ในโลกที่นักลงทุนไม่ได้มองหาแค่ไอเดีย แต่กำลังมองหา ‘แต้มต่อ’ ที่จับต้องได้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มองว่า โอกาสสตาร์ทอัปไทยไปต่อในระดับโลกได้ กับแผนพายูนิคอร์นสายเลือดใหม่ที่ตลาดต้องการ
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจุฬาฯ เปิดตัวโครงการ ‘Go Global Startup Bootcamp: Chula – DC Silicon Startup Bridge’ โดยร่วมมือกับฟาวเดอร์ อินสติวต์ (Founder Institute)เครือข่ายบ่มเพาะสตาร์ทอัปชั้นนำ สหรัฐอเมริกา เพื่อผลักดันสตาร์ทอัป ฐานงานวิจัยของจุฬาฯ สู่ตลาดระดับโลก

สตาร์ท อัปไทย ต้องชนะ 3 เกมนี้
รศ. ภญ. ดร.จิตติมา ลัคนากุล ผู้อำนวยการศูนย์กลางนวัตกรรมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าแนวโน้มสตาร์ท อัป ไทย ที่มีศักยภาพการเติบโตเพื่อดึงดูดนักลงทุนระดับโลก ประกอบด้วยกลุ่มสำคัญๆ ที่แตกต่างไปจากประเทศอื่นและสอดคล้องกับจุดแข็งของไทย อาทิ
1. กลุ่มสุขภาพและสุขภาวะ (Health & Welness)
2. กลุ่มอาหารและเทคโนโลยีการเกษตร (Food & Agriculture Technology)
3. กลุ่มอีเอสจี (ESG) ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล
“ที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน จุฬาฯ ทำโครงการด้านสตาร์ท อัป ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 200 ทีมที่เกี่ยวข้องกับทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าว”
ทั้งนี้ จากการร่วมทำงานไปพร้อมกับทีมสตาร์ทอัปพบ เพน พอยต์ (Pain Point) สำคัญ คือ ขาดการพัฒนาด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) เป็นพื้นฐานในการพัฒนาและต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์/บริการด้านต่าง ๆ เพื่ออนาคต
สร้าง 5 ยูนิคอร์นไทยไปเวทีสากล
ขณะเดียวกัน สตาร์ท อัป ไทย จะต้องเร่งปิดช่องว่าง (Gap) ให้เข้าสู่ตลาดได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้ศักยภาพจากงานวิจัยระดับต้นน้ำ (Fundamental Research) ของสถาบัน/มหาวิทยาลัยด้านวิจัยให้ต่อยอดหรือประยุกต์ (Application) ไปสู่ ‘ผลงานที่เป็นรูปธรรม’ หรือ ‘นวัตกรรมที่ใช้ได้จริง’ เพื่อสร้างระบบนิเวศห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)อย่างต่อเนื่อง
“ตอนนี้เรายังขาด Connect the dots จุดมาเชื่อมต่อให้ลื่นไหลทั้งพาร์ทเนอร์ระดับสากล และ การลงทุนเทคโนโลยี ที่แม้ว่าไทยจะมีนักลงทุนด้านนี้ แต่ยังมีจำนวนไม่มาก รวมถึงความเชื่อมั่นการลงทุนจากต่างชาติ ด้วยไทยยังขาด ซัคเซส สตอรี่ ในด้านนี้”
ขณะที่ความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยและ ฟาวเดอร์ อินสติวต์ (Founder Institue) สหรัฐฯ เป็นครั้งแรกของไทยในระดับอุดมศึกษา ผ่านโครงการ ‘Go Global Startup Bootcamp:Chula-Dc Sillicon Startup Bridge’ ปั้นสตาร์ทอัปไทยสู่เวทีโลก ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2568 และสิ้นสุดเดือน ตุลาคม 2569 คาดว่าจะได้ 2-5 ที่สตาร์ทอัปไทย เข้าร่วมบ่มเพาะการพัฒนาจากสตาร์ทอัปไปสู่ธุรกิจจริงที่ซิลิคอน วัลเลย์ สหรัฐฯ
“โปรแกรมฯ นี้วางเป้าหมายสร้าง 5 ยูนิคอร์นไทย ในตลาดสากล”

Key Takeaways
- เงินลงทุนเลือก ‘จุดแข็งเชิงโครงสร้าง’ ไม่ใช่แค่ไอเดีย เมื่อ Health–Food–ESG คือสนามที่ไทยมีแต้มต่อจากฐานทรัพยากร วัฒนธรรม และงานวิจัย ไม่ใช่การไล่ตามเทรนด์โลกแบบปลายแถว
- Deep Tech คือตั๋วผ่านด่าน จากสตาร์ทอัปสู่ธุรกิจโลก ขณะที่ Pain Point หลักของสตาร์ทอัปไทยไม่ใช่ไอเดีย แต่คือการขาดเทคโนโลยีขั้นลึกที่ต่อยอดงานวิจัยให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สเกลได้
- ยูนิคอร์นไทยจะเกิดได้ ต้องเชื่อม ‘วิจัย–ตลาด–ทุนโลก’ ให้ครบวงจร การจับมือ Chula–Founder Institute สะท้อนว่า Success Story จะไม่เกิดหากยังขาดตัวเชื่อมระหว่างมหาวิทยาลัย นักลงทุน และเวทีสากล
Alternate-X สรุปให้
จุฬาฯ มองสตาร์ทอัปไทยมีศักยภาพแข่งขันโลก หากยึดจุดแข็ง Health, FoodTech และ ESG โดย Pain Point สำคัญคือการขาด Deep Technology เป็นฐานพัฒนานวัตกรรม ขณะที่งานวิจัยระดับมหาวิทยาลัยยังไม่ถูกเชื่อมสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างเป็นระบบ ด้วยไทยยังขาด Success Story เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนเทคโนโลยีโลก ทำให้จุฬาฯ จับมือ Founder Institute ปั้นสตาร์ทอัปไทยสู่ซิลิคอนวัลเลย์ เป้าหมาย 5 ยูนิคอร์น



