ในปี 2568 นี้มีอีกหนึ่งปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าจับตาท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว คือ ‘การเติบโตของตลาดหม้อหุงข้าว’ แต่ทว่าสวนทางกับการผลิตภายในประเทศที่ลดลง
แนวโน้มดังกล่าว นับเป็นสัญญาณสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของไทย
หม้อหุงข้าวจีน ใช้ราคาแข่ง
จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ตลาดหม้อหุงข้าวในประเทศไทยปี 2568 นี้ มีแนวโน้มเติบโตขึ้นประมาณ 3% แม้จะเป็นอัตราที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็นับว่าน่าสนใจเมื่อพิจารณาว่าภาคการผลิตภายในประเทศกลับ ลดลงอย่างต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้นของแนวโน้มนี้สามารถโยงกลับไปยังช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากปัจจัยต่างๆ อาทิ
- ผู้บริโภคเริ่มหันไปเลือกซื้อหม้อหุงข้าวที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ด้วยเหตุผลหลักคือ ‘ราคา’ หม้อหุงข้าวนำเข้าจากจีนมีราคาต่ำกว่าหม้อหุงข้าวที่ผลิตในไทยเฉลี่ยประมาณ 65% ซึ่งทำให้ยากที่ผู้ผลิตในประเทศจะสามารถแข่งขันได้ในระดับราคา
- การผลิตหม้อหุงข้าวในจีนมีปริมาณ เกินความต้องการในประเทศ ทำให้ผู้ผลิตจีนหันมาเน้นการส่งออกมากขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ราคาถูกเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดในประเทศต่างๆ รวมถึงไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีพฤติกรรมผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและราคาจับต้องได้
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุข้อมูลภาพรวมตลาดหม้อหุงข้าวไทย (เชิงปริมาณ) อยู่ที่ราว 6.3 ล้านใบ ซึ่งในปี 2564 แบ่งสัดส่วนผลิตในประเทศราว 47% และนำเข้าสินค้า 53% และในปี 2567 สัดส่วนการผลิตในประเทศลดลงมาอยู่ที่ 28% และนำเข้า 72%
ขณะที่ราคาสินค้า นำเข้าเฉลี่ย 265 บาทต่อใบ ส่วนสินค้าผลิตในประเทศอยู่ที่ 768 บาทต่อใบ
3 ปัจจัยหนุนนำเข้าหม้อหุงข้าว
สถานการณ์ดังกล่าว กระทบอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยมีผลที่ตามมา คือ สัดส่วนของหม้อหุงข้าวที่จำหน่ายในประเทศจากแหล่งนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันยอดขายหม้อหุงข้าวในประเทศไทยกว่า 57% มาจากสินค้านำเข้า และในจำนวนนี้ 94% เป็นหม้อหุงข้าวจากประเทศจีน, เวียดนาม 3%, ญี่ปุ่น 1% และอื่น ๆ 2%
ขณะที่ สัดส่วนของการนำเข้าหม้อหุงข้าวในแง่ของ ‘จำนวน’ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 72% ของตลาดทั้งหมด ซึ่งหมายความว่ามีเพียงไม่ถึง 1 ใน 3 ของหม้อหุงข้าวในตลาดที่ผลิตในประเทศไทย
การที่หม้อหุงข้าวจากจีนเข้ามาท่วมตลาด ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่เรื่องส่วนแบ่งการตลาดเท่านั้น แต่ยังทำให้ ผู้ผลิตไทยหลายรายเริ่มลดกำลังการผลิตลง บางรายถึงขั้นชะลอการลงทุนหรือถอนตัวออกจากตลาดไปอย่างถาวร เนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนการผลิตและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงได้
การนำเข้าหม้อหุงข้าวจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการปัจจัยหลายด้าน ได้แก่
- การผลิตเกินความต้องการภายในประเทศของจีน ทำให้จีนมีสินค้าคงเหลือจำนวนมากพร้อมส่งออกในราคาที่ต่ำเพื่อระบายสินค้า
- ต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าในไทย ด้วยขนาดของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงในจีน ทำให้สามารถผลิตในต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก
- การแข่งขันสูงในตลาดผู้บริโภคไทย ร้านค้าและผู้จัดจำหน่ายหันไปหาสินค้านำเข้าที่สามารถขายได้ง่ายและมีกำไรที่ดีกว่า
จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นผลักดันให้ตลาดหม้อหุงข้าวในปีนี้ อาจมีท่าทีเป็นวิกฤตสำหรับผู้ผลิตไทย ซึ่งจำเป็นต้องหาทางออกเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในตลาดในประเทศ ซึ่งยังมีความจำเป็นที่ภาครัฐและเอกชน ต้องร่วมมือสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การลดต้นทุนการผลิตในประเทศ และการวางมาตรการเพื่อรักษาอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศให้ยังคงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ด้วย ตลาดหม้อหุงข้าวในไทยอาจจะกลายเป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ ‘การนำเข้าสินค้าเบ็ดเสร็จ’ ที่ครอบงำอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งอาจขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นหากไม่มีการปรับตัวหรือวางแผนเชิงนโยบายอย่างจริงจัง
Alternate-X สรุปให้
แม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ตลาดหม้อหุงข้าวในไทยปี 2568 เติบโตถึง 3% ด้วยยอดขายกว่า 6.3 ล้านใบ สวนทางกับภาคการผลิตในประเทศที่หดตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่การนำเข้าจากจีนครองตลาดสูงถึง 94% ด้วยราคาต่ำกว่าของไทยถึง 65% ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศอย่างรุนแรง การแข่งขันที่รุนแรงทำให้ไทยเหลือผู้ผลิตเพียงส่วนน้อย จำเป็นต้องมีมาตรการเชิงนโยบายเร่งด่วนเพื่อรักษาอุตสาหกรรม