับรีสอร์ตและพื้นที่จัดงานรวมกว่า 10,000 ตารางเมตร สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ผสานการอยู่อาศัยและการทำงานเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน เหมาะสำหรับความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และการดูแลสุขภาวะที่สมดุล   โดยวางตำแหน่ง เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก โรงแรมหรูระดับลักชัวรีภายใต้แบรนด์สากลแรกของรัชดาภิเษก เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับย่านธุรกิจและการลงทุนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ โดยประกอบไปด้วย   พื้นที่จัดงานใหญ่ที่สุดในย่าน สามารถรองรับงานประชุมและอีเวนต์ระดับโลก พื้นที่ Co-living   ในขณะเดียวกัน โครงการ Jubilee Prestige Tower ยังได้รับการออกแบบให้สะท้อนแนวคิดของแบรนด์ JW Marriott ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาวะแบบองค์รวม โดยจะประกอบไปด้วยศูนย์ความงาม Beauty Hub สำหรับการเข้าพักเชิงสุขภาพ และศูนย์เวลเนสใจกลางเมือง Urban Wellness Sanctuary ซึ่งพัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและจิตใจ รวมถึงประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม อาทิ ห้องอาหารรูฟท็อป ห้องอาหารแบบ All-Day Dining ห้องอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับ ห้องอาหารจีนสุดหรู และบาร์ซิการ์และวิสกี้   โดย โรงแรม เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของกรุงเทพฯ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT ห้วยขวาง เชื่อมต่อการเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิได้อย่างสะดวกสบายผ่าน Airport Rail Link สถานีมักกะสัน รายล้อมรอบไปด้วยสถานทูต สถาบันการเงิน และบริษัทข้ามชาติ ด้วยเสน่ห์อันโดดเด่นและศักยภาพไร้ขีดจำกัดของย่านรัชดาภิเษกนี้ จึงสามารถดึงดูดนักเดินทางเชิงธุรกิจและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี   ทั้งนี้ โครงการ Jubilee Prestige Tower ตั้งชื่อตามจุดประสงค์ดั้งเดิมของถนนรัชดาภิเษก ที่ได้รับการสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีรัชดาภิเษก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองราชย์ครบ 25 ปี (Silver Jubilee)   ในขณะที่โรงแรม เจดับบลิว แมริออท แบงก์ค็อก รัชดาภิเษก ถูกพัฒนาขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว   นอกจากโครงการ Jubilee Prestige Tower จะช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอของ AWC ให้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว ยังจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างยั่งยืนพร้อมเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินได้ในระยะยาว หลังจากการพลิกโฉมสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบ   อีกทั้ง ตัวอาคารยังได้รับการตรวจสอบโครงสร้างตามมาตรฐานสามขั้นตอนโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานอิสระเพื่อยืนยันความมั่นคงและความปลอดภัยของโครงการ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการรักษามาตรฐานสูงสุดด้านคุณภาพความปลอดภัยและความเชื่อมั่นสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน     Alternate-X สรุปให้  AWC ทุ่มงบกว่า 8,700 ล้านบาท ซื้อกิจการโรงแรมสวิสโซเทล รัชดา และรีแบรนด์ใหม่เป็น JW Marriott Bangkok Ratchada โครงการตั้งอยู่ในอาคาร Jubilee Prestige Tower พื้นที่มิกซ์ยูสระดับพรีเมียม บนถนนรัชดาภิเษก มุ่งยกระดับย่านเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวและ MICE ระดับโลก ด้วยบริการหรูหราและเวลเนสครบวงจร การร่วมมือกับ Marriott International สะท้อนวิสัยทัศน์สร้างประสบการณ์ระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ คาดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2571 พร้อมดึงดูดทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก     AWC เป็นบริษัทภายใต้กลุ่มทีซีซี (TCC Group)  พัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรมและการบริการ พื้นที่เพื่อการพาณิชย์และสำนักงาน และสถานที่ท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก เช่น แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล, ไอเอชจี, โนบุ ฮอสพิทัลลิตี, โอกุระ, บันยันทรี, มีเลีย โฮเทลส์ อินเตอร์เนชั่นแนล, ฮิลตัน โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท, แอคคอร์ และไฮแอท   ประกอบไปด้วย โครงการพาณิชย์ อาทิ อาคาร ‘เอ็มไพร์’, แอทธินี ทาวเวอร์, เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น และ ฟีนิกซ์ รวมถึงจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่ม เช่น เอ-ย่า รูฟท้อป แอท ดิ เอ็มไพร์ นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารระดับโลก และโครงการอื่นๆ อีกมากมาย   ขณะที่ เจดับบลิว แมริออท หนึ่งในแบรนด์ลักซ์ชูรีของแมริออท อินเตอร์เนชันแนล  ปัจจุบันมีโรงแรมและรีสอร์ทภายใต้แบรนด์เจดับบลิว แมริออท เกือบ 125 แห่ง ในกว่า 40 ประเทศและอาณาเขตต่าง ๆ ทั่วโลก

May 7, 2025 / 0 Comments
read more

ใคร? จะไปเมกาบางนา เตรียมเลยบัตรเคฯกสิกรไทย จัดโปร 51 ร้านฯ อิ่มจนฟินลดน้ำหนักไว้ทีหลัง

Peace&Play

เมกาบางนา จับมือ บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย  เสิร์ฟโปรเด็ด ‘มื้อนี้ K เลย อิ่มคุ้ม X4 ที่เมกาบางนา” อิ่มฟิน รับสิทธิพิเศษแบบจัดเต็ม   ศูนย์การค้าเมกาบางนา ร่วมกับ บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย ส่งแคมเปญสุดพิเศษต้อนรับซัมเมอร์ “มื้อนี้ K เลย อิ่มคุ้ม X4 ที่เมกาบางนา” เอาใจสายกินให้ฟินแบบสุดคุ้ม ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2568 มอบสิทธิพิเศษ 4 ต่อ ให้ผู้ถือบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทยได้อิ่มอร่อยกันแบบเต็มอิ่มคุ้มค่ากับร้านอาหาร และคาเฟ่เครื่องดื่มชื่อดังกว่า 51 ร้านค้าภายในศูนย์การค้าเมกาบางนา   สิทธิพิเศษอิ่มคุ้ม 4 ต่อ ได้แก่   คุ้ม 1 รับส่วนลดสูงสุด 60% จากร้านอาหารชื่อดังในศูนย์ฯ ที่ร่วมรายการ อร่อยจุใจ จ่ายเบาๆ คุ้ม 2 รับ MEGA VOUCHER สูงสุด 300 บาท / วัน* เมื่อมียอดใช้จ่ายที่ร้านอาหารภายในศูนย์ฯ ตามเงื่อนไข ยิ่งทาน ยิ่งได้คืน! คุ้ม 3 รับเครดิตเงินคืน 12%* เมื่อใช้ K Point แลกเท่ายอดใช้จ่าย คุ้ม 4 FRIDAY SPECIAL! รับฟรี! ขนม หรือเครื่องดื่ม* จากร้านอาหารที่ร่วมรายการภายในศูนย์ฯ เฉพาะวันศุกร์ที่ 2, 9, 16, 23, 30 พ.ค. 68 เมื่อช้อปภายในศูนย์ฯ 1,500 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป   พร้อมตอบโจทย์ทุกมื้อความอร่อยของทุกไลฟ์สไตล์ อิ่มฟินตลอดซัมเมอร์นี้กับแคมเปญสุดคุ้ม “มื้อนี้ K เลย อิ่มคุ้ม X4 ที่เมกาบางนา” แหล่งรวมร้านอาหารดังสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ที่พร้อมมอบช่วงเวลาพิเศษให้คุณ ทุกวันตามแนวคิด YOUR EVERYDAY MEETING PLACE   ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี *ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชัน ได้ที่ https://www.kasikornbank.com/k_megabangna-dining      

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘บิ๊กซี’ รับบทผ่อนหนักให้เป็นเบา 0% นาน 10 เดือน สินค้า ‘Back to School’ ดึงแรงซื้อผู้ปกครอง

BizKet

อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่า บิ๊กซี ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ จัดแคมเปญพิเศษ “ช้อปครบคุ้ม รับเปิดเทอมที่บิ๊กซี” ระหว่างวันที่ 14 เมษายน – 21 พฤษภาคม 2568   ทั้งนี้ เพื่อสอดรับกับโครงการ “เปิดเทอม เติมพลัง” ของภาครัฐ รวมถึงกระตุ้นยอดขาย และช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม ผ่านการจัดโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ กว่า 7,000 รายการ ลดสูงสุด 50% ครอบคลุมเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์การเรียน ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น   โดยได้รับเกียรติจาก นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ร่วมเป็นประธานพิธีในงานแถลงข่าว ณ บิ๊กซี เพลส รัชดา   อัศวิน กล่าวว่า ความคึกคักจากช่วงเปิดภาคเรียนในปีนี้จะเป็นอีกปัจจัยบวกสำคัญที่ผลักดันให้เป้าหมายยอดขายของกลุ่มสินค้า Back to School เติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน กว่า 25% หรือมียอดขายมากกว่า 500 ล้านบาท   โดยเฉพาะสินค้า กลุ่มเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์การเรียน ตลอดจนสินค้าที่เกี่ยวข้องที่จำหน่ายผ่านบิ๊กซี   สำหรับไฮไลต์โปรโมชั่นสุดคุ้มนี้ ประกอบด้วย สินค้าราคาพิเศษหลากหลายรายการ อาทิ ชุดนักเรียนทุกระดับชั้น เริ่มต้นเพียง 69 บาท   รองเท้าผ้าใบนักเรียน คู่ละ 99 บาท ถุงเท้านักเรียน Besico 5 คู่ เพียง 100 บาท ชุดนักเรียน ซื้อ 3 จ่าย 2 แบรนด์ดังทุกระดับชั้นคละแบบได้ อุปกรณ์เครื่องเขียน ซื้อ 5 ชิ้น จ่ายเพียง 4 ชิ้น กระเป๋าล้อลากลายลิขสิทธิ์ เริ่มต้น 359 บาท กระเป๋าเป้ ราคา 99 บาท   นอกจากนี้ ยังมี คูปองส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อชุดนักเรียนครบ 299 บาท และโปรโมชั่นผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ทุกชิ้นทั้งห้าง ตลอดจนสิทธิ์แลกของกิน ของใช้ และของเรียนรู้สุดคุ้ม เมื่อซื้อครบ 299 บาทขึ้นไป       ส่งต่อโอกาส–พื้นที่ห่างไกล   โดย บิ๊กซี ยังร่วมกับ มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี และพันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องแบบนักเรียน และอุปกรณ์การเรียน รวม 8 ราย ประกอบด้วย กิจเจริญ, ตราม้า, น้อมจิตต์, แบร์รอน กิ๊ฟ,  มาสเตอร์อาร์ต, ไอคิว สปอร์ต, เอส.ซี.เอส., แอ๊ดด้า จัดกิจกรรม CSR ภายใต้โครงการ “Remote School ปีที่ 22” เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กไทยในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนไกลให้ใกล้ เติมโอกาสสร้างการเรียนรู้”   สำหรับกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการ “Remote School ปีที่ 22” ประกอบด้วย   การบริจาคชุดนักเรียน รองเท้านักเรียนและอุปกรณ์การเรียน ร่วมกับพันธมิตรให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลน กิจกรรม Re-LOGO Charity เชิญชวนนักออกแบบร่วมสร้างสรรค์โลโก้ใหม่ให้โครงการ REMOTE SCHOOL ภายใต้แนวคิด “1 Logo สร้าง 1 โอกาสทางการศึกษา” โดยรายได้จากการจำหน่ายเสื้อโลโก้ใหม่จะนำไปสมทบทุนซ่อมแซมอาคารเรียน พร้อมเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนเพิ่มเติมผ่านกล่องรับบริจาค ณ บิ๊กซี ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 กิจกรรม Re-Learn ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างยั่งยืน ด้วยการบริจาคฟิวเจอร์บอร์ดเหลือใช้ให้โรงเรียนนำไปผลิตสื่อการเรียนรู้ DIY พร้อมเปิดให้รับวัสดุได้ที่ บิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ตทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป บิ๊กซี ขอเชิญลูกค้าทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กไทย พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมายได้แล้ววันนี้ที่ บิ๊กซีทุกสาขาทั่วประเทศ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: BJC Big C Share   Alternate-X สรุปให้  บิ๊กซีจัดแคมเปญ “ช้อปครบคุ้ม รับเปิดเทอม” ระหว่าง 14 เม.ย. – 21 พ.ค. 2568 ลดราคาสินค้า Back to School กว่า 7,000 รายการ สูงสุด 50% พร้อมผ่อน 0% นาน 10 เดือนชุดนักเรียนเริ่มต้น 69 บาท กระเป๋าเป้ 99 บาท พร้อมคูปองและสิทธิพิเศษเมื่อซื้อครบ 299 บาทเสริมโอกาสเด็กไทยผ่านโครงการ “Remote School ปีที่ 22” บริจาคอุปกรณ์เรียน พัฒนาโรงเรียน ชวนลูกค้าร่วมกิจกรรม CSR เพื่อการศึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษที่บิ๊กซีทุกสาขาทั่วประเทศ

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘ไทย’ ขึ้นฮับค้าปลีกหรูอาเซียน ท่องเที่ยว-เศรษฐีโลกหนุนตลาดทะลัก 1.47 แสนล.

BizKet

รายงานแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ของซีบีอาร์อี ประเทศไทย เผยค้าปลีกลักซูรี่ในไทย ปัจจุบันตลาดมีมูลค่าถึง 1.47 แสนล้านบาท และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตราว 5% ต่อปีไปจนถึงปี 2571   จากแนวโน้มดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในแถวหน้าของตลาดค้าปลีกสินค้าลักซูรี่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจัดอยู่อันดับที่ 7 ในเอเชียแปซิฟิก   ทั้งนี้ มาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ดังนี้   ความร่วมมืออย่างแข็งแกร่งระหว่างภาคการท่องเที่ยวและค้าปลีก แรงสนับสนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 35.5 ล้านคนที่เดินทางเข้ามาในปี 2567 การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ศูนย์การค้าในเขตใจกลางกรุงเทพฯ กว่า 410,000 ตารางเมตรช่วงระหว่างปี 2567-2568   จากการขยายตัว ดังกล่าว ได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้ค้าปลีกสินค้าแบรนด์หรู เพื่อรองรับความต้องการจากลูกค้าผู้มีรายได้สูงในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นเพิ่มสูงขึ้น   นอกเหนือจากผลประโยชนี้ที่มาจากการท่องเที่ยวแล้ว ประเทศไทยยังมีความก้าวหน้าได้ด้านอื่นๆ ในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งโครงการวีซ่าระยะยาว รวมถึงประเทศไทยมีชื่อเสียงในฐานะ ‘แหล่งพักพิงที่ปลอดภัย (Safe Haven)’   รวมถึง อุตสาหกรรมสายการบินได้กลับมาให้บริการเที่ยวบินตามปกติและนโยบายวีซ่าที่เอื้ออำนวย คาดว่าจำนวนกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth Individual – HNWI) ทั้งที่เดินทางมาเยือนและอาศัยอยู่ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้พัฒนาพื้นที่ค้าปลีก   ผู้พัฒนาค้าปลีกวางแผนรับ   ขณะที่ ผู้พัฒนาพื้นที่ค้าปลีกได้ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ค้าปลีกระดับชั้นนำในศูนย์การค้าหลักในย่านใจกลางธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับแบรนด์หรู ผ่านการยกระดับประสบการณ์ด้วยการนำเสนอร้านอาหารชั้นเลิศและความบันเทิงระดับพรีเมียม รวมถึงออกแบบผังร้านใหม่สำหรับแฟล็กชิปสโตร์และโซนสินค้าหรูโดยเฉพาะ   นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอบริการอื่น ๆ เช่น ล่ามแปลภาษาที่มีความหลากหลาย และสินค้าปลอดภาษี เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า   โดยปัจจุบัน แบรนด์หรูที่เข้ามาหรือขยายธุรกิจในประเทศไทยนั้นมีความพิถีพิถันในการเลือกสถานที่ โดยนิยมเลือกสถานที่ที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และฐานลูกค้าของตนเองค่อนข้างมาก  ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการดำเนินงานของกลุ่มผู้พัฒนาและผู้บริหารศูนย์การค้า ให้มุ่งเป้าไปยังพื้นที่ที่มีกลุ่ม HNWI หนาแน่นเป็นหลัก   ตัวอย่างเช่น การเติบโตของย่านลุมพินีในกรุงเทพฯ ที่มีการเติบโตจากการลงทุนที่นำมาซึ่งการปรับโฉมและขยายสาขาของเซ็นทรัล ชิดลม รวมถึงเซ็นทรัล เอ็มบาสซี อีกทั้งยังมีตัวอย่างของ DIOR Gold House อันเป็นคอนเซปต์สโตร์ของแบรนด์ Dior ที่ตั้งอยู่ในย่านนี้ด้วย   สำหรับตลาดภูเก็ตเองซึ่งมีกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงนั้นก็มีความคึกคักของการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ไม่แพ้กัน เช่น การปรับโฉมและเพิ่มพื้นที่ค้าปลีกของเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า และการวางแผนเปิดสยามพรีเมียมเอาท์เล็ตแห่งที่สองของสยามพิวรรธน์   ขณะที่ ทำเลที่ตั้ง การเข้าถึง และการมองเห็น ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในโครงการค้าปลีกที่พัฒนาแบบผสมผสาน ตัวอย่างเช่น ดิ เอ็ม ดิสทริค ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ได้อานิสงค์จากการเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน  และการที่สยามพิวรรธน์วางแผนเพิ่มแบรนด์หรูพิเศษอีกกว่า 15 แบรนด์ใหม่ให้กับสยามพารากอนและไอคอนสยามในปี 2568 จึงเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องต่อแหล่งช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์   นอกจากนี้ การจัดสัดส่วนของร้านค้าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมถึงการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่เหนือกว่าในศูนย์การค้าเหล่านี้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความแตกต่าง ดึงดูดแบรนด์หรูรายใหม่ ๆ และยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งสินค้าหรูให้กับโครงการค้าปลีกอย่างมีนัยสำคัญ   ซีบีอาร์อี ระบุถึงแนวโน้มที่น่าสังเกต คือ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่การค้าปลีกแบบเดิมให้กลายเป็นพื้นที่ค้าปลีกเชิงประสบการณ์ เนื่องจากแบรนด์ต่างก็มองหาพื้นที่ที่ยืดหยุ่นและสามารถสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตน เพื่อให้ผู้คนสามารถมีส่วนร่วมและแชร์ประสบการณ์ต่อได้   โครงการ เกษรวิลเลจ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ “LV The Place Bangkok” ของ Louis Vuitton เป็นตัวอย่างของการสร้างพื้นที่แบบหลายมิติ โดยผสานพื้นที่ค้าปลีก ร้านอาหาร และพื้นที่จัดนิทรรศการ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและความตระหนักรู้เกี่ยวกับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี   ท่องเที่ยว-กลุ่มเศรษฐี แรงซื้อหลัก   ด้าน ‘โชติกา ทั้งศิริทรัพย์’ หัวหน้าแผนกที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการและวิจัยตลาด ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “วิวัฒนาการของธุรกิจสินค้าแบรนด์หรูของประเทศไทยขับเคลื่อนโดยการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง จำนวนบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงที่เดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น และความต้องการประสบการณ์ค้าปลีกที่เหนือกว่า” โดย ผู้พัฒนาและผู้ค้าปลีกที่ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้ง นวัตกรรม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าประทับใจ จะสามารถก้าวไปพร้อมการเติบโตรอบใหม่ได้   ขณะที่ การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของพื้นที่ค้าปลีกและฐานผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น คาดว่าการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และในขณะที่ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นตลาดสินค้าแบรนด์หรูชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การผนึกกำลังระหว่างภาคการท่องเที่ยวและการค้าปลีกจึงยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดอนาคตของภาคธุรกิจนี้   Alternate-X สรุปให้    ประเทศไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของแบรนด์หรูจากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง การเติบโตของกำลังซื้อ โครงสร้างพื้นฐานค้าปลีกที่พร้อม และการเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในอาเซียน สอดคล้องกลุ่มผู้พัฒนาและผู้บริหารศูนย์การค้า ต่างมุ่งเป้าพัฒนาโครงการไปยังพื้นที่ที่มีกลุ่ม HNWI หนาแน่นเป็นหลัก  

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘แจ็ค เว่ย’ผู้ก่อตั้ง GWM มาไทย 40 ปีก่อนได้แรงบันดาลใจเห็นตลาดรถกระบะโตแล้วกลับไปทำต่อ

BizKet

GWM หรือ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great) Great Wall Motor เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ เป่าติ้ง มณฑลเหอเป่ย โดยที่มาของชื่อบริษัทมาจาก กำแพงเมืองจีน พร้อมก่อตั้งกิจการขึ้นในปี พ.ศ. 2527   โดย ‘แจ็ค เว่ย’ ผู้ก่อตั้ง GWM ยังได้รับแรงบันดาลใจจากการเติบโตของตลาดรถกระบะหลังจากที่ได้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย จนนำไปสู่การริเริ่มและพัฒนาธุรกิจ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเครื่องยนต์ที่ล้ำหน้าสำหรับรถกระบะเพื่อจัดจำหน่ายในประเทศจีน       กระทั่ง ‘GWM’ ขึ้นครองตำแหน่งแบรนด์ที่มียอดขายรถกระบะสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันถึง 26 ปีซ้อนในที่สุด   จากนั้นในปี 2545 ‘GWM’ ได้รุกตลาดรถยนต์เอสยูวีในรุ่น GWM Safe และ GWM HAVAL H6 จนพัฒนาจาก ‘ผู้นำในตลาดรถยนต์เอสยูวีของจีน’ สู่การเป็น ‘เพื่อนร่วมทางสำหรับบรรดาครอบครัวทั่วทุกมุมโลก’   ทั้งนี้ GWM ได้ขยายแบรนด์เพื่อให้ครอบคลุมในทุกเซกเมนต์มากขึ้น นับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เช่น   GWM WEY เปิดประตู GWM ให้ก้าวเข้าสู่ตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียม GWM ORA เปิดตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว GWM TANK ขึ้นเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ในตลาดออฟโรดระดับโลกที่เต็มไปด้วยคาแรกเตอร์ที่แตกต่าง แข็งแกร่ง และพรีเมียม   โดยตลอดเส้นทางการขับเคลื่อนธุรกิจ GWM ในโลกแห่งยานยนต์ตลอดช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมายังไปพร้อมกับการสร้างระบบนิเวศระดับโลก (Global Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง ทำให้ในปัจจุบัน GWM มีโรงงานผลิตรถยนต์ 13 แห่ง โดยมี 3 แห่งเป็นโรงงานผลิตเต็มรูปแบบมีฐานการผลิตในประเทศ บราซิล, รัสเซีย และ ไทย   และในช่วงที่ผ่านมา GWM ยังขยายฐานการทำตลาดไปยังประเทศปากีสถาน เอกวาดอร์ พร้อมริเริ่มก่อสร้างโครงการใหม่ในมาเลเซีย จากปัจจุบัน มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายและการขาย 700 สาขาทั่วโลกใน 170 ประเทศ โดย GWM ยังสามารถทำตลาดครอบคลุม 9 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้อีกด้วย   ปัจจุบัน GWM เป็นผู้ผลิตรถเอสยูวีและรถกระบะระดับโลก ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ในปี 2546 และ 2565 ตามลำดับ มีพนักงานมากกว่า 70,000 คนทั่วโลก ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศจีนที่มียอดการผลิตและยอดขายมากกว่าหนึ่งล้านคัน   โดยตลอดระยะเวลา 8 ปี มีเครือข่ายการขายครอบคลุมกว่า 1,000 แห่งใน 170 ประเทศในหลายภูมิภาค มียอดขายสะสมในต่างประเทศมากกว่า 1,400,000 คัน และ ยังสามารถทำยอดขายในต่างประเทศได้สูงถึง 300,000 คันในปี 2566         โลกยานยนต์เปลี่ยน ต้อง ‘พึ่งตัวเอง’   ด้าน ‘มู่ เฟิง’ ประธาน GWM กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจ GWM ในปี 2568 นี้มุ่งยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) พร้อมผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) เพื่อตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งาน (All Users)   โดยในงาน Auto Shanghai 2025 ครั้งที่ 21 ที่ผ่านมา GWM ได้รับการตอบรับจากผู้เข้าชมงานทั่วโลกด้วยทัพยนตรกรรมกว่า 40 รุ่น จาก 6 แบรนด์หลัก   พร้อมประกาศ 3 กลยุทธ์สำคัญเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในระดับโลกอีกด้วย ได้แก่   ยกระดับมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ พร้อมตอบความต้องการในทุกตลาดด้วยนวัตกรรมที่หลากหลายและครอบคลุม พัฒนานวัตกรรมระบบขับเคลื่อนที่ล้ำหน้าและหลากหลายของตนเองเพื่อผู้ใช้ทั่วโลก สร้างระบบนิเวศร่วมกับชุมชนทั่วโลก   ขณะเดียวกัน ยังลงทุนกว่า 500 ล้านหยวน (2,300 ล้านบาทโดยประมาณ) เพื่อจัดตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตในระดับสากลของ GWM เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับโลกที่ล้ำหน้าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมมอบประสบการณ์อัจฉริยะในการเดินทางเพื่ออนาคตที่ครอบคลุมในทุกมิติ ให้กับผู้ขับขี่   ล่าสุด GWM ได้เปิดตัวโลโก้ใหม่ ‘GWM Beacon’ ที่สื่อถึงพันธสัญญาอันแน่วแน่ในการขยายตัวสู่ระดับโลก สอดคล้องกับแนวคิด ‘One GWM’ ที่สะท้อนถึง GWM เป็นแบรนด์ที่มีความเชื่อมโยงทั่วโลก พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องผ่าน “การขยายระบบนิเวศควบคู่การเจาะลึกในตลาดท้องถิ่น” (Ecosystem Expansion + Deep Localization) เพื่อส่งมอบยนตรกรรมคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคในตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก   Alternate-X สรุปให้    GWM เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจของ ‘แจ็ค เว่ย’ หลังท่องเที่ยวไทย เห็นโอกาสตลาดรถกระบะโต ปัจจุบัน GWM ครองแชมป์ยอดขายรถกระบะจีน 26 ปีซ้อน และขยายแบรนด์สู่รถ SUV, EV, ออฟโรด มีฐานการผลิตระดับโลก รวมถึงไทย และเครือข่ายใน 170 ประเทศทั่วโลกตั้งเป้าเป็นผู้นำรถยนต์พลังงานหลากหลาย พร้อมนวัตกรรมครอบคลุมทุกผู้ใช้งาน เปิดตัวโลโก้ใหม่ “GWM Beacon” ตอกย้ำกลยุทธ์ One GWM สู่แบรนด์ยานยนต์ระดับโลก            

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

‘นอมินีจีน’ ลามอสังหาฯพัทยา ห่วงแหล่งทุนตรวจสอบเส้นทางไม่ได้ ทำบ้านขาย/เช่า อยู่กันเอง  

BizKet

วัฒนพล ผลชีวิน นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ชลบุรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนจีน ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้หลั่งไหลเข้าพื้นที่ภาคตะวันออก เป็นจำนวนมาก พร้อมรับสิทธิ์การอยู่อาศัย ทำให้เกิดช่องว่าง นำที่ดินที่รับจัดสรรไปใช้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดมีเนียม หอพัก อพาร์ตเมนต์ และ แนวราบ บ้านเดี่ยว จำนวน 100 ยูนิต ในทำเลหลัก พัทยา และ นาจอมเทียน จังหวัดชลบุรี   “คนจีนก็มีหัวการค้า ใช้ช่องว่างนี้นำที่ดินบางส่วนไปทำโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ทั้งเพื่อขายและให้เช่า รองรับกลุ่มคนจีนด้วยกันเอง”   สำหรับประเด็นที่น่ากังวล คือ รูปแบบการทำธุรกิจในลักษณะศูนย์เหรียญ (0 เหรียญ) ด้วยทั้ง แรงงาน เครื่องจักร และวัสดุก่อสร้าง ต่างนำเข้าจากจีนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งยกเว้นเสาเข็ม และ คอนกรีต ซึ่งนำเข้ายากด้วยเป็นผลิตภัณฑ์ใหญ่มีน้ำหนักมาก   ขณะที่รูปแบธุรกิจที่อยู่อาศัยดังกล่าว ยังเป็นขายให้กับชาวต่างชาติ ทำให้ทั้ง ผลประกอบการและผลกำไร ที่เกิดขึ้นนำส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งในบางครั้งอาจเป็น ‘ทุนที่ไม่รู้ที่มา’ เพราะระบบการเงินไม่ได้ผ่านธนาคารในประเทศไทย   วัฒนพล ย้ำว่า “นอกจากไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ด้วยคนจีนสร้างที่อยู่อาศัยขายกันเอง และส่งผลกระทบต่อ ผู้ประกอบการไทยทั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจที่อยู่อาศัย”   จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นไทยล้มหายไปจำนวนมาก โดยภาครัฐ ควบเร่งคุมการทำธุรกิจลักษณะนอมินีด้วยส่วนใหญ่อ้างตัวเป็นผู้ลงทุนไทย แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นทุนต่างชาติเกือบ 100% แม้จะมีรายชื่อคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 51% ก็ตาม   “หากเป็นคนไทยเป็นผู้ลงทุนที่มีศักยภาพจริงต้องมีความชัดเจน แต่เมื่อไปตรวจสอบชื่อแล้ว เป็นใครไม่รู้” พร้อมเสริมว่า “ทุนจีนที่เข้ามาทำที่อยู่อาศัยในไทย บางครั้งก็ล้มเหลว หรือบางโครงการเมื่อเกิดปัญหาเขาหยุดสร้างทันที และปล่อยโครงการหมู่บ้านร้าง”   อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันโครงการจากทุนจีนในชลบุรีมีสัดส่วนไม่มาก เมื่อเทียบกับทั้งตลาด แต่ก็ปรากฎให้เห็นมากขึ้น รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงอย่างระยองด้วย   อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงมาตรการการป้องกันนอมินีต่างชาติจากผู้เชี่ยชาญ วัฒนพล กล่าวว่า “แท้จริงแล้วการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ถือเป็นเรื่องดี แต่ให้สิทธิ์เฉพาะเรื่องอุตสาหกรรมมากกว่าที่อยู่อาศัย เนื่องจาก ผู้ลงทุน และแรงงานต่างชาติในพื้นที่ จะได้มาซื้อที่อยู่อาศัยจากผู้ประกอบการไทย โดยการที่ชาวต่างชาติ เข้ามาลงทุนด้านนิคมอุตสาหกรรม หรือ อุตสาหกรรม แต่ไทยเปิดโอกาสให้ทำที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งเป็นช่องว่างให้ทุนกลุ่มนี้ สร้างอพาร์ทเม้นท์ หรือ ทำโรงแรมอยู่อาศัยได้เองในพื้นที่ที่ได้รับสิทธิ์” Alternate-X สรุปให้  ทุนจีนรุกอสังหาฯ ชลบุรี ใช้ช่องว่างรับสิทธิ์การลงทุนอุตสาหกรรม และอยู่อาศัยทำโครงการที่อยู่อาศัยขาย-เช่า กันเอง มีการนำเข้าแรงงาน วัสดุ เครื่องจักรจากจีนเกือบทั้งหมด ไม่เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศ ทุนบางรายไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ เสี่ยงเป็นนอมินี ส่งผลกระทบผู้ประกอบการไทย แม้ใช้ชื่อคนไทยถือหุ้น 51% แต่พบว่ามีลักษณะเป็นทุนต่างชาติแทบทั้งหมดรัฐต้องเร่งตรวจสอบและควบคุมธุรกิจอสังหาฯ ที่แฝงด้วยทุนต่างชาติไม่โปร่งใส

May 6, 2025 / 0 Comments
read more

เซ็นทรัล จัดงานวิ่งระดับโลก ปลุก ศก.เกาะสมุยสะพัดหน้าโลว์ฯ รับ No.1 เกาะเที่ยวดีสุดในเอเชียฯ

BizKet

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ศูนย์การค้า, โรงแรม, อาคารสำนักงาน กล่าวว่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัล สมุย ร่วมกับ Supersports, เซ็นทรัล กรุ๊ป ผนึกกำลังพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ได้แก่ เทศบาลเกาะสมุย, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เกาะสมุย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสุราษฎร์ธานี สมาคมการท่องเที่ยวเกาะสมุย และผู้ประกอบการโรงแรม, บริษัท ซี.พี.คอนซูเมอร์โพรดักส์ จำกัด, บริษัท วันไทยอุตสาหกรรมการอาหาร จำกัด   โดยจัดงาน ‘Central Samui Neon Run 2025’ งานวิ่งกลางคืน (Night Run) ใหญ่แห่งปี ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Fun Run ระยะทาง 5.1 กิโลเมตร เชิญชวนนักวิ่งจากทั่วโลกมาสัมผัสเสน่ห์ของหาดเฉวงใต้ พร้อมปาร์ตี้นีออน Body Paint เรืองแสง, Blacklight Art และโชว์ควงไฟตื่นตา DJ Party โดย DJ. Armando Mendes มอบประสบการณ์ Night Run ระดับโลก พร้อมร่วมยกระดับเกาะสมุยสู่เวทีโลก จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล สมุย   “Central Samui Neon Run เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญช่วยขับเคลื่อนสมุยในฐานะ Sport & Lifestyle Tourism Destination ระดับนานาชาติ โดยเราเน้นสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Amazing Thailand และเป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับพื้นที่และประเทศ” ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าว   ในปีนี้ งาน Samui Neon Run 2025 มีนักวิ่งทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมกว่า 1,500 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว (ปี 2024 มี 1,200 คน) ตอกย้ำความนิยมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง   นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายภาพลักษณ์สมุยในฐานะ Lifestyle Tourism Product ที่ผสานกีฬา ดนตรี และ Nightlife เข้าด้วยกัน เน้น ‘ประสบการณ์’ (experience-driven) เสมือนงานระดับโลกอย่าง Electric Run ที่ซานดิเอโก และ Glow Run ที่ซิดนีย์   ขณะเดียวกันการจัด Samui Neon Run ยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจเกาะสมุยอย่างเป็นรูปธรรม ปัจจุบันเกาะสมุยมีนักท่องเที่ยวกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี และมีเที่ยวบินเข้า-ออกกว่า 40 เที่ยวบินต่อวัน เชื่อมต่อสมุยสู่เมืองสำคัญทั่วโลก ซึ่งกิจกรรมฯ ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น   ล่าสุด เกาะสมุยได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘เกาะที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ปี 2024’ (อันดับ 1) และ ‘อันดับ 9 ของโลก’ จากนิตยสาร Travel + Leisure พร้อมยังเป็นโลเคชันหลักในการถ่ายทำซีรีส์ระดับโลก The White Lotus ซีซัน 3 ตอกย้ำศักยภาพสมุยบนเวทีโลก   สำหรับผลการแข่งขัน Samui Neon Run 2025 ดังนี้   ประเภทชาย   ชนะเลิศอันดับ 1: Bayatae Karki (สัญชาติฝรั่งเศส) อันดับ 2: Eneko Anibarro (สัญชาติญี่ปุ่น) อันดับ 3: อภิชาติ ใจสม (สัญชาติไทย)   ประเภทหญิง   ชนะเลิศอันดับ 1: Olena Nikitas (สัญชาติสหราชอาณาจักร) อันดับ 2: Ekaterina Ustivzhoninu (สัญชาติรัสเซีย) อันดับ 3: อริสา วรพงศ์ (สัญชาติไทย)   ประเภทแฟนซี   รางวัลที่ 1: ดวิน วงศ์ไชยชนะ (สัญชาติไทย) รางวัลที่ 2: พลกฤษณ์ สินภิบาล (สัญชาติไทย   ดร.ณัฐกิตติ์  ย้ำว่า Samui Neon Run 2025 ไม่ใช่แค่งานวิ่ง แต่คืองานใหญ่ประจำปีที่ช่วยเสริมศักยภาพ Sport Tourism และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Sports City ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนโยบาย Amazing Thailand ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)     Alternate-X สรุปให้  เซ็นทรัล สมุย ผนึกพันธมิตรจัดงาน Samui Neon Run 2025 ปีที่ 4 ดึงนักวิ่งทั่วโลก ปลุกเศรษฐกิจเกาะสมุยช่วงโลว์ซีซั่น กระจายรายได้สู่ชุมชน นักวิ่งร่วมกว่า 1,500 คน เพิ่มจากปีก่อน ตอกย้ำความนิยม ชูสมุยเป็น Sport & Lifestyle Tourism Destination ระดับโลก หนุนแคมเปญ Amazing Thailand – ยุทธศาสตร์ Sports City สุราษฎร์ฯ

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

สกู๊ต แจกทริป 5 เดสติเนชั่น เที่ยวเองปลอดภัย เช็คความพร้อมแล้วออกเดินทางได้

Peace&Play

เทรนด์ท่องเที่ยวคนเดียว (Solo Traveller – โซโลทราเวลเลอร์) กำลังมาแรง เพราะทำให้ได้ท่องโลกอย่างอิสระในแบบที่เป็นตัวเอง   ด้าน สกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือของสิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA)  ตอบรับกระแสร้อนแรงนี้ ด้วยเส้นทางบินราคาสบายกระเป๋า พร้อมพานักเดินทางสู่หลากหลายปลายทางทั่วโลกได้ง่ายขึ้น   สกู๊ต คัดมาให้ 5 จุดหมายยอดฮิตที่เหมาะกับสายเที่ยวลุยเดี่ยว พร้อมเคล็ดลับที่จะช่วยให้ทุกการเดินทางสายเดี่ยว ได้อย่างมั่นใจ   5 จุดหมายสำหรับเดินทางคนเดียวสุดปังจาก SCOOT      1.โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น – ความสงบในความวุ่นวาย   โตเกียวเป็นเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีอย่างลงตัว ปลอดภัย มีสีสัน เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ท่องเที่ยวคนเดียว   เริ่มต้นความตื่นเต้นที่ห้าแยกชิบูยะ ทางแยกข้ามถนนที่พลุกพล่านที่สุดในโลก แวะชมรูปปั้นฮาจิโกะ สุนัขผู้ซื่อสัตย์ที่ผู้คนต่างรักใคร่ที่สถานีรถไฟชิบูยะ   พบความเงียบสงบที่ศาลเจ้าเมจิจิงกูซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขียวขจีที่มนุษย์สร้างขึ้น ต้นไม้กว่าแสนต้นในป่าแห่งนี้มาจากการบริจาคของคนทั่วญี่ปุ่น   ย้อนเวลาสัมผัสกับความสุขในวัยเด็กที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์   พักชมสวนสวยแสนสงบในโอเอซิสใจกลางเมืองอย่าง สวนสาธารณะแห่งชาติชินจูกุเกียวเอ็น   ชมสวนแบบญี่ปุ่น แบบฝรั่งเศส และแบบอังกฤษอันงดงาม   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว: ระบบขนส่งสาธารณะที่ตรงเวลาและใช้งานง่ายของญี่ปุ่นทำให้การเดินทางคนเดียวในโตเกียวเป็นเรื่องง่าย     2. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย – เมืองเก๋ริมชายฝั่ง   เมลเบิร์น รวมความเก๋ของเมืองเข้ากับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติได้อย่างนุ่มนวล ตั้งแต่ตรอกทางเดินที่ปูด้วยหินคอบเบิลสโตนไปจนถึงหน้าผาตะหง่านริมทะเล   เริ่มวันใหม่ด้วยการจิบกาแฟในคาเฟ่ท้องถิ่น ชมความงามแบบโกธิคที่อาสนวิหารเซนต์แพทริก ออกทริปเดี่ยวขับรถชมวิวมุ่งไปยังอุทยานแห่งชาติพอร์ตแคมป์เบลล์ ที่ซึ่งจะได้พบกับความงดงามของหินธรรมชาติรูปทรงแปลกตาอย่าง ลอนดอน บริดจ์ ยามเย็น คือ ช่วงเวลาที่ฝูงเพนกวินน้อย (Little Penguins) ว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งที่เกาะฟิลลิป ปิดท้ายความประทับใจด้วยการชมทิวทัศน์เมืองเมลเบิร์นแบบพาโนรามาจากเมลเบิร์น สกายเด็ค ที่สูงเกือบ 300 เมตร   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว: บรรยากาศแสนเป็นมิตรของเมลเบิร์นและผู้คนที่เป็นกันเอง ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน แม้คุณจะมาเพียงลำพัง     3. สิงคโปร์ – เมืองเล็ก มีสไตล์ และเดินทางง่ายเกินคาด   สิงคโปร์คือจุดหมายในฝันของนักเดินทางคนเดียว เมืองเล็ก สะอาด เดินทางง่าย และเต็มไปด้วยสีสันทางวัฒนธรรม   ตื่นตากับความวิจิตรของวัดพระเขี้ยวแก้ว ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระทันตธาตุไว้ภายในสถูปทองคำอันศักดิ์สิทธิ์ เดินเล่นใน การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์ สวนล้ำยุคที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หายากและต้นไม้ยักษ์ ซุปเปอร์ทรี ที่เปล่งแสงระยิบระยับหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ออกตะลุยชิมของอร่อยในย่านไชน่าทาวน์ที่แสนคึกคัก หยุดพักชมความงามของวัดวาอารามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่มีเสน่ห์ ปิดท้ายวันด้วยการเดินเล่นชมวิวริมอ่าว มารีนา เบย์ ที่ซึ่งความทันสมัยของสิงคโปร์เปล่งประกายที่สุดยามค่ำคืน   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว: ระบบรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ทีของสิงคโปร์ช่วยให้การเดินทางรวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบาย     4. เวียนนา ประเทศออสเตรีย – สง่างาม คลาสสิก และเงียบสงบ   สำหรับ ผู้ที่หลงใหลวัฒนธรรมและการจิบกาแฟ เวียนนาคือจุดหมายที่ตอบโจทย์ที่สุด   ชมยอดแหลมสไตล์โกธิคของอาสนวิหารเซนต์สตีเฟน แวะรับประทายเค้กแสนอร่อยพร้อมชวนรำลึกถึงประวัติศาสตร์ ที่ คาเฟ่ เซนทรัล ร้านกาแฟเก่าแก่ซึ่งเคยเป็นแหล่งพบปะของนักปฏิวัติอย่างทรอตสกี นักจิตวิทยาอย่างฟรอยด์ และเหล่านักคิดคนสำคัญแห่งยุโรป แวะ ศาลาว่าการกรุงเวียนนา และหอสมุดแห่งชาติออสเตรีย สถาปัตยกรรมแบบบารอกอันงดงาม ที่รวบรวมหนังสือประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ากว่า 200,000 เล่มไว้ภายใน   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว:: วัฒนธรรมคาเฟ่ของเวียนนาเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางที่เดินทางคนเดียว—ไม่ว่าจะนั่งเขียนบันทึก ปล่อยใจให้ลอยไปกับความคิด นั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา หรือเพียงแค่ดื่มด่ำกับบรรยากาศเงียบสงบก็ลงตัวทุกแบบ     5. เอเธนส์ ประเทศกรีซ –ประวัติศาสตร์โบราณกับพลังของเมืองใหม่   ย้อนเวลากลับไปยังแหล่งกำเนิดอารยธรรมโลก   เดินสำรวจเนินอะโครโพลิสและอัญมณีแห่งโบราณสถานอย่างวิหารพาร์เธนอน เปิดประตูสู่อารยธรรมโบราณกับขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์ที่พิพิธภัณฑ์อะโครโพลิส เดินไปตามลู่วิ่งในสนามกีฬา พานาเธนาอิก สเตเดี้ยม ซึ่งเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างกีฬายุคโบราณกับโอลิมปิกยุคปัจจุบัน ยามเย็นแวะพักผ่อนในย่านพลากา ย่านเก่าแก่ที่สุดและมีชีวิตชีวามากที่สุดของเมืองเอเธนส์ เดินไปตามตรอกซอกซอยคดเคี้ยว ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารเล็ก ๆ แสนอบอุ่น และเสียงดนตรีที่ลอยล่องในอากาศ   เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว: เอเธนส์อบอุ่นและเป็นมิตร—อย่าลังเลที่จะถามคนท้องถิ่นถึงสถานที่โปรดของพวกเขา   แรงบันดาลใจมาเต็มแล้วใช่ไหม? ได้เวลาลุยเดี่ยวแบบมือโปรกันแล้ว! การเดินทางคนเดียวมีเสน่ห์เฉพาะตัว แต่อาจมีบางสิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมเช่นกัน   และเพื่อให้ทริปราบรื่น ปลอดภัยไร้กังวลตั้งแต่บินออกจากบ้าน จนกลับมาพร้อมรอยยิ้ม สกู๊ตรวบรวม 5 เคล็ดลับสำคัญไว้ให้แล้ว   5 เคล็ดลับสำหรับการเดินทางคนเดียว   1.ทำการบ้านให้ดีก่อนไป หาข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบขนส่ง และสถานที่น่าสนใจของจุดหมายปลายทาง การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างมั่นใจและเต็มที่กับทุกประสบการณ์   2.เลือกบินกับสายการบินที่เชื่อถือได้ บริการที่เป็นมิตรและมาตรฐานความปลอดภัยที่ไว้วางใจได้คือสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเดินทางคนเดียว เลือกสายการบินที่ทำให้คุณรู้สึกอุ่นใจตั้งแต่เช็คอินจนถึงปลายทาง   3. ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกเที่ยวบินตรง เที่ยวบินตรงช่วยลดความยุ่งยากจากการเปลี่ยนเครื่อง ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและเดินทางได้อย่างราบรื่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางที่เดินทางคนเดียว   4. ไม่พลาดทุกการติดต่อ ออนไลน์ให้พร้อมเสมอ เปิดบริการโรมมิ่งจากประเทศต้นทางหรือซื้อซิมการ์ดท้องถิ่นเมื่อเดินทางถึงจุดหมาย เก็บเบอร์ติดต่อฉุกเฉินไว้ในเครื่องให้พร้อม และแจ้งแผนการเดินทางให้คนที่บ้านทราบ เพื่อความสบายใจตลอดทริป   5. จัดสรรเงินอย่างชาญฉลาด พกเงินสดสกุลท้องถิ่นติดตัวเล็กน้อย และใช้บัตรทราเวล การ์ด ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมการใช้จ่ายในต่างประเทศ จะให้ดีควรพกบัตรสำรองอีกใบแยกเก็บไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉินบัตรหายหรือถูกระงับ บัตรทราเวล การ์ด มักให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า มีระบบแจ้งเตือนการใช้จ่าย และปลอดภัยมากกว่า ให้คุณเที่ยวได้อย่างมั่นใจ   พร้อมออกเดินทางโดยไปคนเดียว   สกู๊ตให้บริการด้วยค่าโดยสารที่เป็นมิตร เส้นทางบินที่สะดวก ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างง่ายดาย สกู๊ตพร้อมพานักผจญภัยออกท่องโลกในแบบของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอยากเว้นวรรคจากโลกดิจิทัล ออกเดินทางตามทริปในฝัน หรือแค่อยากมีเวลาส่วนตัวเล็ก ๆ ให้ตัวเอง—การเดินทางคนเดียวครั้งใหม่ของคุณ เริ่มต้นได้ที่นี่ คลิก www.flyscoot.com แล้วจองตั๋วได้เลย!   Alternate-X สรุปให้  สกู๊ตแนะนำ 5 จุดหมายยอดฮิตสำหรับสายเที่ยวคนเดียว ตั้งแต่โตเกียว เมลเบิร์น สิงคโปร์ เวียนนา ไปจนถึงเอเธนส์ พร้อมเคล็ดลับการเดินทางให้ปลอดภัยและสนุกขึ้น เทรนด์ Solo Traveller กำลังมาแรงเพราะให้อิสระและการค้นพบตัวเองมากขึ้น บทความนี้ช่วยให้มือใหม่สายลุยเดี่ยวเตรียมตัวได้มั่นใจก่อนออกเดินทาง สกู๊ตยังเสนอเที่ยวบินตรงและราคาย่อมเยา เพิ่มความสะดวกสบายตลอดทริป            

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

เจาะเทรนด์อยู่อาศัย พบ 5 อินไซด์กำลังซื้อลักซูฯ อยากอยู่บ้านเหมือนนอนรีสอร์ตทุกวัน

BizKet

นายณ์ เอสเตท (NYE ESTATE) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ คอนโด และอาคารสำนักงาน ที่ดำเนินการถึงปัจจุบันร่วม 12 ปี พร้อมแผนขยายการเติบโตธุรกิจมาต่อเนื่อง   ล่าสุด นายณ์ เอสเตท ได้ทำงานร่วมกับสองนักออกแบบชั้นนำ ‘ประภาพร บำรุงไทย’ กรรมการบริหารและสถาปนิก, และ ชัชนิล ซัง กรรมการบริหารและ Landscape Studio Director บริษัท สถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อม ‘อาศรมศิลป์ จำกัด’ ร่วมกันถอดรหัส ‘บ้าน’ ที่ตอบโจทย์ 5 ความต้องการหลักของผู้บริโภคในปี 2025 ผ่านโครงการ “ไอรา เรซสิเดนซ์ งามวงศ์วาน” (IRA Residences Ngamwongwan)   จากโจทย์หลักที่ นายณ์ เอสเตท วางไว้ คือ พัฒนาโครงการฯคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีต่อสุขภาพกายและใจ และเป็นพื้นที่สำหรับมัลติ เจเนอเรชั่น (Multi-generation) และการเป็นกรีนคอมมูนิตี้ ให้ตอบรับกับสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตของคนในสังคมในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยมลภาวะ pm 2.5   โดย ‘นายณ์ เอสเตท’ (NYE ESTATE) ค้นหาความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่ ผ่านการวิจัยแบบสนทนากลุ่ม (Focus Group) และการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เพื่อแก้ไขปัญหาและนำมาซึ่งการพัฒนาแนวคิดใหม่ พร้อมบทสรุป 5 อินไซต์ที่น่าสนใจนี้ คือ   บ้านที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน (Sustainability) เวลบีอิ้ง ซัพพอร์ตสุขภาพกายและใจให้กับผู้อยู่อาศัย (Wellbeing) กรีน คอมมูนิตี้ แวดล้อมด้วยธรรมชาติ (Green Community) มีความเป็นส่วนตัวสูง (Privacy) มัลติ เจเนอเรชัน รองรับไลฟ์สไตล์ของคนทุกวัยในครอบครัว (Multi – Generation)   พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวผลงานมาสเตอร์พีซ ปี 2025 ‘ไอรา เรซสิเดนซ์ งามวงศ์วาน’ บ้านเดี่ยว สุขภาวะดี จำนวน 24 ยูนิต ด้วยแนวคิด Breaking New Ground คิดต่างอย่างสร้างสรรค์ จาก ‘นายณ์ เอสเตท’ (NYE ESTATE) ที่ยังตอบโจทย์ 5 อินไซต์ที่อยู่อาศัยมัดใจผู้บริโภคยุคใหม่ดังกล่าว     คอนเซปต์ คิดให้หมดแล้ว   ด้าน ประภาพร บำรุงไทย กรรมการบริหาร และสถาปนิก กล่าวว่า วิถีชีวิตของคนในปัจจุบันส่วนใหญ่ ต้องเผชิญกับความเครียดจากการทำงานและมลภาวะจากฝุ่นพิษ ขณะที่ “บ้าน” จึงกลายเป็นสถานที่เดียวที่สามารถให้ความผ่อนคลายและหลีกหนีจากความวุ่นวาย เพื่อสร้างบรรยากาศที่แท้จริงของการพักผ่อน   พร้อมกล่าวถึง คอนเซ็ปต์การออกแบบเริ่มตั้งแต่วางผังให้โครงการเป็นกรีน คอมมูนิตี้ (Green community) ออกแบบให้ระบบสัญจรทางเท้าต่อเนื่องเชื่อมกันทั้งโครงการและสามารถเป็นทางวิ่งได้ด้วย   พร้อมกับปลูกต้นไม้ใหญ่ตลอดแนวถนนหลัก ทำให้ในภาพรวมเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวที่มีความต่อเนื่องตลอดทั้งโครงการ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางออกแบบเป็น Universal Design รองรับไลฟ์สไตล์และกิจกรรมของทุกกลุ่มและทุกช่วงวัย   ส่วนการวางผังตัวบ้านดีไซน์ให้มีลักษณะเป็นคลัสเตอร์ โดยบ้านทุกหลังสามารถเชื่อมต่อกับสวนส่วนกลางโดยตรง ทำให้เกิดชุมชนที่ร่มรื่น จำนวนรถยนต์วิ่งผ่านบ้านแต่ละหลังน้อยลง ช่วยลดเสียงรบกวน และเพิ่มความเป็นส่วนตัว   พร้อม ยังวางตำแหน่งบ้านตามแนวทิศเหนือใต้ เพื่อหลบแดดทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เปิดทางให้บ้านรับลมธรรมชาติจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศใต้ได้อย่างเต็มที่ ออกแบบพื้นที่ให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของทุกช่วงวัย (Multi-generation) รวมถึงสัตว์เลี้ยง พร้อมสวนส่วนกลางที่เชื่อมต่อระหว่างบ้าน เพื่อส่งเสริมสุขภาวะที่ดี (Well-being)   ขณะที่แบบบ้าน ดีไซน์ในคอนเซ็ปต์ โอเรียลทัล โมเดิร์น สไตล์ (Oriental modern style) ดีไซน์เรียบง่ายแต่คลาสสิก (Timeless) พร้อมกลิ่นไอตะวันออกด้วยเส้นสาย โทนสีของวัสดุ และสวนส่วนกลางระหว่างบ้าน (Double front courtyard house)   นอกจากนี้ยังกำหนดให้พื้นที่นั่งเล่นของครอบครัวและเพื่อนสนิทที่บริเวณชั้น 2 ดีไซน์ให้แยกจากพื้นที่รับแขกที่ชั้น 1 เพื่อความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันออกแบบหลังคาให้รองรับการติดตั้ง Solar Roof ในตำแหน่งที่มีแสงส่องเพียงพอ แต่ไม่ทำลายดีไซน์ภาพรวมของงานสถาปัตยกรรม   ทำทุกวันให้เหมือนการพักผ่อน   ชัชนิล ซัง กรรมการบริหาร และ Landscape Studio Director กล่าวว่า หัวใจของการออกแบบโครงการนี้ คือการทำให้ทุกวันเหมือนการพักผ่อนในรีสอร์ท และสร้างบ้านที่ช่วยเติมเต็มคุณภาพชีวิตทั้งกายและใจ แตกต่างจากบ้านจัดสรรทั่วไปที่มักออกแบบเป็นกล่องสี่เหลี่ยม พร้อมสวนส่วนกลางสำหรับให้ทุกบ้านใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน   ดังนั้นการออกแบบภูมิทัศน์ (Landscape Concept) สวนส่วนกลาง ออกแบบให้มีพื้นที่ใช้งานทั้งแบบ Passive และ Active กระจายอยู่ทั้งสองสวน เพื่อมุ่งสร้างปฎิสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างลูกบ้าน   ขณะที่การจัดองค์ประกอบของ The terrace and koi pond เป็นพื้นที่นั่งริมน้ำที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย มีเสียงของน้ำ รวมถึงสีสันและการเคลื่อนไหวของปลาคราฟ โอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ   โซนของ Pet Friendly ให้ทุกคนสามารถพาสัตว์เลี้ยงมาทำกิจกรรมในสวนได้ โดยมีประตูรั้วและแนวไม้พุ่มแบ่งแยกจากส่วนอื่นชัดเจน มีที่นั่งพักคอย ที่ผูกสายจูง และถังขยะสำหรับเก็บมูลสัตว์   นอกจากนี้ยังมี Relaxation Area (Co-working space) พื้นที่นั่งพักผ่อนและนั่งทำงานใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ และ Education Playground พื้นที่เล่นและเรียนรู้ธรรมชาติ โดยเน้นสร้างความปลอดภัยที่ส่งเสริมทั้งจินตนาการและพัฒนาการของเด็กรอบด้าน   รวมไปถึง Reflexology path ภายในสวนออกแบบให้มีทางเดินนวดเท้าท่ามกลางธรรมชาติ รองรับผู้อาศัยทุกวัย (Multi-generation)   ‘สำหรับ ไอรา เรซสิเดนซ์ งามวงศ์วาน’ ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ โครงการฯ ตั้งอยู่ในซอย งามวงศ์วาน 6 ห่างจากเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ประมาณ 1.5 กิโลเมตร   ขนาดพื้นที่โครงการ ประมาณ 7 ไร่ แบ่งสัดส่วนพื้นที่สีเขียว 79% ของโครงการ โครงการ มี 24 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 410 และ 380 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 29 ล้านบาท   Alternate-X สรุปให้  NYE Estate เจาะอินไซด์ผู้บริโภคลักซูรี สู่แนวคิดบ้านเดี่ยวเพื่อการอยู่อาศัยแบบ ‘รีสอร์ตทุกวัน’ โครงการ “ไอรา เรซสิเดนซ์ งามวงศ์วาน” ตอบ 5 อินไซด์สำคัญ Sustainability, Wellbeing, Green Community, Privacy, Multi-generation ออกแบบร่วมกับสถาปนิกและนักจัดสวนชื่อดัง สร้างพื้นที่ที่เชื่อมโยงธรรมชาติและความสงบ ทุกดีไซน์รองรับไลฟ์สไตล์ครอบครัวไทยยุคใหม่ พร้อมฟังก์ชันเพื่อสัตว์เลี้ยง เด็ก และผู้สูงอายุ เปิดตัว 24 ยูนิต บ้านหรูสุขภาวะดี เริ่มต้น 29 ล้านบาท ใจกลางงามวงศ์วาน  

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

โดราเอม่อน เกิดค.ศ.2112 แต่ทำไม?ฉลองครบรอบ 90ปี พา 111 คาแรกเตอร์ ‘เวิลด์ ทัวร์’ไทย

Peace&Play

เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการ  ‘100% DORAEMON&FRIENDS TOUR IN THAILAND” นิทรรศการโดราเอมอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างปรากฏการณ์ที่ไอคอนสยาม ระหว่างวันที่ 1 พ.ค. – 22 มิ.ย. 2568 นี้   โดยนิทรรศการฯ นี้ ได้สร้างความประทับใจ พร้อมกวาดกระแสตอบรับอย่างล้นหลามระดับโลกมาแล้ว ด้วย ‘100% DORAEMON & FRIENDS’ นับเป็นโปรเจกต์เวิลด์ทัวร์สุดยิ่งใหญ่ที่เฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปีของโดราเอมอน ได้เดินทางมาสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในประเทศไทย ณ ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กริมแม่น้ำเจ้าพระยา   ภายใต้ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง Creative brand All Rights Reserved (ARR) และ Fujiko Pro พร้อมด้วยพันธมิตรในประเทศไทยอย่าง Japan Anime Movie Thailand ภายใต้การดูแลของ บริษัท ไฟว์สตาร์ เอเจนซี่ จำกัด, Trendic International Limited, Incubase Studio Limited และบริษัท เดกซ์ (ดรีม เอกซ์เพรส) จำกัด   ทั้งนี้ ผู้จัดงานฯ ได้เนรมิตพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ของไอคอนสยามให้กลายเป็นโลกแห่งโดราเอมอนอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างความสุขและความประทับใจครั้งยิ่งใหญ่ให้แฟนๆ ในประเทศไทย ตลอดช่วงระยะเวลาการจัดงาน   นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทย!! ‘100% DORAEMON&FRIENDS TOUR IN THAILAND’ นิทรรศการโดราเอมอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปีของการ์ตูนอมตะที่ครองใจผู้คนทั่วโลก โดยนิทรรศการ ‘100% DORAEMON & FRIENDS’ ได้รับการันตีความสำเร็จมาแล้วจากฮ่องกง ด้วยจำนวนผู้เข้าชมกว่า 400,000 คน และประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ในเวิลด์ทัวร์ครั้งนี้   ‘ม่อน แอนด์เดอะแก๊งค์ 111 คาแรกเตอร์     ในงานฯ พบกับกองทัพหุ่นแมวสีฟ้าและแก๊งค์เพื่อนขนาดเท่าตัวจริงมากถึง 111 ตัว! ที่จะมาสร้างสีสันและความตื่นตาตื่นใจให้หลายคนได้หวนรำลึกถึงความสุขในวัยเด็กอีกครั้ง   นอกจากนี้ ยังมีไฮไลต์ ‘โดราเอมอน’ เป่าลมยักษ์ สูงกว่า 12 เมตร ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม พร้อมจำลอง ภาพวาดต้นฉบับ อันทรงคุณค่าจากปลายปากกาของ ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ ให้แฟนๆ ได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด และพิเศษสุดกับการเปิดตัวของวิเศษชิ้นแรกในประเทศไทย “100% Friends-Calling Bell” กระดิ่งแห่งมิตรภาพที่จะมาเติมเต็มธีมของงานที่ว่า “เพื่อนแท้จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ”     งานฯนี้ มี 2 โซน   โดยนิทรรศการ “100% Doraemon & FRIENDS” ในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักให้ผู้ชมได้เต็มอิ่มกับโลกของโดราเอมอนอย่างจุใจ   Zone 1: 100% Manga Art Exhibition ณ Attraction Hall ชั้น 6   ดื่มด่ำไปกับโลกของโดราเอมอนอย่างเต็มรูปแบบในพื้นที่จัดแสดงกว่า 2,000 ตารางเมตร ตื่นตาตื่นใจกับหุ่นขนาดเท่าตัวจริง, ภาพมังงะ, ชิ้นงานจำลอง และฉากต่างๆ จากในการ์ตูนโดราเอมอนที่คุณคุ้นเคย อาทิ ห้องทำงานของฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ จุดกำเนิดโดราเอมอนเริ่มต้นขึ้นที่โต๊ะทำงานให้ห้องของอาจารย์,   โซนจัดแสดงหนังสือการ์ตูนของเท็นโตมูชิ หนังสือการ์ตูนของเท็นโตมูชิทั้ง 45 เล่ม ยกระดับเรื่องราวการผจญภัยของโดราเอมอนและผองเพื่อนไปสู่ระดับโลก,   โซนจัดแสดงผลงานขาวดำ ผลงานการ์ตูนขาวดำของฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไร้ขอบเขต, ห้องอ่านหนังสือการ์ตูนของโนบิตะ และ โซนจัดแสดงของวิเศษของโดราเอมอน สัมผัสประสบการณ์กับกระเป๋าสี่มิติของโดราเอมอนและของวิเศษมากมาย ฯลฯ     Zone 2: 100% Doraemon River Park Exhibition ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G   พบกับคอลเลกชันหุ่นโดราเอมอนและผองเพื่อนขนาดเท่าตัวจริง กว่า 90 คอลเลกชัน ทั้งในเวอร์ชั่นมังงะและแอนิเมชัน ที่จะมาสร้างความสุขเต็มพื้นที่ริเวอร์ พาร์ค พร้อมสัมผัสความอลังการของ ตุ๊กตาโดราเอมอนเป่าลมยักษ์ สูงกว่า 12 เมตร จุดถ่ายรูปเช็คอินที่ทุกคนไม่ควรพลาด   สำหรับนิทรรศการ ‘100% Doraemon & FRIENDS’ เชื่อว่าจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มแฟนคลับรุ่นเยาว์น แต่ยังเหมารวมทุกเพศทุกวัย ทุกเจเนอเรชั่นที่รู้จักหรือเติบโตมาพร้อมกับเรื่องราวและมิตรภาพของโดราเอมอนและโนบิตะ ซึ่งจะเป็นโอกาสพิเศษ ให้หลายคนได้หวนรำลึกถึงความสุขในวัยเด็ก และสร้างความทรงจำใหม่ๆ ร่วมกัน     ร่วมฉลองพร้อมผู้แต่งโดราเอม่อน   นอกจากนี้ ยังมีความน่าสนใจอยู่ตรงที่ พล็อตเรื่องราวของโดราเอม่อน ถือกำเนิดในปีค.ศ. 2112 และเดินทางจากอนาคต หลัง ‘โนบิ เซวาชิ’ อาศัยอยู่ในศตวรรษที่ 22  ได้ส่งแมวอ้วนหุ่นยนต์สีฟ้ามาหาบรรพบุรุษของเขา (โนบิ โนบิตะ) เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตเด็กประถมจอมขี้เกียจ ไม่ให้สร้างหนี้สินสู่ลูกหลาน กับแต่งงานกับ ไจโกะ   ขณะที่การฉลองครบรอบ 90 ปีของโดราเอมอนในปี 2025 นี้ ยังถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบวันเกิดของ ‘ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะ’ (Fujiko F. Fujio) ผู้สร้างสรรค์โดราเอมอน ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1933 ซึ่งเป็นการนับ ‘ครบ 90 ปีชาตกาล’ ซึ่งนิทรรศการฯ นี้ได้เริ่มจัดตั้งแต่ปลายปี 2023 แล้วต่อเนื่องมาถึงปี 2024–2025 โดยในญี่ปุ่น การจัดงานครบรอบแบบนี้ มักเริ่มล่วงหน้าในช่วงใกล้ครบปี เช่น ‘90th Anniversary Project’ อาจเริ่มปีที่ 90 และต่อยอดกิจกรรมเรื่อยไปอีก 1–2 ปี ซึ่งหากนับอายุของอาจารย์ผู้แต่งโดราเอม่อน ในปีนี้จะมีอายุครบรอบ 92 ปี   แม้ว่าโดราเอมอนจะปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1969 แต่การฉลองนี้เน้นที่การรำลึกถึงผู้สร้างและผลงานของเขา นั่นเอง!!   Fujiko, Fujio ขอขอบคุณภาพจาก Wikipedia   รายละเอียดบัตรเข้าชม   บัตร Weekday (วันจันทร์ – ศุกร์) : ราคา 590 บาท ประกอบด้วย เข็มกลัดอะคริลิคสุดพรีเมี่ยม 1 ชิ้น สุ่มจาก 8 ลายให้สะสม   บัตร Weekend & Holiday (วันเสาร์ – อาทิตย์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์) : ราคา 690 บาท ประกอบด้วย เข็มกลัดอะคริลิคสุดพรีเมียม 1 ชิ้น สุ่มจาก 8 ลายให้สะสม   บัตร Student Admission สำหรับเด็กที่มีความสูง 91-120 ซม. และ บัตร Senior Admission สำหรับผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขี้นไป : ราคา 450 บาท ประกอบด้วย เข็มกลัดอะคริลิคสุดพรีเมี่ยม 1 ชิ้น สุ่มจาก 8 ลายให้สะสมPremium Set (จำนวนจำกัด 3,000 ชุด) : ราคา 1,790   Alternate-X สรุปให้    โดราเอมอนฉลอง “90 ปี” เพื่อรำลึกวันเกิดของผู้เขียน ฟุจิโกะ เอฟ. ฟุจิโอะ ผู้ให้กำเนิดการ์ตูนในตำนานจัดนิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS TOUR” ใหญ่สุดในโลกครั้งแรกที่ไทยพบกับโดราเอมอน 111 ตัว หุ่นเป่าลมยักษ์ 12 เมตร และต้นฉบับลายเส้นจริงนิทรรศการแบ่งเป็น 2 โซนทั้งในร่มและริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ไอคอนสยามตอกย้ำพลังแห่งมิตรภาพข้ามวัย พร้อมสร้างความทรงจำใหม่ให้ทุกเจเนอเรชัน

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

‘หวานน้อย’ เทรนด์บริโภคยุคใหม่ และ ‘เบลล่า’ มีผลต่อใจเอเจนต์ร้านค้า กลยุทธ์ตลาด ‘โคโคเลิฟ’

BizKet

อาชวิน โรจนชัยชนินทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิคอร์น คอนซูมเมอร์ กรุ๊ป  จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้าเครื่องดื่มนํ้ามะพร้าวแท้ ‘Cocolove (โคโคเลิฟ)’ เปิดเผยว่า หลังสถานการณ์โควิด19 ผ่านพ้นไป พบว่าเทรนด์การบริโภคของคนไทยเปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญกับการเลือกทานเพื่อสุขภาพมากขึ้น จากก่อนหน้าผู้บริโภคจะเน้นความหวานเป็นหลัก โดยเฉพาะรสชาติเครื่องดื่ม     จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ วางแผนทำตลาดเชิงรุกผลิตภัณฑ์ Cocolove (โคโคเลิฟ) น้ำมะพร้าวแท้ 100% ไม่ใส่น้ำตาล พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ ในปีนี้ เพื่อขยายฐานผู้บริโภคชาวไทย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่รักตัวเองและใส่ใจสุขภาพและการดูแลตัวเองในทุกเจนเนอเรชั่น ทั้ง GenX. GenY, GenZ และ Gen Alpha ตลอดทั้งปี   โดยในปีนี้ Cocolove (โคโคเลิฟ) เปิดตัวแคมเปญ Love yourself , Drink for your health รณรงค์ให้คนไทยดื่มนํ้ามะพร้าวแท้ 100 % ‘เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง’ พร้อมร่วมกับแบรนด์แอมบาสเดอร์ ‘เบลล่า ราณี’ นักแสดงหญิงระดัซูเปอร์สตาร์พร้อมด้วยอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังต่างๆ มาสื่อสารสร้างการรับรู้-เสริมความแข็งแกร่งแบรนด์ ผ่านสื่อทุกแพลตฟอร์ม   “เราจะยังใช้การทำตลาดดิจิทัลในสื่อต่างๆ พร้อมใช้แฮชแทค #hastag  #LoveYourSelfDrinkForYourHealth สื่อสารสร้างการรับรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของแบรนด์และคุณประโยชน์ของการดื่มน้ำมะพร้าวแท้ 100% ให้คนไทยและคนทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกบริโภคเพื่อสุขภาพ” อาชวิน กล่าว     เบลล่า มีผลต่อใจเอเจนต์ร้านค้า   พร้อมเสริมว่า ต่อการเลือก ‘เบลล่า ราณี’ มาร่วมแคมเปญฯ ยังมีผลต่อความมั่นใจให้กับเหล่าบรรดาร้านค้า ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่จะตัดสินใจนำผลิตภัณฑ์ของเราไปจัดจำหน่ายอีกด้วย   โดยนอกจากตลาดในประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของคุณภาพ และรสชาติแล้ว ในกลุ่มตลาดเอเซีย เช่น สิงค์โปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ และตลาดยุโรป ก็ให้การยอมรับในรสชาติและคุณภาพของน้ำมะพร้าวแท้ 100% โคโคเลิฟ   “หลังจาก 1-2 ปี ที่ผ่านมาที่เรามุ่งเน้นการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกช่องทางแล้ว เรามีแผนที่จะเริ่มการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศเพื่อให้คนทั่วโลกซึ่งชื่นชอบน้ำมะพร้าวของไทยอยู่แล้ว ได้ดื่มน้ำมะพร้าวแท้100% ที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้ให้กับสวนมะพร้าวของไทยอีกด้วย” อาชวิน กล่าว   ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ Cocolove (โคโคเลิฟ) น้ำมะพร้าวแท้ 100% พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ ยังได้จัดิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้โปรโมชั่นพิเศษ ในช่องทางค้าปลีกทั้งออฟไลน์ และ ออนไลน์ อาทิ Big C, Lotus’s, Foodland, Villa Market, Thaifoods Fresh Market, Gourmet Market, Watsons, Max Mart, Tops, Tops daily, Jiffy, Lawson108   ด้าน ดร.ณราทิพย์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูนิคอร์น คอนซูมเมอร์ กรุ๊ป  จำกัด กล่าวเสริมว่า จุดเริ่มต้นของโคโคเลิฟ คือพัฒนาสินค้าเพื่อส่งมอบน้ำมะพร้าวแท้ 100%ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จากแหล่งวัตถุดิบสวนมะพร้าวที่ดีที่สุด ภายใต้ขั้นตอนการผลิตแบบ UHT และการบรรจุภัณท์ในระบบสุญญากาศแบบปิด หรือ Aseptic ด้วยกรรมวิธีการผลิตมาตรฐาน ไม่ใส่น้ำตาล ไม่เจือสี หรือ วัตถุกันเสียใดๆ และเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ให้ความอร่อยสดชื่นและดีต่อสุขภาพ   Alternate-X สรุปให้  โคโคเลิฟ (Cocolove) ชูจุดขายน้ำมะพร้าวแท้ 100% ไม่เติมน้ำตาล ตอบเทรนด์ ‘หวานน้อย’ คนรักสุขภาพ วางกลยุทธ์ ‘เบลล่า ราณี’ เป็นมากกว่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ สร้างความมั่นใจทั้งผู้บริโภคและร้านค้า เปิดตัวแคมเปญ Love yourself, Drink for your health พร้อมขยายตลาดต่างประเทศ ดันภาพลักษณ์เครื่องดื่มสุขภาพไทยสู่เวทีโลก พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจสวนมะพร้าวไทย เสริมความแข็งแกร่งด้วยนวัตกรรม UHT และบรรจุระบบ Aseptic ปลอดน้ำตาล สี และสารกันเสีย  

May 4, 2025 / 0 Comments
read more

KEEN ออกสเต็ปใหม่จากรองเท้าสายลุย สู่โมเดลบนรันเวย์ ‘High Fashion’  

WeView

‘Shoes One’ โฉมรองเท้าแบรนด์ คีน (KEEN) จากสหรัฐอเมริกา ที่นำเข้ามาทำตลาดในไทยยุคแรก อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Totally Failed ด้วยหลักคิดการออกแบบด้วยเชือกถักของเจ้าของแบรนด์ ซึ่งเป็นนักปืนเขาสายแอดเวนเจอร์ ที่ว่าด้วยฟีเจอร์การใช้งานเป็นหลัก ส่วนความสวยเอาไว้ทีหลัง     ในวันนี้ ‘คีน’ อยู่ในตลาดร่วม 25 ปี พร้อมเปลี่ยนตำแหน่งจากรองเท้าสายลุยแนวเออร์เบินสู่มุมมอง High Fashion อย่างสมบูรณ์ ด้วยโมเดลใหม่ KEEN UNEEK PLT COLLECTION   ‘ชาร์ลส ปิณฑานนท์’กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิลีเม้นท์ 72 จำกัด ผู้นำเข้าและทำตลาดสินค้าเออร์เบิน ไลฟ์สไตล์ (Urban Lifestyle) กลุ่มเสื้อผ้า อุปกรณ์ กิจกรรมกลางแจ้ง แคมปิง ฯลฯ  จัดนิทรรศกาล (Exhibition) รองเท้าแบรนด์ KEEN ขึ้นที่ Keen Garage ชั้น 3 โซน Eden ณ ศูนย์การค้า Central World เพื่อเปิดตัวโมเดลใหม่ KEEN UNEEK PLT COLLECTION ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ในมุมมอง High Fashion อย่างสมบูรณ์       ชาร์ลส ให้รายละเอียดโมเดลใหม่ KEEN UNEEK PLT COLLECTION เป็นการผสานระหว่าง DNA ของรุ่น Iconic อย่าง UNEEK ให้เข้ากับกลิ่นอายแฟชั่นระดับไฮเอนด์ ได้อย่างลงตัว   พร้อมย้อนถึงเรื่องราวของ UNEEK เริ่มต้นจากแนวคิด ‘Two cords and a sole’ การออกแบบรองเท้าแบบใหม่ที่ใช้เพียง “เชือก 2 เส้นกับพื้นรองเท้า” สร้างสรรค์เป็นโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและรับกับรูปเท้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ สวมใส่สบาย และระบายอากาศได้ดี จนกลายเป็นรุ่น Iconic ที่ครองใจสายลุยและสายสตรีททั่วโลก   กระทั่งใน 2023 รองเท้ารุ่น UNEEK ได้ก้าวสู่เวทีแฟชั่นระดับโลกผ่านความร่วมมือกับดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่นชื่อดัง Noir Kei Ninomiya ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ภายใต้ Comme des Garçons โดยนำ UNEEK ไปปรากฏบนรันเวย์ที่ Paris Fashion Week 2023 พร้อมการออกแบบที่สร้างเสียงฮือฮาและกลายเป็นไวรัลในแวดวงแฟชั่นทั่วโลก   พร้อมปรับภาพลักษณ์ของ UNEEK ให้เป็นรองเท้าแนว Avant-Garde ด้วยดีไซน์โมเดิร์นจัดจ้าน จุดประกายให้แฟนแฟชั่นหันมาสนใจรองเท้า Performance สาย Outdoor   หลังจากความสำเร็จของการร่วมงานดังกล่าว KEEN ได้พัฒนาต่อยอดแนวคิดแฟชั่นเข้าสู่คอลเลกชันใหม่ UNEEK PLT (Platform)     ชาร์ลส กล่าว่า สำหรับ Collection Spring/Summer ปี 2025 ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ในมุมมอง High Fashion อย่างสมบูรณ์อ โดยมี 3 รุ่นเด่นใน UNEEK PLT Collection ที่สร้างปรากฏการณ์ความนิยมไปทั่วโลก ได้แก่   UNEEK PLT – โมเดลต้นฉบับ ที่อัปเกรดด้วยวัสดุพรีเมียมและดีไซน์ร่วมสมัย UNEEK PLT Mary Jane – แรงบันดาลใจจากรองเท้าสไตล์ Mary Jane ผสมผสานความเฟมินีนกับความลุย UNEEK PLT Tassel – รองเท้าแฟชั่นสุดยูนีค มาพร้อมดีเทลพู่สะดุดตา สำหรับสายสตรีทตัวจริง     สำหรับรองเท้าโมเดลใหม่ ดังกล่าววางจำหน่ายระดับราคา 5,850 บาท มีจำนวน 6 สีให้เลือก   “UNEEK PLT (Platform) จึงถือเป็นก้าวสำคัญของ KEEN ในการขยายภาพลักษณ์จากแบรนด์รองเท้าสายลุย สู่แบรนด์แฟชั่นที่มีสไตล์ ที่พร้อมพาผู้สวมใส่เดินทางจากเส้นทางธรรมชาติสู่รันเวย์ได้อย่างมั่นใจ”  ชาร์ลส กล่าว   Alternate-X สรุปให้  KEEN แบรนด์รองเท้าจากสหรัฐฯ เริ่มจากภาพลักษณ์รองเท้าสายลุย ล่าสุดมาพร้อมโมเดลใหม่ทำตลาดไทย ในคอลเลกชันใหม่ KEEN UNEEK PLT สู่โลกแฟชั่นระดับไฮเอนด์ ผ่านนิทรรศการที่ Central World โมเดล UNEEK PLT ผสาน DNA เชือกถักกับดีไซน์แฟชั่นโมเดิร์น พร้อมรุ่น Mary Jane และ Tassel ต่อยอดความสำเร็จจาก Paris Fashion Week ที่สร้างไวรัลในแวดวงแฟชั่นKEEN มุ่งวางภาพลักษณ์ใหม่ เป็นรองเท้าแฟชั่นที่เชื่อมโลก Outdoor กับโลกของรันเวย์อย่างมั่นใจ

May 2, 2025 / 0 Comments
read more

อาหารแต่ละมื้อแต่ละเดย์ กระจกสะท้อน ‘ร่างกาย’ แค่ปรับพฤติกรรมเล็กๆสุขภาพดีขึ้นง่ายๆ

Peace&Play

หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “You are what you eat” เป็นประโยคฮิตทรงพลังที่สะท้อนความจริงว่า อาหารที่เรารับประทานส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของเรา   และเนื่องในวันอนามัยโลก (World Health Day) เดือนเมษายนของทุกปี ดร.ภญ. วิภาดา แซ่เล้า ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการศึกษาและฝึกอบรมด้านโภชนาการ เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก อยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจถึงบทบาทสำคัญของโภชนาการที่มีต่อชีวิตไปด้วยกัน   มื้ออาหารที่สมดุลหน้าตาเป็นแบบไหน?   สำหรับหลักการง่าย ๆ จำแค่ “Quarter, Quarter, Half  (หนึ่งในสี่ หนึ่งในสี่ และครึ่งหนึ่ง)” เพื่อเป็นแนวทางในการจัดสัดส่วนอาหารที่เหมาะสมในมื้ออาหารที่สมดุล   หนึ่งในสี่ของจาน ควรเป็นธัญพืชเต็มเมล็ด อีกหนึ่งในสี่ของจาน ควรเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ครึ่งหนึ่งของจาน ควรเป็นผักและผลไม้   คาร์โบไฮเดรต แหล่งพลังงานหลักของร่างกาย   ขอเริ่มด้วยสารอาหารสำคัญอย่าง ‘คาร์โบไฮเดรต’ ที่มีความสำคัญต่อร่างกาย เป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับสมองและเม็ดเลือดแดงของเรา โดยแหล่งของคาร์โบไฮเดรตที่ดี ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ผลไม้ และผัก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของไฟเบอร์ วิตามิน แร่ธาตุ และไฟโตนิวเทรียนต์ที่ดีอีกด้วย คาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพต้องอยู่ในรูปแบบธรรมชาติที่ไม่ผ่านการขัดสี ซึ่งยังคงคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน การนำธัญพืชไม่ขัดสีแบบใหม่ ๆ มาใส่ในมื้ออาหารทุกวัน   ถือเป็นการสร้างนิสัยที่เรียบง่ายแต่ได้ผลดี เช่น เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง ควินัว หรือข้าวฟ่าง สร้างนิสัยกินแบบไม่ขัดสีและไม่ผ่านการแปรรูป   โปรตีน ตัวท็อปนักสร้างกล้ามเนื้อ   โปรตีนเป็นสารอาหารที่หลาย ๆ คนสนใจ และเป็นองค์ประกอบหลักของกล้ามเนื้อ กระดูก ผิวหนัง เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ ซึ่งร่างกายของเราย่อยและสลายโปรตีนที่กินเข้าไปให้เป็นกรดอะมิโนแต่ละชนิด   จากนั้นจึงใช้กรดอะมิโนเหล่านี้เพื่อสร้างโปรตีนชนิดใหม่ หากเราไม่ได้รับโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอ ร่างกายจะต้องสลายกล้ามเนื้อเพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการทำงาน โดยโปรตีนคุณภาพสูงมักมาจากสัตว์ เช่น เนื้อไม่ติดมัน สัตว์ปีก ปลา นม และผลิตภัณฑ์จากไข่ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนจากพืชอย่าง ถั่วเหลือง ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ   เราสามารถคำนวณปริมาณโปรตีนที่ร่างกายต้องการได้ง่าย ๆ โดยใช้สูตรน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) × 0.8 = ปริมาณโปรตีน (กรัม) ที่ควรบริโภคต่อวัน   ทั้งนี้ ผู้สูงอายุและผู้ที่ทำกิจกรรมทางกายสูง อาจต้องการโปรตีนมากกว่าค่าเฉลี่ยนี้ และแม้ว่าวิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุด เนื่องจากไม่ได้คำนวณมวลกล้ามเนื้อ แต่ก็เป็นวิธีง่าย ๆ ช่วยให้แบ่งปริมาณอาหารตามขนาดร่างกายได้   ไขมัน เลือกให้เป็น ไม่ใช่ศัตรู   ไขมันไม่ใช่ศัตรูเสมอไป แต่เป็นส่วนสำคัญของสมดุลในมื้ออาหาร เพราะไขมันเหล่านี้ให้พลังงานและช่วยในการดูดซึมวิตามิน แต่เราต้องรู้จักความแตกต่างระหว่างไขมันดีและไขมันไม่ดี เนื่องจากไขมันดีช่วยในการทำงานของหัวใจและสมอง และยังส่งเสริมสุขภาพผิวหนังและระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย   ไขมันไม่อิ่มตัว แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่   ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในถั่ว เมล็ดพืช มะกอก น้ำมันมะกอก และอะโวคาโด ซึ่งดีต่อหัวใจเมื่อบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เช่น โอเมก้า 3 (พบในปลาที่มีไขมัน ถั่ว เมล็ดพืช และผักใบเขียว) และโอเมก้า 6 (ส่วนใหญ่มาจากอาหารทอดและเบเกอรี่) เป็นสิ่งจำเป็นแต่ต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ   แต่บางครั้งเรามักจะบริโภคโอเมก้า 6 มากเกินไปหรือไม่เพียงพอ รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ที่พบในอาหารจากสัตว์ เช่น เนย ชีส นมสด และเนื้อแดง อาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้   วิตามินและแร่ธาตุ ตัวช่วยเสริมสร้างสุขภาพ   ถัดมาคือวิตามินและแร่ธาตุ หัวใจสำคัญที่ช่วยรักษาสุขภาพโดยรวมและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ โดยวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรับวิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลายในปริมาณที่เหมาะสมคือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วน เพราะอาหารในทุกวันมีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดอยู่แล้ว ตอบโจทย์ความต้องการทางโภชนาการในแต่ละวันได้อย่างง่ายดาย และอย่าลืมรับประทานผลไม้และผักหลากสี ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วและพืชตระกูลถั่ว โปรตีนไม่ติดมัน จะช่วยให้ร่างกายได้รับสิ่งที่ต้องการได้ดีขึ้น   น้ำ ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม   ทุกเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะในร่างกายของเราเจริญเติบโตได้ด้วยน้ำ ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยในการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร และการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมสร้างสุขภาพข้อต่อและภูมิคุ้มกัน รวมทั้งยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย ปกติแล้วในเครื่องดื่มจะมีปริมาณของเหลวที่เราบริโภคต่อวันประมาณ 70 – 80% ส่วนอีก 20 – 30% ที่เหลืออาจได้มาจากอาหารที่มีน้ำมาก เช่น ผลไม้และผัก   แต่ปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ สุขภาพก็ดีขึ้นง่าย ๆ   ความเข้าใจเรื่องโภชนาการเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่สิ่งสำคัญคือการนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานอาหารเป็นเวลา เพื่อช่วยให้ร่างกายย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น   จากการศึกษาเรื่องความถี่ในการแบ่งปันอาหารร่วมกันในครอบครัวกับความสัมพันธ์ด้านสุขภาพของเด็กและวัยรุ่น พบว่า การรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัวเป็นประจำช่วยส่งเสริมนิสัยการกินที่ดีและสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับโภชนาการที่สมดุล เด็กๆจะเรียนรู้จากสิ่งที่เห็นและประสบการณ์ภายในครอบครัว และเมื่อการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตครอบครัว เด็กก็มีแนวโน้มที่จะนำแนวทางนี้ไปใช้ในวัยผู้ใหญ่และส่งต่อไปยังคนรอบตัวและเพื่อนของตัวเองอีกด้วย   โภชนาการเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนร่างกาย ทุกคำที่เรากินมีผลต่อความรู้สึก สมาธิ และสุขภาพโดยรวม ซึ่งหากโภชนาการที่ดีมาจับคู่กับไลฟ์สไตล์ที่สมดุล เช่น การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการพักผ่อนที่เพียงพอ จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีทั้งกายและจิตใจไปพร้อมกัน   Alternate-X สรุปให้  โภชนาการมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพในทุกมิติ ทั้งพลังงาน สมอง และระบบต่างๆ ของร่างกาย ด้วยหลัก “หนึ่งในสี่ หนึ่งในสี่ ครึ่งหนึ่ง” ช่วยจัดสัดส่วนอาหารอย่างสมดุลในทุกมื้อ เน้นเลือกคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี โปรตีนคุณภาพ และไขมันดี เพื่อการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพ เติมวิตามิน แร่ธาตุ และน้ำอย่างเพียงพอเพื่อสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและการดูดซึมสารอาหาร การปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันช่วยเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืนและส่งต่อแนวคิดนี้ในครอบครัว    

May 2, 2025 / 0 Comments
read more

Sawasdee ‘การบินไทย’ แผนเทคออฟ สู่น่านฟ้าอนาคต พร้อมวกบินกลับเข้าตลาดฯ เดือนก.ค.ปี 68

BizKet

การบินไทย สายการบินแห่งชาติของไทย กับแผนฟื้นฟูธุรกิจในปี 2567-2568 ภายใต้การปรับโครงสร้างหนี้ มุ่งลดภาระหนี้กว่า 2.3 แสนล้านบาท ผ่านการเจรจาปรับลดหนี้และแปลงหนี้เป็นทุน   นอกจากนี้ยังมีเพิ่มทุนใหม่ โดยออกหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุนทั่วไป รวมกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมลดขนาดองค์กร ปรับลดพนักงานและต้นทุนการดำเนินงาน เพื่อให้คล่องตัวและแข่งขันได้   ขณะเดียวยังเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ทั้งปรับฝูงบินโดยเพิ่มเครื่องบินใหม่ที่ประหยัดพลังงาน และ เลือกบินเฉพาะเส้นทางทำกำไร พร้อมแผนวางเป้ากลับเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2568 หลังฟื้นฐานะการเงินกลับมาแข็งแกร่งได้     ขณะที่ในปีนี้ ‘การบินไทย’ ภายใต้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 65 พร้อมแผนทะยานสู่น่านฟ้าธุรกิจด้วยการส่งต่อเอกลักษณ์ความเป็นไทย ไปยังผู้คนทั่วโลก   ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ณ การบินไทย จัดงาน “THE NEW WORLDS OF TOMORROW”  ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปี โดยมุ่งเน้นการยกระดับการเดินทางทุกด้าน ทั้งประสบการณ์บนเที่ยวบินที่ผสานเสน่ห์ความ เป็นไทยอย่างกลมกลืนกับเทคโนโลยีการบินล้ำสมัย เพื่อตอบโจทย์ผู้โดยสารยุคใหม่ พร้อมตอกย้ำบทบาทในฐานะสายการบินของไทยที่พร้อมแข่งขันในเวทีระดับสากล   ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ การบินไทย กล่าวว่า หลังจากบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการดำเนินแผนฟื้นฟูกิจการ และคาดว่าจะกลับเข้าสู่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งได้ภายในเดือนกรกฎาคมของปีนี้   “ตลอดระยะเวลา 65 ปีที่ผ่านมา การบินไทยได้รับความไว้วางใจจากผู้โดยสารทั่วโลก และพร้อมเดินหน้าสู่อนาคตด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมและชัดเจน เพื่อปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดรับกับความต้องการของนักเดินทางในยุคปัจจุบัน”     สำหรับการบินไทย ภายใต้แนวคิด THE NEW WORLDS OF INSIGHT AND HOSPITALITY จะมอบประสบการณ์การเดินทางพิเศษ พร้อมยกระดับการบริการบนเที่ยวบินในหลายด้าน ดังนี้   โฉมใหม่นิตยสาร “Sawasdee” เป็นการปรับเปลี่ยนสื่อสำคัญที่อยู่คู่กับสายการบินไทยมาอย่างยาวนาน ให้ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มผู้อ่านยุคใหม่ได้อย่างทั่วถึง โดย “Sawasdee” จะกลับมาให้บริการอีกครั้งในรูปแบบครบวงจร ทั้ง ฉบับพิมพ์ (Printed Version), e-Magazine และ เว็บไซต์ Sawasdee Online เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางในโลกดิจิทัล   Amenities Kit รุ่นพิเศษ ซึ่งการบินไทยได้สร้างสรรค์ร่วมกับแบรนด์ SIRIVANNAVARI แบรนด์แฟชั่นระดับลักซูรี่ จากวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรคของแบรนด์   สำหรับกระเป๋า Amenities Kit ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งศิลปะและวัฒนธรรมไทย  นำเสนอใน 2 ลวดลาย ได้แก่   ลวดลายผ้าบาติกโทนขาว-น้ำเงิน ถ่ายทอดมนตร์เสน่ห์ผืนผ้าอันงดงามของภาคใต้ ผสมผสานกับลายดอกรักราชกัญญา ซึ่งเป็นลายผ้าที่องค์ดีไซเนอร์พระราชทานให้กลุ่มบาติกไทย ประดับด้วยสัญลักษณ์ช้าง นกยูง รวมถึงดอกไอริสและกล้วยไม้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ SIRIVANNAVARI และการบินไทย ลวดลายที่สอง อสวนสีสวย เบ่งบานไปด้วยดอกไอริสและดอกกล้วยไม้ บนผืนผ้าลายกราฟฟิกรูปเกือกม้า สัญลักษณแห่งความโชคดี ที่วางสลับกันเป็นลาย S Monogram ของแบรนด์ SIRIVANNAVARI ในโทนสีชมพูและสีม่วงสดใส   โดยภายในกระเป๋าประกอบด้วย Hand Cream กลิ่นกุหลาบ, Lip Balm บำรุงฝีปาก และ Deodorant Spray กลิ่นอายภูมิปัญญาไทย จาก SIRIVANNAVARI Maison และผ้าปิดตาในสีสันและลวดลายเดียวกับกระเป๋า, แปรงสีฟันจากไม้ไผ่, ยาสีฟัน MARVIS, ที่อุดหูกันเสียงรบกวน   สำหรับของใช้ทุกชิ้นคัดสรรมาเป็นพิเศษให้ผู้โดยสารชั้นธุรกิจ ที่เดินทางสู่จุดหมายปลายทาง 4 เมืองแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ได้แก่ มิลาน ปารีส โตเกียว และเซี่ยงไฮ้ ได้สัมผัสกับนิยาม Smooth as Silk อย่างแท้จริง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป     บินพร้อมรสชาติไทย ระดับสากล   สำหรับด้านอาหาร มีการเปิดตัวแคมเปญ “Good Taste for a Good Cause” ที่คัดสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพจากผู้ประกอบการไทย เพื่อส่งเสริมสินค้าไทยสู่ระดับสากล ตอบสนองนโยบาย Soft Power ของรัฐบาล   ประกอบด้วยลูกจุ๊บทีจี ไรซ์แครกเกอร์การบินไทย ช็อกโกแลตกานเวลา กาแฟดอยตุง และขนมหวานจากร้าน After You Dessert Café โครงการ Taste of Thai Tales อาหารไทยเมนูพิเศษรังสรรค์โดยเชพไทยที่มีชื่อเสียง     รวมถึงแคมเปญ ‘Streets to Sky’ ที่คัดสรรอาหารจานเด่นจากร้านดังของไทย อาทิ   ผัดไทยมันกุ้งทิพย์สมัย ก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเลเจ๊ไฝ ข้าวหน้าไก่รสดีเด็ด   พร้อมเสิร์ฟบนเที่ยวบินเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้โดยสาร และยังยกระดับการให้บริการด้วย คาร์เวียร์ระดับพรีเมียม และ เครื่องดื่มสูตรพิเศษ “Oriental Dawn” และ Rose of Royal Voyage ที่รังสรรค์ขึ้นสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง รอยัลเฟิสต์ และชั้นธุรกิจ รอยัลซิลค์     สู่ยุคใหม่ ฝูงบินทันสมัย Wi-Fi ฟรี   ด้าน ชาติ เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าว่า บริษัทฯ ได้ประกาศความพร้อมในการรับมอบเครื่องบินรุ่นใหม่ Airbus A321 Neo ที่จะเข้าประจำการภายในสิ้นปี 2568 นี้ เพื่อเสริมศักยภาพฝูงบินของการบินไทยให้มีความทันสมัย ประหยัดพลังงาน และตอบโจทย์ผู้โดยสารยุคใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ   “บนเที่ยวบินที่ให้บริการโดย Airbus A321 Neo ผู้โดยสารจะได้สัมผัสความสะดวกสบายจากระบบความบันเทิงบนเที่ยวบินที่ติดตั้งในทุกที่นั่ง พร้อม บริการ Wi-Fi ฟรี สำหรับสมาชิก Royal Orchid Plus ทุกระดับสถานะ สะท้อนถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดการเดินทางของเรา” ชาย กล่าว   พร้อมย้ำว่า “THE NEW WORLDS OF TOMORROW” เป็นการฉายภาพการบินไทยในโฉมใหม่ เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคง แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างสง่างาม เพื่อรักษามาตรฐานการบริการระดับสากล   Alternate-X สรุปให้  การบินไทยเดินหน้าแผนฟื้นฟูครั้งใหญ่ ปี 2567–2568 ปรับโครงสร้างหนี้กว่า 2.3 แสนล้านบาท ออกหุ้นเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้าน ลดขนาดองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพและคล่องตัว ปรับฝูงบิน เสริมเครื่องบินใหม่ Airbus A321 Neo เพิ่มเส้นทางทำกำไร เตรียมกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์กลางปี 2568  พร้อมฉลองครบรอบ 65 ปี เปิดตัวแคมเปญ “THE NEW WORLDS OF TOMORROW” ยกระดับบริการ ผสาน Soft Power ไทยสู่สากล

May 1, 2025 / 0 Comments
read more

Work Life Balance มีมา 139 ปีแล้ว คนประท้วงทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน จุดกำเนิด ‘วันแรงงาน’

Peace&Play

เพราะคนงานได้พักผ่อนน้อย ถูกเอาเปรียบจากค่าจ้าง ชนวนสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค2 พร้อมประท้วงนายจ้างขอทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน  กระทั่งถึงในปัจจุบันแนวทางการทำงานเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัล ที่ยังต้องการชีวิตสมดุลการทำงาน   1 พ.ค. ‘วันแรงงานสากล’ May Day เป็นวันสำคัญอย่างยิ่งยวดของชนชั้นคนทำงานนับจากอดีตที่มีจุดเริ่มต้นกว่า 139 ปีก่อน ที่แม้ว่ากาลเวลาจะล่วงมาถึงการทำงานในยุคดิจิทัลในวันนี้ ที่เชื่อว่าใครหลายคนยังมองหา Work Life Balance กันอยู่ และเช่นเดียวกับนายจ้างในแทบทุกยุคสมัยต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่เชื่อมั่นในคำนี้’ แถมยังมีเจ้านายบางคนบอกอีกว่า คำนี้ไม่มีอยู่จริง!!   หากย้อนที่มา จุดเริ่มต้นของวันแรงงาน มาจากการเคลื่อนไหวของกรรมกรในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1886 ซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Era) อย่างเต็มตัว หรือที่เรียกว่า Second Industrial Revolution ซึ่งมีการเติบโตของโรงงาน เกิดระบบสายพานการผลิต (assembly line) ทำให้มีการใช้แรงงานจำนวนมากในเมืองใหญ่   ขณะที่ การตั้งสหภาพแรงงานและเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ อย่าง ‘วันแรงงาน’ เริ่มจากเหตุการณ์ Haymarket Affair ในชิคาโก ปี 1886 จากนักเคลื่อนไหวระดับสากล ‘Peter J. McGuire’ บุคคลที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด และถือเป็นผู้จุดประกาย ในวงการนี้ ภาพ chicagocop.com   ต่อการการรวมกันประท้วงในครั้งนั้นที่เรียกว่า ‘เหตุการณ์เฮย์มาร์เก็ต’ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง และยังนำไปสู่ความรุนแรงมีผู้เสียชีวิตของผู้ชุมนุมหลายคน   เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังได้จุดกระแสแรงงานไปทั่วโลก จนสหภาพแรงงานนานาชาติได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นวันแรงงานสากลเพื่อรำลึกถึงการต่อสู้เพื่อสิทธิพื้นฐานของแรงงาน   จุดเปลี่ยนสู่การยอมรับในระดับโลก   หลังเหตุการณ์เฮย์มาร์เก็ต การเคลื่อนไหวของแรงงานขยายตัวออกไปยังยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับสิทธิแรงงาน เช่น   การกำหนดชั่วโมงการทำงานขั้นต่ำ ค่าจ้างที่เป็นธรรม สวัสดิการที่จำเป็น   ขณะที่ จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ เมื่อรัฐบาลและภาคธุรกิจเริ่มยอมรับว่า ‘แรงงาน’ คือรากฐานของเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้วันแรงงานกลายเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก และมีการจัดกิจกรรมเพื่อยกย่องแรงงานในหลากหลายรูปแบบ   69 ปี ‘วันกรรมกรแห่งชาติ’    สำหรับในประเทศไทย ได้เริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิดวันแรงงานหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทผลักดันแนวคิดนี้เข้าสู่สังคมไทยอย่างเป็นทางการ   โดยรัฐบาลประกาศให้วันที่ 1 พฤษภาคมเป็น ‘วันกรรมกรแห่งชาติ’ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 เพื่อยกย่องแรงงานไทยว่าเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงเป็นการรับรองสิทธิของผู้ใช้แรงงานตามมาตรฐานสากล   Welcome แรงงานยุคใหม่โลกดิจิทัล   อย่างไรก็ตาม ในวันนี้การเดินทางของวันแรงงานสากลล่วงมาร่วม 139 ปีถึงในโลกยุคปัจจุบัน พร้อมเปลี่ยนผ่านจากยุคอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างชัดเจน ขณะที่คนทำงาน ไม่จำกัดแค่ในโรงงานหรือสำนักงานอีกต่อไป   ขณะที่ ‘แรงงาน’ ในวันนี้ ที่ยังรวมถึงนักสร้างสรรค์ นักเขียนโค้ด ฟรีแลนซ์ และ Digital Nomads ผู้เดินทางพร้อมงานในกระเป๋า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ผลักดันแนวคิด Work-Life Balance ให้เด่นชัดขึ้น   โดยแรงงานยุคใหม่เลือก ‘คุณภาพชีวิต’ ความยืดหยุ่นกลายเป็นปัจจัยสำคัญของงาน ขณะที่ความมั่นคงและสวัสดิการ เองยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของแรงงาน ทั้งในระบบและนอกระบบในวันที่โลกเชื่อมถึงกันหมด   Alternate-X สรุปให้  1 พฤษภาคมคือวันแรงงานสากล เริ่มจากการเรียกร้องสิทธิแรงงานในสหรัฐฯ ปี 1886 เหตุการณ์เฮย์มาร์เก็ตนำไปสู่การกำหนดวันแรงงาน เพื่อเรียกร้องชั่วโมงทำงานที่เป็นธรรม ขณะที่ประเทศไทยรับแนวคิดนี้อย่างเป็นทางการในปี 2499 สมัยจอมพล ป. จากยุคอุตสาหกรรมสู่ยุคดิจิทัล แนวคิดเรื่องแรงงานเปลี่ยนจากสายพานสู่ความยืดหยุ่น Digital Nomad และ Work-Life Balance ยังเป็นสิ่งที่แรงงานรุ่นใหม่ในโลก ให้ความสำคัญอยู่

May 1, 2025 / 0 Comments
read more

‘นันยาง’ เข้าใจเศรษฐกิจซึมๆ ส่งรองเท้ารุ่นสวยไม่ผ่านQC แต่ราคา-คุณภาพดี เจาะเปิดเทอม

BizKet,  EcoVative

ในปีนี้เศรษฐกิจชะลอตัว ‘นันยาง’ ห่วงกำลังซื้อผู้ปกครอง ย้ำนวัตกรรมเกินคุ้มเจาะตลาดรองเท้านักเรียนไทยมีมูลค่า 5 พันล. ทำรองเท้าแห่งอนาคต เข้าหาเด็กเจน Alpha เน้นใส่สนุกเชือกไม่ต้องผูก   ชัยพัชร์ ซอโสตถิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตรองเท้านันยาง เปิดเผยว่า จากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัวในช่วงนี้ แต่นันยาง ยังมองเห็นโอกาสสร้างการเติบโตผ่านความเข้าใจเชิงลึกในพฤติกรรมผู้บริโภค พัฒนาสินค้าที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ และสร้างความแตกต่างผ่านนวัตกรรมที่ไม่เหมือนใคร   ด้าน ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ทำตลาดรองเท้านันยาง กล่าวว่า จากแนวคิดการพัฒนารองเท้านันยางตามความต้องการเชิงลึกผู้บริโภคดังกล่าว ยังนำมาต่อยอดสู่การทำตลาดในช่วงเปิดเทอมปี 2568 นี้   โดยนันยาง จะมุ่งนวัตกรรมสินค้าและความคุ้มค่า เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคเศรษฐกิจชะลอตัว  พร้อมพัฒนารองเท้าเพื่อรองรับความต้องการของเด็กนักเรียนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดรองเท้าเด็กกลุ่ม Gen Alpha หรือชั้นประถม   ล่าสุด นันยางได้ออกแบบรองเท้ารุ่น “Nanyang Have Fun”  คุณสมบัติเบา นุ่ม และสวมใส่สบายเหมาะกับสรีระของเด็กเล็ก พร้อมนวัตกรรมสำคัญในช่วงโควิด-19 ด้วยการพัฒนา ‘เชือกยืดหยุ่น’ ทำให้ไม่ต้องผูกเชือกอีกต่อไป ลดการสัมผัสเชื้อโรคจากรองเท้า 10 เท่า   สำหรับการเปิดเทอมปีการศึกษา 2568 นันยางได้เปิดตัว ‘เชือกยืดหยุ่น 2.0’  พร้อมฟังก์ชันพิเศษ ‘ล็อก – ปลดล็อก’ เพิ่มความคล่องตัว ตอบโจทย์ทุกกิจกรรมการเรียนและการเล่น   พร้อมกันนี้ นันยาง ยังได้แนะนำสินค้าเก่าในรูปแบบใหม่ โดยนำรองเท้าที่ไม่ผ่านมาตรฐานด้านความสวยงามแต่ยังคงคุณภาพการใช้งาน 100% กลับมาจำหน่ายใหม่ในราคาพิเศษ ได้แก่   Nanyang Retake (มีตำหนิจากการผลิต) ราคา 269 บาท Nanyang Retry (มีรอยเปรอะเปื้อน) ราคา 169 บาท     ดร. จักรพล กล่าว “เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และตอบโจทย์สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและลดของเสียจากกระบวนการผลิต และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด Circular Economy ในโครงการ Nanyang Reborn” พร้อมเสริมว่า “คาดการณ์ว่าโครงการ Nanyang Reborn จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 140,000 kgCO₂e เสมือนการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ 7,000 ต้นในหนึ่งปี หรือการขับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันระยะทางรอบโลกได้ 20 รอบ”   ทั้งนี้ นอกจากการสร้างทางเลือกที่คุ้มค่าให้ผู้บริโภค ยังเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ขยายวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ สนับสนุนการผลิตและบริโภคที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น และเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิด Circular Economy ของนันยางให้เป็นรูปธรรม อีกด้วย   ดร. จักรพล กล่าวว่า สำหรับช่องทางการขาย นันยาง วางจำหน่ายสินค้าผ่านทั้งร้านค้าทั่วประเทศ ห้างสรรพสินค้า และช่องทางร้านค้าออนไลน์ทุกประเภท เพื่อรองรับพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้สะดวก พร้อมรับสิทธิพิเศษและโปรโมชันตามแต่ละช่องทาง เพื่อเพิ่มประสบการณ์การซื้อที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล   จากแผนดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าหมายเติบโตต่อเนื่องที่ 3-5% ในปีนี้ จากปัจจุบันนันยาง ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ1 ด้วยส่วนแบ่ง 45%  ของตลาดรองเท้านักเรียนคาดมีมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท   ขณะที่ตลาดรองเท้านักเรียนไทยมีผู้เล่นหลักประมาณ 10-15 ราย ใน และมีผู้เล่นรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 5 รายในช่วงปีที่ผ่านมา     Alternate-X สรุปให้ นันยางรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยนวัตกรรมรองเท้านักเรียน “Nanyang Have Fun” เจาะกลุ่มเด็ก Gen Alpha ด้วยเชือกยืดหยุ่นไม่ต้องผูก ลดการสัมผัสเชื้อโรค พร้อมเปิดตัวเวอร์ชัน 2.0 ล็อก-ปลดล็อกได้ เสริมสินค้า Retake และ Retry ราคาประหยัด เพื่อลดของเสียและส่งเสริม Circular Economy คาดลดคาร์บอนกว่า 140,000 kgCO₂e ตั้งเป้าเติบโต 3-5% ปีนี้จากตลาด 5 พันล้านบาท    

May 1, 2025 / 0 Comments
read more

นาราสิริ บางนา กม.10 บ้านหรู4 พันล. พรีเซลล์บ้านสู่คอลเล็กชั่นศิลปะ ‘YOU ARE MY HOME’

WeView

ระหว่างวันที่ 24-25 พ.ค.นี้ ‘แสนสิริ’ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เตรียมเปิดพรีเซลล์ ‘NARASIRI BANGNA KM.10 x PARNARTS’ บ้านหรูมูลค่าโครงการรวมกว่า 4,000 ล้านบาท ภายในแสนสิริ ลักซูรี่ คอมมูนิตี้ SANSIRI 10 EAST 165 ไร่   ในงานพรีเซลล์ครั้งนี้ แสนสิริ ยังได้เนรมิต ‘บ้าน’ สู่งานศิลป์ในแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นครั้งแรกในคอลเลคชั่นพิเศษ ‘YOU ARE MY HOME’                โดยครูปาน–สมนึก คลังนอก ที่มาร่วมตีความความงดงามของคำว่า “บ้าน” ผ่านผลงานศิลปะในแบบฉบับครูปาน มาจัดแสดงอย่างเป็นทางการ   โดยรายได้จากการจำหน่ายผลงานบางส่วนนำเข้าสมทบทุนมูลนิธิเสริมกล้าเพื่อช่วยเหลือเด็กในโครงการ ZERO Dropout     สำหรับผู้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการฯ นี้ได้เป็นอย่างดี คงเป็นใครไม่ได้นอกจาก ‘ศรีอำไพ รัตนมยูร’ ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เล่าถึงความสำเร็จการเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดลักซูรี่ และซูเปอร์ลักซูรี่ของประเทศ พร้อมตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ากลุ่ม HNWIs อย่างต่อเนื่อง   ล่าสุด เปิดตัวโครงการมาสเตอร์พีซแรกแห่งปี NARASIRI BANG NA KM.10    (นาราสิริ บางนา กม.10) ระดับราคา 60-150 ล้านบาท ภายใต้พอร์ตฯ Sansiri Luxury Collection บ้านเดี่ยวระดับลักซูรี่ เอ็กซ์คลูซีฟ ไพรเวท จำนวน 56 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท ภายใน SANSIRI 10 EAST ลักซูรี่ คอมมูนิตี้ บนพื้นที่ 165 ไร่ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท   โครงการฯ มีความโดดเด่นด้านต่างๆ อาทิ   ดีไซน์การออกแบบมาตรฐานด้วยกลิ่นอาย New York Renaissance Revival ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ตั้งอยู่บน The Best & Prime Location ทำเลที่คู่ควรและเหมาะสม Target profile ตอบรับความต้องการลูกค้าบนทำเลดังกล่าว ตลอดจนดีไซน์   สำหรับ NARASIRI BANG NA KM.10 อยู่บนทำเลติดถนนใหญ่บางนา – ตราด กม.10 มาพร้อมกับ Gated Community มอบความส่วนตัวสูงสุด ประกอบด้วย 4 รูปแบบบ้าน ได้แก่   NOHO No.6 พื้นที่ใช้สอย 687 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ และ ที่จอดรถ 4 คัน พร้อมลิฟท์ส่วนตัว NOHO No.5 พื้นที่ใช้สอย 540 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และ ที่จอดรถ 4 คัน พร้อมลิฟท์ส่วนตัว NOHO No.4 พื้นที่ใช้สอย 495 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และ ที่จอดรถ 3 คัน NOHO X แบบบ้าน New Design เปิดตัวครั้งแรกที่โครงการนี้ พื้นที่ใช้สอย 437 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และ ที่จอดรถ 3 คัน     เกี่ยวกับ NARASIRI   แบรนด์ที่แสนสิริ พัฒนาขึ้นและได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้าระดับ HNWIs ตลอดกว่า  20 ปี    เป็นเสมือนสินทรัพย์คอลเล็กชั่นอสังหาฯ ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งแสนสิริ ปรับเปลี่ยนการดีไซน์ให้เข้ากับลูกค้า Young Successors ยุคสมัยใหม่ ที่ประสบความสำเร็จเร็ว รวมทั้งยังมองหาโอกาสในการต่อยอดลงทุนจากสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต   แสนสิริ พัฒนาโครงการ NARASIRI มาแล้วรวมทั้งสิ้น 9 โครงการ ในหลากหลายโลเคชั่น ศักยภาพ อาทิ วัชรพล, กรุงเทพกรีฑา, นวมินทร์, ย่านฝั่งธน    

April 30, 2025 / 0 Comments
read more

เจนฯ 2 ‘ลัคกี้เฟลม’ ขอเป็นมากกว่าแบรนด์เตาแก๊ส ขยายสู่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก

BizKet

เชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัคกี้เฟลม จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดอุปกรณ์ประกอบการทำครัวเตาแก๊ส แบรนด์ ลัคกี้เฟลม (Lucky Flame) เปิดเผยว่าบริษัทฯ วางแนวทางการทำตลาดผลิตภัณฑ์ลัคกี้เฟลม นับจากนี้ไป จะเป็นมากกว่าแบรนด์สินค้าเตาแก๊ส หลังจากอยู่ในตลาดครบรอบ 50 ปีในปีนี้   พร้อมกันนี้ ลัคกี้เฟลม ยังให้ความสำคัญการพัฒนานวัตกรรมสินค้าทั้งด้านการออกแบบและฟังก์ชั่นการใช้งานใน 8 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย   กลุ่มเตาแก๊สและเตาไฟฟ้า กลุ่มเครื่องดูดควัน กลุ่มเตาอบ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เครื่องทำน้ำอุ่น กลุ่มอ่างล้างจานและก็อกน้ำ กลุ่มอุปกรณ์แก๊ส ผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจร้านอาหาร   “แบรนด์ลัคกี้เฟลม เพิ่มไลน์อัปทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก Small Appliance มาตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ซึ่งเป็นโอกาสการขายและขยายฐานผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ จากกลุ่มเดิมที่คุ้นเคยแบรนด์ในฐานะเตาแก๊ส ที่อยู่ในตลาดมานานร่วม 50ปี” เชาว์เลิศ กล่าว สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 นั้น ซึ่งเป็นความท้าทายและเป็นก้าวใหม่ของ ลัคกี้เฟลม ที่ดำเนินธุรกิจมาถึง 50 ปี โดยบริษัทฯ มุ่งสร้างธุรกิจไปในทิศทางเดียวกับโลกที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายสู่การเป็นแบรนด์ไทยที่มีศักยภาพระดับสากล พร้อมวางแผนทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ อาทิ   Nexus ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวอัจฉริยะ (Smart Kitchen Appliances) ประกอบด้วยเครื่องดูดควัน (Smart Hood) เตาแก๊ซแบบฝัง (Smart Built-in Gas Hob) เตาแก๊สอัจฉริยะ i-Hob สามารถเชื่อมต่อ Application บนสมาร์ทโฟน   “บริษัทฯ ให้ความสำคัญการทำสินค้าเน้นฟังก์ชั่นคู่ดีไซน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านได้ด้วย รวมถึงเพิ่มความฉลาดในเตาแก๊สรุ่นไอ-ฮอป ที่เชื่อมกับสมาร์ทโฟนของผู้ใช้งานให้สามารถตรวสสอบสภานะการทำงานของเตาแก๊สได้ หากไม่แน่ใจว่าปิดเตาแก๊สก่อนออกจากบ้านหรือยัง ซึ่งรุ่นนี้วางจำหน่ายราคา 24,900 บาท”   นอกจากนั้นยังเตรียมร่วมกับนักออกแบบดีไซเนอร์ชื่อดัง พัฒนาผลิตภัณฑ์ เตาไฟฟ้ารุ่น พิเศษ (Limited Edition) ฉลอง 50 ปี คาดเปิดตัวในไตรมาสสี่ ปีนี้   สำหรับแนวทางการทำตลาดลัคกี้เฟลม จากนี้ไปจะวางตำแหน่งเป็นแบรนด์สินค้าคุณภาพของคนไทยที่มีดีไซน์ในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมรักษาฐานในกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ (Mass Market) พร้อมให้ความสำคัญกลุ่มลูกค้าในเมืองและคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ประเภท Built-in และสินค้าสำหรับผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม ที่ต้องการความสะดวก ปลอดภัยและเหมาะสมกับพื้นที่จำกัด (Smart Function & Safety Innovation) พร้อมขยายการทำตลาดยุโรปในประเทศเยอรมันนี เป็นครั้งแรกจากก่อนหน้า บริษัทฯ มีตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และ ออสเตรเลีย เป็นหลัก   เชาว์เลิศ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้ใช้งบลงทุนต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทใน 3 ปีก่อนหน้า เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มในโรงงาน 2 แห่งตั้งอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด และ ย่านกิ่งแก้ว เพื่อทำตลาดทั้งในและต่างประเทศสัดส่วน 80% และ 20% ตามลำดับ และวางแผนปรับสัดส่วนเป็น 70% และ 30% ในอีก 5 ปีข้างหน้า   ขณะที่สินค้าภายใต้แบรนด์ลัคกี้เฟลม ทั้งหมดถือเป็นแบรนด์คนไทย ใช้ฐานผลิตประเทศไทย (Made in Thailand) ที่ได้รับมาตรฐานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การรันตีด้านความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค   “เครื่องหมายดังกล่าว มีความสำคัญอย่างมากต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อตั้งรับการเข้ามาของสินค้าประเภทเดียวกันจากประเทศจีน ที่จะทะลักเข้ามาในไทยมากขึ้น จากผลกระทบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ทำให้ประเทศหลังต้องหาตลาดเพื่อระบายการผลิตสินค้าออกจากประเทศจำนวนมาก โดยใช้กลยุทธ์การตัดราคาสินค้าที่ต่ำกว่าผู้เล่นท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ   สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มได้ 10%ในปี 2567 อยู่ที่ 950 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 3ปี จะเติบโตได้ถึง 1,200 ล้านบาท จากปัจจัยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด และร่วมกับพันธมิตรใหม่ พร้อมทำตลาดส่งออกต่างประเทศ มากขึ้น   Alternate-X สรุปให้ ลัคกี้เฟลม ก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ด้วยกลยุทธ์ขยายจากแบรนด์เตาแก๊สสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กครบวงจร พร้อมเน้นนวัตกรรมและดีไซน์ทันสมัย เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และตลาดคอนโดฯ ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรป เข้าตลาดเยอรมันนีเป็นครั้งแรกในปีนี้ พร้อมลงทุนต่อเนื่องเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและพัฒนา Smart Appliances เช่น i-Hob เชื่อมต่อมือถือตรวจสอบสถานะการทำงานของเตาแก๊ส ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 1,000 ล้านบาท และโตต่อเนื่องถึง 1,200 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า          

April 30, 2025 / 0 Comments
read more

เรื่องเล่าจากเตาแก๊ส ‘ลัคกี้เฟลม’ 50 ปีคู่ครัวไทย ถึงวันนี้ส่งไม้ต่อเจนฯ2 พาสู่รายได้พันล้าน

BizKet

Lucky flame  ลัคกี้เฟลม แบรนด์เตาแก๊ส สัญชาติไทย ที่เดินทางสู่ปีที่ 50 ในปี 2568 นี้  พร้อมการบอกเล่าของ ‘อมรรัตน์ ลีลาศวัฒนกุล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท และ หนึ่งในผู้ร่วมตั้งกิจการ ลัคกี้เฟลม ย้อนจุดเริ่มต้นกิจการครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อราวปี 2518 หลังสามี (คุณไชยยงค์ ลีลาศวัฒนกุล) มองเห็นโอกาสทำธุรกิจเตาแก๊ส ที่มีราคาสูงถึง 50-60%  ด้วยเป็นสินค้าที่ถูกบวกภาษีนำเข้าจาก ญี่ปุ่น และ ไต้หวัน  เพื่อนำเข้ามาขายในไทย ยุคนั้น   จากช่องว่างราคาเตาแก๊ส ที่สูงมาก ทำให้ ‘คุณไชยยงค์’ มองเห็นเป็นโอกาส ทางธุรกิจ โดยเสนอไอเดียให้เถ้าแก่โรงงานวัถตุอุตสาหกรรมไทยที่ ‘คุณไชยยงค์’ ทำงานอยู่ในเวลานั้น เป็นผู้ผลิตและขายสินค้าในราคาที่ไม่ต้องบวกภาษีนำเข้า   แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในยุคดังกล่าว ทำให้สินค้าเตาแก๊สที่ผลิตออกมาขายยังไม่ได้รับความนิยม บวกกับสินค้าที่ผลิตออกมามีวอลุ่มไม่มากนัก ทำให้ เถ้าแก่โรงงานฯ ตัดสินใจยกกิจการให้ คุณไชยยงค์ และ คุณอมรรัตน์ เพื่อไปทำต่อกันเอง   4 ปีผ่านไปถึงยุคสร้างแบรนด์    แต่ด้วยความอดทนของทั้งคู่ตลอดช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าในปีแรกจะมียอดขายราว 1 ล้านบาทเท่านั้น แต่ก็เชื่อว่าตลาดเตาแก๊สในไทยยังมีอนาคตรออยู่และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำให้ในอีก4 ปีถัดมา หรือในปี 2522 คุณไชยยงค์ มองว่าธุรกิจเตาแก๊สควรจะมียี่ห้อเพื่อสร้างแบรนด์และทำตลาดอย่างจริงจัง   “คุณไชยยงค์ เขียนคำว่าเปลวไฟเป็นภาษาจีนก่อน แล้วเราก็เอามาขยายต่อเป็นภาษาอังกฤษกับคำว่า Flame หมายถึงเปลวไฟเช่นกัน เลยบอกกับคุณไชยยงค์ ว่าถ้าอย่างนั้น ใช้คำว่า ลัคกี้เฟลม ไปเลยไหม?”   อมรรัตน์ เล่าพร้อมเสริมอีกว่า “ส่วนโลโก้ตอนนั้นเป็นรูปตะเกียง ก็มาจากไอเดียที่เรายังเป็นนิสิต มหาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วเรียนอยู่สายวิทย์ ซี่งต้องทำแล็บมีการใช้อุปกรณ์พวกตะเกียง ใช้เป็นตัวจุดกำเนิดของไฟในการทดลองต่างๆ เลยนำมาใช้เป็นโลโก้ของแบรนด์ ลัคกี้เฟลม”     เรียกได้ว่า จุดกำเนิดทั้งแบรนด์และโลโก้ ล้วนมาจากเรื่องใกล้ตัวของสองสามีภรรยา ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจแทบทั้งหมด     อมรรัตน์ เล่าอีกว่า จากจุดเริ่มต้นในครั้งนั้นพร้อมผู้ก่อตั้งอีก 3 ท่านที่ร่วมผลักดันกิจการให้ดำเนินไปต่อ ทำให้ ‘ลัคกี้เฟลม’ ขยายตัวอย่างต่อเนื่องพร้อมได้พันธมิตรต่างประเทศ โดยวมทุนกับบริษัท รินใน จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น จัดตั้ง บริษัท รินใน ประเทศไทย จำกัด ในปี 2533 เพื่อทำตลาดสินค้าแบรนด์รินใน ร่วมกันในไทยและยังดำเนินการมาถึงในปัจจุบัน   ในวันนี้ อมรรัตน์ ย้ำว่า ‘ลัคกี้เฟลม’ เป็นแบรนด์สินค้าของคนไทยที่ผลิตภายใต้ ‘Made in Thailand’ ที่สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และ เวียดนาม) ซึ่งจากนี้ไปมีแผนขยายการส่งออกไปยังตลาดยุโรป และเตรียมเข้าในประเทศเยอรมันนีในปีนี้   ขณะที่ในปีนี้ การเดินทางของ ลัคกี้เฟลม สู่ปีที่50 พร้อมเริ่มส่งไม้ต่อการบริหารธุรกิจไปยังลูกชาย (เชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล) ที่แม้จะนั่งตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ บริษัทฯ แต่รับบทบาทจริงในการบริหารอย่างเต็มตัวแล้ว   อมรรัตน์ เสริมว่า “คุณเชาว์เลิศ เข้ามารับหน้าที่บริหารลัคกี้เฟลมตั้งแต่ 15 ปีก่อน ถึงในตอนนี้มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะงานด้านพัฒนาและวิจัยโปรดักส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถนัด ทำให้จากนี้ไปลัคกี้เฟลม จะเป็นมากกว่าแบรนด์เตาแก๊ส ด้วยจะขยายไปยังตลาดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กในบ้าน อย่างเตาอบ เตาไมโครเวฟ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในกลุ่มใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ” พร้อมขยายความอีกว่า   “ในช่วงห้าปีแรกที่คุณเชาว์เลิศ เข้ามายังนั่งในโรงงานศึกษาภาพรวมต่างๆ แต่ตอนนี้ผ่านมาอีกสิบปีทำเรื่องพัฒนาธุรกิจมากขึ้น จากเมื่อก่อนเวลาไปคุยธุรกิจกับพาร์ทเนอร์ด้วยกัน แม่จะเป็นคนคุยแล้วลูกนั่งฟัง แต่ในตอนนี้เมื่อหลายอย่างเปลี่ยนไปตามยุคสมัย กลายเป็นว่าแม่ฟังแล้วลูกเป็นคนคุยแทน”      อมรรัตน์ เล่าทิ้งท้ายพร้อมชวนให้รำลึกถึงเส้นทางของลัคกี้เฟลม ก่อนจะมาถึงในวันนี้ว่า “ย้อนไป 50 ปีก่อน ลัคกี้เฟลม เป็นกิจการที่เกิดขึ้นจากห้องแถวเล็กๆในซอยอมรพันธ์ ย่านห้วยขวาง เจอเสียงคนแถวๆนั้นตำหนิบ่อยครั้ง ด้วยทำเสียงดังเกือบทุกวัน จากนั้นเมื่อตั้งโรงงาน คุณเชาวน์เลิศก็ต้องเข้ามาช่วยทำงาน เข้ามานั่งพับกล่อง ทำกล่องๆ ตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งเขาก็มีคำถามตามประสาเด็กๆ บ่อยครั้งว่า ทำไมเขาถึงไม่ได้ออกไปเล่นเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ซึ่งเราก็จะบอกกับเขาว่า เป็นเพราะเรามีหน้าที่ที่ต้องทำ และผลลัพธ์จะสะท้อนคืนกลับมาเมื่อลูกโตขึ้น”   ในวันนี้ ลัคกี้เฟลม ได้พิสูจน์ความสำเร็จตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ด้วยเป้าหมายยอดขาย 1,000 ล้านบาท ในปี 2568 นี้   Alternate-X สรุปให้  ลัคกี้เฟลม แบรนด์เตาแก๊สไทย เริ่มจากโอกาสธุรกิจในยุคถังแก๊สนำเข้าแพงเมื่อปี 2518 โดยผู้ก่อตั้ง ‘คุณไชยยงค์-คุณอมรรัตน์ ลีลาศวัฒนกุล’ ได้สร้างแบรนด์และโลโก้ขึ้นมาปี 2522 ตั้งชื่อ ‘ลัคกี้เฟลม’ และขยายธุรกิจร่วมทุนกับ รินไน ประเทศญี่ปุ่นในปี 2533 ปัจจุบันส่งไม้ต่อให้รุ่นลูก ‘เชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล’ พัฒนาสินค้าจากเตาแก๊สสู่เครื่องใช้ไฟฟ้า มุ่งสู่ยอดขายพันล้านในปี 2568 พร้อมขยายตลาดสู่ยุโรป 

April 30, 2025 / 0 Comments
read more

ปัญหาวนลูปภัยพิบัติน้ำในภาคเหนือทั้งหน้าแล้ง-หน้าฝน แก้ไม่จบเพราะขาดข้อมูลบริหารจัดการน้ำ

EcoVative

จากสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ผ่านมาของประเทศไทย ที่ต้องประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง และเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก รวมถึงการเกิดดินโคลนถล่มอย่างรุนแรงในช่วงฤดูฝน ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากยังขาดแคลนข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะข้อมูลปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำ   ไทยเบฟฯ ตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ   จากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 72 สถานี ให้กับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567   ขณะเดียวกัน ยังเพื่อช่วยเติมเต็มระบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำภาคเหนือ และภาคกลาง ครอบคลุมลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่าน ในการตรวจวัดข้อมูลสภาพอากาศ ปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญต่อการเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำได้อย่างทันท่วงที รวมถึงช่วยป้องกันความสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนจากภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน   โดยมี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วย ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) รับมอบเงินสนับสนุนการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 72 สถานี จาก นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายวิรัช เมฆสัมพันธ์ นางสาวน้ำฝน อังศุธรรังสี นายภัทริศร์ ถนอมสิงห์ และ ดร.นภัส พันธ์พงษ์เจริญ     ดึงข้อมูลจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติน้ำ   สำหรับการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ จำนวน 72 สถานี ประกอบด้วย   สถานีตรวจวัดปริมาณน้ำฝน จำนวน 52 สถานี สถานีตรวจวัดระดับน้ำ จำนวน 20 สถานี   โดยติดตั้งในพื้นป่าต้นน้ำลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคกลาง ปิง วัง ยม  และน่าน ครอบคลุม 11 จังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วย   เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา พิษณุโลก แพร่ ลำปาง ลำพูน สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร   เพื่อนำข้อมูลจากสถานีโทรมาตรอัตโนมัติที่ได้ถูกเชื่อมโยง และแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านเว็บไซต์คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ www.thaiwater.net และแอปพลิเคชัน ThaiWater มาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ เฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัย  และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   โดยคาดว่าโครงการนี้จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งจะสามารถนำไปสู่การขยายผลในระดับประเทศ เพื่อให้ทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสามารถวางแผน และบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม อย่างต่อเนื่อง   นอกจากนี้ ไทยเบฟ และสสน. ยังได้วางแผนจัดอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายในองค์กร รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เสี่ยงการเกิดอุทกภัย ให้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถติดตาม และประเมินสถานการณ์น้ำ เพื่อเป็นการยกระดับองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างยั่งยืน   Alternate-X สรุปให้ จากปัญหาภัยพิบัติน้ำในไทย ไทยเบฟสนับสนุนการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 72 สถานีในพื้นที่ป่าต้นน้ำภาคเหนือและกลาง ครอบคลุม 11 จังหวัด เพื่อเก็บข้อมูลฝนและระดับน้ำแบบเรียลไทม์ผ่านระบบ ThaiWater.net โครงการนี้ช่วยเสริมระบบเตือนภัยและบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมอบรมบุคลากรในพื้นที่เสี่ยง เพื่อยกระดับความรู้ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน  

April 29, 2025 / 0 Comments
read more

ตลาดอสังหาฯไตรมาส2 ‘แผ่นดินไหว-สงครามการค้า’ ทำต้นทุนวัสดุ ‘เหล็ก’ ขึ้นราคา-ค่าก่อสร้าง

BizKet

ครบ 1 เดือนหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลายรายต่างเร่งแผนฟื้นความเชื่อมั่นพร้อมให้การดูแลอย่างเต็มกำลังลูกบ้านในแต่ละโครงการฯ ด้วยวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ยังเป็นบทพิสูจน์การบริหารไครซิส ของธุรกิจอสังหาฯไทย เป็นอย่างดี     เช่นเดียวกับ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวถึงสถานการณ์แผ่นเดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา แม้จะเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่ผลกระทบได้ให้บทเรียนสำคัญในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์   โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ที่ต้องเผชิญแรงกดดันทั้งเชิงจิตวิทยาและจากภาวะเศรษฐกิจรอบด้าน ซึ่งกระทบต้นทุนก่อสร้างและภาพรวมเศรษฐกิจโลก   และในภาวะที่ตลาดกำลังเผชิญความไม่แน่นอนนี้ เสนา ได้ใช้ความได้เปรียบทางความรู้ความสามารถและประสบการณ์จากพันธมิตรญี่ปุ่น ‘บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป’ เร่งปรับกลยุทธ์เชิงรุก นำนวัตกรรมมาปรับใช้ทันที ผ่านแนวคิด Geo fit+ ที่มีขบวนการป้องกันและตั้งรับเหตุภัยพิบัติ จะนำมาใช้กับโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่ได้ทันที เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว   โดยเสนาฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบโครงการทั้งหมด 108 แห่ง ครอบคลุมคอนโดมิเนียม 62 โครงการ และโครงการแนวราบ 46 โครงการ รวมถึงโครงการเก่าที่แม้เสนาฯ จะไม่ได้เป็นนิติบุคคลบริหารโครงการพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทันทีที่ได้รับการติดต่อจากลูกบ้าน ภายใต้การขออนุญาตจากนิติบุคคลตามขั้นตอน   ‘ภาษีทรัมป์’ กระทบอสังหาฯไทยแน่นอน   ดร. ยุ้ย มองต่อถึงอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบในระดับมหภาค คือ การยกระดับสงครามการค้า ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง “ประเด็นนี้ถือว่ามีผลในระดับกว้างกว่าผลจากแผ่นดินไหว เพราะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก ซึ่ง เสนามองว่าในไตรมาส 2/2568 ตลาดคอนโดมิเนียมจะมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มไฮไรส์ แต่ในระยะยาวตลาดจะค่อย ๆ ปรับสมดุลได้เอง ซึ่งสิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และปรับตัวให้เท่าทันสถานการณ์”   ดร. ยุ้ย ย้ำว่า ในมุมของธุรกิจอสังหาฯ ปัจจัยที่น่ากังวล คือ ราคาวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   “ปีนี้เราจึงต้องรับมือกับความท้าทายถึงสองเรื่องในเวลาใกล้เคียงกัน ทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กระทบการท่องเที่ยว และมาตรการภาษีของทรัมป์ การบริหารความเสี่ยงในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น แต่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่เราได้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา” ดร.เกษรา กล่าว   ส่ง ‘LivNex-RentNex’ เจาะคนยุคใหม่   พร้อมกล่าวต่อ การพัฒนาโครงการในปี 2568 ยังคงดำเนินไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยเสนาฯ ใช้ประสบการณ์และองค์ความรู้ในการจัดการกับภัยพิบัติที่ไม่คาดฝัน มายกระดับมาตรฐานโครงการอย่างรอบคอบและทันที โดยระงับการก่อสร้างชั่วคราวจำนวน 6 โครงการ ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนก่อนเริ่มก่อสร้าง เพื่อนำนวัตกรรมและแนวทางการออกแบบด้านความปลอดภัยจากพันธมิตรญี่ปุ่น (HHP) มาปรับใช้ก่อนเดินหน้าก่อสร้างต่อไป โดยในระหว่างนี้ยังคงดำเนินการขายทั้ง 6 โครงการตามแผนงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ว่าโครงการเหล่านี้จะได้รับการพัฒนาในมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด รองรับทุกสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจในระยะยาว   ดร.ยุ้ย เสริมถึงการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวด การเข้าถึงที่อยู่อาศัยจึงกลายเป็นความท้าทายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภค เสนาฯ จึงได้พัฒนา “LivNex เช่าออมบ้าน” นวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถ “จ่ายค่าเช่า เท่ากับมีเงินออม” พร้อมโอกาสเปลี่ยนสถานะเป็นเจ้าของภายใน 3 ปี รองรับกลุ่มลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านในครั้งแรก   โดยมีหน่วยงานภายในของบริษัท ‘เงินสดใจดี’ ให้คำปรึกษาและวิเคราะห์เครดิตอย่างเป็นระบบ รวมถึงความร่วมมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อสร้างประวัติเครดิตและเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต   ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,000 ยูนิต สะท้อนความต้องการในตลาดและความเชื่อมั่นต่อรูปแบบการอยู่อาศัยทางเลือกใหม่นี้   ขณะเดียวกัน เสนาได้เปิดตัวโมเดลการเช่าแบบสมาชิก ‘RentNex’ ซึ่งออกแบบมาเพื่อกลุ่ม Generation Rent ที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น และมองการเช่าเป็นทางเลือกหลัก ‘RentNex’ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถสมัครสมาชิกเพื่อเข้าอยู่อาศัยในคอนโดฯ คุณภาพของเสนา โดยเริ่มต้นเพียง 6,700 บาทต่อเดือน รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารค่าใช้จ่ายและไม่ผูกมัดระยะยาว   แนวทางดังกล่าว ของเสนาฯ ยังเพื่อปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวมที่สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ด้วย   Alternate-X สรุปให้  หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว เสนาฯ เร่งสร้างความเชื่อมั่น ตรวจสอบทุกโครงการ พร้อมรับมือไครซิสอย่างเป็นระบบ ใช้ความร่วมมือกับพันธมิตรญี่ปุ่นพัฒนามาตรฐาน Geo fit+ ยกระดับความปลอดภัยในโครงการใหม่ พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบสงครามการค้า-ภาษีทรัมป์ ว่าเป็นความเสี่ยงเชิงมหภาคที่กระทบตลาดอสังหาฯ ไทย และยังมองหาโอกาสทางธุรกิจผ่านนวัตกรรมทางการเงิน เช่น LivNex เช่าออมบ้าน และ RentNex สำหรับกลุ่ม Gen Rent เสนาฯ เน้นการบริหารความเสี่ยงล่วงหน้า มุ่งสร้างความมั่นใจในทุกมิติของการอยู่อาศัยยุคใหม่

April 29, 2025 / 0 Comments
read more

‘สารัช’ ขยายเที่ยวเชิงเกษตร ทำพิพิทธภัณฑ์มะขามหวาน ชวนจอยโฮมสเตย์วิถีเพชรบูรณ์

BizKet

‘Sarach’ แบรนด์ต้นตำรับมะขามปรุงรสจี๊ดจ๊าด ที่อยู่ในตลาดมานานร่วม 20 ปี พร้อมแผนอนาคตขยายสู่ธุรกิจท่องเที่ยว ในระดับจังหวัดเพชรบูรณ์     ‘สารัช กมลธรไท’ หรือ ‘คุณแฟลช’ วัย 43 ปี ปัจจุบันนั่งเก้าอี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ทำตลาดผลิตภัณฑ์มะขามแปรรูป ‘สารัช’ (Sarach) ร่วมกับคุณแม่-สุภาลักษณ์ กมลธรไท ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจในยุคแรกๆ ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน   คุณแฟลช เล่าโปรไฟล์ส่วนตัวเล็กน้อย ต่อการเข้ามาบริหารธุรกิจร่วมกับคุณแม่ในบริษัทสารัช มาร์เก็ตติ้ง ในเกือบทันที หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการตลาด และการท่องเทื่ยวในระดับปริญญาตรี จากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล MUIC   ด้วยเจ้าตัวเองก็รู้เป็นอย่างดีเช่นกันว่า เส้นทางธุรกิจมะขามแปรรูปที่ครอบครัวสร้างขึ้นมานี้เป็นดั่ง ‘ข้อเสนอ’ ที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้   “ผมถือเป็นทายาทกิจการรุ่น 1.5 ครับไม่ได้เป็นรุ่น 2 เพราะทำงานร่วมกับคุณแม่ตั้งแต่เด็ก ในฐานะเด็กเดินมะขามถุงให้กับที่บ้านมาก่อน” สารัช แฟลช แบ็ค เรื่องราวในวันเยาว์ด้วยความสนุก   ถึงในวันนี้แบรนด์ ‘สารัช’ มะขามแปรรูปที่ผู้บริโภคคุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะสูตรมะขามจี๊ดจ๊าดในช่องทางร้านสะดวกซื้อ ซึ่งในปีนี้ สารัชฯ เตรียมกลับมาทวงแชมป์ยอดขายอันดับหนึ่งในตลาดมะขามแปรรูปมูลค่ากว่า พันล้านบาท   โดยเตรียมใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ปรับโฉมใหม่ (Refresh) แบรนด์ให้มีความสดใสมากขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี พร้อมแตกอีก3แบรนด์สินค้าใหม่ รวมทั้งสิ้นจะมี 4 แบรนด์เพื่อทำตลาดในทุกกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุม ประกอบด้วย   สารัช (SARACH TAMARIND) วางตำแหน่งเป็นแบรนด์หลัก ทำตลาดสินค้ามะขามแปรรูป จับกลุ่มเป้าหมายตลาดวงกว้างทั่วไป (Mass Market) Alisa จับกลุ่มเป้าหมายเด็กลง (Youngster) เพื่อรองรับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มสาวสมัยใหม่ ASHIRA SAN จับกลุ่มเป้าหมายทั่วไป โดยใช้นวัตกรรม และ รสชาติต่างๆ มาเพิ่มความสนุกให้กับแบรนด์ SARACH GOLD สารัช โกลด์ วางตำแหน่งเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์มะขามระดับ พรีเมี่ยม   สารัช บอกว่า ผลิตภัณฑ์ทั้ง 4แบรนด์นี้ จะทำให้สารัช มีสินค้ารวมกันไม่ต่ำกว่า 200 รายการ มากกว่า 30 รสชาติ มีราคาสินค้าแต่ละเอสเคยูเฉลี่ยตั้งแต่ 20-40 บาท ส่วนสารัช โกลด์ วางราคา 120 –  400 บาท   พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังเลือก ‘คุณแม่-สุภาลักษณ์ กมลธรไท’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์สารัช เพื่อตอกย้ำความเป็นตัวจริงในฐานะต้นตำรับมะขามแปรรูปแห่งเมืองเพชรบูรณ์ อีกด้วย   บริษัทฯ จะใช้กลยุทธ์การทำตลาดผ่านคอนเทนต์ (Content Marketing) พร้อมตั้งสำนักงานอีกหนึ่งแห่งในกรุงเทพฯ ย่านพระราม9 เพื่อดูแลการตลาดและทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรได้คล่องตัวมากขึ้น เพื่อผลักดันให้แบรนด์สารัช กลับมาเป็นที่จดจำและสร้างยอดขายขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในตลาดมะขามแปรรูป ทั้งในช่องทางร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store )และ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (Hyper Market) ภายในสิ้นปี 2568 นี้   โดยในปีนี้จะมียอดขาย 200 ล้าน และในปี 2570 คาดมียอดขายมากกว่า 300 ล้านบาท และ ขยับเป็นมากกว่า 500 ล้านบาทต่อปีในปี 2572 ซึ่งหมายความว่า สารัชฯ จะต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 3,000 ตัน/ปี และมีสินค้าใหม่อย่างน้อย 3 SKU พร้อมเป็นป้อนวัตถุดิบให้กับองค์กร และสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน รองรับทั้งห่วงโซ่มะขามสู่ตลาดสากล จากแนวทางนี้ บริษัทฯ ยังได้ทยอยลงทุนไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาทในการปรับปรุงโรงงานเพื่อรองรับทุกตลาดในต่างประเทศ พร้อมผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกตลาด เพื่อผลักดันการเติบโตในตลาดต่างประเทศ มากกว่า 50 %   ปักหมุก ‘หล่มเก่า’ แหล่งเที่ยวเชิงเกษตร   สารัช เล่าต่อถึงแผนธุรกิจใหม่ในอนาคต ของอาณาจักรสารัช ที่จะไม่หยุดแค่ธุรกิจผลไม้แปรรูปมะขามและอื่นๆ ด้วยยังมองไปต่อถึงการสร้างแลนด์มาร์คใหม่ๆ ในเมืองหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นจุดเช็คอินการท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agritourism) ในอนาคต อีกด้วย   โดยนำหลักคิดการเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนมะขามที่มีอยู่มารวมกันเป็นคลัสเตอร์เพื่อจัดเส้นทางการท่องเที่ยวเยี่ยมชมวิถีการเกษตรชุมชนท้องถิ่นที่มี ‘มะขาม’ เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเฉพาะสวนมะขาม GI ที่มีอัตลักษณ์ประจำถิ่น   “ในญี่ปุ่นมีฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมและทำกิจกรรมตัดลูกสตรอว์เบอรี่กินกันสดๆ เราก็อยากทำให้เมืองหล่มเก่า เพชรบูรณ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของไทยที่ทำได้แบบนี้” สารัช บอกอีกถึงโปรเจกต์ส่วนตัว ที่วางไว้ในอนาคต คือ การนำบ้านหลังเก่าที่ครอบครัวเคยอยู่อาศัยร่วมกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ที่ปัจจุบันเป็นหน้าร้านขายสินค้าของฝากของที่ระลึกแบรนด์สารัช มะขามแปรรูป ที่ตั้งอยู่ในอำเภอหล่มเก่า       โดยจะนำบ้านหลังนี้ มาปรับปรุงโฉมใหม่ ด้วยจะเป็นทั้งพิพิทธภัณฑ์ ที่เล่าเรื่องราวทั้งผลไม้เศรษฐกิจ มะขามเมืองเพชรบูรณ์ และ เส้นทางแบรนด์สารัช มะขามแปรรูป จากจุดเริ่มต้นถึงในปัจจุบัน พร้อมเติมพื้นที่ห้องพักในรูปแบบ ‘Home Stay’ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนและต้องการสัมผัสวิถีการใช้ชีวิตท้องถิ่นในจังหวัดเพชรบูรณ์ อย่างลึกซึ้ง อีกด้วย     นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาโรงแรมที่พักในรูปแบบรีสอร์ต ซึ่งจะตั้งอยู่ในที่ดินโครงการ สารัช แทมมาริน ฮิลล์’ (Sarach Tamarind Hill) บนพื้นที่ 12 ไร่ ในอำเภอหล่มเก่า เพชรบูรณ์ ซึ่งวางตำแหน่งให้เป็น ‘แลนด์ มาร์ค’ ที่รวบรวมสินค้าของฝากจากเมืองมะขามหวาน พร้อมด้วยคาเฟ่ BOOGA BOOGA และ ร้านขนมจีนเส้นสดสูตรดั้งเดิม (ย่าสนม) เพื่อต้อนรับทุกคนที่เดินทางมาเมืองเพชรบูรณ์แห่งนี้     “โปรเจกต์ใหม่ทั้งรีสอร์ตและโฮมสเตย์ คาดจะได้เห็นความชัดเจนราว 3-5 ปีหน้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเก็บข้อมูลรายละเอียดด้านต่างๆ ด้วยมองว่าจะสร้างโอกาสทางประสบการณ์ด้านอื่นๆให้กับแบรนด์สารัชในอนาคตได้ด้วย”คุณแฟลช กล่าวทิ้งท้าย Alternate-X สรุปให้  แบรนด์ ‘สารัช’ มะขามปรุงรสในตำนาน เตรียมรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ พร้อมแตกไลน์ 4 แบรนด์รองรับตลาดทุกกลุ่ม พร้อมทุ่มงบลงทุนกว่า 50 ล้านบาททำตลาดและลงทุนโรงงาน พาสู่เป้าหมายยอดขายแตะ 500 ล้านบาทภายในปี 2572 นอกจากนี้ ยังวางแผนขยายธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตรในหล่มเก่า เพชรบูรณ์ สร้างแลนด์มาร์คใหม่ทั้งโฮมสเตย์ พิพิธภัณฑ์ และรีสอร์ต    

April 28, 2025 / 0 Comments
read more

วิมาน (มะ) ขาม ธุรกิจทั้งหวานและเปรี้ยว ก่อนจะเป็น ‘สารัช’ มะขามแปรรูป เพชรบูรณ์

EcoVative

‘แม่หมู-สุภาลักษณ์ กมลธรไท’ อดีตคุณครูสอนเลขโรงเรียนมัธยม จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มองเห็นจังหวะการทำธุรกิจจากสินค้าเกษตรมะขามหวาน’ ‘ตัวตึง’ ของดีประจำจังหวัด   พร้อมนำผลผลิตเข้าสู่กระบวนการแปรรูปมาทำตลาดสินค้าภายใต้แบรนด์ สารัช (Sarach) มะขามแปรรูป เป็นครั้งแรกเพื่อส่งขายในช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น  400 สาขาภาคเหนือ มาตั้งแต้ปี 2547 ถึงปัจจุบันแบรนด์เดินทางมาร่วม 20 ปีแล้ว   สุภาลักษณ์ กมลธรไท ผู้ก่อตั้ง/กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ก่อนจะสร้างแบรนด์-เร่ขายมาก่อน   ‘แม่หมู’ วัย 69 ปี ในวันนี้ เล่าจุดเริ่มต้นธุรกิจยังมาจากประสบการณ์วัยเด็กของตัวเอง มักช่วยแม่ (ย่าสนม) ซึ่งเป็น ‘คนหล่ม’ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ต้องเดินทางไปค้าขายผลไม้ต่างเมืองบ่อยครั้ง จนทำให้รู้จักมะขามสายพันธ์ต่างๆ เป็นอย่างดี   บวกกับความชอบค้นหาข้อมูลต่างๆ จากหน้าหนังสือพิมพ์ยุคนั้น ที่สอนวิธี ‘เกษตรแปรรูป’ มาประยุกต์สูตรเพื่อปรุงรสชาติเพิ่มมูลค่าให้กับ ‘มะขาม’ และสร้างความต่างไปจากมะขามหวานทั่วไป  ก่อนนำไปเร่ขายในแหล่งชุมชนต่างๆ   ถือเป็นจุดเริ่มต้นตำรับกิจการมะขามหวานแปรรูป นับตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา ในกลุ่มพี่น้องของแม่หมูที่ปัจจุบันได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว เหลือเพียง ‘แม่หมู’ คนเดียวที่ยังทำธุรกิจมะขามแปรรูปมาต่อเนื่องในวันนี้   โดยในช่วงนั้น ‘แม่หมู’ ยังเคยเป็นแม่ค้าขนสินค้ามะขามแปรรูป ทั้ง 5 รสชาติ อย่าง มะขามคลุก, มะขามแก้ว, มะขามกวน, มะขามแช่อิ่ม และ มะขามจี๊ดจ๊าด เข้ามาขายที่ ตลาดมหานาค กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ 50 ปีก่อนหน้า พร้อมกับออกร้านขายของในแหล่งชุมชน และจังหวัดใกล้เคียงต่างๆ ของเมืองเพชรบูรณ์ เป็นระยะ   อาจเรียกได้ว่า ธุรกิจมะขามสารัช มีจุดเริ่มต้นจากตลาดงานวัด นั่นเอง!!   กระทั่งกิจการมะขามเริ่มไปได้ด้วยดี ทำให้ แม่หมู ตัดสินใจลาออกจากงานประจำอาชีพครู เข้าสู่ธุรกิจมะขามแปรรูปต็มตัวในปี 2548 โดยนำสินค้าเข้าจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น 400 สาขาในภาคเหนือ ภายใต้แบรนด์ ‘สารัช’ ซึ่งเป็นชื่อของลูกชาย ไปพร้อมกับแผนปรับปรุงโรงงานครั้งใหญ่   โดยก่อนหน้าได้จัดตั้งบริษัทในปี 2545 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และเพิ่มทุนจดฯเป็น 50 ล้านบาทในปี 2559 พร้อมเพิ่มทุนอีกครั้งเป็น 100 ล้านบาทในปี 2562 จนมาถึงในยุคปัจจุบัน   สารัช กมลธรไท ทายาทรุ่น 1.5 สารัช มะขามแปรรูป และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด   แม่หมู แทรกเกร็ดการเลี้ยงลูกชายซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์มะขามแปรรูป ให้ฟังว่า “ตอนที่สารัชยังเรียนชั้นประถมและมัธยม แม่จะไม่ให้ค่าขนมลูกเลย แต่จะให้เอามะขามมัดถุงเล็กๆ ของที่บ้านไปขาย ได้เงินเท่าไหร่ถือเป็นค่าขนมไปเลยแล้วกัน”   เมื่อเพลี่ยงพล้ำต้องกลับมาทบทวน   ในวันนี้ ‘สารัช’ มะขามแปรรูปได้ปรับแผนธุรกิจพร้อมรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ให้มีความรัดกุมและครอบคลุมทั้งกลุ่มเป้าหมายและช่องทางขาย ทั้งในร้านค้าสะดวกซื้อและไฮเปอร์มาร์เก็ต มากขึ้น   เพื่อนำแบรนด์ ‘สารัช’ คืนสู่ผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดค้าปลีกมะขามแปรรูปมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท ให้ได้ในปีนี้   ด้วยปัจจุบันแบรนด์ ‘สารัช’ มะขามแปรรูป อยู่อันดับ ‘ท็อปทรี’ ในภาพรวมตลาดหลังเพลี่ยงพล้ำส่วนแบ่งไปเมื่อช่วงแพร่ระบาดโควิดราว 5 ปีก่อน จากยอดขายที่ลดลงในร้านสะดวกซื้อที่ส่วนใหญ่สาขาถูกควบคุมเวลาเปิดปิดในช่วงดังกล่าว ทำให้แบรนด์คู่แข่งมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งในเวลานั้น ‘สารัช’ ไม่ได้โฟกัสตลาดช่องทางนี้ แต่อย่างใด   จากสถานการณ์ครั้งนั้น ทำให้แบรนด์ต้องหันกลับมาทบทวนแผนการทำตลาดในช่องทางขายใหม่ให้มีความสมดุลในสัดส่วนร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ 50-60% และ 40-50% ในไฮเปอร์ มาร์เก็ต ในปัจจุบัน   พร้อมจัดพอร์ตสินค้าใหม่ทั้ง 4 แบรนด์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ‘สารัช’ (SARACH TAMARIND) Alisa, ASHIRA SAN  และ SARACH GOLD โดยมี ‘สารัช กมลธรไท’ ลูกชายและกรรมการผู้จัดการบริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เป็นผู้ทำตลาด   สร้างระบบนิเวศมะขาม GI   พร้อมกันนี้ แม่หมู ยังเข้ามาทำงานใกล้ชิดกับชาวสวน ‘มะขามหวาน’ ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยหลักคิดการทำมะขามต้นเตี้ย เพื่อไม่ให้ทรงพุ่มชนกันเมื่อต้นมะขามมีอายุมากขึ้น     “หากพุ่มกิ่งก้านต้นมะขามชนกัน ย่อมหมายถึงผลมะขามจะลดลงตามไป ด้วยดอกมะขามที่ให้ผลผลิตมักจะหันหน้าออกตามแสงแดดที่ส่องออกมาเสมอ และหากพุ่มไม้หนาแน่นติดกันจนแสงส่องมาไม่ถึงต้นมะขามก็ย่อมออกดอกและติดผลได้ยากเช่นกัน” ​   ขณะที่การทำมะขามต้นเตี้ย จะต้องทิ้งระยะห่างการปลูกประหว่างต้น 12×12 เมตร เพื่อให้ได้มะขามที่มีคุณภาพและง่ายต่อการเก็บผลผลิตอีกด้วย โดยมะขามต้นเตี้ยที่มีอายุราว 40 ปี จะเริ่มทยอยตัดกิ่งทุกๆ สองถึงสามปี เพื่อให้ต้นเตี้ยลง ซึ่งมะขาม จะใช้ระยะเวลาปลูกราว 3-5 ปีจึงจะสามารถเก็บผลิตได้ต่อครั้งต่อปี ในทุกช่วงปลายเดือนธันวาคม-เมษายน   “สารัช มะขามแปรรูป จะทำงานร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่หลากหลาย รวมถึงชาวสวนมะขาม GI จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีรสชาติเอกลักษณ์ โดยสารัชฯ จะเข้ารับซื้อผลผลิตจากเครือข่ายชาวสวนมะขามในจังหวัดที่ปัจจุบันรับเหมาไปแล้วกว่า 80% ของผลผลิตที่ปลูกได้ทั้งหมด เพื่อรับประกันความแท้ของรสชาติมะขามหวานเพชรบูรณ์ภายใต้แบรนด์สารัช” แม่หมู ย้ำ   พร้อมเสริมว่า ในช่วงที่ผ่านมา สวนมะขามหวานในจังหวัดเพชรบูรณ์ เคยเผชิญกับความท้าทายของกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาตั้งล้งรับซื้อผลผลิตโดยตรงจากชาวสวนและจูงใจด้วยการจ่ายเงินสดให้ ‘ทันที’ ตามราคากลาง หรือเคยมีบางรายที่ใช้กลยุทธ์ตัดราคาขายมะขามหน้าตลาดให้ถูกลงกว่าก็มี   แม่หมู บอกว่า การเข้ามาของทุนต่างชาติในครั้งนั้น ยังทำให้มาตรฐานการตัดเกรดคุณภาพมะขามหวานเพชรบูรณ์เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยแยกขนาดและข้อมะขามตามความสมบูรณ์ของฝัก เพื่อกำหนดราคาด้วยคุณภาพที่แตกต่างออกไป ซึ่งวิธีการของทุนต่างชาติดังกล่าว ส่งผลกระทบให้ตลาดมะขามท้องถิ่นเพชรบูรณ์ในช่วงหนึ่งกลายเป็นมะขามคละเกรดที่ผสมกันทั้งขนาดและฝัก รวมอยู่ในลังเดียว   “สุดท้ายแล้วตลาดจะเป็นคนตัดสินจริงๆ ว่าต้องการคุณภาพสินค้ามากกว่า ที่แม้ว่าบางเจ้าจะทำราคาถูกกว่าหนึ่งบาทต่อกิโลกรัมหน้าตลาด แต่แล้วก็กลับมาหาแบรนด์สารัช ที่ขายคุณภาพแม้จะมีราคาสูงกว่าก็ตาม”     ปัจจุบัน แม่หมู ยังเป็นประธานกลุ่มคลัสเตอร์มะขาม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่มะขามหวานอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 12-13 กลุ่ม รวมกว่าหลายหมื่นไร่ และรวมทั้งจังหวัดมีจำนวนมากกว่าแสนไร่   เพื่อพัฒนาคุณภาพมะขาม จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ได้ราคาดีมีคุณภาพ โดยเฉพาะหากเป็นมะขาม GI เพชรบูรณ์ จะมีราคาสูงกว่ามะขามทั่วไปราว 30%  ที่ปัจจุบันมีเกษตรกรกว่า 100 รายที่รับการันตีสินค้ามะขาม GI เพชรบูรณ์   อาณาจักร Sarach Tamarind Hill   ปัจจุบัน สารัช มะขามแปรรูป มีแผนใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มจากเดิมมีความต้องการอยู่ที่ 2,000-3,000 ตันต่อปี ทำสินค้ามะขามแปรรูปออกมาได้ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านชิ้นต่อเดือน แบ่งเป็นกลุ่มมะขามจี๊ดจ๊าด 6-7 แสนชิ้นต่อเดือน     โดยสินค้า ทำตลาดทั้งในและส่งออกต่างประเทศในรูปแบบการสั่งซื้อเข้ามา (PO) ในประเทศต่างๆ อาทิ  ออสเตรเลีย, ยุโรป , สหรัฐอเมริกา และกัมพูชา เป็นต้น ซึ่งหากรวมตลาดส่งออกด้วยแล้ว คาดมะขามแปรรูปจะมีมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท จากตลาดผลไม้แปรรูปคาดมีมูลค่าราว 4,000-5,000 ล้านบาท     สำหรับโรงงานสารัชฯ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ อําเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเป็นเซ็นเตอร์ดูแลกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในอนาคต รวมถึงยังสร้าง ‘สารัช แทมมาริน ฮิลล์’ (Sarach Tamarind Hill) บนพื้นที่ 12 ไร่ เพื่อเป็น ‘แลนด์มาร์ค’ ใหม่ของเพชรบูรณ์ ที่รวบรวมสินค้าของฝากจากเมืองมะขามหวาน พร้อมด้วยคาเฟ่ BOOGA BOOGA และ ร้านขนมจีนเส้นสดสูตรดั้งเดิม (ย่าสนม) เพื่อต้อนรับทุกคนที่เดินทางมาเมืองเพชรบูรณ์แห่งนี้   แม่หมู ทิ้งท้ายว่า ตลอด 50 ปีของแบรนด์สารัชมะขามแปรรูป เจอกับทั้งความท้าทายและโอกาสของธุรกิจดั่งรสชาติของมะขามที่มีทั้งหวานและเปรี้ยวเช่นกัน ซึ่งในวันนี้ ‘แม่หมู’ ยังสนุกกับการทำงานอยู่พร้อมวางแผนไม่อำลาวงการมะขามแปรรูปอย่างแน่นอน   ด้วยหากจะต้องเกษียณจริงๆ แม่หมู แสดงเจตนารมณ์ไว้ชัดเจนว่า ขอห้องแล็บเพื่อนั่งทำงานวิจัยและพัฒนาสินค้ามะขามหวาน ของดีประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ต่อไปเรื่อยๆ ก็พอใจแล้ว   Alternate-X สรุปให้ ‘แม่หมู-ศุภาลักษณ์ กมลธรไท’ จากครูสอนเลขสู่เจ้าของแบรนด์ ‘สารัช’ มะขามแปรรูป ที่สานต่อธุรกิจจากประสบการณ์วัยเด็กจนเติบโตยาวนานกว่า 50 ปี พร้อมการรีเฟรชแบรนด์ เพื่อขยายตลาดสู่ทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้การบริหารร่วมกับลูกชาย ‘สารัช กมลธรไท’ ด้วยการสร้างระบบเกษตรแปลงใหญ่มะขามหวาน GI จังหวัดเพชรบูรณ์ และปั้น Sarach Tamarind Hill เป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองเพชรบูรณ์ ในปัจจุบันอีกด้วย  

April 27, 2025 / 0 Comments
read more

เกือบเป็นแบรนด์’รักชาติ’มะขามแปรรูปไปแล้ว

Zcreat

‘แฟลช-สารัช กมลธรไท’  MD บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด พาสื่อมวลชนเยี่ยมชมฮาณาจักร ‘สารัช’ มะขามแปรรูป จังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมย้ำว่า ตัวเองเป็นทายาทรุ่น 1.5 ไม่ใช่รุ่น 2 ของกิจการ เพราะเข้ามาช่วยครอบครัวทำธุรกิจจากการเอามะขามแปรรูปไปขายตามแหล่งต่างๆ เรียกว่ามี ‘มะขาม’ เป็นเพื่อนยากมาตั้งแต่วัยเด็ก สารัช บอกแผนใหญ่ในปีนี้ จะลุยการตลาดอย่างหนัก เพื่อสร้างแบรนด์ ‘สารัช’ พร้อมทวงบัลลังค์ No.1 มะขามแปรรูป รสชาติต่างๆ ในช่องทางขายทั้ง ร้านสะดวกซื้อ และ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ให้ได้ภายในสิ้นปี2568 หลังเพลี่ยงพล้ำ ‘มาร์เก็ต แชร์’ ให้กับคู่แข่งไปเมื่อตอนโควิดที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากพอร์ตช่องทางขายสินค้าไม่สมดุล พร้อมส่งซับแบรนด์อย่าง Alisa, ASHIRA SAN และ Sarach Gold เข้ามาเสริมการทำตลาดแบรนนด์หลัก สารัช อีกด้วย เขาเล่าอีกว่า  2 แบรนด์ลูกอย่าง  Alisa และ ASHIRA SAN เป็นชื่อ ลูกสาว และ ลูกชาย ของเขาเอง เช่นเดียวกับที่ ‘แม่หมู’ ศุภาลักษณ์ กมลธรไท’ ผู้ก่อตั้งธุรกิจ และได้ใช้ชื่อของเขามาสร้างแบรนด์ธุรกิจ เช่นกัน สารัช ทิ้งเรื่องเล่าที่เป็นตำนานบนโต๊ะกินข้าวครอบครัว ‘กมลธรไท’ ให้ฟังว่า อันที่จริงเราอาจจะไม่ได้เห็นแบรนด์มะขามแปรรูปใช้ชื่อ ’สารัช‘ เหมือนในวันนี้ก็ได้ ด้วยในตอนจังหวะที่เขาเกิดนั้น เป็นเวลาแปดโมงเช้าพร้อมกับเสียงเพลงเคารพธงชาติดังขึ้น และตัวเขาเองได้ร้องอุแว้ ออกมาพอดี ทำให้ ‘คุณพ่อ’ มุ่งมั่นอย่างมากจะตั้งชื่อให้ลูกชายคนแรกคนเดียวว่า ‘รักชาติ’ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ในวันนี้หลายคนคงได้กิน ‘รักชาติ มะขามจี๊ดจ๊าด’ แทนแบรนด์แทน ‘สารัช’  ไปแทนกันแล้ว

April 26, 2025 / 0 Comments
read more

Brandname Money บอกแบรนด์เนมหรูไม่ใช่แค่ ‘ของมันต้องมี’ แต่เป็นการลงทุนของคนรุ่นใหม่

BizKet

‘ปพน มนัสภากร’ นักธุรกิจที่อยู่ในวงการอะไหล่รถยนต์มานานกว่า 20 ปี กับการหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ หลังหวั่นใจจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเข้ามาดิสรัปต์อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยในอนาคต   จากความกังวลในสถานการณ์ดังกล่าว ได้แปรสู่การบริหารความเสี่ยงธุรกิจเดิมที่มีอยู่ และ เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักทำให้ ‘เขา’ ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยน (Trading) สินค้าลักซูรี่ แบรนด์เนม โดยใช้ความชื่นชอบเป็นทุนเดิม   โดยเฉพาะในหมวดนาฬิกาหรูหรา อย่างแบรนด์ Rolex (โรเล็กซ์) Richard Mille (ริชาร์ด มิลล์) Patek Philippe (ปาเต็ก ฟิลลิปป์) ที่ ‘เขา’ ไล่ซื้อเก็บและลงทุน จนกลายเป็นของสะสมส่วนตัว มาตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมา กระทั่งต่อยอดสู่ความเขี่ยวชาญในการ ‘ดูของ’ แบรนด์เนมนาฬิกาหรู ถึงในระดับ Expert โดยปริยายไปด้วย   เรียกว่า เมื่อเห็นของปุ๊ป หรือแค่เห็นรูปที่ส่งมาให้ดู เขาใช้เวลาแค่ 5 นาทีก็ตีราคาประเมินนาฬิกาหรูแบรนด์นั้นได้แล้ว   จากแพสชั่นบวกกับความชำนาญด้านนี้ ได้นำไปสู่การทำธุรกิจล่าสุดสินเชื่อสินค้าแบรนด์เนมระดับลักซูรี่ Brandname Money ในฐานะ ‘ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร’ (CEO) บริษัท แบรนด์ มันนี่ จำกัด ซึ่งก่อตั้งเมื่อเดือน มิถุนายน ปี2567 ที่ผ่านมา ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท   ปพน บอกว่า ธุรกิจใหม่นี้ นอกเหนือจากแพสชั่นและความชอบเก็บสะสมไอเทมแบรนด์เนมลักซูรี่โดยเฉพาะนาฬิกา ตลอดช่วงที่ผ่านมา ยังทำให้เขามองเห็นโอกาสทางธุรกิจในตลาดนี้ที่พบว่ามีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องอีกด้วย   จากการเก็บข้อมูลพบว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดการซื้อขายสินค้าแบรนด์เนม ลักซูรี่ ในประเทศไทย มีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 4,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และคาดว่าในปี 2567-2571 จะขยายตัว 5.62% ทำให้ประเทศไทย ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของมูลค่าตลาดสินค้าแบรนด์เนมในอาเซียน   ขณะที่สิงคโปร์ มูลค่าตลาดอยู่ที่ 4,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ช้าลงที่ 3.49%  ส่วนมูลค่าตลาดสินค้าแบรนด์เนม ‘ลักซูรี่แฟชั่น’ของโลกอยู่ที่ 145.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2567       “สินค้าแบรนด์เนมลักซูรี่ในไทย ขยายตัวขึ้นตามกลไกความต้องการในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่ขยายตัวสูงในช่องทางธุรกิจออนไลน์ ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา” ปพน กล่าวพร้อมเสริมว่า   ต่อการได้ครอบครองสินค้าแบรนด์เนมลักซูรี่ทั้งในไอเทมหรือคอลเล็กชั่นที่ชื่นชอบในกลุ่มเป้าหมายที่นอกจากให้ผลทางด้านจิตใจและการสะท้อนถึงความสำเร็จทางสังคมแล้ว ในปัจจุบันสินทรัพย์ลักซูรี่แบรนด์เนมประเภมต่างๆ อาทิ กระเป๋า, เครื่องประดับ และนาฬิกา ยังเป็นสินทรัพย์เพื่อใช้เป็นแหล่งทุนสำรองในอนาคต ได้อีกด้วย   “เรายังเห็นเพนพอยต์ ทั้งจากส่วนตัวและคนใกล้ชิดว่าไอเทมลักซูรี่แบรนด์บางชิ้นที่เป็นคอลเล็กชั่นพิเศษ ซึ่งเราต้องการเป็นเจ้าของแต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ต้องการใช้จ่ายในครั้งเดียวให้กับสินค้าชิ้นนั้น เช่น นาฬิกาหรูบางรุ่นมีมูลค่าราว 1.2 ล้านบาท แต่บางครั้งเราอยากใช้เงินเพียงส่วนหนึ่งไว้ก่อนและเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งไว้กับตัวเองเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางสภาพคล่องธุรกิจในช่วงเวลานั้นๆ พร้อมกันด้วย ทำให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากช่องว่างนี้” ปพน ให้รายละเอียด     3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อแบรนด์หรู   ขณะที่ บริษัทแบรนด์เนม มันนี่ จดทะเบียนในหมวดธุรกิจ การให้สินเชื่ออื่นๆซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น โดย บริษัทฯ สามารถดำเนินการด้านบริการสินเชื่อเช่าซื้อและขายฝากแบรนด์เนม สินค้าทั้ง 3 กลุ่ม คือ กระเป๋า นาฬิกา เครื่องประดับ ลักซูรี่ แห่งเดียวในประเทศไทย และแห่งแรกในโลก   ปัจจุบันให้บริการผลิตภัณฑ์สินเชื่อ 3 รูปแบบ  ได้แก่   สินเชื่อแบบ ผ่อนไป ใช้ไป ให้ลูกค้าได้ครอบครองแบรนด์เนมที่ต้องการได้ทันทีหลังได้รับอนุมัติ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต เพียงดาวน์เริ่มต้น 30% ของราคาสินค้า จุดเด่น ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.99% ต่อเดือน ผ่อนนานสูงสุด 24 เดือน อนุมัติไวภายใน 3 วัน กลุ่มเป้าหมาย ผู้ที่ต้องการแบ่งชำระค่าใช้จ่าย และมีรายได้ประจำ สินเชื่อแบบ ผ่อนจบ รับของ เป็นสินเชื่อเพื่อแบรนด์เนม ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์เนม โดยไม่ต้องมีภาระผูกพันทางการเงินมากนัก จุดเด่น เงื่อนไขดาวน์เริ่มต้น 30% ของราคาสินค้า เมื่อผ่อนจบรับสินค้าไปเลยทันที ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.25% ต่อเดือน อนุมัติ ภายใน 1 ชั่วโมง ไม่ตรวจสอบเครดิตบูโร ผ่อนนานสูงสุด 10 เดือน กลุ่มเป้าหมาย ผู้ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการตรวจเช็คเครดิตในการเป็นเจ้าของแบรนด์เนม บริการขายฝาก โดยให้บริการขายฝากนาฬิกา กระเป๋า และเครื่องประดับลักซูรี่แบรนด์เนม จุดเด่น ระบบเก็บรักษาสินค้าของลูกค้าไว้อย่างปลอดภัยในตู้นิรภัยมาตรฐานสากล ลูกค้า จะได้รับเงินทันทีภายใน 1-2 ชั่วโมง   “แบรนด์เนมไม่ใช่แค่ทรัพย์สิน แต่ยังเป็นโอกาสให้ผู้คนสามารถใช้สินทรัพย์ที่มีคุณค่าเหล่านี้ในการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน โดยไม่ต้องเสียของรักไป”  ปพน ย้ำพร้อมเสริมอีกว่า “ในช่วงที่ผ่านมา คนไทยรุ่นใหม่นิยมใช้สินค้าแบรนด์เนมมากขึ้น ทั้งซื้อเพื่อเป็นรางวัลให้ตัวเอง มีคุณค่าทางจิตใจ และยังเป็นการสร้าง ภาพลักษณ์ ที่แสดงถึงความมีรสนิยม และในบางส่วนมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ทั้งกระเป๋า นาฬิกา รวมทั้งเครื่องประดับที่เป็นแบรนด์ลักซูรี่” จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้แบรนด์หรูระดับโลกเหล่านี้ ใช้ดารา นักร้องหรือไอดอลของไทยเป็นพรีเซนเตอร์และแบรนด์แอมบาสเดอร์มากขึ้น พร้อมกับการเข้ามาเปิดช็อปแบรนด์เนมในไทยมากขึ้น   แบรนด์เนม = การลงทุนสินทรัพย์   ปพน กล่าวว่า จุดแข็งของ Brandname Money คือ ดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติไว และขั้นตอนการสมัครไม่ยุ่งยาก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของแบรนด์เนมได้อย่างมั่นใจและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น  ที่สำคัญบริษัทฯ ยังมีความเชี่ยวชาญในสินค้าลักซุรี่ทำให้รู้ราคาตลาด สามารถให้วงเงินสินเชื่อที่สูงกับลูกค้าได้เหมาะสม   “สินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่แค่ทรัพย์สินทั่วไป แต่เป็นโอกาสให้ผู้คนสามารถใช้สินทรัพย์ที่มีคุณค่า ในการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้ โดยแบรนด์เนม มันนี่ มีเป้าหมายที่จะช่วยให้สินค้าแบรนด์เนมกลายเป็นโอกาสทางการเงินสำหรับทุกคน” ปพน กล่าว พร้อมเสริมว่า   นอกจากนี้  Brandname Money ยังมีพันธมิตร ที่เป็นร้านขายสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำมากกว่า 40 ร้าน  และยังรับสมัครร้านค้าที่ต้องการขยายฐานลูกค้า ไปยังกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อแบรนด์เนมผ่อนได้   โดย แบรนด์เนม มันนี่ จะดูแลเรื่องสินเชื่อให้ลูกค้าของร้าน โดยร้านค้าจะได้รับเงินค่าสินค้าเต็มจำนวน และให้ลูกค้ามาผ่อนสินค้ากับแบรนด์เนม มันนี่ โดยปัจจุบัน บริษัทมีสถาบันการเงิน และนักลงทุน Investor  หลายกลุ่ม สนใจติดต่อเข้ามาขอเป็นพันธมิตร แต่ยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา   เพิ่มพอร์ตสินเชื่อพันล.ใน3 ปี   ปพน กล่าวว่า การทำธุรกิจ Brandname Money ในช่วงไม่ถึง 1 ปี ที่ผ่านมา ได้ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว ประมาณ 100 ล้านบาท แบ่งเป็น   สินเชื่อขายฝากกว่า 80 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อ หรือ ผ่อนไปใช้ไปประมาณ 15 ล้านบาท ผ่อนจบ รับของอีก 4-5  ล้านบาท โดยคาดว่าสิ้นปีนี้มูลค่าพอร์ตสินเชื่อจะจบปีที่ 300 ล้านบาท   โดยวางเป้าหมายภายใน 3 ปีนี้หน้า หรือราวปี 2571 จะเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเป็น 1,000 ล้านบาท  และหลังจากนั้นมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมเงินทุนมาขยายธุรกิจที่คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต   สินค้าแบรนด์เนม โตสวนศก.ซึม   ปพน ย้ำว่า “ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี แต่ธุรกิจสินเชื่อแบรนด์เนมยังสามารถเติบได้  เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะมีความต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนมมากขึ้น ทำให้มีการใช้สินเชื่อเพื่อซื้อแบรนด์เนมหรือสินค้า LUXURY มากขึ้น แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือฝืดเคือง สินเชื่อขายฝากก็มีโอกาสเติบโตขึ้นได้ เพราะมีลูกค้านำทรัพย์สินแบรนด์เนมของตัวเอง มาแปลงเป็นเงินสดเพื่อให้มีสภาพคล่องทางการเงิน โดยใช้บริการสินเชื่อขายฝาก เช่นในภาวะเศรษฐกิจขณะนี้”นายปพนกล่าว   Alternate-X สรุปให้  ‘ปพน มนัสภากร’ เห็นโอกาสเปลี่ยนแบรนด์เนมหรูเป็นแหล่งทุนสำรอง สร้างธุรกิจสินเชื่อ Brandname Money ต่อยอดแพสชั่นนาฬิกาหรูสู่บริการผ่อนแบรนด์เนมและขายฝากครบวงจร ด้วยเห็นโอกาสว่าสินค้าแบรนด์เนมวันนี้ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่เป็นการลงทุนที่เพิ่มสภาพคล่องได้ Brandname Money ชูจุดแข็งดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติไว เก็บรักษาทรัพย์สินปลอดภัย ตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อแตะ 1,000 ล้านบาทใน 3 ปี พร้อมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ

April 26, 2025 / 0 Comments
read more

เคสดาราจำนำเครื่องประดับหรู….ให้เอาสัญญามาคุยกัน

Zcreat

ณัฐจุฑา ปุณณธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ หรือซีโอโอ(COO) บริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด  บอกว่า ในการพิจารณาสินเชื่อ แบรนด์เนม มันนี่ จะมีการจัดการความเสี่ยง Risk Management ทั้ง ระบบสมัครสินเชื่อ ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ด้วยข้อมูลของลูกค้าถูกเก็บอย่างปลอดภัยตามมาตรฐาน PDPA ระบบอนุมัติสินเชื่อ เครดิต สกอริ่ง พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลเครดิตได้เที่ยงตรงแม่นยำ ด้วยระบบอนุมัติสินเชื่อเพื่อสินค้าแบรนด์เนมโดยเฉพาะ   ที่สำคัญยังมีระบบติดตามหนี้ ระบบจัดเก็บหนี้ และ ระบบจัดเก็บสินค้า ด้วยตู้นิรภัยมาตรฐานสากล อีกด้วย   ณัฐจุฑา บอกอีกว่า การที่ Brandname Money ดำเนินการในรูปแบบบริษัทอย่างจริงจัง ทำให้ทุกการทำธุรกรรมทั้ง 3 รูปแบบ สินเชื่อแบบผ่อนไปใช้ไป , สินเชื่อแบบผ่อนจบรับของ และ บริการขายฝาก จะต้องอยู่ภายใต้การทำสัญญาที่มีกฎหมายรองรับ เพื่อความมั่นใจและสบายใจ ให้ทั้งสองฝ่าย   พร้อมยกถึงเคสล่าสุด ที่เกิดขึ้น กรณีอดีตดารานักแสดงหญิง ท่านหนึ่งที่เป็นไวรัลดังในสื่อออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา ได้นำไฮ-จิวเวลรี่ เครื่องประดับแบรนด์หรูมาขายฝาก พร้อมรับเงินไปจำนวนหนึ่งแล้วนั้น แม้ว่าปัจจุบัน อดีตนักแสดงหญิงรายดังกล่าวจะอยู่ต่างประเทศก็ตาม   โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างติดตามพร้อมดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่างๆ พร้อมย้ำว่า บริษัทฯ ยังเก็บเครื่องประดับชิ้นดังกล่าวไว้ตามสัญญาที่ได้ทำร่วมกันไว้กับอดีตนักแสดงหญิงรายนั้น ซึ่งหากมีการนำเงินมาชำระพร้อมดอกเบี้ยตามที่ได้ตกลงไว้ ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทฯ พร้อมส่งมอบทรัพย์คืนกลับไปตามสัญญาฯที่ระบุไว้ชัดเจน เช่นกัน   เธอทิ้งท้ายว่า จากการทำธุรกรรมด้วยสัญญาที่รัดกุมในครั้งนั้น ทำให้ Brand Money มีโอกาสติดตามการทำธุรกรรมในรูปแบบการฝากทรัพย์แล้วรับเงินไปก่อนได้อย่างต่อเนื่องตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งในวันที่เกิดเคสนี้ขึ้นนั้นอดีตดารานักแสดงหญิงรายนี้จะมีบุคลิกที่ดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก และนำไปสู่การอนุมัติสินเชื่อในที่สุด   อย่างไรก็ตาม ด้วยขั้นตอนต่างๆ ที่ล่วงมาถึงในขณะนี้แล้วนั้น บริษัทมั่นใจว่าจากทำธุรกรรมที่ตกลงกันไว้ตามสัญญา จะเป็นสิ่งการันตีความถูกต้องในทุกด้าน ได้ดีที่สุด 

April 26, 2025 / 0 Comments
read more

โรงแรมมณเฑียรติดแกลม ทุนใหม่อิกไนท์ฯซื้อ 2.5 พันล. แต่ไม่ต้องห่วง ‘ข้าวมันไก่’ ในตำนานยังอยู่

BizKet

โรงแรมมณเฑียร (Montien Hotels)  เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 ปัจจุบันมีอายุ 58 ปี ด้วยจุดเด่นเอกลักษณ์การออกแบบอาคารโรงแรม โดยหม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมแห่งแรก ๆ ของประเทศไทยที่บริหารจัดการโดยชาวไทยทั้งหมด   ปัจจุบันโรงแรมมณเฑียรมีทั้งสิ้น 2 สาขา ได้แก่   โรงแรมมณเฑียรกรุงเทพ ตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 4 ตรงข้ามกับสถานเสาวภา และ อีกด้านของที่ตั้งเปิดออกสู่ถนนสุรวงศ์ตรงข้ามกับถนนพัฒน์พงศ์ โรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ ตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 3 ด้านหน้าติดถนนพระราม 3 ด้านหลังติดแม่น้ำเจ้าพระยา   นอกจากความโดดเด่ดเชิงสถาปัตยกรรมของโรงแรมที่ให้กลิ่นอาย ‘Thainess’ แล้ว โรงแรมมณเฑียร ถนนสุรวงศ์ แห่งนี้ยังมีตำนานแห่งความอร่อยอย่างเมนู ‘ข้าวมันไก่’ ที่เปิดให้บริการที่ห้องอาหารเรือนต้น มานานหลายทศวรรษ เช่นกัน   โดยผู้เป็นเจ้าของและบริหารงานโรงแรมมณเฑียร มาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน คือตระกูล ‘ตันตกิตติ์’ ผู้ก่อตั้ง คือ คุณวรรณ ตันตกิตติ์ และเข้าสู่การบริหารของทายาทรุ่นสอง คุณบุญเนตร-คุณหญิงทิพยวรรณ ตันตกิตติ์ และ ทายาทรุ่นสาม  คุณมณเฑียร ตันตกิตติ์   อย่างไรก็ตามล่าสุด โรงแรมมณเฑียร บนถนนสุรวงศ์ มีการซื้อขายครั้งประวัติศาสตร์ หลัง บริษัท อิกไนท์ เวนเจอร์ จำกัด กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ได้เข้าซื้อกิจการโรงแรมมณเฑียรใจกลางสีลม ซึ่งครอบคลุมโรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ โรงแรมระดับตำนานที่มีห้องพักกว่า 500 ห้อง พร้อมด้วยสุรวงศ์ เรสซิเดนซ์ 179 ห้อง มณเฑียร ช้อปปิ้งมอลล์ และพื้นที่จอดรถ ด้วยมูลค่าสูงถึง 2,500 ล้านบาท ในระยะเวลา 25 ปี   ต่อการเข้าซื้อกิจการครั้งสำคัญนี้ นำโดย เจด พาร์ทเนอร์ส (Jade Partners)บริษัทเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาดโดยมีผู้บริหาร ได้แก่ พนล ลีลามานิตย์, ธัญธร ณัฐธัมม์, เอเดรียน ลี ,ธีรภัทร ตั้งจิตนบ และบริษัทลงทุนระดับโลกอย่าง ออร่า กรุ๊ป (Aura Group) โดยเข้าถือสิทธิการเช่าระยะยาวจากสภากาชาดไทย บนพื้นที่ 10 ไร่ใจกลางย่านธุรกิจสีลม   พร้อมกันนี้ อิกไนท์ เวนเจอร์ ยังได้แต่งตั้ง Conduit House ผู้ประกอบการโรงแรมไทยที่มีประสบการณ์ เข้ามาบริหารโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อผสานมุมมองเชิงกลยุทธ์กับความเชี่ยวชาญภาคสนาม เสริมสร้างชื่อเสียงของมณเฑียรในฐานะแบรนด์บริการระดับโลก เพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารจัดการ อีกด้วย   ธัญธร ณัฐธัมม์ หุ้นส่วนจัดการ เจด พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้ดูแลคนใหม่ของแบรนด์มณเฑียร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและความผูกพันที่มีมาอย่างยาวนานกับกรุงเทพฯ เราจะพัฒนาและสานต่อด้วยความใส่ใจ พร้อมทั้งนำพาโรงแรมสู่อนาคตด้วยวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล”     ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่     สำหรับการทำธุรกรรมครั้งนี้ บริษัท ตันตกิตติ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิการเช่ารายเดิมจะยังคงถือหุ้นส่วนน้อยใน อิกไนท์ เวนเจอร์ เพื่อรักษาความต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่ยุคใหม่แห่งการเติบโตเชิงกลยุทธ์ โดยบริษัทฯ ยังยึดมั่นในพันธกิจของสภากาชาดไทย และรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างองค์กรและสืบสานมรดกของโรงแรมมณเฑียร   โดยดีลครั้งนี้ ยังคาดว่าจะช่วยคืนชีวิตชีวาให้กับถนนสุรวงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในย่านการค้าที่สำคัญและดำเนินมาอย่างยาวนานของกรุงเทพฯ อีกด้วย   สู่มาตรฐานบริการ ‘เวริลด์ คลาส’   ด้าน พนล ลีลามานิตย์ กรรมการ อิกไนท์ เวนเจอร์ กล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้น อิกไนท์ เวนเจอร์ จะมุ่งพัฒนาโรงแรมให้มีมาตรฐานระดับโลกในกลุ่มโรงแรม 4.5 ดาว ที่มีการบริหารจัดการโดยองค์กรเอกชนและสามารถแข่งขันกับแบรนด์ชั้นนำทั้งในกรุงเทพฯ และระดับสากล ผ่านการยกระดับการบริการ อาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนการปรับปรุงห้องพักและพื้นที่โดยรอบ   โดยแผนการปรับปรุงโรงแรมและพื้นที่โดยรอบจะเริ่มได้เร็วๆ นี้ โดยในระยะแรกจะเน้นในส่วนของห้องพักแขก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในปลายปีนี้   “การปรับปรุงโรงแรมของเราจะช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าพัก อีกทั้งส่งเสริมให้มณเฑียร สุรวงศ์ เป็นจุดหมายปลายทางด้านการบริการชั้นนำของภูมิภาคนี้” นายพนล กล่าวพร้อมเสริมว่า   “อุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง และไม่เคยทำให้ผิดหวัง พิสูจน์ได้จากความสำเร็จที่ผ่านมา และล่าสุดยังสามารถเติบโตได้ดีเกินคาด”   ต่อความเคลื่อนไหวในธุรกิจโรงแรมครั้งนี้ ยังถือเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ของโรงแรมมณเฑียรซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 58 ปี ชื่อ “มณเฑียร” มีความหมายว่า “เรือนหลวง” สื่อถึงการต้อนรับอันอบอุ่นแบบไทย เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ และความเป็นเลิศด้านการบริการ ซึ่งอิกไนท์ เวนเจอร์ (Ignite Venture) มุ่งมั่นที่จะสืบสานและยกระดับให้ดียิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม ในส่วนของห้องอาหารเรือนต้น พร้อมด้วยเมนูระดับตำนาน อย่างข้าวมันไก่โรงแรมมณเฑียร แน่นอนว่าจะยังคงอยู่พร้อมเสิร์ฟรสชาติแห่งความเป็นไทยให้กับทุกคนที่มาเยือน เช่นเดิม   Alternate-X สรุปให้  อิกไนท์ เวนเจอร์ กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่เข้าซื้อกิจการโรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท พร้อมที่ดิน 10 ไร่ใจกลางสีลม เตรียมยกระดับสู่มาตรฐาน “เวิลด์คลาส” ด้วยแนวคิดบริหารแบบ Smart Hospitality ผนึก Conduit House ดูแลการบริหาร ยังคงเอกลักษณ์อาคารไทยร่วมสมัย และตำนาน “ข้าวมันไก่ห้องอาหารเรือนต้น” ไว้ดังเดิม ดีลครั้งนี้ช่วยปลุกชีพย่านสุรวงศ์ และสะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดย โรงแรมมณเฑียรมีอายุ 58 ปี และเป็นหนึ่งในโรงแรมบริหารโดยคนไทยแห่งแรก ๆ ของประเทศ                          

April 24, 2025 / 0 Comments
read more

Watsons ปรับพอร์ตสินค้ารับ 10 ปีหน้ากำลังซื้อสูงวัยพุ่ง 30% สวยอย่างเดียวไม่พอต้องสุขภาพดีด้วย

BizKet

นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกความงาม วัตสัน (Watsons) ‘วัตสัน’ เข้ามามาทำธุรกิจในไทยสู่ปีที่ 29 ในปัจจุบัน โดยมุ่งให้ความสำคัญการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยและไปพร้อมการทำตลาดด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ทั้งผลิตภัณฑ์แบรนด์ชั้นนำ สินค้าภายใต้แบรนด์วัตสัน (Own brand) พร้อมขยายไลน์สินค้าใหม่ในกลุ่มสุขภาพ เพื่อเข้าถึงความต้องการเชิงลึกในกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด   นอกจากนี้ วัตสัน ยังปรับกลุ่มเป้าหมายการทำตลาดในรูปแบบ แบ่งตามพฤติกรรม (Behavior) ของลูกค้า โดยจัดสินค้าที่เหมาะสมในแต่ละทำเลสาขาที่เข้าไปเปิดให้บริการ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไป อาทิ สินค้าในสาขาวัตสันในหัวเมืองใหญ่ แหล่งชุมชน และ สถานที่ท่องเที่ยว   “การทำตลาดมิกซ์ แบบผสมผสานของวัตสันตลอดช่วงที่ผ่านมากว่า 20 ปี เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สนับสนุนให้ธุรกิจมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง” นวลพรรณ กล่าว พร้อมเสริมว่า   ขณะที่กลุ่มลูกค้าหลักของวัตสัน ในไทยปัจจุบันสัดส่วน 88% เป็นกลุ่มผู้หญิง และ สัดส่วน 12% เป็นกลุ่มผู้ชาย มีอัตราการใช้จ่ายสินค้าเฉลี่ยตั้งแต่ 1,000 บาทต่อเดือน มีสินค้าแบรนด์ชั้นนำวางจำหน่ายราว 5,000 รายการ (SKUs) และมีสินค้าโอนแบรนด์ภายใต้วัตสันราว 800 เอสเคยู และมีแผนเพิ่มสินค้ากลุ่มหลังอีก 150 เอสเคยูในอนาคต เน้นกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ (Health & Welness) เพื่อให้ผู้บริโภคคนไทยมีโอกาสเข้าถึงสินค้าความสุขภาพได้มากขึ้น ซึ่งจะมีราคาต่างกับสินค้าเพื่อสุขภาพแบรนด์ต่างๆ ราว 20-30% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์กลุ่มเพื่อสุขภาพวัตสันเติบโต 30%   นวลพรรณ กล่าวว่า แผนดำเนินงานฯ ดังกล่าวยังเพื่อรองรับการขยายตัวตลาดเพื่อสุขภาพในอนาคต และมีความต้องการดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย คาดการณ์ในอีก 10 ปีหน้า ราวปีคศ. 2035 สังคมสูงวัยจะขยายสัดส่วนเป็น  30% จากในปี 2025 มีสัดส่วน 20%   “การทำธุรกิจตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา วัตสันเป็นแบรนด์ร้านค้าปลีกที่โดดเด่นเรื่องความงาม หรือ บิวตี้ ซึ่งจะยังรักษาจุดนี้ไว้แต่จะขยายไลน์ไปด้านเพื่อสุขภาพมากขึ้น”  นวลพรรณ กล่าว   ขณะที่ในปีนี้ วัตสัน วางแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 55 สาขาจากในปีก่อนอยู่ที่ราว 50 สาขา โดยจะไปพร้อมกับการขยายตัวของผู้พัฒนาโครการศูนย์การค้าต่างๆ ในทำเลกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดสัดส่วนใกล้เคียงกัน 50%  จากปัจจุบัน วัตสัน มีสาขา 750 แห่ง ครอบคลุม 77 จังหวัด   พร้อมกันนี้ วัตวัน จะนำแนวคิด Health is Beauty, Beauty is Health ประกอบด้วย 6 กลยุทธ์หลัก คือ มุ่งขยายเครือข่าย, สร้างนวัตกรรม, ขยายไลน์สินค้าใหม่ เสริมบริการสุขภาพ และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เพื่อรองรับการเติบโตเทรนด์สุขภาพและความงามที่เติบโตแบบก้าวกระโดด และมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ร้านค้าปลีก Smart Beauty & Wellness   โดยวางเป้าหมายการเติบโตธุรกิจต่อเนื่อง สอดคล้องกับตลาดค้าปลีกสินค้าและความงามในไทยในปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตแต่ยังชะลอตัวเมื่อเทียบกับในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่ง วัตสัน มีการเติบโตมากกว่าตลาดในภาพรวม   Alternate-X สรุปให้  วัตสัน ประเทศไทย เดินหน้าปรับพอร์ตสินค้า เน้นสินค้ากลุ่มสุขภาพควบคู่ความงาม วางกลยุทธ์ตลาดตามพฤติกรรมผู้บริโภค พร้อมขยาย Own Brand และสินค้าใหม่กว่า 150 รายการ กลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นผู้หญิง 88% มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 1,000 บาทต่อเดือน เตรียมรองรับการเติบโตของสังคมสูงวัย ซึ่งจะเพิ่มเป็น 30% ในปี 2035 ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่อง พร้อมเปิดสาขาเพิ่มเป็น 55 แห่ง และมุ่งสู่แบรนด์ Smart Beauty & Wellness

April 24, 2025 / 0 Comments
read more

อัปสกิล 200 คอร์ส ‘AI’ ไมโครซอฟท์ ให้เรียนฟรี รับตลาดแรงงาน โลกอนาคต  

BizKet

ไมโครซอฟต์ วาง ‘ไทย’ 1ใน20 ประเทศสำคัญ ยกระดับทักษะเอไอ ให้คนไทย 1 ล้านคนเรียนฟรีในปี68 ลงทุนล้านดอลลาร์ฯ ทำโครงการ THAI Academy   ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ระดับโลก ‘ไมโครซอฟท์’ (Microsoft) กล่าวว่า ไมโครซอฟต์ ให้ความสำคัญต่อการลงทุนในไทยผ่านความร่วมมือด้านเทคโนโลยี โดยร่วมมือกับรัฐบาลไทย สนับสนุนให้ประชาชนในทุกกลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงและรู้เท่าทัน (Literacy) ปัญญาประดิษฐ์ (AI)   โดยไมโครซอฟท์ ใช้งบลงทุนราว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา พร้อมร่วมกับรัฐบาลไทยและพันธมิตรร่วม 35 องค์กร เปิดโครงการ ‘THAI Academy’ เพื่อยกระดับปรับปรุง และเพิ่มทักษาการเรียนรู้ AI รวม 200 หลักสูตรที่ครอบคลุมทุกด้านตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นพื้นฐาน ความชำนาญเฉพาะทาง ไปจนถึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ฯลฯ เนำมาให้คนไทยเรียนรู้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย   “ไมโครซอฟท์ ได้นำโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ เข้าไปทำงานร่วมกับรัฐบาลประเทศต่างๆ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งใน 20 ประเทศที่ทยอยเปิดตัวโครงการพร้อมๆกัน โดยมีเป้าหมายยกระดับทักษะคนไทยมากกว่า 1 ล้านคน ภายในปี 2568 นี้”   โครงการฯ นี้ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผู้สนใจ สามารเข้ามาเรียนรู้ผ่าน AI Skills Navigator แพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้าน AI เพื่อคนไทยทุกคน นับตั้งแต่ผู้เริ่มต้นใช้งาน บุคคลทั่วไป คนทำงานเฉพาะทาง โดยมีหลักสูตรไฮไลท์สำหรับผู้เริ่มเรียนรู้ใน 3 ระดับ ได้แก่   AI Basics – ปูพื้นฐานตั้งแต่ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI ประวัติศาสตร์และที่มาเบื้องหลังนวัตกรรม และพื้นฐานในการเริ่มใช้งาน AI Skills for Everyone – หลักสูตรรวบรัดที่เจาะพื้นฐานการใช้งานเครื่องมือ AI บนแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์ในสถานการณ์ประจำวันอย่างถูกต้อง แม่นยำ และได้ผลจริง Azure AI: Zero to Hero – เปิดประตูให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์และนักศึกษาก้าวสู่โลกของคลาวด์และ AI อย่างเต็มตัว กับพื้นฐานในการสรรสร้างเครื่องมือและโซลูชันพลังงาน AI เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน   ทุนมนุษย์ ตัวแปรโลกอนาคต   ธนวัฒน์ กล่าวว่า “การลงทุนคนในทักษะ AI วันนี้ จะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย”   ทั้งนี้ ข้อมูลจาก LinkedIn ชี้ให้เห็นว่า   70% ของทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานส่วนใหญ่ในอนาคตจะแตกต่างไปจากปัจจุบัน โดยมีตำแหน่งงานที่ต้องการทักษะการใช้งาน AI เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า   สำหรับ ผู้สนใจสามารถเริ่มเรียนรู้ทักษะ AI ด้วยตนเองผ่าน AI Skills Navigator ได้แล้ววันนี้ที่ https://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากเนื้อหาทั้ง 200 หลักสูตรที่รวบรวมไว้ในที่เดียวแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถแนะนำหลักสูตรที่เหมาะสม ตรงตามเป้าหมายและความสนใจที่แตกต่างกันไปของผู้เรียนแต่ละคน   บทสรุป ไมโครซอฟท์เปิดโครงการ “THAI Academy” ยกระดับทักษะ AI ให้คนไทยกว่า 1 ล้านคนภายในปี 2568 โดยไทยเป็น 1 ใน 20 ประเทศเป้าหมายทั่วโลก โดยลงทุน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วมกับรัฐบาลและ 35 องค์กรพันธมิตร พัฒนา 200 หลักสูตรครอบคลุมตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นพัฒนาโปรแกรม เปิดให้เรียนฟรีผ่านแพลตฟอร์ม AI Skills Navigator ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับทุกระดับผู้ใช้งาน ตั้งแต่บุคคลทั่วไปจนถึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ด้วยหลักสูตรเด่น ได้แก่ AI Basics, AI Skills for Everyone และ Azure AI: Zero to Hero ไมโครซอฟท์เชื่อว่าทักษะ AI คือกุญแจสำคัญสู่อนาคตแรงงาน โดย LinkedIn ชี้ว่าทักษะที่จำเป็นในอนาคตจะต่างจากปัจจุบันถึง 70% และ AI เป็นทักษะที่เติบโตเร็วถึง 6 เท่า

April 22, 2025 / 0 Comments
read more

ส่อง ‘บูธไทย’ ใน EXPO 2025 โอซากา – มีไฮไลท์ อะไรว้าว?!? ทำทั่วโลกแห่เช็คอินไม่ขาดสาย

WeView

เริ่มแล้วงานแสดงนิทรรศการระดับโลก EXPO 2025 OSAKA, KANSAI, JAPAN นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ในปีนี้มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมงานจำนวน 158 ประเทศ   สำหรับอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ตั้งอยู่ในพื้นที่ A13 โซน Connecting  Lives เป็นหนึ่งในอาคาร Self-Build Pavilion มีการออกแบบและดำเนินการก่อสร้างเอง     โดยแนวคิดการออกแบบ ‘ไทย พาวิลเลียน’ นำศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณผสานเข้ากับวิธีก่อสร้างสมัยใหม่ที่งามสง่า โดดเด่นด้วยการออกแบบหลังคาที่เป็นลักษณะ ‘ทรงจอมแห’ ให้เป็นทรงครึ่งจั่วประกอบกับการใช้ผนังกระจกขนาดใหญ่   ขนาบข้างอาคารยาวตลอดแนวเป็นการสร้างเทคนิคภาพสะท้อน ทำให้เห็นความเป็นสถาปัตยกรรมของไทย อันสมบูรณ์และงดงามแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา ถือเป็น 1 ในพาวิลเลี่ยนที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก     ในวันแรกของการเปิดตัว ‘อาคารแสดงประเทศไทย’ (Thailand Pavilion ) ได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างท่วมท้นและเนื่อง ด้วยวันที่ 13 เมษายน เป็นวันแรกที่เปิดให้เข้าชมงานตรงกับวันสงกรานต์ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย จึงได้หยิบยก ‘เทศกาลสงกรานต์’ มรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการยกย่องจากยูเนสโก มาเป็นการแสดงสุดยิ่งใหญ่ ชุด “อาทิตย์อุทัย กึกก้องทั่วหล้า มหาสงกรานต์” ผ่านการแสดง ‘นาฏลีลาทุงษะเทวีศรีสงกรานต์’ เพื่อเชื่อมต่อคนทั้งโลกให้เข้าถึงประเทศไทย และได้รับเสียงปรบมือดังจากผู้ชมอย่างกึกก้อง     พร้อมกันนี้ผู้เข้าชมงานส่วนมากได้ให้ความสนใจกับการจัดแสดงนิทรรศการภายในอาคารทั้ง 3 ห้องจัดแสดง ประกอบด้วย   ห้อง THAI WISDOM    โซน 1 หมุดหมายสุขภาพโลก: จุดถ่ายภาพเพื่อแชร์ “ดินแดนแห่งความกินดียู่ดี” ให้ทั่วโลกได้รู้จัก ให้ทั่วโลกได้รู้จักประตูบานแรกที่เปิดให้ก้าวเข้ามาสัมผัสดินแดนแห่งความกินดี อยู่ดีสไตล์ไทยๆ   โซน 10 มนต์เสน่ห์ของประเทศไทย: เข้าถึงภูมิวิถีแบบไทย ๆ  ผ่านวิถีการอยู่กับธรรมชาติ การกินตามฤดูกาล รวมไปถึงแง่งามของวัฒนธรรมประเพณี และยิ้มสยามเอกลักษณ์ที่ทั่วโลกยอมรับและคุ้นเคย     ห้อง THAI MEDICAL AND WELLNESS HUB    โซน 100 ศักยภาพสาธารณสุขไทย: นำเสนอผ่าน Projection Mapping พร้อมวัตถุจัดแสดงรอบห้องกว่า 100 สิ่ง ที่สื่อถึงระบบสาธารณสุขที่ดี โครงการที่ดี ความร่วมมือที่ดี ภายใต้นโยบาย Thailand Medical hub  อาทิ   โครงการศูนย์สุขภาพนานาชาติ งานวิจัยที่โดดเด่น นวัตกรรมทางการแพทย์ของไทยที่โดดเด่น เช่น นวัตกรรม AI คัดกรองเบาหวานที่ตา ฟองน้ำห้ามเลือด จากแป้งข้าวเจ้า ผลิตผลจากเกษตรกรรมไทย กระดูกทดแทนจากเทคโนโลยี 3 มิติ หุ่นยนต์ดินสอ ช่วยดูแลผู้สูงวัย ฯลฯ   โซน 1,000 สถานบริการทางการแพทย์: นำเสนอศักยภาพทางการแพทย์และการบริการ ของไทยที่ได้มาตรฐานในระดับสากล ผ่านทัชสกรีนที่สามารถเข้าถึงการรักษา 15 กลุ่มโรคที่นักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์นิยมมารักษาที่ไทย ในโรงพยาบาลประเทศไทย ที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้านสปา เวลเนส และ บริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ได้รับมาตรฐาน Thai World Class Spa และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของไทย   ภายในส่วนจัดแสดงนี้ ผู้ชมสามารถสัมผัสประสบการณ์ผ่อนคลายผ่านห้องจัดแสดง RHYTHM OF THAI NATURE THERAPY นำเสนอสุขภาพดีแบบไทย ผ่านธาตุทั้ง 4 ตามหลักเเพทย์เเผนไทยที่สื่อถึงการป้องกัน เสริมสุขภาพ เเละการรักษาสมดุลทั้งทางร่างกายเเละจิตใจ ผ่านเสียงเเละทัศนียภาพธรรมชาติจากดินเเดนไทย ด้วยภาพ Visual ธรรมชาติผสมผสานเสียงบรรยากาศทั้ง 3 ฤดูกาลของประเทศไทย เพื่อพาผู้เข้าชมมาผ่อนคลายผ่านประสาทสัมผัส ได้แก่ การมองเห็น, การได้กลิ่น, การได้ยิน และการสัมผัส เสมือนยกเมืองไทยมาไว้ในงาน ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก       นอกจากนี้ รอบห้องจัดแสดงยังนำเสนอศักยภาพทางการแพทย์ของไทยผ่านการจัดอันดับที่ทั่วโลกยอมรับ เช่น ประเทศที่ฟื้นตัวและรับมือสถานการณ์ โควิด-19 ได้ดีที่สุด ประเทศที่มีกิจกรรมเชิงสุขภาพและสถานบริการเพื่อสุขภาพดีติดอันดับโลก ฯลฯ เสมือนข้อพิสูจน์ว่าประเทศไทยเป็นหมุดหมายปลายทางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างแท้จริง   โซน 10,000 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ: เรียนรู้เรื่องราววัตถุดิบและอาหารไทย ผ่านโซนจัดแสดงต่าง ๆ สอดคล้องไปกับแนวทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ส่งเสริมให้ทั่วโลกบริโภคผักและผลไม้ให้หลากหลาย ครบ 5 สี รับชม “อาหารไทยติดอันดับโลก” ซึ่งผู้ชมสามารถเลือกดูเมนูอาหารติดอันดับผ่าน Interactive Table เช่น ผัดกะเพรา ผัดไทย มัสมั่น ฯลฯ   พร้อมรู้จักกับ ‘สำรับอาหารไทย 4 ภาค’ จำลองเมนูสุขภาพของแต่ละภูมิภาคจากวัตถุดิบไทย เช่น น้ำพริกปลาทู (ภาคกลาง) ขนมจีนน้ำเงี้ยว (ภาคเหนือ) แกงอ่อมปลาดุก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) แกงขมิ้นไตปลา (ภาคใต้)   นอกจากนี้ ยังมี ‘Display อาหารแห่งอนาคต’ ที่จัดแสดงนวัตกรรมอาหาร พัฒนาเพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ใหม่ในอนาคต     ห้อง THAI LIVING LAB    โซน 100,000 ผลิตภัณฑ์สร้างภูมิคุ้มกัน: พบกับ Open kitchen Experience โชว์ทำอาหารที่คัดสรรอาหารไทยยอดนิยม อาทิ ส้มตำไทย, ต้มยำกุ้ง, ข้าวเหนียวไก่ย่าง, แกงเขียวหวานไก่, แกงมัสมั่นไก่, ผัดไทยกุ้งสด, ข้าวมันไก่, ข้าวซอยไก่, ต้มข่าไก่, ข้าวกระเพราไก่, แกงแพนงหมู และ ข้าวผัดกุ้ง มาสลับเปลี่ยนหมุนเวียนตลอดการจัดงาน ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก   ในส่วนพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย ได้คัดสรรสินค้าดีเด่นของไทย รวมถึงโปรแกรมท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ และกิจกรรมเวิร์คช็อปทำถุงหอมในแบบฉบับของตนเอง ให้นำกลับไปใช้ หรือเป็นของฝากได้ อีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก   สำหรับกิจกรรมเวิร์คช็อปจะหมุนเวียนมาให้ผู้เข้าชมงานได้เข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น แต่งกายชุดไทย, สาธิต  การทำอาหารไทย, ธรรมชาติไทยบำบัด และนวดไทย   ปิดท้ายด้วยโซน 1,000,000 รอยยิ้มแห่งความประทับใจ: พื้นที่รวบรวมล้านความรู้สึกประทับใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้มีส่วนร่วมแบ่งปันรอยยิ้มให้กับคนทั่วโลก พร้อมลุ้นรับส่วนลดที่พัก สปา&เวลเนส เเละห้องอาหาร ให้ไปสัมผัสวิถีไทยครบทุก 5 สัมผัส   ขณะที่บริเวณด้านหน้าอาคารมีเวทีกิจกรรมจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัยนำเสนอภายใต้แนวคิด ‘ยิ้มสยามงามสู่สังคมโลก’ เผยแพร่วัฒนธรรม ประเพณี และเสน่ห์ที่หลากหลายผ่านการแสดงที่สลับหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน รวมถึงการแสดงแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกับประเทศต่างๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ประเทศไทยกับนานาประเทศ     ทั้งยังมี “น้องภูมิใจ” มาสคอตประจำอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ทำหน้าที่เป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทย พร้อมต้อนรับผู้ชมจากทั่วโลกด้วยยิ้มสยามอย่างเป็นอบอุ่น จริงใจ อีกด้วย    ขอเชิญชวนทุกท่านมาเยี่ยมชมอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ในงาน EXPO 2025 OSAKA, KANSAI, JAPAN ตั้งแต่วันนี้ – 13 ตุลาคม 2568 ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่นสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวได้ที่ Website : Thailand Pavilion 2025 และทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Thailand Pavilion World Expo 2025   บทสรุป งาน EXPO 2025 ที่โอซากา เปิดให้ชม ‘ไทย พาวิลเลียน’ สถาปัตยกรรมร่วมสมัยผสานศิลปะไทยโดดเด่นสะดุดตา พบกับความอลังการด้วยการแสดงวันสงกรานต์ สร้างกระแสตอบรับจากผู้ชมทั้งไทยและต่างชาติ ภายในแบ่งเป็น 3 ห้องนิทรรศการ นำเสนอจุดแข็งไทยด้านสุขภาพ อาหาร และนวัตกรรมแพทย์ ‘ไฮไลต์’ เช็คอินแน่นสุด ห้องบำบัดแบบไทย 4 ธาตุ และโชว์ทำอาหารไทยยอดนิยมแบบสด ๆ พร้อมกิจกรรมเวิร์คช็อป พบกับ ‘น้องภูมิใจ’ มาสคอตประจำอาคารนิทรรศการไทย มาต้อนรับทุกคน        

April 20, 2025 / 0 Comments
read more

เมื่อ Banyan Tree เขาใหญ่ โชว์ความลักซูฯ ที่ต้องจับตาจนคว้ารางวัลระดับโลก!

BizKet

บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ โปรเจกต์ Branded Residence ระดับลักซูรี่ แห่งแรกบนทำเลติดกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติที่รับรองโดยองค์การยูเนสโก เป็นโปรเจกต์มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาทภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ‘บันยันกรุ๊ป’ กลุ่มธุรกิจบริการชื่อดังที่บริหารแบรนด์โรงแรมในเครือต่างๆ และ ‘เครสตั้น โฮลดิ้ง’ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย   โดยโครงการฯ แห่งนี้ถือเป็น Branded Residence ระดับลักซูรี่ แห่งแรกในทำเลเขาใหญ่ที่สะท้อนศักยภาพของพื้นที่ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในการเป็นบ้านพักตากอากาศระดับพรีเมียมในประเทศไทย   ล่าสุด บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ ได้รับรางวัลจากเวที Asia Pacific Property Awards ในหลากหลายสาขา   ผู้ชนะรางวัล Best International Development Marketing Best Development Marketing Asia Pacific Best Development Marketing for Thailand Best Mixed Use Architecture for Thailand Residential Development (20+ Units) Condominium Development Mixed Use Development for Thailand   ทั้งนี้ สะท้อนถึงความโดดเด่นในการรังสรรค์ที่สุดแห่งที่อยู่อาศัยระดับลักซูรี่ ในประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้โครงการฯ ยังได้รับรางวัล Best Developer Website for Thailand ในเวที Asia Pacific Property Awards ประจำปี 2023-2024 จากผลงานเว็บไซต์ที่สวยงามและสะท้อนจุดแข็งของโครงการหรูท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างครบถ้วน   โฮ กวงปิง ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บันยันกรุ๊ป เผยว่า “รางวัลระดับโลกจากเวที International Property Awards และรางวัลในหลายสาขาจากเวที Asia Pacific Property Awards เมื่อปีก่อน เป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทในการทำโครงการใหม่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ที่ผสานความหรูหราเข้ากับธรรมชาติโดยรอบ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน รางวัลเหล่านี้สะท้อนปรัชญาของบันยันทรี ที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับของผู้พักอาศัย ความยั่งยืน และการดีไซน์ที่งดงาม”   ด้าน จิณิณ ตระการสืบกุล ประธานกรรมการ บริษัท เครสตั้น โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “รางวัลทั้งหมดที่เราได้รับ  สะท้อนความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับและพลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซูรี่ในประเทศไทย ที่ดินผืนนี้โอบล้อมด้วยความอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เมื่อผสานเข้ากับการออกแบบระดับเวิลด์คลาส จึงมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่โครงการของเราได้รับการยอมรับไม่เพียงในระดับเอเชีย แต่ยังรวมถึงในระดับนานาชาติ”   สำหรับในงานประกาศรางวัล Asia Pacific Property Awards ประจำปี 2024-25 บันยันกรุ๊ป เรสซิเดนซ์ (Banyan Group Residences) ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 12 รางวัล ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ ถึง 7 รางวัล สร้างสถิติบริษัทที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตอกย้ำมาตรฐานสูงสุดในการพัฒนาโครงการระดับเวิลด์คลาสของบันยันกรุ๊ป เรสซิเดนซ์   บทสรุป  บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ เมกะโปรเจกต์ลักซูรี่ 1.7 หมื่นล้าน ติดอุทยานเขาใหญ่คว้า 7 รางวัลใหญ่ จากเวที Asia Pacific Property Awards 2024-25รวมถึง รางวัลระดับโลก Best International Development Marketingสะท้อนศักยภาพการออกแบบที่ผสาน ความหรูหรา-ธรรมชาติ อย่างลงตัวตอกย้ำการเป็นมาตรฐานใหม่ของ Branded Residence ในไทยและเอเชีย   เกี่ยวกับโครงการ   บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ ตั้งอยู่บนที่ดิน 226 ไร่ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 1.5 ชั่วโมง โอบล้อมทะเลสาบขนาด 30 ไร่ โดยในช่วงเฟสแรก โครงการนำเสนอพูลวิลล่า 4 ห้องนอน ทั้งสิ้น 21 ยูนิตที่ตกแต่งครบขนาด 435 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 70 ล้านบาท และอาคารคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 16 อาคารแบบ 1, 2 และ 3 ห้องนอน รวมถึงเพนต์เฮาส์ตั้งแต่ 64 ถึง 295 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท   ทั้งนี้ เจ้าของที่อยู่อาศัยในเครือบันยันทรี จะได้เอกสิทธิ์ในการเป็นสมาชิก The Sanctuary Club ซึ่งเป็นโปรแกรมซิกเนเจอร์ที่มอบสิทธิประโยชน์และส่วนลดพิเศษสำหรับที่พักในเครือบันยันกรุ๊ปทั่วโลก   พร้อมเปิดเซลล์แกลเลอรีของบันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เขาใหญ่ เปิดให้เยี่ยมชม ผู้ที่สนใจสามารถนัดหมายเข้าเยี่ยมชมได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.banyantreeresidencescrestonhill.com หรือติดต่อ +66 (0)2-096-6454  

April 20, 2025 / 0 Comments
read more

‘CITIZEN’ เขย่าตลาดข้อมือชาวยูนิเซ็กส์ ส่งรุ่น ‘TSUYOSA’ รับเทรนด์ไซส์เล็กมาแรง

BizKet

จากการเปิดรับกลุ่ม LGBTQ ความหลากหลายทางเพศ ทำให้สินค้าต่างๆในกลุ่ม Unisex เติบโตสูงขึ้นตามมา รวมถึงตลาดนาฬิกายูนิเซ็กส์ ที่แบรนด์ซิติเซ่น มองเห็นช่องว่างในตลาดกลุ่มนี้ เช่นกัน   กฤศณัฏฐ์ กิจวิทยศักดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอลดีไอ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกา CITIZEN (ซิติเซน) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทฯเปิดตัวนาฬิกาซิติเซ่นรุ่นไอคอนิก TSUYOSA หนึ่งในคอลเลกชันที่ได้รับความนิยมที่สุดของแบรนด์ เพื่อสร้างสีสันในหน้าขายช่วงฤดูร้อนปีนี้   “คอลเล็กชั่นฯนี้ มาพร้อมขนาดและสีสันใหม่ในการทำตลาด ด้วยขนาด 37 มม. มีตัวเรือนเล็กลงมาจากขนาด 40 มม. ที่วางจำหน่ายทั่วไปอยู่แล้ว แต่ยังคงสมบูรณ์ไปด้วยเอกลักษณ์ต่าง ๆ ของแบรนด์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวเหมือนเดิม” กฤศณัฏฐ์ กล่าว     โดย ตัวเรือน TSUYOSA 37 mm ยังเป็นแบบขัดเงาให้ความรู้สึกหรูหรา เชื่อมต่อกับสายสเตนเลสสตีลที่ทนทาน กระจกหน้าปัดแซพไฟร์คริสตัลทนต่อการขีดข่วน และเข็มนาฬิกาและสัญลักษณ์แทนชั่วโมงเป็นแบบเรืองแสงได้   ขณะที่ดีไซน์ของนาฬิกาดูไร้รอยต่อ เข้ากับสรีระข้อมือ ภายในเป็นกลไกอัตโนมัติ Caliber 8210 ทันสมัย มีอัญมณี 21 เม็ด ซึ่งสั่นสะเทือนที่ความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง ฝาหลังตัวเรือนใสเผยให้เห็นกลไกภายใน   นอกจากนี้ยังมาพร้อมคุณสมบัติไขลานด้วยมือ ระบบสำรองพลังงานได้นาน 42 ชั่วโมง ฟังก์ชันหยุดวินาทีเพื่อให้ตั้งเวลาได้อย่างแม่นยำ และคุณสมบัติกันน้ำลึกถึง 50 เมตร ทั้งเทคโนโลยีด้านความแม่นยำ วัสดุที่ทนทาน และดีไซน์สวยคลาสสิก   สำหรับหน้าปัดรุ่นฯ นี้มาใน 2 สีใหม่ คือ  Pastel Pink (สีชมพูอ่อน) และ Dark Green (สีเขียวเข้ม) รวมถึงอีก 1 สีฮิตของแบรนด์ Ice Blue (สีฟ้าสว่าง)   กฤศณัฏฐ์ กล่าวว่า “ซิติเซ่นคอลเล็กชั่นนี้ ยังสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดนาฬิกาแบบยูนิเซ็กซ์ขนาดกะทัดรัดกำลังจะเป็นที่นิยมมากขึ้น เลยอยากดึงดูดกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัยที่ให้ความสำคัญกับสไตล์” พร้อมเสริมว่า “คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายนาฬิกาของแบรนด์ให้เพิ่มขึ้นถึง 10-20 % ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้”   สำหรับ CITIZEN TSUYOSA 37 mm วางราคาจำหน่าย 16,600 บาท ในช่องทางขายทั้งออฟไลน์แผนกนาฬิกาห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และออนไลน์ https://shopee.co.th/citizen_thailand, www.lazada.co.th/shop/citizen     บทสรุป CITIZEN เปิดตัวนาฬิการุ่น “TSUYOSA” ไซส์ 37 มม. รับกระแสยูนิเซ็กส์ขนาดเล็กที่มาแรง ดีไซน์หรูหรา ไร้รอยต่อ ตัวเรือนขัดเงา กระจกแซพไฟร์ กันน้ำ 50 เมตร ใช้กลไกอัตโนมัติ Caliber 8210 ไขลานได้ด้วยมือ สำรองพลังงาน 42 ชม. มีให้เลือก 3 สี: Pastel Pink, Dark Green และ Ice Blue วางราคาขาย 16,600 บาท คาดช่วยดันยอดขายโต 10-20% ในไตรมาส 2 ปีนี้ ในร้านและออนไลน์   รู้ไหม?ทำไมถึงชื่อ CITIZEN?   ข้อมูลจากเพจ Citizen Watch เล่าที่มานาฬิกาแบรนด์ CITIZEN เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ.1918) ที่กรุงโตเกียว horological research center (ศูนย์วิชาการเกี่ยวกับการวัดหรือเทียบเวลา) ในฐานะสถาบันวิจัยนาฬิกา Shokosha   ในปี พ.ศ. 2467 สถาบันแห่งนี้ได้ผลิตนาฬิกาพ็อกเก็ตตัวแรกออกมาครั้งแรก และอีก 6 ปีต่อมาได้สร้างสรรค์ผลงานภายใต้ชื่อ บริษัท / ชื่อนาฬิกา CITIZEN  ซึ่งชื่อบริษัทใหม่นี้นายกเทศมนตรีกรุงโตเกียว ‘Shinpei Gotoh’ เป็นผู้ตั้งชื่อว่า Shokosha ซึ่งเป็นนาฬิกาเรือนแรกของ CITIZEN เพื่อที่พวกเขาจะได้ “ใกล้ชิดกับหัวใจของทุกคน”  

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

เหตุเกิดจากแผ่นดินไหว…

Zcreat

ช่วงแผ่นดินไหวกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ในวันนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ Brother (บราเดอร์) ธุรกิจเครื่องพิมพ์ อุปกรณ์สำนักงาน และจักรเย็บผ้า แบรนด์ระดับโลก อยู่ระหว่างรอจัดงานแถลงข่าวใหญ่ประจำปี 2568  บนชั้น 19 ‘Gaysorn Urban Resort’ อีกหนึ่งคอมมูนิตี้หรูในย่านดาวน์ ทาวน์   จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบปุปปัป ในครั้งนั้นทำให้ทุกอย่างต้องยุติและเลื่อนการจัดงานออกไปก่อน ในทันที    หลังผ่านไป 20 วัน  ทีมผู้บริหาร ‘บราเดอร์’ กลับมาจัดงานอีกครั้ง ‘ธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด  เกริ่นเปิดงานว่า เหตุการณ์ในวันนั้นถือเป็นวันโชคร้ายแต่ยังมีความโชคดี ในจังหวะ ‘แคนเซิล’ จัดงานออกไปก่อน   ด้วยหากงานแถลงข่าวเริ่มขึ้นก่อนแผ่นดินไหวในวันนั้น “เราน่าจะได้เห็นภาพพลังความรักระหว่างผู้บริหารและนักข่าวเกือบร้อยชีวิตในงาน ที่ต่างร่วมกุมมือด้วยกันอยู่ใต้โต๊ะ บนตึกสูงบนชั้น 19 ในมหานครกรุงเทพฯ เป็นอย่างแน่แท้”   MD บราเดอร์ บอกว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น ยัง จุดประกายให้ deep in thought ทั้งข้อคิดและทำให้เรียนรู้จากเรื่องร้ายที่ผ่านไป ด้วยทุกอย่างเกิดขึ้นบนความไม่แน่นอน และรวดร็ว ฉะนั้น หากใครอยากทำอะไรก็ให้รีบทำตั้งแต่ตอนนี้….’ธีรวุธ’ ทิ้งท้ายก่อนนำเข้าสู่การแถลงข่าว   

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

จุฬาฯ เปิดคณะใหม่ ‘Extension School’ รับยุค AI เน้นเรียนรู้ตลอดชีวิต Open House ก.ย. 68

BizKet

ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ ‘Alternate-x’ ว่า จุฬาฯ อยู่ระหว่างจัดเตรียมเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาภายใต้คณะวิชา(Faculty) ใหม่ เบื้องต้นกำหนดชื่อ ‘เอ็กซเทนชั่น สคูล’ (Extension School) วางแนวคิดหลักสูตรสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต ‘Lifelong learning’ เพื่อส่งเสริมวิชาการ ทักษะใหม่ ให้ตรงกับตลาดอาชีพและแรงงานในอนาคต   “คณะฯใหม่ อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอน พร้อมแต่งตั้งคณบดีเข้ามารับผิดชอบโดยเฉพาะซึ่งอยู่ภายใต้สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คาดพร้อมเปิดตัวคณะและรับสมัครครั้งแรกในเดือนกันยายน  2568 นี้”  ศ. ดร.วิเลิศ กล่าว   พร้อมเสริมว่า ‘Extension School’ วางแนวคิดให้บริการในตลาดการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้กับประชาชนทั่วไป ศิษย์เก่า ผู้สนใจไม่จำกัดอายุ ฯลฯ ด้วยหลักสูตรการเรียนการสอนที่ออกแบบเพิ่มเติมขึ้นเพื่อสนับสนุนในทุกสาขารายวิชาที่ดำเนินการสอนในคณะต่างๆที่เปิดสอนของจุฬาฯในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มทักษะในแต่ละวิชาชีพให้กับผู้เรียนที่สนใจ และเป็นไปตามความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเข้ามาอยู่ในแทบทุกส่วนของการทำงานแล้วทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งแรงงานยุคปัจจุบันต้องปรับและเสริมทักษะด้านดังกล่าวให้พร้อมต่อกระแสที่เกิดขึ้น   “จุฬาฯ วางหลักคิดให้เป็นเอ็กซเทนชั่น สคูล เป็นคณะไลฟ์ลอง เลิร์นนิ่ง การเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มที่ปลั๊กอินกับสาขาวิชาในแต่ละคณะของมหาวิทยาลัย รองรับความต้องการของผู้ที่สนใจ รวมถึงคนนอก เข้ามาศึกษาได้ทั้งหมด จะมีคณบดีท่านแรกมารับผิดชอบดูแล คาดจะเปิดรับเฟริสต์ คลาส  ราวเดือนกันยายน ปีนี้ เบื้องต้นใช้สถานที่ตั้งคณะในพื้นที่อาคารจามจุรีสแควร์ คิดอัตราค่าเล่าเรียนแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับรายวิชา ซึ่งยังมีห้องแล็บให้กับผู้เรียนด้วย”   แผนงานดังกล่าว ยังพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับบริบทของระบบเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและโลก จากปัจจัยความท้าทายต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา โดยเฉพาะในปีนี้ซึ่งมีทั้งด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล เข้ามาเป็นส่วนร่วมในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งการเงิน การลงทุน ธุรกิจ ซึ่งจุฬาฯ ในฐานะผู้ให้บริการด้านการศึกษาจะต้องปรับตัวรอบด้านเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ใหญ่ในโลกที่เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย   “ประเทศไทย ขับเคลื่อนด้วยระบบทุนนิยม และเป็นประเทศหนึ่งในโลก เราต้องหมุนรอบโลก ไปพร้อมกับสร้างความพร้อมของบุคลากร อย่างเมื่อสามปีก่อนเอไอยังไม่ได้เอไอ แต่ตอนนี้ทุกคนรู้พร้อมกัน จุฬาต้องมีทุนทางปัญญามอบให้ เพื่อเอาชนะให้ได้ นำไปใช้แก้ปัญหาใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า”  ศ. ดร.วิเลิศ ทิ้งท้าย   บทสรุป  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเตรียมเปิด “เอ็กซเทนชั่น สคูล” (Extension School) คณะใหม่เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) โดยเน้นพัฒนาทักษะใหม่ให้ตรงกับตลาดแรงงานอนาคต โดยเฉพาะในยุค AI หลักสูตรเปิดรับประชาชนทั่วไปและศิษย์เก่า ไม่จำกัดอายุ ใช้เนื้อหาต่อยอดจากคณะต่างๆ ของจุฬาฯ พร้อมคณบดีรับผิดชอบเฉพาะทาง คาดเปิดรับนักศึกษาเฟสแรกกันยายน 2568 โดยใช้พื้นที่อาคารจามจุรีสแควร์ พร้อมห้องแล็บรองรับการเรียนการสอน ค่าเล่าเรียนขึ้นอยู่กับแต่ละรายวิชา มุ่งสร้างแพลตฟอร์ม Plug-in เชื่อมโยงความรู้ระหว่างคณะกับผู้เรียนทุกกลุ่ม เป็นส่วนหนึ่งการปรับตัวของจุฬาฯ เพื่อรับมือเทคโนโลยี สร้างทุนปัญญาให้คนไทยแข่งขันได้ในเศรษฐกิจยุคใหม่ของโลก

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

‘แสนสิริ’ เล่นใหญ่ใช้ ‘ละครคุณธรรม’ 4 ตอนจบสื่อสารแบรนด์ หวังเข้าถึงคนรุ่นใหม่-โซเชียล

BizKet

ศรีอำไพ รัตนมยูร ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รายใหญ่ เปิดเผยว่า ‘แสนสิริ’ มุ่งให้ความสำคัญด้านการสร้างการรับรู้แบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่มาอย่างต่อเรื่อง โดยเฉพาะในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผลักดันให้ ‘แสนสิริ’ ครองแชมป์ Thailand Social Award 9ปีซ้อน   สำหรับในปี 2568 นี้ ‘แสนสิริ’ ยังไปต่อในการทำตลาดเพื่อสร้างเอนเกจเมนต์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ Deep กับแบรนด์พร้อมเข้าถึงจุดเด่นของพอร์ตสินค้าต่างๆ ด้วยการหยิบกระแส ‘Micro Drama’ ละครสั้นคุณธรรม มาใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดสื่อสารแบรนด์ผ่านความบันเทิง เพื่อสร้าง ‘ความสนิทใกล้ชิด’ กับคนรุ่นใหม่ มากขึ้น   “ละครสั้น ที่ฉายเพียง 2-3 นาทีต่อตอน ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องในประเทศจีน ซึ่งตลาดละครสั้นมีแนวโน้มเติบโต 35% ภายในปีนี้ปีเดียว หนุนให้อุตสาหกรรมเติบโตมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการชมละครสั้นที่เพิ่มมากขึ้น”   จากกระแสดังกล่าว ‘แสนสิริ’ ร่วมกับ ‘ดอยแม่สลอง สื่อสังคมออนไลน์’ ผลิตละครคุณธรรมเรื่อง ‘ศึกลูกเขยตัวร้ายกับแม่ยายตัวตึง’  ผ่านพล็อตเรื่องราวของคู่รักข้าวใหม่ปลามันในบ้านหลังใหม่ของแสนสิริ  ออกมาจำนวน 4 ตอน  ไปพร้อมกับถ่ายทอดบริการหลังการขายภายใต้ 4 แกนหลัก   QUALITY SECURITY CARING COMMUNITY   ต่อการใช้ ‘ละครคุณธรรม’ มาเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารแบรนด์ร่วมกับผู้บริโภค ในครั้งนี้ ยังเป็นการเกาะเทรนด์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล จากกระแสไมโคร ดราม่า หรือ ละครสั้นที่มีแนวโน้มการเติบโตและได้รับความนิยมอย่างมากในไทย  จากความเข้าใจง่าย ตรงประเด็น ให้ทั้งสาระและความบันเทิง ที่ยังขยายไปสู่แพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย ต่างๆ ทั้ง YouTube, Facebook, TikTok ซึ่งอย่างหลังเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์หลัก ที่มีกลุ่มเป้าหมายใช้งานมากที่สุด   สำหรับ ‘ศึกลูกเขยตัวร้ายกับแม่ยายตัวตึง’ ละครสั้น 4 ตอนจบ จะหยิบจุดขายด้านความโดดเด่นของ After‑Sales Service เป็นตัวชูโรง ให้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัว เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในทุกเซกเมนต์ ด้วยเนื้อหาสั้น กระชับ และเข้าถึงง่าย โดยเริ่มออนแอร์ ในทุกวันศุกร์ ตั้งแต่ม 21 มี.ค. ที่ผ่านมา ในช่องทาง Social Media ของ ดอยแม่สลอง และเพจ Sansiri PLC   บทสรุป  ‘แสนสิริ’ ใช้กลยุทธ์ใหม่ในการสื่อสารแบรนด์ผ่านละครคุณธรรม 4 ตอนจบ ภายใต้ชื่อ ‘ศึกลูกเขยตัวร้ายกับแม่ยายตัวตึง’ ซึ่งผสมผสานสาระเกี่ยวกับบริการหลังการขายและความบันเทิงในรูปแบบไมโครดราม่า เพื่อสื่อถึงจุดเด่น 4 ด้าน ได้แก่ QUALITY, SECURITY, CARING, COMMUNITY ใช้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเครื่องมือการตลาดชิ้นนี้ ยังสะท้อนความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชอบเนื้อหากระชับและเข้าใจง่าย ผ่านละครที่ให้ความบันเทิงและสาระที่ตรงประเด็น    

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

‘เศรษฐกิจซึม’ คนหารายได้เสริม! Brother ชูปรินเตอร์-จักรเย็บผ้า ตอบโจทย์ตลาดทำเงินยุคใหม่

BizKet

จากจุดเริ่มกิจการซ่อมจักรเย็บผ้า ของสองพี่น้องชาวญี่ปุ่น  เมืองนาโกย่า ในปีพ.ศ. 2451 ก่อนเดินทางถึงจุดเปลี่ยนสำคัญสู่การใช้ชื่อ ‘Brother’ เมื่อปีพ.ศ. 2505 เพื่อทำตลาดระดับสากล พร้อมปรับโพสิชั่นแบรนด์เพื่อรุกหนักในอุตสาหกรรม ‘เครื่องพิมพ์’ Printer และอุปกรณ์สำนักงาน อย่างจริงจัง ในช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 ด้วยผลิตภัณฑ์เด่นได้แก่ เครื่องพิมพ์เลเซอร์, อิงค์เจ็ท, มัลติฟังก์ชัน, เครื่องแฟกซ์, และ เครื่องพิมพ์ฉลาก (P-touch) ไปพร้อมกับแผนขยายธุรกิจ ราว 40 ประเทศ ถึงในวันนี้   ส่วนในไทย ‘Brother’ เข้ามาดำเนินกิจการตั้งแต่ปี 2540  มีอายุ 28 ปีแล้วในปัจจุบัน ภายใต้บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด และในปีนี้ บราเดอร์ ได้ออกมาประกาศวิสัยทัศน์และพันธกิจการทำธุรกิจในไทย จะยังขอเติบโตไปพร้อมกับ GDP ของประเทศในปีนี้ จากหลายสำนักคาดการณ์อัตราเติบโตราวๆ 2.9% จากในปี 2567 มีจีดีพีอยู่ที่ 2.7%   ต่อเรื่องนี้ ‘ธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ยังเป็นปีที่บริษัท มีอัตราการเติบโตสูงถึง 9% และยังสูงสุดในรอบ 28 ปี นับแต่ก่อตั้งกิจการในไทย เรียกว่า เติบโตกว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของไทย   ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?   ‘ธีรวุธ’ ให้มุมมองว่า การเติบโตของธุรกิจยังไปพร้อมกับการขยายตัวการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการสื่อสารและดิจิทัล ในกลุ่ม (Sector) ต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล (Digital Tranformation) สอดคล้องกับการสำรวจของ ‘การ์ทเนอร์’ (Gartner, Inc.-บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ) ระบุแนวโน้มตลาดไอที ในประเทศไทย จะมีมูลค่าสูงเกิน 1 ล้านล้าน (Trillion) บาท เติบโตขึ้น 5.8%   จากตัวเลขการเติบโตทั้งการลงทุนไอทีในประเทศ และการเติบโตของ บราเดอร์ ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ วางวิสัยทัศน์ใหม่ เพื่อการเป็นผู้นำในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในตลาด (leading in every business categories) ด้วยยังย้ำจุดยืนตามมอตโต้ ‘at your side’ ของบราเดอร์   ด้วย Brother มองเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจตามการขยายตัวทิศทางเดียวกับ 3 กลุ่มอุตสาหรรมดังนี้   ภาคอุตสาหกรรมภาคการผลิต/โรงงาน (Manufacturing เติบโต 5% ภาคอุตสาหกรรมทางการแพทย์ (Medical Care) เติบโต 7% ภาคธุรกิจขนาดกลางย่อม (SME) เติบโต 4%   “การจะทำให้ธุรกิจเติบโต บราเดอร์จะต้องไปพร้อมกับเซ็กเตอร์ธุรกิจในไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน อย่างในกลุ่มเอสเอ็มอี จะเป็นธุรกิจสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับค้าปลีก” ธีรวุธ กล่าว 4 ปัจจัยหนุนกระตุ้นเติบโต   สำหรับแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจและเศรษฐกิจ ในปี 2568 นี้คาดมาจาก 4 ปัจจัยบวก ดังนี้   ภาคการท่องเที่ยว จากในปี 2567 ที่ผ่านมา มีนักเดินทางต่างชาติมาไทยราว 38 ล้านคน การลงทุนตรงจากต่างชาติ ยังมีโอกาสในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและโรงงาน ภาคการส่งออก ยังมีแนวโน้มขยายตัวคงที่ราว 5-10% การผลักดันแคมเปญต่างของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ   “อย่างไรก็ตามยังมี ปัจจัยลบที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดทั้ง ผลกระทบจากเทรด วอร์ สงครามการค้าผ่านกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกา และความไม่สงบจากภูมิรัฐศาสตร์โลก” ธีรวุธ ให้มุมมองเพิ่ม   ‘ผู้คน’ มองหารายได้เสริม   ด้าน ‘กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์’ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัทบราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าจากภาพรวมดังกล่าว ทำให้ บราเดอร์ วางแผนทำตลาดผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมภาคธุรกิจ กลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย ภายใต้กลยุทธ์ ‘Brother All’ ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์ครบวงจร ทั้ง เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกน เครื่องพิมพ์ฉลาก จักรปัก เครื่องเสียงภายใต้แบรนด์ BMB เครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัล และเครื่องพิมพ์ฉลากดิจิทัลระบบ UV อิงค์เจ็ทความละเอียดสูงภายใต้แบรนด์ Domino   “ในปีนี้ ตั้งเป้าขยายธุรกิจเติบโตไม่ต่ำกว่า 7% เพื่อย้ำความเป็นผู้นำและรักษาตำแหน่งอันดับ 1 ในสินค้ากลุ่มต่าวๆ จากปีที่ผ่านมา”   ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ (Printing Business)   เครื่องพิมพ์เลเซอร์ขาวดำ (45%) เครื่องพิมพ์เลเซอร์มัลติฟังก์ชันขาวดำ (55%) เครื่องพิมพ์เลเซอร์สี (51%) เครื่องพิมพ์เลเซอร์มัลติฟังก์ชันสี (45%)   นอกจากนี้ ยังมี เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท A3 ที่มียอดขายอันดับ 1 ทั่วโลกต่อเนื่อง 17 ปี รวมถึงยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ธุรกิจภาคขยาย (Business Expansion) ทั้งจักรปักสำหรับ SME, จักรเย็บผ้าภายในบ้าน, เครื่องพิมพ์ฉลาก P-touch และ เครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัล Direct-to-Garment GTX ที่ครองส่วนแบ่งในตลาดอันดับ 1 ด้วย   กิตติพงศ์ กล่าวว่า บราเดอร์ จัดกลุ่มสินค้าเพื่อทำตลาดเชิงรุกทั้งในกลุ่มบีทูซี ธุรกิจ-ลูกค้าทั่วไป และ กลุ่มบีทูซี ธุรกิจ-ลูกค้าโปรเจกต์ พร้อมเปิดตัวช่องทางขายอีคอมเมิร์ซเว็บไซต์บราเดอร์ และ Loyalty Program เพื่อเพิ่มโอกาสรองรับทั้งกลุ่มลูกค้าใหม่และรายเดิมที่ยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์เสริม หมึกพิมพ์ ในรุ่นต่างๆ ที่ทำตลาดในช่วงก่อนหน้า   นอกจากนี้ บราเดอร์ จะยังเป็นแบรนด์ที่ปรับตัวให้มีความร่วมสมัยเข้ากับผู้บริโภคคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ในทุกช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ พร้อมใช้กลยุทธ์ SEO & SEM และ Lead Generation เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม   “ในช่วงเศรษฐกิจชะลอการเติบโต จะเป็นจังหวะที่ผู้คนที่มีรายได้ประจำจะเริ่มมมองหาแหล่งรายได้เสริม ทั้งการทำธุรกิจจากงานอดิเรก ปัก เย็บ ซ่อมแซม ไปจนถึงการทำสินค้ากลุ่มเสื้อผ้า พิมพ์ลาย สกรีน หรือ งานพิมพ์ป้ายติดฉลากของธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นต้น ซึ่งบราเดอร์ มองเห็นเป็นโอกาสทั้งหมด”   ทั้งนี้ จากแผนธุรกิจดังกล่าว ในปี2568  บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโต 7% จากในปีที่ผ่านมา   บทสรุป  Brother ประเทศไทยโตสุดในรอบ 28 ปี ปีนี้ตั้งเป้าโตอีก 7% รับตลาดไอทีทะลุ 1 ล้านล้านบาท พร้อมทำตลาดสินค้าครอบคลุมทุกเซกเมนต์ แม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ Brother มองเป็น ‘โอกาส’ ด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆในพอร์ตมาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าธุรกิจโปรเจกต์ พร้อมขยายช่องทางในกลุ่มธุรกิจต่อลูกค้า ที่ต้องการหาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในตลาดทำเงินยุคใหม่  ขณะที่จีดีพีไทย แตะ 2.9 % ในปีนี้        

April 19, 2025 / 0 Comments
read more

Google พ่ายแพ้อีกครั้ง หลังศาลสหรัฐฯปิดคดีผูกขาดธุรกิจโฆษณาดิจิทัล ‘โดยจงใจ’

BizKet

หลังจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (U.S. Department of Justice – DOJ) และอัยการของหลายรัฐ ได้ยื่นฟ้อง Google ในเดือนมกราคม 2023 โดยกล่าวหาว่า ‘Google’ ใช้อำนาจในตลาดโฆษณาดิจิทัลอย่างไม่เป็นธรรม   ขณะที่ คดีนี้โฟกัสที่ธุรกิจ ‘AdTech’ หรือเทคโนโลยีโฆษณาดิจิทัล ซึ่ง Google เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาด ทั้งในส่วนของเครื่องมือสำหรับผู้ลงโฆษณา (advertisers) และผู้ให้บริการพื้นที่โฆษณา (publishers)   ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า กูเกิล (Google) ผูกขาดตลาดโฆษณาดิจิทัลบนเว็บไซต์แบบเปิด (open-web) ซึ่งละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของบริษัทในคดีฟ้องร้องต่อต้านการผูกขาด   ศาลแขวงสหรัฐฯ เขตตะวันออกของเวอร์จิเนียระบุว่า กูเกิลทำให้เกิดความเสียหายต่อลูกค้าผู้เผยแพร่เนื้อหา รวมถึงการแข่งขันและผู้บริโภคข้อมูลออนไลน์   พาเมลา บอนดี อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ กล่าวว่าคำตัดสินนี้เป็นชัยชนะสำคัญในความพยายามหยุดยั้งไม่ให้กูเกิลผูกขาดพื้นที่ดิจิทัลสาธารณะ   แอบิเกล สเลเตอร์ ผู้ช่วยอัยการสูงสุดในแผนกต่อต้านการผูกขาด กล่าวว่า การครอบงำของกูเกิลทำให้บริษัทสามารถเซ็นเซอร์ข้อมูลและปิดปากชาวอเมริกัน พร้อมทั้งทำลายข้อมูลที่เผยถึงพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายของตนเอง   “คำตัดสินนี้ยืนยันว่า กูเกิลมีอำนาจควบคุมโฆษณาออนไลน์และโลกอินเทอร์เน็ต” สเลเตอร์กล่าว   ขณะที่ กูเกิล ยืนยันว่าจะยื่นอุทธรณ์ โดยลี-แอนน์ มัลฮอลแลนด์ รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของกูเกิล กล่าวว่า ผู้เผยแพร่เนื้อหามีทางเลือกหลากหลาย แต่พวกเขาเลือกใช้กูเกิลเพราะเครื่องมือโฆษณาของกูเกิลใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพ   อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งที่สองที่ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า กูเกิลมีส่วนผูกขาดที่ผิดกฎหมาย โดยก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม 2567 ศาลแขวงสหรัฐฯ เขตโคลัมเบียได้ตัดสินว่ากูเกิลผูกขาดตลาดเสิร์ชเอนจินผิดกฎหมาย   ต่อคำตัดสินในครั้งนี้ คาดส่งผลกระทบ หาก Google แพ้คดี อาจถูกสั่งให้แยกธุรกิจ AdTech ออกจากบริษัทแม่ และ คดีนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัลทั่วโลก และเป็นบททดสอบเรื่องการควบคุมอำนาจผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่   บทสรุป  ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google ผูกขาดตลาดโฆษณาดิจิทัลบนเว็บไซต์แบบเปิด (open-web) ซึ่งละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้เผยแพร่เนื้อหาและผู้บริโภค สร้างแรงกระเพื่อมในอุตสาหกรรมโฆษณาทั่วโลก คดีนี้เน้นธุรกิจ AdTech ที่ Google ครองทั้งฝั่งผู้ลงโฆษณาและผู้ให้บริการพื้นที่โฆษณา แม้ Google ยืนยันจะอุทธรณ์ แต่หากแพ้คดี อาจถูกสั่งให้แยกธุรกิจโฆษณาออกจากบริษัทแม่ นับเป็นบททดสอบสำคัญของการควบคุมอำนาจผูกขาดในโลกดิจิทัล    

April 18, 2025 / 0 Comments
read more

เจาะโอกาสตลาด ‘สินค้าเด็ก’ พบกับ ‘5 เทรนด์’ แห่งปี2025 มาแน่ๆ มีอะไรบ้าง?

BizKet

อัตราเด็กเกิดใหม่ลดลง ทำให้แต่ละครอบครัวมีสมาชิกใหม่ในบ้านน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด การมีลูกเพียง 1-2 คน ในยุคปัจจุบัน กลายเป็น New Normal ของพ่อแม่สมัยใหม่   และยิ่งเมื่อมีลูกน้อยลง ความรัก ความใส่ใจ และ ‘งบประมาณ’ ก็ทุ่มได้เต็มที่ พ่อแม่รุ่นใหม่ ไปจนถึงคนรุ่นใหญ่ในบ้าน  ต่างพร้อมเปย์ขั้นสุดเพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกหลาน และนี่คือโอกาสทองของตลาดสินค้าเด็ก ที่ต้องเกาะ 5 เทรนด์ใหญ่ไว้ให้แน่น เพื่อเจาะกำลังซื้อสายเปย์! แห่งยุค     มาดูกันว่า 5 เทรนด์สินค้าสำหรับเด็กปี 2025 มีอะไรบ้าง?     1.สินค้าปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกสินค้าของพ่อแม่ยุคใหม่ไม่เพียงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยต่อเด็ก ๆ แต่ยังต้องดีต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สร้างสังคมและโลกที่ดีกว่าสำหรับลูกหลานในอนาคต ทำให้ตระหนักถึงผลกระทบทั้งในแง่ของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น   โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ระบบภูมิคุ้มกันที่ยังไม่แข็งแรงและกำลังพัฒนา พ่อแม่จึงเลือกสินค้าที่ปลอดภัยจากสารเคมีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อปกป้องเด็กจากอันตรายทั้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น การเลือกอาหารที่ปลอดสารเคมีและมาจากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายออร์แกนิก ของเล่นที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งการใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยังเป็นการสอนให้เด็กเติบโตขึ้นแบบมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม   2. เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อความสะดวกและปลอดภัย เทรนด์สินค้าเด็กที่มีเทคโนโลยีอัจฉริยะ ตอบโจทย์พฤติกรรมของพ่อแม่ยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกและปลอดภัย รวมถึงการติดตามและควบคุมผ่านเทคโนโลยี ช่วยทำให้พ่อแม่สามารถดูแลและบริหารจัดการการเลี้ยงดูได้ดีขึ้นในทุกด้าน ทั้งในแง่ของสุขภาพ การพัฒนา และความปลอดภัย เช่น   เครื่องมืออัตโนมัติ ที่ช่วยดูแลลูกในขณะที่พ่อแม่ไม่สามารถอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา อาทิ เครื่องตรวจจับคุณภาพอากาศในห้องของเด็ก หรืออุปกรณ์การนอนที่ช่วยให้เด็กนอนหลับได้ดีขึ้น กล้องตรวจจับการนอน กล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว เครื่องฟอกอากาศสำหรับเด็ก   นอกจากนี้ ยังมีเสื้อผ้าและอุปกรณ์ตรวจจับอุณหภูมิและสุขภาพเด็กแบบเรียลไทม์ รถเข็นอัจฉริยะ ตลอดจนแอปพลิเคชันที่ช่วยดูแลพัฒนาการของลูกได้แม่นยำขึ้น เช่น เครื่องวัดการเติบโต   3. ของเล่นเสริมพัฒนาการเฉพาะบุคคล เทคโนโลยีอัจฉริยะสามารถนำมาใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กได้ เช่น ของเล่นอัจฉริยะที่ช่วยฝึกทักษะด้านต่าง ๆ ทั้งการคิด การเรียนรู้ และการปฏิสัมพันธ์ ซึ่งสามารถกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กได้ในรูปแบบที่สนุกสนานและน่าสนใจ เช่น   ของเล่นที่สามารถปรับระดับการเรียนรู้ตามพัฒนาการของเด็กแต่ละคน และเทคโนโลยี VR และ AR ที่ช่วยเสริมการเรียนรู้และทักษะทางสังคม หรือ Subscription Box ที่คัดสรรของเล่นเสริมพัฒนาการส่งถึงบ้านตามช่วงวัย ซึ่งการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการของเด็กไม่เพียงแต่ช่วยให้พ่อแม่มั่นใจในการเรียนรู้ แต่ยังเป็นการส่งเสริมทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตด้วย   4. การชอปปิ้งออนไลน์และการปรับแต่งสินค้าเฉพาะบุคคล เวลาของพ่อแม่ยุคใหม่มีจำกัด การชอปปิ้งออนไลน์ช่วยให้ซื้อสินค้าได้ตลอดเวลาที่สะดวก มีสินค้าให้เลือกหลากหลายประเภท แถมยังเปรียบเทียบราคาได้ ทำให้เลือกซื้อสินค้าได้คุ้มค่า มีบริการจัดส่งสะดวกและรวดเร็ว สอดรับกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวก ปลอดภัย และการเลือกสินค้าที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันได้ตรงจุด   ส่วนการปรับแต่งสินค้าเฉพาะบุคคล (Personalization) ก็เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม โดยสามารถปรับแต่งสินค้าหรือบริการให้เหมาะสมกับความต้องการและรสนิยมได้ ช่วยให้พ่อแม่สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกได้ตามไลฟ์สไตล์ของครอบครัว เช่น เสื้อผ้าที่ใส่ชื่อหรือข้อความส่วนตัว กระเป๋าที่เลือกสีและลายได้ หรือของเล่นและเครื่องมือการเรียนรู้สำหรับเด็กที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับช่วยวัย รวมถึงความสนใจของเด็ก เป็นต้น   5. บริการสมัครสมาชิกสินค้าเด็ก (Baby Subscription Service) เพราะพ่อแม่ยุคใหม่มีชีวิตที่ยุ่งเหยิง การสมัครเป็นสมาชิกจะช่วยประหยัดเวลาในการซื้อสินค้าแบบเดิม ๆ เนื่องจากการจัดส่งถึงบ้าน ทำให้จัดการกับการซื้อสินค้าได้ง่าย สะดวกขึ้น และมั่นใจในคุณภาพของสินค้า รวมถึงจัดการงบประมาณด้วยแผนการเงินที่ยืดหยุ่นเหมาะสม   อีกทั้งยังเพิ่มประสบการณ์การดูแลที่ตรงจุดและเป็นประโยชน์ของทั้งครอบครัว จากการปรับแต่งสินค้าตามความต้องการและช่วงวัยของลูก ๆ ตัวอย่างเช่น บริการจัดส่งของใช้จำเป็น  อาทิ ผ้าอ้อม/ นมผง ผลิตภัณฑ์ดูแลเด็ก หรือ Subscription Box สำหรับเด็กที่คัดสรรสินค้าและของเล่นที่เหมาะสมส่งถึงบ้าน ซึ่งแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มพัฒนาโมเดลธุรกิจแบบสมัครสมาชิกเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภคมากขึ้น   ทั้งหมดนี้คือ 5 เทรนด์สินค้าสำหรับแม่และเด็กมาแรงในปี 2025 ที่เน้นการใช้เทคโนโลยี ความยั่งยืน และสุขภาพเป็นหลัก ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยพฤติกรรมของพ่อแม่ที่เปลี่ยนไป ซึ่งต้องใส่ใจในคุณภาพ ความปลอดภัย และพัฒนาการของลูกน้อยมากยิ่งขึ้น   แนวโน้มดังกล่าว ยังเป็นโอกาสสำหรับ นักธุรกิจ ผู้ประกอบการที่กำลังหานสินค้าใหม่ๆ และพ่อแม่ยุคใหม่ ไม่ควรพลาดในงานมหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมแม่และเด็ก Kind + Jugend ASEAN 2025 (คินอันยูเก้น อาเซียน) มหกรรมงานแสดงสินค้าและนวัตกรรมแม่และเด็กสุดยิ่งใหญ่แห่งเอเชียแปซิฟิก   โดยรวบรวม Top Global Brand กว่า 300 แบรนด์มาไว้ครบจบในที่เดียว  โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 14 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยวันที่ 14 มิถุนายน เป็นวันpublic day ที่พ่อแม่ยุคใหม่และผู้สนใจสามารถเข้ามาร่วมจับจ่ายซื้อสินค้าปลีกได้ในราคาพิเศษ! โดยสามารถลงทะเบียนเข้างานได้ที่เว็บไซต์ kindundjugend.asia   บทสรุป อัตราเกิดลดลง ทำให้ครอบครัวมีลูกน้อยลง แต่พร้อมเปย์ให้เต็มที่กับลูกหลาน เทรนด์สินค้าเด็กปี 2025 จึงเน้นคุณภาพ ปลอดภัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีอัจฉริยะ ของเล่นเสริมพัฒนาการ และบริการแบบ Subscription มาแรง พฤติกรรมพ่อแม่ยุคใหม่เปลี่ยน สินค้าต้องตอบโจทย์เฉพาะบุคคลและสะดวกสบาย พบโอกาสและนวัตกรรมสินค้าเด็กในงาน Kind + Jugend ASEAN 2025 วันที่ 12-14 มิ.ย.นี้

April 18, 2025 / 0 Comments
read more

Posts pagination

Previous 1 … 3 4 5 Next
Royal Elementor Kit Theme by WP Royal.