R&D เป็นโอกาสอนาคต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยใหม่ โฟกัส 4 กลุ่มเป้าหมายปลุก GDP ชะลอ

คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโต 1.3-2.3% จากสภาพัฒน์ หลังเหลือเครื่องยนต์หลักท่องเที่ยวตัวเดียว ขณะที่บุญเก่าของประเทศกำลังจะหมดลง ถึงเวลาลอกคราบประเทศไทย ด้วยการวิจัยและพัฒนาผ่านกองทุน ววน. เป็นเครื่องมือ

 

ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะประธานเปิดงาน Dinner Talk ‘กระตุก GDP ไทยด้วยกองทุน ววน.’ ภายใต้แนวคิด ‘มองจุดร่วม สร้างจุดเปลี่ยน ร่วมสร้าง GDP ไทย ด้วยกองทุน ววน.’ จัดโดยสำนักยุทธศาสตร์แผน ติดตามและประเมินผล สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 

โดยกล่าวว่า ประเทศไทย ยังมีโอกาสในการสร้างเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยใช้ ววน. เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของประเทศ ได้แก่

 

  • งานวิจัยด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์และ IoT สำหรับเกษตรกรรม
  • การสร้างอุตสาหกรรมใหม่และการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
  • การพัฒนากำลังคนระดับสูงเฉพาะทางและเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
  • การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันวิจัย

 

ทั้งนี้ เพื่อให้มีสัดส่วนการลงทุนด้านการวิจัยมากขึ้น ทำวิจัยและต่อยอดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

 

“กระทรวง อว. พร้อมสนับสนุนงบประมาณและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อนำงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยเชื่อมั่นว่า ววน. จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก และช่วยให้เศรษฐกิจในภาพรวมเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนได้ในอนาคต” รัฐมนตรี อว.กล่าว

 

ลงทุน R&D สัดส่วน 2-4%

 

ด้าน ศ. ดร. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เผยว่า การใช้ความรู้ขับเคลื่อนประเทศต้องมีนโยบายที่จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรในเรื่องสำคัญ แม้จะมีข้อจำกัดและความท้าทายหลายด้าน แต่ประเทศจะก้าวกระโดดได้ต้องมีสัดส่วนการลงทุนวิจัยและพัฒนาต่อ GDP ร้อยละ 2-4 เพื่อให้มีแรงส่งเพียงพอ

 

“แต่ขณะนี้อัตราการลงทุนของไทยอยู่ที่ร้อยละ 1.1 จึงต้องแน่ใจว่าจะสามารถจัดสรรงบประมาณอย่างถูกต้อง เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูงสุด เป็นธรรม รัดกุมรอบคอบและตรงเป้า”

 

โดยการจัดงานในครั้งนี้เพื่อให้ผู้บริหารในระบบ ววน. ภาครัฐและภาคเอกชนนำข้อมูลไปขับเคลื่อนในบริบทที่ดูแลอยู่

 

ขณะที่ สกสว. จะนำเสนอข้อมูลต่อสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อนำสู่การขับเคลื่อนต่อไป

 

ทบทวนงานวิจัยฯใช้ได้จริง

 

เช่นเดียวกับ ศ. ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวถึงการทำงานของ สกสว.ยุคใหม่ ว่าเข็มทิศกำลังแปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ผ่านการขับเคลื่อนและผลงานที่เกิดขึ้นจริง  ได้แก่

 

  • การทบทวนแผนและจัดสรรงบประมาณด้าน ววน. งานวิจัยและนวัตกรรมตามเป้าหมายสำคัญทั้งด้านสุขภาพและการแพทย์ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
  • การขับเคลื่อนเชิงประเด็นร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  • สร้างความเข้มแข็งของหน่วยงานและบคุลากร
  • การรับมือและการสื่อสารต่อประชาชนในภาวะวิกฤติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม
  • การพัฒนาเครือข่ายและการร่วมทุนกับต่างประเทศ ภาคเอกชนและประชาสังคม และการพัฒนาภายในองค์กร

 

โดยในปี 2568 กองทุน ววน.ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 19,251 ล้านบาท คิดเป็น 1.14% และหวังว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป โดยเป้าหมายไม่ใช่แค่สำเร็จ แต่คือการเปลี่ยนแปลงประเทศ

 

สร้างเครื่องยนต์ศก.ใหม่ให้ประเทศ

 

ด้าน กฤษณ์ จันทโนทก ประธานกรรมการอำนวยการ สกสว. และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สะท้อนว่าสิ่งที่ประเทศไทยขาดไม่ใช่ความรู้หรือแรงบันดาลใจ แต่คือ ‘ระบบเชื่อมต่อ’ ที่เปลี่ยนงบวิจัยให้กลายเป็นนวัตกรรมเชิงเศรษฐกิจได้จริง ทั้งความกล้าสร้างเครื่องยนต์ใหม่ให้กับประเทศ การสร้างนวัตกรรมต้องลงทุนกับคุณภาพทุนมนุษย์และสถาบัน

 

ขณะที่ ความท้าทาย คือ ต้องทำให้งานวิจัยเกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ปัจจุบันประเทศไทยมีงานวิจัยจำนวนมาก แต่ต้องเร่งเสริมการต่อยอดเชิงพาณิชย์

 

ทั้งนี้ อนาคตของประเทศยังศรัทธาในศักยภาพ ทุน และความรู้ แต่ต้องหาทางเชื่อมโยงและเดินไปด้วยกัน พลังของคนไทยไม่ทิ้งกันในยามคับขันจึงต้องร่วมมือให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และต้องวางโครงสร้างใหม่ เชื่อว่าถ้าทุกคนกล้าเปลี่ยน ซึ่งระบบ ววน.ไทยจะเป็นฟันเฟืองสำคัญให้ไทยประสบความสำเร็จได้

 

โครงการต้องตอบโจทย์เศรษฐกิจ

 

สำหรับ “นโยบายการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ” โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ กสว. และประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่าหากไทยต้องการก้าวสู่การเป็นเสือเศรษฐกิจต้องคิดสร้างปัญญา ทำให้สังคมเห็นประโยชน์ การลงทุนในงานวิจัยและนวัตกรรมต้อง ‘ คืนทุนไว ใช้ได้จริง ยิงสุดทาง’ นั่นคือต้องทำโครงการที่ดี ตอบโจทย์เศรษฐกิจและสังคมทั้งที่เห็นผลเร็วและเกิดผลในระยะยาวด้วย และรู้ว่าจะขายหรือแข่งขันกับใคร

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ สถาบันเทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่สร้างนวัตกรรมใช้ได้จริง เป็นโมเดลที่ชี้ให้เห็นว่าการวิจัยต้องมีภารกิจชัดเจนและมีความรับผิดชอบ สิ่งที่ต้องทำคือ ตัดงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพื่อให้เกิดความเชื่อถือจากคนในประเทศ

 

โดยก้าวแรกจะต้องตีโจทย์และออกแบบโครงการให้ทะลุ เป็นงานวิจัยที่แก้พัฒนาเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาสังคมได้ มีผู้ใช้ตั้งแต่แรก รวมถึงปรับระบบแรงจูงใจ

 

บุญเก่าของประเทศกำลังจะหมด

 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ “การลงทุนภาครัฐและเอกชน: กุญแจสู่การเติบโตของ GDP ไทย” ระบุว่า

 

“บุญเก่าของประเทศกำลังจะหมด อุตสาหกรรมที่เราเคยเก่งกำลังตกยุค ประเทศไทยต้องลอกคราบ ปลดล็อกและสร้าง ‘บุญใหม่’ เพื่อช่วงชิงคลื่นการลงทุนรอบใหม่ในอาเซียน ซึ่งเป็นโอกาสเดียวในรอบหลายทศวรรษ หากพลาดวันนี้อาจไม่มีโอกาสอีกนาน จากนี้ไปเอเชียและอาเซียนจะเป็นศูนย์กลางใหม่ของโลก จึงต้องก้าวข้าวข้อจำกัดด้วยทักษะของคน”

 

ขณะที่ นโยบายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านอยู่ที่การเปิดประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับอนาคต ปฏิรูปกฎระเบียบและระบบราชการ เพิ่มโอกาสในการช่วงชิงการลงทุน เสริมจุดแข็งเดิมและสร้างระบบนิเวศใหม่ เช่น สร้างบุคลากรรองรับห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น พลังงานสะอาด สตาร์ทอัพและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และเร่งขยายเขตการค้าเสรีเพื่อเปิดตลาดใหม่และลดการพึ่งพาตลาดเดิม

 

 

 

Alternate-X สรุปให้

เมื่อ บุญเก่า’ไทยกำลังจะหมด จะต้องลอกคราบประเทศ ด้วย R&D และนวัตกรรม ขับเคลื่อนผ่านกองทุน ววน. ที่ได้รับงบเพิ่ม 1.9 หมื่นล้าน ใน 4 กลุ่มเป้าหมาย เพื่อเร่งตอบโจทย์เศรษฐกิจ-สังคม เพื่อสร้างเครื่องยนต์ใหม่ให้ GDP โตอย่างยั่งยืน

 

 

 

บทความล่าสุด

COLLABORATE IDEAS, CREATE SUCCESS


FOLLOW US

© 2024 Maxideastudio. All Rights Reserved.