กลุ่มดุสิตธานี หนึ่งในองค์กรไทยที่มีประสบความสำเร็จในกลุ่มธุรกิจบริการฮอสพิทาลิตี้ จากประสบการณ์ในธุรกิจโรงแรมกว่า 7 ทศวรรษ ด้วยพอร์ต จำนวนโรงแรม รีสอร์ทและวิลล่า ที่อยู่ในการดูแลกว่า 300 แห่งทั้งในและต่างประเทศ ในปัจจุบัน
จากจุดเริ่มต้นธุรกิจโรงแรมครั้งแรก ด้วยการเปิด โรงแรมปริ๊นเซส เมื่อปี พ.ศ. 2492 โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย โดยชื่อ ‘ดุสิตธานี’ ตั้งตามชื่อเมืองจำลองของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งแปลว่า ‘เมืองสวรรค์’ ตามจุดประสงค์จากแรงบันดาลใจ ทั้งชื่อชื่อสรวงสวรรคชั้นที่ 4 ที่ชื่อว่า ‘ดุสิต’ เพื่อให้ผู้มาใช้บริการของโรงแรมรู้สึกเสมือนหน่ึงอยู่ในสวรรค์
ขอบคุณภาพจาก ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล
ขอบคุณภาพจาก ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล
อีกทั้งยังสอดคล้องกับทำเลโรงแรมดุสิตธานี ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามพระบรมรูปของรัชกาลที่ 6 บริเวณสวนลุมพินี ตามที่พระองคเ์คยมีพระราชประสงคที่ จะสร้างเมืองแม่แบบประชาธิปไตย ให้ตั้งชื่อเมืองนั้นว่า ‘ดุสิตธานี’
กระทั่งโรงแรมดุสิตได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องพร้อมขยายธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม ทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้การบริหารในรูปแบบกิจการมหาชนในปัจจุบัน ในชื่อ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ ‘DUSIT’ มีธุรกิจครอบคลุม 5 ประเภทหลัก ได้แก่
- ธุรกิจโรงแรม
- ธุรกิจอาหาร
- ธุรกิจการศึกษา
- ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง.
โดย ข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ระบุบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นกิจการลำดับที่1 ในสัดส่วน 49.74% ของบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) โดยมีบุคคลสำคัญ ดังนี้
- ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ
- ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการ
- คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ รองประธานกรรมการและกรรมการอิสระ
จุดเริ่มต้นความขัดแย้ง
จากเส้นเรื่องการดำเนินกิจการโรงแรมภายใต้กลุ่มดุสิตธานี มานานกว่า 70 ปี ได้ถึงจุดสะดุดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น โดยเรียงตามไทม์ไลน์ ดังนี้
- กุมภาพันธ์ 2568 ชนินทร์ถูกถอดจากกรรมการ บริษัทชนัตถ์และลูก (โฮลดิ้ง) ส่งผลให้สิทธิออกเสียงในที่ประชุมหลุดจากมือ
- 25 เมษายน 2568 ผู้ถือหุ้นใหญ่ (ที่โฮลดิ้งคุมแล้ว) ไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567
- 16 มิถุนาย 2568 บอร์ด DUSIT ตั้งชนินทร์เป็นรักษาการประธานบอร์ด
เกม (ธุรกิจ)พลิก
โดยเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 บอร์ด DUSIT ได้ปลดชนินทร์ออกจากตำแหน่งรักษาการประธานบอร์ด พร้อมถอดสิทธิการลงนามของ ชนินทร์, สินี เธียรประสิทธิ์ (น้องสาว) และ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ (ซีอีโอ DUSIT)
จากเหตุการณ์นี้ ถือเป็นจุดพลิกอีกครั้ง เพราะนั่นหมายถึงสิทธิออกเสียง ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ไม่อยู่ในมือชนินทร์อีกต่อไป เท่ากับชนินทร์ถูก ‘ตัดขาด’ จากอำนาจการบริหารโดยตรง
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
ต่อความแตกหักในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัว แต่อาจเป็นการแย่งชิงการควบคุมธุรกิจโรงแรมไทยระดับตำนานกว่า 80 ปี อย่าง ‘ดุสิตธานี’ และเป็นกรณีศึกษาด้านแบรนด์ ที่สะท้อนทั้งปัญหาครอบครัว ธรรมาภิบาล และความเชื่อมั่นของตลาดทุน
ภาพลักษณ์แบรนด์
จากสถานการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้ อาจมีผลต่อการภาพลักษณ์แบรนด์ ด้วยโรงแรมไม่ใช่แค่ขายห้องพัก แต่ยังขาย ‘ความมั่นใจ ความสงบ และประสบการณ์’
ขณะที่กระแสความขัดแย้งในครอบครัวที่ออกมาเรื่อย ๆ อาจทำให้คู่ค้าระดับสากล เช่น เอเยนต์ท่องเที่ยว, พาร์ทเนอร์ธุรกิจการประชุมและจัดเลี้ยง (MICE), แบรนด์หรูที่จับมือกับโรงแรม เกิดความลังเลต่อการเซ็นสัญญาใหม่ ด้วยยังไม่ทราบระยะเวลาที่ชัดเจนว่า ใคร? จะควบคุมทิศทางการบริหารที่ชัดเจนจริง ๆ
การแข่งขันในเวทีโลก
ขณะเดียวกัน ‘ดุสิต’ ได้พยายามปรับตำแหน่งทางการตลาด Reposition สู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก ที่บริหารโรงแรมในต่างประเทศ
ทั้งนี้หากนักลงทุนและสื่อสากลมีภาพจำ คือ ‘บริษัทครอบครัวไทยที่ทะเลาะกันเอง’ อาจมีความกังวลต่อแบรนด์จะเสียความสามารถทางเครดิต (credibility) ในการไปสู้กับเครือใหญ่ธุรกิจเชนโรงแรมใหญ่ ๆ อย่าง Marriott, Hilton, Accor ที่เน้นความเสถียรของการบริหารจัดการ
การระดมทุนและโครงการขยาย
นอกจากนี้ ดุสิต ยังมีแผนลงทุนโครงการใหม่ ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ อาทิ รีสอร์ท, มิกซ์-ยูส , โครงการที่อยู่อาศัย เรสซิเดนซ์ ระดับหรู ฯลฯ
ขณะที่ความไม่ชัดเจนของผู้ถือหุ้นใหญ่อาจทำให้ ต้นทุนการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินสูงขึ้น หรือมีผลอาจทำให้โครงการต้องชะลอ ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตระยะยาวของแบรนด์ ได้เช่นกัน
การถูกจับตามองมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง วิกฤตนี้อาจกลายเป็นโอกาสทางการปรับแบรนด์ใหม่ ‘Rebranding Opportunity’ ได้เช่นกัน หาก Dusit จัดการปัญหาได้ดี ซึ่งจะทำให้ถูกมองว่าเป็นบริษัทไทยที่ผ่านพายุแห่งความไม่สงบของการขัดแย้งภายในครอบครัวให้ไปสู่การบริหารจัดการระดับมืออาชีพ ที่โปร่งใส จากการปรับตัวได้ อย่างแข็งแรงขึ้น
แต่หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป แบรนด์ อาจมีสิทธิ์ลุ้นต่อการเป็นกรณีศึกษาที่ไม่ประสบความสำเร็จ ของกิจการครอบครัวไทย ที่อาจเปลี่ยนมือได้ในอนาคตหรือไม่?
จากเส้นเรื่องทั้งหมดนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ DUSIT แบรนด์ระดับตำนานโรงแรมของไทย อาจแค่เรื่องความขัดแย้ง แต่ยังเป็น ภาพลักษณ์, การแข่งขัน, ความน่าเชื่อถือในเวทีโลก และพลังคนในองค์กร ที่จะกำหนดอนาคตแบรนด์ Dusit หลังศึกครั้งนี้!!
Alternate-X สรุปให้
กลุ่มดุสิตธานี เริ่มธุรกิจโรงแรมครั้งแรกเมื่อปี 2492 ก่อนเติบโตเป็นเครือระดับโลก ปัจจุบันดำเนินธุรกิจหลัก 5 ด้าน ได้แก่ โรงแรม อาหาร การศึกษา อสังหาฯ และบริการอื่น ๆ จากความขัดแย้งผู้ถือหุ้นและการปลดผู้บริหารสำคัญในปี 2568 กลายเป็นจุดพลิกธุรกิจอีกครั้งใหญ่ ด้วยเหตุการณ์นี้อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์แบรนด์ ความเชื่อมั่นนักลงทุน และพันธมิตรธุรกิจ จากวิกฤตครั้งนี้ยังอาจเป็นทั้งความเสี่ยง หรือโอกาสในการ Rebranding และการปรับสู่การบริหารโปร่งใส ย้ำความมืออาชีพและความเชื่อมั่นแบรนด์โรงแรมไทยระดับตำนาน