จากจุดเริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารในเครือไมเนอร์ ฟู้ด ของ ‘วิลเลียม ไฮเน็ค’ หรือ ‘บิล’ นักธุรกิจสัญชาติไทยเชื้อสายอเมริกัน ผู้ก่อตั้งอาณาจักรไมเนอร์ กรุ๊ป ที่มองเห็นโอกาสธุรกิจอาหารครั้งใหญ่ในไทย ด้วยการเปิดตลาดร้านอาหารเครื่องดื่มแบรนด์ต่างประเทศในไทย ครั้งแรกเมื่อปี 2523
ในยุคนั้น ไมเนอร์ ฟู้ด เป็นผู้รับสิทธิบริหารจัดการแฟรนไชส์ร้านอาหารและของหวานไอศกรีมแบรนด์ดังต่างๆ จากสหรัฐอเมริกา ทั้ง สเวนเซ่นส์ (Swensen’s) แดรี่ควีน (Dairy Queen) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงถึงในตอนนี้ รวมถึงร้านสเต็กสลัด ซิซซ์เล่อร์ (Sizzler) ได้เข้าทำความรู้จักกับผู้บริโภคชาวไทยในปี 2535
นอกจากนี้ ยังมีร้านพิซซ่าแบรนด์ดังที่ประสบความสำเร็จในตลาดสหัฐฯ เช่นกัน ก่อนธุรกิจเกิดจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในปี 2543 จนต้องพลิกบทบาทจากแฟรนไชส์ซี (Franchisee)แบรนด์พิซซ่าที่โด่งดังในยุคนั้น มาสู่บทบาทใหม่ในฐานะผู้พัฒนาและเจ้าของแบรนด์พิซซ่าท้องถิ่น ‘The Pizza Company’ เพื่อทำตลาดแข่งขันกับแบรนด์พิซซ่าระดับโลกดังกล่าว โดยเฉพาะ
ถึงในปัจจุบัน ไมเนอร์ ฟู้ด ดำเนินธุรกิจสู่ปีที่ 45 พร้อมพอร์ตร้านอาหารในเครือไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์เพื่อทำในตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ
และจากนี้ไปอาณาจักรไมเนอร์ฟู้ด ได้เข้าสู่ทศวรรษที่ 5 ของธุรกิจพร้อมยุทธศาสตร์การตลาดในอีก 5 ปีหน้า (2568-2572) ด้วยแผนพาแบรนด์ร้านอาหารสัญชาติไทยที่พัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อส่งออกตลาดในต่างประเทศ
‘ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
สู่อาณาจักร ‘ฟู้ด โกล บอล’
‘ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวทิศทางการดำเนินธุรกิจตลอดช่วงปี 2568-2572 ด้วยกลยุทธ์ ‘Passion for Growth’ มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับโมเดลธุรกิจ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรแฟรนไชส์ในตลาดศักยภาพทั่วโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลงทุนและผลตอบแทน
โดยปัจจุบัน ไมเนอร์ ฟู้ด มีพอร์ตธุรกิจมากกว่า 30 แบรนด์ และร้านค้ากว่า 2,700 สาขาใน 24 ประเทศ โดยเป็นร้าน แฟรนไชส์ จำนวน 1,300 สาขา หรือคิดเป็น 48% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ในอนาคตโดยใช้กลยุทธ์การขยายธุรกิจร้านอาหารผ่าน 3 แกนหลักสำคัญ
แดรี่ควีน สาขาใน C-Store ยอดโต20%
กลยุทธ์ที่1 ขยายแบรนด์แฟรนไชส์ ในไทยให้ครอบคลุมมากขึ้น ด้วยแบรนด์ที่ได้รับความนิยม เช่น
- บอนชอน (Bonchon)
- แดรี่ควีน (Dairy Queen)
- กาก้า (GAGA) เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั่วประเทศที่เพิ่มขึ้น
สำหรับ แบรนด์ แดรี่ควีน บริษัทฯ พัฒนาร้านฟอร์แมทใหม่ Dairy Queen stand-alone modular store ที่เปิดร่วมกับร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store:C-Store)ที่มีที่จอดรถ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบาย ใกล้กับที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันแดรรี่ควีนมีสาขาทั่วประเทศราว 530-540 แห่ง
“เทรนด์บริโภคที่น่าสนใจพบว่าปัจจุบันลูกค้ามีแนวโน้มการรับประทานอาหารมื้อดึก เลท ไนท์ (Late Night) มากขึ้น ซึ่งหลังเปิดแดรี่ควีน โมดูล่า ร่วมกับพาร์ตเนอร์ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น และ โลตัส พบว่ามียอดขายจากช่วงเวลาดึกขึ้นราว 20% โดยบริษัทฯ วางแผนเปิดสาขาโมเดลนี้เพิ่มเป็น 15 แห่งในปีนี้”
ธันยเชษฐ์ เสริมว่า แดรี่ ควีน โมดูล่า ที่มีอัตราการเติบโตดังกล่าว มาจากปัจจัยการเป็นฟอร์แมตสาขาภายใต้แนวคิด (Concept) ใหม่ ที่คิดขึ้นมาเพื่อลดความเสี่ยงผู้ประกอบการลงทุนแฟรนไชส์ด้านทำเล จากเดิมจะต้องเปิดในพื้นที่ร่วมกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โดยแดรี่ควีน โมดูล่า สโตร์ จะพัฒนาพื้นที่ขายร่วมกับร้านค้าปลีกสะดวกซื้อที่มีพื้นที่จอดรถ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการโมเดลสาขาใหม่
“แดรี่ควีน ฟอร์ตแมตโมเดลใหม่นี้ ยังได้แอพพรูฟและเป็น เบสต์ แพรคทีส จากบริษัทแม่ในสหรัฐฯ เพื่อนำมาใช้เร่งขยายสาขาในไทยด้วย”
สำหรับแบรนด์เดอะพิซซ่า คอมปะนี มีจำนวน 430 สาขาทั่วประเทศ และ สเวนเซ่นส์ มีกว่า 400 สาขาทั่วประเทศ เช่นกัน ซึ่งบริษัทฯวางแนวทางขยายสาขาในรูปแบบแฟล็กชิปสโตร์ ในทำเลที่ดึงดูดเพื่อสร้างให้เป็นแลนด์มาร์ค ในพื้นที่ท้องถิ่นแต่ละแห่งด้วย
“ร้านสเวนเซ่นส์ บีช คอนเซปต์ สโตร์ สาขาบางแสนหลังเปิดให้บริการ 7-8 เดือนที่ผ่านมาได้การตอบรับสูงและสร้างยอดขายติดท็อปไฟว์ของแบรนด์”
แมปตลาดอินโด-อินเดีย คือ อนาคต
สำหรับกลยุทธ์ที่2 การเข้าตลาดยุทธศาสตร์ (Strategic Market) ในต่างประเทศ ต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย บริษัทฯ ใช้แบรนด์ แดรี่ ควีน (Dairy Queen) และ กาก้า (GAGA) เร่งขยายเพิ่มขึ้น
รวมถึง ประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ประเทศเพื่อนบ้าน CLMV และภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้วยแบรนด์หลัก เช่น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company) สเวนเซ่นส์ (Swensen’s) ซิซซ์เล่อร์ (Sizzler) และเดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club)
“ตลาดอินโดนีเซีย มีความน่าสนใจจากกำลังซื้อประชากรที่ยังเป็นวัยแรงงาน ซึ่งไมเนอร์ฯเข้ามาราว 1 ปีก่อนด้วยแบรนด์แดรี่ควีนและกาก้า ซึ่งหลังผู้บริโภคชาวอินโดฯให้การตอบรับเมนูเครื่องดื่มชาไทยที่ได้ความนิยมสูง”
ปัจจุบัน มีสาขาแดรี่ควีน 38 แห่งและ กาก้า 32 สาขา ในอินโดนีเซีย
ธันยเชษฐ์ เสริมว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ยังมีแผนขยายธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร ฮอต เชน (Hot Chain Restauran) แบรนด์ในเครือไมเนอร์ฟู้ด เพื่อเข้าตลาดอินโดนีเซีย และ อินเดีย ด้วยมองเห็นศักยภาพซึ่งเป็นตลาดทางยุทธศาสตร์ทั้ง2 ประเทศ ที่มีแนวโน้มการบริโภคเติบโตสูงในอนาคต
พร้อมมองหาโอกาสใหม่ระดับภูมิภาคในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ด้วยนำแบรนด์ เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) เข้าไปทำตลาด และแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์เทปันยากิ Benihana เป็นต้น พ้อมวางแผนเข้าตลาดในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยแบรนด์ในเครือที่มีศักยภาพ ภายในสิ้นปี 2568 นี้ด้วยเช่นกัน
พาแบรนด์สัญชาติไทยส่งออกแฟรนไชส์
กลยุทธ์ที่3 พัฒนาและขยายแบรนด์ใหม่ ที่ตอบโจทย์เทรนด์อาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านการพัฒนาเอง การร่วมลงทุนกับพันธมิตร รวมถึง การเข้าซื้อแบรนด์ที่มีศักยภาพ เช่น
การเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ (The STEAK & MORE) ที่ไมเนอร์ ฟู้ด พัฒนาขึ้นมาเองเพื่อมาตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบรับประทานสเต็กรสชาติเข้มข้น ในราคาที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้ง่าย
ปัจจุบัน เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ มี 5 สาขา
- ศูนย์การค้าเมกะบางนา
- ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม9
- ศูนย์การค้าอิมพีเรียล สำโรง
- ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสเกต
- True Digital Park
“ในปี2568 นี้จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของไมเนอร์ฟู้ด มีความเป็นไปได้ที่พาเฮ้าส์แบรนด์ที่พัฒนาขึ้นมาทั้งเดอะพิซซ่า คอมปะนี และ เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ ส่งออกตลาดร้านอาหารในต่างประเทศในฐานะแฟรนไซซี”
ทั้งนี้ จากแผนกดังกล่าวจะเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อยกระดับแบรนด์ในเครือสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก พร้อมสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน โดยบริษัทฯวางเป้าหมายใน 2572 ไมเนอร์ ฟู้ด มีจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มรวมทั้งสิ้นกว่า 4,500 ร้าน เพิ่มขึ้นราว 1,800 สาขาในปัจจุบันมีจำนวน 2,700 แห่ง และมีสัดส่วนสาขาแฟรนไชส์ 2500 แห่ง เพิ่มขึ้น 1,200 สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่ 1,300 แห่ง หรือคิดเป็น 56% ของพอร์ตธุรกิจทั้งหมด
Alternate-X สรุปให้
ธุรกิจร้านอาหารในกลุ่มไมเนอร์สู่ปีที่ 45 พร้อมวางแผน 5 ปี (2568-2572) ไมเนอร์ ฟู้ด ด้วยกลยุทธ์ ‘Passion for Growth’ เพื่อขยายอาณาจักรธุรกิจร้านอาหารและส่งออกแฟรนไชส์ แบรนด์สัญชาติไทยที่พัฒนาเองอย่าง The Pizza Company และ The STEAK & MORE สู่ตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเร่งขยายแบรนด์ดังเช่น Dairy Queen และ GAGA ในตลาดอินโดนีเซียและอินเดีย พร้อมเพิ่มสาขาทั่วโลกรวมเป็น 4,500 แห่ง และมีสัดส่วนแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 56% ภายในปี 2572