An AI-generated image by ChatGPT
MI Group รีวิวประเทศไทยครึ่งแรกปี68 ผ่านมาได้แบบนี้เก่งแล้ว ท่ามกลางผันผวนกระทบกำลังซื้อ มาถึงครึ่งหลังของปีเจอข้อพิพาทเพื่อนบ้านอีก แนะทางรอดแบรนด์สินค้า รับเม็ดเงินสื่อโฆษณา 87,770 ล.บาทโต 1.5% ปีนี้
ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อประเทศไทยในครึ่งแรกของปี 2568 ที่ผ่านมา เผชิญความผันผวนรอบด้าน
ทั้ง
- นโยบายภาษีการค้าโลก ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
- การเมืองระดับประเทศ
- ภัยธรรมชาติ
- จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปแต่ได้กลุ่มใหม่มาทดแทน
ปัจจัยดังกล่าว มีผลต่อการตัดสินใจวางแผนการทำตลาดแบรนด์สินค้า โดยเม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 42,843 ล้านบาท (เติบโต +1.1% หรือ +465 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
สื่อดิจิทัล-นอกบ้าน มาแรงจัด
โดยเม็ดเงินเติบโตหลักๆมาจาก
1.สื่อดิจิทัล ทั้งรายเดิมและใหม่เข้ามาจำนวนมาก ทำให้เม็ดเงินของสื่อดิจิทัลสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกเม็ดเงินสื่อดิจิทัลอยู่ที่ 17,278 ล้านบาท (เติบโต +9% หรือ +1,354 ล้านบาท)
ขณะที่ MI LEARN LAB สำรวจตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ ประเมินว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท หรืออีกกว่า 30% ของเม็ดเงินที่รายงานโดย มาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) (DAAT)
2. สื่อนอกบ้าน OOH (Out-of-Home Media)มีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัย โดยเม็ดเงินครึ่งปีแรกอยู่ที่ 7,041 ล้านบาท (เติบโต +11% หรือ +715 ล้านบาท) เติบโตหลักๆมาจากสื่อในรูปแบบจอดิจิทัล และ สื่อ Transit – ระบบขนส่งมวลชน BTS และ MRT
“คาดว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ สื่อทรานซิสจะยิ่งเติบโตจากจำนวนผู้โดยสารที่จะพุ่งสูงขึ้นตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ภวัต กล่าวพร้อมเสริมว่า “ใน 6-7 เดือนแรกปี68 ที่ผ่านมา ภาพรวมเศรษฐกิจไม่มีอะไรดี ประเทศไทยรอดมาได้ถือว่าเก่งแล้ว”
โฟกัส ‘นักท่องเที่ยวคุณภาพ’
ภวัต กล่าวต่อว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาและการตลาดในครึ่งหลังปีนี้ จะมีแนวโน้มกลับมาโตอย่างระมัดระวัง จากแบรนด์สินค้ากลับมาใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อชิงยอดขายกำลังซื้อมีอยู่อย่างจำกัด และยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในไตรมาส3-4 ยังสัญญาณบวก จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาด้วยเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว จากครึ่งแรกของปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 16.8 ล้านคน และพบว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ จากข้อมูลดังนี้
- นักท่องเที่ยวยูเครน ใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ย 70,000 บาท
- นักท่องเที่ยวรัสเซีย ใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ย 60,000 บาท
- นักท่องเที่ยว จีน ใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ย 50,000 บาท
- นักท่องเที่ยวอินเดีย ใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ย 42,000 บาท
ทั้งนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาติดังกล่าวมีแนวโน้มใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้น ซึ่งการท่องเที่ยวไทยควรมุ่งทำตลาดเจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้นนับจากนี้ จากสถิติประเทศที่เดินทางมาไทยมากสุดตามลำดับ คือ มาเลเซีย, จีน, อินเดีย, รัสเซีย, ยูเครน และ เกาหลี
“แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยจะลด แต่ยังชดเชยได้จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มดังกล่าว”
ภวัต กล่าว
ขณะที่ในครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จากประเทศกลุ่มใหม่ๆ อยู่ที่ 20.2 ล้านคน (เทียบเท่าระดับก่อนโควิด) สร้างรายได้ 1.46 ล้านล้านบาท จากกลุ่มพรีเมียมและสายไลฟ์สไตล์
โดยตลาดอินเดีย เติบโตทะลุ 1 ล้านคน ตามมาด้วย ยุโรป-ตะวันออกกลางฟื้นตัวแรง จากจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้น, มาตรการรัฐเอื้อวีซ่าส่งเสริมการเดินทาง, เงินบาทอ่อน ปัจจัยหนุนประเทศไทยให้ เป็นปลายทางการเดินทาง ‘คุ้มค่า’
เข้าสู่ยุคผู้ขายล้นตลาด
ภวัต เสริมว่า จากภาพรวมดังกล่าว ในครึ่งหลังปี 2568 นี้ คาดว่าตลาดกำลังซื้อยังซบเซาต่อเนื่อง สวนทางกับความนิยมและการเข้าถึงของแพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย ต่างๆของคนไทย สอดคล้องกับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในช่องทางโซเชียลฯ ที่เติบโตสูงขึ้นต่อเนื่อง
จากแนวโน้มดังกล่าว ผลักดันให้มีผู้ขายเกิดใหม่ (ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ) ในทุกช่องทาง ตั้งแต่แบรนด์ใหญ่ พ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึงอินฟลูเอ็นเซอร์และครีเอเตอร์ ขายตรงผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีจำนวนอินฟลูฯ และครีเอเตอร์ (จริงจังในการหารายได้ผ่านช่องทางต่างๆ) จำนวนแตะ 3 ล้านราย และหากรวมมือสมัครเล่น มีจำนวนแตะ 9 ล้านราย
“แนวโน้มดังกล่าว ผู้ประกอบการ แบรนด์สินค้า ต้องเตรียมพร้อมกลยุทธ์การตลาดที่จำเป็นในยุคที่ใครๆก็ได้ขาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ขายได้”
ภวัต กล่าว
แบรนด์ต้องเข้าใจลูกค้าให้เก่ง
พร้อมกล่าวต่อการอยู่รอดของแบรนด์ ‘Brand Survival Guide: อยู่รอดอย่างเข้าใจ ในยุคที่ทุกคนคือผู้ขายในโลกที่ไม่ว่าใครก็สามารถ ‘ขายของ’ ได้ใน 10 นาที เมื่อผู้ซื้อมีทางเลือกมากเกินไป โดยแบรนด์ต้องตอบให้ได้ไม่ใช่แค่ ‘ขายให้ได้’ แต่คือ ‘ขายให้โดนใจ’ ในยุคที่ทุกแพลตฟอร์มคือหน้าร้าน ทั้ง TikTok, Facebook, IG, LINE, หรือแม้แต่ตลาดนัด ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ของไม่พอขาย แต่อยู่ที่ ‘ผู้บริโภคไม่มั่นใจพอจะซื้อ’ และเลือกซื้อน้อยลงกว่าเดิม โดยสินค้ากลายเป็นของทดแทนกันได้ง่าย (Commoditized)
ขณะที่ พฤติกรรมเชิงลึกของผู้บริโภคในปี 2025 นี้ ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อของ…แต่ซื้อ ‘เหตุผล’ เลือกซื้อจาก ‘แบรนด์ที่ตนเชื่อใจ’ มากกว่าแบรนด์ที่ดัง ตัดสินใจจาก ‘ความรู้สึก’ ไม่ใช่แค่ “โปรโมชั่น” และเชื่อครีเอเตอร์ และ คอมมูนิตี้ มากกว่าการโฆษณา ให้ความสนใจแบรนด์ที่มี ‘คุณค่า’ และ ‘จุดยืน’
ขณะที่ การนำกลยุทธ์ ‘อยู่รอด’ ที่ไม่ใช่แค่ ‘ขายเก่ง’ แต่ต้อง ‘เข้าใจเก่ง’ ประกอบด้วย
- Positioning ตำแหน่งผลิตภัณฑ์การตลาดที่ชัด ขายให้เฉพาะคนที่ใช่ เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ ‘อิน’ กับแบรนด์ ขายของที่ ‘มีความหมาย’ ไม่ใช่แค่ ‘ขายได้’
- Connection สร้างความสัมพันธ์เครือข่ายก่อนนำไปสู่การขาย Conversion ด้วยคอนเทนต์ที่จริงใจ ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ มีบทสนทนา ไม่ใช่แค่ยิงโฆษณา ฟังลูกค้าให้มากเท่าที่พูดกับเขา
- Micro Wins เริ่มเล็กแต่แน่น เจาะวัฒนธรรมย่อย Subculture, กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Niche) หรือชุมชน (Community)
- สร้างฐานกลุ่ม (Fan) ก่อนสร้างยอดขาย เพื่อเปลี่ยนลูกค้าเป็น Brand Advocate ผู้ชื่นชอบแบรนด์และพร้อมบอกต่อ
- ขาย ‘เหตุผล’ ไม่ใช่แค่ ‘สินค้า’ สร้างจุดยืนที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ลูกค้าเชื่อ สร้างการมีความหมาย (Meaning) มากกว่าแค่ฟังก์ชัน (Function)
ภวัต ย้ำว่า
“แบรนด์ที่อยู่รอดได้ ไม่ใช่เพราะเสียงดังที่สุด แต่เพราะเข้าใจลึกที่สุด”
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเป้าหมายที่น่าจับตา คือ ‘Gen Horizon 45+’ กลุ่มวัยกลางชีวิต 45+ ที่เริ่มมองเส้นขอบฟ้า ไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเปลี่ยน ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 20 ล้านคน++ ขึ้นไป ซึ่งจะเป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ด้วยมีกำลังซื้อสูง เป็นผู้บริโภคที่ไม่ช้ำ ไม่โลเล ไม่ถูกสปอยล์หนัก และยังมีความภักดีให้แบรนด์ที่เข้าใจเขาจริง พร้อมเปิดรับแบรนด์ใหม่ ต้องการการสื่อสารที่เคารพในความคิดและประสบการณ์
พร้อมทิ้งท้ายว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมโฆษณาและสื่อสารตลาดตลอดปีนี้ 2568 จะโตแต่แผ่ว ที่ +1.5% มูลค่ารวมประมาณ 87,077 ล้านบาท (ปรับลดจากคาดการณ์เดิมที่ +2.2%)
‘แบรนด์’ มอนิเตอร์แรงปะทะไทย-กัมพูชา
ภวัต กล่าวว่า จากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และเริ่มคลี่คลายหลังการเจรจาหยุดยิงไปเมื่อหลังเวลา 24.00 น.วันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดหลังเกิดเหตุการณ์ฯ ซึ่งทางแบรนด์สินค้าได้พักการทำตลาด/กิจกรรมในกัมพูชา ในช่วง 3 วันแรกเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดก่อนวางแผนการทำตลาดในรอบใหม่
ปัจจุบัน มีสินค้าแบรนด์ไทยในการดูแลของบริษัท ฯ 3 หมวดหลัก คือ
- กลุ่มสินเค้าเครื่องดื่ม
- กลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง
- กลุ่มสินค้า ชอปปิง
“การโฮลด์กิจกรรมการตลาดสินค้าจากไทยในกัมพูชา ช่วงดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบเชิงยอดขายมากนัก ด้วยขนาดตลาดกำลังซื้อในกัมพูชายังมีขนาดเล็ก”
ภวัต กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาทั่ง 6 ด่าน ครอบคลุม จังหวัด ศรีษะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทรบุรี ตราด ปัจจุบันมีมูลค่าราว 500 ล้านบาท แบ่งเป็นการขายจากฝั่งไทยราว 400 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท จากฝั่งกัมพูชา ซึ่งการค้าการขายแบบซื้อมาขายไปบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา คาดจะได้รับผลกระทบมากกว่าในรูปแบบแบรนด์สินค้าที่เข้าไปทำตลาดตรงในกัมพูชา
ด้าน วิชิต คุณคงคาพันธ์ Head of International Business Development กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด (MI GROUP) กล่าวว่าผลสำรวจ MI Bridge กลุ่มธุรกิจดำเนินงานด้านสื่อสารการตลาด และ MI Learn Lab หน่วยงานที่นำเสนอข้อมูลเชิง Marketing Insights ในเครือ MI พบว่าปัจจุบันมีแรงงานกัมพูชาที่ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการราว 4-5 แสนราย และอยู่นอกระบบรวมกันไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านคน
โดยแรงงานกัมพูชามีวิถีชีวิตการทำงานกระจายอยู่ในอุตสากรรมธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจก่อสร้างมากกว่า 10% และมีการอยู่อาศัยแบบไม่รวมกลุ่ม ขณะที่แรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน เมียนมา เข้ามาอาศัยในประเทศไทยมีจำนวนมากสุดอยู่ที่ 6-7 ล้านราย
Alternate-X สรุปให้
MI Group วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยครึ่งแรกปี 2568 เผชิญความผันผวนแต่ “รอดมาได้เก่งแล้ว” ด้วยเม็ดเงินโฆษณาครึ่งปีแรกโต 1.1% โดยสื่อดิจิทัลและ OOH เติบโตโดดเด่น คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาทั้งปี 2568 อยู่ที่ 87,077 ล้านบาท เติบโต 1.5% แม้ครึ่งหลังเจอข้อพิพาทเพื่อนบ้าน แต่ปัจจัยบวกจากนักท่องเที่ยวคุณภาพยังหนุนตลาด MI Group แนะแบรนด์ปรับกลยุทธ์สู่ ‘Brand Survival Guide’ เน้นเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง สร้างความสัมพันธ์ และขาย “เหตุผล” มากกว่า “สินค้า” ในยุคที่ผู้ขายล้นตลาด โดยชี้ Gen Horizon 45+ เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ