เหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อ 8 ธันวาคม 2568 หลังจากสถานการณ์เงียบไปกว่า 5 เดือน โดยมี ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยก่อนหน้านี้
กระทั่งเกิดเหตุปะทะใหม่ ทำให้ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศถูกจับตาอีกครั้งในระดับภูมิภาคที่ขยายวงสู่ระดับโลกระลอกใหม่!!
จากเหตุการณ์ปะทะในครั้งก่อนหน้า ‘สื่อกัมพูชา’ มีความพยายามนำเสนอว่า ไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ขณะที่ฝั่งทางการไทยระบุว่า พื้นที่ชายแดนไทย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ใกล้เขตโรงพยาบาลและร้านสะดวกซื้อในไทย ถูกกัมพูชา เปิดฉากโจมตีก่อน โดยมีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ที่จุดชนวนปมขัดแย้งเป็นวงกว้างระหว่างสองประเทศ
พร้อมเสียงเล่าจากทั้งสองฝั่ง ที่ต่างเดินทางสู่สังคมออนไลน์และแพลตฟอร์มข่าวต่างประเทศ กับวาทกรรม ‘ใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน’ กลายเป็นพื้นที่ต่อรองความถูกต้องชอบธรรม
จุดเปลี่ยน-จากเรื่องท้องถิ่นสู่เวทีโลก
ความขัดแย้งครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายประเมินว่า ‘กัมพูชา’ อาจกำลังใช้กลยุทธ์การเล่าเรื่อง (Narrative Strategy) เพื่อผลักดันตัวเองเข้าสู่เวทีโลกในฐานะ ผู้ถูกกระทำ (Victim) หวังให้องค์กรระหว่างประเทศและมหาอำนาจตะวันตกเข้ามามีบทบาทตรวจสอบข้อเท็จจริง
การรักษาภาพจำว่า ‘เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ’ อาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อรองเชิงการเมืองและสื่อสารต่อสาธารณะนอกภูมิภาค
จากเดิมที ความขัดแย้งชายแดนถูกมองเป็นประเด็นในระดับอาเซียน แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับถูกผลักให้คนทั่วโลกพูดถึง ผ่านสื่อระหว่างประเทศ
โดยหลายฝ่ายคาดว่า การถูกจับตาจากเวทีโลกไม่ได้มีเพียงมิติการเมือง หากยังเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ทางการทูต ที่ช่วยให้กัมพูชาได้รับการมองเห็นมากขึ้นในด้าน การลงทุน ท่องเที่ยว และเศรษฐกิจใหม่ๆ
กลายเป็น ‘Brand Exposure’ ที่เกิดจากความขัดแย้งโดยตรง
จากเส้นเรื่องเหล่านี้ หากเราวางให้ ‘กัมพูชา’ เป็นการสร้างแบรนด์ (Branding) แล้ว อาจถอดตำแหน่งทางการตลาดอาเซียนที่ขยับสู่เวทีโลก ได้แบบนี้
จุดเด่น (Key Selling Point (KSP))ในอาเซียน
- แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลก (นครวัด)
- ต้นทุนแรงงานต่ำ
- กำลังเติบโตด้านอสังหาริมทรัพย์
- ตลาดเปิดรับนักลงทุนต่างชาติ
ภาพจำ (Perception Brand) ในเวทีโลกปัจจุบัน
- ประเทศเล็ก กำลังพัฒนา
- เศรษฐกิจพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติสูง
- แรงงานต้นทุนต่ำในอุตสาหกรรมสิ่งทอเครื่องแต่งกาย
กลยุทธ์สร้างแบรนด์ (Brand Strategy) ล่าสุด
- จากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ประเทศหลังอาจกำลังเล่าเรื่องในมุม ‘ผู้ถูกกระทบ’ เพื่อดึงความเห็นใจ และเรียกความสนใจจากผู้เล่นมหาอำนาจ
โอกาสทางตลาด (Market Opportunity)
- กัมพูชา ใช้กระแสข่าว เป็นแรงกระตุ้นให้แบรนด์ประเทศถูกพูดถึง พร้อมต่อยอดสู่แคมแปญท่องเที่ยว–ลงทุน?!?
‘Victim Branding’ เรียกความสนใจโลก
ด้วยองค์ประกอบของประเทศ ‘กัมพูชา’ อาจเป็นไปได้ว่ากำลังใช้ภาพ ‘Victim Branding’ การเป็นแบรนดฺสินค้าผู้โดนกระทำ หรือ การเป็นมวยรอง Underdog Marketing เมื่อต้องการลงแข่งในสนามอาเซียนและโลก ที่ดึงไทย มาเป็นตัวเปรียบเทียบ (Benchmark)
พร้อมกับใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องมือทางการตลาดและการทูต ทำให้โลกหันมามอง และอาจสร้างจังหวะต่อยอดสู่เศรษฐกิจ ท่องเที่ยว และการลงทุน แม้จะเป็นกลยุทธ์ที่อ่อนไหว
แต่เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า ‘เรื่องเล่า’ (Narrative) สามารถเปลี่ยนเกมจากพื้นที่ชายแดน สู่สมรภูมิภาพลักษณ์ประเทศในระดับโลกได้
เกมลดทอน ‘คุณค่าประเทศไทย’
จากสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงด้านอธิปไตยระหว่างสองชาติที่เกิดขึ้น อาจทำให้เกิดภาพสะท้อนภาพในตลาดอาเซียนและโลกมองมาที่ ‘ไทย’ ที่มีความแข็งแกร่งหลายด้านในตลาดเดียวกัน จากจุดแข็ง ต่าง ๆ อาทิ
- ศูนย์กลางการท่องเที่ยวภูมิภาค ด้วยมีความครบทั้งการท่องเที่ยวครบทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่แบ็กแพ็กเกอร์ถึงนักท่องเที่ยวระดับพรีเมียม จากทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และโครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวครบถ้วน
- ฮับการค้า โลจิสติกส์ของอาเซียน ด้วยที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์และเครือข่ายโลจิสติกส์ ไทยยังเป็นฐานการผลิตและขนส่งของภูมิภาค
- Soft power ที่แข็งแกร่ง วัฒนธรรมอาหาร บริการ และไลฟ์สไตล์ไทยเป็นข้อได้เปรียบด้านภาพลักษณ์ ที่โลกจดจำ
ขณะที่ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ไทย ในขณะนี้อาจถูกกดดันจากปัจจัยการเมือง ภัยธรรมชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งสะท้อนเป็นความไม่แน่นอนต่อสายตานักลงทุนและนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม
ส่วนมุมมองระดับโลก ยังมองไทยเป็นประเทศศักยภาพปานกลาง มีจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวและการผลิต แต่ยังต้องพัฒนาสมดุลด้านธรรมาภิบาลและการบริหารความเสี่ยงเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่น
จากเหตุปะทะชายแดนครั้งนี้อาจไม่ใช่แค่ความขัดแย้งทางทหาร แต่เป็นเกมเชิงภาพลักษณ์ที่กัมพูชาดึงไทยเข้ามาอยู่ในเฟรมเดียวกันอย่างจงใจ เมื่อ ‘narrative’ ถูกเล่าในมุม ‘ผู้ถูกกระทำ’ โลกจึงโฟกัสกัมพูชามากขึ้น ขณะเดียวกันภาพลักษณ์ไทยอาจถูกลดทอนความเหนือกว่าในภูมิภาค
คำถาม คือ นี่คือกลยุทธ์สร้าง spotlight ให้แสงสาดกัมพูชาบนเวทีโลกด้วยการพาตัวเองและไทยไปอยู่ระดับเดียวกันหรือไม่?
Alternate-X สรุปให้
เหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุอีกครั้ง กลายเป็นจุดเริ่มของการเล่าเรื่องเชิงภาพลักษณ์ที่สะเทือนถึงภูมิภาคอาเซียนและสายตานานาชาติ ‘กัมพูชา’ ถูกมองว่าอาจใช้ narrative “ผู้ถูกกระทำ” เพื่อดึงความสนใจโลก เปลี่ยนสถานะจากเรื่องท้องถิ่นสู่ประเด็นสากล เมื่อเรื่องเล่าเข้าสู่สื่อโลก สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่ความเห็นใจ แต่คือ Brand Exposure ที่ทำให้กัมพูชาถูกพูดถึงในเชิงเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว–การลงทุน ในอีกมุม นี่อาจเป็นเกมเชิงกรอบภาพลักษณ์ ที่ดึงไทยมาอยู่ในสนามเดียวกันเพื่อลดช่องว่างความเหนือกว่า คำถามที่จึงเกิดขึ้น นี่คือ การผลักตัวเองขึ้นสปอตไลต์ พร้อมลดทอน Soft Power ของไทย เพื่อขยายพื้นที่ของแบรนด์กัมพูชาหรือไม่?
STORYTELLER BY LilGray
I create stories that make the world feel closer — and a little happier.





