‘Longevity’ เมกะเทรนด์โลก’เศรษฐีจีน’ปักหมุดไทยใช้บริการ ปี68 ธุรกิจเที่ยวเชิงสุขภาพแตะ 6.7 แสนล.

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หนุนไทย ‘ฮับ’ Medical and Wellness โลก รับโอกาสตลาดเวลเนสกว่า 1.4 ล้านล้านบาท เมกะเทรนด์โลก ‘Longevity’ เผยตลาดสำคัญรับ ‘กลุ่มมั่งคั่งจีน’ ย้ายถิ่นฐานมาไทย

 

 

นภัส เปาโรหิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด (Chief Marketing Officer) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2571 ตลาดเศรษฐกิจเชิงการดูแลสุขภาพ (Wellness Economy) ทั่วโลกจะเติบโตถึง 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา จากในปี 2566 มีมูลค่ารวมกันกว่า 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

การขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าว มาจากผู้คนทั่วโลกให้ความสำคัญกับการมีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระดับโลก (Mega Trend) โดยเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Longevity)  และการใช้ชีวิตช่วงสูงวัยด้วยสุขภาพดี แข็งแรงทั้งกายและใจ จนถึงบั้นปลายชีวิต (Lifespan)

 

“ปัจจัยดังกล่าว ทำให้วิถีชีวิตและการทำงานของผู้คนรวมถึงทิศทางธุรกิจเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ” 

 

 

ขณะที่ตลาดเวลเนส อีโคโนมี ในไทยมีมูลค่ารวมกันกว่า 1.4 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง (ช่วงปี 2563-2566 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ราว 8.62%)

 

โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดนี้จะเติบโตเฉลี่ย 7-10% ต่อปี จากปัจจัยสนับสนุน

 

  • กระแสความใส่ใจในสุขภาพที่เพิ่มขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19
  • การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่ประเทศไทยติดอันดับต้น ๆ ของโลกในการเติบโตของตลาดนี้

 

ทั้งนี้ มีการประมาณการว่าปี 2568 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสร้างรายได้รวม 6.7 แสนล้านบาท

 


นภัส เปาโรหิตย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการตลาด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

 

 

กลุ่มมั่งคั่งจีน มองไทยปลายทางสุขภาพ

 

นภัส กล่าวว่า ‘ประเทศไทย’ ในขณะนี้ยังเป็นที่จับตามองในฐานะศูนย์กลางของกลุ่มชาวจีนที่มีกำลังซื้อสูง (High Net Worth Individuals – HNWI) ซึ่งไม่ได้มองหาเพียงโอกาสทางธุรกิจหรือการพักผ่อน แต่ชาวจีนกลุ่มนี้ ได้มองหาคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสุขภาพ จึงเป็นโอกาสมหาศาลสำหรับอุตสาหกรรม Medical & Wellness ของไทย

 

เนื่องจากธุรกิจ Wellness ในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง และเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Hub) ของโลก

 

 

 

3 ปัจจัยหนุนไทยปลายทางเวลเนส

 

โดยข้อมูลสำคัญ ที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของกลุ่มชาวจีนที่มีกำลังซื้อสูง (HNWI) มีดังนี้

 

  1. The Big Picture: คลื่นการลงทุนและย้ายถิ่นฐานของชาวจีนสู่ประเทศไทย จากการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของชาวจีนที่เข้ามาลงทุนและอาศัยในประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงมาก

 

โดยชาวจีนเป็นชาวต่างชาติรายใหญ่ที่สุดเป็นผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย โดยปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมถึง 5,670 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 26.6 พันล้านบาท (สัดส่วน39% ของการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด) และตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากกลุ่มทุนจีน (FDI) ไหลเข้ามาลงทุนในไทยเกือบ 5 แสนล้านบาทและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ขณะที่ประเทศไทย มีจำนวนประชากรชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (ราว 7-10 ล้านคน) จึงทำให้คนไทยและคนจีนมีความสัมพันธ์อันดีจากความคุ้นเคยและความไว้วางใจที่มีมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญกว่า 80% ของ 40 อันดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในไทย มีเชื้อสายจีน

 

“ดังนั้นคนจีนที่เข้ามาในประเทศไทย จึงไม่ใช่เพียงเพื่อการท่องเที่ยว แต่เป็นการย้ายถิ่นฐานและการลงทุนระยะยาวของกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก ซึ่งกำลังมองหาบ้านหลังที่สองที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตได้อย่างครบวงจร”

 

  1. The Shift in Values: จากความมั่งคั่ง (Wealth) สู่สุขภาพที่ดี (Health) โดยกลุ่ม HNWI ชาวจีนในปัจจุบัน ‘สุขภาพ’ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จสูงสุด (The Ultimate Status Symbol) แซงหน้าสินค้าฟุ่มเฟือยแบบเดิม ๆ

 

โดยพฤติกรรมการใช้จ่าย ชาวจีนกลุ่ม HNWI ใช้จ่ายราว 25% ของรายได้ต่อเดือนไปกับการดูแลสุขภาพ และพบว่า ชาวจีนกว่า 500,000 คน เดินทางไปต่างประเทศเพื่อท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) สร้างมูลค่าใช้จ่ายกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

 

สอดคล้องกับ แนวคิดดั้งเดิมของจีนเรื่อง “การบำรุงรักษาสุขภาพ” (Yangsheng – 养生) ที่เน้นการมีชีวิตที่สมดุลและยืนยาวผสมผสานเข้ากับเทรนด์ Wellness สมัยใหม่ “กลุ่ม HNWI ชาวจีนไม่ได้มองหาแค่การรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่มองหาการลงทุนในสุขภาพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต พวกเขายินดีจ่ายเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุด และสุขภาพที่ดีคือเครื่องยืนยันความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา”

 

  1. The Ultimate Goal: การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี (Longevity & Healthspan) ดังนั้นเป้าหมายสูงสุดได้ขยับจากการมีอายุยืน (Lifespan) ไปสู่การมี ‘ช่วงชีวิตที่สุขภาพดี’ (Healthspan) ที่ยาวนานขึ้น ซึ่งผลักดันให้ตลาด Longevity Medicine เติบโตอย่างก้าวกระโดด

 

โดย ตลาด Longevity ของจีนกำลังกลายเป็นพรมแดนการเติบโตใหม่ที่ทรงพลังของเศรษฐกิจไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้เป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติ โดยมีการลงทุนมหาศาลจากทั้งภาครัฐและเอกชนในวิทยาศาสตร์การมีอายุยืนยาวอย่างสุขภาพดี (Longevity Science) ซึ่งเป็นการแพทย์เชิง Longevity มุ่งเน้นการป้องกันและการมีอายุยืนยาวอย่างสุขภาพดีตั้งแต่ในระดับเซลล์ โดยเริ่มดูแลตั้งแต่อายุ 30 ปี เพื่อยืด ‘Healthspan’

 

 “เทรนด์ใหม่ที่มาแรงที่สุดในกลุ่ม HNWI คือ Longevity ไม่ใช่แค่การมีอายุยืนยาวอย่างสุขภาพดี แต่คือการใช้นวัตกรรมและวิทยาศาสตร์ขั้นสูงเพื่อออกแบบชีวิตให้ยืนยาวและมีคุณภาพดีที่สุด ซึ่งประเทศไทยและศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้นำในตลาดนี้”

 

ผศ. นพ.พลกฤต ทีฆคีรีกุล Chief Executive Officer ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์และ เอสเพอรานซ์ และ Chief Science Officer ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

 

ปรับศูนย์ฯไวทัลไลฟ์ สู่ ‘Longevity Hub’

 

ด้าน ผศ.นพ. พลกฤต ทีฆคีรีกุล  Chief Executive Officer ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์และเอสเพอรานซ์ และ Chief Science Officer ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน (พ.ศ. 2518-2568) ซึ่งเป็นปีที่มีความหมายสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างสองประเทศในทุกมิติ รวมถึงด้านสุขภาพและการแพทย์ พร้อมศักยภาพของไทยในตลาด Wellness and Longevity ที่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและ Longevity ที่ได้กลายเป็นเมกะเทรนด์โลก

 

โดยศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้ยกระดับการบริการ สู่การเป็น Longevity Hub เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะชาวจีนที่มีกำลังซื้อสูง (HNWI) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไทย พร้อมพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่ม HNWI ชาวจีนได้อย่างตรงจุด

ดังนี้

 

  1. Personalized Health Care: บริการดูแลสุขภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้รับบริการแต่ละราย
  2. Longevity & Healthspan: มุ่งมั่นพัฒนายกระดับการดูแลสุขภาพสู่การเป็น Longevity Hub ที่เป็นศูนย์กลางด้านเวชศาสตร์การมีอายุยืนยาวอย่างสุขภาพดีอย่างครอบคลุมแห่งแรก ๆ ในภูมิภาค เพื่อช่วยให้ผู้รับบริการของเรามีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี
  3. Preventive Care: นำเสนอโซลูชันการป้องกันโรคร้าย 4 โรคหลัก (โรคหัวใจ, มะเร็ง, เบาหวาน และสมองเสื่อม) โดยใช้หลักการ Hallmarks of Aging ซึ่งเป็นการดูแลลึกถึงระดับเซลล์เพื่อป้องกันโรคก่อนที่จะเกิดขึ้น

 

“ไวทัลไลฟ์ ยังเป็น Health Partner ที่จะร่วมเดินทางไปกับผู้รับบริการตลอดชีวิต โดยเราใช้ข้อมูลเชิงลึกและนวัตกรรมระดับโลกเพื่อสร้างแผนสุขภาพเฉพาะบุคคล ที่ช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ยืนยาวและเปี่ยมด้วยคุณภาพอย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่ม HNWI ชาวจีนที่กำลังเติบโตในไทยอย่างสมบูรณ์แบบ”

 

ผศ.นพ. พลกฤต ยังกล่าวถึง เทรนด์การดูแลสุขภาพและเป้าหมายในอนาคตว่า ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เราจะเห็นการเปลี่ยนจากการดูแลเมื่อป่วย มาสู่การสร้างสุขภาพก่อนป่วยมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยมีทั้งการตรวจยีน การวิเคราะห์สุขภาพเชิงลึก การใช้ข้อมูลเพื่อป้องกันโรค และการออกแบบแผนการดูแลเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นแนวโน้มที่สอดคล้องกับทิศทางโลกที่กำลังมุ่งสู่ Prevention and Longevity

 

“สำหรับไวทัลไลฟ์และบำรุงราษฎร์ วางเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำระดับภูมิภาคด้าน Scientific Wellness & Longevity ภายใต้แนวทาง “Evidence-based, Personalized, and Sustainable” โดยมุ่งสร้างมาตรฐานใหม่ของ Wellness ที่ไม่ใช่เพียงการผ่อนคลาย แต่คือการดูแลสุขภาพด้วยฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการแพทย์เชิงรุก เพื่อให้ทุกคนมี “สุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

 

ผศ.นพ. พลกฤต ยังให้มุมมองในภาพใหญ่ของประเทศไทยว่า  ควรเป็น “การสร้างระบบนิเวศสุขภาพที่ครบวงจร (Integrated Health Ecosystem)” เชื่อมโยงตั้งแต่ การแพทย์ป้องกัน (Preventive Medicine), การรักษาเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment), การฟื้นฟู (Rehabilitation) ไปจนถึงเทคโนโลยีด้านอายุยืน (Longevity Technology) ไม่ใช่เพียงเรื่องของโรงพยาบาลหรือคลินิก แต่รวมถึงอาหาร สุขภาพจิต การออกกำลังกาย ที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ

 

ขณะที่ การร่วมมือระหว่าง รัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา คือ กุญแจสู่การเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจสุขภาพของภูมิภาคอาเซียน” ของประเทศไทย เชื่อว่า หากเราสามารถผนึกกำลังกันบนพื้นฐานของข้อมูล วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม มั่นใจว่าประเทศไทย มีศักยภาพที่จะเป็น Global Destination for Longevity and Wellness ได้อย่างแน่นอน

 

 

Alternate-X สรุปให้ 

 

 

ตลาดโลกกำลังเข้าสู่ยุค Longevity ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2571 ไทยถูกจับตาเป็นจุดหมายด้านสุขภาพระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนและผู้มั่งคั่งจีนที่ย้ายถิ่นฐานสู่ไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง กระแสนี้ผลักดันตลาด Wellness ไทยมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท เติบโตสูงจากแรงหนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ปี 2568 คาดรายได้จากธุรกิจ Wellness Tourism เพิ่มแตะ 6.7 แสนล้านบาท สอดรับดีมานด์ตลาดจีน บำรุงราษฎร์และไวทัลไลฟ์เร่งปรับบริการสู่ “Longevity Hub” ตอบเทรนด์ดูแลสุขภาพเชิงลึกของกลุ่มกำลังซื้อระดับสูง

 

บทความล่าสุด

COLLABORATE IDEAS, ALTERNATIVE THINKING

© 2024 altenate-x. All Rights Reserved.