Dusit Central Park โครงการมิกซ์ยูสมูลค่ากว่า 4.6 หมื่นล้าน โปรเจกต์ร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เจ้าของอสังหาริมทรัพย์โรงแรมในเครือดุสิตธานี และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภายใต้บริษัท วิมานสุริยา จำกัด
ต่อความน่าสนใจโครงการฯ ด้วยถูกวางตำแหน่งให้เป็นมิกซ์ยูสระดับโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Here for Bangkok พร้อมพัฒนา The Residences at Dusit Central Park โครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชูรี่ที่ดีที่สุดใน Super Core CBD มาพร้อมแนวคิดการออกแบบ ‘Biophilia’ สู่ดีไซน์ Roof Park สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
โดยโครงการฯ เริ่มเปิดให้บริการส่วนของโรงแรมและอาคารสำนักงานแล้ว และจะเปิดให้บริการสวนลอยฟ้าและศูนย์การค้าในเดือนกันยายน ปี 2568
‘ละเอียด โควาวิสารัช’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมานสุริยา จำกัด เล่าถึงแนวคิดการออกแบบ ‘Biophilic Design’ ไว้อย่างลึกซึ้งโดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ขณะที่ ‘Biophilic Design’ เป็นแนวคิดการออกแบบสถาปัตยกรรมและพื้นที่ต่าง ๆ ที่เน้นการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น รวมถึงเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายและความสุขในชีวิตประจำวัน
โดยหลักการของ Biophilic Design จะใช้การนำองค์ประกอบของธรรมชาติเข้ามาผสมผสานในงานออกแบบ อาทิ
- การใช้แสงธรรมชาติ
- การใช้พืชและพื้นที่สีเขียว
- วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ หิน
- รูปทรงและลวดลายที่เลียนแบบธรรมชาติ
- การจัดวางพื้นที่ให้มีการไหลเวียนของอากาศที่ดี
ด้วยเป้าหมายหลัก แนวคิดการออกแบบนี้ คือ ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหรือการพักผ่อน
‘ละเอียด ย้ำว่า พลังขับเคลื่อนในการก่อสร้างโครงการ Dusit Central Park นั้น คือ ปณิธานหลักในการยกระดับพื้นที่เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่สังคมและคนไทย ให้มีพื้นที่สีเขียวที่ทุกคนสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ร่วมกันได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในมิติทางด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ (Ecosystem) พร้อมต่อยอดไปยังระบบนิเวศเมือง (Urban Ecology) เพื่อทำให้กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังได้นำมุมมองด้าน Sustainability Design และ Ecosystem มาเป็นตัวกำหนดแนวทาง โดยเฉพาะพื้นที่ Roof Park ที่ผสานแนวคิด Biophilia ซึ่งแปลว่า กัลยาณมิตรกับธรรมชาติ
ละเอียด กล่าวเสริมว่า “เราได้นำกรณีศึกษาเชิงบวกภายใต้แนวคิด Biophilia ที่มีผลต่อการทำงานอ้างอิงจาก การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด***** พบว่า ผู้ที่อยู่อาศัยภายในอาคารที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ทั้งวัสดุที่มีพื้นผิวตามธรรมชาติ หรือทัศนียภาพของพื้นที่สีเขียว ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถสร้างมิติสัมพันธ์ในการบริหารจัดการ ทั้งการแก้ไขปัญหา การให้เหตุผล และการวางแผนได้เพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ช่วยควบคุมอุณหภูมิในพื้นที่โดยให้ความเย็นตามธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในสภาพอากาศร้อนของกรุงเทพฯ โดยนำองค์ประกอบเหล่านี้ ช่วยเสริมประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้ลึกซึ้ง แม้อยู่ใจกลางเมือง”
เชื่อมโยงพลัง ‘ธรรมชาติ-มนุษย์’
สำหรับแนวคิดการออกแบบ Biophilic Design ถือกำเนิดโดย อีริค ฟรอมม์ (Erich Fromm) เป็นผู้ให้แนวคิด Biophillia ขึ้น และต่อยอดเป็นทฤษฎีไบโอฟิเลีย (Biophilia Hypothesis) โดย เอ็ดเวิร์ด โอ. วิลสัน ในปี ค.ศ. 1984* ในเวลาต่อมา
โดยกล่าวว่า ความผูกพันลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องทางจิตวิทยาเท่านั้น แต่ยังฝังรากลึกอยู่ใน DNA ของเราอีกด้วย การเชื่อมโยงกับธรรมชาติจึงมีความสำคัญต่อสุขภาวะของมนุษย์ และการห่างเหินจากธรรมชาตินำไปสู่ผลกระทบด้านลบทั้งทางจิตใจและอารมณ์” มาเชื่อมโยงสร้างสมดุลระหว่าง “คน – ธรรมชาติ – สิ่งมีชีวิต” เพื่อลด “ภาวะขาดธรรมชาติ” หรือ Nature Deficit Disorder (NDD)** ในสังคมเมือง”
ยูโทเปีย พื้นที่สีเขียว
จาก ข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO)*** ระบุไว้ว่าตามหลักเกณฑ์ของเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ควรมีพื้นที่สีเขียวขั้นต่ำต่อคนคือ 9 ตารางเมตร หรือมาตรฐานในอุดมคติคือควรมีพื้นที่สีเขียวอยู่ที่ 50 ตารางเมตรต่อคน
โดยพื้นที่สีเขียวที่นำมาคำนวณจะต้องเป็นพื้นที่ที่ประชาชนสามารถเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจและสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอว่าสังคมเมืองระดับย่านควรมีพื้นที่สีเขียวกระจายอยู่ในระยะการเดินเท้าทุก ๆ 300 – 500 เมตร ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่สีเขียวในชุมชนมากขึ้น อย่างโครงการ Nature Ways ประเทศสิงคโปร์**** ที่ได้พัฒนาระบบถนนที่ปลูกต้นไม้และพุ่มไม้เพราะต้องการลดอุณหภูมิในอากาศ เพิ่มแหล่งที่อยู่อาศัยสำหรับสิ่งมีชีวิต และช่วยลดมลพิษทางอากาศ ทำให้สิงคโปร์ติดอันดับ 2 ในดัชนี Green View Index ของ Treepedia ซึ่งใช้ชี้วัดความหนาแน่นของต้นไม้ในเมือง
สวนสีเขียวลอยฟ้า ใหญ่สุดในไทย
สำหรับประเทศไทย ได้นำเสนอ Thailand’s Largest Urban Roof Park สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขนาดพื้นที่สีเขียว 7 ไร่ (11,200 ตร.ม.) ให้กลายเป็นสวนลอยฟ้าสำหรับคนเมือง มอบทัศนียภาพสีเขียวแบบ Extended Park View ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนเนินเขา มุมมองที่เชื่อมต่อกับสวนลุมพินีอย่างกลมกลืน นับเป็นสถานที่แห่งแรกและแห่งเดียวในกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ ยังใช้หลักการออกแบบที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับธรรมชาติเข้ากับหลักการของระบบนิเวศ (Ecosystem Principles) ซึ่งเป็นระบบของสิ่งมีชีวิตที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งพืช สิ่งมีชีวิต จุลินทรีย์ ที่ทำงานร่วมกับน้ำ ดิน และอากาศ เพื่อรักษาความสมดุลของโลก
รวมถึงคัดสรรพรรณไม้ไทยแท้ 100% ที่ช่วยดักฝุ่นพร้อมดึงดูดแมลงที่มีประโยชน์และสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย รวมถึงการสร้างน้ำตก ทำให้พื้นที่แห่งนี้สามารถเสริมสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้อย่างยั่งยืน ทั้งการปรับปรุงคุณภาพอากาศ ช่วยลดอุณหภูมิในพื้นที่ และบรรเทาปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island Effect) ผ่านการดูดซับและกักเก็บน้ำฝน
พร้อมนำเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนมาใช้งาน อาทิ ระบบ HVAC Optimisation และระบบ Lighting Control ที่ทำงานด้วยมอนิเตอร์ตรวจจับอัตโนมัติ MEP เพื่อให้ปรับไปตามสภาพแวดล้อมภายในอาคารและสภาพแวดล้อมภายนอก ระบบ Solor Roof ระบบ Water Management และ Water Treatment บำบัดน้ำเสียภายในโครงการให้กลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น
6 โซนสายกรีน ฮีลใจ
สำหรับพื้นที่ดังกล่าว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธรรมชาติพร้อมเชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ ให้คนทุกเพศ ทุกวัย สามารถดำเนินชีวิตในเมืองอย่างสมดุล และเข้ามาทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งโซน
- Food Passage ร้านอาหารชื่อดังที่เหมาะสำหรับการรับประทานอาหาร
- โซน Bird Nest จุดที่ทุกคนสามารถเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของเมืองกรุงเทพฯ และสวนลุมฯ
- โซน D Garden เชื่อมต่อกับ Residents’ Private Garden ของลูกบ้านของโครงการ Dusit Residences
- โซนน้ำตกทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่กระจายอยู่รอบสวน
- โซน Amphitheatre พื้นที่อเนกประสงค์สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
- การแสดงงานศิลปะ ดนตรี งานภาพยนตร์กลางแจ้ง เวิร์คช็อป และมินิ อีเวนต์
- ทางเดินไล่ระดับสำหรับชมธรรมชาติ (Natural Trail) ให้ทุกคนสามารถเดินชมธรรมชาติได้
ละเอียด ย้ำว่า
“โครงการฯ มุ่งสู่การเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ช่วยยกระดับกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองที่มีคุณภาพ”
นอกจากนี้ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ยังได้จัดกิจกรรมให้ร่วมสนุกในแคมเปญ ‘The Landmark of Thai Pride: Roof Park Naming’ แคมเปญประกวดตั้งชื่อ Roof Park ได้ตั้งแต่วันนี้ – 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ผ่านทาง https://dusitcentralpark.com/roofparknamingcampaign
เพื่อชิงรางวัลรางวัลแพ็คเกจตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักโรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น 3 วัน 2 คืน และรางวัลชมเชย บัตรรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร Pavilion โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ มูลค่า 3,000 บาท จำนวน 5 รางวัล โดยประกาศผลบนช่องทาง https://dusitcentralpark.com/roofparknamingcampaign โดยผลการตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด
เกี่ยวกับโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park)
- โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่าง บริษัทดุสิตธานี จำกัด(มหาชน) และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
- มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท
- ทำเล พัฒนาโครงการบนพื้นที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนพระราม 4 – สีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร
- รายละเอียดโครงการประกอบด้วย
- โรงแรม อาคารที่พักอาศัย
- ศูนย์การค้า
- อาคารสำนักงาน
- Roof Park พื้นที่ สีเขียวขนาดใหญ่ 7 ไร่ (11,200 ตารางเมตร) เป็นสวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
Alternate-X สรุปให้
โครงการ Dusit Central Park มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท พัฒนาโดย ดุสิตธานี และเซ็นทรัลพัฒนา ภายใต้แนวคิด Biophilic Design เชื่อมโยงธรรมชาติกับชีวิตเมือง สร้าง Roof Park สวนลอยฟ้าใหญ่ที่สุดในไทยบนพื้นที่ 7 ไร่ เปิดให้บริการโรงแรมและอาคารสำนักงานแล้ว พร้อมสวนลอยฟ้าและศูนย์การค้าในเดือนกันยายน 2568 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมในเมืองกรุงเทพฯ