เทรนด์ ‘Loud Budgeting’ ไม่ได้ ‘งก’ แต่ ฉลาดใช้เงิน แถมยังแสดงจุดยืน ‘พูดดังชัดๆ’ ยังไม่ซื้อเพราะเกินงบ เหตุผลใหญ่และใหม่ที่ทำให้แบรนด์สินค้า/เอสเอ็มอี ต้องเข้าไป ‘อินเซปชั่น’กำลังซื้อยุคใหม่ให้ได้
หลังหลายสำนักบอกเศรษฐกิจปี 2568 ทรงฝืดๆ ทำกำลังซื้อลด ปัจจัยหลักให้ผู้บริโภคยุคนี้โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หันมาทบทวนวิธีการใช้เงินแบบสมเหตุสมผลกับสถานการณ์ของตัวเอง และนำไปสู่แนวคิด ‘Loud Budgeting’ พูดตรง-พูดดัง ว่ายังไม่ใช้เงินตอนนี้เพราะเกินงบประมาณ ที่อาจส่งผลต่อยอดขายสินค้า/แบรนด์ ในบางกลุ่มสินค้า นับจากนี้ไป
ต่อแนวคิด ‘Loud Budgeting’ ได้ถูกนำมาพูดถึงอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปลายปี 2566 ถึงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีจุดเริ่มชัดเจนหลังแพลตฟอร์มโซเชียล TikTok จากบัญชีผู้ใช้ชื่อ @loganrcohen (Logan Cohen) นักวางแผนการเงินในสหรัฐฯ โพสต์อธิบายแนวคิดนี้ จนทำให้คลิปวิดีโอสั้นของกลายเป็นไวรัล หลังให้คำจำกัดความถึง ‘Loud Budgeting is in, quiet luxury is out.” ที่เราขอแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘ยุคนี้โชว์ประหยัด ส่วนรวยเงียบน่ะอยู่นอกกระแสไปแล้ว!
4 แรงหนุนทำให้คนตะโกน ‘ยังไม่ซื้อ’
จากไทม์ไลน์ของกระแส ‘Loud Budgeting’ ดังกล่าว อาจเป็นผลมาจากแรงเหวี่ยง 4 ด้านหลัก ดังนี้
- เกิดขึ้นมาในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสูง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก และรวมถึงไทยที่ว่า ‘ผู้คนในตอนนี้ เริ่มรู้สึกไม่อายที่จะพูดว่า ‘เงินไม่พอสำหรับสิ่งนั้น’
- กระแสการต่อต้านวัฒนธรรมอย่าง ‘รวยเงียบ’ หรือ ลักซูรีแบบไม่โอ้อวด (Quiet Luxury) และ Overconsumption การบริโภคเกินจำเป็น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดเป็นกระแสพอสมควรในกลุ่มที่ใช้ของหรูหรา มีราคาแต่ไม่ต้องตะโกนออก ขณะที่ ‘Loud Budgeting’ คือ สิ่งที่ผู้บริโภคจะพูดออกมาตรงๆ เลยว่า ‘ไม่ซื้อเลย เพราะไม่มีงบ หรือไม่จำเป็น’ (ในตอนนี้)
- สื่อโซเชียลทำให้เกิดแรงกดดันทางการเงิน และอาจกลายเป็นสิ่งที่มีผลต่อใจในบางกลุ่มผู้บริโภค ที่อยากแสดงตัวตนว่า ‘ฉันไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะเพื่อยืนยันคุณค่า’
- คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพทางการเงินมากขึ้น โดยแฉพาะในชาวมิลเลนเนียล เจนเนอเรชั่นวาย และ กลุ่มเจนฯ Z ที่เข้ามาเป็นกำลังซื้อหน้าใหม่ในตลาด ที่กำลังเผชิญกับ ‘หนี้สิน-ค่าใช้จ่ายสูง’ และเลือกที่จะหันมา ‘พูดตรงๆ’ และ ขอใช้เท่าที่จำเป็นแทน
ด้าน ‘ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส ศูนย์การค้าเซ็นทรัล กล่าวถึงกระแสนี้ว่า
“วันนี้เราอยู่ในยุคที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้จ่ายมากกว่าที่เคย โดยมีเทรนด์ระดับโลกอย่าง ‘Loud Budgeting’ ที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม Gen Z และคนรุ่นใหม่ ซึ่งเลือกใช้เงินอย่างมีเป้าหมาย โชว์ความคุ้มค่า”
ทำให้ เซ็นทรัลพัฒนา มองเทรนด์นี้พร้อมทำแคมเปญ ‘Summer Grand Sale 2025’ ออกมากระตุ้นการจับจ่ายช่วงกลางปี ของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกและเป็นแรงส่งไปยังเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะสามารถสร้างทราฟฟิกทั่วประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 25–30% ในช่วงไตรมาส 2–3 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นตัว
แบรนด์โลก สร้างความคุ้มค่ามัดใจ
ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศ ต่างจับตาเทรนด์ที่เกิดขึ้นพร้อมปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับกระแส ‘Loud Budgeting’ กันมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแฟชั่นและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
อย่าง ‘Patagonia’ ปาตาโกเนีย แบรนด์สินค้าไลฟ์แวร์ เน้นกิจกรรมกลางแจ้งที่มี อายุในตลาดโลดมาร่วม 50ปี ด้วยการวางตำแหน่งทางการตลาดแบรนด์ที่เน้นการบริโภคอย่างมีสติ ทำให้ Patagonia เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคลดการบริโภคเกินจำเป็น ด้วยแคมเปญ ‘Don’t Buy This Jacket’ ที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคคิดก่อนซื้อ และเน้นการใช้สินค้าที่ทนทานและยั่งยืน
H&M และ Zara ที่แม้ว่าจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแฟชั่นรวดเร็ว (Fast Fashion) ยอดนิยมของผู้คนในหลายประเทศทั่วโลก แต่ในวันนี้ H&M และ Zara ได้เริ่มปรับตัวโดยการเปิดตัวคอลเลกชันที่ใช้วัสดุรีไซเคิลและส่งเสริมการรีไซเคิลเสื้อผ้าเก่า เพื่อรับมือกับกระแสต่อต้านการบริโภคเกินจำเป็น
Unilever ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลก กับแนวทางธุรกิจยุคใหม่ที่ออกมาสื่อสารความยั่งยืนในผลิตภัณฑ์อาหารให้กับผู้บริโภค เพื่อส่งเสริมการบริโภคอย่างมีสติและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ยังธุรกิจรายย่อยขนาดเล็กกลางอย่าง ‘เอสเอ็มอี’ (SME) ที่มองเห็นโอกาสจากเทรนด์นี้ พร้อมปรับรูปแบบการทำธุรกิจให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุค ‘Loud Budgeting’ ที่เน้น ‘คุ้มค่า โปร่งใส และสมเหตุสมผล’ มากกว่า ‘หรูหราเกินจริง’
ธุรกิจที่เริ่มจากหนี้ก้อนโตและตกงาน
อย่างกรณีศึกษาธุรกิจในต่างประเทศ อย่าง Jasmine Taylor และ Baddies and Budgets โดยในปี 2565 ‘Jasmine Taylor’ พบว่าตนเองมีหนี้สินกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ และตกงาน ทำให้เธอเริ่มใช้วิธีการบริหารงบประมาณแบบ ‘Cash Stuffing’ ซึ่งเป็นการแบ่งเงินสดใส่ซองตามหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อควบคุมการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
จากนั้น เธอเริ่มแชร์ประสบการณ์นี้ผ่าน TikTok เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและสร้างความรับผิดชอบให้กับตนเอง และโดยไม่คาดคิด คอนเท้นต์ นี้ของเธอได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนเป็นไวรัล และนำไปสู่ไอเดียให้ก่อตั้งธุรกิจชื่อ Baddies and Budgets จำหน่ายอุปกรณ์สำหรับการบริหารงบประมาณ เช่น สมุดบันทึกและซองเงินที่มีการออกแบบเฉพาะตัว
เธอ ใช้ช่วงเวลาไม่นาน ธุรกิจของเธอเติบโตอย่างรวดเร็วสร้างรายได้ถึง 630,000 ปอนด์ต่อปี และมีลูกค้าที่รอซื้อสินค้าเมื่อมีการเติมสต็อกใหม่อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ประกอบการธุรกิจสินค้าแบรนด์ไทย หรือ ‘เอสเอ็มอี’ เชื่อว่ายังสามารถเกาะกระแส ‘Loud Budgeting’ พร้อมปรับแนวทางการทำตลาดทในรูปแบบ การโปรโมตความคุ้มค่าอย่างภาคภูมิใจ เน้น ‘Value for Money’ ในการสื่อสาร ไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ต้อง ‘คุ้มจริง’ พร้อมสื่อสารการทำตลาดอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา
SME มีความโปร่งใสเรื่องต้นทุนและราคาสามารถบอกเล่าที่มาของต้นทุน เช่น “เราเลือกบรรจุภัณฑ์เรียบง่าย เพื่อให้คุณได้สินค้าคุณภาพ โดยไม่ต้องจ่ายค่าแพ็คเกจหรู” สอดคล้องพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่มีความรอบรู้และฉลาดเลือก ต้องการความโปร่งใส
ปรับแพ็กเกจสินค้าให้ ‘ดูดีแต่ราคาไม่แรง’ หรือเลือกเลือกดีไซน์มินิมอล เรียบเท่ ดูมีรสนิยมแต่ไม่อวดรวย รวมไปถึงเน้น ‘Affordable Aesthetic’ เช่นใช้วัสดุธรรมชาติ, สีเอิร์ธ โทน เป็นต้น
การจัดโปรโมชัน เน้นความภูมิใจในการประหยัด ด้วยชื่อโปรโมชันอย่าง ‘โปรฉลาดใช้’ แต่ ‘บัดเจ็ตจัดเต็ม’ หรือ ตั้งงบไว้แค่ไหนแล้วช้อปได้เลย
ขณะที่การสร้างชุมชน หรือ Community ที่สนับสนุนแนวคิด Budget-Conscious โดยใช้โซเชียลมีเดียในการแชร์เทคนิคประหยัดอย่างมีสไตล์ในหัวข้อต่างๆ จากสินค้า/แบรนด์ สุดท้ายร่วมมือกับ Micro-influencer สายฉลาดใช้คนรีวิวของดีในราคาคุ้ม ควบคุมงบได้ ไม่เน้นโชว์แบรนด์หรู
แนวทางดังกล่าว เป็นการต่อยอดจาก ‘Loud Budgeting’ ให้กลายเป็น ‘Smart Spending Lifestyle’ ที่สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ด้วย Loud Budgeting อาจไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นการแสดงจุดยืนของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ภูมิใจในความฉลาดใช้จ่าย
หาก SME ที่เข้าใจสิ่งนี้ก่อน ย่อมได้เปรียบในการเข้าถึงใจลูกค้าอย่างแท้จริง
Alternate-X สรุปให้
Loud Budgeting คือ แนวคิดที่ผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เลือกแสดงออกอย่างภาคภูมิใจว่า ‘ตอนนี้ยังไม่ซื้อ’ เพื่อควบคุมงบประมาณให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ตามแรงผลักดันจากเงินเฟ้อ สภาพคล่องทางการเงิน, กระแสต้านความหรูหราเกินจริง และการใส่ใจสุขภาพทางการเงิน ทำให้เทรนด์นี้เติบโต ทำให้ในเวลานี้ ทั้ง SME และแบรนด์ระดับโลกปรับตัวด้วยกลยุทธ์ ‘ความคุ้มค่าโปร่งใส’ เช่น Patagonia, H&M, และธุรกิจ Baddies and Budgets โดย ผู้ประกอบการไทยสามารถต่อยอดเทรนด์นี้ด้วยการปรับดีไซน์ บรรจุภัณฑ์ สื่อสารตรง และใช้ micro-influencer สายฉลาดใช้ Loud Budgeting คือมากกว่าการประหยัด แต่คือไลฟ์สไตล์แห่งการภูมิใจใน ‘การใช้เงินอย่างฉลาด’