การเดินทางออกนอกประเทศของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ได้กลายเป็นที่สนใจในสื่อ หลังจากที่เขาออกจากประเทศไทยด้วย เครื่องบินส่วนตัว ของ MJETS จากท่าอากาศยานดอนเมือง
Story by Jittrapon ponlawat
โดยมีจุดหมายที่แจ้งกับสาธารณชนว่าเป็นประเทศสิงคโปร์เพื่อไปตรวจสุขภาพ แต่เส้นทางการบินกลับเปลี่ยนแปลง เมื่อเครื่องบินผ่านมาเลเซีย เครื่องบินได้หันหัวมุ่งไปทางอ่าวเบงกอล ซึ่งท้ายที่สุดชัดเจนว่า จุดหมายปลายทางของทักษิณคือนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ตามรายงานข่าวระบุวา การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เป็นการหลบหนี เนื่องจากคดีอาญามาตรา 112 สิ้นสุดลงแล้ว และพาสปอร์ตที่เคยถูกอายัดก็ได้รับการปลดล็อก ทำให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ตามปกติ
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือ เครื่องบินส่วนตัวที่ใช้ในการเดินทางในครั้งนี้ คือหนึ่งในรุ่น Business Jet ระดับหรูจากบริษัท Bombardier ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจชั้นนำของโลก และมีประวัติที่น่าทึ่ง ตั้งแต่การก่อตั้งในปี 1942 จากการสร้าง รถกวาดหิมะ (Snowmobile) จนกลายเป็นบริษัทอากาศยานระดับโลก
จุดเริ่มต้นจากรถกวาดหิมะ
Bombardier Inc. ก่อตั้งโดย Joseph-Armand Bombardier ในปี 1942 ที่เมือง Valcourt ประเทศแคนาดา จุดเริ่มต้นเกิดจากเหตุการณ์ส่วนตัวที่สะเทือนใจ เมื่อ Joseph-Armand สูญเสียลูกชายวัย 2 ขวบเพราะไม่สามารถเข้าถึงโรงพยาบาลได้ทันเนื่องจากหิมะหนาทึบ ความสูญเสียครั้งนี้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาฝันสร้างยานพาหนะที่สามารถ “ลอยตัวบนหิมะ” ได้
ในปี 1935 Joseph-Armand ออกแบบและสร้าง รถหิมะ B7 Snow Coach ซึ่งสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 7 คน และถูกนำไปใช้ในพื้นที่ชนบทของ Quebec สำหรับขนส่งเด็กไปโรงเรียน ขนส่งสินค้า ส่งไปรษณีย์ และทำหน้าที่เป็นรถพยาบาล หลังจากนั้นในปี 1941 เขาเปิดโรงงานผลิตใน Valcourt และต่อมาปี 1942 ก่อตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการในชื่อ L’Auto-Neige Bombardier Limitée
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความต้องการรถหิมะลดลง Joseph-Armand จึงเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น รถกวาดหิมะขนาดใหญ่สำหรับเทศบาล และ รถสำหรับงานเหมือง ปิโตรเลียม และป่าไม้
ต่อมาในปี 1957 Bombardier พัฒนาสนุกเกอร์ยางต่อเนื่องแบบชิ้นเดียว (Continuous Track) สำหรับรถหิมะขนาดเล็ก ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Ski-Doo ชื่อที่เกิดจากความผิดพลาดในการพิมพ์ แต่กลับกลายเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมากและกลายเป็นสัญลักษณ์ของสโนว์โมบิล เนื่องจากให้ความคล่องตัวในการลุยหิมะและง่ายต่อการบำรุงรักษา
ในปี 1964 Joseph-Armand เสียชีวิต และการบริหารงานถูกส่งต่อให้กับลูกชายและลูกเขย โดย Laurent Beaudoin ลูกเขยของผู้ก่อตั้งเข้ามารับตำแหน่งประธานบริษัท และทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในทศวรรษต่อมา
แตกไลน์ขยายสู่ธุรกิจรถไฟ
ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 Bombardier เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ยานพาหนะทางน้ำและมอเตอร์ไซค์ โดยในปี 1968 บริษัทได้รับสิทธิ์การผลิต Sea-Doo personal watercraft หลังจากที่ Clayton Jacobson II ประดิษฐ์เจ็ตสกี ทำให้ Bombardier สามารถนำเทคโนโลยีใหม่มาพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นยังเข้าสู่ตลาดมอเตอร์ไซค์ด้วย Can-Am ที่ใช้เครื่องยนต์ Rotax ซึ่งได้มาจากการซื้อกิจการ Rotax ในปี 1970 การขยายธุรกิจไปยังยานพาหนะหลากหลายประเภทสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Bombardier ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค
หลังวิกฤตพลังงานในปี 1970 ความต้องการรถหิมะลดลงอย่างมาก Bombardier จึงปรับกลยุทธ์เข้าสู่ ธุรกิจระบบขนส่งทางรางและรถโดยสารสาธารณะ อย่างจริงจัง โดยเริ่มจากปี 1974 เมื่อบริษัทได้รับคำสั่งซื้อรถไฟ MR-73 สำหรับ Montreal Metro และในปี 1982 Bombardier ชนะสัญญาโครงการสร้างรถไฟ R62A สำหรับ New York City Subway มูลค่า 663 ล้านดอลลาร์ ต่อมาในปี 1996 บริษัทยังเป็นผู้พัฒนารถไฟความเร็วสูง Acela Express ซึ่งถือเป็นรถไฟที่เร็วที่สุดในอเมริกาเหนือ การเติบโตในธุรกิจระบบขนส่งยังรวมถึงการเข้าซื้อกิจการสำคัญหลายแห่ง เช่น Montreal Locomotive Works, ANF Industrie และ Adtranz ทำให้ Bombardier กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถไฟและระบบขนส่งที่ใหญ่ที่สุดของโลก
บุกเบิกอากาศยานจาก Learjet ถึง Global Jet
Bombardier เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่อุตสาหกรรมอากาศยานเพื่อธุรกิจอย่างจริงจัง โดยในปี 1986 บริษัทได้เข้าซื้อกิจการ Canadair จากรัฐบาลแคนาดา ต่อมาในปี 1990 Bombardier ซื้อ Learjet และในปี 1992 ขยายกิจการเพิ่มเติมด้วยการซื้อ de Havilland Canada จากนั้นในปี 1995 บริษัทก่อตั้ง Flexjet เพื่อให้บริการด้านเครื่องบินส่วนตัวและการจัดการธุรกิจเครื่องบิน การลงทุนเหล่านี้ทำให้ธุรกิจอากาศยานของ Bombardier เติบโตอย่างรวดเร็ว และบริษัทกลายเป็นผู้ผลิต เครื่องบินธุรกิจ (Business Jet) ชั้นนำของโลก โดยมีเครื่องบินสองซีรีส์หลักคือ Global Series และ Challenger Series
โดยช่วงปี 1980 Bombardier เริ่มขยายการลงทุนเข้าสู่อุตสาหกรรมอากาศยานเพื่อธุรกิจ โดยมุ่งเน้นไปที่เครื่องบินขนาดเล็กและเครื่องบินธุรกิจ (Business Jet) ก่อนที่จะเติบโตกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโลก
ปี 1986 Bombardier ซื้อกิจการ Canadair จากรัฐบาลแคนาดา ซึ่ง Canadair เคยถูกชาติทำให้เป็นรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ปี 1976 หลังจากการเข้าซื้อ Bombardier สามารถฟื้นฟูกิจการจนกลับมามีกำไรได้
ช่วงปี 1989–1992 บริษัทขยายฐานการผลิตอย่างรวดเร็ว โดยเข้าซื้อ Short Brothers ในไอร์แลนด์เหนือ (1989), Learjet ในสหรัฐอเมริกา (1990) และ de Havilland Canada (1992) ซึ่งทั้งสามบริษัทก่อนหน้ามีปัญหาทางการเงิน การเข้าซื้อกิจการเหล่านี้ช่วยเสริมขีดความสามารถด้านเครื่องบินธุรกิจและเครื่องบินภูมิภาค
ในปี 1995 Bombardier ก่อตั้ง Flexjet เพื่อให้บริการเครื่องบินเจ็ตรายบุคคลและเชิงธุรกิจ จากการเติบโตอย่างรวดเร็ว Bombardier กลายเป็นผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจชั้นนำของโลก โดยมีเครื่องบินหลักสองซีรีส์คือ Global Series และ Challenger Series ซึ่งโดดเด่นด้านความเร็วและระยะบินไกล
แม้ Bombardier จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การเปิดตัว CSeries Aircraft กลับสร้างความท้าทายครั้งใหญ่ ทำให้บริษัทประสบปัญหาหนี้สินอย่างหนักจนเกือบล้มละลายในปี 2015 ส่งผลให้ต้องขายกิจการหลายส่วน และปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นเฉพาะการผลิตเครื่องบินธุรกิจเป็นหลัก ปัจจุบัน เครื่องบิน Global 7500/8000 ของ Bombardier ถือเป็นเครื่องบินธุรกิจที่เร็วที่สุดและสามารถทำความเร็วเหนือเสียงได้ในการทดสอบปี 2021 นอกจากนี้ ในปี 2023 Bombardier ส่งมอบเครื่องบินธุรกิจทั้งหมด 138 ลำ ครองตำแหน่ง ผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จและความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดระดับโลก
แม้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การเปิดตัว CSeries Aircraft ทำให้ Bombardier ประสบปัญหาหนี้สินอย่างหนักและเกือบล้มละลายในปี 2015 บริษัทจึงต้องขายกิจการบางส่วนและโฟกัสเฉพาะการผลิตเครื่องบินธุรกิจ
เครื่องบิน Global 7500/8000 ของ Bombardier ถือเป็นเครื่องบินธุรกิจที่เร็วที่สุด และในการทดสอบปี 2021 สามารถทำความเร็วเหนือเสียงได้
ในปี 2023 Bombardier ส่งมอบเครื่องบินธุรกิจ 138 ลำ ทำให้ครองตำแหน่งผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจอันดับหนึ่งของโลก
ช่วงการพัฒนาของ CSeries เจอปัญหาหนักทั้งเรื่องการผลิตล่าช้าและการแข่งขันกับ Airbus, Boeing และ Embraer โดยเฉพาะ Boeing ที่ฟ้องเรื่องการขายต่ำกว่าต้นทุน (dumping) จนเกิดข้อพิพาทการค้าในสหรัฐอเมริกา
เพื่อรักษาโครงการและการจ้างงาน รัฐบาลควิเบกและรัฐบาลแคนาดาจึงให้ความช่วยเหลือทางการเงิน โดยในปี 2017 Bombardier จึงร่วมมือกับ Airbus ส่งผลให้ CSeries ถูกรีแบรนด์เป็น Airbus A220 และมีสายการผลิตในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา
หลังจากขายโครงการ CSeries, Q400 และ CRJ ไปแล้ว Bombardier ได้ปรับโฟกัสธุรกิจไปที่เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเพียงอย่างเดียว ปัจจุบัน Bombardier Aviation มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Dorval, Quebec, Canada และผลิตเครื่องบินในซีรีส์ Global และ Challenger แม้ในอดีตบริษัทจะมีโรงงานใน 27 ประเทศและพนักงานกว่า 70,000 คน แต่ปัจจุบันได้ลดขนาดองค์กรลงเพื่อเน้นธุรกิจเครื่องบินธุรกิจที่มีกำไรสูง ด้วยกลยุทธ์นี้ Bombardier จึงกลายเป็นผู้นำด้านเครื่องบินธุรกิจความเร็วสูงและระยะบินไกลครองตลาดโลกอย่างมั่นคง มีคู่แข่งคือบริษัท Gulfstream Aerospace บริษัท BBJ ของโบอิ้ง และบริษัท ACJ ของแอร์บัส ที่ล้วนเป็นคู่แข่งในตลาดไพรเวทเจ็ตทั้งสิ้น
Alternate-X สรุปให้
‘Bombardier’ มีจุดเริ่มต้นจากการผลิตรถกวาดหิมะในปี 1942 ก่อนจะเติบโตสู่ธุรกิจระบบรางและอากาศยาน โดยบริษัทขยายกิจการด้วยการเข้าซื้อ Learjet, Canadair และ de Havilland จนกลายเป็นผู้ผลิตเครื่องบินเจ็ตหรูระดับโลกจุดเด่นคือเครื่องบินซีรีส์ Global และ Challenger ที่ครองตลาดไพรเวทเจ็ตความเร็วสูงและระยะบินไกล ยิ่งทำให้ชื่อ Bombardier ถูกจับตามองในไทย จากการเดินทางของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ สู่ดูไบ โดยปัจจุบัน Bombardier ครองตำแหน่งผู้ผลิตเครื่องบินธุรกิจอันดับหนึ่งของโลก