หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ‘Jurassic World: The Experience’ จุดหมายปลายทางเที่ยว กับประสบการณ์ท่องเที่ยวในรูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ที่ไม่เหมือนใคร เป็นครั้งแรกในไทย!!
โดย Alternate-X ได้มีโอกาสร่วมสัมผัสประสบการณ์ ‘Jurassic World: The Experience’ ที่พาเราออกไปผจญภัยในโลกเสมือนจริงยุคไดโนเสาร์เมื่อกว่า 300 ล้านปีก่อนได้ภายในช่วงเวลาราว ๆ 30-40 นาที ที่สามารถ wrap-up ทั้งความรู้ และความสนุก (มากกกกก) เอาไว้ได้ครบจนเกินคุ้มราคาค่าตั๋ว ก็ว่าได้
แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จัก ‘Jurassic World: The Experience’ ที่ถูกวางไว้ให้เป็นเดสติเนชั่นท่องเที่ยว ด้วยขนาดพื้นที่ 6,000 ตร.ม.ตร ตั้งอยู่ในโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์
โปรเจกต์นี้ มีมูลค่าราวๆ 1,200 ล้านบาท จากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ธุรกิจความบันเทิงท่องเที่ยวระดับโลก ระหว่างพันธมิตร บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น (AWC) , NEON, และ Universal Live Events & Location Based Entertainment ธุรกิจหนึ่งในเครือ Universal Destinations & Experiences เพื่อสนับสนุนให้ กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและความบันเทิงระดับโลก
โดยความน่าสนใจของโปรเจกต์นี้ ถูกสร้างขึ้นภายใต้แฟรนไชส์ภาพยนตร์ระดับโลก Jurassic มาสู่โลกแห่งความเป็นจริง พร้อมสร้างประสบการณ์เสมือนจริงแบบอิมเมอร์ซีฟ ให้กับทุกคนเข้ามาร่วมร่วมผจญภัยไปบนเกาะอิสลา นูบลาร์ ท่ามกลางไดโนเสาร์แอนิเมทรอนิกส์ที่สมจริง ได้แบบตื่นตาตื่นใจไปหมด
โดยเฉพาะ ‘เจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานง ที่คอยดูแลนักท่องเที่ยว (ผู้เข้าชม) ภายในเกาะฯแห่งนี้ ที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน พร้อมให้ความใส่ใจในความปลอดภัยแทบทุกตาราวนิ้วของพื้นที่ ที่ชวนสร้างความ ‘อิน’ ให้กับนักท่องเที่ยวแบบตื่นตัวแทบตลอดเวลา จนหลงคิดเข้าไปว่าอยู่ในโลกไดโนเสาร์ของจริงกันเลยทีเดียว!!
ซึ่งในส่วนของเจ้าหน้าที่บนเกาะฯ เราให้ เต็มสิบไม่หักเลยสักคะแนน!!
ทันทีที่ คณะนักท่องเที่ยวพร้อมแล้วประตู Jurassic World: The Experience ก็พร้อมเปิดประสบการณ์ให้การต้อนรับ เริ่มกันที่จุดแรก
1.Origins of Wonder (ต้นกำเนิดแห่งความมหัศจรรย์)
โซนนี้ ทุกคนจะได้ทบทวนเรื่องราวการเกิดขึ้นของไดโนเสาร์ใน Jurassic World ผ่านการจัดแสดงก้อนอำพัน (ที่ข้างในมีฟอสซิลด้วย) พร้อมคำบรรยายจากตัวละครในตำนานอย่าง มิสเตอร์ ดีเอ็นเอ
จุดนี้ นักท่องเที่ยว สามารถถ่ายภาพกันก่อนออกเดินทางเพื่อเข้าสู่จุดรอขึ้นเรือเฟอร์รี่
ทันทีที่ นักท่องเที่ยว เข้าไปโถงเรือเฟอร์รี่โดยสาร พร้อมพาทุกคนออกสู่ท้องทะเล ในบรรยากาศท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆพายุ เรียกว่าเป็นจุดแรก ที่ทำถึงก่อนเลยเมื่อผู้โดยสารโดยน้ำสาดกระเด็นใส่ตัวจริงๆ!! กับฉากวาฬยักษ์ ที่จะกระโจนขึ้นมาจากน้ำอย่างใกล้ชิด
จน กัปตัน ต้องประกาศผ่านลำโพงว่าคลื่นน้ำที่ซัดสาดเข้ามาเกิดขึ้นจากวาฬ ไม่ใช่โมซาซอรัส พร้อมแสดงภาพกราฟิกเคลื่อนไหวเปรียบเทียบขนาดระหว่างวาฬยุคปัจจุบันกับ โมซาซอรัส บนหน้าจอด้านหน้าต่างฝั่งทะเล
ก่อนที่ม่านหน้าต่างปิดลง พร้อมเสียงประกาศต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนสู่เกาะ อิสลา นูบลาร์ จากกัปตัน
2.Arrival at Isla Nublar (เดินทางสู่เกาะอิสลา นูบลาร์)
เมื่อผู้โดยสารก้าวเท้าเข้าสู่เกาะอิสลา นูบลาร์ แล้วต่างเดินไปบนเส้นทางที่ขนาบด้วยเสียงดังกึกก้องของสัตว์ยักษ์ที่ไม่อาจมองไม่เห็น พร้อมกับประตูขนาดใหญ่อันเป็นสัญลักษณ์ของ Jurassic World ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า และคบเพลิงสองข้างประตูที่ถูกจุดขึ้น มาพร้อมเสียงทำนองซาวนด์แทร็กของ Jurassic World
3.A Close Encounter with Giants (เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่แห่งโลกล้านปี)
ทันทีที่ประตูเปิดออก เจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานออกมาต้อนรับผู้เข้าชมพร้อมเล่าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับแบรคิโอซอรัส ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเมื่อเจ้าแบรคิโอซอรัสตัวเล็กจามขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ปล่อยละอองฟุ้งกระจายไปในอากาศ
จากนั้นผู้เข้าชมจะถูกเชื้อเชิญสู่หอสังเกตการณ์ เพื่อชมเจ้าหน้าที่ขณะกำลังให้ใบไม้แก่เจ้าแบรคิโอซอรัสเป็นอาหาร
4.The Petting Zoo (สัมผัสไดโนเสาร์รุ่นเยาว์)
เดินทางต่อเพื่อพบกับ แองคิโลซอรัส เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ใกล้รถเข็นที่เต็มไปด้วยผักสีเขียวยื่นอาหารจานโปรดให้กับมันอย่างแผ่วเบา เจ้ายักษ์ใหญ่ดีใจนส่ายหางไปมาอย่างกระตือรือร้น ส่งผลให้ใบไม้ร่วงกราวเมื่อหางของมันปัดไปโดนเข้ากับต้นไม้ในบริเวณอย่างจัง จากนั้นเจ้าหน้าที่ ชวนให้ผู้เข้าชมร่วมดูแลลูกไดโนเสาร์ที่น่ารัก และสัมผัสความผูกพันอันน่าอัศจรรย์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตยุคโบราณเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
5.The Predator Pavilion (ดินแดนนักล่าดึกดำบรรพ์)
ในโซนนี้ นักท่องเที่ยวจะได้พบกับเหล่าแรปเตอร์ ไดโนเสาร์นักล่าที่ถูกจับใส่ที่ครอบปาก พวกมันยังคงส่งเสียงคำราม ทั้งสะบัดและกระแทกที่ครอบปากอย่างไม่สบอารมณ์
โดยผู้เชี่ยวชาญอธิบายเกี่ยวกับดีเอ็นเอของสัตว์หลากหลายชนิดที่ถูกนำมาใช้ในการตัดแต่งพันธุกรรมของแร็ปเตอร์เหล่านี้ พร้อมชวนให้สังเกตรายละเอียดลวดลายเฉพาะตัวอันโดดเด่นและสวยงามของแรปเตอร์แต่ละตัว
ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังค่อยๆ นำแร็ปเตอร์กลับเข้าคอกอย่างระมัดระวัง หนึ่งในพวกมันกลับปรากฎตัวแยกออกมาอย่างโดดเด่น ใช่แล้ว!!เจ้า ‘บลู’ นั่นเอง ที่เป็นโอกาสพิเศษให้เหล่านักท่องเที่ยวจะได้เผชิญหน้ากับเวโลซีแร็ปเตอร์ผู้เฉลียวฉลาดและภักดีสุดหัวใจ เจ้าของสายตาเฉี่ยวคมที่ทั้งน่าหลงใหลและน่าสะพรึงกลัวในขณะเดียวกัน
6.The Observation Deck (หอสังเกตการณ์)
เมื่อเดินทางมาถึงหอสังเกตการณ์ นักท่องเที่ยวจะได้รับชมวิดีโอข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับไดโนเสาร์ เมื่อวิดีโอจบลง อินโดไมนัส เร็กซ์ ปรากฏตัวเพียงชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ พรางตัวหลบซ่อนเข้าไปในแมกไม้ ก่อนจะโผล่ออกมาอีกครั้งพร้อมคำรามลั่นจนทำให้พื้นสั่นสะเทือน
ในโซนนี้ เป็นอีกหนึ่งความประทับใจกับความสมจริง โดยหลังเสียงระเบิดดังขึ้น ส่งผลให้ระบบพลังงานและความปลอดภัยทั่วทั้งอุทยานล้มเหลว และแล้ว อินโดไมนัส เร็กซ์ ก็เริ่มโจมตีหอสังเกตการณ์ และในขณะที่มันเหวี่ยงกรงเล็บอีกครั้ง การปรากฏตัวของเจ้า คาร์โนทอรัส ก็ได้เบนความสนใจของมันออกไป
เมื่อไดโนเสาร์ทั้งสองตัวปะทะกันอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่รีบปิดบานหน้าต่าง แต่สุดท้ายโครงสร้างอาคารก็พังทลายลงเนื่องจากโดนแรงกระแทกจากการต่อสู้ภายนอก เจ้าหน้าที่รีบพาทุกคนหนีออกไปยังทางออกฉุกเฉิน!!
7.A Fight for Survival (ผจญภัยเพื่อเอาชีวิตรอด)
จากเส้นทางหลบหนี ได้พาทุกคนเข้าสู่โกดังเพดานสูงขนาดใหญ่ บนจอมอนิเตอร์ฉายภาพความโกลาหลที่เกิดขึ้นโดยรอบ มีข้อความแจ้งเตือนสีแดงปรากฏทั่วบริเวณ และกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นว่า คาร์โนทอรัส หายออกไปจากกรงกักกัน กล่องสินค้าในโกดังสั่นไหวและร่วงหล่นลงมาในขณะที่มันหันหัวเพื่อเผยคมเขี้ยว พร้อมคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ค่อยๆ กังวานขึ้นอย่างกึกก้อง ผู้เชี่ยวชาญรีบส่งสญญาณให้ทุกคนรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด (อีกแล้ว!!)
8.Lost in the Jungle (หลงในป่าดงดิบ)
จากนั้น เจ้าหน้าที่นำผู้เข้าชมออกจากโกดังเข้าสู่พื้นที่ป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยเสียงของสัตว์ป่าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น เสียงหวีดร้อง “จิ๊บๆ” แหลมสูงชวนขนลุกก็ดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความมืด
เจ้าหน้าที่รีบบอกให้ทุกคนเงียบและอยู่นิ่งๆ ทันที เมื่อ ไดโลโฟซอรัส ปรากฏตัวขึ้น มันเอียงหัวจ้องมองราวกับกำลังประเมินกลุ่มผู้ชมอยู่ จากนั้นเสียงพุ่มไม้ไหวเบาๆ ก็เบี่ยงเบนความสนใจของมัน ก่อนที่ไดโลโฟซอรัสอีกสองตัวจะโผล่ออกมาพร้อมเสียงกรีดร้อง และกางแผงคออันเป็นเอกลักษณ์ของพวกมัน หนึ่งในนั้นพ่นพิษไปยังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
9.Caged up (กรงปริศนา)
เมื่อพวกเราเดินเข้าสู่โดมสัตว์ปีกยุคดึกดำบรรพ์ เทอราโนดอน ตัวหนึ่งก็ร่อนลงมา กรงเล็บของมันที่จับลูกกรงแน่น จากนั้นเสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะมีเทอราโนดอนอีกตัวหนึ่งปรากฏตัวเกาะอยู่บนคานเหล็กสูง มันสยายปีกออกกว้าง สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมด้วยขนาดใหญ่มหึมา
จากนั้นกลุ่มนักท่องเที่ยวจะพบกับซากรถบรรทุกที่จอดพังอยู่บริเวณแล็ปกลางทุ่ง สไตกิโมล็อก โผล่ออกมา สร้างความดีใจให้กับผู้เข้าชมด้วยความน่ารักของมัน แต่เสียงคำรามของ ทีเร็กซ์ ที่ดังขึ้นใกล้ๆ ก็ทำให้ทุกคนรีบวิ่งหนีเข้าไปหลบภัยในห้องแล็ปวิจัยภาคสนามทันที
10.The Final Escape (การหลบหนีครั้งสุดท้าย)
จากนั้น เจ้าหน้าที่และผู้เข้าชมหลบพายุชั่วคราวภายในห้องวิจัย ทุกคนรู้สึกขนลุกเล็กน้อยเมื่อเห็นไข่ไดโนเสาร์ที่เต้นตุบๆ และหน้าจอที่แสดงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และลำดับพันธุกรรม DNA
เมื่อออกจากห้องวิจัย กลับพบว่าได้กลับมาอยู่ในป่าอีกครั้ง พร้อมเสียงคำรามของ ทีเร็กซ์ ที่ดังอยู่ใกล้ ๆ และเหลือบเห็น ไจโรสเฟียร์ ที่พังอยู่และพยายามเข้าไปตรวจสอบมัน แต่สภาพอากาศทำให้ทุกคนหลงทิศ จากสายฟ้าฟาดลงมาอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นตำแหน่งของกลุ่มนักท่องเที่ยว และทีเร็กซ์ก็พุ่งกระโจนเข้าหาอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เจ้าหน้าที่พยายามกดรหัสที่แป้นควบคุมอย่างลนลาน แต่ในที่สุดก็สามารถเปิดประตูและพาทุกคนเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยได้ทันเวลา
11.Jurassic World: The Experience – Retail Store กลับสู่โลกแห่งการช้อปของที่ระลึก
เมื่อทุกคนปลอดภัยในที่สุด เจ้าหน้าที่กล่าวแสดงความยินดีต่อทักษะการเอาตัวรอดของนักท่องเที่ยว พร้อมประกาศว่าทุกคนได้ผ่านพ้นอันตรายทั้งหลายมาได้ทั้งหมดแล้ว การผจญภัยเสร็จสิ้นลง ณ ร้านค้าสไตล์บังเกอร์หลบภัยซึ่งผู้เข้าชมสามารถเลือกซื้อของที่ระลึก ทั้งเสื้อผ้า ของเล่น หรือของสะสมพิเศษจาก Jurassic World เพื่อเก็บการผจญภัยในเกาะอิสลา นูบลาร์ นี้ไว้ในความทรงจำ
แวะเติมอิ่มที่ Fossil & Flame Restaurant
นอกจากนี้ ภายในบริเวณใกล้เคียงกับ Jurassic World: The Experience ยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์ ห้องอาหารและคาเฟ่ Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant พร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก Jurassic World: The Experience ผสมผสานการเดินทางอันน่าทึ่งเข้ากับเมนูอาหารสุดสร้างสรรค์สำหรับผู้เข้าชมทุกช่วงวัย
ให้เพลิดเพลินแถมสนุกไปกับเมนูอาหารและบรรยากาศที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันจากจักรวาล Jurassic World ที่นำทั้งรสชาติ ความบันเทิง และจินตนาการเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยมีเมนูไฮไลต์ อาทิ
- Tree Top Nacho Tower หอคอยนาโช่กรอบท็อปด้วยชีสและซัลซ่า
- Volcano Extreme, Rack of Bones Mesquite Baby Back Pork Ribs โครงหมูอ่อนย่างซอสเมสกีตสไตล์เท็กซัส
รวมถึงเมนูต่าง ๆ โดยห้องอาหารสามารถรองรับแขกได้สูงสุดถึง 256 ที่นั่ง แบ่งเป็นห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัว 2 ห้อง พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงพื้นที่ดาดฟ้าแบบเปิดโล่ง เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน ในเวลาเปิดให้บริการ 12:00 – 24:00 น. สามารถเข้าไปรับชมข้อมูลเพิ่มเติมเว็บไซต์: http://jurassicworldfossilandflamerestaurant.com/
สำหรับโครงการ Jurassic World: The Experience
- เวลาเปิดให้บริการ 11:00 – 22:00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 21:00 น.)
- การจำหน่ายบัตร สามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ทาง https://jurassicworldexperience.com/th/
- มีบัตรหน้างานจำหน่าย แต่เนื่องจากมีความต้องการเข้าชมเป็นจำนวนมาก ขอแนะนำให้ผู้ที่ประสงค์เข้าชมสำรองบัตรล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ เพื่อสำรองบัตรเข้าชมในช่วงเวลาที่ต้องการ
ราคาบัตร (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
- วันธรรมดา (ก่อน 16:00 น.)
- 579 บาท สำหรับเด็ก (อายุ 3-10 ปี)
- 769 บาท สำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 11 ปีขึ้นไป)
- วันธรรมดาหลัง 16:00 น., วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
- 789 บาท สำหรับเด็ก (อายุ 3–10 ปี)
- 989 บาท สำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 11 ปีขึ้นไป)
เว็บไซต์ https://jurassicworldexperience.com/th/en
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- เปิดแล้ว 8 สิงหา นี้ จูราสสิค เวิลด์ฯ แม่เหล็กใหม่ เอเชียทีคฯ ดูดเที่ยวระดับโลก
- AWC เดินเกมทุนยืดหยุ่น ส่งโมเดล ‘AWC Growth Fund’ ลดภาระหนี้-ลงทุนเต็มจำนวน
- AWC แปลงโฉม ‘ล้ง1919-ทรงวาด’ ทำห้องพักแพงสุดในไทย The Ritz-Calrton คืนละ 3 แสนบาท