Alternate X SDLG Thailand ชวนอ่านกลยุทธ์และทำความรู้จักกับ เอสดีแอลจี ‘SDLG’ แบรนด์ธุรกิจเครื่องจักรหนักสัญชาติจีน มาตรฐานยุโรป กับแผนเข้าตลาดไทยบนความท้าทายในอุตสากรรมก่อสร้างกว่า 2 แสนล้านบาท ด้วยกลยุทธ์การสร้างความเชื่อมั่นสินค้า ที่มาพร้อม’ราคา’ สมเหตุสมผลจากข้อได้เปรียบภาษีนำเข้า 0% จากประเทศจีน
SDLG ทำอะไร?
ก่อนอื่น มาทำความรู้จัก SDLG ดำเนินการภายใต้บริษัท ซานตงหลิงกง คอนสตรัคชั่น แมชชีนเนอรี (Shandong Lingong Construction Machinery Co., Ltd.) ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องจักรหนัก ประเทศจีน มานานร่วม 5 ทศวรรษในปัจจุบัน กับหลักคิดตลอดแนวทางการทำงานภายใต้มาตรฐานสากล ด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ถูกถ่ายทอดองค์ความรู้ (Know-How) จาก Volvo CE ผู้ผลิตยนตกรรรมชั้นสูง ยุโรป ในช่วงก่อนหน้า มาสร้างจุดเด่นแบรนด์ให้มีความแตกต่างไปจากผู้เล่นรายอื่นจากฐานการผลิตในประเทศเดียวกัน
โดยจุดเด่นดังกล่าวนี่เอง ทำให้ SDLG มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการขยายตลาดนอกประเทศจีน ล่าสุด ‘ไทย’ นับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายปลายทางสำคัญ ที่ SDLG ตัดสินใจเข้ามาลงทุนเป็นแห่งที่สอง ต่อจากประเทศอินโดนีเซีย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พลิกโฉมงานก่อสร้าง ‘ไทย-จีน’
โดย SDLG ขยับการลงทุนครั้งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียฯ โดยใช้กลยุทธ์ความร่วมมือกับ บริษัท ที.ซี.ซี. ลิสซิ่ง แอนด์บิสซิเนส จำกัดในฐานะพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศไทย เพื่อจัดตั้ง 2 ธุรกิจใหม่ร่วมกันในประเทศไทย คือ
- บริษัท เอสดีแอลจี ไทยแลนด์ จำกัด (SDLG Thailand) ใช้ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนการถือหุ้น 90% เป็นของบริษัทที.ที.ซีฯ และอีก 10% เป็นของบริษัท SLDG ประเทศจีน
ทำหน้าที่ นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องจักร SDLG อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งบริหารความพึงพอใจลูกค้าในภาพรวม
- บริษัท เอสดีแอลจี ลีสซิ่ง แอนด์ เซอร์วิส (SLDG Leasing and services) ใช้ทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท พร้อมวงเงินสนับสนุนกว่า 4,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการถือหุ้น 66% เป็นของบริษัทที.ที.ซีฯ และอีก 34% เป็นของบริษัท SLDG ประเทศจีน
ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการด้านการเงินครบวงจร สำหรับรถใหม่ และรถมือสอง
‘ยศวัฒน์ เรืองรักษ์ลิขิต’ กรรมการผู้จัดการบริษัท ที.ซี.ซี. ลิสซิ่ง แอนด์บิสซิเนส จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ เพื่อรองรับโอกาสทางการค้าและธุรกิจในอุตสาหกรรมงานก่อสร้างในไทยที่เติบโตต่อเนื่อง จากในไตรมาส2 ปี2568 มีมูลค่ามากกว่าสองแสนล้านบาท ขยายตัวราว 34.5% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน (อ้างอิงข้อมูล ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์)
โดยการเติบโตมาจาก ปัจจัยหลัก การขยายตัวงานก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐ และเอกชน โดยเฉพาะการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) รวมถึงความต้องการใช้งานรถขุด รถตัก และรถเกรดเดอร์ ในภาคการเกษตร เป็นต้น
แก้เพนต์พอยต์ ซ่อมนานรออะไหล่
‘ยศวัฒน์’ กล่าวว่าแบรนด์ SDLG ภายใต้การดำเนินงานของ เอสดีแอลจี ไทยแลนด์ จะยังเข้ามาช่วยลูกค้าแก้ปัญหาเชิงลึก (Pinpoint) โดยเฉพาะงานบริการหลังการขาย การดูแลซ่อมบำรุงเครื่องจักร โดยไม่ต้องรอชิ้นส่วนอะไหล่เป็นระยะเวลานาน ด้วยเครื่องจักรหนัก SDLG ในทุกรุ่น มีความพร้อมของอะไหล่ที่ตรงกับสล็อตและรุ่นการผลิต ซึ่งเป็นไปตามาตรฐานยุโรป
“จากประสบการณ์ในการทำตลาดบริษัทซี่งเป็นผู้นำเข้าและทำตลาดเครื่องจักรแบรนด์จีนมาก่อนหน้าไม่ต่ำกว่า 20 ปี พบเพนต์พอยต์หลัก คือ ลูกค้าจะรอระยะเวลาการซ่อมบำรุงนานซึ่งมาจากคำสั่งซื้ออะไหล่เครื่องจักรที่มักไม่ตรงรุ่นกับเครื่องจักรที่ใช้งาน ซึ่งกลายเป็นต้นทุนที่ลูกค้าต้องสูญเสียจากโอกาสในการทำงานของแต่ละวันที่หายไป”
ยศวัฒน์ กล่าว
เจาะตลาดทั่วไทย
สำหรับแนวทางการทำธุรกิจของ เอสดีแอลจี ไทยแลนด์ จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ (Phase) คือ ในช่วง1-3 ปีแรก จะมุ่งสร้างระบบเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมสร้างการรับรู้แบรนด์ SDLG ให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ทั้งภาครัฐ เอกชน ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง โรงงาน เหมือง และภาคการเกษตร
โดย SDLG Thailand จะเป็นผู้นำเข้าและทำตลาดสินค้าเครื่องจักรหนักในรุ่นและราคาที่เหมาะสมมีตั้งแต่ระดับราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท ไปจนถึงระดับราคา 7-8 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดศูนย์บริการหลังการขายและดูแลรักษา ในเบื้องต้นจำนวน16 แห่ง ครอบคลุมจังหวัดหัวเมืองทั่วประเทศ อาทิ เชียงใหม่, ขอนแก่น, อุดรธานี,อุบลราชธานี, สงขลา, สุราษฎร์ธานี, ชลบุรี, ระยอง, กรุงเทพฯ และ ภูเก็ต เป็นต้น
โดยในระยะถัดไป อาจมีแผนจัดตั้งโรงงานเอสดีแอลจี ในประเทศไทย เพื่อรองรับการเติบโตในอุตสาหกรรมก่อสร้างในอนาคต เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจร่วมกันในด้านต้นทุนการดำเนินงาน ด้วย
‘การดูแล’ หัวใจเข้าถึงลูกค้า
ยศวัฒน์ กล่าวต่อ ถึงความท้าทายในการทำตลาดท่ามกลางการแข่งขันในตลาดที่มีผู้เล่นที่แข็งแรงก่อนหน้า โดยบริษัทฯ วางแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นแบรนด์ SDLG ในตลาดประเทศไทย โดยต่อยอดจากประสบการณ์ในตลาดเครื่องจักรหนักในช่วง 15 ปีก่อนหน้าที่ผ่านมา ซึ่งมีความคุ้นเคยและเข้าใจความต้องการเชิงลึกลูกค้ากลุ่มนี้ โดยเฉพาะงานบริการหลังการขายหลังจากสินค้าหมดประกัน ซึ่งบริษัทฯ มีฐานข้อมูล (Data Base) ไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน
“การทำงานของเอสดีแอลจี ไทยแลนด์ จะใช้ทั้งแผนเชิงรุกและรับเพื่อเข้าถึงฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ไปพร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีอยู่ในตลาดเครื่องจักรหนักที่ปัจจุบันมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท แบ่งสัดส่วน 80% เป็นกลุ่มรถขุด และ รถตัก”
ยศวัฒน์ กล่าว
ลดต้นทุน เท่ากับเพิ่มโอกาส
ด้าน ‘คณิต ลิมปิพิชัย’ นายกสมาคมลีสซิ่งไทย เปิดเผยในฐานะกรรมการผู้บริหาร บริษัทเอสดีแอลจี ลิสซิ่งแอนด์เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า บริษัทวางแนวทางการทำตลาดเครื่องจักรหนัก SDLG ในประเทศไทย จะใช้จุดแข็งความครบวงจร ทั้งสินค้า งานบริการหลังการขาย และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อตอกย้ำจุดแข็งการเข้ามาทำตลาดในไทยอย่างจริงจัง
“จากประสบการณ์และความเข้าใจเชิงลึกกลุ่มลูกค้าที่มักนิยมโมเดลการเช่าซื้อเครื่องจักรหนักในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และระยะเวลาสัญญาการผ่อนเช่าซื้อที่เหมาะสม โดยบริษัทฯจะนำอินไซต์เหล่านี้พัฒนาทั้ง ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ด้วยสินค้ามาตรฐานยุโรป มาให้ความสะดวกและสภาพคล่องด้านราคาให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่เข้ามาช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน”
คณิต กล่าว
โดยในเบื้องต้น บริษัทฯ เตรียมวงเงินสินเชื่อเช่าซื้อให้บริการรถใหม่และมือสองไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท พร้อมหมุนเวียนในระยะเวลาราว 4 ปี วางเป้าหมายในปี 2569 จะมียอดจำหน่ายเครื่องจักรหนัก SDLG ราว 500 คัน คิดเป็นมูลค่ารายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท จากนั้นในปีถัดไปจะเพิ่มเป็น 600 และ 700 คัน
จากแผนทั้งหมดของ SDLG ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นจากโอกาสการลงทุนทางธุรกิจที่สะท้อนผ่านศักยภาพการเติบโตอุตสาหกรรมก่อสร้าง และภาคการเกษตรของไทย ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวในอนาคต
Alternate-X สรุปให้
SDLG แบรนด์เครื่องจักรหนักจากจีน เดินหน้าขยายตลาดในไทย รับมูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้างกว่า 2 แสนล้านบาท ชูจุดแข็งมาตรฐานยุโรปที่ได้รับการถ่ายทอดจาก Volvo CE และข้อได้เปรียบภาษีนำเข้า 0% จากการร่วมทุนกับ TCC Leasing ตั้ง 2 บริษัทใหม่ในไทย ทั้งด้านจัดจำหน่ายและบริการทางการเงินครบวงจร เน้นเจาะตลาดด้วยบริการหลังการขายและอะไหล่ที่พร้อมรองรับ ลดปัญหาซ่อมนาน เพิ่มความมั่นใจลูกค้า เป้าหมายระยะยาว คือ สร้างเครือข่ายบริการทั่วประเทศ พร้อมโอกาสจัดตั้งโรงงานผลิตในอนาคต