เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก เฮอร์บาไลฟ์ (Herbalife) บริษัทระดับโลกด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ใช้กลยุทธ์การตลาดมีส่วนร่วมกิจกรรมระดับโลก ในโอกาส ‘วันสตรีสากลปี 2025’ โดยนำธีม ‘Accelerating Action’ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองพลังของผู้หญิงทั่วโลก และตอกย้ำความสำคัญของการดูแลสุขภาพของผู้หญิงในทุกมิติ ด้วยแนวคิด ‘สุขภาพที่ดีคือรากฐานสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน’ โดยเฉพาะในโลกที่ผู้หญิงต้องทำหน้าที่หลากหลาย ทั้ง อาชีพหลัก คนดูแลครอบครัว หรือผู้จัดการชีวิตในบ้าน ดังนั้น การแบ่งเวลาให้ตัวเองเพื่อดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และจากการรับหลากหลายบทบาทในเวลาเดียวกัน อาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งกายและใจ โดยเฉพาะ ‘ความเครียดเรื้อรัง’ อาจกระทบระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน นอนหลับไม่สนิท หรือเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ ยังมีโรคบางชนิดที่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เช่น ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และภาวะกล้ามเนื้อพร่อง (Sarcopenia) ทั้งนี้ การเข้าใจร่างกายและปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ดร. วิภาดา แซ่เล่า หัวหน้าฝ่ายการศึกษาและฝึกอบรมด้านโภชนาการ เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก ร่วมแบ่งปันคำแนะนำในการดูแลสุขภาพที่เน้นทั้งการป้องกันโรค การเสริมสร้างความแข็งแรง และการดูแลหัวใจที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางของพลังชีวิตผู้หญิง รู้หรือไม่ว่า โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้หญิงในเอเชีย? ในปี 2019 คิดเป็นถึง 35% ของการเสียชีวิตทั้งหมด และยังพบว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ในเอเชียสูงที่สุดในโลก การตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจความดัน คอเลสเตอรอล เบาหวาน และน้ำหนักตัว จึงเป็นทางเลือกที่จำเป็นสำหรับการป้องกัน ‘เช็คลิสต์’ กายใจแข็งแรงห่างไกลโรค การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว แอโรบิก หรือโยคะ สามารถช่วยลดระดับความเครียด ควบคุมความดันโลหิต และเสริมการไหลเวียนโลหิตได้ดีขึ้น โภชนาการก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญ ผักผลไม้สด ธัญพืชเต็มเมล็ด ปลาไขมันดี ถั่ว และอาหารที่มีโอเมก้า-3 ล้วนส่งเสริมสุขภาพหัวใจและลดความเสี่ยงของโรคร้าย ผู้หญิงยังต้องให้ความสำคัญกับ ‘สมดุลของฮอร์โมน’ ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และสุขภาพโดยรวม สารอาหารอย่างธาตุเหล็กมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์หรือช่วงหมดประจำเดือน ซึ่งร่างกายสูญเสียธาตุเหล็กได้มาก การดูแลอาหารให้เพียงพอในสารอาหารสำคัญ การตรวจสุขภาพเป็นประจำ จึงมีผลโดยตรงต่อความสมดุลของระบบภายใน โดยเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผู้หญิงมีแนวโน้มสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อพร่อง (Sarcopenia) และโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง และการรับประทานโปรตีน แคลเซียม และวิตามินดีอย่างเพียงพอ จะช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดความเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกหัก วิธีดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนสำหรับผู้หญิง คือ การรับประทานอาหารที่หลากหลาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักจัดการความเครียด การมีกลุ่มเพื่อนหรือเข้าร่วมกิจกรรมออกกำลังกายร่วมกับผู้อื่น จะช่วยส่งเสริมความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ลดความโดดเดี่ยว และเสริมสร้างพลังใจได้อย่างมหาศาล แม้ผู้หญิงยุคใหม่จะตระหนักถึงสุขภาพมากขึ้น แต่ก็ยังมีสิ่งที่เราต้องร่วมผลักดันต่อไป ทั้งด้านความรู้ การดูแลตัวเอง และการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้หญิงมีสุขภาพดี มีพลังใจ และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพในทุกบทบาทของชีวิต บทสรุป Herbalife Asia Pacific เฉลิมฉลองวันสตรีสากล 2025 ด้วยแคมเปญ “Accelerating Action” เน้นสุขภาพผู้หญิงทุกมิติ ตอกย้ำว่าผู้หญิงยุคใหม่มีบทบาทหลากหลาย จึงต้องดูแลสุขภาพกาย–ใจอย่างสมดุล โรคหัวใจ ภาวะฮอร์โมนแปรปรวน และกล้ามเนื้อพร่อง เป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม วิธีดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนคือ โภชนาการที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้พอ การสร้างสังคมที่สนับสนุนผู้หญิงให้เข้าถึงความรู้และบริการสุขภาพคือหัวใจสำคัญ
‘Gambol กล้าแตะ’ กับหนังสั้น 3 ตอนจบ สื่อผ่าน ‘3 ลิง’ แก้ปัญหาโลกล้านปี
‘แกมโบล’ แบรนด์รองเท้าสัญชาติไทยของครอบครัว ‘กิจกำจาย’ ที่ช่วยกันสร้างธุรกิจขึ้นเมื่อปี 2512 จนก้าวสู่ความสำเร็จถึงในปัจจุบัน สำหรับในปี 2568 นี้ ‘แกมโบล’ (Gambol) เลือกทำงานร่วมกับตัวแทนสื่อโฆษณา วาย เอ็มดี ประเทศไทย (YDM Thailand) ในการทำตลาดเพื่อสารแบรนด์ผ่านภาพยนต์โฆษณา ด้วยแคมเปญล่าสุด ‘Gambol กล้าแตะ’ ให้กับแบรนด์รองเท้าแตะ Gambol วุฒิชัย กิจกำจาย ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ Gambol กล่าวถึงแนวคิดเริ่มต้น จากความเชื่อว่า “รองเท้าที่ดี ไม่ใช่แค่ใส่สบาย แต่ต้องส่งต่อความรู้สึกดีให้ผู้สวมใส่ ซึ่งทำให้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ‘Gambol’ ใส่ใจในทุกรายละเอียดของสินค้าด้วยอยากให้ทุกย่างก้าวของผู้ได้สวมใส่ เปี่ยมด้วยความกล้าและความหมาย จากความไว้วางใจจากผู้คนกว่า 15 ล้านคู่ต่อปีต่อปี “รองเท้า Gambol จึงเป็นมากกว่าสิ่งที่สวมใส่ แต่คือพลังเล็ก ๆ ที่ผลักดันให้ทุกคนยืนหยัดในสิ่งที่ดี ทั้งเพื่อตัวเองและสังคม” ขณะที่ ฝ่ายสร้างสรรค์ อนุวรรต นิติภานนท์ Chief Creative Officer, YDM Thailand กล่าวว่า แคมเปญนี้ของ Gambol สะท้อนความจริง และสร้าง Movement จุดประกายความคิด ‘กล้าแตะ’ แค่รองเท้า Gambol หนึ่งคู่ ก็สามารถเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเลือกหยิบประเด็นร้อนแรงของสังคมไทยที่คนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยง มานำเสนอในมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ผ่านภาพยนตร์โฆษณา 3 ตอน ที่ชวนย้อนกลับไปยังโลกยุคดึกดำบรรพ์ พร้อมตั้งคำถามถึงสังคมไทยปัจจุบัน ว่าปัญหาเดิม ๆ เหล่านั้น… ยังอยู่ Gambol กล้าแตะ (Dare to Step): เมื่อ 5 ล้านปีก่อน… ก็ยังเหมือนวันนี้ แนวคิดของแคมเปญเริ่มจากคำถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อ 5 ล้านปีก่อน แล้วพบว่าปัญหาของสังคมไทย… ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย?” จึงเกิดเป็นหนังโฆษณา ‘Gambolกล้าแตะ’ ที่เล่าเรื่องราวของลิงดึกดำบรรพ์ในสังคมที่เงียบเฉย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแตะ แม้จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้น “ไม่ถูกต้อง” จนกระทั่งลิงตัวหนึ่งได้รับ “รองเท้าแตะ Gambol” ที่ตกลงมาจากฟ้า และเลือกที่จะ ‘ถอดมันออกแล้วปาใส่ปัญหา’ แทนที่จะเดินหนี 3 ตอน 3 ปัญหาสังคม ตอนแรก คลิกชมตอนแรก ‘ลิงใช้ความรุนแรง’ ขึ้นชื่อว่าเรื่องของผัวเมียคนอื่นอย่ายุ่ง ภาพนี้มีให้เห็นจนชินตาในสังคม ลิงสามีจิกหัวภรรยา ต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม จนกระทั่งลิงที่ใส่ Gambol ตัดสินใจ Gambol เพื่อหยุดความรุนแรงนั้น เมื่อลิง ที่รุนแรงได้ลองใส่รองเท้า Gambol ได้สัมผัสเทคโนโลยี G-Bold ทำให้เท้าสบาย สมองก็ผ่อนคลาย ความโกรธก็ค่อย ๆ หายไป สติกลับมา พร้อมคำขอโทษที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตอนสอง คลิกชมตอนสอง ‘ลิงนักเผา’ ความเดือดร้อนที่มักถูกอ้างว่าทำในพื้นที่ของตัวเอง แต่ผลกระทบเป็นวงกว้าง ลิงนักเผา ที่จุดไฟในที่ของตัวเอง โดยไม่แคร์ว่าควันจะลอยไปทำลายสุขภาพของทุกตัวในถ้ำ ทุกคนเงียบได้แต่บ่น จนกระทั่งมี Gambol ลอยเข้าไปชนปัญหา และหลังจากที่ลิงนักเผาได้ใส่รองเท้า เขาก็เปลี่ยนไป และยอมรับผิดด้วยเสียงที่ทุกคน อยากได้ยิน ตอนสาม คลิกชมตอนสาม ‘ลิงนักการเมือง’ คอร์รัปชั่น การโกงกิน ค่าหัวคิว เรื่องผิดที่ใครๆ ก็หลับตาข้างนึง ลิงผู้นำแจกข้าวโพดจากการเก็บเกี่ยวให้พรรคพวกตัวเองเยอะกว่าคนอื่น ลิงชาวบ้านได้แต่มอง แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมา จนกระทั่งมีลิงตัวหนึ่ง เสนอรองเท้า Gambol ที่ดูดีให้กับลิงผู้นำ และเมื่อลิงนักการเมืองได้สัมผัสร้องเท้า Gambol ความคิดก็เปลี่ยนไป พร้อมสารภาพผิดต่อลิงชาวบ้านทุกตัว เมื่อเท้าสบาย ความคิดก็เปลี่ยน พร้อมกับที่ YMD ยังต้องการสะท้อนถึง ‘หัวใจ’ ของแคมเปญนี้ คือ แนวคิดเรียบง่ายแต่ชัดเจน ‘เมื่อเท้าสบาย สมองก็ผ่อนคล้าย พร้อมกล้าแตะในสิ่งที่ควร’ เพราะรองเท้าจาก Gambol มาพร้อม 2 เทคโนโลยีตามที่ ‘เอเยนซี่’ ได้รับโจทย์มาจากแกมโบล ที่ต้องการ ‘ขาย’ นวัตกรรมรองเท้าแตะ อย่าง G-Bold™: หูหนีบนุ่มทนแรงกระชาก ใส่สบาย พร้อมด้วยพื้นยางกันลื่น G-Reflex™: เบา สะท้อนน้ำ แห้งไว้ ไม่อับชื้น นุ่มใส่สบาย พร้อมย้ำชัดๆ ว่าทั้งคู่ไม่ใช่แค่เรื่องของความสบายทางกาย แต่คือจุดเริ่มต้นของความกล้าทางความคิด Tagline ที่ชวนคิด: ‘กล้าแตะ’ ‘กล้าแตะ’ สื่อถึงทั้งความกล้าที่จะใส่รองเท้าแตะ Gambol ไปได้ทุกที่ และความกล้าที่จะ “แตะ” ประเด็นที่สังคมไม่กล้าแตะ เป็นทั้งสัญลักษณ์ของความสบาย และการเปลี่ยนแปลงทางความคิด โดยแคมเปญนี้ถ่ายทอดผ่านฝีมือของ ‘เอ๋ Suneta’ ผู้กำกับแนวหน้า ที่มีผลงานโฆษณาดัง ๆ มากมาย โดยที่โฆษณาชุดนี้ ผสมผสานความเป็นภาพยนตร์กับอารมณ์ขันและความจริง อย่างลึกซึ้ง อีกด้วย บทสรุป Gambol เปิดตัวแคมเปญ “กล้าแตะ” ผ่านหนังสั้น 3 ตอน สะท้อนปัญหาสังคมไทยด้วยอารมณ์ขัน ที่หยิบเรื่องราวของลิงดึกดำบรรพ์ที่กล้าลุกขึ้นเปลี่ยนแปลง ด้วยพลังจากรองเท้าแตะ Gambol ทั้งประเด็น ความรุนแรง, การเผาป่า และคอร์รัปชัน มานำเสนออย่างสร้างสรรค์ และขายของไปพร้อมกันด้วยเทคโนโลยี G-Bold™ และ G-Reflex™ ที่ใส่สบายจนเปลี่ยนความคิดได้ “กล้าแตะ” สื่อถึงความกล้าในใจ และการกล้าลงมือเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และ กล้าที่จะสวมใส่แกมโบล เพื่อ ‘แตะ’ ทุกปัญหาที่ยังพบเจอ ในวันนี้
ETRO แบรนด์แฟชั่นหรูจากมิลาน แลนดิ้ง ‘ภูเก็ต’ เปิดตัว ETRO RESIDENCES แห่งที่ 2 ของโลก
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ยังคงความร้อนแรงไม่พัก ล่าสุด ‘ETRO’ แบรนด์แฟชั่นระดับไอคอนจากอิตาลี ที่มีซิกเนอเจอร์ลวดลายหยดน้ำเพสลีย์ ‘Paisley’ ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการประกาศเตรียมเปิดตัวโครงการ ‘ETRO RESIDENCES PHUKET’ ริมหาดลายัน หนึ่งในโลเคชันที่สวยงามและเป็นส่วนตัวที่สุดของเกาะ กับโครงการสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเพียง 8 ยูนิตเท่านั้น การเข้ามาของ ETRO ในครั้งนี้ยังพร้อมปักหมุดให้เป็น Fashion Branded Residences แห่งแรกของภูเก็ต และเป็นโครงการ ETRO RESIDENCES แห่งที่สองของโลก ต่อจากอิสตันบูล และแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกด้วย ‘ฟาบริซิโอ คาร์ดินาลี’ (Fabrizio Cardinali) ซีอีโอของ ETRO เปิดเผยเบื้องหลังการเลือก ภูเก็ต เป็นที่ตั้งของโครงการ ETRO RESIDENCES แห่งที่สองของโลก ต่อจากเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยกล่าวว่า “หลังจากเปิดตัว ETRO RESIDENCES ISTANBUL ซึ่งเป็น Branded Residence แห่งแรกของแบรนด์เมื่อปีที่ผ่านมา ETRO ก็ได้เดินหน้าขยายโลกแห่งไลฟ์สไตล์ลักชัวรีไปยังจุดหมายใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นคือภูเก็ต” “เราพิจารณาข้อเสนอจากผู้พัฒนาหลายรายในหลากหลายเมืองทั่วโลก และสุดท้าย ภูเก็ต คือ คำตอบที่ลงตัวที่สุด ทั้งความน่าเชื่อถือของพันธมิตร ความโดดเด่นของตัวโครงการและทำเลโดยรอบ ตลอดจนความสอดคล้องกับจิตวิญญาณของแบรนด์ ETRO ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” นอกจากนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย และภูเก็ต กำลังเติบโตขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรีทั่วโลก คาร์ดินาลี กล่าวอีกว่า แม้ ETRO จะอยู่ภายใต้แนวคิด Branded Residence เช่นเดียวกับโครงการแรกในอิสตันบูล แต่ ETRO RESIDENCES PHUKET ก็มาพร้อมบริบทที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ถือเป็นการก้าวออกจากความเป็นมหานคร สู่โลกที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์ รายล้อมด้วยหนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุดในโลก “ETRO เป็นแบรนด์ที่เต็มไปด้วยมิติและแรงบันดาลใจจากศิลปะและวัฒนธรรม เราเริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตสิ่งทอ และลวดลายซิกเนเจอร์ของเราอย่าง Paisley ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ การนำรากเหง้าของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นผืนผ้า เฟอร์นิเจอร์ หรือแนวคิดด้านศิลปะ มาผสานเข้ากับธรรมชาติอันน่าทึ่งของโครงการ GARDENS OF EDEN ในภูเก็ต ถือเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นของไลฟ์สไตล์ในแบบฉบับ ETRO” คาร์ดินาลี กล่าวเสริม เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า ETRO RESIDENCES PHUKET แต่ละยูนิต ไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่เป็นการตีความโลกของ ETRO ออกมาในรูปแบบที่จับต้องได้ ถ่ายทอดประสบการณ์ที่หลอมรวมความงดงาม ความสบาย และความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งกับธรรมชาติรอบตัวไว้อย่างกลมกลืน ‘ยูนิต’ แฟชั่นแห่งความสง่าสาม ยานา ชูวาโลวา (Yana Chuvalova) ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อมอล กรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการ Gardens of Eden ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีในภูเก็ต เปิดเผยว่า ETRO RESIDENCES PHUKET ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ GARDENS OF EDEN ถือเป็นโครงการ Fashion Branded Residence แห่งแรกของภูเก็ต โดยผสานโลกแห่งไฮแฟชั่นกับอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีบนทำเลที่เต็มไปด้วยความงดงามทางธรรมชาติและความนิยมที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในหมู่ผู้ซื้อระดับโลก โครงการนี้มีเพียง 8 ยูนิตเท่านั้น พัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียมหรู ขนาด 220–420 ตารางเมตร แบ่งเป็นแบบ 3 ห้องนอน, แบบดูเพล็กซ์ (2 ชั้น) และเพนท์เฮาส์ ขณะที่ทุกยูนิตมาพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว ตั้งอยู่ในอาคารสูง 3 ชั้น จำนวน 2 อาคาร บนทำเลริมชายหาด มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าลงทะเบียนใน waiting list แล้วถึง 10 ราย “ความต้องการที่อยู่อาศัยระดับลักซูรี่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเราเริ่มเห็นแนวโน้มใหม่ที่ผู้ซื้อมองหา Branded Residences ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแบรนด์โรงแรมอีกต่อไป แต่รวมถึงแบรนด์แฟชั่นระดับโลกด้วย หนึ่งในนั้นคือ ETRO แบรนด์แฟชั่นจากอิตาลีที่มีชื่อเสียงด้านการใช้สีสันอันโดดเด่นและดีไซน์เหนือกาลเวลา ซึ่งเข้ากันได้อย่างลงตัวกับเสน่ห์ของภูเก็ต” ชูวาโลวา กล่าว เธอกล่าวเสริมว่า ETRO ไม่ใช่เพียงแค่แบรนด์แฟชั่นเท่านั้น หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์ที่มีความสง่างาม โดยนอกเหนือจากเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ แบรนด์ยังขยายโลกแห่งดีไซน์ให้ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ น้ำหอม ของตกแต่งบ้าน แว่นตา และเฟอร์นิเจอร์ สำหรับโครงการ GARDENS OF EDEN ซึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 73 ไร่ บริเวณหาดลายัน ย่านบางเทา ประกอบด้วยที่พักอาศัยระดับลักชัวรีทั้งหมด 1,294 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวม 315 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส โดยเฟสแรกในชื่อ EDEN RESIDENCES มีจำนวน 141 ยูนิต ขนาดเริ่มต้น 75 ตารางเมตร เปิดขายในราคาตั้งแต่ 220,000–350,000 บาทต่อตารางเมตร ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70% ขณะที่เฟสสองมีจำนวน 452 ยูนิต มียอดขายแล้ว 50% โดยโครงการเริ่มก่อสร้างตั้งแต่กลางปี 2567 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2570 “ลูกค้าของเราในโครงการ GARDENS OF EDEN มาจากทั่วโลก โดยกว่า 80% เป็นผู้ซื้อต่างชาติ ทั้งจากสหราชอาณาจักร รัสเซีย อิสราเอล สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ และประเทศในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนคุ้นเคยกับแบรนด์ ETRO เป็นอย่างดี เราจึงคาดว่า ผู้ซื้อของ ETRO RESIDENCES PHUKET จะมาจากรัสเซีย สหราชอาณาจักร และยุโรปเป็นหลัก” ชูวาโลวา กล่าว สัมผัสเทสต์อยู่อาศัยแฟชั่นหรู ETRO มิเคเล กัลลี (Michele Galli) ซีอีโอ เดอะ วัน อะเทอลิเยร์ (The One Atelier) ผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบโครงการ Branded Residence และผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบ ETRO RESIDENCES PHUKET รวมถึงความร่วมมือระหว่างแบรนด์ ETRO และอมอล กรุ๊ป เปิดเผยว่า ที่พักทั้ง 8 ยูนิตของโครงการจะได้รับการตกแต่งภายในด้วย ETRO HOME INTERIORS คอลเลกชันเฟอร์นิเจอร์ของแบรนด์ที่ถ่ายทอด DNA อันเป็นเอกลักษณ์ของ ETRO ผ่านการออกแบบที่โดดเด่น ด้วยการผสมผสานลวดลาย สีสัน และพื้นผิวที่หลากหลายอย่างมีชั้นเชิง ภาพประกอบ- https://etrohomeinteriors.onirogroup.it/ “ETRO RESIDENCES PHUKET เปรียบเสมือนหน้าต่างที่เปิดไปสู่อนาคตของการอยู่อาศัยระดับลักชัวรี เพราะ Branded Real Estate ในปัจจุบันไม่ได้หมายถึงแค่ความงามทางสถาปัตยกรรมอีกต่อไป แต่เป็นการผสานองค์ประกอบของบริการระดับโรงแรม ความเป็นส่วนตัว และประสบการณ์ด้านเวลเนสเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อระดับโลกที่มีรสนิยมเฉพาะตัวอย่างแท้จริง” กัลลี กล่าว เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า หน้าที่ของผู้ออกแบบไม่ใช่แค่การสร้างพื้นที่ที่สวยงาม แต่คือการรังสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ก้าวข้ามความคาดหวัง มอบทั้งความเป็นส่วนตัวและมุมมองใหม่ของการใช้ชีวิตอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะกับ ETRO RESIDENCES PHUKET ที่ได้รับการออกแบบให้ทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่วิสัยทัศน์ทางสถาปัตยกรรมไปจนถึงรายละเอียดเล็กที่สุดของการตกแต่งภายใน ล้วนสะท้อนตัวตนของแบรนด์ ETRO ได้อย่างสมบูรณ์แบบและแตกต่างอย่างแท้จริง ภาพประกอบ- https://etrohomeinteriors.onirogroup.it/ “ตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นที่จับตามองในระดับโลก โดยเฉพาะในกลุ่มแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี ซึ่งปัจจุบันไม่ใช่แค่แบรนด์โรงแรมเท่านั้นที่เข้ามาในตลาดนี้ แต่ยังรวมถึงแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ชื่อดังด้วย โดย ETRO ถือเป็นแบรนด์แฟชั่นลักชัวรีรายแรกที่เปิดตัวโครงการในภูเก็ตในรูปแบบ Branded Residence และคาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำอย่างน้อยอีก 3 รายตามเข้ามา” กัลลี กล่าวเสริม ภาพประกอบ- https://etrohomeinteriors.onirogroup.it/ ทำความรู้จัก ETRO ETRO ก่อตั้งขึ้นที่เมืองมิลานโดย เจโรลาโม เอทโทร (Gerolamo Etro) ในปี พ.ศ. 2511 แบรนด์นี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในด้านงานฝีมืออันประณีตและความคิดสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ โดยมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทั้งเสื้อผ้าสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี เครื่องประดับ ของแต่งบ้าน น้ำหอม และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ยังได้ขยายสู่คอลเลกชันสำหรับเด็กและแว่นตาอีกด้วย หลังจากดำเนินกิจการภายใต้การบริหารของครอบครัวเอทโทรมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นผู้สร้างอัตลักษณ์และดีเอ็นเอเฉพาะตัวของแบรนด์ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท แอล แคทเทอร์ตัน (L Catterton) ได้เข้าซื้อหุ้นใหญ่ใน ETRO ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 มาร์โก เด วินเชนโซ (Marco De Vincenzo) ได้รับการแต่งตั้งเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ ดูแลภาพรวมของทุกไลน์ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ โดยมีวิสัยทัศน์ในการเฉลิมฉลองความเป็นปัจเจกบุคคลอย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับการให้ความเคารพต่อรากเหง้าของแบรนด์และความงดงามของงานฝีมือแบบอิตาเลียน ETRO ขยายการดำเนินงานผ่านร้านค้าปลีกกว่า 160 สาขาในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมยุโรป อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยตั้งอยู่ในเมืองสำคัญที่เป็นศูนย์กลางของการช้อปปิ้งระดับโลก อาทิ มิลาน ลอนดอน ปารีส ดูไบ นิวยอร์ก ปักกิ่ง และโตเกียว นอกจากนี้ ETRO ยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ร้านค้าในสนามบิน และตัวแทนจำหน่ายระดับสากลที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน บทสรุป ตลาดอสังหาริมทรัพย์ลักซูรีในภูเก็ตยังร้อนแรงไม่หยุด ล่าสุดแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ETRO เตรียมเปิดตัวโครงการ ETRO RESIDENCES PHUKET ริมหาดลายัน ด้วยจำนวนเพียง 8 ยูนิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนแนวคิด Fashion Branded Residence แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดดเด่นด้วยดีไซน์ร่วมสมัยที่ถ่ายทอดตัวตนของแบรนด์อย่างลึกซึ้ง พร้อมเปิดประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ผสานศิลปะ แฟชั่น และธรรมชาติไว้อย่างลงตัว โดยมียอดจองล่วงหน้าแล้วเกินจำนวนยูนิตในโครงการ.
ชมอาร์ต แกลฯพร้อมเข้าสู่จักรวาลมูรากามิ บนเคสมือถือ TAKASHI MURAKAMI x CASETiFY
CASETiFY ชวนสายอาร์ตดื่มด่ำผลงานของ ‘ทาคาชิ มุราคามิ’ ศิลปินชาวญี่ปุ่น ผ่านคอนเซปต์ MURAKAMI WORLD ธีมสวนสนุกหรรษา ในคอลเล็กชั่นเคสสมาร์ทโฟน ที่สร้างสถิติรอคิวซื้อมากที่สุด ทากาชิ มูรากามิ (Murakami Takashi) ศิลปินชาวญี่ปุ่น หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของ ©MURAKAMI เจ้าของผลงานศิลปะแสนขบถในยุคแรกๆของเขาที่ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง อย่างผลงาน ‘HIROPON’ และ ‘My Lonesome Cowboy’ ที่สร้างชื่อให้กับ ‘มูรากามิ’ จนได้รับสมญานามว่า ราชาแห่งโอตาคุ ‘Otaku King’ ที่ต่อมาเขาได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะออกมาอีกมากมาย และต่อยอดสู่การทำงานออกแบบในรูปแบบคอลเล็กชั่นร่วมกับแบรนด์สินค้าต่าง ๆ ส่วน ‘CASETiFY’ (เคสทิฟาย) แบรนด์อุปกรณ์เสริมสำหรับสมาร์ทโฟน ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 โดย ‘Wesley NG’ ในฮ่องกง กับการวางตำแหน่งแบรนด์ธุรกิจไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านเคสโทรศัพท์และอุปกรณ์เทคโนโลยีที่สามารถปรับแต่งได้ ด้วย ที่มาเกิดจากแรงบันดาลใจในแอป Instagram จุดประกายให้ผู้ก่อตั้งนำภาพถ่ายมาสร้างสรรค์ดีไซน์เคสโทรศัพท์ที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยเคสขนาดมาตรฐานและดีไซน์จำเจ ทำให้ CASETiFY โดดเด่นขึ้นมาในฐานะแบรนด์ที่ฉีกกรอบเดิม ๆ ได้อย่างชัดเจน การทำตลาดของ CASETiFY ยังมาพร้อมด้วยโมเดลจำหน่ายผ่านออนไลน์ โดยสิ่งที่สร้างจุดเด่นให้กับแบรนด์ คือ การเปิดให้ลูกค้าออกแบบเคสในแบบของตัวเองได้อย่างอิสระ ทั้งเลือกสี ลวดลาย ไปจนถึงการใส่ข้อความส่วนตัว ปัจจุบัน CASETiFY มีทั้งบริการออนไลน์และหน้าร้าน ‘CASETiFY Studio’ กว่า 18 แห่งทั่วโลก โดยในปี 2020 ทำรายได้กว่า 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตั้งเป้าทะยานสู่รายได้ 3,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดยในปัจจุบัน ยังเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไลฟ์สไตล์และเครื่องประดับตกแต่งอุปกรณ์ไอทีที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สินค้าของ Apple และ Samsung ล่าสุดเมื่อโลกของศิลปะมาพบกับเทคโนโลยีไลฟ์สไตล์ ด้วยการคอลแล็บส์ระหว่าง ทากาชิ มูรากามิ และ CASETiFY ในคอลเลกชั่น TAKASHI MURAKAMI x CASETiFY มาพร้อมกับกระแสไวรัลไปทั่วโลก ด้วยปรากฎการณ์ทุบสถิติรอคิวซื้อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ CASETiFY ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมชวนสายอาร์ตและเทคโนโลยีแก็ดเจ็ต เข้าสุ่โลกของมูรากามิ ‘MURAKAMI WORLD’ ธีมสวนสนุกที่อบอวลไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวา สร้างความตื่นตาตื่นใจกับอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีดีไซน์ใหม่ล่าสุด ไปจนถึงไอเท็ม CASETiFY Travel ที่ศิลปินออกแบบเองเป็นครั้งแรก และ ‘กรอบล้อมกล้องสีขาว’ ไอเท็มหายากที่สร้างสรรค์ขึ้นเฉพาะคอลเลกชั่น iCONS ครั้งนี้เท่านั้น โดยเริ่มต้นการผจญภัยจากไอคอนตัวแรก ‘MR. DOB’ โดยแต่ละคอลเลกชั่นจะเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันในจักรวาลศิลปะของมุราคามิ ที่ถ่ายทอดการเดินทางของเขาให้เป็นประสบการณ์ศิลปะแสนสนุก ที่เต็มไปด้วยพลังงานและความรื่นเริงเหมือนงานคาร์นิวัล ทาคาชิ มุราคามิ กล่าวว่า “ผมดีใจมากที่ MURAKAMI WORLD ได้รับกระแสตอบรับอย่างดี และตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นงานศิลปะของผมกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน ซึ่งผมหวังว่าจะมอบประสบการณ์ศิลปะสุดพิเศษที่ไม่เหมือนใครให้กับทุกคนได้อย่างลงตัว” ด้าน เวส อึ้ง (Wes Ng) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง CASETiFY กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้ไม่ใช่แค่งานร่วมกับศิลปินแบบเดิม ๆ แต่ก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยมีมา จากกระแสความต้องการสุดท่วมท้นทั่วโลกแสดงให้เห็นชัดว่าผู้คนต้องการสัมผัสศิลปะในชีวิตประจำวันในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งเรากำลังร่วมกับ ทาคาชิ มุราคามิ ปฏิวัติการผสมผสานระหว่างศิลปะ เทคโนโลยี และการแสดงออกส่วนตัวให้น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม” สำหรับงานเปิดตัว MURAKAMI WORLD จัดขึ้นที่ LANDMARK ฮ่องกงไปเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และพร้อมเปิดให้เป็นเจ้าของพร้อมกันทั่วโลกบนแพลตฟอร์มออนไลน์ casetify.com/co-lab/takashi-murakami และ CASETiFY STUDiO สาขาที่กำหนด บทสรุป CASETiFY จับมือศิลปินดัง “ทากาชิ มุราคามิ” เปิดจักรวาลศิลปะสุดสดใสในคอลเลกชัน TAKASHI MURAKAMI x CASETiFYดึงคาแรกเตอร์สุดไอคอนิกอย่าง MR. DOB มาอยู่บนเคสมือถือและอุปกรณ์เสริมไอทีสุดล้ำ ได้สร้างกระแสไวรัลและปรากฏการณ์รอคิวซื้อสูงสุดในประวัติศาสตร์แบรนด์ มาเติมชีวิตให้เทคโนโลยีด้วยความสนุกแบบสวนสนุกผ่านธีม “MURAKAMI WORLD”วางจำหน่ายทั้งออนไลน์และ CASETiFY STUDIO ทั่วโลก ตั้งแต่ 11 เมษายน 2568
รีวิวการเดินทางสไตล์ ‘อาย-กมลเนตร’ พาเที่ยวแบบธรรมชาติให้สุด แล้วหยุดที่ฮ่องกง
นักแสดงสาวผู้รักการผจญภัย ‘อาย- กมลเนตร เรืองศรี’ อาสาพาผู้ชมชาวไทยไปรู้จักของดีฮ่องกงในอีกมุม กับ hiking ใหม่ล่าสุดในอุทยาน Robin’s Nest Country Park ที่เพิ่งเปิดใหม่ทางตอนเหนือของฮ่องกง โดยอาย-กมลเนตร กล่าวถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติตลอดทุกก้าวเดิน และความประทับใจส่วนตัวจากการได้ขึ้นไปเดินเขาที่ อุทยาน Robin’s Nest Country Park ไว้ว่า “เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมา Hiking ที่ฮ่องกง เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่สำหรับการเที่ยวฮ่องกงของอายแบบสุดๆ เลยค่ะ” ขณะที่เส้นทางที่อายได้มาเดินครั้งนี้ยังเป็นเส้นทางใหม่ที่เพิ่งเปิดให้คนทั่วไปขึ้นไปเดินด้วย นั่นก็คือ อุทยาน Robin’s Nest Country Park ซึ่งด้านบนมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ มีต้นไม้ ดอกไม้ และนกสวยๆ ให้ชมตลอดทาง และถ้ามองออกไปเราก็จะได้เห็นวิวของเซินเจิ้นอีกด้วยค่ะ อายดีใจและตื่นเต้นมากๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญนี้ที่จะพาคนไทยไปรู้จักฮ่องกงในมุมที่สวยงามแบบที่หลายคนคิดไม่ถึง แคมเปญที่ อาย-กมลเนตรกล่าวถึงเกิดจากการชูจุดเด่นของฮ่องกงที่ผสมผสานความเป็นธรรมชาติเข้ากับความเป็นเมืองได้อย่างลงตัว ของการท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board: HKTB) ที่นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางเว็บไซต์ Hong Kong Great Outdoors ผ่านซีรีส์สี่ภาพยนตร์สั้นล่าสุดภายใต้ชื่อ “สี่มุมแห่งประสบการณ์ใหม่ในฮ่องกง” ซึ่งจะพาผู้ชมผจญภัยแบบเอาท์ดอร์ ขึ้นเขา ลงห้วย ดำน้ำไปทั่วทั้งตอนเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก เผยแพร่ความงามของทัศนียภาพหลากหลาย ประกาศศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในฮ่องกง ปักหมุดกิจกรรม ตามรอยแหล่งเที่ยว จากซีรีส์ภาพยนตร์สั้น “สี่มุมแห่งประสบการณ์ใหม่ในฮ่องกง” ฮ่องกงเหนือ – อัญมณีทางประวัติศาสตร์ กิจกรรม: เดินป่า ขึ้นเขา สถานที่: อุทยาน Robin’s Nest Country Park ‘อาย กมลเนตร เรืองศรี’ พาไปทัวร์อุทยาน Robin’s Nest Country Park ที่เพิ่งเปิดใหม่ทางตอนเหนือของฮ่องกง ในรูปแบบ Vlog ที่เป็นกันเอง โดยอายจะพาไปเจาะลึกประวัติศาสตร์อันยาวนานของพื้นที่ เยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ เช่น เหมืองตะกั่ว Lin Ma Hang Lead Mine ที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งจะพาผู้ชมย้อนกลับไปดูการหาเลี้ยงชีพของผู้คนในอดีต และพาไปดูซากป้อมปราการของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ Ah Kung Kok และ Shan Tsui รวมถึงป้อม MacIntosh Forts (Kong Shan) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ได้รับการยกย่องว่ามีความน่าสนใจทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ในระดับ 2 (Grade II) ตามแนวชายแดนที่เชื่อมต่อกับประเทศจีน นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายของอายในขณะที่เธอวาดภาพดอกกุหลาบพันปีสีแดงอันแสนงดงามและทิวทัศน์สุดประทับใจของภูเขา Shenzhen Wutong ลิงก์วิดีโอ: https://www.youtube.com/watch?v=NVv4zr5SR2o ฮ่องกงตะวันออก – เส้นทางมรดกโลก กิจกรรม: HK100 – การแข่งขันวิ่งเทรลอันดับหนึ่งของเอเชีย ตามรอยเท้านักวิ่งเทรลระดับแนวหน้าจากการแข่งขันมาราธอน Hong Kong 100 Ultra ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตื่นตาตื่นใจไปกับแนวชายฝั่งและอากาศอันบริสุทธิ์ของอ่าวทั้งสี่ของ Tai Long Wan และ Hoi Ha ทำให้ Sai Kung ได้รับการขนานนามว่าเป็นสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบของฮ่องกง ลิงก์วิดีโอ: https://www.youtube.com/watch?v=sCEDHZduoVs ฮ่องกงใต้ – ธรรมชาติใกล้นิดเดียว กิจกรรม: ผจญภัยวันเดียวเที่ยวหลายเกาะ (Island-hopping) พายเรือคายัคที่ Stanley Main Beach ถ่ายเซลฟี่กับหินรูปร่างแปลกตาของเกาะ Po Toi นั่งเรือเฟอร์รี Kaito ไปยัง Ap Lei Chau เพื่อกินอาหารทะเลแสนอร่อยปิดท้ายวัน สถานที่: แนวชายฝั่งฮ่องกง ฮ่องกงตะวันตก – เส้นทางพิชิตยอดเขา กิจกรรม: TransLantau™ by UTMB® – การแข่งขันวิ่งข้ามเกาะที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง นักวิ่งจะต้องข้ามขีดจำกัดของร่างกาย โดยวิ่งไปตามเส้นทางที่ตัดผ่านแลนด์มาร์กที่ไม่ควรพลาด เช่น Big Buddha หรือ Ngong Ping 360 และหมู่บ้านชาวประมง Tai O Fishing Village นับเป็นความท้าทายที่มีทิวทัศน์อันน่าทึ่งของสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดบางแห่งของฮ่องกงเป็นรางวัลตอบแทน ผู้สนใจสามารถรับชมซีรีส์ภาพยนตร์โปรโมต 4 ชุด ได้ทาง Instagram Facebook และ TikTok รวมถึงแพลตฟอร์ม Xiaohongshu, Douyin และ Weibo ของ HKTB บทสรุป นักแสดงสาวผู้รักการเดินทาง ‘อาย-กมลเนตร เรืองศรี’ พาเปิดประสบการณ์ใหม่ในฮ่องกง ผ่านแคมเปญ Hong Kong Great Outdoors กับเส้นทางเดินป่าที่เพิ่งเปิดใหม่ใน Robin’s Nest Country Park ที่ผสมผสานธรรมชาติและประวัติศาสตร์ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ซีรีส์ “สี่มุมแห่งประสบการณ์ใหม่ในฮ่องกง” ยังชวนสำรวจเส้นทางอื่น ๆ เช่น การวิ่งเทรล HK100, การพายคายัคตามแนวชายฝั่ง และการแข่งขัน TransLantau™ by UTMB® ชมเรื่องราวและเส้นทางธรรมชาติสวย ๆ ที่หลายคนคาดไม่ถึงได้ทางแพลตฟอร์มออนไลน์ของ Hong Kong Tourism Board
มาต่อเลโก้ที่ห้องเราไหม? คอลเล็กชั่นพิเศษ LEGO® จำลองรถแข่งระดับตำนานฉลองครบรอบรอบ 75 ปี Formula 1®
ก่อนอื่นขอพาไปทำความรู้จักกับ LEGO Group บริษัทของเล่นระดับโลกจากเดนมาร์ก ก่อตั้งในปี 1932 โดย โอเล เคิร์ก คริสเตียนเซน (Ole Kirk Christiansen) เป็นที่รู้จักจากตัวต่อ LEGO® อันเป็นเอกลักษณ์ ที่ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ให้กับเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลก และยังว่ากันว่า เจ้าตัวต่อ LEGO® ไม่ได้เป็นแค่ของเล่นสำหรับเด็ก แต่ยังสร้างพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทุกวัยทั่วโลก อีกด้วย ส่วน Formula 1® (F1) คือ การแข่งขันรถยนต์ระดับสูงสุดของโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 1950 ภายใต้การดูแลของ FIA (Fédération Internationale de l’Automobile) โดยเป็นกีฬาความเร็วที่ผสมผสานนวัตกรรม เทคโนโลยี และวิศวกรรมระดับสูงที่สุด ล่าสุด LEGO และ F1® จับมือเปิดตัว LEGO® F1® คอลเล็กชันปี 2025 เพื่อต้อนรับการครบรอบ 75 ปีของ Formula 1® นำเสนอชุดตัวต่อพิเศษที่จำลองรถแข่งระดับตำนาน รวมถึงสนามแข่งและพิทเลน เพื่อให้แฟน ๆ ได้สัมผัสประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตอย่างสมจริง สำหรับ ชุดตัวต่อหลัก ที่เปิดตัวได้แก่ LEGO® Technic™ 42207 Ferrari SF-24 F1® Car: ชุดตัวต่อ 1,361 ชิ้น พิถีพิถันในการออกแบบที่เทียบเท่ารถต้นแบบ โดดเด่นด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari พร้อมโครงสร้างที่สมจริง เก็บครบทุกรายละเอียด ทั้งระบบแอโรไดนามิก DRS ลดแรงต้านที่ปีกหลัง หรือยางสลิคสกรีนแบรนด์ Pirelli ให้ความตื่นเต้นราวกับอยู่ในสนามแข่ง LEGO® Technic™ 42206 Oracle Red Bull Racing RB20 F1® Car: ถ่ายทอดเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของ Red Bull Racing กับตัวต่อ 1,639 ชิ้น ด้วยสเกล 1:8 พร้อมรายละเอียดเครื่องยนต์ 1,600 cc V6 และเกียร์ 2 สปีดที่ทำให้เห็นกลไกของรถแข่งที่เร็วที่สุดในสนาม ถูกใจทั้งนักสะสมและแฟน F1® LEGO® Speed Champions คอลเลคชั่นรถแข่ง F1® กับครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยคอลเลคชั่นพิเศษ มาครบทุกความเร็วและความแรงในรูปแบบชุดตัวต่อที่น่าสะสมและไม่เคยมีมาก่อน จัดเต็มครบทั้ง 10 ทีม อาทิ LEGO Speed Champions Ferrari SF-24 F1® Race Car – เสริมความแรงด้วยสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari LEGO Speed Champions Oracle Red Bull Racing RB20 F1® Race Car – เจ้าแห่งความเร็วและนวัตกรรม ที่ครองใจแฟนชาวไทยจำนวนมาก LEGO Speed Champions Mercedes-AMG PETRONAS W15 F1® Race Car สะท้อนความเป็นแชมป์โลกด้วยดีไซน์ที่ดุดันและสมจริง LEGO Speed Champions McLaren MCL38 F1® Team Race Car – สีส้มสะกดทุกสายตา สะท้อนเอกลักษณ์ของ McLaren ที่โดดเด่นบนทุกสนามแข่ง LEGO® Technic™ 42207 Ferrari SF-24 F1® Car (1,361 ชิ้น) LEGO® Technic™ 42206 Oracle Red Bull Racing RB20 F1® Car (1,639 ชิ้น) LEGO® Speed Champions คอลเล็กชัน F1® ครบ 10 ทีม นอกจากนี้ยังมีทีม Aston Martin Aramco, Visa Cash App VCARB 01, KICK Sauber, BWT Alpine, Williams Racing และ MoneyGram Haas มาให้เลือกสะสมรถแข่งของทีมโปรดในดวงใจ หรือเก็บให้ครบทั้งคอลเลคชั่น พร้อมกันนี้ LEGO® ยังทำคอลเลคชั่นพิเศษที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง LEGO® DUPLO® ปลูกฝังความหลงใหลความเร็วด้วยชุดตัวต่อน่ารักสำหรับเด็กเล็ก ที่มาพร้อมจุดปล่อยตัว โพเดียม รถแข่ง 2 คันและนักแข่งตัวจิ๋ว 2 คน LEGO® City F1® Collection ชุดตัวต่อสุดพิเศษที่จะเนรมิตห้องนอนของเด็ก ๆ ให้กลายเป็นสนามแข่งระดับโลก และ LEGO® F1® Collectible Race Cars รถแข่งของนักซิ่งวัยจิ๋ว ที่จะวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมนี้ ต่อการเปิดตัวคอลเล็กชั่นตัวต่อพิเศษในครั้งนี้ ยังเพื่อจุดประกายความหลงใหลใน Formula 1® ให้กับแฟน ๆ รุ่นใหม่ ผ่านการเรียนรู้เรื่องนวัตกรรมและวิศวกรรม พร้อมขยายฐานแฟนมอเตอร์สปอร์ตให้กว้างขึ้นทั่วโลก อีกด้วย ทั้งนี้ แฟนๆ LEGO® และ F1® ที่สนใจ สามารถเลือกซื้อคอลเลคชั่น LEGO® F1® ได้ที่ https://www.bricksthailand.com/f1 และ LEGO Certified Stores ทั้ง 5 สาขา สยามพารากอน, เมกะบางนา, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลเวิลด์ และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/BricksThailand บทสรุป LEGO Group จับมือ Formula 1® เปิดตัวคอลเล็กชัน LEGO® F1® ปี 2025 ฉลอง 75 ปีของการแข่งขัน F1® นำเสนอชุดตัวต่อสุดพรีเมียม เช่น Ferrari SF-24 และ Red Bull RB20 ถ่ายทอดดีไซน์และกลไกรถแข่งสมจริง เปิดตัวคอลเล็กชัน LEGO® Speed Champions ครบ 10 ทีมดัง รวมถึง Ferrari, Red Bull และ Mercedesโปรเจกต์นี้มุ่งขยายฐานแฟนมอเตอร์สปอร์ต และเสริมสร้างการเรียนรู้ด้านวิศวกรรมผ่าน LEGO LEGO F1® เป็นมากกว่าของเล่น แต่เป็นสะพานเชื่อมแฟนความเร็วเข้ากับนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
เมื่อสมประโยชน์ร่วมกันสองฝ่าย iPhone 16 ก็ได้ไปต่อในตลาด ‘อินโดนีเซีย’ หลัง Apple จะผลิตชิ้นส่วนในประเทศ
เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงการสื่อสารของอินโดนีเซีย ประกาศ ว่าได้ออกใบอนุญาตโทรคมนาคมให้กับ iPhone 16 ทั้ง 5 รุ่นของแอปเปิ้ล ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเปิดทางสู่การจำหน่ายในอินโดนีเซีย หลังจากที่เคยมีการห้ามขายในปีที่ผ่านมา ทั้ง 5 รุ่นที่ได้รับใบอนุญาต ได้แก่ iPhone 16e, iPhone 16, iPhone 16 Plus, iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max การอนุมัติครั้งนี้มีขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่อินโดนีเซียได้ออกใบรับรองสำหรับส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศจำนวน 20 รายการสำหรับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ล ซึ่งรวมถึง iPhone 16 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า แอปเปิ้ลยังคงต้องได้รับใบอนุญาตนำเข้าจากกระทรวงพาณิชย์ เพื่ออนุญาตให้จำหน่าย iPhone 16 ภายในประเทศได้ การห้ามขาย iPhone 16 เมื่อปีที่แล้วเกิดขึ้นหลังจากที่แอปเปิ้ลไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนในประเทศ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการปกป้องทางการค้า เมื่อเดือนที่แล้ว แอปเปิ้ลประกาศแผนลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในอินโดนีเซีย รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนและศูนย์วิจัยและพัฒนา เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ต่อสถานการณ์นี้ หากมองจากสองด้าน ทั้งประเทศอินโดนีเซีย เองได้มีนโยบายส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและลดการพึ่งพาการนำเข้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้ประชาชน เมื่อแอปเปิ้ล ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ อินโดนีเซียจึงสั่งห้ามขาย iPhone 16 ก่อนหน้านี้ แต่หลังจากแอปเปิ้ล ตกลงที่จะผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศและได้รับใบรับรองสำหรับส่วนประกอบที่ผลิตในอินโดฯ อินโดนีเซียจึงผ่อนปรนนโยบายและออกใบอนุญาตให้ iPhone 16 กลับมาวางขายได้ มาดูกันว่า ทำไมแอปเปิ้ล ยอมที่จะตั้งโรงงานผลิตโดยตัดสินใจลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในอินโดนีเซีย เข้าถึงตลาดที่มีประชากรมาก – อินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 270 ล้านคน และมีกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ลดอุปสรรคทางการค้า – หาก Apple ไม่ตั้งโรงงาน อาจเผชิญข้อจำกัดด้านภาษีและกฎหมายที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ขายยากขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน – การกระจายฐานการผลิตไปยังหลายประเทศช่วยให้ Apple ลดความเสี่ยงจากข้อพิพาททางการค้า (เช่น ความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ) ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ – การผลิตในประเทศช่วยให้ แอปเปิ้ล ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอินโดนีเซียและเพิ่มความภักดีของผู้บริโภค บทสรุป อินโดนีเซียไฟเขียวให้จำหน่าย iPhone 16 หลังสั่งแบนไปนานกว่าปี โดย แอปเปิ้ลได้รับใบอนุญาตโทรคมนาคมสำหรับ iPhone 16 ทั้ง 5 รุ่น การอนุมัติครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากแอปเปิ้ลลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในประเทศ พร้อมสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนและศูนย์วิจัย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซียย้ำว่า แอปเปิ้ล ยังต้องขอใบอนุญาตนำเข้าเพื่อวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยเรื่องนี้ยังเป็นการเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียกับแอปเปิ้ล ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแอปเปิ้ล ได้ตลาดกลับคืนมา ขณะที่อินโดนีเซียได้รับการลงทุนและการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตอิเล็กทรอนิกส์
นโยบาย ซีอีโอใหม่ ‘Tinder’ ห่วงภาพแอปปัดหาคู่เกมล่าแต้มสู่แพลตฟอร์มสร้างคอนเนคชั่น-พื้นที่แห่งการเชื่อมต่อ
สเปนเซอร์ ราสคอฟฟ์ ซีอีโอคนใหม่ของแมตช์ กรุ๊ป อิงค์ (Match Group Inc.) ผู้ดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มจับคู่ออนไลน์ ‘ทินเดอร์’ (Tinder) และในเครือมากกว่า 45 บริษัท ระบุการปรับกลยุทธ์เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งโดยตรง โดยจะมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การลงทุนในตลาดที่มีการเติบโต และการสร้างช่องทางให้พนักงานสามารถแบ่งปันแนวคิดกับทีมผู้บริหารอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในแอปหาคู่ที่เป็นดาวเด่นของบริษัท ราสคอฟฟ์กล่าว ในบันทึกข้อความถึงพนักงานที่เผยแพร่บนลิงค์อินเมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) ว่า “แอปของเราให้ความรู้สึกเหมือนเกมเก็บแต้มแทนที่จะเป็นสถานที่แห่งการเชื่อมต่อ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเราคำนึงถึงตัวชี้วัดมากกว่าประสบการณ์ ซึ่งสิ่งนี้ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง” การปรับปรุงครั้งนี้ยังรวมถึงการขยายการใช้งาน AI ในแอปหาคู่ทินเดอร์ (Tinder) และฮินจ์ (Hinge) โดยจะเปิดช่องทางให้พนักงานสามารถให้ข้อเสนอแนะที่ตรงไปตรงมา พร้อมทั้งคาดหวังการทำงานร่วมกันในสำนักงานเพื่อช่วยให้บริษัทดำเนินการได้เร็วขึ้นและมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายได้ดีขึ้น ทั้งนี้ โฆษกของแมตช์ กรุ๊ปปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลดตำแหน่งงานหรือการเพิ่มวันทำงานในสำนักงานตามคำกล่าวของซีอีโอคนใหม่ บทสรุป ซีอีโอใหม่ของ Match Group Inc. สเปนเซอร์ ราสคอฟฟ์ ประกาศปรับกลยุทธ์ Tinder จากแอปหาคู่สู่แพลตฟอร์มสร้างคอนเนคชั่นที่แท้จริง ลดภาพลักษณ์เกมเก็บแต้ม พร้อมขยายการใช้ AI เพื่อพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ ราสคอฟฟ์ย้ำถึงการเปิดกว้างให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดและทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ แม้โฆษกของบริษัทจะไม่ยืนยันเรื่องการลดตำแหน่งงาน แต่มีแนวโน้มเน้นการทำงานในสำนักงานมากขึ้น
คนรุ่นใหม่ใช้ของอร่อย ‘ฮีลใจ’ ทำให้ อายิโนะโมะโต๊ะ ปรับตัวพร้อมใช้เป็นกลยุทธ์เจาะตลาดอูมามิ ในไทย
อายิโนะโมะโต๊ะในไทย อยู่ไทยมา 58 ปีในปัจจุบัน ที่ยังต้องไปต่อในตลาดส่วนผสมอาหารเพิ่มรสชาติ เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ให้จดจำความร่วมสมัยของแบรนด์ต่อเนื่อง ด้วยกระแส ‘รักตัวเอง’ (Self-Love) ผ่านแคมเปญใหม่ พร้อมคอลแล็บส์แบรนด์ทำไอศกรีม มาเรียกร้องความสนใจ ‘กินอร่อย ใจก็ดีขึ้น’ สื่อสารตรงใจผู้บริโภคยุคใหม่ เกศยา ชัยชาญชีพ กรรมการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ทำตลาดภายใต้แนวคิด ‘การสร้างความกินดีมีสุข’ ผ่านแคมเปญ ‘กินอร่อย ใจก็ดีขึ้น’ (Eating is a Miracle) เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันกลับมาใส่ใจตัวเอง โดยเริ่มต้นง่าย ๆ จากมื้ออาหารที่อร่อยและมีคุณค่า พร้อมทำภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์เพื่อสร้างกระแสและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น รุกหมดการตลาดออฟไลน์-ออนไลน์ โดย บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์การตลาดควบคู่ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยจัดกิจกรรมออฟไลน์ในงาน ‘Eating is a Miracle by Ajinomoto’ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งดึงดูดผู้เข้าร่วมงานกว่า 2,000 คน พร้อมไฮไลต์ของงาน คือ ฟู้ดทรัคร้านอาหารตาม (ใจ) สั่ง ที่นำเมนูจากหนังโฆษณามาสู่โลกจริง โดยมีเชฟชานนท์ เรืองศรี จากมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซัน 3 ร่วมสร้างสรรค์เมนูพิเศษ ‘บะหมี่หม่าล่า’ เพื่อเติมความสุขให้ผู้ร่วมงาน นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์และศิลปินกว่า 40 ราย อาทิ ต้าห์อู๋ – พิทยา แซ่ฉั่ว และ ออฟโรด – กันตภณ จินดาทวีผล เพื่อสร้างความไวรัลและขยายการรับรู้ของแคมเปญ พร้อมกิจกรรม ‘ร้านชำตาม (ใจ) สั่ง’ ให้ร่วมเล่นเกมรับผลิตภัณฑ์จากอายิโนะโมะโต๊ะ และมุมฮีลใจผ่านบอร์ดระบายความในใจและ Live Well Photobooth ไอศกรีมอูมามิ 5 รสชาติ ก็มา ขณะเดียวกัน เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ อายิโนะโมะโต๊ะได้ร่วมมือกับ Guss Damn Good พัฒนาไอศกรีมอูมามิ 5 รสชาติสุดพิเศษ ประกอบด้วย ชาไทย (Thai Tea) นม คาราเมล บิสกิต (Milk Caramel Salted Butter Biscuit) ส้มยูซุ (Yuzu) กาแฟคาราเมล ครันช์ (Coffee Caramel Crunch) ซอร์เบต์ เบอร์รี่ สเวิร์ล อะมิโน แอซิด (Sorbet Berry Swirl Amino Acid) นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มบูสต์พลังใจ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างสีสันและกระแสให้กับแคมเปญฯ นี้ด้วย ขยายการรับรู้ทั้ง Roadshow-ออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น อายิโนะโมะโต๊ะได้จัด Roadshow ฟู้ดทรัคร้านอาหารตาม (ใจ) สั่ง เดินทางไปตามจุดสำคัญต่าง ๆ เช่น งาน aminoVITAL Run 2025 และสยามสแควร์ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 2,800 คน ในโลกออนไลน์ บริษัทยังได้เปิดตัวแคมเปญ ‘ร้านอาหารตาม (ใจ) สั่ง’ ด้วยหนังโฆษณาที่เล่าเรื่องราวของคนที่เผชิญกับความกดดันในชีวิต แต่สามารถฮีลใจตัวเองผ่านมื้ออาหารที่ใช่ โฆษณาชุดนี้เผยแพร่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา และมียอดเข้าชมรวมกว่า 10 ล้านครั้งบนแพลตฟอร์ม Facebook, YouTube และ TikTok ย้ำแบรนด์ส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต เกศยา กล่าว ทิ้งท้ายว่า “บริษัทฯ วางเป้าหมายเพื่อตอกย้ำแบรนด์อายิโนะโมะโต๊ะให้ตอบโจทย์การกินและการใช้ชีวิตของผู้บริโภค พร้อมส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ ผ่านกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในทุกมิติ” บทสรุป อายิโนะโมะโต๊ะ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ให้ความกลมกล่อมรสชาติอาหาร มีอายุ 58 ในไทย ปรับตัวด้วยกลยุทธ์เข้าถึงคนรุ่นใหม่ผ่านแคมเปญ ‘กินอร่อย ใจก็ดีขึ้น’ (Eating is a Miracle) ที่เน้นเทรนด์ Self-Love ผสานออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมสร้างกระแสผ่านอีเวนต์ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และยังครีเอทไอศกรีม 5 รสชาติร่วมกับ Guss Damn Good รวมถึง Roadshow ฟู้ดทรัค เพื่อสร้างประสบการณ์ตรง นอกจากนี้ยังสื่อสารการตลาดให้ชัดขึ้นด้วย โฆษณาชุด ‘ร้านอาหารตาม (ใจ) สั่ง’ ยังได้รับความนิยมสูง ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ที่ใส่ใจสุขภาพกายและใจของผู้บริโภคไทย
CK Hutchison ยอมแล้ว!! ขายหุ้นท่าเรือปานามาให้ทุนอเมริกัน หลังทรัมป์กดดันหนัก
BlackRock บริษัทด้านการลงทุนสัญชาติสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของ CK Hutchison ซึ่งบริหารท่าเรือทั้งสองฝั่งของคลองปานามา ส่งผลให้บริษัทสหรัฐฯ กลับมาคุมท่าเรือยุทธศาสตร์แห่งนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดอิทธิพลของจีนในภูมิภาค CK Hutchison บริษัทจากฮ่องกง ประกาศขายหุ้นให้กับกลุ่มทุนจากสหรัฐฯ และสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่าราว 22,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งครอบคลุมท่าเรือหลายแห่งทั่วโลก การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นความสำเร็จของนโยบายการทูตเชิงรุกของทรัมป์ที่ต้องการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลก ดีลนี้เปิดทางให้กลุ่มทุนที่ประกอบด้วย BlackRock, Global Infrastructure Partners และ Terminal Investment ถือหุ้น 80% ใน Hutchison Ports คิดเป็นมูลค่า 14,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยพวกเขาจะได้ควบคุมท่าเรือ 43 แห่ง และจุดจอดเรือ 199 จุด ใน 23 ประเทศทั่วโลก รวมถึงถือหุ้น 90% ใน Panama Ports Company (PPC) ซึ่งบริหารท่าเรือ Balboa และ Cristobal ในปานามามากว่า 20 ปี แม้ CK Hutchison จะเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐบาลจีน แต่ด้วยการเป็นบริษัทจากฮ่องกง ทำให้ตกอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของปักกิ่ง ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลต่อสหรัฐฯ มาโดยตลอด ทรัมป์เคยให้คำมั่นว่าจะฟื้นอิทธิพลของสหรัฐฯ เหนือคลองปานามา ซึ่งเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก โดยเขาอ้างว่าจีนกำลังแผ่อิทธิพลผ่านโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคนี้ และเคยไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทางทหารเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มองว่าการที่ CK Hutchison ควบคุมท่าเรือปานามาถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง โดยเฉพาะเมื่อคลองปานามามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก ในปีที่แล้ว มีเรือกว่า 12,000 ลำเดินทางผ่านคลองนี้ เชื่อมโยงกับท่าเรือ 1,920 แห่งใน 170 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ กว่า 75% เป็นเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ข้อตกลงครั้งนี้ไม่เพียงเป็นชัยชนะของทรัมป์ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ กลับมามีอิทธิพลเหนือลู่ทางขนส่งที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกครั้ง บทสรุป BlackRock และกลุ่มทุนสหรัฐฯ ซื้อหุ้น 80% ของ Hutchison Ports จาก CK Hutchison มูลค่า 14,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้กลับมาควบคุมท่าเรือคลองปานามา ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของโลก ดีลนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดอิทธิพลจีนในภูมิภาค สหรัฐฯ มองว่าการที่บริษัทฮ่องกงควบคุมท่าเรือปานามาเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง ข้อตกลงนี้ช่วยให้สหรัฐฯ ฟื้นอิทธิพลเหนือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลกอีกครั้ง
Super March เที่ยวฮ่องกง กับ 10 อีเวนต์อินเตอร์ งานอาร์ต-ป๊อป คัลเจอร์ ที่ ComplexCon
ฮ่องกง ซูเปอร์ มาร์ช แจกลิสต์ 10 อันดับอีเวนต์งานศิลปะระดับอินเตอร์ที่ไม่ควรพลาด อีเวนต์ปิกาโซที่ M+, ป๊อป คัลเจอร์ สุดตื่นตาที่ ComplexCon พร้อมโชว์จาก NJZ และ Art Basel ที่เดียวของเอเชีย เดือนมีนาคมนี้ นับเป็นเดือนที่เหมาะกับการจัดทริปตีตั๋วมาฮ่องกงสำหรับนักท่องเที่ยวสายอาร์ตและสายอีเวนต์แบบสุดๆ เพราะฮ่องกงจัดเต็มในฐานะหมุดหมายสำคัญของวงการศิลปะและวัฒนธรรม นำเสนอเทศกาล “ซูเปอร์ มาร์ช (Super March)” อัดแน่นอีเวนต์ศิลปะระดับโลกทุกมุมเมือง ทั้งงานแฟร์ การแสดงผลงานจากสถาบันศิลปะชั้นนำ เทศกาลศิลปะกลางแจ้ง ชิ้นงานจากแกลเลอรีศิลปะ ชิ้นงานเซลจากองค์กรจัดประมูล (Spring Sales) และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายที่แฟน ๆ ผลงานศิลปะไม่ควรพลาดตลอดทั้งเดือนมีนาคมนี้ การกลับมาของ 5 งานจัดแสดงระดับเรือธง 1.Art Basel Hong Kong (28 – 30 มีนาคม 2568) ซึ่งจะกลับมาจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมและจัดนิทรรศการฮ่องกง Hong Kong Convention and Exhibition Centre) ถือเป็นอีเวนต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของแท้ เพราะเป็น Art Basel’s sole show in Asia จัดขึ้นที่ฮ่องกงแห่งเดียวเท่านั้นในปีนี้ งานจะมีแกลเลอรีเข้าร่วมมากถึง 240 แห่ง จาก 42 ประเทศและเขตแดน เพื่อร่วมแสดงผลงานศิลปะที่มีความหลากหลาย และสะท้อนเทคนิคและสไตล์การสร้างสรรค์จากศิลปินทั่วโลก รวมถึงผลงานของคุณจุฬญาณนนท์ ศิริผลเจ้าของผลงานThe Golden Snail Series ซึ่งได้นำผลงานมาจัดแสดงในนิทรรศการปีนี้อีกด้วย 2. Art Central (26 – 30 มีนาคม 2568) ซึ่งจัดมาเป็นปีที่ 10 แล้ว มุ่งนำเสนอผลงานจากแกลเลอรีชื่อดังและศิลปินชั้นนำ รวมถึงแกลเลอรีน้องใหม่ที่เปิดโอกาสให้ศิลปินหน้าใหม่ได้แสดงผลงาน งานนี้จะจัดขึ้นที่ Central Harbourfront จุดประจำ ท่ามกลางวิวเส้นขอบฟ้าที่งดงามของฮ่องกงเป็นฉากหลัง 3. HKwalls Street Art Festival (22 – 30 มีนาคม 2568) จัดมาเป็นปีที่ 10 เช่นกัน นำเสนอผลงานศิลปะบนฝาผนัง และการแสดงผลงานศิลปะตามจุดต่าง ๆ รวมถึงการฉายผลงานบนจอดิจิทัลและเวิร์คช็อปในชุมชน นับเป็นเสาหลักของวงการงานศิลปะสตรีทฮ่องกง สร้างความคึกคักให้กับย่านต่าง ๆ ของเมือง ผ่านผลงานศิลปะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ 4. ComplexCon (21 – 23 มีนาคม 2568) กลับมาจัดที่ฮ่องกงเป็นปีที่สอง โดยฮ่องกงถือเป็นสถานที่เดียวที่งานนี้จะจัดขึ้นนอกสหรัฐอเมริกา ComplexCon จะถ่ายทอดกระแสป๊อปคัลเจอร์สุดฮิตในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมนำเสนอแบรนด์สุดล้ำและศิลปินชั้นนำจากทั่วโลก ไฮไลต์สำคัญของปีนี้คือการแสดงจากกลุ่มศิลปิน K-pop ชื่อดัง NJZ (เดิมคือ NewJeans) และโปรดิวเซอร์ฮิปฮอปและแทร็ปชื่อดังจากสหรัฐฯ Metro Boomin ที่จะมาร่วมสร้างสีสันและความตื่นเต้นให้กับงานด้วยเช่นกัน 5. Hong Kong Arts Festival ที่มีชื่อเสียงจากการนำเสนอศิลปะการแสดงระดับโลกหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นโอเปร่า ดนตรี การเต้นรำ โรงละคร หรืองิ้ว ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนมีนาคมนี้เป็นครั้งที่ 53 โดยนำเสนอการแสดงมากกว่า 125 รายการ และกิจกรรมที่เปิดให้ร่วมสนุกกว่า 300 รายการ อาทิ การแสดงโอเปร่า Carmen ของ Bizet การแสดงจาก Czech National Ballet ในชื่อ La Sylphide การแสดง TIME โดย Ryuichi Sakamoto + Shiro Takatani และการแสดง Nureyev & Friends – A Ballet Gala Tribute พร้อมนำเสนอความหลากหลายและความประทับใจจากศิลปินทั่วทุกมุมโลก สำหรับ 5 งานจัดแสดงต้องห้ามพลาด ณ 3 มิวเซียมระดับท้อปของฮ่องกง ย่าน WestK ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าววิคตอเรีย เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ระดับโลกสองแห่ง ได้แก่ M+ และ Hong Kong Palace Museum รวมถึงพื้นที่กลางแจ้งที่สวยงามอีกมากมาย โดยในปี 2566 M+ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 20 พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลกจาก The Art Newspaper ส่วนย่าน จิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) บริเวณริมชายฝั่งของฮ่องกงก็มี พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮ่องกง (Hong Kong Museum of Art: HKMoA) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1962 เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งแรกของเมืองที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม นิทรรศการ The Hong Kong Jockey Club Series: Picasso for Asia—A Conversation (15 มีนาคม – 13 กรกฎาคม 2568) จะจัดขึ้นที่ M+ นำเสนอผลงานชิ้นเอกกว่า 60 ชิ้นของปาโบล ปิกาโซ จาก Musée national Picasso-Paris คอลเลกชันที่ถือเป็นการรวบรวมผลงานปิกาโซไว้มากที่สุดในโลก พร้อมด้วยผลงานกว่า 80 ชิ้นจากศิลปินชาวเอเชียและชาวเอเชียพลัดถิ่นในคอลเลกชันของ M+ ชิ้นงานติดตั้งขนาดใหญ่ Lee Mingwei: Guernica in Sand (8 มีนาคม – 13 กรกฎาคม 2568) ที่ถ่ายทอดผลงานชื่อดัง Guernica (ค.ศ. 1937) ของปิกาโซในรูปแบบใหม่ผ่านการใช้ทราย พร้อมการแสดงพิเศษอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่ M+ นิทรรศการ A Movable Feast: The Culture of Food and Drink in China (19 มีนาคม – 18 มิถุนายน 2568) จัดขึ้นที่ Hong Kong Palace Museum ซึ่งจะพาผู้ชมไปสำรวจวัฒนธรรมอาหารและเครื่องดื่มจีนที่มีอายุกว่า 5,000 ปี นิทรรศการ The Forbidden City and The Palace of Versailles: China-France Cultural Encounters in the Seventeenth and Eighteenth Centuries (18 ธันวาคม 2567 – 4 พฤษภาคม 2568) ที่เล่าเรื่องราวการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนและฝรั่งเศสในหลากหลายด้าน ทั้งวิทยาศาสตร์ ศิลปะ งานฝีมือ และปรัชญา ผ่านสมบัติตกทอดทางประวัติศาสตร์กว่า 150 ชิ้น ณ Hong Kong Palace Museum งาน The Hong Kong Jockey Club Series: Cézanne and Renoir Looking at the World—Masterpieces from the Musée de l’Orangerie and the Musée d’Orsay (17 มกราคม – 7 พฤษภาคม 2568) จัดแสดงนิทรรศการผลงานของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์ชาวฝรั่งเศสอย่าง Paul Cézanne และ Pierre-Auguste Renoir เป็นที่แรกในเอเชีย นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยชิ้นงานพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับฮ่องกง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใครให้แก่ผู้ชม ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮ่องกง (Hong Kong Museum of Art: HKMoA) นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นศูนย์กลางสำคัญของแกลเลอรีชั้นนำและเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรจัดประมูลระดับโลกในเอเชีย เช่น Christie’s, Sotheby’s, Phillips และ Bonhams โดยในเดือนมีนาคม แกลเลอรีและองค์กรจัดประมูลเหล่านี้จะเปิดตัวนิทรรศการใหม่และจัดจำหน่ายชิ้นงานในราคาสุดพิเศษสำหรับฤดูใบไม้ผลิ (Spring Sales) ทำให้เดือนมีนาคมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการจับจองผลงานศิลปะเหล่านี้ การเฉลิมฉลองสุดคึกคักใน Super March ไม่ว่าจะเป็นนักสะสมศิลปะ แฟชั่นฮิปสเตอร์ ผู้ชื่นชอบกีฬา หรือครอบครัวที่รักการผจญภัย “Super March” ในฮ่องกงมีกิจกรรมพิเศษมากมายที่พร้อมตอบสนองทุกความสนใจ อาทิ การเปิดตัว Kai Tak Sports Park สถานที่แห่งใหม่ที่ทุกคนรอคอยก็จะเปิดตัวในเดือนมีนาคมนี้ โดยจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำหรับการแข่งขัน Hong Kong Sevens นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมกีฬาที่น่าตื่นเต้นอย่าง LIV Golf นิทรรศการศิลปะ และเทศกาลสุดเร้าใจที่รอให้ทุกคนได้มาสัมผัส ฮ่องกงจึงกลายเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมและความสนุกสนาน ที่ผู้เยี่ยมชมจากทั่วโลกได้รับเชิญให้มาสัมผัสบรรยากาศสุดพิเศษของเมือง พร้อมค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นในทุกมุมของฮ่องกง สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.discoverhongkong.com/eng/what-s-new/events/super-march.html บทสรุป ฮ่องกงจัดเทศกาล Super March ตลอดเดือนมีนาคม รวบรวมอีเวนต์ศิลปะระดับโลก ทั้ง Art Basel Hong Kong, Art Central, HKwalls Street Art Festival, ComplexCon และ Hong Kong Arts Festival รวมถึงนิทรรศการไฮไลต์จากพิพิธภัณฑ์ชั้นนำ เช่น Picasso for Asia ที่ M+ และ Cézanne & Renoir ที่ HKMoA เดือนมีนาคมจึงเป็นช่วงเวลาทองของนักสะสมและผู้รักศิลปะที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศศิลปะระดับนานาชาติในเอเชีย
ทศวรรษใหม่ LINE ประเทศไทย ขยับตัวครั้งใหญ่ ส่ง 3 บริการเติมเต็มอีโคซิสเต็ม อุตฯดิจิทัล
แอปพลิเคชั่น ไลน์ (LINE) เข้ามาเปิดให้บริการในไทยตั้งแต่ปี 2557 ถึงในปีนี้เตรียมเข้าสู่ปีที่ 11 พร้อมจัดงานประชุมใหญ่แห่งปีที่เรียกว่า LCT โดยปีนี้งาน LINE CONFERENCE THAILAND 2025 (LCT25) ประจำปี 2568 ยังได้เปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ร่วมกับพันธมิตรระดับโลกและท้องถิ่น เพื่อขยายการเติบโตไปพร้อมยกระดับอีโคซิสเต็มในอุตสาหกรรมดิจิทัล ประเทศไทย นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ LINE ประเทศไทย ผู้ให้บริการ ดืจิทัล อีโคซิสเต็ม แพลตฟอร์มไลน์ (LINE) กล่าวว่า แนวทางธุรกิจไลน์ในปี 2568 มาพร้อมพันธกิจใหม่ ‘Create an amazing life platform that brings WOW+ to our users’ เพื่อขยายโอกาสการเติบโตธุรกิจร่วมกับพันธมิตรต่างๆ ในการส่งมอบบริการและเทคโนโลยีให้กับผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นไลน์ในไทยกว่า 56 ล้านรายทั่วประเทศ “LINE เข้าสู่ตลาดไทยมา 10 ปี และสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 84% ของประชากร โดย LINE ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทุกช่วงวัย ตั้งแต่การเรียน การทำงาน ไปจนถึงการใช้ชีวิตในครอบครัว ซึ่งทำให้ LINE มองเห็นโอกาสในการขยายบริการเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากขึ้น” โดย แนวทางการทำธุรกิจของ LINE ประเทศไทยในปี 2568 นี้เตรียมเปิดบริการ LINE PREMIUM, LINE GIFT และ LINE HEALTH ขยายแพลตฟอร์ม LINE MINIAPP ให้แบรนด์และนักพัฒนาสามารถสร้างแอปฯ ของตัวเองบน LINE ได้ง่ายขึ้น พร้อม เปิดตัว LINE DEVELOPER PARTNER เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาไทย และยังมีแผนเตรียมเปิดตัว BOT MARKETPLACE เพื่อเป็นศูนย์รวมบอทที่ช่วยตอบโจทย์ทั้งการทำงานและไลฟ์สไตล์ กลยุทธ์การขยายตัวสู่ IP Business ขณะที่ในปี 2568 LINE ประเทศไทย จะใช้กลยุทธ์ระดับโลก IP Business เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้แก่ IPX (LINE FRIENDS) เดิมคือ LINE FRIENDS ที่พัฒนาไปเป็นครีเอทีฟสตูดิโอสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ระดับโลก LINE WEBTOON ที่จะต่อยอดจากแพลตฟอร์มเว็บตูนสู่ IP Business เปิดรับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ เพื่อขยายคอนเทนต์และโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้อง 3 บริการใหม่ในปี 2568 นอกจากนี้ LINE ยังได้พัฒนา 3 บริการใหม่เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้งาน ได้แก่ LINE PREMIUM – บริการสมัครสมาชิกแบบเสียค่าบริการเดือนละ 169 บาท ซึ่งมาพร้อมสิทธิพิเศษ เช่น เปลี่ยนไอคอนแอปฯ LINE เป็นสีฟ้า เปลี่ยนฟอนต์ ให้เลือกขนาดได้และแบบได้ ใช้งาน Multiple Profiles สำหรับสร้างโปรไฟล์ที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม Message Backup จัดเก็บข้อความ รูปภาพ และไฟล์ต่างๆ สูงสุด 100 GB สิทธิพิเศษจาก LINE SHOPPING และ LINEMAN VIP LINE GIFT – บริการส่งของขวัญอิเล็กทรอนิกส์ (e-Gifting) ผ่านหน้าแชท โดยสามารถเลือก e-Voucher จากกว่า 50 แบรนด์พันธมิตร LINE HEALTH – บริการดูแลสุขภาพผ่าน LINE ซึ่งครอบคลุม Health At Work สำหรับให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ โดยสามารถใช้บริการผ่านไลน์บัญชีอย่างเป็นทางการ LINE Official Account @LINEHEALTH เพื่อรับบริการที่ปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ ต่างๆ อาทิ บริการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตผ่าน OOCA การให้ความรู้ด้านสุขภาพ “ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน LINE ในประเทศไทยกว่า 56 ล้านคน ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีการเข้าถึงมากที่สุดในประเทศ” LINE จะได้อะไรจากแผนธุรกิจปีนี้ จากแนวทางดังกล่าว แน่นอนว่าเป็นการเพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากบริการพรีเมียม เช่น LINE PREMIUM และ LINE GIFT พร้อมขยายตลาดสู่กลุ่มธุรกิจสุขภาพ ผ่าน LINE HEALTH มาเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทย โดยการสนับสนุนนักพัฒนาและธุรกิจท้องถิ่นดึงดูดพาร์ทเนอร์ระดับโลกและท้องถิ่น ผ่านกลยุทธ์ IP Business สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ใช้ เพื่อทำให้ LINE เป็นมากกว่าแอปฯ แชท แต่เป็น “Life Platform” ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต บทสรุป LINE ประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ด้วยแนวทางที่ชัดเจนขึ้น ผ่าน3 บริการใหม่ด้านไลฟ์สไตล์ ที่เข้าไปใกล้ชิดกับผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างลึกซึ้ง โดยเน้นการสร้างคุณค่าให้กับทั้งผู้ใช้งานและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้ LINE ยังคงเป็นแพลตฟอร์มสำคัญของคนไทยต่อไป
บีเจซี เฮลท์แคร์ x DK Medical Systems หนุนไทย ‘ฮับ’ การแพทย์เอเชีย
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี เป็นผู้นำในธุรกิจพาณิชยกรรมและการผลิตสินค้าครบวงจร รวมถึงกลุ่มธุรกิจด้านเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ที่ดำเนินการภายใต้ บีเจซี เฮลท์แคร์ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์และยกระดับมาตรฐานด้านสุขภาพในประเทศไทย ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี กล่าวว่า บีเจซี เฮลท์แคร์ ได้จับมือกับ DK Medical Systems บริษัทชั้นนำจากเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะเครื่องเอกซเรย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีการวินิจฉัยด้วยภาพขั้นสูง เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาและประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระบบเครื่องเอกซเรย์ พร้อมเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค โดย AI จะช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ ระบุตำแหน่งของรอยโรค และช่วยแพทย์วางแผนการรักษาได้ดียิ่งขึ้น โดย บีเจซี เฮลท์แคร์ และ DK Medical Systems ได้ร่วมกันจัดตั้ง ศูนย์ฝึกอบรม X-Cellence Training Center ณ อาคารบีเจซี 2 เพื่อเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ด้าน AI ทางการแพทย์ให้กับบุคลากรในวงการแพทย์ไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่การดำเนินการของ บีเจซี เฮลท์แคร์ ในปีนี้พร้อมแผนขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือในครั้งนี้ คาดผลักดันการเติบโตอยู่ที่ 8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกระแสการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้นตลาดเครื่องมือแพทย์ไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากข้อมูลระบุในช่วงระหว่างปี 2023 – 2025 จะมี อัตราการเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5.5 – 7% ต่อปี บทสรุป การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ แต่ยังสอดคล้องกับนโยบายของไทยที่ต้องการเป็น ศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาค (Medical Hub) และนโยบาย New Southern Policy ของเกาหลีใต้ ซึ่งเน้นการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมระหว่างประเทศ ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับระบบสาธารณสุขและอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในเอเชียต่อไป
‘คาลเท็กซ์’ กับกลยุทธ์พลิกโฉมแบรนด์ สู่ตลาดคนรุ่นใหม่ ด้วยพลังแห่ง ‘หลิง-ออม’
‘CALTEX’ แบรนด์ค้าปลีกน้ำมันสัญชาติอเมริกาที่เข้ามาอยู่ในไทยเกินครึ่งศตวรรษ ล่าสุดกับแผนการตลาดครั้งใหญ่เพื่อพลิกไปสู่แบรนด์ในใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ด้วยคู่จิ้น ‘หลิง-ออม’ ดูโอแบรนด์แอมฯ คาลเท็กซ์ของปี68 เหมินฝัน ธัญสิษฐ์ ผู้บริหารสูงสุดสายการตลาด บริษัทสตาร์ ฟูเอลส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (SEL) ในเครือบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ผู้รับสิทธิรายเดียวในการทำธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้ชื่อ ‘คาลเท็กซ์’ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทวางแผนการทำตลาดเชิงรุกธุรกิจน้ำมัน ‘คาลเท็กซ์’ ในไทย เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคชาวไทยทั้งรักษาฐานลูกค้าเดิมที่คุ้นเคยกับแบรนด์คาลเท็กซ์ ในตลาดมากกว่า 60ปี และ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นฐานกำลังซื้อสำคัญในอนาคตในทุกตลาด ด้วยหากแกะความสำเร็จของน้ำมัน ‘คาลเท็กซ์’ ออกมาจะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคกลุ่มเดิมที่คุ้นแคยกับแบรนด์ดังกล่าวเป็นอย่างดีต่างเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่วางตำแหน่งระดับพรีเมียมที่ให้ความสบายใจและมั่นใจในทุกครั้งที่เปิดฝาน้ำมันเพิ่มเติมขุมพลังให้กับยานยนต์ แต่ในปัจจุบัน ตลาดค้าปลีกน้ำมันในไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ในวันนี้ ‘คาลเท็กซ์’ ยิ่งต้องต้องลุกขึ้นมาตะโกนถึงการมีตัวตนในตลาดค้าปลีกน้ำมันในไทย ท่ามกลางการแข่งขันาสุดร้อนแรงในสมรภูมิโปรโมชั่นและการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ด้วย ลอยัลตี โปรแกรม ต่างๆ โดย ‘คาลเท็กซ์’ จะหยิบผลิตภัณฑ์เด่นอย่าง น้ำมันคาลเท็กซ์ เทครอน (Caltex Techron) มาใช้สื่อสารการทำตลาดด้านประสิทธิภาพของสินค้า ในแคมเปญ ‘เทครอนนนนนนนนน’ ตัวจริงวิ่งไกล “เป็นอีกหนึ่งความสนุกของการสร้างการจดจำแบรนด์คาลเท็กซ์และเทครอนที่ใช้นอ หนูต่อแถวยาว 9 ตัวเพื่อออกมาตะโกนในตลาดให้ผู้บริโภคได้รับรู้” เหมินฝัน กล่าวพร้อมเสริมว่า และผู้ที่จะทำหน้าที่ตะโกนเรื่องราวนี้ของคาลเท็กซ์ได้ปังมากทีสุดในวินาทีนี้ ต้องยกให้คู่จิ้นสายยูริ อย่าง ‘หลิง-ออม(หลิง-ศิริลักษณ์ คอง และ ออม-กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์) ที่จะมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์สาวคู่ล่าสุดของคาลเท็กซ์ จากก่อนหน้าที่เป็นนักแสดงชาย อย่าง ‘ณเดช คูกิมิยะ’ และ ‘เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี’ ในช่วงก่อนหน้า “ทำไมวันนี้ ถึงจะไม่ใช่หลิง-ออม ล่ะ?” เหมินฝัน ย้ำ พร้อมเสริมต่อถึงแนวคิดการเลือกใช้คู่แบรนด์แอมฯ ที่จะอยู่ภายใต้สัญญาของแบรนดฺคาลเท็กซ์ ตลอดระยะเวลา 1 ปีนับจากนี้ว่า “2 นักแสดงสาวดังกล่าว จะสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มแฟนด้อมที่รักในตัวศิลปินทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี ด้วยการทำตลาดในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงและแตกต่างไปจากอดีตอย่างมาก การเลือกพรีเซ็นเตอร์ หรือ แบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่ถูกต้องถูกจังหวะยิ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันการรับรู้ของแบรนด์ด้วยเช่นกัน” โดยเฉพาะพลังแห่งแฟนด้อมของคู่จิ้น ‘หลิง-ออม’ ที่คาลเท็กซ์ มองว่า จะเป็นพลังสำคัญเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการรับรู้แบรนด์ในวงกว้างไปด้วยพร้อมกัน เห็นได้ชัดในช่วงก่อนเปิดตัวแคมเปญ ‘เทครอนนนนนนนนน ตัวจริงวิ่งไกล’ ในวันที่ 1 มี.ค.2568 นี้ ซึ่งบริษัทฯ ได้ปล่อยตัวกิจกรรมและภาพโฆษณาบางส่วนอย่างไม่เป็นทางการไปก่อนหน้า ซึ่งพบว่าได้การตอบรับเป็นอย่างสูงจากแฟนด้อมหลิง-ออม ที่เป็นผู้กระจายคอนเท้นต์ต่อๆไปในวงกว้าง ขณะเดียวกัน คาลเท็กซ์ เองก็ได้ทำการสำรวจการรับรู้ในกลุ่มพันธมิตร ดีลเลอร์ตัวแทนขายปลีกน้ำมันคาลเท็กซ์ ซึ่งต่างให้การตอบรับดีถึงการเลือกใช้ ‘หลิง-ออม’ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ คู่ล่าสุดของแบรนด์ ที่ต่างบอกว่า เป็นความสดใสและสะท้อนความเป็นคนรุ่นใหม่ ย้ำแบรนด์แกร่ง Brandformance เหมินฝัน กล่าวว่า จากแนวทางดังกล่าว บริษัทวางงบการทำตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย (โปรโมชั่น) ราว 200 ล้านบาท แบ่งเป็นงบโฆษณาและแบรนดิ้ง กว่า 110 ล้านบาท ซึ่งจะกระจายไปยังสื่อดั้งเดิม ทั้งการทำภาพยนตร์โฆษณา (TVC) , สื่อนอกบ้าน ป้ายบิลบอร์ด ที่จะตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพที่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ในจุดต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด รวมถึงขยายการทำตลาดผ่านดิจิทัลทีวี และ ในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ โดยในนงบฯ ดังกล่าวยังรวมถึงทำโปรโมชั่นแจกน้ำดื่มทุกการเติม 480 บาทต่อใบเสร็จ ให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการสถานีฯคาลเท็กซ์ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ไปถึง 1 มีนาคม 2569 พร้อมกันนี้คาลเท็กซ์ ยังได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นใหม่เพื่อสื่อสารกลุ่มเป้าหมายทั้งรายเดิมและขยายฐานคนรุ่นใหม่ ด้วยสิทธิพิเศษและกิจกรรมต่างๆ คาดเปิดตัวราวเดือนพฤศจิกายน ปีนี้ พร้อมวางเป้าหมายมีฐานสมาชิกดาวน์โหลดแอปฯ ราว 2 ล้านราย เพื่อต่อยอดจากฐานบัตรสมาชิกคาลเท็กซ์เดิม ที่มีกว่า 6 แสนราย “กลยุทธ์การทำตลาดทั้งหมดจะอยู่ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า ‘Brandformance’ (Brand + Performance)” เหมินฝัน กล่าวพร้อมเสริมว่า ปัจจุบัน คาลเท็กซ์ มีสถานีบริการ(ปั๊ม)น้ำมัน กระจายอยู่ทั่วประเทศราว 528 สาขา โดยมีสัดส่วนสาขาในต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพฯ และนอกเหนือจากแผนการตลาดครั้งใหญ่ในปีนี้ คาลเท็กซ์ ยังวางแผนผลักดันให้สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ขนาดเล็กขยายสู่ขนาดกลางมากขึ้นในอนาคต และจากแคมเปญการตลาดในปีนี้คาลเท็กซ์ คาดผลักดันเชิงรายได้สูงขึ้น 15% พร้อมวางเป้าหมายมีส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกน้ำมันเชิงปริมาณ (volume) เป็นอันดับ 4 ของตลาด ทั้งนี้ข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรงพาณิชย์ ระบุส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันเชิงปริมาณ ในปี 2567 ดังนี้ อันดับ 1 ปตท. (PTT) ราว 35. 93 % อันดับ 2 บางจาก ราว 30.94% อันดับ 3 พีที (PT) ราว 17.93% อันดับ 4 เชลล์ (Shell) 7.75% อันดับ 5 คาลเท็กซ์ (Caltex) 5.78% อันดับ 6 ซัสโก้ (Susco) 1.85% บทสรุป คาลเท็กซ์ดำเนินธุรกิจในไทยมากว่า 60 ปี และปรับกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกในปี 2568 เพื่อขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดค้าปลีกน้ำมัน โดยเน้นจุดเด่นผลิตภัณฑ์ “คาลเท็กซ์ เทครอน” พร้อมแคมเปญ “เทครอนนนนนนนนน ตัวจริงวิ่งไกล” เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์ ต่อการเลือก “หลิง-ออม” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ช่วยดึงดูดแฟนด้อมรุ่นใหม่ และเสริมพลังการตลาดทุกรูปแบบและผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ โดยคาลเท็กซ์ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาทสำหรับโฆษณา โปรโมชั่น และแอปพลิเคชันใหม่ ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 15% และขยับขึ้นเป็นผู้ค้าปลีกน้ำมันอันดับ 4 ในไทย
เพราะโลกนี้ช่างกว้าง ดังนั้น ‘คนข้างๆ’ จึงสำคัญ และ ‘ตัวเรา’ คือ คนๆ นั้น
ทุกคนเกิดมาพร้อมกับเรื่องราวของตัวเอง เติบโตขึ้นท่ามกลางครอบครัว ได้รับความรัก ความอบอุ่น หรือบางครั้งอาจต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยว แต่ทุกช่วงเวลาที่ผ่านเข้ามาค่อยๆ หล่อหลอมให้เราเป็น ‘เรา’ ในวันนี้ จากเด็กคนหนึ่งที่เรียนรู้โลกใบนี้ ผ่านอ้อมกอดของพ่อแม่ ผ่านมิตรภาพของพี่น้อง หรือการอยู่ร่วมกับผู้คนรอบตัว เรียนรู้ทั้งความ ‘สุข’ และ ‘เจ็บปวด’ เมื่อเราเติบโตขึ้น เส้นทางชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้ ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุข ที่ทำให้เราหัวเราะ และช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ที่หล่อหลอมให้เราเข้มแข็งขึ้น ไม่มีชีวิตของใครราบรื่นไปตลอด ทุกคนต้องพบกับการเปลี่ยนแปลง ต้องเจอกับการสูญเสีย ผิดหวัง ล้มเหลว และต้องลุกขึ้นใหม่เสมอ แบ่งปันโมเมนต์ ‘ทัชใจ’ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีสีสันและมีความหมาย คือ ‘คนข้างๆ’ ไม่ว่าจะเป็นแฟน คนรัก เพื่อนสนิท หรือครอบครัว คนเหล่านี้คือคนที่อยู่ข้างๆ เราในวันที่เราต้องการกำลังใจ และในวันที่เราพร้อมจะมอบความสุขให้ใครสักคน การได้มีใครสักคนที่รับฟัง แชร์ความรู้สึกกัน เป็นเรื่องที่ “ทัชใจ” และทำให้เราไม่รู้สึกว่าโลกนี้กว้างเกินไป ถ้าไม่มีคนข้างๆ เราจะเหงา หรือเปล่า? แต่หากวันหนึ่งเรามองไปรอบตัวแล้วพบว่า ไม่มีใครอยู่ข้างๆ เราเลย ชีวิตอาจเงียบเหงาลง ความรู้สึกโดดเดี่ยวอาจแทรกซึมเข้ามาแบบไม่รู้ตัว หลายครั้งที่เราอยากเล่าเรื่องราวของวันนั้นให้ใครฟัง หรืออยากให้ใครมารับรู้ว่าตอนนี้เรากำลังเศร้า แต่กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ความเหงาค่อยๆ กัดกินหัวใจ และอาจทำให้เราตั้งคำถามว่า “ฉันมีความหมายสำหรับใครบ้างหรือเปล่า?” ปลดล็อกความเหงา แม้ว่าโลกนี้จะกว้าง แต่เราก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพังจริงๆ วิธีปลดล็อกความเหงา อาจเริ่มจากการเปิดใจให้กับสิ่งใหม่ๆ ลองออกไปพบปะผู้คน ทำกิจกรรมที่ชอบ หรือลองทักทายเพื่อนเก่าที่ห่างหายกันไป ที่สำคัญคือการเป็น “คนข้างๆ” ให้ตัวเอง ให้เวลากับตัวเองมากขึ้น ดูแลหัวใจตัวเองเหมือนที่เราดูแลคนอื่น สุดท้าย ‘เรา’ คือ คนสำคัญที่สุดในโลก ถึงแม้วันนี้เราอาจยังไม่มีใครอยู่ข้างๆ แต่เรายังมีตัวเองเสมอ เราสามารถเป็นที่พึ่งให้ตัวเอง เป็นคนที่รักและให้กำลังใจตัวเองในวันที่อ่อนแอ และเมื่อถึงวันที่พร้อม คนข้างๆ ที่เหมาะสมจะเข้ามาเอง เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่อยู่กับเราไปตลอดชีวิต ก็คือ ‘ตัวเรา’ นั่นเอง บทสรุป ชีวิตของคนเราถูกหล่อหลอมจากครอบครัว การเติบโต และประสบการณ์ทั้งสุขและทุกข์ สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมายคือ ‘คนข้างๆ’ ไม่ว่าจะเป็นแฟน เพื่อนสนิท หรือครอบครัว ที่อยู่เคียงข้างในช่วงเวลาสำคัญ ทำให้เรารู้สึกว่ามีคนเข้าใจและแบ่งปันความรู้สึกกัน หากไม่มีคนข้างๆ ความเหงาอาจเข้ามาแทนที่ แต่เราสามารถปลดล็อกมันได้ด้วยการเปิดใจ พบปะผู้คน และให้เวลากับตัวเอง แต่กระนั้นสิ่งสำคัญที่สุดต่อให้วันนี้ไม่มีใคร เราก็ยังมีตัวเองเป็นที่พึ่งและเป็นคนที่ควรรักมากที่สุดเสมอ ใช่ไหมล่ะ?
ทำความรู้จัก MUNIE แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ ESG ที่มาก่อนกาลของคนไทย สู่มาตรฐาน EU รายแรก
จากวัชพืชสู่เส้นใยยั่งยืน ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน ‘วิลาสินี ชูรัตน์’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ‘มูนี่’ (MUNIE) ได้มองเห็นคุณค่าของวัชพืชที่เอ่อล้นลอยอยู่ในแม่น้ำลำคลองเมืองไทยมาเนิ่นนานอย่าง ผักตบชวา แทนที่จะปล่อยให้เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ ‘เธอ’ กลับคิดว่าวัชพืชชนิดนี้สามารถนำกลับมาเพิ่มมูลค่าได้ด้วยการพัฒนาให้กลายเป็นเส้นใยสำหรับสิ่งทอ และต่อยอดสู่สินค้าแฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยแนวคิดนี้ ‘มูนี่’ จึงได้เติบโตมาเป็นแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ที่มุ่งเน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติ ไปพร้อมทำงานร่วมกับชุมชน 5 ในจังหวัดภาคอีสาน เพื่อเชื่อมโยงการทำงานและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ระหว่างกัน “ข้อดี คือ เราได้ช่วยกระจายรายได้และสร้างงานให้ท้องถิ่นอย่างแท้จริง มีชาวบ้านที่ทำงานร่วมกับมูนี่ราว 30 ราย ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนโดยการจ่ายค่าแรงเป็นชิ้นงาน อย่างถ้าเป็นการย้อมสีธรรมชาติจะจ่ายเป็นกิโลๆ 250-600 บาท แล้วแต่ สีเข้มอ่อน และวัตถุดิบที่ใช้ย้อมสี ถ้าทอผ้า จ่ายเป็นราคาต่อเมตร ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของลวดลาย โดยมูนี่จะใช้วิธีให้คนทอเป็นผู้กำหนดราคา เพราะเป็นงานฝีมือ เหมือนเป็นงานศิลปะ” วิลาสินี กล่าว MUNIE x STAY ปัจจุบัน มูนี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่สินค้าแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังขยายไลน์สินค้าสู่ หมวดของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ โดยยังคงใช้แนวคิดหลักคือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยหนึ่งในโปรเจกต์สำคัญของปีนี้คือการ Co-Project ร่วมกับ ฮันส์ เคงเกน นักออกแบบชาวเนเธอร์แลนด์ เพื่อสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่และผ้าทอมือจากเส้นใยผักตบชวา ภายใต้คอลเลคชัน “Stay” ซึ่งเปิดตัวไปในงาน Bangkok Design Week 2025 ระหว่างวันที่ 8-16 ก.พ.ที่ผ่านมา และเตรียมนำไปอวดโฉมผลิตภัณฑ์อีกครั้งในงาน Style Bangkok 2025 จัดขึ้น ณ ศูนย์สิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 2-6 เม.ย. นี้ ไปต่อขยายตลาดโรงแรมที่พัก วิลาสินี บอกว่า จากเส้นทางของเส้นใยผักตบชวา ด้วยการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์มูนี ยังได้สะท้อนถึงความตั้งใจจริงของการเป็น Eco Lifestyle Branding อย่างแท้จริง ด้วยในปี 2567 ที่ผ่านมา ‘MUNIE’ ได้รับรางวัล ‘UN wep award’ ซึ่งเป็นรางวัลระดับสากลเป็นเครื่องหมายว่า มูนี่ จริงจังอย่างมากในเรื่องความยั่งยืน สอดคล้องกับในปัจจุบันตลาดสหภาพยุโรป (EU) ได้ออกกฎระเบียบ EUDR ควบคุมการนำเข้าไม้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ ทำให้ SME ไทยหลายแบรนด์ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ไม้ไผ่ไม่เข้าข่ายข้อจำกัดดังกล่าว เนื่องจากเป็นพืชโตเร็วและสามารถปลูกทดแทนได้ง่าย นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่มูนี่จะพัฒนาเฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่เพื่อตอบโจทย์ตลาดยุโรปที่ต้องการสินค้าที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ตลาดโรงแรม รีสอร์ต และบูทีคโฮเตล ที่เน้นการออกแบบภายใต้แนวคิด Sustainable Living ก็เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มูนี่กำลังขยายเข้าไป บทสรุป มูนี (MUNIE) เป็นแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ที่เน้นความยั่งยืน (ESG) โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาเส้นใยจาก ผักตบชวา สู่อุตสาหกรรมแฟชั่นและของตกแต่งบ้าน ล่าสุดได้ขยายไลน์สินค้าไปสู่ เฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในยุโรปที่มีกฎระเบียบ ด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เข้มงวด ซึ่งไม้ไผ่เป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน มูนี ยังทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อสร้างรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมวางแผนขยายตลาดไปยังกลุ่มโรงแรม รีสอร์ต และบูทีคโฮเตล ที่ให้ความสำคัญกับ Sustainable Living
ฮอนด้าพร้อมคืนโต๊ะเจรจา! แต่มีข้อแม้ ‘ซีอีโอนิสสัน’ ต้องลาออก ดีลควบรวม 5.8 หมื่นล้านยังมีลุ้น
ไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า ฮอนด้า อาจกลับมาเจรจาควบรวมกิจการกับ นิสสัน อีกครั้ง หาก มาโกโตะ อูชิดะ ซีอีโอของนิสสัน ตัดสินใจลงจากตำแหน่ง ก่อนหน้านี้ การเจรจาควบรวมระหว่าง ฮอนด้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น และ นิสสัน ผู้ผลิตอันดับสาม ต้องยุติลง ทำให้แผนสร้างบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีศักยภาพขึ้นเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสี่ต้องล้มไป อุปสรรคในการควบรวมครั้งนี้ส่งผลให้ นิสสัน ตกอยู่ในภาวะไม่แน่นอน และสะท้อนถึงความกดดันที่อุตสาหกรรมยานยนต์ดั้งเดิมกำลังเผชิญจากคู่แข่งจีนที่กำลังมาแรง ตามรายงานของ FT ฮอนด้า พร้อมพิจารณากลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา หาก นิสสัน มีผู้นำคนใหม่ที่สามารถจัดการปัญหาภายในได้ดีกว่าเดิม แม้ว่าตัว อูชิดะ เองจะเคยประกาศว่าจะดำรงตำแหน่งซีอีโอไปจนถึงปี 2026 แต่แรงกดดันให้เขาก้าวลงจากตำแหน่งกลับทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากคณะกรรมการบริษัทและ เรโนลต์ พันธมิตรสำคัญของนิสสัน หลังจากเขาล้มเหลวในการเจรจาควบรวมมูลค่า 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ รายงานยังระบุว่า คณะกรรมการนิสสันได้เริ่มหารือกันอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนตัวผู้นำ บทสรุป การควบรวมระหว่าง ฮอนด้า และ นิสสัน อาจกลับมาเป็นไปได้ หาก ‘มาโกโตะ อูชิดะ’ ซีอีโอของนิสสันลงจากตำแหน่ง หลังจากที่การเจรจาเดิมต้องล้มไป ส่งผลให้นิสสันเผชิญความไม่แน่นอนและแรงกดดันจากคู่แข่งจีน ปัจจุบัน คณะกรรมการนิสสันกำลังพิจารณาแนวทางเปลี่ยนตัวผู้นำเพื่อเปิดทางสู่การเจรจาใหม่
Mixue โตแรง ครองเชนร้านเครื่องดื่มใหญ่สุดในโลก สาขาแซงหน้ายักษ์ McDonald’s – Starbucks
Mixue (มี่เสวี่ย) แบรนด์ชานมไข่มุกและไอศกรีมจากจีน กลายเป็นเชนร้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลก โดยมีร้านมากถึง 45,300 แห่งทั่วโลก แซงหน้า McDonald’s และ Starbucks ตามข้อมูลที่ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ Mixue เตรียมเปิดขายหุ้น IPO เป็นครั้งแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในอนาคต จากข้อมูลของMcDonald’s พบว่า ณ วันที่ 1 มกราคม มีสาขาทั่วโลกราว 43,000 สาขา ส่วน Starbucks มี 40,200 สาขา โดยตามมาด้วย Subway และ KFC ตามรายงานของ Momentum Works บริษัทวิเคราะห์ตลาดจากสิงคโปร์ จำนวน 70% ของสาขาทั้ง 45,300 ของ Mixue ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของแบรนด์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีจำนวนร้านค้ามากที่สุด แต่ Mixue ยังอยู่อันดับที่ 4 ของโลกในแง่ของมูลค่าธุรกรรมรวม (GMV) ที่ 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Starbucks นำมาเป็นอันดับหนึ่งที่ 55.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วย Inspire Brands ซึ่งเป็นเจ้าของ Dunkin’ Donuts ที่ 14.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Tim Hortons ที่ 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวจากรอยเตอร์ระบุว่าในปี 2024 Mixue วางแผนระดมทุน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการเสนอขายหุ้น IPO และเตรียมเปิดการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงต้นเดือนหน้า บริษัทมีกำไรสุทธิ 3.5 พันล้านหยวน (479 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 เพิ่มขึ้น 42.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยอ้างว่าในแต่ละวันสามารถขายเครื่องดื่มได้ถึง 5.8 พันล้านแก้ว สำหรับประวัติของ Mixue ก่อตั้งโดย Zhang Hongchao นักธุรกิจชาวจีนที่เกิดในปี 1977 ซึ่งเริ่มสร้างแบรนด์ตั้งแต่อายุ 21 ปี โดยต่อมา Zhang Hongfu น้องชายของเขาได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นร่วม Forbes ประเมินมูลค่าของ Mixue ที่ 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2023 ขณะที่ในการระดมทุนรอบก่อนหน้าเมื่อมกราคม 2021 บริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้สองพี่น้องตระกูล Zhang กลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีของจีน อินโดนีเซียและเวียดนามเป็นสองตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ Mixue โดยมีจำนวนร้าน 2,667 แห่งในอินโดนีเซีย และ 1,304 แห่งในเวียดนาม ในปี 2023 Mixue เผยว่ามีรายได้จากตลาดเวียดนามเกือบ 1.26 ล้านล้านดอง (49.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.6 เท่า จากปี 2022 ตามข้อมูลจาก Vietdata ส่วนประเทศไทย Mixue เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน 2565 ภายใต้การบริหารของบริษัท มี่เสวี่ย (ประเทศไทย) จำกัด โดยสาขาแรกตั้งอยู่ที่ซอยรามคำแหง 53 แบรนด์ชานมและไอศกรีมสัญชาติจีนนี้ตั้งเป้าขยายสาขาในไทยให้ได้ 2,000 แห่งภายใน 3 ปี การเติบโตของ Mixue ในไทยเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยในเดือนพฤษภาคม 2566 มีเพียง 21 สาขา แต่ภายในเดือนมกราคม 2567 จำนวนสาขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 200 สาขา นอกจากนี้ บริษัทมีแผนสร้าง คลังสินค้าและโรงงานแปรรูปผลไม้ ในประเทศไทย เพื่อนำผลไม้คุณภาพสูงของไทยมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในร้าน Mixue ทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ บทสรุป Mixue ขึ้นแท่นเชนร้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีสาขามากที่สุดในโลก ด้วยจำนวน 45,300 แห่ง แซงหน้า McDonald’s และ Starbucks โดย 70% ของสาขาอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะมีสาขามากที่สุด แต่ยังอยู่อันดับ 4 ของโลกในแง่ของมูลค่าธุรกรรมรวม (GMV) Mixue วางแผน IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง พร้อมตั้งเป้าขยาย 2,000 สาขาใน3 ปี
สัมผัส 7 แบรนด์สกินแคร์พรีเมี่ยม ที่ ‘Konvy Boutique’ เดสติเนชั่นความงามจากออนไลน์สู่ออนกราวด์
คิงก้วย หวง ประธานคณะผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท คอนวี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Konvy’ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้านความงามของไทย ด้วยผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ต่างๆ จากทั้งในและต่างประเทศ กล่าวว่า ล่าสุด ได้เปิดตัว Konvy Boutique บนทำเลสาขา เดอะมอลล์ บางกะปิ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความงามแบบอินเตอร์แอคทีฟ ให้ลูกค้าสามารถสัมผัสและทดลองผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเมคอัพระดับพรีเมียมด้วยตนเอง ” Konvy Boutique เป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่สำหรับผู้รักความงาม ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและทดลองผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ ด้วยนวัตกรรมที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของอีคอมเมิร์ซ บูติคแห่งนี้เป็นมากกว่าร้านค้า แต่เป็นสถานที่ที่จะมอบประสบการณ์ O2O (Online to Offline) มาเชื่อมโยงแบรนด์และลูกค้าเข้าด้วยกัน พร้อมรับบริการพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญด้านความงามของเรา” หวง กล่าว สำหรับ Konvy Boutique คัดสรรผลิตภัณฑ์จาก 7 แบรนด์สกินแคร์และเมคอัพระดับพรีเมียมอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบประสบการณ์ความงามสุดพิเศษด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด Murad – แบรนด์สกินแคร์อันดับ 1 จากแพทย์ผิวหนังในสหรัฐฯ โดดเด่นด้วยสูตรที่ผ่านการทดสอบทางคลินิก Nu Formula – แบรนด์สกินแคร์ของไทยที่ได้รับความไว้วางใจ ด้วยสูตรที่อ่อนโยน เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย Pramy – สเปรย์ล็อกเมคอัพยอดนิยมของไทย ช่วยให้เมคอัพติดทนนาน มอบผิวสวยไร้ที่ติ Judydoll – แบรนด์เมคอัพสุดจี๊ดจากเอเชีย มาพร้อมเฉดสีโดดเด่นและคุณภาพระดับพรีเมี่ยม Joocyee – ดาวรุ่งในวงการความงามเอเชีย โดดเด่นด้วยเมคอัพเม็ดสีแน่นและติดทนนาน Cosrx – แบรนด์สกินแคร์จากเกาหลี ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยสูตรเรียบง่ายแต่ทรงประสิทธิภาพ Oni – แบรนด์อุปกรณ์แต่งหน้าจากญี่ปุ่น ที่ออกแบบมาเพื่อการแต่งหน้าที่สมบูรณ์แบบทุกครั้ง Mlen Diary – แบรนด์ขนตาพรีเมียม ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับดีไซน์ ตอบโจทย์ทุกสไตล์ โดย Konvy มีแผนที่จะเพิ่มแบรนด์สกินแคร์และเมคอัพพรีเมียมชั้นนำอีกมากมายในอนาคตเพื่อเสริม ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ใน Konvy Boutique พร้อมมอบประสบการณ์ความงามที่น่าสนใจและตรงใจลูกค้าแต่ละท่านให้สามารถทดลองผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง พร้อมรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านความงามของ Konvy และเพลิดเพลินกับการแต่งหน้าแบบเฉพาะบุคคล ผู้ที่รักความงามได้สัมผัสเทรนด์ใหม่ๆ อย่างมั่นใจ จากความตั้งใจที่จะผสมผสานนวัตกรรมออนไลน์เข้ากับประสบการณ์ในการทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในรูปแบบออฟไลน์ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสเทรนด์ความงามอย่างมั่นใจ หวง กล่าวว่า “Konvy Boutique เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมวงการค้าปลีกความงามของบริษัท ด้วยการผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้ผู้ที่รักความงามเข้าถึงผลิตภัณฑ์ เทรนด์ และเทคโนโลยีล่าสุดได้ง่าย ๆ ในที่เดียว” พร้อมเสริมว่า “เราเชื่อว่าอนาคตของธุรกิจค้าปลีกความงามไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางของเรา ในการนำเสนอประสบการณ์ความงามที่แปลกใหม่ ล้ำสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละท่านมากยิ่งขึ้น” บทสรุป Konvy เปิดตัว “Konvy Boutique” ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ เพื่อมอบประสบการณ์ความงามแบบอินเตอร์แอคทีฟ ให้ลูกค้าได้ทดลองผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเมคอัพระดับพรีเมียมจาก 7 แบรนด์ชั้นนำ โดยผสานนวัตกรรม O2O (Online to Offline) เชื่อมโยงแบรนด์และลูกค้า พร้อมบริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ‘คิงก้วย หวง’ ซีอีโอ Konvy ระบุว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมค้าปลีกความงาม ที่จะขยายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคต
เมื่อสิงห์ ร่วมกับ ‘วันแชมเปียนชิพ’ เวทีศิลปะการต่อสู้ที่ถ่ายทอดใน 195 ประเทศทั่วโลก กลยุทธ์สู่โกลบอลแบรนด์
วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ผู้อยู่เบื้องหลังการเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตรกีฬาระดับโลกมากมาย เผยว่า “นับเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งที่ ‘สิงห์’ เป็นออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์กับ ‘วัน แชมเปียนชิพ’ องค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหนึ่งในรายการที่เผยแพร่ไปยังผู้ชมกว่า 195 ประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับ “สิงห์” ที่เป็นแบรนด์ของคนไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ในคุณภาพของผลิตภัณฑ์มาตลอดกว่า 90 ปี “เราเชื่อว่าการร่วมมือกันครั้งนี้ จะต่อยอดความแข็งแกร่งแบรนด์สิงห์ในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย และยุโรป นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ศิลปะการต่อสู้ โดยเฉพาะมวยไทยได้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับการสร้างนักกีฬามวยไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกเพิ่มมากขึ้น” วรวุฒิ กล่าว ล่าสุด สิงห์ เดินหน้าเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการกับรายการกีฬา “วัน แชมเปียนชิพ” ที่นำเสนอศิลปะการต่อสู้หลากหลายรูปแบบทั้งมวยไทยการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) คิกบ็อกซิ่ง ฯลฯ จนได้รับความนิยม โดยติดอันดับ 1 ใน 5 กีฬาต่อสู้ที่มีมูลค่าทางธุรกิจสูงสุดของโลก และมียอดเอนเกจเมนต์สูง รวมถึงยอดการรับชมหรือยอดวิวรวมกันหลักหมื่นล้านวิว ส่วนในไทยยังรั้งผู้นำด้วยเรตติ้งสูงสุดมายาวนาน จากการถ่ายทอดสดทางช่อง 7HD สูงเป็นในช่วงนาทีทองหรือซูเปอร์ไพร์มไทม์ โดยมียอดผู้ชมเฉลี่ยถึง 13.6 ล้านคนต่อวัน จากที่ผ่านมา สิงห์ เป็นแบรนด์เครื่องดื่มแบรนด์แรก ๆ ของประเทศไทยที่ได้ให้การสนับสนุน F1 ที่เปรียบเสมือนการเปิดประตูโอกาสของสิงห์ในการทำ Sport Marketing กับพาร์ตเนอร์ระดับโลกแบบเต็มตัวกับทีม Infiniti Red Bull Racing, Scuderia Ferrari, Alfa Romeo F1 Team, Stake F1 Team KICK Saubar และยังเป็นพาร์ตเนอร์กับรายการกีฬาใหญ่ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างเชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ MotoGP, การแข่งขันกอล์ฟรายการเก่าแก่ที่สุดรายการหนึ่งของโลกอย่าง ดิ โอเพ่น เป็นต้น ทั้งนี้ สิงห์ได้ประเดิมการเป็นออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์ และผู้บริโภคได้เห็นแบรนด์ในศึกใหญ่ ONE170 ไฟต์การต่อสู้แรกของปีที่ไทย ซึ่งมีดาวดัง “ตะวันฉาย VS ซุปเปอร์บอน” ขึ้นชกเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี บทสรุป “สิงห์” จับมือ “วัน แชมเปียนชิพ” ดันแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก โดยเป็น ออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์ กับองค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก หวังขยายตลาดในเอเชียและยุโรป พร้อมผลักดันมวยไทยให้เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สิงห์ยังเป็นพันธมิตรกับกีฬาใหญ่ระดับโลก เช่น F1, พรีเมียร์ลีกอังกฤษ, MotoGP และ The Open ล่าสุด เปิดตัวความร่วมมือในศึก ONE170 ตะวันฉาย VS ซุปเปอร์บอน ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี 4o
SC กับแนวคิดใหม่คอนโด สร้างประสบการณ์อยู่อาศัยทั้งของกิน/ใช้-ประกันภัย-เดินทาง เข้าถึงเจนฯY
กนกอร หลิมกำเนิด Chief Operating Officer Property Development – High Rise บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “โครงการ ‘เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่’ นอกจากจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่มีการออกแบบทันสมัยตอบโจทย์คนรุ่นใหม่แล้ว ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกบ้าน ผ่านความร่วมมือจากพันธมิตรชั้นนำ เพื่อมอบความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกๆ ด้าน ลูกบ้านจะได้สัมผัสกับการอยู่อาศัยที่ครบวงจร และทำให้ชีวิตในเมืองใหญ่ของลูกบ้านสะดวกสบายและเต็มไปด้วยความสุขทุกวัน” ทั้งนี้การผนึกกำลังร่วมกับ 3 พันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำ ได้แก่ “ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต” และ “ร้านถูกและดี” ที่ให้บริการเมนูอาหารพร้อมทาน ภายใต้ชื่อ ฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์ (Foodland Grocerant) มาอำนวยความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านสอดคล้องกับแนวคิดการตอบโจทย์ Insight ของคน Gen Y อย่างแท้จริง และ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ที่มอบแผนความคุ้มครองด้านสุขภาพและอุบัติเหตุ พร้อมกับทุนประกันชีวิตให้กับลูกบ้านฟรี 2 ปี รวมทั้ง มูฟมี (MuvMi) บริการรถรับ-ส่ง ด้วยรถพลังงานไฟฟ้า ด้าน อธิพล ตีระสงกรานต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด กล่าวว่า ฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์ (Foodland Grocerant) “เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของบริษัท ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด ที่ต้องการมอบสิ่งดีๆให้กับลูกบ้านโครงการ ‘เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ ด้วยวิถีชีวิตของสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ และเวลาอันจำกัด ความสะดวกเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ฟู้ดแลนด์ขอมอบให้กับลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไป ฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์ เป็นการรวมมินิฟู้ดแลนด์ และร้านอาหารถูกและดีไว้ด้วยกัน โดยคอนเซ็ปต์ยังคงเหมือนกับ ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต คือได้ของคุณภาพ ครบ จบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ในชีวิตประจำวัน หรืออาหารปรุงสดใหม่ หลากหลายเมนูจากร้านอาหารถูกและดี ซึ่งเป็นการเปิดให้บริการเป็นแห่งแรกที่โครงการคอนโดมิเนียม เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านภายในโครงการ และชุมชนใกล้เคียง ทั้งนี้เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์จะเป็นจุดหมายแห่งใหม่ในย่านวงเวียนใหญ่ที่ลูกค้านึกถึงในทุกๆ วัน โครงการ ‘เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่’ (Reference Sathorn – Wongwianyai) คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 2 อาคาร ความสูง 32 ชั้น และ 51 ชั้น รวม 789 ยูนิต พร้อมพื้นที่เชิงพาณิชย์จำนวน 3 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ตั้งอยู่ในซอยกรุงธนบุรี 2 ห่างจากถนนเส้นหลักเพียง 90 เมตร ประกอบด้วยห้องชุด 4 แบบ คือ ห้องแบบ Studio (24-27 ตารางเมตร), ห้องชุดแบบ 1 Bedroom (31-32 ตารางเมตร), ห้องชุดแบบ 1 Bedroom Plus (32.5-53 ตารางเมตร) และ ห้องชุดแบบ 2 Bedrooms ( 63-72 ตารางเมตร) มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เลานจ์ส่วนตัว, ฟิตเนส, โคเวิร์คกิ้งสเปซ, สระว่ายน้ำ, ออนเซ็น ในราคาขายเริ่มต้นเพียง 3.69 ล้านบาท โดดเด่นด้วยทำเลโครงการอยู่ใกล้ BTS สถานีวงเวียนใหญ่ เพียง 130 เมตร รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า ไอคอนสยาม, เดอะ มอลล์ ท่าพระ และยังอยู่ใกล้สถานที่สำคัญหลายแห่งอย่าง อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวชธนบุรี, โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา,โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์,โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย,โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน,โรงเรียนอัสสัมชัญบางรักเป็นต้น อีกทั้งการเชื่อมต่อการเดินทางได้อย่างง่ายดายผ่านรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีทอง (สถานีกรุงธนบุรี) อีกทั้งเส้นทางการเดินทางใหม่ในอนาคตอย่างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และสายสีแดงเข้ม ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตและทุกไลฟ์สไตล์สำหรับคนที่ใช้ชีวิตในเมือง นอกจากนั้นยังมีการให้บริการจาก เอสซี แอสเสท ผ่านทีมบริการหลังการขาย SC Able ที่พร้อมดูแลและอำนวยความสะดวกประจำโครงการ อีกทั้งการให้บริการพิเศษ Concierge Service ที่ช่วยให้การอยู่อาศัยไร้กังวลในทุก ๆ วัน รวมถึงแอปพลิเคชัน Ruejai ที่รวมบริการและโซลูชั่นสำหรับการอยู่อาศัย ช่วยตอบโจทย์เรื่องการดูแลบำรุงรักษาห้องชุด รวมถึงระบบ Home Automation ที่สามารถสั่งการควบคุมการเปิด-ปิดแอร์ และไฟภายในบ้าน หรือแจ้งสถานะ EV Charger รวมถึงจองใช้บริการพื้นที่ส่วนกลางผ่านแอปฯได้ทันที บทสรุป จุดเด่นของโครงการ ‘เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่’ (Reference Sathorn – Wongwianyai) ด้วยพันธมิตรธุรกิจ ฟู้ดแลนด์ โกรเซอรองท์ ร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารถูกและดี, อลิอันซ์ อยุธยา มอบประกันชีวิตฟรี 2 ปี, MuvMi บริการรถรับ-ส่งพลังงานไฟฟ้า สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ฟิตเนส, โคเวิร์คกิ้งสเปซ, สระว่ายน้ำ, ออนเซ็น และบริการพิเศษ SC Able & Concierge Service ห้องชุดมี 4 แบบ Studio 24-27 ตร.ม., 1 Bedroom 31-32 ตร.ม., 1 Bedroom Plus 32.5-53 ตร.ม., 2 Bedrooms 63-72 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท
‘นิโอ ทาร์เก็ต’ ทำสำรวจผู้บริโภคยุคใหม่ พบ 3 ปัจจัยสำคัญมีผลต่อความไว้วางใจและตัดสินใจซื้อของลูกค้า
นิโอ ทาร์เก็ต เผยผลสำรวจองค์กรที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุด พร้อม ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจและ การตัดสินใจซื้อ วรรณี ลีลาเวชบุตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด ที่ปรึกษาการสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดมีการแข่งขันสูง การสร้างชื่อเสียงองค์กรให้มีความน่าเชื่อถือ (Trust) และ สร้างตราสินค้า (แบรนด์) ให้เป็นที่ชื่นชอบ ชื่นชมในกลุ่มเป้าหมายจนสามารถครองตำแหน่งผู้นำทางการตลาดได้นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยหลายองค์กรจึงจำเป็นต้องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ โดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่น เพื่อให้เป็นตัวเลือกในของการตัดสินใจซื้อ ควบคู่ไปกับการสร้างผู้นำองค์กรให้เป็นที่รู้จัก ถึงบทบาทและวิสัยทัศน์ในการบริหารองค์กร การทำกิจกรรมเพื่อสังคม ตลอดจนไลฟ์สไตล์ในการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่องค์กรและแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ‘นิโอ ทาร์เก็ต’ ได้ทำการสำรวจความเห็นผู้บริโภคมาหลายปีติดต่อกัน ในปีนี้ ได้ทำการสำรวจความเห็นผู้บริโภคอีกครั้ง โดยการสำรวจดังกล่าวครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น คือ ตั้งแต่กลุ่ม Gen Z ไปจนถึง กลุ่ม Baby Boomer ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 14-78 ปี ทั่วประเทศ จำนวน 2,000 คน เป้าหมายหลัก คือ หาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างชื่อเสียงขององค์กร และ ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ รวมทั้งการตัดสินใจซื้อ คืออะไร ผลการสำรวจพบว่า คนไทยทุก Gen กว่าร้อยละ 80 (80.87%) ต่างให้ความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า ผู้บริหาร หรือ ผู้นำองค์กร เป็นคนที่สำคัญมากที่สุดต่อการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ (Trust) กับองค์กร โดยผลสำรวจพบว่า บริษัทที่ได้รับความเชื่อมั่นหรือไว้วางใจมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เหตุผลสำคัญ มาจากความเชื่อมั่นในความสามารถขององค์กร มากถึงร้อยละ 22.29 รองลงมา คือความน่าเชื่อถือขององค์กร ร้อยละ 17.92 และ ร้อยละ 17.77 มีความเชื่อมั่นในผู้บริหารองค์กร ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการมากที่สุด ร้อยละ 87.80 อยู่ที่คุณภาพของสินค้า ร้อยละ 73.80 ชื่อเสียงของแบรนด์สินค้า และร้อยละ 73.19 คือเรื่องราคา อย่างไรก็ตาม กลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มต่างให้ความเห็นว่า ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุด คือ เรื่องราคาของสินค้า ที่มีราคาแพง ขณะที่รายได้ที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับรายจ่าย นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ปัญหาสังคมที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติ มาจาก ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทุจริตคอร์รัปชัน โอกาสและการพัฒนาการศึกษา และยาเสพติด ซึ่งเป็น 4 อันดับแรก ที่คนทุกกลุ่มให้ความเห็นในสัดส่วนใกล้เคียงกัน โดยกลุ่ม Gen Z ร้อยละ 51.24 และ Gen Y ร้อยละ 58.14 มองว่าปัญหาโอกาสและพัฒนาการศึกษาส่งผลกระทบต่อประเทศชาติมากที่สุด โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้ ให้ความสำคัญกับปัญหาทางไซเบอร์มากด้วยเช่นกัน ส่วนกลุ่ม Gen X และ Gen Baby Boomer มองว่าปัญหาคอร์รัปชันมีผลกระทบต่อประเทศชาติมากที่สุด วรรณี กล่าวเสริมว่า เพื่อเป็นกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวกับการให้ความสำคัญในการสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์องค์กร ควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด จึงได้ร่วมกับ อินฟลูเอ็นเชี่ยลแบรนด์ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ในเอเชีย จัดงานมอบรางวัลสุดยอดแบรนด์ชั้นนำในเอเชีย 2024 Asia CEO Summit & Award Ceremony ซึ่งได้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ในประเทศสิงคโปร์ และปีที่ 7 ในประเทศไทย มอบรางวัลอินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ อะวอร์ด ประจำปี 2024 (Influential Brand Award 2024) ให้กับแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด ต้นเดือนมีนาคมนี้ โดยรางวัลแบ่งออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ รางวัลแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด (Top Influential Brand) มาจากผลวิจัยจากผู้บริโภค รางวัลแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจสูงสุดต่อเนื่อง (Outstanding Brand) รางวัลผู้บริหารองค์กรชั้นนำ (Top CEO) และรางวัลผู้นำดีเด่น (Outstanding Leader) “รางวัลดังกล่าวที่จัดขึ้น เป็นบทพิสูจน์ว่า ทุกองค์กร และแบรนด์ต่าง ๆ ได้ก้าวสู่ความเป็นเลิศจนสามารถมีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายได้นั้น ต้องมาจากพื้นฐานของความเป็นจริง ด้วยชื่อเสียงขององค์กร ความสามารถของผู้บริหาร และ คุณภาพของสินค้าที่เป็นจริง ไม่ใช่เป็นเพียงการใช้กลยุทธ์การสร้างภาพ ด้วยกลยุทธ์วิธีทางการสื่อสารเท่านั้น” วรรณี กล่าวทิ้งท้าย บทสรุป นิโอ ทาร์เก็ต เผยผลสำรวจองค์กรที่ได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุดในไทยจากความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วประเทศ (14-78 ปี จำนวน 2,000 คน) พบว่า “ผู้นำองค์กร” มีอิทธิพลสูงสุดต่อการสร้างความเชื่อมั่น (Trust) และความไว้วางใจในองค์กร โดย ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ คุณภาพสินค้า (87.80%), ชื่อเสียงแบรนด์ (73.80%), ราคา (73.19%) Gen Z & Gen Y กังวลเรื่องการศึกษาและปัญหาทางไซเบอร์ ส่วน Gen X & Baby Boomer มองว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด
‘แดน บิวต์เนอร์’ นักสำรวจ National Geographic ชวนรู้จัก ‘Blue Zone’ พื้นที่อายุยืนยาว+สุขภาพดี
แดน บิวต์เนอร์ (Mr. Dan Buettner) หนึ่งในสมาชิกนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และยังเป็นสื่อมวลชนที่ได้รับรางวัลอีกทั้งยังเป็นผู้ดำเนินรายการและโปรดิวเซอร์ร่วมของรายการ “อยู่ถึง 100:ความลับของบลูโซน” (Live to 100: Secrets of the Blue Zones) ทางเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งได้รับรางวัลเอ็มมี่ถึง 3 รางวัล และยังเป็นนักเขียนที่เคยมีผลงานติดอันดับขายดีที่สุดของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ถึง 5 ครั้งด้วย บิวต์เนอร์ค้นพบพื้นที่ 5 แห่งทั่วโลกซึ่งเรียกว่า ‘บลูโซน’ โดยพื้นที่ทั้ง 5 แห่งนี้เป็นที่ที่ผู้คนมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงที่สุด บทความหลายบทความของเขาเกี่ยวกับสถานที่เหล่านี้ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารเดอะนิวยอร์กไทมส์และเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกนั้นเป็นบทความที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในรูปแบบสิ่งตีพิมพ์และในรูปแบบรายการ ‘อยู่ถึง 100: ความลับของบลูโซน’ ทางเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ถึง 6 รางวัล ปัจจุบัน บิวต์เนอร์ทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ องค์กรเอกชนขนาดใหญ่ และบริษัทประกันสุขภาพเพื่อดำเนินโครงการบลูโซนทั้งในชุมชน สถานที่ทำงาน และมหาวิทยาลัย โครงการบลูโซนเป็นโครงการด้านสุขภาวะซึ่งนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพื้นที่บลูโซนมาประยุกต์ใช้กับชุมชนต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในท้องที่นโยบายสาธารณะ และเครือข่ายทางสังคม ปัจจุบันโครงการนี้ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับชาวอเมริกันกว่า 5 ล้านคน ในหนังสือของเขาชื่อ ‘The Blue Zones Secrets for Living Longer’ บิวต์เนอร์ได้เล่าถึงการเดินทางกลับไปยังพื้นที่บลูโซนทั้ง 5 แห่ง คือ ซาร์ดิเนีย (อิตาลี), อิคาเรีย (กรีซ), โอกินาวา (ญี่ปุ่น), คาบสมุทรนิโคยา (คอสตาริกา) และโลมา ลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย (สหรัฐฯ) เพื่อตรวจสอบผู้ที่มีอายุขัยยืนยาวในพื้นที่เหล่านี้และศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ทั้งเป้าหมายของชีวิต ความเชื่อ ชุมชน เวลาพักผ่อนการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวัน และการรับประทานอาหารแบบแพลนท์เบสซึ่งช่วยให้ผู้คนในพื้นที่บลูโซนมีช่วงอายุขัยของชีวิตที่มีสุขภาพดียาวนานขึ้นสูงสุดถึง 10 ปี นอกจากนี้ บิวต์เนอร์ ยังเปิดเผยพื้นที่บลูโซนแห่งใหม่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่บลูโซนที่มนุษย์สร้างขึ้นแห่งแรก ซึ่งยังไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน และ ยังเป็นผู้ครองสถิติการขี่จักรยานทางไกล 3 รายการในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ในโอกาสที่ บิวต์เนอร์ เดินทางมายังประเทศไทย พร้อมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘บลูโซน’ กับความมหัศจรรย์แห่งการใช้ชีวิตของผู้คนที่มีอายุยืนยาวและสุขภาพดีที่เขาได้พบเจอมาได้อย่างน่าสนใจ รู้จัก ‘Blue Zone’ ทำไมคนในพื้นที่นี้ถึงมีชีวิตยืนยาว? คำว่า ‘Blue Zone’ หรือโซนสีฟ้า หมายถึงพื้นที่ที่มีผู้คนอายุยืน และสุขภาพดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป คือมีอายุประมาณ 90-100 ปี2 โดยมีที่มาจากการตั้งข้อสังเกตของ Dan Buettner ซึ่งเป็นนักสำรวจ นักเขียน และช่างภาพ จาก National Geographic ในงานวิจัยเกี่ยวกับการศึกษากลุ่มประชากรที่มีอายุยืนทั่วโลกของ Gianni Pes และ Michel Poulain1 จึงทำให้เขาเริ่มโครงการออกเดินทางไปสำรวจวิถีชีวิตของคนในพื้นที่เหล่านี้ในปี 2004 หลังจากการสำรวจที่โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ในปี 20003 ตัวอย่าง 5 เมืองใน Blue Zone ได้แก่ โอกินาวา (ญี่ปุ่น) ซาร์ดิเนีย (อิตาลี) อิคาเรีย (กรีซ) โลมา ลินดา (สหรัฐอเมริกา) นิโคยา (คอสตาริกา) ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ มีวัฒนธรรม และพฤติกรรมที่ส่งเสริมการมีสุขภาพดี และอายุยืนยาวที่คล้ายคลึงกัน เช่น การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการมีความสัมพันธ์ที่ดีทางสังคม 9 เคล็ดลับวิธีการดูแลสุขภาพแบบคนใน Blue Zone ลองเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคุณ เพื่อให้มีสุขภาพดี และอายุยืนยาว ด้วยเคล็ดลับจากคนใน Blue Zone ดังนี้ 1.ปรับเปลี่ยนการกินอาหาร อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับทุกคน เพราะอาหารเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพโดยตรง เพื่อการกินอาหารที่สมดุล ควรลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ไข่ และนม ลดการบริโภคน้ำตาล เน้นอาหารแพลนต์เบส (Plant-Based) ผัก ผลไม้ (ยกเว้นมันฝรั่ง) และอาหารจากธรรมชาติ กินถั่วทุกวัน และเลือกกินขนมปังชนิดโฮลวีต5 จากการศึกษาวิถีชีวิตของคนใน Blue Zone จะพบว่า แต่ละพื้นที่จะมีเคล็ดลับในการกินอาหารที่ต่างกัน4 ดังนี้ กินให้อิ่ม 80% : เกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ชาวโอกินาวาส่วนใหญ่จะกินอาหารให้รู้สึกอิ่มแค่ 80% โดยจะเน้นไปที่อาหารจำพวกผัก ปลา และอาหารทะเล รวมถึงอาหารที่ทำมาจากถั่วเหลือง เช่น ซอสถั่วเหลือง ซุปมิโซะ เต้าหู้ เต้าเจี้ยว และถั่วหมัก อีกทั้งยังดื่มน้ำต่อวันมากกว่า 2 ลิตร ดื่มนมแพะ ชา ไวน์ : เกาะอิคาเรีย ประเทศกรีซ โดยทั่วไปชาวอิคาเรียนมักกินพืชประเภทฟัก และผักใบเขียว ที่ปลูกเองตามบ้านเรือน เน้นดื่มนมแพะมากกว่านมวัว รวมถึงยังมีการดื่มชา และไวน์สูตรเฉพาะที่อิคาเรีย เพราะเป็นเครื่องดื่มที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะชอบกินน้ำผึ้งครั้งละ 1 ช้อน ในช่วงตอนเช้า และตอนเย็นด้วย ไม่กินอาหารแปรรูป : คาบสมุทรนิโคยา ประเทศคอสตาริกา คนในพื้นที่นี้นิยมกินข้าวโพด และถั่ว โดยไม่นิยมกินอาหารจำพวกแปรรูป จำกัดการกินอาหารมื้อเย็นในปริมาณน้อย โดยเป็นวัฒนธรรมการกินที่มาจากชนเผ่าตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งยังดื่มน้ำในปริมาณมาก ซึ่งน้ำในแถบนิโคยาจะมีแคลเซียมสูง จึงช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยที่มาจากกระดูกได้ กินถั่ววันละ 1 กำมือ : โลมา ลินดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ‘โลมา ลินดา’ เมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีวิถีชีวิตแบบชาวเมือง แต่กินเนื้อหมู และเนื้อวัว เฉลี่ยไม่เกินเดือนละ 2 ครั้ง หรือบางครั้งก็ไม่กินเลย มักกินอาหารที่มาจากพืช โปรตีนถั่ว ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัท และอัลมอนด์ วันละ 1 กำมือ ไม่กินอาหารที่มีรสเค็ม และรสหวานจัดเกินไป เน้นปลาและผัก : ซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี คนที่ซาร์ดิเนีย เป็นชาวเกาะที่กินอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน โดยเลือกกินเนื้อสัตว์ที่ไม่มีขา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อปลา หรือกินสัตว์ที่มีขาน้อยที่สุด อย่างเช่น สัตว์ปีก เพราะมีความเชื่อว่า การกินเนื้อหมู และเนื้อวัว จะทำให้มีสารพิษเข้าไปในร่างกายได้ เน้นการปรุงอาหารโดยใช้น้ำมันมะกอก และน้ำมันจากถั่วเปลือกแข็ง ที่มีวิตามินอีสูง มีไขมันอิ่มตัว ที่ช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลลดลง ดื่มไวน์ Cannonau ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าไวน์อื่นๆ ในมื้อเย็น โดยปริมาณที่ดื่มต่อวัน ผู้ชายจะดื่มไม่เกิน 2 แก้ว และผู้หญิงดื่มไม่เกิน 1 แก้ว รวมถึงใช้เวลากินข้าวมื้อละประมาณ 30 นาที เพื่อให้ไม่มีความเร่งรีบ และมีความสุขกับการกินมากที่สุด 2.ไม่ปล่อยให้ร่างกายอยู่เฉยๆ การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของคนในพื้นที่Blue Zone ได้เผยให้เห็นว่า คนในพื้นที่เหล่านี้ มักมีวิถีชีวิตที่กระตือรือร้น และเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ โดยพวกเขามักทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงงานในชีวิตประจำวัน เช่น ผู้สูงอายุชาวโอกินาวาขยับร่างกายด้วยการทำสวนพืชผักสมุนไพร ชาวซาดิเนีย และชาวโลมา ลินดาที่ชอบเดินออกกำลังกายมากกว่านั่งรถ ผู้สูงอายุชาวนิโคยาที่เดินจ่ายตลาด ผ่าฟืน และทำงานบ้านในทุกวัน เป็นต้น1,2 3.รับแดดบ้าง คนใน Blue Zone มักใช้เวลาในช่วงกลางวันอยู่กลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอ พวกเขามักได้รับแสงแดดที่เพียงพอซึ่งช่วยในการผลิตวิตามินดี และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม การสัมผัสแสงแดดในระดับที่เหมาะสม เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้คนในพื้นที่เหล่านี้มีสุขภาพดี และอายุยืนยาว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Dr.Greg Plotnikoff ที่ทำงานร่วมกับ Dan Buettner บอกว่า แสงแดดช่วยให้ร่างกายผลิตวิตามินดี ซึ่งมีประโยชน์ในการเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยควบคุมการเติบโตของเซลล์ หากขาดวิตามินดี อาจส่งผลให้กระดูก และฟันไม่แข็งแรง กล้ามเนื้ออ่อนแรง เสี่ยงต่อการหกล้ม และกระดูกหัก โดยเฉพาะในผู้สูงวัย ที่เมื่อกระดูกสะโพกหัก จะยิ่งทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น รวมถึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายหลายชนิด เช่น มะเร็ง ความดันเลือดสูง เบาหวาน และโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ สำหรับผู้ป่วยโรคไต การขาดวิตามินดีอาจเร่งให้เกิดโรคหัวใจได้2 4. นอนเป็นเวลา ผลจากการสำรวจวิถีชีวิต และพฤติกรรมการนอนของคนในพื้นที่Blue Zone พบว่า มีการนอนหลับที่มีคุณภาพ และเพียงพอ เพราะพวกเขามักมีตารางเวลานอนที่สม่ำเสมอ และให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ การนอนหลับที่มีคุณภาพ หมายถึงการเข้านอนตามตารางเวลาที่เหมาะสม เช่น ก่อน 4 ทุ่ม หรือไม่เกินเที่ยงคืน โดยไม่ตื่นกลางดึก และไม่ใช้ยานอนหลับ การหยุดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน 60-90 นาที และหลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนหลังบ่ายสอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมการนอนหลับที่ดี และต่อเนื่องยิ่งขึ้น5 5.เลี่ยงแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่ พฤติกรรมหลักของคนในพื้นที่ Blue Zone มักมีการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และใช้สารเสพติด โดยชาวโลมา ลินดา นับถือคริสตจักรเซเวนธ์เดย์แอดเวนีทิสต์ (Seventh-day Adventist Church) ที่มีข้อห้ามด้านการกินอาหารที่เคร่งครัด จึงไม่สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์1 แต่อาจมีบางที่ อย่างอิคาเรีย และซาร์ดิเนีย ที่ดื่มไวน์เล็กน้อยในระหว่างมื้ออาหาร หรือดื่มฉลองกับเพื่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าสังคม และช่วยส่งเสริมสุขภาพด้านจิตใจด้วย 6.ตั้งเป้าหมายในการใช้ชีวิต การใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ Blue Zone มักมีเป้าหมาย และความหมายในชีวิตที่ชัดเจน ซึ่งช่วยให้พวกเขามีแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เช่น ทุกเช้าชาวโอกินาวาจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับหลักการที่เรียกว่า ‘อิคิไก’ ส่วนชาวนิโคยาเรียกว่า ‘ปลัน เด ปีดา’ หรือเป้าหมายชีวิต2 ซึ่งช่วยกระตุ้นให้พวกเขามีแรงบันดาลใจ และเป้าหมายของตัวเองตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงแค่เรื่องธรรมดาแต่มีความหมายของแต่ละคน 7.ใช้ชีวิตแบบ Slow Life การศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์ของชาว Blue Zone เผยให้เห็นว่า คนในพื้นที่เหล่านี้ มักมีการดำเนินชีวิตอย่างช้าๆ และตั้งใจ ให้ความสำคัญในปัจจุบัน ทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และมีสุขภาพดี การให้ความสำคัญกับการผ่อนคลาย การมีเวลาอยู่กับครอบครัว และเพื่อนๆ หรือการทำกิจกรรม เช่น ผู้สูงอายุในโอกินาวามักละจากงานชั่วครู่ เพื่อมองดูท้องฟ้า ชาวซาร์ดิเนีย พื้นที่ที่นิยมเลี้ยงแกะ มักหยุดมองทุ่งหญ้าเขียวขจีจากบนพื้นที่ราบสูง หรือชาวโลมา ลินดา ที่จะใช้ช่วงเวลาสะบาโตหรือช่วงที่พระอาทิตย์ตกดินวันศุกร์ จนถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดินในวันเสาร์ เพื่อการพักผ่อนกับครอบครัว ธรรมชาติ และพระเจ้า 8. มองโลกในแง่ดี คิดบวกเสมอ การศึกษาพฤติกรรม และความคิดของคนใน Blue Zone เผยให้เห็นว่า พวกเขามีทัศนคติที่เป็นบวก และมองโลกในแง่ดี ซึ่งช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาว และเต็มไปด้วยความสุข ซึ่งการดูแลสุขภาพจิตของพวกเขา รวมถึงการไม่เครียด มีอารมณ์ขัน และการอยู่กับปัจจุบัน เช่น ชาวซาร์ดิเนียเป็นเจ้าแห่งอารมณ์ขัน แม้จะมีปัญหาในชีวิต พวกเขาก็สามารถมองเป็นเรื่องตลก และพบปะสังสรรค์กันในช่วงบ่าย เพื่อหัวเราะกับมุกตลกอยู่เสมอ หรือผู้สูงอายุในโอกินาวา แม้จะมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก และความทรงจำเลวร้ายจากสงคราม แต่พวกเขามักมีทัศนคติที่จะปล่อยให้อดีตผ่านไป และมีความสุขเรียบง่ายกับปัจจุบันมากกว่า 9.อยู่ในสังคมที่ไม่ Toxic พฤติกรรมการเข้าสังคมของคนใน Blue Zone เผยให้เห็นว่า การมีครอบครัว และเพื่อน ที่สามารถพูดคุยแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต พวกเขามักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้ความสำคัญกับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ที่ช่วยสร้างความสุข และสุขภาพดี เช่น โอกินาวามีประเพณี ‘โมอิ’ หรือการรวมกลุ่มเพื่อพูดคุย และช่วยเหลือกัน ทั้งเรื่องการเงิน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ขณะที่ชาวซาร์ดิเนียมีสถาบันครอบครัวที่แข็งแรง อาศัยอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ และให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูหลาน และเหลน ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตมากขึ้นไปอีก สรุป Blue Zone คือพื้นที่ที่มีการบันทึกว่ามีประชากรมีอายุยืนยาว และสุขภาพดี พื้นที่เหล่านี้ ได้แก่ โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี อิคาเรีย ประเทศกรีซ นิโคยา ประเทศคอสตาริกา และโลมา ลินดา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการศึกษาพบว่า คนใน Blue Zone มีลักษณะการใช้ชีวิตที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ และอายุยืนยาวเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพให้ดี และอายุยืน คือการกินอาหารที่ดี มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี การฝึกตัวเองให้มีจิตใจที่สงบ และการตั้งเป้าหมายในชีวิต เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันได้
‘คลองฟูนันเตโช’ ส่อแววล่ม แม้นายกฯกัมพูชายันไร้ปัญหาเรื่องเงินกับจีน แต่เริ่มก่อสร้าง 3 เดือนไร้คืบ
นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ปฏิเสธรายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่า โครงการเมกะโปรเจกต์คลองฟูนันเตโช ซึ่งกัมพูชาร่วมทุนกับจีน และเริ่มการก่อสร้างไปเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว กำลังเผชิญปัญหาการเงินจากการที่รัฐบาลจีนลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในจีนที่อ่อนแอลง แม้กัมพูชาจะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีน ฮุน มาเนต ระบุว่า โครงการนี้ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางการดำเนินงานได้ และรัฐบาลของเขากำลังดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยปฏิบัติตามคำสั่งที่ชัดเจนเพื่อจำกัดผลกระทบต่อประชาชนในระดับรากหญ้า กัมพูชายังมีหุ้นส่วนสำรองหลายรายที่พร้อมจะช่วยดูแล หากโครงการใดล้มเหลว พร้อมทั้งยืนยันว่ากลุ่มทำงานยังคงดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต สอดคล้องกับคำยืนยันของรองนายกรัฐมนตรีซุน จันทอล ประธานคณะกรรมาธิการพิเศษโครงการก่อสร้างคลองฟูนันเตโช ซึ่งกล่าวว่าโครงการยังคงดำเนินไปตามแผน และได้ปฏิเสธรายงานจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่าโครงการล่าช้าเนื่องจากปัญหาทางการเงินของจีน โครงการคลองฟูนันเตโชมีแผนจะเริ่มเปิดใช้งานในช่วงต้นปี 2028 โดยมีงบการลงทุนมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 58,000 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของจีดีพีกัมพูชา โดยในตอนแรกรัฐบาลกัมพูชาประกาศว่าจีนจะเป็นผู้ช่วยเหลือการลงทุนทั้งหมด แต่ภายหลังมีการแก้ไขเป็นจีนจะออกเงินช่วยเหลือ 49% และบริษัทต่าง ๆ ของกัมพูชาจะเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนที่เหลือ 51% แม้โครงการเริ่มต้นด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แต่ความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะสถานที่จัดพิธีที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง และมีการรายงานถึงปัญหาด้านเงินทุนที่ไม่ตรงกันระหว่างจีนและกัมพูชา รวมถึงความกังวลของจีนที่มีต่อโครงการนี้ ก่อนหน้านี้ รอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า เนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา รัฐบาลจีนได้ลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศลง แม้ในประเทศที่จีนมองว่าเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เช่น กัมพูชา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากัมพูชามีหนี้สินกับจีนถึงหนึ่งในสามของหนี้ทั้งหมด คาดว่าในปี 2026 จีนจะระดมทุนให้กับกัมพูชาน้อยลง โดยลดจาก 240 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 เหลือเพียง 35 ล้านดอลลาร์ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ ซึ่งในครึ่งแรกของปี 2024 กัมพูชายังไม่ได้รับเงินกู้ใหม่จากจีนเลย สำหรับโครงการคลองฟูนันเตโชถือเป็นเมกะโปรเจกต์สำคัญที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตต้องการผลักดัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากแม่น้ำโขงผ่านกรุงพนมเปญไปยังอ่าวไทย ลดการพึ่งพาการขนส่งทางทะเลจากเวียดนาม คลองนี้จะมีความกว้าง 100 เมตร ลึก 5.4 เมตร และยาว 180 กิโลเมตร คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 16% โครงการนี้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2024 ด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยตรงกับวันคล้ายวันเกิดของฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ผู้ริเริ่มโครงการนี้และถูกสานต่อมาในรัฐบาลรุ่นลูก บทสรุป นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ปฏิเสธข่าวโครงการ คลองฟูนันเตโช เผชิญปัญหาด้านเงินทุน ยืนยันยังดำเนินตามแผน กัมพูชามีแผนสำรองหากเกิดปัญหา โครงการมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ มุ่งเชื่อม แม่น้ำโขง-พนมเปญ-อ่าวไทย ลดพึ่งพาการขนส่งผ่านเวียดนาม อย่างไรก็ตาม จีนลดการลงทุนในกัมพูชา ซึ่งอาจกระทบความคืบหน้าโครงการ 4o
Ralph Lauren ครองตลาดแบรนด์หรูในจีน โตสวนทางไฮเอนด์ สะท้อนคนแผ่นดินใหญ่นิยม Quiet Luxury
ในช่วงเวลาที่ตลาดสินค้าหรูหราในจีนกำลังซบเซา แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง ‘LVMH’ และ ‘Kering’ ต่างต้องเผชิญกับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปของชาวจีน แต่ในท่ามกลางกระแสนี้ กลับมีหนึ่งแบรนด์ที่โดดเด่นและสวนทางกับกระแสความท้าทายเหล่านั้น นั่นคือ ‘Ralph Lauren’ แบรนด์หรูจากสหรัฐฯ ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแดนมังกร เมื่อไม่นานมานี้ Ralph Lauren รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2025 โดยมียอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10% และภูมิภาคเอเชียเป็นผู้นำการเติบโต ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 11% แม้รายได้จากจีนยังคงเป็นเพียงสัดส่วนเล็กน้อย (ประมาณ 8% ของยอดขายทั้งหมด) แต่แบรนด์มองว่านี่คือก้าวแรกที่สำคัญสำหรับการขยายตลาดในประเทศนี้ นีล ซอนเดอร์ส กรรมการผู้จัดการของ GlobalData Retail ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Ralph Lauren ยังคงครองใจผู้บริโภคในจีนได้ นั่นคือ ‘ความเรียบหรูและความคลาสสิก’ ที่แตกต่างจากแบรนด์สินค้าหรูหราทั่วไป ในยุคที่ชาวจีนบางส่วนเริ่มลดความสนใจในสินค้าหรูที่แสดงถึงความมั่งคั่งเกินจำเป็น Ralph Lauren กลับนำเสนอสไตล์ที่ไม่โอ้อวด แต่ยังคงสะท้อนถึงคุณภาพและความคงทน ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาด มาร์ติน โรล นักยุทธศาสตร์ธุรกิจจาก McKinsey อธิบายเพิ่มเติมว่า แนวคิด ‘วิถีชีวิตแบบอเมริกันคลาสสิก’ ของแบรนด์นี้ สอดรับกับความสนใจของผู้บริโภคชาวจีนที่กำลังมองหาความหรูหราที่ประณีตและยั่งยืน คุณภาพและประวัติศาสตร์ของแบรนด์กลายเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่าง และทำให้แบรนด์สามารถยืนหยัดในตลาดจีนได้อย่างมั่นคง Ralph Lauren ไม่ได้หยุดอยู่แค่การนำเสนอสินค้าคลาสสิก แต่ยังใช้กลยุทธ์ Omnichannel อย่างชาญฉลาดในการเข้าถึงผู้บริโภคชาวจีน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยม เช่น Tmall, JD.com และ WeChat รวมถึงการเปิดร้านป๊อปอัปเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า อีกทั้งยังเจาะกลุ่ม Gen Z ชาวจีน ที่มีแนวโน้มซื้อสินค้าหรูผ่านช่องทางดิจิทัล นอกจากนี้ การเน้นความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมความสำเร็จ Ralph Lauren สื่อสารถึงความมุ่งมั่นในการรักษ์โลกอย่างชัดเจน ซึ่งตรงกับความสนใจของผู้บริโภครุ่นใหม่ในจีน ที่เริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกใช้สินค้าที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้ Ralph Lauren จะสามารถฝ่ากระแสและทำตลาดได้อย่างแข็งแกร่งในจีน แต่อนาคตยังคงมีความท้าทายรออยู่ ทั้งเรื่องภาษีศุลกากรและกระแสชาตินิยมในจีน ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของแบรนด์ อย่างไรก็ตาม นี่คือบทพิสูจน์สำคัญว่า Ralph Lauren สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และจะรักษาความนิยมในตลาดจีนได้อย่างยั่งยืนแค่ไหน บทสรุป ในขณะที่ตลาดสินค้าหรูในจีนซบเซา Ralph Lauren กลับเติบโตสวนทาง ด้วยยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10% และในเอเชียเพิ่มขึ้น 11% ปัจจัยสำคัญคือสไตล์ เรียบหรู คลาสสิก และยั่งยืน ซึ่งตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคจีนที่เปลี่ยนไป แบรนด์ใช้กลยุทธ์ Omnichannel และเน้นความยั่งยืนเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z อย่างไรก็ตาม ยังต้องเผชิญความท้าทายจากภาษีและกระแสชาตินิยมในจีน
เปิดจดหมายปู่บัฟเฟตต์ ตั้งใจบริจาค 1.1 พันล้านดอลลาร์ สานต่อการกุศล ไม่หวังลูกหลานบริหารความรวยต่อ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกและผู้ก่อตั้งบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) แสดงจุดยืนของเขาในฐานะที่มีแนวคิดต่างจากมหาเศรษฐีทั่วไปอีกครั้ง โดยการยืนยันว่าจะไม่ส่งต่อทรัพย์สินที่มีอยู่มหาศาลให้กับลูกหลานทายาท แต่เลือกที่จะบริจาคให้การกุศลแทน พร้อมแต่งตั้งดูแลทรัพย์สินอิสระ 3 คน เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินของเขาจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในจดหมายของบัฟเฟตต์ ที่เขียนถึงกลุ่มผู้ถือหุ้น นักลงทุนระดับตำนาน วัย 94 ปี ได้สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของชีวิตเขาในช่วงบั้นปลาย โดยกล่าวว่า ครั้งหนึ่งที่เขาหวังว่าภรรยาคนแรกของเขาจะมีชีวิตยืนยาวกว่าและตัดสินใจเรื่องการกระจายทรัพย์สินหลังจากเขาจากไป “เวลาชนะเสมอ แต่สำหรับเขามักจะไม่แน่นอน แน่นอนว่ามันไม่ยุติธรรมและโหดร้ายมาก บางครั้งถึงขั้นจบชีวิตตั้งแต่แรกเกิดหรือหลังจากนั้นไม่นาน ในขณะที่บางคนก็ต้องรอเป็นศตวรรษก่อนเวลาที่พลัดพรากจะมาเยี่ยมเยียน” ในจดหมายที่มีความยาวเกือบ 1,300 คำ บัฟเฟตต์กล่าวว่าเขาหวังว่าลูกๆ ทั้งสามของเขา ได้แก่ ซูซี ฮาวเวิร์ด และปีเตอร์ บัฟเฟตต์ ซึ่งมีอายุ 71, 69 และ 66 ปี จะมีชีวิตอยู่นานพอที่จะตัดสินใจได้ว่าทรัพย์สมบัติของพ่อของพวกเขาจะบริจาคให้กับองค์กรการกุศลใด เมื่อบัฟเฟตต์เสียชีวิต พวกเขาจะได้รับมอบหมายให้ การตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติของพ่ออย่างไร “ผมไว้ใจลูกทั้ง 3 อย่างสมบูรณ์ แต่สำหรับคนรุ่นต่อไป ผมไม่อาจคาดเดาความสามารถและความซื่อสัตย์ในการบริหารทรัพย์สินได้” บัฟเฟตต์ วางแผนไว้ว่า หากในกรณีที่ลูกๆ ทั้งสามคนของเขา ไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ หรือไม่สามารถดูแลทรัพย์สินของเขาตามเจตนารมณ์ได้ เขาได้แต่งตั้งผู้ดูแลทรัพย์สินที่อาจสืบทอดตำแหน่งอีก 3 คน (กองทรัสตี้ 3 คน) แต่ไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นใคร ในจดหมายบัฟเฟตต์ยังระบุอีกว่า เขาจะเปลี่ยนหุ้น Class A จำนวน 1,600 หุ้นของบริษัทให้เป็นหุ้น Class B จำนวน 2.4 ล้านหุ้น ซึ่งมีสิทธิในการลงคะแนนน้อยกว่า โดย 1.5 ล้านหุ้นจะถูกบริจาคให้กับมูลนิธิซูซาน ทอมป์สัน บัฟเฟตต์ ซึ่งตั้งชื่อตามภรรยาคนแรกของเขาที่เสียชีวิต และอีก 300,000 หุ้นจะถูกแบ่งให้กับสามมูลนิธิที่บริหารโดยลูกๆ ทั้ง 3 คน รวมมูลค่าเกือบ 1.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 41,500 ล้านบาท) “อายุขัยของลูกๆ ของผมลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2006 ผมไม่เคยต้องการสร้างอาณาจักรความมั่งคั่งหรือแผนการใดๆ ที่ยาวไปเกินลูกๆ ของผม” บัฟเฟตต์ ระบุในจดหมายว่า หากในวันที่เขาลาโลกและลูกๆ ยังคงมีความสามารถในการจัดการทรัพย์สิน เขาตั้งใจให้ลูกๆ กระจายหุ้น Berkshire ทั้งหมดของเขาซึ่งคิดเป็น 99.5% ไปในการบริจาคด้านการกุศลตามองค์กรต่างๆ “ผมไม่เคยต้องการสร้างอาณาจักรความมั่งคงหรือดำเนินการตามแผนเพื่อความร่ำรวยใดๆ ที่จะขยายออกไปไกลเกินกว่าลูกๆของผมจะบริหารได้” ทั้งนี้ ตามรายงานของฟอส์บส์ระบุว่า ตลอดชีวิตของบัฟเฟตต์ น่าจะมหาเศรษฐีเป็นผู้ใจบุญมากที่สุดตลอดกาล โดยเขาได้บริจาคเงินมากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ ตลอดชีวิตของเขา จากการประเมินของฟอส์บส์ บัฟเฟตต์เป็นมหาเศรษฐีที่มีความร่ำรวยสุทธิราว 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เขาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 6 ของโลก บทสรุป วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกประกาศว่าจะไม่ส่งมรดกให้ลูกหลาน แต่จะบริจาคทรัพย์สินให้กับองค์กรการกุศล พร้อมตั้งผู้ดูแลทรัพย์สิน 3 คนเพื่อให้แน่ใจว่าทรัพย์สินจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เขาหวังว่าลูกๆ ของเขาจะตัดสินใจการบริจาคอย่างมีเอกฉันท์ หากลูกๆ ไม่สามารถทำได้ เขาจะมอบหมายให้ผู้ดูแลทรัพย์สินแทน โดยให้บริจาคหุ้น Berkshire 99.5% ให้กับองค์กรการกุศล เมื่อเขาเสียชีวิต บัฟเฟตต์บริจาคเงินกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ให้กับการกุศลตลอดชีวิต
ลุ้นเข้าไทย! Skoda รถสัญชาติเช็ก โผล่วิ่งทดสอบในไทย หลังโรงงานในเวียดนามเริ่มผลิต เล็งเจาะขายอาเซียน
ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนหนึ่งได้โพสต์ภาพและข้อความในกลุ่ม EV Club Thailand Group หลังพบรถยนต์แบรนด์ใหม่ไม่คุ้นเคย ติดป้ายทะเบียนรถทดสอบ กำลังวิ่งอยู่ในจังหวัดภูเก็ต หลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ มีผู้แสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ระบุว่ารถยนต์ดังกล่าวคือ Skoda แบรนด์รถยนต์จากสาธารณรัฐเช็ก รุ่นที่กำลังทดสอบคือ Skoda Superb รถเก๋ง 4 ประตู D-segment ที่มีขนาดใกล้เคียงกับ Toyota Camry หรือ Honda Accord หาก Skoda เข้าสู่ตลาดไทยจริง คาดว่าจะดำเนินการผ่านตัวแทนจำหน่ายของ Audi ซึ่งอยู่ในเครือ Volkswagen Group ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีรายงานข่าวจากสื่อเวียดนามว่า Skoda Auto เตรียมเปิดโรงงานผลิตแห่งแรกในเวียดนาม เพื่อรองรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดกวางนิญทางภาคเหนือของเวียดนาม ซึ่งสร้างเสร็จแล้ว 90% และเริ่มทดลองใช้งานบางส่วนในเดือนพฤษภาคม คาดว่าโรงงานขนาด 36.5 เฮกตาร์แห่งนี้จะมีกำลังการผลิตสูงถึง 120,000 คันต่อปี โดยการประกอบรถยนต์จะเริ่มในช่วงปลายปี 2024 และวางจำหน่ายในปี 2025 ในช่วงแรก โรงงานจะผลิตรถซีดานและ SUV ระดับ B ก่อนขยายสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อรุกตลาดอาเซียน Skoda เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเวียดนามเมื่อกันยายน 2023 และตั้งเป้าขยายตัวแทนจำหน่ายเป็น 20 รายภายในปี 2025 และ 30 รายภายในปี 2028 พร้อมตั้งเป้ายอดขายปีละ 40,000 คันในปี 2030 โดยมองว่าเวียดนามเป็นประตูสำคัญสู่ภูมิภาคอาเซียน อนึ่ง ก่อนหน้า Skoda เคยทำตลาดในไทยโดยมีดีลเลอร์ผู้จัดจำหน่ายคือ ยนตรกิจ เมื่อหลายสิบปีก่อนจะออกจากตลาดประเทศไทยไป ที่มาเพจกลุ่ม EV Club Thailand Group บทสรุป ผู้ใช้เฟซบุ๊กในกลุ่ม EV Club Thailand ได้โพสต์ภาพรถทดสอบที่คาดว่าเป็น Skoda Superb ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับ Toyota Camry และ Honda Accord หาก Skoda เข้าสู่ตลาดไทยจะผ่านตัวแทนจำหน่ายของ Audi ในกลุ่ม Volkswagen Group ก่อนหน้านี้ Skoda เตรียมเปิดโรงงานในเวียดนามเพื่อรองรับตลาดอาเซียน โดยเริ่มผลิตรถในปลายปี 2024 และมีกำหนดจำหน่ายในปี 2025 พร้อมตั้งเป้าขยายตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคนี้
อินโดบอกปัดแผนลงทุนจากแอปเปิล ระบุน้อยไปเมื่อเทียบไทย-เวียดนาม
รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซียเผยว่า ข้อเสนอการลงทุนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์จาก Apple ยังไม่เพียงพอที่จะยกเลิกคำสั่งห้ามขาย iPhone 16 ในประเทศ หลังบริษัทไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% ซึ่งบังคับใช้กับสมาร์ทโฟนทุกแบรนด์ รวมถึง Google Apple ยื่นข้อเสนอเงินลงทุนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้รัฐบาลทบทวนคำสั่งแบน แต่รัฐมนตรีอากัส กุมิวัง ระบุว่าข้อเสนอนี้ “ไม่เป็นธรรม” เมื่อเทียบกับการลงทุนในไทยและเวียดนาม หรือคู่แข่งอย่าง Samsung และ Xiaomi ที่ลงทุนในอินโดนีเซียถึง 8 ล้านล้านและ 55 ล้านล้านรูเปียห์ตามลำดับ Apple เคยให้คำมั่นลงทุน 1.7 ล้านล้านรูเปียห์ โดยได้ดำเนินการไปแล้ว 1.5 ล้านล้านรูเปียห์ แต่ยังเหลืออีก 10 ล้านดอลลาร์ที่ต้องส่งมอบตามสัญญาเดิม และต้องปรับแผนลงทุนเพิ่มสำหรับปี 2567-2570 ทั้งนี้ อินโดนีเซียมีมาตรการปกป้องเศรษฐกิจในประเทศมาโดยตลอด เช่น บังคับให้ TikTok แยกฟีเจอร์ช็อปปิ้งออกเพื่อปกป้องค้าปลีกจากสินค้าจีน ตลาดอินโดนีเซียเป็นที่จับตามองของบริษัทยักษ์ใหญ่ ด้วยประชากรหนุ่มสาวและผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนกว่า 350 ล้านเครื่อง การเจาะตลาดระยะยาวในประเทศที่กำลังเติบโตนี้จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับ Big Tech ทั่วโลก บทสรุป รัฐบาลอินโดนีเซียปฏิเสธข้อเสนอการลงทุน 100 ล้านดอลลาร์จาก Apple เพื่อยกเลิกคำสั่งห้ามขาย iPhone 16 เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 40% ซึ่งบังคับใช้กับทุกแบรนด์ เช่น Google โดยรัฐมนตรีอากัส กุมิวังชี้ว่า ข้อเสนอนี้ “ไม่เป็นธรรม” เมื่อเทียบกับการลงทุนของคู่แข่งอย่าง Samsung และ Xiaomi Apple เคยให้คำมั่นลงทุน 1.7 ล้านล้านรูเปียห์ และยังต้องปรับแผนลงทุนเพิ่มเติมในปี 2567-2570 อินโดนีเซียมีมาตรการปกป้องเศรษฐกิจในประเทศอย่างเข้มงวด
ถ้าลำไส้ดี สุขภาพของเราก็ดีไปด้วย อย่าปล่อยให้สาย เช็คก่อน รู้ก่อน เป็น ‘มะเร็งลำไส้ใหญ่’
ข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ พบว่าทุกวันนี้มีคนไทยเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่เฉลี่ย 15 คนต่อวันหรือปีละกว่า 5,476 คน และมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นถึงปีละ 15,000 คน จากตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความอันตรายของ ‘มะเร็งลำไส้ใหญ่’ โรคร้ายที่มักเจอตอนที่มีอาการหนักแล้ว เพราะบ่อยครั้งที่กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัว ก้อนเนื้อในลำไส้ก็ใหญ่มากจนทำให้ระบบขับถ่ายมีปัญหา ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นอุจจาระเป็นเลือด พญ.สาวินี จิริยะสิน แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหาร ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ รพ.วิมุต ได้เล่าถึงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ พร้อมแนะนำการปรับไลฟ์สไตล์เพื่อป้องกันโรคง่าย ๆ และย้ำเตือนถึงความสำคัญในการตรวจคัดกรองเพื่อหาสัญญาณของโรคก่อนพบเนื้อร้ายในวันที่สาย 4 ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในลำไส้ ทำให้เกิดติ่งเนื้อเล็ก ๆ ที่โตขึ้นจนทำให้ลำไส้ตีบ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายผิดปกติ โดยมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค พันธุกรรม เพราะหากคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อหรือแม่ มีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ เราจะเสี่ยงเป็นเช่นเดียวกัน อายุ แน่นอนว่าเมื่ออายุมากขึ้น ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้น อาหารและไลฟ์สไตล์ เช่น ชอบกินอาหารแปรรูปบ่อย ๆ ไม่กินอาหารที่มีกากใย ไม่ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ซึ่งเสี่ยงทำให้ท้องผูก รวมถึงพฤติกรรมอย่างการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ผู้ที่เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease – IBD) ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่เช่นกัน ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้ขับถ่ายผิดปกติ ดังนั้นอาการที่สังเกตได้ชัด ได้แก่ ท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระลำเล็กลงหรือเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายกระสุน ถ่ายเป็นเลือดเนื่องจากก้อนมะเร็งเกิดแผลและมีเลือดออก นอกจากนี้ยังมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด คล้ายกับอาการของมะเร็งอื่น ๆ ร่วมด้วย พญ.สาวินี จิริยะสิน เล่าต่อว่า “สิ่งที่น่ากังวลคือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะแรกจะไม่แสดงอาการเลย กว่าเราจะรู้ตัวก็มักจะมีอาการหนัก เพราะก้อนเนื้อในลำไส้โตมากแล้ว หัวใจสำคัญในการป้องกันคือควรมาตรวจคัดกรองตั้งแต่ยังไม่มีอาการ โดยเฉพาะในผู้ที่อายุ 45 ปีขึ้นไป” ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ตรวจคัดกรองมะเร็งได้แม่นยำที่สุด ปัจจุบันมีวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่หลายวิธี ได้แก่ การตรวจเม็ดเลือดแดงแฝงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test – FOBT) การตรวจเลือดหาค่าบ่งชี้มะเร็งลำไส้ CEA (Carcinoembryonic Antigen) และการตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Colonography) แต่ทุกวิธีอาจมีความไวและความจำเพาะไม่มากพอที่จะตรวจหาติ่งเนื้อขนาดเล็กในลำไส้ใหญ่ หรือหากตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบติ่งเนื้อก็จำเป็นต้องส่องกล้องเพื่อตัดออกอยู่ดี ดังนั้นการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบันคือการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ เพราะตรวจเจอติ่งเนื้อขนาดเล็กได้ และถ้าเจอติ่งเนื้อก็สามารถตัดออกได้ทันที เตรียมตัวอย่างไรก่อนส่องกล้อง พญ.สาวินี จิริยะสิน อธิบายเสริม “คนส่วนมากเวลาได้ยินถึงการส่องกล้องก็จะกังวลว่ามันจะเจ็บและอันตราย แต่จริง ๆ แล้วการส่องกล้องลำไส้ใหญ่นั้นปลอดภัยมาก ใช้เวลาไม่นาน ความเสี่ยงต่ำ และแม่นยำที่สุด การเตรียมตัวก่อนการส่องกล้องก็ไม่ยุ่งยาก แค่งดอาหารที่มีไฟเบอร์จำพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช ทานยาระบาย และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อล้างลำไส้ใหญ่ เวลาตรวจก็มีการให้ยาระงับความรู้สึกทำให้ไม่เจ็บ และไม่รู้สึกตัวขณะที่ส่องกล้อง หลังส่องกล้องอาจมีอาการแน่นท้องได้ เนื่องจากมีการเป่าลมเข้าไประหว่างส่องกล้อง ซึ่งอาการจะหายเองภายใน 24 ชั่วโมง การตรวจใช้เวลาประมาณ 30 นาที ระหว่างการตรวจหากพบติ่งเนื้อระหว่างการตรวจ แพทย์สามารถตัดออกและนำไปวินิจฉัยต่อได้ทันที เครื่องมือทางการแพทย์ปัจจุบันมีความทันสมัย อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าการส่องกล้องไม่น่ากลัว ไม่เจ็บ และช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง” ป้องกันก่อนเป็นทะเร็งลำใส้ใหญ่ “มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคอันตรายที่สังเกตได้ยาก เพราะกว่าจะมีอาการก้อนเนื้อมะเร็งก็โตมากแล้ว ส่วนคนที่อยากลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการปรับไลฟ์สไตล์ เริ่มจากทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น งดอาหารแปรรูปซึ่งอาจมีสารก่อมะเร็ง หันมาออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่เพิ่มการเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมถึงหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ และที่สำคัญต้องมาตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ” ส่วนใครที่อายุ 45 ปีขึ้นไป ก็ควรมาตรวจคัดกรองด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แม้จะยังไม่มีอาการ หากปกติแนะนำตรวจคัดกรองทุก 10 ปี สำหรับคนที่มีญาติสายตรงลำดับหนึ่ง เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นโรคนี้ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยแนะนำมาส่องกล้องตั้งแต่อายุ 40 ปี หรือ 10 ปีก่อนหน้าที่ญาติอายุน้อยที่สุดได้รับการวินิจฉัย เช่น ถ้าพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อายุ 45 ปี ลูกควรส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ตอนอายุ 35 ปี อยากย้ำว่าส่องกล้องไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และการพบเจอโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้รักษาทันก่อนจะสายเกินแก้” พญ.สาวินี จิริยะสิน กล่าว ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 5 หรือโทรนัดหมาย 02-079-0054 เวลา 8.00-20.00 น. หรือใช้บริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน ViMUT App คลิก https://bit.ly/372qexX บทสรุป มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคร้ายที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงในไทย โดยเฉลี่ย 15 คนต่อวัน หรือ 5,476 คนต่อปี การตรวจคัดกรองเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดโรค เนื่องจากอาการมักปรากฏเมื่อก้อนมะเร็งโตมากแล้ว ปัจจัยเสี่ยงประกอบด้วยพันธุกรรม, อายุ, ไลฟ์สไตล์ และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง การส่องกล้องลำไส้ใหญ่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจพบมะเร็งและติ่งเนื้อ การปรับพฤติกรรม เช่น การทานผักผลไม้, ออกกำลังกาย, และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้
ชวนไปเที่ยว ‘ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ’ ญี่ปุ่น ขยายโซน ‘SUPER NINTENDO WORLD (TM)’ ธีมดองกิแห่งแรกของโลก
ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน (Universal Studios Japan) ภายใต้การบริหารโดยบริษัท ยูเอสเจ แอลแอลซี (USJ LLC) กำลังขยายโซนซูเปอร์ นินเทนโด เวิลด์ (SUPER NINTENDO WORLD) โซนยอดนิยมที่มีผู้มาเยือนมากมายในทุกวัน นับแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2564 ล่าสุดได้เพิ่มพื้นที่ ‘ดองกีคอง คันทรี’ (Donkey Kong Country) ซึ่งเป็นพื้นที่ธีมดองกีคองแห่งแรกของโลก โดยเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันพุธที่ 11 ธันวาคม 2567 เพื่อยกระดับและเพิ่มพูนคุณค่าเชิงประสบการณ์ของ SUPER NINTENDO WORLD ซึ่งการเพิ่มพื้นที่ใหม่นี้จะทำให้ SUPER NINTENDO WORLD มีพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 70% จากขนาดปัจจุบัน ด้วยพื้นที่ใหม่หมดจดที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะส่งเสริมประสบการณ์ของผู้มาเยือนไปสู่ระดับที่สูงยิ่งกว่าเดิม เครื่องเล่น เผยโฉมภายใน ‘วิหารทองคำ’ อันโอ่อ่า ด้วยคุณภาพอันน่าทึ่ง วิหารทองคำ (The Golden Temple) คือสิ่งก่อสร้างส่องประกายแวววาวที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของป่าทึบ โดยปรากฏอยู่ในด่านหนึ่งของเกมดองกีคอง เมื่อก้าวเข้าไปภายในวิหารทองคำแล้ว ผู้มาเยือนจะรู้สึกราวกับว่าได้ก้าวเข้าสู่โลกของดองกีคอง และทั่วสรรพางค์กายจะได้สัมผัสบรรยากาศของซากปรักหักพังอันลึกลับ นอกจากนี้ ภายในวิหารทองคำยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน พื้นที่อันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งนี้ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับความตื่นเต้นของเครื่องเล่นก่อนที่จะได้ขึ้นเครื่องเล่นเสียอีก ความคิดเห็นจากแดเนียล กรีเออร์ (Daniel Greer) โปรดิวเซอร์ของยูนิเวอร์แซล ครีเอทีฟ (Universal Creative) “ในพื้นที่ Donkey Kong Country ผู้มาเยือนสามารถดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์ป่าเขตร้อนอันอุดมสมบูรณ์แบบที่เห็นในซีรีส์วิดีโอเกมยอดนิยม และได้สำรวจสถานที่สมจริงที่ตั้งอยู่ในป่าลึก ซึ่งรวมถึงวิหารทองคำ นอกจากนั้นยังมีเครื่องเล่นใหม่อย่างไมน์คาร์ต แมดเนส (Mine Cart Madness) ซึ่งเป็นรถไฟเหาะแบบใหม่สุดสร้างสรรค์ที่ไม่ยึดติดกับแนวคิดเดิม ๆ และจะมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายที่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกระโดดข้ามช่องว่าง เราตั้งตารอต้อนรับผู้มาเยือนให้มาร่วม ‘PLAY WILD!’ ผ่านประสบการณ์สุดตื่นเต้นเร้าใจที่จะกระตุ้นทั้งการมองเห็นและสัญชาตญาณของคุณ” ผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ สัมผัสประสบการณ์สุดตื่นเต้นเหนือความคาดหมายไปกับรถไฟเหาะเจนเนอเรชันใหม่สุดล้ำ ‘MINE CART MADNESS’ เครื่องเล่นและพื้นที่สำหรับขึ้นเครื่องเล่น ‘Mine Cart Madness’ ซึ่งเป็นเครื่องเล่นใหม่สุดสร้างสรรค์ที่แหวกแนวคิดเดิม ๆ ได้เผยโฉมให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส เครื่องเล่นนี้เป็นรถไฟเหาะแบบใหม่ที่ตื่นเต้นเร้าใจ พร้อมปลุกเร้าสัญชาตญาณทั้งทางร่างกายและการมองเห็นของผู้มาเยือน เครื่องเล่นนี้ได้รับการพัฒนาด้วยความร่วมมือจากทีมงานสร้างสรรค์ของนินเทนโด ซึ่งรวมถึงชิเงรุ มิยาโมโตะ (Shigeru Miyamoto) กรรมการตัวแทนและนักวิจัย บริษัทนินเทนโด ผู้มาเยือนจะกระโดดขึ้นเครื่องเล่นและพุ่งทะยานผ่านป่าเพื่อช่วยดองกีคองและดิดดีคอง (Diddy Kong) ปกป้องกล้วยทองคำที่ใคร ๆ ก็ต้องการให้พ้นจากเงื้อมมือของชนเผ่าติกิตัก (Tiki Tak Tribe) ระหว่างนั่งรถไฟเหาะสำหรับครอบครัวที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งมีระบบเครื่องเล่นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และการออกแบบรถไฟเหาะที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร โดยจะพาผู้โดยสารไปสัมผัสกับการผจญภัยสุดตื่นเต้นด้วยการเคลื่อนที่ที่จะทำให้อ้าปากค้าง ทั้งความรู้สึกเหมือนถูกยิงออกจากถังไม้แบบในเกม การกระโดดข้ามช่องว่างขณะเร่งความเร็วไปตามรางที่โยกเยก และอีกมากมาย ดองกีคอง เป็นซีรีส์วิดีโอเกมที่สร้างสรรค์โดยนินเทนโด ภายใต้การนำของชิเงรุ มิยาโมโตะ กรรมการตัวแทนและนักวิจัย บริษัทนินเทนโด โดยเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลกมาหลายรุ่นแล้ว ‘DONKEY KONG COUNTRY’ พร้อมนำเสนอเครื่องเล่นสุดล้ำสมัยพร้อมเซอร์ไพรส์เหนือความคาดหมาย ซึ่งรวมถึงอาหารและการชอปปิง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ครอบคลุมอันถือเป็นการเดินทางครั้งใหม่สำหรับ Universal Studios Japan โดยข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ใหม่และประสบการณ์มากมายที่รอคอยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสนั้น จะมีการประกาศก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ สำหรับนักเดินทาง/นักท่องเที่ยวสายตะลุยโลกแฟนตาซีมหัศจรรย์ หากพร้อมแล้วที่จะไปเพลิดเพลินไปกับโลกของ ‘Donkey Kong’ ได้อย่างง่ายดายได้ด้วยตั๋วพิเศษใหม่! และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการขยายตัวของ SUPER NINTENDO WORLD ขณะนี้มีการจำหน่ายตั๋ว ‘Universal Express Pass: Donkey Kong Special’ ซึ่งรวมถึงเครื่องเล่นยอดนิยมที่สุด ที่สำคัญยังเพลิดเพลินไปช่วงเวลารอที่สั้นลง สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ล่าสุด ข้อมูลตั๋ว: รวมถึงเครื่องเล่นใหม่ ‘Mine Cart Madness’ และตัวเลือกจากรายการต่อไปนี้เลือกหนึ่งสิทธิประโยชน์จากสามตัวเลือกต่อไปนี้: รูปถ่ายรถ Mine Cart Madness รูปภาพเครื่องเล่น Yoshi’s Adventure™ Ride คูปองช้อปปิ้งมูลค่า 2,200 เยน สำหรับสินค้า SUPER NINTENDO WORLD เท่านั้น * คูปองสามารถใช้ได้ที่ร้านค้าและรถเข็นนอกพื้นที่ SUPER NINTENDO WORLD * ตั๋วนี้ไม่รวมการเข้าสถานที่ท่องเที่ยว Yoshi’s Adventure ระยะเวลาการขาย: วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2024 เริ่มเวลา 12.00 น ราคาตั๋ว: 4,200 เยน – 8,400 เยน (รวมภาษี) วันที่มีสิทธิ์ใช้งาน: วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2567 – วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2567 *ยกเว้นช่วง NO LIMIT! นับถอยหลังปี 2025 จุดจำหน่ายบัตร: เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปนhttps://www.usj.co.jp/web/en/us *บัตร Universal Express Pass ประเภทอื่นๆ (สำหรับใช้ในและหลังเดือนมกราคม) จะมีจำหน่าย โปรดตรวจสอบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Universal Studios Japan บทสรุป ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน เปิดพื้นที่ “ดองกีคอง คันทรี” ในโซน SUPER NINTENDO WORLD เพิ่มขึ้น 70% จากเดิม พร้อมเครื่องเล่นใหม่ “Mine Cart Madness” ที่มอบประสบการณ์รถไฟเหาะสุดตื่นเต้น ผู้มาเยือนจะได้สำรวจป่าลึกและวิหารทองคำที่เหมือนโลกในเกม ดองกีคอง พร้อมทั้งกิจกรรมและการช้อปปิงในธีมเดียวกัน เพื่อยกระดับประสบการณ์การเยี่ยมชมที่ไม่เหมือนใคร การเปิดตัวจะเกิดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม 2567
King ต่อยอดความแกร่ง ‘รำข้าว’ มุ่งนวัตกรรมสุขภาพ-ความงาม สู่ธุรกิจอนาคตใหม่ที่ยั่งยืน
King ย้ำความเป็นที่ 1 ตลาดน้ำมันรำข้าวไทยตลอด 47 ปี เดินหน้าขยายตลาดน้ำมันเพื่อสุขภาพเกรดพรีเมี่ยม พร้อมสานต่อคุณค่าของรำข้าวไทย สู่นวัตกรรมส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน ประทีป สันติวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง ผู้ผลิตและทำตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวคิง (King) ย้อนที่มากลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงเริ่มก่อตั้งกิจการในปี 2520 ภายใต้วิสัยทัศน์ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารที่เชื่อมั่นในคุณค่าของ ‘รำข้าวไทย’ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุดในเมล็ดข้าว ภายใต้การวิจัยและพัฒนา(R&D) ด้วยกระบวนการผลิตสินค้าตามมาตรฐานระดับสากล เป็นระยะเวลาร่วม 47 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของ ‘คิง’ (King) ในตลาดน้ำมันพืชประกอบการอาหารระดับพรีเมี่ยม ถึงในปัจจุบัน ในโอกาสที่กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงเข้าสู่ปีที่ 48 ในปี 2568 นี้บริษัท ได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค พร้อมสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยสานต่อการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด ‘Limitless Innovation’ การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดนิ่ง จากการนำคุณค่าของ ‘รำข้าวไทย’ มาสู่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มากด้วยคุณประโยชน์และยังสอดคล้องกับกระแสการดูแลและใส่ใจสุขภาพของคนรุ่นใหม่ ในปัจจุบัน “เทรนด์การดูแลสุขภาพยังเป็นที่นิยมเสมอมาทำให้เรามองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างความแตกต่างในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยม เช่นเดียวกับน้ำมันรำข้าวคิงที่มีคุณภาพสูงเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่าวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่รักการดูแลสุขภาพได้เป็นอย่างดี” นายประทีป กล่าวพร้อมเสริมว่า กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงยังได้เตรียมแผนพัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่ออนาคต ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ : พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับวัตถุดิบและการขนส่ง เพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงสัตว์และลดต้นทุนการผลิต ด้วยการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม น้ำมันรำข้าว : ใช้ความเชี่ยวชาญในการผลิตน้ำมันรำข้าวมาเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์นี้ ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆ : โดยใช้ครีมเทียมน้ำมันรำข้าวเป็นส่วนผสมพื้นฐาน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และได้รับรสชาติของความอร่อย ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอางและความงาม : โดยอยู่ระหว่างสำรวจตลาดด้านความงามเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับแบรนด์ในการก้าวเข้าสู่ตลาดนี้ โดย ปัจจุบันกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงมี 7 ผลิตภัณฑ์ภายใต้กลุ่มธุรกิจอาหาร ประกอบด้วย 1. น้ำมันรำข้าวคิง ฝาเขียว โอรีซานอล 8,000 ppm, 2. น้ำมันรำข้าวคิง ฝาทอง โอรีซานอล 12,000 ppm, 3.น้ำมันรำข้าวRicely โอรีซานอล 15,000 ppm, 4. เนยขาวน้ำมันรำข้าวคิง, 5. ครีมเทียมน้ำมันรำข้าวคิง, 6. แป้งรำข้าวคิง และ 7.ไรซ์บัตเตอร์ คิง ทั้งนี้ จากความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้า ยังผลักดันให้น้ำมันรำข้าวคิงเป็นแบรนด์ Top of mind ของคนไทยอีกด้วย (อ้างอิงผลสำรวจด้านทัศนคติและพฤติกรรมผู้บริโภคน้ำมันประกอบอาหาร ในปี 2560 ของบริษัท Research Matters) ขณะเดียวกัน บริษัทได้วาง 3 กลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้ ตั้งงบการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านบาท เพื่อช่วยเสริมสร้างฐานการผลิตและขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในตลาด และเตรียมพร้อมกับการเติบโตในอนาคต เพิ่มแหล่งรับวัตถุดิบ โดยจะตั้งโรงงาน TRJ สาขานครสวรรค์ เพื่อสร้างความมั่นคงในด้านวัตถุดิบและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบ ลงทุนในเครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาคุณภาพและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้ตอบสนองต่อมาตรฐานคุณภาพที่สูงขึ้น “เรามีความมั่นใจในแผนการเติบโตนี้ และพร้อมที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงเทคโนโลยีที่จำเป็นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่ และมุ่งมั่นในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นผู้นำในตลาดน้ำมันรำข้าว” ประทีป กล่าวพร้อมเสริมอีกว่า บริษัทยังมีแผนนำธุรกิจเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบและแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายการลงทุนธุรกิจอย่างโปร่งใสและยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเติบโต เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคงในอนาคต จากแนวทางดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตของกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง มุ่งสู่รายได้ 10,000 ล้านบาทในปี 2573 โดยในปี 2568 ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 8,000 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น ขณะที่ ปัจจุบัน ตลาดน้ำมันพืชในประเทศไทย คาดมีมูลค่ารวมประมาณ 25,000-26,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกลุ่มน้ำมันปาล์ม ราว 70 % กลุ่มน้ำมันถั่วเหลือง 20% กลุ่มน้ำมันรำข้าว สัดส่วน 4-5% และที่เหลือราว 5% จะเป็นกลุ่มน้ำมันพืชอื่นๆ โดย King ยังครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ1 ตลาดน้ำมันรำข้าวในประเทศไทย บทสรุป กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง ย้ำความเป็นผู้นำตลาดน้ำมันรำข้าวไทยตลอด 47 ปี พร้อมขยายตลาดน้ำมันเพื่อสุขภาพเกรดพรีเมี่ยม มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสุขภาพและนวัตกรรมเพื่ออนาคต เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ น้ำมันรำข้าว และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอาง โดยบริษัทตั้งงบลงทุน 1,300 ล้านบาท เพื่อเสริมสร้างฐานการผลิตและขยายกำลังการผลิต รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีและเครื่องจักรทันสมัย เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนและก้าวสู่รายได้ 10,000 ล้านบาทในปี 2573.
เปิดแฟ้มลับปี 2007 พนง.’Nokia’ ผวา ‘iPhone’ เปิดตัวมือถือจอสัมผัส เตือนผู้บริหารจุดเริ่มต้นยุคตกต่ำ
เว็บไซต์ Fahad X ได้เผยแพร่ไฟล์เอกสารพาวเวอร์พอยต์ เมื่อปี 2007 ที่เป็นความลับของบริษัท Nokia โดยข้อมูลดังกล่าวถูกเปิดเผยจากเอกสารภายในของ Nokia ซึ่งจัดเก็บอยู่ในโครงการ Nokia Design Archive ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัย Aalto ประเทศฟินแลนด์ ข้อมูลในไฟล์ดังกล่าวเป็นการหารือภายในของพนักงาน Nokia ที่มองการเปิดตัว iPhone 2G ที่เปิดตัวเมื่อปี 2007 โดยไฟล์ดังกล่าวเป็นการนำเสนอของพนักงาน Nokia เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ปี 2007 ในรูปแบบของสไลด์ โดยพนักงาน Nokia ทั้งหมด 9 คน นำเสนอผู้บริหารระดับสูงว่า “iPhone” คือภัยคุกคามของ Nokia สไลด์ดังกล่าวมีทั้งหมด 22 หน้า โดยเนื้อหาในสไลด์ชี้ว่า “iPhone” ของ Apple ซึ่งเปิดตัวในปีเดียวกันนั้น เป็นภัยคุกคามที่อาจส่งผลกระทบต่อ Nokia หัวข้อสไลด์เริ่มต้นด้วยข้อความว่า “Apple เพิ่งเปิดตัว iPhone” โดยยืนยันว่า Apple สามารถใช้ชื่อ “iPhone” ได้หลังการเจรจากับ Cisco ซึ่งก่อนหน้านี้มีข้อพิพาทเรื่องสิทธิในชื่อดังกล่าว ในขณะนั้น Nokia ครองส่วนแบ่งตลาดมือถือโลกกว่า 50% และมีความมั่นใจในว่ายังคงสามารถรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดได้ จนกระทั่ง ‘สตีฟ จ็อบส์’ ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ได้ประกาศเป้าหมายไว้ในงานเปิดตัว iPhone ว่า Apple ขอเพียง 1% ของตลาดมือถือ หรือยอดขาย 10 ล้านเครื่องในปี 2008 เท่านั้น แม้ผู้บริหาร Nokia จะยังไม่เห็นถึงความร้ายแรงของ iPhone ในทันที แต่ทีมงาน Nokia กลับมองเห็นจุดเด่นหลายประการที่อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ จุดเด่นของ iPhone ที่พนักงาน Nokia ในเวลานั้น นำเสอนต่อผู้บริหารมีหลายประเด็น อาทิ UI แบบจอสัมผัส ที่ไม่มีคีย์บอร์ดหรือปุ่มกดตัวเลข ซึ่งเป็นจุดเด่นใหม่ที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ของ Nokia การเจาะตลาดไฮเอนด์ ที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน ทำให้ iPhone กลายเป็นสินค้า “ที่ต้องมี” และอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลิตภัณฑ์ตระกูล N-Series ของ Nokia และภาพลักษณ์ที่น่าดึงดูด ซึ่งช่วยให้ iPhone สร้างความนิยมในกลุ่มผู้ใช้งานอย่างรวดเร็ว เอกสารนี้ยังพูดถึงฟีเจอร์เด่นของ iPhone เช่น การใช้งานเบราว์เซอร์ที่ง่ายขึ้น, ฟังก์ชันการสไลด์เพื่อปลดล็อกหน้าจอ, แอปพลิเคชันรูปภาพที่ออกแบบมาให้ใช้งานสะดวก และความสามารถในการเชื่อมต่อกับ iPod เพื่อฟังเพลงทุกที่ทุกเวลา แม้ Nokia จะมีมุมมองที่รอบคอบต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาด แต่ท้ายที่สุด iPhone กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟน ซึ่ง Nokia เองไม่สามารถปรับตัวได้ทัน เอกสารนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการมองเห็นโอกาสและความท้าทาย แต่ยังขาดการลงมือปรับตัวอย่างทันท่วงที บทสรุป ในปี 2007 เอกสารภายในของ Nokia ถูกเผยแพร่โดยเว็บไซต์ Fahad X ซึ่งเปิดเผยการหารือของพนักงาน Nokia เกี่ยวกับการเปิดตัว iPhone 2G โดยพนักงาน Nokia มองว่า iPhone เป็นภัยคุกคามที่อาจส่งผลกระทบต่อการครองตลาดของบริษัท แม้ Nokia จะครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% แต่ทีมงานก็เห็นจุดเด่นของ iPhone เช่น UI แบบจอสัมผัส, การเจาะตลาดไฮเอนด์, และฟีเจอร์ที่สะดวกสบาย ซึ่งทำให้ iPhone กลายเป็นสินค้าที่ต้องมีในกลุ่มผู้ใช้ แต่ Nokia ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน.
DeepSeek แอป AI ต้นทุนต่ำสัญชาติจีน ยอดโหลดแซงหน้า ChatGPT ขึ้นอันดับ 1 บน App Store สหรัฐฯ
เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แอปพลิเคชัน AI ใหม่ที่ชื่อว่า DeepSeek ได้เปิดตัวบน App Store และกลายเป็นที่สนใจอย่างรวดเร็ว จนสามารถทำยอดดาวน์โหลดแซงหน้า ChatGPT ขึ้นเป็นแอปพลิเคชันอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างกระแสฮือฮาในวงการเทคโนโลยีและ AI DeepSeek เป็นผลงานของสตาร์ทอัพจากจีน โดยบริษัทได้พัฒนาโมเดล AI ชื่อว่า R1 ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ AI ด้วยประสิทธิภาพที่โดดเด่น แม้ว่าจะมีขนาดเล็กเพียง 1.5 พันล้านพารามิเตอร์ (1.5B) แต่กลับมีความสามารถที่เหนือกว่าโมเดลคู่แข่งอย่าง OpenAI o1-mini และสำคัญที่สุดคือ ต้นทุนการฝึกฝนโมเดลนี้ต่ำมากเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทนี้ก่อตั้งโดย เหลียง เหวินเฟิง อดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์และนักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลในวงการ AI ของจีน โดย DeepSeek เริ่มต้นเข้าสู่วงการ AI ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2023 ด้วยการพัฒนาโมเดล Generative AI ที่เน้นงานด้านการให้เหตุผล (Reasoning Tasks) และสามารถแข่งขันกับโมเดลของ OpenAI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในเดือนพฤศจิกายน 2023 DeepSeek เปิดตัว DeepSeek Coder ซึ่งเป็นโมเดล Open-Source สำหรับการเขียนโค้ด และยังได้เปิดตัว DeepSeek LLM เพื่อแข่งขันในตลาดโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) โดยเฉพาะ ต่อมาในปี 2024 บริษัทเปิดตัว DeepSeek-V2 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เนื่องจากประสิทธิภาพสูงและต้นทุนที่ต่ำ ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้เกิดสงครามราคากับบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการ AI ของจีนอย่าง ByteDance, Tencent, Baidu และ Alibaba ที่ต้องลดราคาบริการของตนลงเพื่อแข่งขัน ในปีเดียวกันนั้น DeepSeek ได้พัฒนา DeepSeek-Coder-V2 ซึ่งสามารถรองรับการเขียนโค้ดที่ซับซ้อน และให้บริการผ่าน API ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยคิดค่าบริการเพียง 0.14 ดอลลาร์สหรัฐต่อโทเคนสำหรับข้อมูลนำเข้า และ 0.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อโทเคนสำหรับผลลัพธ์ ล่าสุด โมเดล DeepSeek-R1 ได้ยกระดับความสำเร็จของบริษัทไปอีกขั้น ด้วยความสามารถในการให้เหตุผลที่โดดเด่นและต้นทุนการฝึกฝนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง โดยในการทดสอบตามเกณฑ์มาตรฐาน AI หลายรายการ โมเดล R1 มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่า OpenAI o1 อีกทั้งยังใช้งบประมาณเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการพัฒนา ต่างจากบริษัทในสหรัฐฯ ที่ใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการฝึกฝนโมเดล กระแสความสำเร็จของ DeepSeek ทำให้แอปนี้กลายเป็นแอปยอดนิยมอันดับ 1 บน App Store ในสหรัฐอเมริกา แซงหน้า ChatGPT ไปได้อย่างน่าประทับใจ แม้จะมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของต้นทุนที่ต่ำมากขนาดนี้ แต่หลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่าหาก DeepSeek ทำได้จริง จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการ AI และช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดเล็กสามารถพัฒนาโมเดลใหม่ๆ ได้เร็วขึ้นในราคาที่เอื้อมถึง ยันน์ เลอคุน หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ AI ของ Meta กล่าวชื่นชมว่า โมเดล Open-Source อย่าง DeepSeek สามารถแซงหน้าโมเดลแบบปิดได้ และช่วยให้ผู้เล่นในวงการทุกคนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาครั้งนี้ ส่วน มาร์ก แอนเดรียสเซน นักลงทุนชื่อดังยังกล่าวเสริมว่า DeepSeek ถือเป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่งที่สุดในวงการ AI โดยเฉพาะในบริบทที่รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ของจีน ทั้งนี้ ความสำเร็จของ DeepSeek อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่สำคัญในตลาด AI และเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทในสหรัฐฯ ต้องเร่งพัฒนาและปรับตัวเพื่อแข่งขันในระดับโลก
Kidzooona Thailand สวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
พบกับ Kidzooona Thailand สวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ยกระดับความสนุกเปิดตัว Kid’s Box Jumbo กล่องแห่งความสุขกล่องใหญ่กว่าเดิม อัดแน่นด้วยความสนุกเต็มทุกพื้นที่ สาขาใหม่ที่ The Street Ratchada ชั้น5 เครื่องเล่นมีทั้งสไลเดอร์ลม บ่อบอล แทรมโพลีน ของเล่นจำลอง ตู้เกม และอื่น ๆ อีกมากมายจากทั่วทุกมุมโลก จัดเต็มด้วยบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน พร้อมของเล่นที่สามารถส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ที่บอกได้เลยว่าคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ไม่ควรพลาด! Kid’s Box Jumbo by Kidzooona Thailand เป็นดินแดนแห่งความสุขของเด็ก ๆ ที่จัดเต็มด้วยอุปกรณ์เครื่องเล่น ของเล่นเสริมสร้างพัฒนาการเด็ก ที่คัดสรรมาจากทั่วทุกมุมโลก รวมไปถึงยังช่วยส่งเสริมกิจกรรมเสริมสร้างทักษะทางสังคมให้กับเด็ก ๆ ให้มีความสุขและสนุกสนานไปด้วยกัน ดูแลโดยพนักงานที่ให้บริการด้วยใจ เป็นกันเอง และเข้าใจถึงความต้องการของเด็ก ๆ มากที่สุด ทั้งนี้ Kidzooona เป็นสนามเด็กเล่นในร่มที่ได้ต้นแบบจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ลูกได้เติบโต ที่จะเปลี่ยนการเล่นสนุกให้ได้ประโยชน์มากกว่าเดิม เพราะทุกการเล่น ทุกของเล่น คัดมาแต่กิจกรรมที่มอบความสนุกและเสริมทักษะสำคัญต่างของเด็ก ๆ และอยากให้ผู้ปกครองและเด็กได้มีความทรงจำในการทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างมีความสุข ส่งผลให้ทางคิดส์ซูน่าได้รับความไว้วางใจจากคนญี่ปุ่นและทั่วโลกมาอย่างมากมาย เรียกได้ว่า Kid’s Box Jumbo by Kidzooona Thailand ถือเป็นสวรรค์บนดินของเด็กๆ ภายในมีของเล่นในฝันของเด็กๆ รวบรวมไว้อย่างครบครัน ในราคาสบายกระเป๋าเริ่มต้นเพียง 290 บาท และสำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่สนใจอยากพาน้อง ๆ มาร่วมสนุกกับ Kid’s Box Jumbo และ Kid’s Box เปิดให้บริการถึง 7 สาขาแล้ว ดังนี้ Kid’s Box Jumbo สาขา The Street Ratchada ชั้น 5 Kid’s Box Jumbo สาขาบิ๊กซีลพบุรี1 ชั้น 2 Kid’s Box สาขาพาราไดซ์พาร์ค ชั้น 3 Kid’s Box สาขาบิ๊กซีรัชดา ชั้น 2 Kid’s Box สาขาเซ็นทรัลชลบุรี ชั้น 3 Kid’s Box สาขาแพชชั่นระยอง ชั้น 3 Kid’s Box สาขาโรบินสันฉลอง ชั้น 2 สำหรับค่าบริการ Kid’s Box Jumbo สาขาใหม่ที่ The Street Ratchada ชั้น 5 ดังนี้ 2 ชั่วโมง ราคา 290 บาท 3 ชั่วโมง ราคา 350 บาท ทั้งวัน ราคา 540 บาท ผู้ใหญ่คนแรกเข้าฟรี ผู้ใหญ่คนที่ 2 2 ชั่วโมง ราคา 40 บาท 3 ชั่วโมง ราคา 60 บาท ทั้งวัน ราคา 100 บาท