เบบี้ บูมเมอร์ ‘ไต้หวัน’ หวนกลับเข้าสู่ระบบแรงงาน วิกฤตเสียชีวิตมากกว่าเกิดใหม่

ไต้หวันเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว! ขาดแคลนแรงงานหนักจนเบบี้บูมเมอร์วัยเกษียณกลับมาทำงานอีกครั้ง

 

หลายประเทศในเอเชียกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ครั้งสำคัญเคลื่อนตัวเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ และมีอัตราการเกิดที่ ‘ต่ำ’ อย่างต่อเนื่องท่ามกลางโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

 

ในรายงานล่าสุดขององค์การสหประชาชาติระบุว่า “ภายในปี 2030 เอเชียจะกลายเป็นภูมิภาคที่มีประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก และมากกว่า 60% ของประชากรผู้สูงอายุในโลกที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะอยู่ในเอเชีย”

 

แน่นอนว่าหนึ่งใน ‘4 เสือแห่งเอเชีย’ ที่มีประชากร 23 ล้านคนอย่าง ‘ไต้หวัน’ เป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังประสบกับวิกฤตประชากรที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้เสียชีวิตมีมากกว่าจำนวนการเกิดในไต้หวันเป็นเวลา 22 เดือนติดต่อกันแล้ว

 

ประกอบกับประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ระบบสวัสดิการสังคมต้องแบกรับภาระมากขึ้น ในขณะเดียวกัน อัตราการเกิดในไต้หวันก็ยังต่ำมากด้วยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

นั่นหมายความว่า ไต้หวันกำลังเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ ที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากเกิน 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเรียกว่าเป็น ‘สังคมสูงวัยระดับสุดยอด’ (super-aged society)

 

เมื่อคนเกษียณวัย เบบี้บูมเมอร์กลับมาทำงานกันมากขึ้น

Photo by : Pixabay / pasja1000

 

ภายในเวลาไม่ถึง 2 ทศวรรษ ชาวไต้หวันมากกว่า 6 ล้านคนจะถึงวัยเกษียณตามเกณฑ์บังคับที่ 65 ปี ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่ส่งสัญญาณเตือนทั้งในกลุ่มธุรกิจและผู้กำหนดนโยบาย

 

และในตอนนี้ ไต้หวันต้องเตรียมรับมือกับคลื่นการเกษียณอายุครั้งใหญ่ 2 ระลอกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะทำให้ประชากรวัยทำงานลดลงเกือบ 6.7 ล้านคน

 

คลื่นลูกแรกที่กำลังเกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่ปี 2023 เมื่อกลุ่มคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์เริ่มเกษียณอายุออกจากตลาดแรงงาน คลื่นลูกต่อไปของกลุ่มคนเจน X ก็จะตามมาในอีกประมาณ 16 ปีข้างหน้า

 

ไต้หวันกำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 65 ปี แต่เมื่อปีที่แล้วมีการแก้ไขประมวลกฎหมายแรงงานเพื่ออนุญาตให้นายจ้างสามารถเลื่อนอายุเกษียณของพนักงานไปหลังจากอายุ 65 ปีได้ หากทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน

 

อัตราการจ้างงานในกลุ่มผู้เกษียณอายุในไต้หวันเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ใน 3 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

 

แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า “ธุรกิจต่างๆ จะต้องปรับตัวมากขึ้นโดยเสนอชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น ลดภาระงาน และสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ”

 

ปัจจุบัน มีผู้สูงวัย 65 ปีขึ้นไปเพียง 10% เท่านั้นที่ยังคงทำงาน ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำกว่าสังคมผู้สูงอายุอื่นๆ ในเอเชียอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ถึงกระนั้นในแต่ละปีก็มีผู้เกษียณอายุในไต้หวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 110,000 คน ส่งผลให้ตลาดแรงงานตึงตัวอย่างต่อเนื่อง

 

นอกเหนือจากแรงงานวัยกลางคนและผู้สูงอายุแล้ว ก็ยังมีแรงงานผู้หญิง รวมถึงผู้อพยพใหม่ในไต้หวันที่กลายเป็นแรงงานสำคัญในอนาคตด้วยเช่นกัน ข้อมูลอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่า สัดส่วนผู้หญิงที่เข้าร่วมตลาดแรงงานในไต้หวันอยู่ที่ประมาณ 52% แต่ต่ำกว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์นั่นหมายความว่าในภาคธุรกิจ บริษัทต่างๆ น่าจะต้องปรับใช้แนวปฏิบัติการจ้างงานที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อบริหารจัดการแรงงานของตัวเอง

 

ดร.โจว เหวินฉี ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติจงเฉิง กล่าว

 

 

แรงงานคนรุ่นใหม่ที่ลดลงอย่างรวดเร็วเป็นอีกปัจจัยที่ตลาดแรงงานหันมารับพนักงานสูงอายุทำงานแทน

 

Photo by : Pixabay / binmassam

 

ดินแดนแห่งนี้ได้กลายเป็น ‘สังคมผู้สูงอายุ’ อย่างเป็นทางการในปี 2018 โดยสัดส่วนประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปคิดเป็น 14% หรือมากกว่าของจำนวนประชากรทั้งหมด

 

เท่านั้นไม่พอ แต่ไต้หวันยังประสบปัญหา ‘อัตราการเกิดต่ำ’ ด้วยเช่นกัน แถมจำนวนประชากรก็ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 22 ติดต่อกันในเดือนตุลาคม ซึ่งนั่นทำให้การจ้างงานยากขึ้น

 

ประกอบกับคนหนุ่มสาวชาวไต้หวันจำนวนมากใช้เวลาเรียนหนังสือในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยนานขึ้น ส่งผลให้พวกเขาเข้าสู่ตลาดแรงงานช้าลงไปอีก

 

อีกทั้งงานในภาคเทคโนโลยีที่ให้ค่าตอบแทนดีกว่า และงานแบบชั่วคราวที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า กลับกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าสำหรับคนรุ่นใหม่ในไต้หวัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบางภาคส่วนอย่างอุตสาหกรรมร้านอาหาร

 

 ภาคธุรกิจร้านอาหารเคยพึ่งพาแรงงานรุ่นใหม่ แต่คนกลุ่มนี้กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะประชากรวัยทำงานในไต้หวันลดลง และเข้าสู่สังคมสูงวัย บริษัทจึงต้องหันไปใช้แรงงานผู้สูงอายุแทน

 

มาร์ค หลิน รองผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลและการพัฒนาของ ‘Wowprime’ เครือข่ายร้านอาหารรายใหญ่ในไต้หวัน กล่าวพร้อมบอกอีกว่า

 

บริษัทได้มีการปรับตารางเวลา และความเข้มข้นของงานให้เหมาะกับพนักงานวัยกลางคนและผู้สูงอายุ เพื่อให้พวกเขายังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่รับภาระหนักเกินไป ตัวอย่างเช่น พนักงานสูงอายุอาจทำงาน 3 วัน และพัก 2 วัน จากนั้นจึงทำงานอีก 3 วัน เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

เจเรมี หวง พนักงานเสิร์ฟชาวไต้หวัน อดีตเจ้าของร้านอาหารวัย 68 ปี หนึ่งในผู้เกษียณอายุที่มาทำงานเสิร์ฟอาหารในร้านอาหารที่มีเพื่อนร่วมงานอายุน้อยกว่าเขาถึงครึ่งหนึ่ง บอกกับ CNA ว่า

 

ผมหวังว่าจะยังคงเป็นคนที่มีคุณค่าของสังคมหลังเกษียณอายุ ซึ่งมันหมายถึงการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ในด้านร่างกาย ผมไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ เพราะผมยังคงปั่นจักรยานเสือภูเขาออกกำลังกายทุกวัน ในทางกลับกัน ผมคิดว่าการมาทำงานเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ตัวเองแข็งแรง ผมไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะทำงานจนถึงอายุเท่าไหร่ ถ้าร่างกายยังเคลื่อนไหวได้ ผมก็จะพยายามรักษาสุขภาพให้ดี ใช้ชีวิต และทำงานด้วยความสุขไปพร้อมกัน”

หวง กล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

Alternate-X สรุปให้

 

 

 

โครงสร้างประชากรไต้หวันเปลี่ยนไป! เมื่อกลุ่มคนวัยเกษียณเจนเบบี้บูมเมอร์กลับมาทำงานกันอีกครั้ง ท่ามกลางอัตราการเกิดที่ต่ำลงเรื่อยๆ แต่จำนวนประชากรสูงอายุกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แถมเด็กรุ่นใหม่ยังเข้าตลาดแรงงานช้า จึงเกิดวิกฤตขาดแคลนแรงงาน จนบางอุตสาหกรรมต้องปรับนโยบายรับพนักงานสูงวัยเข้ามาทำงานแทน…

 

 

 

Source :

 

 

 


STORYTELLER BY THIS IS OLIVIA

นักเดินทางตัวเปี๊ยก…ที่ใช้ตัวหนังสือเป็นเลนส์ขยายโลกใบใหญ่

บทความล่าสุด

COLLABORATE IDEAS, ALTERNATIVE THINKING

© 2024 altenate-x. All Rights Reserved.