VannDa แรปเปอร์กัมพูชา ถูก Coca-Cola ถอดจากแบรนด์แอมฯ เมื่อคนดัง ‘Callout’

จากเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ก่อตัวเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 และยังมาพร้อมกระแสปลุกความตื่นตัวจากแนวหลังของคนทั้งสองชาติ ให้พร้อมรบในโลกไซเบอร์ที่ดุเดือด ได้ไม่แพ้แนวหน้า !!

 

โดยเฉพาะ กระแสแฮชแทค #แบนโค้ก ที่ก่อตัวขึ้นจากฝั่ง ‘Netizen’ ของผู้บริโภคชาวไทย กับการรณรงค์ให้ยุติการดื่มผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมแบรนด์โค้ก (Coca-Cola Coke) ไปจนกว่าแบรนด์ระดับโลกดังกล่าวจะถอดคนดังชาวกัมพูชา ‘ วัณณ์ฎา‘ ( ម៉ាន់ វណ្ណដា) หรือ ‘VannDA’  แวนดา แร็ปเปอร์ คนดังชาวกัมพูชา ที่เคยสร้างชื่อให้ชาวโลกได้รู้จักในตัวเขาและประเทศกัมพูชาได้มากขึ้น จากการโชว์ในมหกรรมพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค 2024 ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่ผ่านมา

 

สถานการณ์ล่าสุด แม้จะยังไม่สามารถสรุปความชัดเจนได้ว่าเป็นการทำงานจากกระแส แฮชแทค #แบนโค้ก หรือไม่?? หลังสำนักข่าว KHMER TIMES รายงานข่าวพร้อมพาดหัวระบุ ‘ประธานวุฒิสภากัมพูชา (จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน) ขอให้ประชาชนกัมพูชา สงบสติอารมณ์หลัง Coca-Cola ยกเลิกการสนับสนุนกับ VannDa ซูเปอร์สตาร์ฮิปฮอปชาวกัมพูชา

 

รายงานข่าวชิ้นนี้ เผยเนื้อหาอ้างอิงจากเฟซบุ๊ค ฮุนเซน เรียกร้องให้ประชาชนกัมพูชาใช้ความระมัดระวังและพิจารณาอย่างรอบคอบในการประเมินกรณีที่บริษัท Coca-Cola ยกเลิกการสนับสนุนศิลปินแร็พชื่อดังของกัมพูชาอย่าง VannDa

 

โดยโพสต์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเที่ยงคืนที่ผ่านมา หลังเกิดกระแสความโกรธของชาวกัมพูชาที่กราดบนสื่อโซเชียล และคว่ำบาตรบริษัทโคคา-โคล่า เนื่องจากบริษัทได้ยกเลิกสัญญาโฆษณากับ VannDa แร็ปเปอร์ดคนดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม การเลิกจ้างยังไม่ได้รับการยืนยันหรือปฏิเสธอย่างเป็นทางการ แต่ชาวเน็ตกัมพูชาออกมาแสดงปฏิกิริยาโกรธเคืองต่อการที่โพสต์และรูปภาพของแร็ปเปอร์ชาวกัมพูชาชื่อดังถูกลบออกไป

 

ขณะที่ ก่อนหน้านี้ Coca-Cola เคยร่วมมือกับ Vannda โดยนำเสนอเขาในแคมเปญและมิวสิควิดีโอต่างๆ รวมถึงแคมเปญ ‘Pass on the Magic’

 

ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว  ‘ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (President & CEO) ของกลุ่ม MI (Media Intelligence Group) ได้เคยให้มุมมองต่อภาพลักษณ์ของคนดังที่มีผลต่อการทำตลาดของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ไว้อย่างน่าสนใจว่า การออกมา Call-out แสดงจุดยืนของ ‘VannDa’ ที่มีต่อประเทศกัมพูชาในเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ในช่วงสั้นอาจส่งผลดีกับตลาดภายในประเทศของกัมพูชาเองมากกว่า

 

“แต่ถ้าวันใด หากมีข้อสรุปออกมาแล้วว่าใครคือสีขาว หรือ สีดำ อาจมีผลกระทบตามมา ด้วยระดับโกลบอลแบรนด์ ต่างๆ จะมี กฎเกณฑ์ compulsory ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนในกิจกรรมด้านใดบ้าง”

 

อย่างไรก็ตาม จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาไม่ถึงเดือน หลังการออกมาเคลื่อนไหวของศิลปินคนดังกัมพูชารายดังกล่าว ที่แม้ว่าจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นผลงานของแฮชแทค#แบนโค้ก จากฝั่งไทยหรือไม่ก็ตาม?

 

แต่สิ่งที่ชวนคิดตามมา คือ มูลค่าของตลาดน้ำอัดลม (CSD) ในไทย ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลจาก Statista เผยว่าตลาดน้ำอัดลมในกัมพูชากำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้รวมของตลาด Soft Drinks ทั้งในและนอกบ้านในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 473.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (ราวกว่า 1.6–1.7 หมื่น ล้านบาท/อัตราแลกเปลี่ยน 35–37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ จากการเติบโตเชิงมูลค่า 255.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2565

 

และ เมื่อเทียบขนาดของตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในทั้ง2 ประเทศแล้ว อาจเป็นหนึ่งในชุดข้อมูลที่ผลิตภัณฑ์แบรนด์ระดับโลกใช้นำมาประกอบการตัดสินใจยุติคนดังกัมพูชารายดังกล่าวในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อรักษากำลังซื้อในตลาดที่มีศักยภาพกว่า หรือด้วยเหตุผลอื่นมาประกอบตาม compulsory ของแบรนด์ หรือไม่? อีกเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม เหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนชัดถึงความเกี่ยวพันทั้งในมิติ การเมือง สังคม และการตลาดที่สะท้อนภาพสู่เศรษฐกิจระดับท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ด้วยหากเป็นการปลด VannDa จากการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์จริง ยังเป็นกรณีศึกษาสำคัญของความท้าทายทาง Brand Positioning ในตลาดที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองสูง ทำให้แบรนด์ระดับโลกต้องมีนโยบายชัดเจนในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการขัดแย้งทางอุดมการณ์

 

และยังเป็นหนึ่งในกรณีศึกษา Brand สำคัญ ด้าน ‘Soft Power’ จากตัวบุคคลอย่าง VannDa ที่ทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมดนตรีของชาติกัมพูชา ที่นำมาขยายผลสู่การเมือง แต่สร้างแรงกระเพื่อมไปต่อแบรนด์ ธุรกิจ และภาพลักษณ์ประเทศได้

 

Alternate-X สรุปให้ 

 

 

กรณี ‘VannDa’ แรปเปอร์กัมพูชา ถูก Coca-Cola ถอดจากแบรนด์แอมบาสเดอร์หลังเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา กระแส #แบนโค้ก ถูกจุดขึ้นโดยผู้บริโภคไทย แม้ยังไม่ยืนยันผลลัพธ์อย่างชัดเจน แต่สะท้อนถึงแรงกระเพื่อมทางการเมือง สังคม และ Soft Power ของคนดังต่อแบรนด์ระดับโลก การตัดสินใจครั้งนี้ชี้ให้เห็นความท้าทายของ Brand Positioning และการบริหารความเสี่ยงในตลาดที่อ่อนไหวทางการเมือง

 


อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

 

บทความล่าสุด

COLLABORATE IDEAS, CREATE SUCCESS


FOLLOW US

© 2024 Maxideastudio. All Rights Reserved.